มะละกอไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในไทยแน่นอน
มีเรื่องบอกเล่าต่อๆ"กันมาว่ามะละกอไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในเมืองไทย"เป็นเรื่องที่เชื่อได้"
แต่หากบอกว่าต้นประดู่"ต้นมะขาม"ไม่ใช่ของไทย"ต้องคุยกันหน่อย"เพราะหลักฐานมันฟ้องอยู่"อย่างมะขามบางต้นในไทยอายุมากกว่า"200-300"ปี"
แต่ก็ข้องใจอยู่เหมือนกัน"มะขามมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า"Tamarindus"indica"L."ตัว"indicaคืออินเดีย"ฝรั่งคงค้นพบที่อินเดียก่อนจึงตั้งชื่ออินเดียตามท้าย"
มีนักเกษตรตั้งข้อสงสัยว่า"ชื่อพืชพรรณต่างๆ"ไม่ค่อยมีสยามหรือ"siamese"ต่อท้าย"แสดงว่าเมื่อก่อนเมืองไทยแทบไม่มีอะไรขึ้นอยู่เลยหรือ
มะละกอเป็นไม้ต่างแดนแน่นอน
ในหนังสือ"พรรณพืชในประวัติศาสตร์ไทย"ของ"ดร. สุรีย์"ภูมิภมร"บอกไว้ว่า
เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศของโปรตุเกสระบุไว้ชัดเจนว่า"มะละกอมีถิ่นกำเนิดเดิมที่เทือกเขาแอนดีส"แต่บางเอกสารอ้างอิงว่ามะละกอมาจากเม็กซิโก"หรือหมู่เกาะอินเดียตะวันตก"บ้างก็ว่ามะละกอมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลาง"บริเวณเม็กซิโกตอนใต้และคอสตาริก้า
มีเอกสารบางฉบับระบุอีกเช่นกันว่าสเปนได้มะละกอมาจากฝั่งทะเลแคริบเบียนของปานามาและโคลัมเบีย
พระเจ้าอู่ทอง กรุงศรีอยุธยา
พระร่วง กรุงสุโขทัย
ศรีธนญชัย ไทยสยาม
เซียงเมี่ยง ไทยน้อย
ล้วนไม่รู้จักส้มตำมะละกอ และไม่เคยชิมลิ้มรส
เพราะยุคนั้นไม่มีมะละกอ และยังไม่มีส้มตำ
มีแต่ตำส้มด้วยพืชผักอื่นๆ ที่ไม่มะละกอ
ปีพ.ศ. 2134 ช่วงกรุงธนบุรีเป็นราชธานี "นายลินโซเตน" นักท่องเที่ยวชาวดัตช์ "เขียนรายงานไว้ว่า" คนโปรตุเกสได้นำมะละกอมาปลูกที่มะละกา จากนั้นนำไปปลูกที่อินเดีย"ส่วนอีกทางหนึ่งได้ขยายไปปลูกที่อินโดนีเซีย"มาเลเซีย"และไทย
คาดกันว่า "มะละกอน่าจะเข้ามาทางภาคใต้ทางอ่าวไทย" ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์โดยมีเหตุยืนยันว่าผู้คนสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่เคยกินส้มตำจากมะละกอ
เอกสารส่วนใหญ่ระบุว่าโปรตุเกสนำมะละกอเข้ามาปลูกในเอเชีย"แต่เอกสารหมอบรัดเลย์ระบุว่า"สเปนนำมะละกอเข้ามาปลูกทั้งนี้มีหนังสือ"PROSEA"สนับสนุน หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมการกระจายพันธุ์พืชในเอเชียไว้
มะละกอกำเนิดอยู่ที่ไหน "เป็นประเด็นแรก" ซึ่งก็คงแถวๆ "อเมริกากลาง"
ประเด็นต่อมา" ใครนำเข้ามาในเอเชีย "คงไม่พ้น2 ประเทศ" คือ "สเปน" และ"โปรตุเกส "ในหนังสือดร.สุรีย์ ภูมิภมร สรุปว่าอาจจะนำมาจากทั้ง2ประเทศ เพียงแต่ใครก่อนใครหลังเท่านั้นเอง
ถือว่าเป็นคุณูปการสำหรับการนำพืชพรรณใหม่ๆ"เข้ามา"นอกจากมาค้ามาขาย"หรือมานำทรัพยากรวัตถุดิบออกไปจากประเทศของเขาแล้ว"ยังนำมะละกอมาให้ปลูก"จนการปลูกแพร่ขยายออกไป"
ส่วนวิธีการกิน"ไทยเราพัฒนาไปมาก"แทนที่จะกินสุกอย่างเดียวเหมือนอย่างฝรั่งเขา"แต่นำมาทำส้มตำ"
พอสอบถามจากผู้รู้เรื่องมะละกอ"ซึ่งเรียนจบมาจากต่างประเทศ"เขาบอกว่า"ไทยเราบริโภคมะละกอมากที่สุดในโลก"โดยนำมาทำส้มตำ
มะละกอเรียกต่างกันทั้งไทยและต่างประเทศ"
ภาษาอังกฤษ"คือ"ปาปายา"(papaya)"อังกฤษแต่เดิมเรียก"ปาปอ"(papaw)โปรตุเกสเรียก"มาเมา"(mamoa)"คนฝรั่งเศสเรียก"ปาปาเย"(papaye)"คนเยอรมันเรียกปาปาจา"(papaja)"คนอิตาลีเรียก"ปาปาเอีย(papaia)"คนคิวบาเรียก"ฟรูตาเดอบอมบา(frutade"bomba)"คนเปอร์โตริโกเรียกว่า"เลโชซา (lechosa)"คนเม็กซิกันเรียกว่า" เมลอน"ซาโปเต้"(melon"zapote)
ในเอเชียก็เรียกแตกต่างกัน"คนจีนเรียกว่าเจียะกวยหรือฮวงบักกวย"อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์"เรียกปาปายา"มาเลเซียเรียกเบเต็ก"เมียนมาร์เรียกทิมเบ่า"กัมพูชาเรียกหงลาวเรียกบักหุ่งหรือหมากหุ่ง"คนไทยในแต่ละกลุ่มเรียกแตกต่างกัน
ภาคกลางเรียก"มะละกอ, สุโขทัยเรียก"บนละกอ
ภาคใต้ส่วนใหญ่เรียก"ลอกอ"ยกเว้นสตูลเรียก"แตงตัน"ปัตตานีเรียกมะเต๊ะ ยะลาเรียก"ก๊วยลา
ภาคเหนือเรียก"บะก๊วยเทศ, กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียก"สะกุ่ยเส่, เงี้ยวเรียก"หมากชาวผอ
อีสานเรียกบักหุ่ง หมากหุ่ง"จังหวัดเลยเรียก"หมากกอ
ส้มตำมะละกอ
กำเนิดจาก "เจ๊กปนลาว" บางกอก
ยุคต้นกรุงเทพฯ แล้วแพร่หลายไปอีสานและลาวสมัยหลังๆ
ส้มตำมะละกอเริ่มมีมาแต่หนไหน
หัวข้อนี้"ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปขออัดเสียงสัมภาษณ์"อาจารย์สุจิตต์"วงษ์เทศนักวิชาการอิสระ"เมื่อถึงเวลา"ท่านบอกให้เขียนคำถามแฟกซ์ไป"แล้วท่านก็ตอบมาดังนี้...
ส้มตำ"หมายถึงของกินชนิดหนึ่ง"เอาผลไม้"มีมะละกอ"เป็นต้น"มาตำประสมกับเครื่องปรุง"และมีรสเปรี้ยวนำ
คำว่า"ส้ม"แปลว่าเปรี้ยว
คำว่า"ส้มตำ"น่าจะเริ่มเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ"หรือภาคกลางลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพราะสลับคำของวัฒนธรรมลาวในอีสาน"ที่มีมาแต่ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์เรียกว่า"ตำส้ม" หมายถึงของกินชนิดหนึ่ง"เอาผลไม้ต่างๆ"เช่น"มะม่วง"มาตำประสมกับเครื่องปรุง และมีรสเปรี้ยวนำ"ซึ่งมีความหมายตรงกับส้มตำ
คนกลุ่มแรกๆ"ที่รู้จักกินส้มตำมะละกออยู่ภาคกลางลุ่มน้ำเจ้าพระยา"อาจเป็นพวก"เจ๊กปนลาว"ในกรุงเทพฯ"ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็ได้"เพราะเพิ่งรู้จักมะละกอที่ได้พันธุ์มาจากเมืองมะละกาในมาเลเซีย
ส้มตำมะละกอ"เริ่มแพร่กระจายจากกรุงเทพฯสู่อีสาน"ราวหลังรัชกาลที่"5"ที่สร้างรถไฟไปอีสาน
แล้วทะลักเข้าอีสานครั้งใหญ่"เมื่อหลัง"พ.ศ.2500หลังสร้างถนนสายมิตรภาพก่อนหน้านั้นมีมะละกอในอีสานแต่ไม่อร่อย"เพราะเป็นยุคแรกๆ"ลูกเล็กๆ"แคระๆ"ผอมๆ เน่าๆ
มะละกอเป็นพืชพื้นเมืองของอเมริกาใต้"ไม่มีในอุษาคเนย์"โคลัมบัสเอามะละกอ มาเผยแพร่"แล้วแพร่หลายมาพร้อมกับการล่าอาณานิคมของสเปนถึงฟิลิปปินส์ แล้วมีคนเอามาปลูกที่เมืองมะละกา สมัยนั้นผลไม้ชนิดนี้ชื่อ" "มะละกา" แล้วออกเสียงเป็น"มะละกอ"พืชชนิดใหม่นี้จึงได้นามตามชื่อเมืองว่า "มะละกอ"แล้วแพร่เข้ามาในภาคกลางลุ่มน้ำเจ้าพระยา"สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ในเอกสารฝรั่งครั้งกรุงศรีอยุธยา"จึงมีแต่ผลไม้อื่นๆ"แต่ไม่มีมะละกอ"เพราะคนยุคนั้นยังไม่รู้จักแต่มีอาหารเปรี้ยวๆ"เรียกว่า"ตำส้ม"กินประจำวัน"เช่น"ตำมะม่วงตำแตงกวา"ตำแตงต่างๆ
ส่วนปลาร้า"ก็คือปลาแดก"มีน้ำเค็มจากเกลือที่ใช้หมัก"เป็นอาหารดั้งเดิมยุคดึกดำบรรพ์"ราว"3,000"ปีมาแล้ว"
ตำส้มใช้ปลาร้า-ปลาแดก"เป็นส่วนผสมมาแต่ดั้งเดิม"เริ่มแรกก่อนมีส้มตำเพื่อให้มีรสเค็มนุ่มนวล"ยิ่งเค็มมากยิ่งดี"ทำให้มีแรงทำไร่ไถนา
ทำไม...ส้มตำจึงได้รับความนิยม
อาหารทุกชนิดในโลก"มีการปรับตัวให้ถูกลิ้นถูกปากคนกิน"เช่น"ส้มตำ"เป็นอาหารเกิดใหม่เมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์"และเป็นอาหารของเจ๊กปนลาวในกรุงเทพฯไม่ใช่ของลาวอีสานมาแต่เดิมตามที่เข้าใจกัน"ฉะนั้นจึงเปลี่ยนแปลงได้ตามความชอบของคนกิน"คนทำ"และคนขาย
ไม่เคยมีส้มตำสูตรดั้งเดิมตายตัว"มีแต่ฝีมือใครฝีมือมัน"ฉะนั้นส้มตำจึงปรับตัวได้คล่องแคล่วและอยู่รอดปลอดภัย
ขอบคุณที่มาจาก มติชน
จาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
เอเจนซีส์ - เด็กแดนภารตะสามารถช่วยเหลือแรงงานเด็กอย่างน้อย 350 ชีวิต ออกจากโรงงานทำสีหนังและทำพลาสติกในเมืองไฮเดอราบาด ทางใต้ของอินเดีย ที่อยู่ในสภาพต้องทำงานหนักเยี่ยงทาสในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายตลอดเวลา 12 ชม.ในแต่ละวันโดยไม่ได้หยุด และมีกล้องโทรทัศน์วงจรปิดจับตาตลอดเวลา นอกจากนี้ยังได้ตั้งข้อกล่าวหาชายชาวอินเดีย 5 นายที่เกี่ยวข้องในการจัดหาเด็กๆป้อนให้โรงงานนรกแห่งนี้ในประเทศที่มีสถิติเด็กหายทุก 8 นาที
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้ (5 ก.พ.) ว่า เป็นเพราะสภาพที่ยากจนมาก และขาดการศึกษาทำให้เด็กยากจนของอินเดียต้องออกไปขายแรงงาน บางครั้งแรงงานเด็กเหล่านี้จะได้รับค่าจ้างให้ผู้ปกครอง ซึ่งล่าสุดตำรวจอินเดียสามารถช่วยเหลือแรงงานเด็กอย่างน้อย 350 ชีวิต ออกจากโรงงานทำสีหนังและทำพลาสติกในเมืองไฮเดอราบาด ทางใต้ของอินเดียออกมาได้สำเร็จหลังจากทลายเข้าจู่โจม โดยเมื่อวานนี้ (5) เจ้าหน้าที่จากสวัสดิการเด็กจำนวนเกือบ 200 คนที่ช่วยเหลือออกมาได้กลับไปยังรัฐพิหาร และได้พบหน้าครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งรัฐแห่งนี้ที่มีพุทธคยาตั้งอยู่ถือเป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของอินเดีย
ในการบุกทลายครั้งนี้ตำรวจได้จับกุมชาย 5 คนที่ถูกกล่าวหาว่าจัดหาแรงงานทาสป้อนให้กับบรรดาเจ้าของโรงงาน ซึ่ง วี สัตยานารายานา (V Satyanarayana) ตำรวจอินเดียเปิดเผยว่า เด็กบางส่วนมีปัญหาโรคผิวหนัง และป่วยด้วยโรคอื่น และเมื่อตำรวจไปถึง พบเด็กเหล่านี้ถูกขังให้ทำงานในสิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย “เด็กๆ ต้องถูกบังคับให้ทำงาน 12 ชม.ต่อวันโดยไม่ได้รับอนุญาตให้พัก” สัตยานารายานากล่าว และเสริมต่อว่า ห้องทำงานสกปรกและมืดทึบ และแรงงานเด็กต้องทำงานภายใต้การถูกจับตาจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และหากมีแรงงานเด็กคนใดหยุดมือไม่ทำงาน จะถูกโบยตี
ทั้งนี้ อินเดียมีกฎหมายคุมครองเด็กจากการถูกใช้เป็นแรงงานทาส และเด็กๆ ต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับจนถึงอายุ 14 ปี ซึ่งในปี 2012 อินเดียออกกฎหมายห้ามการอนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีทำงาน มาจากการผลักดันจากไกรลาศ สัตยาธี (Kailash Satyarthi) ผู้ชนะรางวัลโนเบิลสาขาสันติภาพในปีล่าสุดร่วมกับมาลาลา ยูซาฟไซ นักรณรงค์การศึกษาและเหยื่อลอบสังหารตอลีบานในปากีสถาน โดยสัตยาธีต่อสู้กับการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย และสามารถช่วยเหลือเหยื่อแรงงานเด็กออกมาได้จำนวนหนึ่ง
แต่ทว่า สื่ออังกฤษรายงานว่า ถึงมีการคุ้มครองเด็กตามกฎหมาย แต่ยังมีแรงงานเด็กอีกหลายล้านคนยังต้องถูกกดขี่ในอินเดีย ซึ่งการทำสำรวจล่าสุดในปี 2011 พบว่ามีแรงงานเด็กถึง 4.35 ล้านคน และสัยาธียืนยันถึงตัวเลขแรงงานเด็กในอินเดีย คาดว่ามีร่วม 60 ล้านคน
บิดามารดาแรงงานทาสเหล่านี้ยอมรับว่า ความยากจนบังคับให้จำเป็นต้องส่งลูกยังเล็กออกไปทำงานรับใช้ตามบ้าน หรือโรงงานต่างๆ และมีเด็กอีกบางส่วนถูกลักพาตัวจากครอบครัว ถูกส่งป้อนกระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งพบว่ามีเด็กหายในทุก 8 นาที และเกือบครึ่งของเด็กสูญหายไม่ถูกพบตัวอีกเลย
แผนกสวัสดิการเด็กอินเดียเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้มีการเข้าบุกตรวจทะลายแหล่งโรงงานเถื่อน 2 ครั้งต่อเดือน ราวี ชานดราแวน (RV Chandravan) เจ้าหน้าที่สวัสดิการเด็กอินเดียให้ความเห็นว่า “เราใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อกำจัดกลุ่มมาเฟียที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบค้ามนุษย์นำเด็กจากภูมิภาคต่างๆ เพื่อป้อนโรงงานในเมืองไฮเดอราบาด
การประชุมเพื่อพิจารณาด้านการเงินในการก่อสร้างรถไฟทางคู่ร่วมไทย-จีน ถึงกับชะงัก เมื่อทางการจีนเสนอดอกเบี้ยในการกู้เงินสูงถึงกว่า 2-4 % ต่างจากที่ไทยเคยกู้จากญี่ปุ่นที่มีดอกเบี้ยเพียง 1.5 %
(มติชน)
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการเงินและรูปแบบการลงทุนภายใต้บันทึกความเข้าใจ ไทย-จีน เรื่องโครงการดำเนินงานก่อสร้างรถไฟทางคู่รางมาตรฐาน 1.435 เมตร เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอยมาบตาพุด และแก่งคอย-กรุงเทพฯ ระยะทางรวม 873 กิโลเมตร ว่า รัฐบาลจีนเสนอรูปแบบการลงทุนแบบการกู้ร่วมกันผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน โดยฝ่ายจีนเสนออัตราดอกเบี้ย 2-4% ระยะเวลาคืนทุนภายใน 20 ปี นอกจากนี้จีนยังเสนอตัวขอเป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง ก่อสร้างงานโยธาและเดินรถเองด้วย ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าจะเป็นผู้บริหารการเดินรถเอง
ทั้งนี้จากการพิจารณา ฝ่ายไทยเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่จีนเสนอมายังสูงเกินไป เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ 1.5% ขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(ไจก้า) ที่ไทยกู้มาสร้างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ซึ่งฝ่ายไทยขอให้จีนกลับไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก รวมทั้งขอเพิ่มระยะเวลาปลอดหนี้ให้มากขึ้นด้วย ซึ่งฝ่ายจีนจะต้องนำข้อเสนอของไทยไปเสนอให้รัฐบาลพิจารณาก่อนหากจีนลดอัตราดอกเบี้ยแล้วยังไม่พอใจ ไทยก็อาจจะพิจารณาแหล่งเงินกู้แห่งอื่นที่คิดดอกเบี้ยถูกกว่านี้รูปแบบการลงทุนรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ คาดว่าจะสามารถดำเนินการเจรจาในรายละเอียดและได้ข้อสรุปในการประชุมร่วมกับจีนครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 11-12 ก.พ. 2558 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แต่ยืนยันว่าการดำเนินงานในครั้งนี้จะเป็นรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือ จีทูจี
สภาวะแบบนี้น่ากลัวนะ...คล้ายๆกับรู้ว่ามีวิกฤติ แต่ต้องปิดปากเงียบ ต้องทนกอดคอกันตาย ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเป็นฮีโร่ เพื่อแก้ปัญหา
ต่างจากสภาวะปกติ ถ้ามีวิกฤติไม่ว่ารัฐ หรือ ชาวบ้าน เอกชน จะช่วยกันออกมาคิดๆๆๆๆ เสนอแนะวิธีสารพัดสารเพ กระทุ้งนู่น กระทุ้งนี่
เฮ้อออออออ......สงสารประเทศไทยจัง
คราวนี้ต่างจากปี 39 40 เพราะความเสียหายเริ่มจากชนบท ต่างจังหวัด คนระดับล่าง ก่อน คราวที่แล้ว ความเสียหายเริ่มจากคนระดับบน แผ่มาสู่คนระดับกลาง พวกมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย แต่ฟื้นตัวได้เร็วเพราะคนระดับล่างที่เป็นโครงสร้างของชาติ ยังเข้มแข็ง อุตสาหกรรมท้องถิ่นยังดำเนินอยู่ได้ การส่งออกขยายตัว การท่องเที่ยวเจริญเติบโต คราวนี้กลับกันน่าติดตามดูกันต่อไป
ตอนนี้ จีนกับสหรัฐ กำลังแย่งเรากันแบบเนื้อหอมเลย ก็น่าจะดี เล่นตัวให้เต็มที่ เลือกฝั่งที่ให้ประโยชน์กับเรามากที่สุด
แต่ผมกลับไม่คิดแบบนั้นครับ
เค้าคงไม่ตบตีกันแย่งเรา แบบในหนังไทย หรือละครน้ำเน่า เพราะประเทศเราไม่ได้มีสมบัติอะไรมากมาย และเค้าก็รู้เรามีสถานะการณ์การเมืองภายใน ก็กีฬาสีนั่นแหละครับ ต่อเนื่องมา 6-7 ปีแล้ว
แต่ที่เราสำคัญวันนี้ เพราะเราอยู่ในจุดที่สามารถคานสมดุลย์อำนาจของโลก เป็นจุดยุทธศาสตร์ของโลกการค้าใหม่ ที่กำลังจะเติบโตแทนกลุ่ม EU เอาเข้าจริง ๆ ทั้งจีน และสหรัฐ จะไม่แย่งกันจีบเราแบบออกนอกหน้าอย่างที่คิดกัน หรอกครับ
แต่ที่ผมกลัว คือ วิธีการที่ เค้าทำกันมานานแล้วและได้ผลในหลายๆภูมิภาค คือ ในกรณีที่ ต่างฝ่าย หมายถึงทั้งจีนและสหรัฐไม่สามารถมีอิทธิพลได้เบ็ดเสร็จ เค้าจะใช้วิธี แบ่งแยกแล้วปกครองครับ ไม่มีใครได้ หรือเสียทั้งหมดครับ
จากที่เห็นในหลายประเทศที่เกิดความขัดแย้งภายในและมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย
ต้องการมีอิทธิพลเค้าจะใช้วิธี ส่งปืนให้ครับ ต่างฝ่ายจะเลือกสนับสนุนอาวุธ เงิน อาหาร ให้กลุ่มคู่ขัดแย้ง แบบเปิดเผยหรือแบบลับๆ หรือแบบลับบ้างไม่ลับบ้าง วิธีการนี้ได้ผลใน ลิเบีย อิรัก รวมถึงซีเรีย
สองฝั่ง ที่ได้รับการสนับสนุน จะเป็นหนี้ ไปอีก อย่างน้อย 100 ปีเลยครับ ทำให้อ่อนแอ และต้องยอมรับฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข
ทำไมเหรอครับ คิดง่าย ๆ ก็ เงินทั้งสองฝั่ง ต้องพิมพ์ใหม่ทั้งหมด โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดจะขาดจากกัน เหมือนหลุมก๊าซอยู่กับอีกกลุ่มนึง โรงไฟฟ้าอยู่กับอีกกลุ่มนึง สารพัดมันผิดที่ผิดทางไปหมด ต้องลงทุนใหม่ทั้งหมด ทั้งสองกลุ่ม เพิ่งเริ่มจะตั้งไข่ จะเอาทุนที่ไหนมาครับ ถ้าไม่กู้
คิดให้ดีๆ น๊ะครับ ถ้ามีอำนาจเหนือเบ็ดเสร็จไม่ได้ การแบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นการคานอำนาจ ที่ได้ผลและมีตัวอย่างมาแล้ว เพราะมหาอำนาจเชื่อว่า เมื่อไม่ได้ทั้งหมด ก็ต้องไม่เสียทั้งหมด
ไม่ต้องห่วงน๊ะครับ เค้าไม่ปล่อยให้ทะเลาะกันแบบลงไม้ลงมือจนเหลือแต่ซากครับ เพราะเค้าลงทุนกับประเทศนี้ ให้เป็นโรงงานของโลกมานานแล้ว แค่เฉพาะญี่ปุ่นเอง ก็ลงทุนรวมเป็นล้านล้าน แล้วครับ
เค้าจะให้ตบตี กันพอหอมปากหอมคอ ยางหัวออก แล้วเค้าจะใช้ธงสีฟ้าเข้ามา แล้วทำประชามติ แบบอาเจ๊ะ อินโดนีเซีย หรือแบบในอัฟริกา รักกันไม่ได้ ก็หย่ากันไป แบ่งสมบัติ แล้วต่างคนก็ต่างก้มหน้าก้มตากันใช้หนี้ของตัวเองไป
การเล่น power play กับสองมหาอำนาจอย่างจีน และสหรัฐ ในช่วงที่จีนพยายามมีอิทธิพลในอินโด-อาเซียน และรุกได้เร็วทางเศรษฐกิจในขณะนี้ เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในพม่า ซึ่งกลายเป็นชายฝั่งตะวันตกของจีนไปแล้ว และส่งผลให้จีนมีอิทธิพลในคาบสมุทรอินเดีย และลามไปถึงตะวันออกกลาง และคุกคามยุโรปได้ เป็นเรื่องที่สหรัฐและ NATO เป็นกังวล
วันนี้จีนมีโครงการสนับสนุน เขตเศรษฐกิจพิเศษในพม่าถึง 11 แห่ง เสร็จแล้ว 4 แห่ง เขตเศรษฐกิจพิเศษ เด่นๆ อย่าง เขตเศรษฐกิจพิเศษจ้าวพิว ซึ่งจะใหญ่เป็น 5 เท่าของสิงคโปร์ นั้นอิทธิพลของจีนจะใหญ่โตขนาดไหน ลองคิดดู และวันนี้ พม่าและจีนกำลังจะลงทุนจ้าวพิวระยะที่ 2 เพิ่ม
ยิ่งไปกว่านั้น จีนสร้างท่อก๊าซและน้ำมัน ยาว 1,700 กิโลเมตร ขึ้นไปถึงคุณหมิง นั่นหมายถึง การขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางไปจีนจะทำได้เร็วขึ้นถึง 8 วัน โดยไม่ต้องอ้อมช่องแคบมะละกา และในทางกลับกันจีนจะ ส่งสินค้าออกไปขายให้พม่า อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ได้เร็วขึ้นในเวลาเท่าๆ กัน
สถานการณ์แบบนี้ การตีสองหน้า เหมือนสมัยเสรีไทย หรือเล่นบทถ้าไม่รักฉัน ฉันจะไปอีกฝั่ง อาจทำให้ ทางใดทางหนึ่งตัดสินใจ เลือกทางเลือกสุดท้ายอย่างที่บอก คือแบ่งแยกแล้วปกครอง ซึ่งหมายถึง ถ้าไม่ได้ ก็ต้องไม่เสียทั้งหมด อย่าได้ล้อเล่นน๊ะครับ เพราะ เราตั้งอยู่ในจุดที่ทำให้เกิดโดมิโนได้ง่าย และผลของมันจะทำให้สมดุลย์ทางอำนาจของโลกเปลี่ยนไปได้
การเล่น power play กับสองมหาอำนาจอย่างจีน และสหรัฐ ในช่วงที่จีนพยายามมีอิทธิพลในอินโด-อาเซียน และรุกได้เร็วทางเศรษฐกิจในขณะนี้ เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในพม่า ซึ่งกลายเป็นชายฝั่งตะวันตกของจีนไปแล้ว และส่งผลให้จีนมีอิทธิพลในคาบสมุทรอินเดีย และลามไปถึงตะวันออกกลาง และคุกคามยุโรปได้ เป็นเรื่องที่สหรัฐและ NATO เป็นกังวล
คิดให้ดีๆ น๊ะครับ ถ้ามีอำนาจเหนือเบ็ดเสร็จไม่ได้ การแบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นการคานอำนาจ ที่ได้ผลและมีตัวอย่างมาแล้ว เพราะมหาอำนาจเชื่อว่า เมื่อไม่ได้ทั้งหมด ก็ต้องไม่เสียทั้งหมด
(จาก พันทิป ดอทคอม)
ปะคำหรือประคำ
ประวัติความเป็นมา : | |
ตำบลปะคำ เดิมเป็นชื่อหมู่บ้าน ซึ่งผู้คนอพยพมาจากจังหวัดนครราชสีมา ภายใต้การนำของหลวงอุดมเวช มาตั้งบ้านเรือนพร้อม เจ้าเมืองนางรองสมัยโบราณต่อมาชาวบ้านได้ขุดพบพระอุโบสถเก่าแก่มีพระพุทธรูปทองคำ จึงได้สร้างวัดในบริเวณดังกล่าว เรียกว่า วัดปะพระทองคำ และกลายเป็นชื่อหมู่บ้าน ต่อมาเรียกให้สั้นจึงกลายเป็นบ้านปะคำ |
|
|
|
สภาพทั่วไปของตำบล : | |
สภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มและที่ดอนมีป่าไม้ไม่สมบูรณ์ เหมาะแก่การทำไร่ ทำนา | |
อาณาเขตตำบล : | |
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลหนองไทร อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ทิศใต้ ติดกับ ตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ ทิศตะวันออก ติดกับ ตำบลหนองตะคลอง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ทิศตะวันตก ติดกับ ตำบลไทยเจริญ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ |
|
จำนวนประชากรของตำบล : | |
จำนวนประชากรทั้งสิ้น 964 คน แยกเป็นชาย 463 คน เป็นหญิง 501 คน | |
ข้อมูลอาชีพของตำบล : | |
อาชีพหลัก ทำนา อาชีพเสริม ทำหัตถกรรม |
|
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล : | |
1.ปราสาทวัดโคกงิ้ว 1 แห่ง 2. วัด 3 แห่ง 3. โรงเรียน 4 แห่ง |
|
เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ : กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น |
|
ข้อมูลองค์การบริหารส่วนตำบล : |
ประคำ
รู้ไปโม้ด
โดย...น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
หนุ่มโบว์ หนองยาง
อาการเวียนศีรษะอาเจียนในวัยคุณแม่ มีได้หลายสาเหตุ อาการที่คุณเล่ามากว้างมาก ไม่สามารถบอกได้ว่า มีสาเหตุจากอะไร ถ้ามีไข้ก็อาจจากมีการติดเชื้อได้ ถ้าท้องเสียก็อาจติดเชื้อทางเดินอาหาร ถ้าร้อนมากขาดน้ำ ก็อาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ ลมแดด หรือ จากพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือ จากความดันโลหิตสูง หรือบางคนความดันโลหิตต่ำก็มีอาการนี้ได้ หรือจากน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคของหู เช่น น้ำในหูไม่เท่ากัน ฯลฯ
ดังนั้น ไม่สามารถตอบคุณได้ว่า อันตรายหรือไม่เพราะต้องดูที่สาเหตุ ช่วงนี้ แนะนำให้ท่านพักผ่อนเต็มที่ ดื่มน้ำให้ได้มากขึ้น ไม่ขาดน้ำ ทานอาหารอ่อน รสจืด ครั้งละน้อยๆ แต่ทานให้บ่อยขึ้น
แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือ อาการเลวลง ก็ควรต้องรีบกลับไปพบแพทย์ที่สถานีอนามัย หรือ รีบไปโรงพยาบาลคะ
พญ. พวงทอง
ลักษณะแบบนี้คนที่เดือดร้อนคือนักธุรกิจส่งออก
หลายประเทศจะไม่สั่งซื้อของจากประเทศที่มีปัญหา
เมื่อส่งออกไม่ได้ ก็ไม่มีการผลิต...เมื่อไม่มีการผลิตก็ต้องปลดคนงาน
เมื่อบริษัทไม่ผลิตสินค้าก็ไม่ได้จ่ายภาษี คนงานก็ตกงาน
เมื่อผู้ประกอบการไม่ได้จ่ายภาษี รัฐก็ขาดรายได้
คนงานเมื่อหางานใหม่ไม่ได้...อาจจะต้องลักเล็กขะโมยน้อย
ความเดือดร้อนก็จะกระจายเป็นวงกว้าง
.........................................................
ไต้หวันเอาจริง!! ไทเปออกกฎ “ห้ามเด็ก 2 ขวบจิ้มไอแพด” พ่อแม่เสี่ยงโดนปรับสูงเกือบ 50,000 บาท
เมื่อวันศุกร์ที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา รัฐสภาไต้หวันได้ผ่านกฎหมายห้ามเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ใช้อุปกรณ์อิเลคโทนิคส์อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ ไอเเพด หรือสมาร์ทโฟนอย่างเด็ดขาด หากฝ่าฝืนผู้ปกครองจะมีความผิดโดนปรับสูงสุด 50,000 บาท กฎหมายฉบับนี้ยังรวมไปถึงผู้ปกครองต้องดูเเลบุตรหลานที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้ใช้เวลาอย่างเหมาะสมกับอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย.....
ผมได้เเต่เเสดงความอิจฉาตาร้อนผ่าวกับวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศนี้ ที่มองทะลุถึงอนาคตเด็กของชาติได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เเทนที่หลายๆประเทศยังบังคับให้ลูกหลานของคนในชาติ ฝึกท่องจำคำขวัญวันเด็กกันเป็นนกเเก้วนกขุนทองกันอยู่เลย เพราะงานวิจัยของเเพทย์จากทุกสถาบันทั่วโลก ต่างก็มีผลตรงกันว่า การให้เด็กได้เรียนรู้อุปกรณ์อิเลคโทนิคส์ตั้งเเต่ยังเล็ก จะเกิดผลเสียอย่างมหาศาลกับตัวของหนูน้อยเอง เพราะจะทำให้พัฒนาการต่างๆช้าไปทุกด้าน โดยเฉพาะการพูดคุยจะช้ามาก พูดไม่เป็นประโยค ไม่เป็นคำ เเขนลีบ ขาลีบ ใจร้อน เข้ากับใครไม่ค่อยได้ เเละจะมีปัญหาต่อการใช้ชีวิตในสังคมเป็นอย่างยิ่ง
เเต่ทว่ามันจะมีเเต่โทษอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ประโยชน์มันก็มีอย่างมหาศาลเหมือนกัน โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุตั้งเเต่ 5 ขวบขึ้นไป ก็ต้องหัดให้เขาได้มีการเรียนรู้กับเจ้าเครื่องมืออิเลคโทนิคส์เหล่านี้ด้วย ไม่งั้นตามเพื่อนเขาไม่ทัน เพียงเเต่ว่าเราต้องเด็ดขาดในเรื่องของเวลาในการเล่น ถ้าบอก 1 ชั่วโมง ก็ต้องเป็นไปตามนั้น อย่าใจอ่อน.......
อ้ออออ...ที่สำคัญที่สุด...หลังจากวางระเบียบกฎเกณฑ์กับลูกน้อยของเราเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว อย่าลืมวางกฎระเบียบการเล่นอุปกรณ์เหล่านี้กับคู่ครองของเราด้วย บ้ากันไปใหญ่เเล้ว...พวกที่ชอบติด"ไลน์"ในตอนเเก่เนี่ยยยย!!!.......
ป้อง........
ภิกษุทั้งหลาย ! การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์
ย่อมมีได้ เพราะการประชุมพร้อมของสิ่ง ๓ อย่าง.
ในสัตว์โลกนี้ แม้มารดาและบิดาเป็นผู้อยู่ร่วมกัน
แต่มารดายังไม่ผ่านการมีระดู และคันธัพพะ (สัตว์ที่จะเข้าไป
ปฏิสนธิในครรภ์นั้น) ก็ยังไม่เข้าไปตั้งอยู่โดยเฉพาะด้วย
การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ ก็ยังมีขึ้นไม่ได้ก่อน.
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.
เรื่องโดย Nation TV
วันที่ 26 มกราคม 2558 18:11 น.18,018 views
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ และอดีตเลขาธิการนายกฯ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ เดินทางเข้าพบแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก แพทริค เมอร์ฟีย์ อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ตามคำเชิญในการพบปะผู้นำทางการเมือง ทุกกลุ่ม และตัวแทนจากฝ่ายรัฐบาล
นายสุรพงษ์ เปิดเผยว่า ทางอเมริกาได้พูดคุยสอบถามถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่ สนช.ลงมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งความจริงทางอเมริกาได้ติดตามข่าวคราวอยู่ตลอดทราบดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย เพียงแต่อยากฟังจากปาก จึงเล่าให้ฟังว่ามีที่มาที่ไปและมีขบวนการอย่างไร ยังหาตัวคนผิดไม่ได้ แต่ลงโทษคนกำกับนโยบายไปแล้ว เป็นกระบวนการถอดถอนที่สังคมโลกยอมรับไม่ได้
ซึ่งทางอเมริกาได้ถามถึงการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ว่าเป็นอย่างไร เราจึงตอบไปว่าการเขียนกติกาใหม่ชัดเจนว่าเขาต้องการล้มล้างพรรคของเรา อย่างที่เคยทำมาตลอด ซึ่ง น.ส. ยิ่งลักษณ์ คงมีชะตากรรมไม่ต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้เป็นพี่ชาย ซ้ำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเหมือนลอกแบบกันมา ต่อไปก็จะมีเหตุการณ์ทำนองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องรับผิดชอบ ชดใช้ อันนั้น อันนี้ ตามมา
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาได้แสดงความเป็นห่วงสิ่งที่เกิดขึ้น อดีตนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งต้องโดนถอดถอนจากคนที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่ได้มาตามครรลองประชาธิปไตย เรื่องนี้จะส่งผลกระทบแน่นอน
โดยเฉพาะความเชื่อมั่น การลงทุน ต่างชาติไม่กล้าคบค้าสมาคมด้วย เพราะถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้น อาจไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้สหรัฐอเมริกาเขามีหลักยึดที่มั่นคงคือ หลักประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน หลักความเท่าเทียม หลักกฎหมาย และบอกว่าความสัมพันธ์กับประเทศไทยจะดีขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นมาตรฐานสากลของโลก หรือ อินเตอร์เนชันแนลสแตนดาร์ด
นอกจากนี้นายแดเนียลยังสอบถามว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงบอกไปว่าคงต้องรอให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ คือการเขียนกติกาใหม่ที่มั่นใจว่าตัวเองจะชนะ ถึงมีการเลือกตั้ง แต่ถ้าเขียนออกมาแล้วประชาชนไม่ยอมรับก็เหนื่อยหน่อย เรื่องรัฐธรรมนูญที่ร่างกันอยู่ เราก็ให้ความเห็นไปว่า เขาเขียนกันไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ที่ทำกันอยู่ ไปรับฟังความเห็น เดินทางไปที่นั่นที่นี่ล้วนเป็นการจัดฉาก เล่นลิเกเท่านั้น
คำถาม
3. นายสองไปซื้อผ้าที่ร้านขายผ้าแห่งหนึ่ง ได้โฆษณาขายโดยอวดอ้างว่าเนื้อผ้าของร้านนี้รับรองไม่ยับไม่ย่น แล้วขยำผ้าให้ดูก็ปรากฏว่าไม่ยับจริง นายสองจึงซื้อผ้าไหมเพราะเชื่อคำอวดอ้างนั้น และนำมาตัดเสื้อใหม่ปรากฏว่าเมื่อนำมารีดเตารีดมีความร้อนสูง ทำให้ผ้าย่นเสียหายสวมใส่ไม่ได้จึงนำเสื้อผ้ามาให้ร้านขายผ้าดูว่าที่ทางร้านอ้างว่าไม่ยับไม่ย่นนั้นไม่จริง และจะขอเงินคืนบ้างเป็นบางส่วน เพราะต้องเสียเงินซื้อแพงเกินไป ดังนี้ ท่านว่าข้ออ้างของนายสองฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ปพพ. มาตรา ๑๕๙
การแสดงเจตนา เพราะถูก กลฉ้อฉล เป็นโมฆียะ
การถูก กลฉ้อฉล ที่จะ เป็นโมฆียะ ตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาด ซึ่งถ้า มิได้มี กลฉ้อฉล ดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้น คงจะมิได้ กระทำขึ้น
ถ้า คู่กรณีฝ่ายหนึ่ง แสดงเจตนา เพราะ ถูกกลฉ้อฉล โดย บุคคลภายนอก การแสดงเจตนา นั้น จะเป็นโมฆียะ ต่อเมื่อ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ได้รู้ หรือ ควรจะได้รู้ถึง กลฉ้อฉล นั้น
แนวตอบ
กรณีตามโจทย์ ป.พ.พ. ได้วางหลักฎหมายไว้ดังนี้
มาตรา 159 วรรคแรก วางหลักไว้ว่า การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
วรรคสอง วางหลักไว้ว่า การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น
วรรคสาม วางหลักไว้ว่า ถ้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก การแสดงเจตนานั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้น
จากข้อเท็จจริงตามโจทย์วินิจฉัยได้ว่า การที่คนขาย โฆษณาอวดอ้างคุณภาพของสินค้าว่าผ้าไม่ยับไม่ย่น ซึ่งถ้าการยืนยันความจริงแล้วปรากฏว่าไม่เป็นความจริงตามที่โฆษณาก็ถือว่าเป็นกลฉ้อฉล เพราะมีเจตนาหลอกให้นายสองหลงเชื่อจึงเข้าทำนิติกรรมซื้อผ้าไหมดังกล่าว แต่กรณีนี้ปรากฏว่าคนขายยืนยันรับรองเรื่องคุณภาพของผ้านั้นว่าไม่ยับไม่ย่น โดยการขยำให้นายสองดูว่าเป็นความจริงจึงไม่เป็นกลฉ้อฉล ตาม ป.พ.พ. 159 เพราะการที่ผ้ายับย่นนั้นเกิดจากการที่นายสองนำไปรีดด้วยความร้อนสูง จึงเป็นความผิดของนายสองเอง ดังนั้น นิติกรรมจึงสมบูรณ์ นายสองไม่สามารถเรียกค่าเสียหายใดๆจากผู้ขายหรือทางร้านขายผ้าได้
ด้วยเหตุผลที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นสรุปได้ว่า ข้ออ้างของนายสองฟังไม่ขึ้น เนื่องจากทางร้านมิได้หลอกลวงนายสองให้เข้าทำนิติกรรมเลยแต่อย่างใด การที่ผ้ายับย่นนั้นเป็นความผิดของนายสองเอง นายสองจึงไม่สามารถเรียกค่าเสียหายจากทางร้านได้
โมฆะ,โมฆียะ
โมฆะ กับ โมฆียะ เป็นคำกฎหมายที่คนส่วนใหญ่เคยได้ยิน แต่อาจยังสงสัยถึงความหมายและความแตกต่างของคำดังกล่าว ผู้เขียนขออธิบายง่าย ๆ ดังนี้ครับ
โมฆะ แปลว่า เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับหรือผูกพันตามกฎหมาย เช่น สัญญาเป็นโมฆะ และเมื่อกล่าวถึงคำ โมฆะ แล้ว ขออธิบายคำว่า โมฆกรรม ที่แปลว่า นิติกรรมที่เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับหรือผูกพันตามกฎหมาย ไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ และผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่ง จะยกความเสียเปล่าขึ้นกล่าวอ้างก็ได้ เช่น การที่บุคคลหนึ่งทำสัญญาซื้อขายยาบ้ากับบุคคลอื่น ซึ่งเป็นสัญญาที่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญานั้นตกเป็นโมฆะ
โมฆียะ แปลว่า ที่อาจเป็นโมฆะได้เมื่อมีการบอกล้าง หรือมีผลสมบูรณ์เมื่อมีการให้สัตยาบัน และเมื่อกล่าวถึง คำโมฆียะแล้ว ขออธิบายคำว่า โมฆียกรรม ที่แปลว่า นิติกรรมซึ่งอาจบอกล้าง เพิกถอน หรือให้สัตยาบันได้ ถ้าบอกล้างก็เป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ถ้าให้สัตยาบันก็มีผลสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก อธิบายเข้าใจง่าย ๆ คือ นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้น เป็นนิติกรรมที่กระทำโดยผู้มีสิทธิ์ แต่สิทธิ์นั้นยังไม่สมบูรณ์ อาจเป็นเพราะด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น ด้วยความอ่อนอายุ ด้วยความไร้ความสามารถตามคำสั่งศาล แต่อาจจะสมบูรณ์ได้โดยการให้สัตยาบัน ซึ่งก็คือการรับรองโดยผู้มีอำนาจ
เช่น การที่เด็กหรือผู้เยาว์ทำนิติกรรมซื้อขายทรัพย์สินเกินฐานานุรูปของตนเอง เป็นต้นว่า ไปทำสัญญาซื้อขายบ้าน หรือรถยนต์กับบุคคลภายนอก โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองของผู้เยาว์ก่อน สัญญาซื้อขายนั้นก็เป็นโมฆียกรรม ทั้งนี้ ถ้าผู้ปกครองให้สัตยาบันก็ถือว่านิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์มาตั้งแต่เริ่มแรก แต่ถ้าผู้ปกครองบอกล้างหรือไม่ให้สัตยาบัน นิติกรรมนั้นก็จะเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น ครับ
ความแตกต่างระหว่างโมฆะกรรมและโมฆียะกรรม
๑ โมฆะกรรมตุ้มครองส่วนได้เสียของประชาชน ส่วนโมฆียะกรรมคุ้มครองส่วนได้เสียของคู่กรณี
๒ โมฆะกรรมเป็นนิติกรรมที่เสียเปล่าใช้ไม่ได้มาแต่ต้น เสมือนมิได้ทำนิติกรรมนั้นขึ้นเลย ส่วนนิติกรรมที่เป็นโมฆียะใช้บังคับได้จนกว่าจะถูกบอกล้าง
๓ โมฆะกรรมไม่ต้องบอกล้าง เพราะเป็นโมฆะอยู่ในตัวแล้ว ส่วนโมฆียะกรรมต้องบอกล้างจึงจะตกเป็นโมฆะ ถ้ายังไม่บอกล้างยังไม่เป็นโมฆะ
๔ โมฆะกรรมนั้นผู้มีส่วนได้เสียทุกคนยกขึ้นกล่าวอ้างได้ ส่วนโมฆียะกรรมกฎหมายกำหนดบุคคลผู้มีสิทธิบอกล้างตามที่ระบุไว้ใน มาตรา ๑๗๕
๕ โมฆะกรรมให้สัตยาบันไม่ได้ ส่วนโมฆียะกรรมให้สัตยาบันได้
๖ โมฆะกรรมไม่มีกำหนดเวลายกขึ้นกล่าวอ้าง ส่วนโมฆียะกรรมมีกำหนดเวลาบอกล้าง ตามมาตรา ๑๘๑
๗ โมฆะกรรมเรียกคืนทรัพย์สินฐานลาภมิควรได้ ส่วนโมฆียะกรรมคู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา ๑๗๖
แม้อึดอัด แต่จะสงบนิ่ง! อัด ปชป.ซ้ำเติม บอกคนไทยหลายล้าน ตัด ปชป.จากใจ แล้วเช่นกัน
จาก นสพ.มติชน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. โพสต์เฟซบุ๊กว่า การถอดถอนที่เกิดขึ้นไม่ใช่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของใคร เพราะผลแพ้ชนะต้องเกิดขึ้นภายใต้กติกาที่เป็นธรรมและกระบวนการที่ชอบธรรมเป็นที่ยอมรับ ดังนั้นสิ่งนี้จึงเรียกว่าการไล่ล่าทำลายล้างทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้าม
หลายเดือนที่ผ่านมาท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายคงมากด้วยภารกิจ ไม่แน่ใจว่าจะมีเวลามองเห็นทุกภาพที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองหรือไม่ ผมจึงขอเสนอบางภาพที่มองเห็นจากการถอดถอนเผื่อท่านจะรับไว้พิจารณา ผมเห็นการเอาคนไปปรับทัศนคตินับพัน แต่ไม่มีการปรับทัศนคติคนที่ท่านเลือกไปทำงานใน"เรือแป๊ะ"เลย ทุกคนทุกอย่างยังเหมือนก่อนรัฐประหาร
ผมเห็นการประกาศสลายทุกสีเสื้อไม่ให้มีความขัดแย้ง แต่ไม่เห็นการสลายนกหวีดจากใจคนจำนวนมากในแม่น้ำ 5 สาย ผมเห็นคำสั่งห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมแม้แต่การประชุม ห้ามกลุ่มการเมืองต่างๆเคลื่อนไหว แต่มีคนใช้สภาฯเป็นที่สมคบคิด ล็อบบี้ และกระทำต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผย หลายคนคงอึดอัดอยากแสดงออกแต่ผมยืนยันว่าจะนิ่งไม่เคลื่อนไหว เพราะบางทีการอยู่ในอาการสงบเพื่อดูคนกลุ่มหนึ่งทำลายตัวเขาเองก็ถือเป็นการตอบโต้ที่เจ็บปวด
FollowFox Business on Facebook
Bangkok ranks last in economic performance in a new survey of 300 world cities by bank JPMorgan Chase and an American think tank.
A worker paints under war veteran statues during a renovation at Victory Monument in Bangkok, Jan 19. Bangkok ranks last in economic performance in a new survey of 300 world cities by bank JPMorgan Chase and an American think tank. (EPA photo)
Its economy "wrecked" by years of political strife, the capital saw real gross domestic product per capital fall 0.5% from 2013-14 and employment growth shrink 1.7% during the same time, the report by the bank and the Brookings Institution said. Bangkok ranks 259th out of 300 cities for economic performance between 2009 and 2014.
Thailand's dismal performance on the global ranking contrasted sharply with cities throughout the developing world - especially China - which dominated the top of the annual economic rankings. Macau, the Chinese territory known for casino gambling, outperformed the rest of the world to come in at No 1.
Macau has enjoyed a tourism boom, with gamblers coming to bet at more than 30 casinos, including the Venetian Macau, the world's largest.
Cities in wealthy, developed countries tended to lag behind. Though most of the cities surveyed around the world have recovered from the Great Recession, 65% of European and 57% of North American cities have not, according to the study, which ranks cities by growth in employment and in economic output per person.
Preparing for AEC
A construction site near the Malaysia landmark, Petronas twin tower (centre) in Kuala Lumpur, Malaysia, Jan 20. The Malaysian capital placed 19th on a economic-performance ranking of 300 cities by JPMorgan Chase and the Brookings Institution, posting 4.1% per-capita GDP growth from 2013-14 and 3.4% employment growth. (EPA photo)
The 10-country Association of Southeast Asian Nations region put in a respectable showing on the two organisations' rankings. Malaysia put two cities in the top 50 - Kuala Lumpur at No 19 and George Town at No 47 - while Ho Chi Minh City (23) and Jakarta (34) both outpacing Singapore, which came in 61st. Manila was the next Asean country to rank at 139th.
Bangkok brought up the rear at No 300, the only one of the Asean nations to post negative per-capita GDP and employment growth since 2013.
Inside China
Twenty-seven of the 50 top-performing cities were Chinese. Increasingly, strong growth occurred in the traditionally underdeveloped cities of China's interior, rather than its booming coastal cities. Land-locked Changsha, for instance, enjoyed economic growth per person of 8.6% last year and wound up No 15 in the overall rankings.
The coastal manufacturing powerhouse of Dongguan, next door to Hong Kong, registered per-capita economic growth of just 5.2% (unimpressive by Chinese standards) and finished No 70. Companies have begun to move inland as the cost of labour and land rises on the Chinese coast. And the Chinese government has invested heavily on infrastructure in the interior.
Big differences
Joseph Parilla, a Brookings research analyst who co-wrote the report, said he was surprised by the "incredible differentiation within what are considered monolithic economic blocs." Latin American cities, for instance, mostly sputtered. But Medellin, Colombia, and Lima, Peru, both broke into the top 50.
Cities in wealthy countries tended to perform poorly. But US and British cities showed improvement. Three US cities - Austin and Houston, Texas, and Raleigh, North Carolina - cracked the top 50. In the United Kingdom, London came in No 26, Manchester No 60.
Thai job seekers apply for jobs during a job fair at the Ministry of Labour in Bangkok Jan 19. Bangkok posted negative employment growth of 1.7% during 2013-14, helping it place last on a new survey of economic performance in 300 world cities. (EPA photo)
The United States and Britain have begun to pick up economic momentum five years after the recession ended.
"In developed economies like North America and western Europe, cities like London and Houston are flying high, while others like Rotterdam and Montreal are struggling," Mr Parilla said.
Commodities boom
The 18 cities worldwide that specialized in producing commodities such as oil registered the highest rates of growth in economic output per person (2.6%) and employment (1.9%).
"The recent rise in oil and gas production in North America partly explains the success of metropolitan areas like Calgary, Denver, Houston, and Tulsa, which are epicentres of the region's shale revolution," the report said.
Next year's rankings may be different. Oil prices have plunged to less than $48 a barrel from $107 a barrel last June, jeopardizing the prospects of cities that had been riding the energy boom.
Turkish delight
Four Turkish cities made the top 10: Izmir, Istanbul, Bursa and Ankara. Turkish cities boomed last year despite political unrest. "If you look at world headlines, Turkey is not in the news for its economic success, but it probably should be," Brookings' Mr Parilla says. "It has pretty solid macroeconomic policies."
Turkey benefits from its location at the boundary between Europe and Asia and from heavy investment in roads and other infrastructure projects, which creates jobs over the short term and is likely to make the economy more efficient over the long term.
ลูกทุ่งพันล้าน
|
|
ย้อนรอยเรื่องราวบนเส้นทางคนสู้ชีวิต "ประจวบ จำปาทอง" นายห้าง 100 ล้านผู้พลิกประวัติศาสตร์ลูกทุ่งไทยจากรายการ "ชุมทางคนเด่น" และเจ้าของครีมไข่มุกชื่อดัง
วงการบันเทิงบ้านเราต้องสูญเสียคนมีฝีมืออีกครั้งหลังมีงายงานว่า "ประจวบ จำปาทอง" หนึ่งในคนสำคัญของวงการเพลงลูกทุ่งได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 74 ปีเมื่อช่วงบ่ายของวันวานที่ผ่านมา
"ประจวบ จำปาทอง" ชื่อนี้ - นามสกุลนี้เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้นเคยเท่าใดนัก แต่สำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเชื่อว่าหลายคนจะต้องรู้จักกับชายคนนี้เป็นอย่างดีทั้งในบทบาทของนักร้อง โฆษกชื่อดังทางวิทยุ ที่สำคัญก็คือในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์เพื่อหน้าขาวยุคแรกๆ ที่มีชื่อว่า "กวนอิม" นั่นเอง
พลิกดูปูมประวัติกว่าจะกลายเป็น "นายห้าง 100 ล้าน" คนนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายและถือเป็นแบบเรียนของคนที่มีความมุ่งมั่นได้เป็นอย่างดี
"ประจวบ จำปาทอง" เกิดเมื่อพ.ศ.2483 ที่จังหวัดนครพนม เรียนที่โรงเรียนเทศบาลสองหนองแสง ในตัวจังหวัด ระหว่างที่เรียนอยู่เจ้าตัวได้รับรู้เรื่องราวความทันสมัยโอ่อ่าของเมืองที่ชื่อ "กรุงเทพ" จากเพื่อนๆ และคนใกล้ตัวทำให้เขามีความฝันอยากจะเข้ามาสัมผัสชีวิตในเมืองกรุงสักครั้ง แต่ฝันนั้นกลับถูกฏิเสธโดยพ่อ-แม่ของเขาที่ต้องการให้เขาตั้งใจเรียนเพื่อจะได้ไม่อดตาย
แต่ด้วยความรักกรุงเทพฯ จนขึ้นสมอง วันหนึ่งในปีพ.ศ.2497 เจ้าตัวในวัย 14 ปีจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเข้าสู่เมืองหลวงโดยมีเงินติดตัวเพียงไม่กี่สิบบาทและไม่รู้จักใครเลย พยามหางานอยู่หลายวันเพื่อหาเงินซื้อข้าวกินประทังชีวิตแต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าตัวจึงตัดสินใจเดินทางไปยัง จ.ชลบุรี ได้งานเป็นลูกจ้างทำโป๊ะได้เงินเดือนละ 100 บาทพอประทังชีวิต
จากนั้นชีวิตของเขาก็เริ่มดีขึ้นมานิดหลังได้ไปทำงานที่โรงโม่ ได้เงินเพิ่มเดืนละ 50 บาท ทำงานที่โรงโม่ไม่กี่เดือนพอมีเงินเก็บ เจ้าตัวก็ตัดสินใจมุ่งเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองในฝันอีกครั้ง คราวนี้โชคชะตาพาเขาไปเป็นจ็อคกี้ม้าแข่งที่คอกของ "อุดม ประพันธ์ทเสน" ก่อนยึดอาชีพนี้นานว่า 5 ปีเพราะรู้สึกสนุก ระหว่างนั้นเขาก็เข้าเรียนที่โรงเรียนไพศาลศิลป์ต่อด้วยวัดสุทัศน์ตามลำดับ
เก็บเงินจากการเป็นจ็อคกี้ได้ก้อนหนึ่งประจวบก็ตัดสินใจบินไปเสี่ยงโชคที่ญี่ปุ่นเพื่อเรียนต่อและหวังจะดูงานเกี่ยวกับเครื่องสำอางพร้อมตั้งความหวังของตนเองเอาไว้ว่าจะต้องเปิดร้านเป็นตัวเทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามให้ได้ แต่อยู่ที่ญี่ปุ่นได้แค่ 3 ปีเจ้าตัวก็ต้องกลับมาเมืองไทยเพราะเงินหมด ตอนนี้เองชีวิตของเขาก็เกิดความเคว้างคว้างอีกครั้ง
จากนั้นเจ้าตัวจึงได้ไปอยู่กับคณะลิเกของ "จันทร์แรม พยัคฆ์โส" และหวังจะเอาดีทางด้านนี้ก่อนได้รู้จักกับ "พร ภิรมย์" ที่กลายเป็นราชาเพลงแหล่ในเวลาต่อมา โดยช่วงที่เล่นลิเกอยู่นั้นหากมีเวลาว่างประจวบก็จะมาขายข้าวแกงอยู่ที่หลังวังบูรพาหารายได้อีกทาง ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าตัวก็ได้ติดตาม "พร ภิรมย์" ออกจากคณะลิเกไปร้องเพลงกับวงดนตรี "จุฬารัตน์" ของ "ครูมงคล อมาตยกุล" วงดนตรีลูกทุ่งชื่อดังในสมัยนั้่น
ร้องเพลงพร้อมเป็นโฆษกได้ไม่นานเจ้าตัวก็อยากจะเป็นนักจัดรายการวิทยุขึ้นมาจึงได้ไปเป็นโฆษกวิทยุจัดรายการเพลงที่สถานี "จ.ส." และที่นี่เองที่ทำให้เขาได้พบกับแฟนสาวที่ทำหน้าที่คอนโทรลเครื่องและได้กลายเป็นคู่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามแม้ทั้งสองจะมีความรักต่อกันแต่เส้นทางก็หาได้ราบรื่นไม่ เพราะต้องมาถูกทางญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงกีดกัน
ทั้งคู่ฟันฝ่าจนได้แต่งงานกันในที่สุด หลังมีครอบครัวประจวบยิ่งมีความมุมานะมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ต้องการให้ทางญาติภรรยาดูถูก โดยตั้งบริษัท "จำปาทอง" สั่งเครื่องสำอางจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย มีผลิตภัณฑ์ที่หลายคนรู้จัก อาทิ แป้งน้ำจำปาทอง, ครีมเชฟจากอเมริกา, น้ำหอมแห้ง เอเธนส์ รวมถึงครีมไข่มุกแก้สิวลอกฝ้าตรา "กวนอิม" อันลือลั่น
ขณะที่ลีลาการจัดรายการเพลงของขาก็เป็นที่ประทับใจของคนส่วนใหญ่จนชื่อเสียงเริ่มขจรไกล มีการเปิดค่ายเสกสรรค์เทปแผ่นเสียงขึ้น นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้พลิกประวัติศาสตร์วงการลูกทุ่งไทยหลังจัดประกวดร้องเพลง "ชุมทางคนเด่น" ออกทางช่อง 7 ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและสร้างนักร้องลูกทุ่งขึ้นมาประดับวงการมากมาย อาทิ พุ่มพวง ดวงจันทร์, ศิรินทรา นิยากร, สุนารี ราชสีมา ฯ
สำหรับผลงานเพลงในฐานะการเป็นนักร้องของเขานั้นมีอยู่หลายเพลงเช่นกัน อาทิ คอแห้งเป็นผง, คนเมา, น้ำตาโฆษก ฯ แต่ที่รู้จักกันมากก็คือเพลง สัปเหร่อ ทั้งนี้ศพของประจวบ จำปาทองนั้นจะตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดเทพศิรินทร์ (ศาลา 3) ตั้งแต่วันที่ 19 - 25 พฤศจิกายน 2557 จากนั้นทางญาติจะเก็บศพไว้ 100 วันก่อนทำพิธีต่อไป
หมายเหตุ : เรียบเรียงประวัติจาก "อนุทินคู่ชีวิตดารานักร้อง" เล่ม 3 ปีที่ 1 ฉบับพิเศษที่ 3 ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ.2514
20 ม.ค พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) - ผลการประชุมของพรรคนาซี ณ เบอร์ลิน เพื่อหาทางออกปัญหาชาวยิว นำไปสู่ปฏิบัติการการล้างชาติพันธุ์โดยนาซี (Holocaust)
มีการยิงทิ้ง
มีรมแก๊ส
มีเผาศพ
มีค่ายกักกัน
มีชุดนักโทษ
ยิวฉลาด ขยัน เป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นนายทุน แม้ไม่ใช่ญาติแต่ถ้าเป็นยิวด้วยกันก็ช่วยเหลือกันเอง ทำให้ชาวยิวส่วนใหญ่มีฐานะดีกว่าคนอื่น
เศรษฐกิจตกต่ำจนชาวเยอรมันอดอยาก แต่ชาวยิวกลับสุขสบาย ทำให้คนเยอรมันไม่พอใจ
แล้วตามในพระคัมภีร์ ชาวยิวเป็นคนฆ่าพระเยซู ทำให้คนในเยอรมันที่นับถือคริสต์แบบเคร่งจัดที่เกลียดยิวเป็นทุนเดิมพอถูกนาซีเสนอให้ยึดทรัพย์และฆ่ายิว คนเยอรมันที่เกลียดชังก็เห็นด้วยกันหมด
ไม่ใช่ว่านาซีเกลียดยิว แต่คนยุโรปตอนกลางกับตะวันออกก็เกลียดยิวกันเกือบหมด ข้อสังเกตคือพวกนี้นับถือคริสต์แบบเก่า
แผนที่จักรวรรดิเยอรมัน
สังเกตบริเวณสีเหลืองคือพื้นที่ของ ราชอาณาจักรปรัสเซีย มีเมืองหลวงคือ เบอร์ลิน
พื้นที่สีเขียวอ่อนทางใต้คือ ราชอาณาจักรบาวาเรีย เมืองหลวงคือ มิวนิค
พื้นที่สีฟ้าคือ ราชอาณาจักรแซกโซนี
สีเลือดหมูทางใต้คือ ราชอาณาจักรเวิร์ตเทมเบิร์ก
ทุกราชอาณาจักรรวมกันเป็น จักรวรรดิเยอรมัน โดยบิสมาร์กสถาปนาให้ กษัตริย์ของปรัสเซีย เป็นไกเซอร์หรือจักรพรรดิของเยอรมันทั้งจักรวรรดิเหนือกว่ากษัตริย์ราชอาณาจักรอื่นทั้งปวง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไกเซอร์วินแฮมกษัตริย์เยอรมันผู้พ่ายสงครามร่ำไห้กับความพ่ายแพ้
มีผู้คนที่ไม่แน่ใจในตัวพระองค์ พระองค์เป็นสมุติเทพแต่แพ้สงครามได้อย่างไร
ตอนนี้เริ่มมีข่าวการก่อกบฏตามเมืองต่างๆ ไกเซอร์ไม่รอช้าเรียกตัวลูกชายและนายทหารกลับมาจากแนวรบเพื่อรับมือในทันที
รูปองค์ไกเซอร์กับนายทหาร
คิงจอร์จที่ 5 กษัตริย์แห่งอังกฤษได้เขียนบันทึกที่วังบักกิ้งแฮมวันที่ 8 พฤษจิกายน ว่า
"เช้านี้คณะทูตเยอรมันถือธงขาวมาเข้าเฝ้า ฟ๊อกกับโรซี่ เวมิสส์รอต้อนรับอ่านเงื่อนไขอ่านสัญญาหยุดยิง
ให้คณะทูตได้ทราบ ได้รับคำขาด 72 ชั่วโมงที่จะปฎิเสธหรือยอมรับ เห็นได้ชัดว่าการปฏิวัติเกิดขึ้นแล้วในหลายเขตในเยอรมันนี"
(Rain in the morning RA GV/GVD/1918:November)ใครมีโอกาสไปที่วังบักกิ้งแฮมลองขออนุญาตอ่านดูนะครับ
ในสัปดาห์ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในของปรัสเซีย วิเฮล์ม ดรูว์ส เดินทางไปยังเมืองสปา รับคำสังจากมักซ์
ฟอน บาเดน ให้อ้อนวอนไกเซอร์สละราชสมบัติ ไกเซอร์แจ้งแก่ดรูว่าไม่มีเจตนาคอมย้อมรับข้อเรียกร้องของพวกยิวและคนงานสังคมนิยม
(หมายถึงคอมมิวนิสต์) จากนั้นพระองค์เชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่ากองทัพของพระองค์กำลังเดินทางกลับเบอร์ลินต้องมาจัดการพวกยิวได้แน่ๆ
. ถูกแทงข้างหลัง
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1919 สมาชิกรัฐสภาไวมาร์ได้แต่งตั้งชุด Untersuchungsausschuß für Schuldfragen ขึ้นเพื่อสืบหาสาเหตุของสงครามโลกและปัจจัยที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ในวันที่ 18 พฤศจิกายน จอมพลฮินเดนเบิร์กได้ให้การยืนยันต่อหน้าคณะกรรมการของรัฐสภา และได้มีการกล่าวอ้างถึงบทความ Neue Zürcher Zeitung ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นการสรุปบทความสองบทความก่อนหน้านั้นในเดย์ลี่ เมล์ ที่เขียนโดยนายพลชาวอังกฤษ เฟรเดอริก บาร์ตัน เมาไรซ์ ด้วยประโยคที่ว่า กองทัพเยอรมันถูก "แทงข้างหลังโดยพลเมืองชาวเยอรมันเอง" (เมาไรซ์ปฏิเสธในภายหลังว่าเขาไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดนี้แต่อย่างใด) การให้ปากคำของฮินเดนเบิร์กนี้เองที่ทำให้แนวคิดดังกล่าวแพร่กระจายไปกว้างขวางในเยอรมนีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
แน่นอนว่ามีการสืบหามูลเหตุที่แพ้สงครามเยอรมันชาติแห่งนักรบแพ้สงครามได้อย่างไร หวยตกไปที่ยิวครับเพราะมีการสืบสาวรามเรื่องแล้วพบว่าไม่ใช่แค่เยอรมันหรอกที่เกลียดยิว อังกฤษก็เกลียด เพราะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ยิวเยอรมันเอาอาวุธมาขายให้ยิวอังกฤษ และยิวอังกฤษก็เอาอาหารและสินค้าควบคุมขายให้ยิวเยอรมัน(เช่นสารตั้งต้นวัตถุระเบิด) พอมีคนท้วงพวกยิวก็บอกว่ายิวไม่เกี่ยวจะรบก็รบกันไปยิวจะค้าขายกัน ทำให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทุกฝ่ายล่มจมหมดเงินไปกับสงครามเป็นจำนวนมากแต่ว่ายิวกลับร่ำรวยเพราะสงคราม!!!
ภาพประกอบจากไปรษณียบัตรออสเตรีย ค.ศ. 1919 เป็นภาพล้อยิวกำลังแทงทหารเยอรมันทางด้านหลังด้วยมีด การยอมจำนนถูกกล่าวโทษแก่ประชาชนที่ไม่รักชาติ พวกสังคมนิยม พวกบอลเชวิค สาธารณรัฐไวมาร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิว ยิวถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติรักแผ่นดิน
ประมาณว่าเปิดประตูให้ข้าศึกประมาณนั้นแหละครับ
ชาวยิวถึงกะร้องเหยดดดดดดด งานงอกละตูทำไมหวยถึงออกมาในรูปแบบนี้ได้ละ ยิวเลยออกใบปลิวขึ้นมาสู้ข้อกล่าวหาว่ามี"ทหารยิว 12,000 นายเสียชีวิตในสมรภูมิเกียรติยศเพื่อปิตุภูมิ" ใบปลิวซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1920 โดยทหารผ่านศึกยิวเยอรมัน ตอบโต้การกล่าวหาการขาดความรักชาติ
แต่ก็ไม่นำพาชาวเยอรมันแท้ซักเท่าใดรักเพราะเขาตายกันเป้นล้านแต่ยิวตายแต่ 1,2000 นาย มันน้อยไปไหม มีการกล่าวหาว่าชาวยิว
ใช้เงินยัดใต้โต๊ะเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปรบในสงคราม ส่วนยิวที่ไปคือพวกยิวจนๆ
ความรู้สึกเกลียดชังยิวทวีความรุนแรงขึ้นโดย สาธารณรัฐโซเวียตบาวาเรีย รัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ปกครองนครมิวนิกนานสองสัปดาห์ก่อนจะถูกปราบโดย ทหารอาสาสมัครไฟรคอร์พส์ ผู้นำสาธารณรัฐโซเวียตบาวาเรียจำนวนมากเป็นยิว ทำให้นักโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านยิวเชื่อมโยงยิวเข้ากับคอมมิวนิสต์ (และดังนั้นจึงเป็นกบฏ)
มีเพื่อนสมาชิกถามผมว่าแล้วทำไมไม่ไปจัดการกับตัวการใหญ่ละ จัดการแน่นอนครับ ชาวยิวในประเด็นความพ่ายแพ้ของเยอรมนีนั้นส่วนใหญ่ตกอยู่กับบุคคลที่มีชื่อเสียง อย่าง คุร์ท ไอซเนอร์ ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ผู้อาศัยอยู่ในนครมิวนิก เขาได้เกี่ยวกับสงครามซึ่งผิดกฎหมายนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1916 เป็นต้นมา นอกจากนี้เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในการปฏิวัติ จนกระทั่เขาถูกลอบสังหารในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 สาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้การนำของฟรีดริช อีเบิร์ต
เมื่อตัวการถูกสังการแล้วทำไมยังไม่จบ
สุจิตต์ วงษ์เทศ: แต่จากใจคนยังไงก็ไม่จาง .... มติชนออนไลน์
ถกเถียงทักท้วงถอดถอน
ร้อนร้อนการเมืองล้วนล้วนไล่
จากตำแหน่งไม่ยากสักเท่าใด
แต่จากใจคนยังไงก็ไม่จาง
..........................................................................................................................
ความทุกข์ของเทวดาและมนุษย์ตามธรรมชาติ
ทิ้งเสียนั่นแหละ กลับจะเป็นประโยชน์
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.
“วรงค์” ฉะ ลิ่วล้อ “ปู” โกหกตามถนัด บิดเบือนคำถาม สนช.
(18 ม.ค.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่อดีต รมต. พรรคเพื่อไทย จัดทำคลิปตอบ 35 คำถามที่สมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) ถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในระหว่างการซักถามคดีถอดถอนในสภา ว่า ตนเข้าใจว่าคงต้องการตอบคำถามแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งจากข้อมูลที่อ่านทั้งคำถามและคำตอบรู้สึกแปลกใจทั้งในคำถามและคำตอบ เพราะบางคำถามเป็นคำถามที่ สนช. ไม่น่าถาม และบางคำถามเหมือนกับ สนช. ชงให้แบบฮั้วกัน บางคำถามรู้สึกว่า สนช. ติดลบ แต่ก็ปรากฏเป็นคำถาม ซึ่งเท่าที่ดูจาก 35 คำถามมีข้อสังเกตุหลายประเด็น เช่น การตอบคำถามในคลิปมีเพียง 30 คำถาม ไม่ใช่ 35 คำถามที่จั่วหัวไว้ คำถามที่แหลมคมไม่ถูกนำมาตอบ เช่น คำถาม “กรณีคุณกิตติรัตน์เคยแถลงความเสียหายมากกว่า 60,000 ล้านบาท กรณีผู้มาซื้อข้าวคือ ผู้ช่วย ส.ส. พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นภรรยาของนักการเมืองพรรคเพื่อไทย และที่สำคัญคำถามเกี่ยวกับการทุจริตจำนวนหลายข้อ ไม่ถูกนำมาตอบ
นพ.วรงค์ กล่าวว่า การตั้งคำถามเป็นการตั้งชงขึ้นมาเอง ตามที่ตนเองต้องการตอบ ส่วนใหญ่จะอยู่ในชุดที่นายนิวัฒน์ธำรง ตอบ เช่น ชื่อโครงการมีที่มาที่ไปอย่างไรและทำไมพรรคเพื่อไทยถึงเลือกโครงการรับจำนำ ข้าวมาหาเสียงและปฏิบัติ และอีกหลายๆ คำถาม จากการตรวจสอบ 35 คำถามที่ สนช. ถาม ไม่มีคำถามเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามบิดเบือน เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อ สนช. ว่า ตั้งคำถามนี้มาได้อย่างไร เช่น โครงการรับจำนำข้าวแต่ละปีรัฐบาลต้องเอาข้าวไปทิ้งทะเลทราบถึงความสูญเปล่า และสูญเสียที่เกิดขึ้นข้างต้นหรือไม่ ซึ่งในข้อเท็จจริงเราไม่เคยได้ยินเรื่องการนำข้าวไปทิ้งทะเล แต่มีการตั้งเป็นคำถาม และลักษณะการตอบเป็นการตอบไม่ตรงประเด็น ตอบแบบอยากจะตอบแต่ไม่สนใจคำถาม โดยเฉพาะการตอบของนา ยยรรยง พวงราช เป็นการถามช้างตอบม้า ไปไหนมาสามวาสองศอก ที่สำคัญการตอบคำถามเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เช่นกรณีการตอบว่า จีทูจีไม่พบการกระทำผิดทุจริตใดๆ หรือการกล่าวว่าการยกเลิกโครงการต้องไปขออนุมัติรัฐสภาในการยกเลิก รวมทั้งการรับจำนำไม่ได้ทำลายกลไกตลาด เหล่านี้ เป็นต้น
“สิ่งเหล่านี้เป็นการสะท้อนแนวทางถนัดของคนจากพรรคเพื่อไทย ที่โกหกและบิดเบือนข้อเท็จจริงจนวาระสุดท้าย แม้จะมีตำแหน่งถึงอดีตรัฐมนตรี เอาจุดอ่อนของคนไทยที่อ่านไม่ละเอียดมาหาประโยชน์ และยิ่งเป็นการสะท้อนถึงการไม่สำนึกผิดของคนเหล่านี้ สิ่งที่สนช.ต้องทำคือการไปตรวจสอบคำถามและคำตอบที่ทางอดีตรัฐมนตรีเผยแพร่ ท่านจะได้รับรู้ด้วยตัวท่านเองถึงการบิดเบือนต่างๆ และบางคำถามถึงขนาดทำให้เสียเกียรติภูมิของท่าน สนช. ท่าน สนช. ยังคิดจะปรองดองกับคนที่บิดเบือนและไม่สำนึกอีกหรือ” นพ.วรงค์ กล่าว
เมืองบ้านวัดโรงเรียน
บ้างซ่อนแอบแนบเนียนมหาศาล
แหล่งคนดีมีบุญบริวาร
เบียดบังทรัพย์ชาวบ้านแล้วลอยนวล
สุจิตต์วงษ์เทศ
ศุกร์16มกราคม 2558
จากคุณ ไท ประชาทอลค์ 18/1/58
‘ บิ๊กข้าราชการ-นักการเมือง ’ ตัวการใหญ่..!! * แฉขบวนการค้าของเถื่อนนับวันยิ่งทรงอิทธิพลอย่างน่าสะพรึงกลัว * รัฐยิ่งปราบก็ยิ่งทำให้ขบวนการนี้โตแล้วแตก * เบื้องหลัง ‘มือปราบ’ เจอตอ ‘บิ๊กข้าราชการ-นักการเมืองระดับชาติ’ ตัวการใหญ่! * สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศนับแสนล้าน * เผย 10 เส้นทางลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษีทั่วประเทศ และ 5 สินค้าเถื่อนยอดฮิตถูกใจขาโจ๋…
“ของเถื่อน สินค้าหนีภาษี” คืออาชญากรรมทางเศรษฐกิจประเภทหนึ่งที่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโดย รวมของประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงที่ประเมินค่าความเสียหายไม่ได้แต่มีการ ประเมินกันคร่าวๆ ตัวเลขความเสียหายมากนับแสนล้านบาท และธุรกิจของเถื่อนหรือสินค้าหนีภาษีส่วนใหญ่จะระบาดหนักช่วงภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำ รวมถึงเมื่อรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีอากรต่างๆ เพราะทำให้ราคาสินค้าต้องปรับสูงขึ้นจากภาษีอากรที่ปรับขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าติดอากรแสตมป์กับสินค้าหนีภาษีจะมีราคาต่างกันมาก หรือต่างกันเกือบ 50% เหล้าเถื่อน เบียร์เถื่อนและบุหรี่เถื่อน ดูเหมือนจะเป็นสินค้นยอดฮิตติดอันดับต้นๆ ที่นิยมลักลอบหนีภาษีกันมาก รองจากน้ำมันเถื่อนซึ่งได้ขยับขึ้นมาติดอันดับแรกในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา เพราะราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2 เท่า ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงมีการปรับขึ้นภาษีสรรพาสามิตด้วย
แหล่งข่าวในวงการตลาดมืดบอกว่า ความนิยมเหล้าเถื่อน เบียร์เถื่อนและบุหรี่เถื่อน อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งสินค้าทั้ง 3 ประเภทได้รับความนิยมจากนักดื่มคอทองแดง และพวกสิงห์อมควันทั้งหลาย เห็นได้จากสถิติไทยติดอันดับ 5 ของนักดื่มโลก ซึ่งหากย้อนกลับไปดูจะพบว่ายอดขายเหล้า เบียร์ มีมูลค่าตลาดรวมปีละนับแสนล้านบาท ไม่รวมบุหรี่ที่มีมูลค่ามากถึง 70,000 ล้านบาทต่อปี และมีอัตราขยายตัวทุกปีเฉลี่ยที่ปีละ 10-20% ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นใด ขณะเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะว่าทั้งเหล้า เบียร์ บุหรี่ เป็นสินค้าที่มีขนาดเล็ก ง่ายต่อการขนส่งและเปลี่ยนมือได้ง่าย แต่สามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จากส่วนต่างมากถึงเกือบ 50% ของมูลค่าการลงทุนในแต่ละครั้ง โดยเหล้ายี่ห้อดังที่นักดื่มนิยมดื่ม หากซื้อในราคาบวกภาษีอากร ราคาขวดละเกือบ 1,000 บาท แต่หากซื้อในตลาดมืด หรือหนีภาษี จะซื้อขายในราคาแค่ 500-600 บาทเท่านั้นต่ำกว่าราคาที่เสียภาษีถึง 400-500 บาท ซึ่งเป็นราคาที่มีกำไร เพราะต้นทุนเหล้าขวดละไม่เกิน 200 บาท “ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ หรือบุหรี่ ยี่ห้อที่ถูกลักลอบหนีภาษีล้วนเป็นยี่ห้อดังที่เห็นขายในท้องตลาดทั้งของไทย และของนำเข้า” คาดเหล้า-เบียร์ ชายแดนเกลื่อน ขานรับรัฐ-ปรับขึ้นภาษี การปรับขึ้นภาษีสรรพามิตรเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ทั้งสุราแช่ ประเภทเบียร์ และสุรากลั่นชนิดสุราขาว สุราผสม และสุราพิเศษ (บรั่นดี) โดยมีผลทันทีในเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 นั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนปรับลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาจำหน่ายสินค้าที่สูงขึ้นตามภาระต้นทุนด้านภาษี ทำให้แนวโน้มที่ประชาชนจะตัดสินใจชะลอหรือลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยลง ยังก่อให้เกิดปัญหาการผลิตและลักลอบนำเข้าสุราโดยไม่เสียภาษีมีแนว โน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งท้ายที่สุดอาจทำให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปรับ เพิ่มขึ้นได้ไม่เท่ากับที่คาดหวังไว้ให้เกิดรายได้ประมาณ 6,300 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นปัญหานี้จำเป็นที่ภาครัฐต้องระวังป้องกันไว้ด้วย ประกอบกับการที่ผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และร้านค้าต่างๆ มีการผลิตและสั่งซื้อสินค้าไว้ล่วงหน้าพอสมควร ภายหลังจากมีกระแสข่าวการปรับขึ้นภาษีออกมาก่อนล่วงหน้า ทำให้ผู้ประกอบการและร้านค้าสามารถแบกรับภาระภาษีที่ปรับขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากสต็อกที่เป็นต้นทุนเดิมหมดลงและจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นตามภาระ ภาษีใหม่ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ปริมาณจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คงจะต้องปรับลดลงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด ยิ่งปราบยิ่งโต หลายคนอาจจะแปลกใจว่ามีข่าวการจับกุมสินค้าหนีภาษีบ่อย ซึ่งการจับแต่ละครั้งจะได้สินค้าหลายประเภทจำนวนมากไม่ใช่แค่เหล้า เบียร์ บุหรี่เท่านั้น แต่ยังมีน้ำมัน เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา ซีดี เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ผลไม้ แม้แต่กระเทียมก็ยังมีการลักลอบหนีภาษี รวมถึงรถยนต์ยี่ห้อหรูก็เคยมีการจับกุม แต่ทำไมจับเท่าไหร่ก็ไม่หมดและส่วนใหญ่ที่จับได้ก็เป็นพ่อค้ากลุ่มก๊วนเดิมๆ ที่มีเส้นสายใหญ่โตเป็นแบล็คหนุนหลัง ที่ส่งส่วยให้กันเป็นทอดๆ “เฉพาะเหล้าเถื่อนมีการประเมินกันว่าลักลอบขนกันวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 ลัง ซึ่งจะมีการแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าหน้าที่ตามด่าน ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและของประเทศเพื่อนบ้านลังละ 100 บาท” นั่นเป็นเพราะพ่อค้ากลุ่มนี้มีคนหนุนหลังทำกันเป็นขบวนการแบ่งผล ประโยชน์กันอย่างลงตัว ตั้งแต่คนดูต้นทาง คนขนถ่ายสินค้า คนเคลียร์เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่และขบวนการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีนักการเมืองท้องถิ่นอยู่เบื้อง หลัง และหากมีปัญหาที่เคลียร์กันยาก เคลียร์ไม่จบ ก็จะมีการต่อสายตรงถึงนักการเมืองระดับชาติเพื่อเคลียร์ สุดท้ายเรื่องก็จบ และยังสามารถทำธุรกิจที่ท้าทายกฎหมายต่อไป “
นักการเมืองรุ่นเก่าหลายคนเคยเติบโตมาจากธุรกิจค้าของเถื่อนหรือหนี ภาษี พอร่ำรวยเงินทองก็นำเอามาเป็นทุนเข้าสู่ถนนการเมือง จากนั้นก็ฟอกตัวเอง โดยส่งต่อธุรกิจให้กับคนสนิทที่ไว้ใจ โดยตัวเองเปลี่ยนเป็นผู้สนับสนุน แต่ก็ยังรับส่วย ส่วนแบ่งผลประโยชน์อยู่ ดังนั้น กฎหมายจึงเอาผิดสาวไม่ถึงตัวการใหญ่” แหล่งข่าวยังบอกด้วยว่า เรื่องของเถื่อนของหนีภาษีเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาลและทำให้รัฐบาลสูญ เสียรายได้มาก ซึ่งมีการประเมินจากตัวเลขการจับกุมได้ว่า หากสินค้าที่จับได้ผ่านการเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รัฐจะเก็บภาษีอากร ศุลกากร สรรพกร สรรพสามิตและภาษีอื่นๆได้ไม่ต่ำกว่า 2 เท่าของภาษีที่เก็บได้ในปัจจุบัน ดังนั้น ฟันธงได้เลยว่าขบวนการพวกนี้ต้องมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องทั้ง สิ้น ซึ่งเป็นการคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ “เห็นขบวนการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีแล้ว ยังฉายภาพให้เห็นว่าทำไมทุกวันนี้จึงปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด ขณะเดียวกันยิ่งขยายใหญ่โตขึ้น เพราะพ่อค้าผู้ลักลอบจะยิ่งมั่นใจว่าทางสะดวกมีคนคุ้มครองดูแล”
จากการแถลงผลการจับกุมสินค้าหนีภาษีของสำนักงานสรรพสามิตภาค 9 ในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ โดยณารินี ตะล่อมสิน ที่ปรึกษา พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.กระทรวงการคลัง และสิรินุช พิศลยบุตร อธิบดีกรมสรรพาสามิต ระบุว่า สามารถดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดได้ 623 คดี เปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 13 ล้านบาท ประกอบด้วย บุหรี่ 30,369 ซอง สุราต่างประเทศ 3,179 ขวด น้ำมันเถื่อน 39,640 ลิตร และ เครื่องปรับอากาศ 20 ชุด และแบตเตอรี่ อีก 194 ชุด ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้มงวดเรื่องการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนมาก ขึ้น เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันของไทยที่มีส่วนต่าง แพงกว่าน้ำมันในมาเลเซีย ส่งผลให้มีการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนจากประเทศมาเลเซียมาก จังหวัดชายแดนไทย-เพื่อนบ้าน แหล่งลักลอบของหนีภาษี สำหรับเส้นทางลักลอบส่วนใหญ่มาจากด้านชายแดนมากกว่า 10 แห่งรอบประเทศ ทั้งภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือไล่มาตั้งแต่ ภาคเหนือพื้นที่มีการลักลอบสินค้ามากที่สุด ได้แก่ ด่านแม่สาย จังหวัดเชียงราย และ ด่านแม่สอด จังหวัดตาก เพราะมีพรมแดนติดกับประเทศจีน จึงทำให้การลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษีทำได้ง่าย
เนื่องจากความต้องการสินค้าราคาถูกของผู้ประกอบการ และผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะสินค้าราคาถูก ทั้งประเภทการเกษตร, อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ขนมคบเคี้ยวและสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ภาคอีสาน พบมากในจังหวัดที่ติดชายแดนประเทศ จีน เวียดนาม ลาว (ร้านค้าปลอดภาษี) ได้แก่ หนองคาย มุกดาหาร นครพนม สุรินทร์ ผ่านด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว มีทั้งสินค้าลักลอบหนีภาษี ของปลอม และละเมิดลิขสิทธิ์ ส่วนใหญ่ มีตั้งแต่ สุรา เบียร์ บุหรี่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป บุหรี่ โทรศัพท์มือถือ ในรูปแบบกองทัพมด และซุกซ่อนไว้ที่บริเวณที่นั่งของผู้โดยสารที่ไม่มีผู้ใดนั่งอยู่ หรือบรรจุในถุงพลาสติกแล้ววางปะปนมากับสัมภาระผู้โดยสารใต้ท้องรถ ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัด จันทบุรี ตราด ชลบุรี เป็นแหล่งลักลอบสินค้าทางเรือจากประเทศเวียดนาม สิงคโปร์ รวมทั้งปราจีนบุรี สระแก้ว อรัญประเทศ โดยเฉพาะตลาดโรงเกลือ ซึ่งมีชายแดนติดกัมพูชา สินค้าส่วนใหญ่มีทั้งของปลอมและของลักลอบจำพวก เหล้า บุหรี่ ผ่านร้านค้าปลอดภาษี โดยมักซ่อนสินค้าลักลอบมาในรถเข็น หรือ จ้างนักท่องเที่ยวเป็นผู้ขนสินค้า ภาคใต้ จังหวัดที่มีการลักลอบสินค้าหนีภาษีเป็นจำนวนมาก ต้องยกให้ที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และจังหวัด สตูล โดยสินค้าส่วนใหญ่มาจากเกาะลังกาวี ผ่านเส้นทางด่านปาดังเบซาร์-หาดใหญ่ไปกรุงเทพฯ โดยใช้รถบรรทุกหกล้อหรือรถบรรทุกสิบล้อขนส่ง สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเสียง รถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมาจากมาเลเซียโดยเฉพาะรถเบนซ์ซึ่งพบเห็นทั่วไปในสวนยาง ค่ายทหาร รถจักรยานยนต์ สินค้าประเภทผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล
เผยวิธีลักลอบหนีภาษี กองทัพมดยันระดับชาติ ตามด่านชายแดนและท่าเรือที่เป็นแหล่งลักลอบนำเข้าเหล้าเถื่อนที่ สำคัญ มีวิธีการลักลอบนำเข้าประเทศ 3 วิธีหลัก ประกอบด้วย 1. การลักลอบโดยรายใหญ่ลักษณะนี้ต้องมีเส้นสายหรือทำกันเป็นขบวนการระดับชาติ เพราะต้องขนกันทีเป็นร้อยๆ ลัง แต่วิธีการนี้นานๆ จะมีสักครั้ง แต่ครั้งหนึ่งก็คุ้มทุน ด่านชายแดนที่ขบวนการประเภทนี้นิยมใช้เป็นช่องทางลักลอบนำเข้าสุรา คือด่านที่ติดทะเล เช่น จ.ตราด จ.สตูล และจ.ชลบุรี ขบวนการนี้จะขนส่งเหล้า เบียร์กันด้วยเรือเร็ว และส่วนใหญ่จะทำกันในเวลากลางคืน เมื่อเข้าถึงฝั่งแล้วจะมีรถกระบะมารับอีกทอดหนึ่ง ก่อนส่งสินค้าไปยังร้านค้าส่งต่างๆ หรือ “ซัปพลายเออร์” เพื่อนำไปกระจายต่อ ส่วนเหล้าเถื่อนที่เหลือจะถูกส่งตรงไปยังสถานบันเทิงขนาดใหญ่ที่ต้องการ เหล้านอกราคาแพงแต่ต้นทุนต่ำ 2.ขบวนการประเภทนี้ไม่ต้องใช้เส้นสายมากนักเป็นของรายย่อย เนื่องจากจำนวนเหล้าเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามีไม่มาก แต่จะใช้การขนส่งแบบ “กองทัพมด” ลำเลียงกันเข้ามา โดยด่านชายแดนที่นิยมมากเป็นอันดับต้นๆ อยู่ทางภาคใต้ โดยเฉพาะเขตพื้นที่ที่ติดต่อกับ 'โนแมนส์แลนด์' วิธีการของกองทัพมดจะใช้วิธีแบกเหล้าเถื่อนข้ามกำแพง หรือข้ามแม่น้ำที่เป็นเส้นกั้นเขตแดนเท่านั้น ส่วนอีกวิธีคือฝากขึ้นรถทัวร์หรือรถนำเที่ยวที่เข้ามา ข้อเสียและข้อจำกัดของขบวนการขนแบบนี้คือต้องเสี่ยงดวง เพราะหลายด่านจะมีสายสืบนั่งดักอยู่หน้าร้านค้าปลอดภาษี หรือ 'ดิวตี้ฟรี' ในประเทศเพื่อนบ้าน หากพบเห็นพฤติกรรมที่ผิดสังเกต ก็จะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านชายแดนฝั่งไทยจับกุมทันที
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ยังมีหลุดรอดเข้ามาได้ด้วยวิธีพิเศษต่างๆ 3.ลักลอบเป็นรายบุคคล การขนลักษณะนี้เป็นการ “ลอดช่องกฎหมาย” เพราะกฎหมายอนุญาตให้ทุกคนก็มีสิทธิถือสุราเข้าประเทศได้คนละขวด แต่ถ้าเป็นด่านตามแนวชายแดนจะมีรายการ 'ขอ' จาก 1 ขวดเป็น 2 ขวดบ้าง ซึ่งวิธีการนี้ไม่ถือว่าเป็นพวกขนมาเพื่อการค้า ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่เข้มงวดมากนัก แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จะเข้มงวดเป็นรายยี่ห้อ หากบริษัทเหล้ายี่ห้อใดไม่ให้เงินพิเศษ ก็มักไม่ค่อยกวดขัน แต่เหล้ายี่ห้อดังที่ขายดีและมีเงินพิเศษหว่านให้เจ้าหน้าที่ ก็จะเข้มงวดมากกว่าปกติ มักไม่ยอมให้ผ่านง่ายๆ หรืออย่างน้อยต้องเปิดฝากันต่อหน้าถึงจะผ่านได้ “เมื่อก่อนบริษัทเหล้านอกยี่ห้อดังพยายามสกัดไม่ให้เหล้าเถื่อน ยี่ห้อเดียวกันทะลักเข้ามา เพราะกลัวจะแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศ จึงใช้วิธีตั้งสินบนนำจับให้กับเจ้าหน้าที่ แต่หลังจากรัฐบาลปรับภาษีเหล้าจนชนเพดาน ทำให้เหล้ายี่ห้อแพงยอดขายตก จึงปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ คือปล่อยให้เหล้าเถื่อนเข้าประเทศ เพราะอย่างไรเสียรายได้ก็ตกอยู่กับบริษัทผู้ผลิตรายเดียวกันอยู่ดี และยังเป็นการรักษาความภักดีต่อแบรนด์ของลูกค้า ดีกว่าปล่อยให้เจ้าอื่นมาแย่งลูกค้าไป” **********
รัฐรีดภาษีบาป ดันสินค้าเถื่อนทะลักแถบใต้ เกาะติดชะตากรรรมสินค้าหนีภาษีชายแดนใต้ หลังรัฐรีดภาษีบาปเพิ่ม ระลอกแรก ดันบุหรี่นอก 1 ใน 5 สินค้าฮิต ฉวยโอกาสจากช่องว่างทางด้านราคาปรับราคาตาม ดันสินค้าหนีภาษีทะลักเข้าประเทศครั้งใหญ่ หลังจากภาครัฐเก็บภาษี บุหรี่ สุรา และน้ำมัน เพิ่มขึ้นนั้น ได้ส่งผลต่อภาพรวมสินค้าหนีภาษีในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวกับผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ว่า ร้านขายสินค้าหนีภาษีในอำเภอหาดใหญ่จะกลับมาคึกคักอีก เพราะเมื่อรัฐขึ้นภาษีจะทำให้สินค้าหนีภาษีกลับมาได้รับความนิยมทุกครั้ง รวมถึงจะมีการกักตุนสินค้าหนีภาษีที่ลักลอบเข้ามาทางด้านชายแดน ด่านปาดังเบซาร์ ด่านสะเดา ด่านคลองแงะมาฝั่งไทย โดยการลำเลียงสินค้าในปัจจุบันมีการเปลี่ยนรูปแบบจากกองทัพมดรถกระบะ 7-8 คันมาเป็น ขนส่งด้วยรถห้องเย็น 10 ล้อ ที่สามารถขนสินค้าได้จำนวนมากกว่าเดิม รวมทั้งพ่อค้าฝั่งมาเลย์ เปลี่ยนระบบการขาย โดยอำนวยความสะดวกให้ร้านค้าหนีภาษีฝั่งไทย โทรสั่งออเดอร์สินค้าได้ พร้อมเสียค่ารายการผ่านด่านให้เสร็จสรรพ
หลังจากนั้นจะมีพ่อค้าฝั่งไทยที่เป็นหุ้นส่วนเป็นผู้เก็บเงินที่ปลายทาง ฉวยจังหวะภาษีพุ่ง ขึ้นราคาบุหรี่เถื่อน ทันทีที่มีข่าวคราวรัฐจะขอเก็บภาษีเพิ่มขึ้นของ สินค้าประเภท บุหรี่ เหล้า เบียร์นั้น ไม่เพียงสร้างปัญหาให้มีการกักตุนสินค้าจากร้านค้าที่ขายสินค้าตามรายการที่ จะมีการขึ้นภาษี ทว่าการขึ้นภาษี ก็ส่งผลกระทบต่อราคาขายบุหรี่หนีภาษีราคาถูกที่วางขายอยู่ในอำเภอหาดใหญ่ เช่นกัน ว่ากันว่า พ่อค้าแม่ค้าบุหรี่ต่างประเทศปลอดภาษีก็ใช้โอกาสนี้ บวกราคาขึ้นไปอีก โดยบุหรี่ยี่ห้อ RAVE ของมาเลเซีย จากราคาเดิมขาย 150 ต่อแถว ขึ้นราคาเป็นแถวละ 190 ทันที ขณะเดียวกัน ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ ได้ตรวจสอบถึงผลกระทบและแนวโน้มที่ของการขึ้นภาษีครั้งนี้ รวมทั้งการฉวยโอกาสบวกกำไรเพิ่มขึ้นไปอีก พบว่า ภาษีบุหรี่ที่เพิ่มขึ้นทำให้บุหรี่ต่างประเทศที่นำเข้าจากมาเลเซียได้ยิ่ง รับความนิยมมากขึ้น ความเห็นของแหล่งข่าวผู้ที่ซื้อสินค้าประจำจากในอำเภอหาดใหญ่ กล่าวว่า แม้จะมีการฉวยโอกาสบวกกำไรเพิ่มขึ้นไปอีก แต่การสินค้าปลอดภาษีนี้ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดียิ่ง สำหรับเศรษฐกิจในยุคนี้ หากเปรียบเทียบราคากันแล้วมีความแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อบุหรี่ไทยขึ้นราคาก็ทำให้สิงห์อมควันที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของบุหรี่ ไทยอย่าง กรองทิพย์ และสายฝน เปลี่ยนพฤติกรรมหันไปซื้อบุหรี่นำเข้าจากประเทศมาเลเซียแทนยี่ห้อโปรดที่เคย ซื้อประจำ เนื่องจากสู้ราคาไม่ไหว อีกทั้งยังมีความสะดวกในการซื้อโดยสามารถหาซื้อได้จากร้านค้าปลอดภาษีทั่วไป ในหาดใหญ่ ช่องว่างด้านราคา โอกาสหนีภาษีทะลัก เหตุผลหลักๆที่ทำให้สินค้าที่ลักลอบนำเข้ามาแบบปลอดภาษีทะลักเข้ามา เพราะได้รับความนิยม นั่นเห็นจะเป็นเพราะจุดเด่นทางด้าน 'ราคา' ที่มาจากช่องว่างราคาระหว่างสินค้านำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย กับสินค้าที่ลักลอบห่างกัน ตัวอย่างกรณี สุรายี่ห้อจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ก เลเบิล นับว่าเป็นยี่ห้อที่นิยมกันมากที่สุด เพราะมีราคาถูกกว่ากันมาก โดยเฉพาะราคาขายของขนาด 1 ลิตร ราคาขายติดอากรจำหน่ายขวดละ 1,220 บาท ขณะที่ราคาปลอดภาษีที่ขายกันอยู่ที่ประมาณ 650 บาท ส่วนน้ำมันพืชที่มีการลักลอบน้ำมันปาล์มเถื่อน ในบรรจุภัณฑ์แบบถุง นำเข้าจากประเทศมาเลเซียนั้น มีราคาถูกกว่าน้ำมัน ปาล์มที่ผลิตในประเทศมาก
แหล่งข่าวในอำเภอหาดใหญ่กล่าวว่า เแทบจะทุกๆ ครัวเรือนและธุรกิจอาหาร ส่วนใหญ่จะซื้อมาใช้เพราะราคาต่างกันโดยเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันปาล์มใน ประเทศขายในราคา 38 บาทต่อขวดขนาด 1 ลิตร ขณะที่น้ำมันพืชจากมาเลเซียมีราคาลิตรละประมาณเกือบ 18-20 บาทเท่านั้น ทางด้านเบียร์แบรนด์ดังที่มีขายในชายแดนภาคใต้ แม้จะมีจุดเด่นทางด้านราคาเช่นเดียวกับ เหล้า และบุหรี่ก็ตาม ทว่า เบียร์ที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซียนั้น ไม่สามารถเอาชนะเบียร์ที่ผลิตในประเทศ นั่นเพราะจุดขายเบียร์ไทย มีรสชาติถูกคอคนไทยมากกว่า ประกอบกับมีช่องว่างทางด้านราคาที่ไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาการลักลอบนำเข้าเบียร์ โดยตลาดเบียร์ไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยจากตัวเลขปี 2548 มูลค่าตลาดเบียร์ 8.2 พันล้าน เติบโตขึ้นไปโดยในปี 2551 มีมูลค่าตลาดประมาณ 1.2 แสนล้านบาทแบ่งเป็นเบียร์ระดับพรีเมียม 7% สแตนดาร์ด 10% และอีโคโนมี 83% ขณะเดียวกัน ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ ได้ตรวจสอบถึงแนวโน้ม การลักลอบเติมน้ำมันรถจากประเทศมาเลเซีย ที่เคยได้รับความนิยมกันมากในชายแดนทางภาคใต้เมื่อ 2-3 ปีก่อนที่มีการนำแกลลอนไปเติมน้ำมันจากประเทศมาเลย์เข้ามาในประเทศไทยนั้น พบว่าจากการบอกต่อกันปากต่อปากถึงปัญหาของเครื่องยนต์ของผู้ที่เคยนำรถเข้า ไปเติมน้ำมันดังกล่าว ทำให้การเข้าไปเติมน้ำมันรถโซลาร์ ลดลง รวมทั้งมาตราการคุมเข้มและอนุญาตให้นำรถเข้าไปเติมน้ำมันเท่านั้น โดยเติมน้ำมันดีเซลได้ไม่เกิน 300 บาทส่วนน้ำมันเบนซินยังคงให้เติมได้เต็มที่วันละนั้น แต่ยังคงมีผู้ค้าน้ำมันรายย่อยที่ทำธุรกิจในลักษณะปั๊มหลอดลักลอบนำเข้า น้ำมันจากประเทศมาเลเซียมาจำหน่ายบ้าง
5 อันดับสินค้ายอดนิยม ของด่านชายแดนภาคใต้ ก่อนหน้าจะมีการขึ้นภาษี นับว่าบุหรี่ต่างประเทศที่ปลอดภาษีนำเข้ามาจากชายแดนทางภาคใต้เป็นสินค้ายอด นิยมสำหรับซื้อหามาใช้กันในพื้นที่ภาคใต้ ติดอันดับ 1 ใน 5 ก็ว่าได้ โดยสินค้าปลอดภาษีที่มีราคาถูกว่าสินค้าไทยและเป็นที่นิยมกันมากตามลำดับ คือ สุรา, บุหรี่, น้ำมันพืช, ขนมขบเคี้ยวและผลไม้ เช่น แอปเปิล ลูกแพร์ องุ่น ส้ม และสินค้าประเภทกระเทียม และหอมหัวใหญ่ ปัญหาภาคใต้ เศรษฐกิจ ทำหนีภาษีฟุ่มเฟือยยอดหด เห็นได้ว่าสินค้ายอดนิยมที่ลักลอบนำเข้ามาจากชายแดนทางภาคใต้ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าบริโภคที่ใช้ประจำวัน และแม้ว่าที่ผ่านมา สินค้าปลอดภาษีในอำเภอหาดใหญ่ ที่ขายอยู่ในตลาดกิมหยง ตลาดสันติสุข จะมีสินค้าครบทุกประเภท ไมว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า กล้องถ่ายรูป เครื่องเสียงรถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือยอย่าง นาฬิกา เครื่องสำอาง เสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋าแบรนด์เนม ที่ผ่านมานั้นไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แหล่งข่าวคนเดียวกันกล่าวว่า ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ สินค้าประเภทที่กล่าวมานั้น เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่มีความจำเป็นในการบริโภคหรือใช้งานประจำวัน มีอัตราการจำหน่ายสินค้าออกจากร้านต่ำและไม่สม่ำเสมอ ผู้ค้าจึงไม่นิยมสต๊อกสินค้า เนื่องจากต้องใช้เงินทุนเพื่อหมุนเวียน รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาและปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดทางภาคใต้เอง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้การค้าขายในหาดใหญ่เป็นไปอย่างเงียบเหงา
“ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้นักท่องเที่ยวจากจังหวัดอื่นไม่ค่อยมาเที่ยวตั้งแต่เกิด เหตุการณ์ไม่สงบทางภาคใต้ ทำให้ร้านค้าปิดเร็ว บนถนน 2 ทุ่มคนก็เริ่มเข้าบ้านแล้ว” ค่ายเหล้านอก หนักใจ เจาะตลาดภาคใต้ การขึ้นภาษีสุรารอบใหม่นี้ไม่ส่งผลที่ดีกับ สุรานำเข้าที่ลักลอบเข้ามาทางชายแดนภาคใต้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ 1 ปีมีการปรับภาษีสรรพสามิตเต็มเพดานแล้ว ทว่าปัญหาการลักลอบสุรานำเข้ามาขายหรือบริโภคทางภาคใต้เป็นเรื่องที่มีมานาน แล้ว สถานการณ์ดังกล่าว เป็นเหตุผลที่ทำให้ที่ผ่านมา การจัดกิจกรรมทางการตลาดของหล้านอก 2 ค่ายหลักที่ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นสัดส่วนใหญ่ คือ ดิอาจิโอ ที่มีจอห์นี่ วอลค์เกอร์ และเพอร์นอร์ต มี ชีวาส รีกัล และฮันเดรด ไพเพอร์ส เป็นยี่ห้อหลักในการทำตลาดนั้น จึงไม่ให้ความสำคัญกับการทำตลาดทางภาคใต้นัก สอดคล้องกับความเห็นของ ศนิตา คาจิจิ รองประธานกรรมการบริหาร ด้านการตลาด บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายวิสกี้ตระกูลจอห์นนี่ ที่เคยกล่าวกับผู้จัดการ 360 รายสัปดาห์ว่า ตลาดภาคใต้ที่มีการลักลอบนำเข้าสุรามาก ซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคในการทำตลาดที่บริษัทไม่สามารถเข้าไปเจาะตลาดได้อย่าง เต็มที่ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าการแข่งขันเพื่อช่วงชิงตลาดในพื้นที่ภาคเหนือ หรือภาคตะวันออกซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่ พัทยา นับว่าเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง และมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ รองจากยอดขายจากพื้นที่สำคัญคือกรุงเทพฯก็ว่าได้ ขณะเดียวกัน การขึ้นภาษีเหล้าในช่วงปี 2551 วิมลวรรณ อุดมพร รองประธานกรรมการบริหาร ด้านรัฐกิจ กฎหมาย และนิเทศสัมพันธ์ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ ประเทศไทย เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นว่า ตั้งแต่มีการปรับราคาเหล้าราคาแพง อย่าง แบล็ก เลเบิล จนเต็มเพดานที่อัตราภาษีตามปริมาณ 400 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ กลุ่มผู้บริโภคจะหันไป เหล้าราคาถูกกว่า โดยจะทำให้เกิดช่องว่างเรื่องของราคา ระหว่างสุราที่เสียภาษีและสุราที่ไม่เสียภาษี เป็นทางเลือก โดยจะมีทั้งที่ลักลอบหนีภาษีเข้ามาตามชายแดนและนำมาวางจำหน่ายในร้านค้า และที่นักท่องเที่ยวนำเข้ามาเองนับว่ากลุ่มนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 40% อย่างไรก็ตามการเติบโตของเหล้าที่มาจากช่องทางนี้มีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายเหล้านอก ที่ติดอากรสแตมป์ถูกกฎหมาย อาทิ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ก เลเบิล หรือเรด เลเบิล ซึ่งเป็นสัดส่วนตลาดประมาณ 10% ของตลาดสุรานำเข้ามูลค่า 1.6 พันล้านบาท ลดลงเกือบ 50%
*********** สินค้าเถื่อนทะลักตลาด กฎหมายอ่อนเปิดช่องทุจริต ช่องโหว่กฎหมาย บทลงโทษอ่อน เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองท้องถิ่นยันระดับชาติ ฮั้วรับผลประโยชน์มหาศาล ทำสินค้าเถื่อนเกลื่อนเมือง หากจะสาวถึงต้นตอที่ทำให้ 'สินค้าเถื่อน' ทั้งของหนีภาษี รวมไปถึงของเลียนแบบ ซึ่งเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติของเมืองไทยที่ยังแก้ไม่ตก ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัยก็ตาม คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพาดพิงไปถึงเรื่องตัวบทกฎหมายที่ยังมีปัญหาในการใช้งาน ทั้งความล้าสมัยของกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ใช้มานานกว่า 83 ปี กระบวนการใช้กฎหมายที่ไร้การถ่วงดุล รวมถึงเจ้าพนักงานผู้ใช้กฎหมายรู้เห็นเป็นใจ หรือมีการปฏิบัติงานที่ไม่เป็นมาตรฐาน จึงยังมี 'ช่องว่าง' ที่ทำให้สินค้าเถื่อนเหล่านี้ยังคงทะลักตลาด แม้จะปราบปรามเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ในการนำเข้าสินค้าต่างๆ เข้ามาในราชอาณาจักรไทย จะมีกฎหมายควบคุมอยู่ คือ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ซึ่งโดยทั่วไปกำหนดไว้ว่า ผู้ใดที่มีการนำสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อนำไปทำการค้า จะต้องผ่านพิธีทางศุลกากร เพื่อเสียภาษีนำเข้าตามอัตราพิกัดที่กำหนดไว้ ซึ่งหากเป็นการนำเข้ามาในลักษณะที่เป็นทางการ และเปิดเผยชัดเจนว่าเป็นการนำเข้ามาเพื่อทำการค้า เช่น เป็นตู้คอนเทนเนอร์ ก็จะต้องผ่านพิธีทางศุลกากรตามปกติ ส่วนการนำเข้ามาด้วยวิธีบรรจุลงกระเป๋า ลัง ในลักษณะที่ดูเหมือนเป็นสัมภาระทั่วไปในการเดินทาง หรือเป็นของฝาก ถ้าเจ้าหน้าที่ศุลกากรพิจารณาแล้วว่า มีปริมาณมากพอที่จะขายต่อได้ ก็จะต้องเสียภาษี ซึ่งถ้าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น บุหรี่ สุรา ก็จะต้องเสียภาษีมากเป็นพิเศษ เพราะสินค้าประเภทดังกล่าวกฎหมายกำหนดให้ต้องเสียภาษีสรรพสามิตเพิ่มอีก
ในขณะที่ยาเสพติด อาวุธ สินค้าปลอมแปลงเลียนแบบเครื่องหมายการค้า หรือสินค้าก็อปปี้ จะเป็นสินค้าต้องห้ามที่ห้ามนำเข้ามาในประเทศไทย หากพิจารณาโทษของ พ.ร.บ.ดังกล่าว หากมีการหลบเลี่ยงภาษี กฎหมายกำหนดไว้ว่า ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาประเมินสินค้า ซึ่งได้รวมค่าอากรแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ แม้มองเผินๆ จะยังตัดสินได้ยากว่าเป็นบทลงโทษที่น้อยเกินไปหรือไม่ จึงยังทำให้สินค้าเถื่อนยังมีเล็ดลอดให้เห็นอยู่ทั่วเมือง แต่จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับแวดวงการนำเข้าสินค้า เถื่อนชี้ว่า ปัญหาอยู่ที่ตัวบทกฎหมายที่ล้าสมัย รวมถึงกระบวนการทำงานตามกฎหมายฉบับนี้เป็นไปแบบไร้การถ่วงดุล ทำให้เกิดช่องว่างของการทุจริต รู้เห็นเป็นใจระหว่างเจ้าพนักงานศุลกากรและผู้นำเข้าสินค้า
ต้นตอปัญหา สุ่มตรวจไม่ทั่วถึง “ทุกวันนี้ที่ยังมีสินค้าเถื่อนทะลักเข้ามา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้นำเข้าจงใจไม่แจ้งรายละเอียดจำนวนให้ครบถ้วน รวมถึงการตรวจดูสินค้าก็จะใช้วิธีสุ่มตรวจ ไม่ได้ตรวจละเอียดทุกตู้คอนเทนเนอร์ บางครั้งก็แค่ดูเอกสาร เมื่อไม่ได้เช็คละเอียด ก็มีโอกาสที่จะเสียภาษีต่ำกว่าความเป็นจริง คือ เสียแค่บางส่วน ทำให้รัฐต้องสูญรายได้ไปมหาศาล” ในช่วงที่เศรษฐกิจดีพบว่า จะมีการนำเข้าสินค้ามากเป็นพิเศษ มีตู้คอนเทนเนอร์นับร้อยตู้ที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องตรวจดู ซึ่งเป็นภาระหนัก ทำให้ในช่วงสมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการออกระเบียบศุลกากรใหม่ เป็นการย่นกระบวนการของพิธีศุลกากรให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้นำเข้า คือ วิธี Paperless โดยให้ผู้นำเข้าหรือ Shipping คีย์ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของการนำเข้า แล้วยื่นเป็นเอกสารให้เจ้าหน้าที่แทนการแจ้งบอกแบบวิธีเดิม ซึ่งปัญหาที่พบ คือ มีการแจ้งรายละเอียดไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยการแจ้งจำนวนสินค้าไว้ต่ำ หรือแจ้งประเภทสินค้าไว้ไม่ตรง เพื่อให้เสียภาษีต่ำ ทำให้มีสินค้าบางส่วนที่ไม่ได้เสียภาษีเล็ดลอดออกมาได้ และทุกวันนี้ระเบียบดังกล่าวก็ยังใช้อยู่ นอกจากนี้ แม้ปัจจุบันจะมีการนำเครื่องเอ๊กซเรย์มาใช้ในการตรวจ เพื่อช่วยให้กระบวนการรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็เชื่อว่าน่าจะตรวจได้ไม่ทั่วถึง
และยังมีสินค้าก๊อบปี้หลุดเข้ามาได้ เพราะเครื่องเอ๊กซเรย์จะทำหน้าที่แค่สแกนของในกระเป๋าให้เห็นเป็นรูปร่าง เท่านั้น เหมาะกับการตรวจค้นอาวุธ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นสินค้าแบรนด์ใด เป็นของละเมิดลิขสิทธิ์ปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าหรือไม่ ซึ่งบางครั้งก็มีการลักลอบนำสินค้าก็อปปี้เข้ามา โดยแสดงเป็นของไม่มียี่ห้อ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจหรือเสียภาษี ซึ่งหากพบจะถือว่าละเมิดกฎหมายอื่นๆ นอกจาก พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ด้วย ให้อำนาจศุลกากรเบ็ดเสร็จ “เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นว่ามีการเลี่ยงภาษี ตาม พ.ร.บ.ศุลกากรจะให้อำนาจเต็มที่กับอธิบดีเจ้าพนักงานศุลกากร ในการพิจารณาว่าจะดำเนินคดีต่อไปหรือยุติคดี จุดนี้ทำให้เกิดช่องว่างขึ้น หากเจ้าพนักงานที่คุ้นเคยกับผู้นำเข้ารู้เห็นเป็นใจ ก็ทำให้สินค้าเถื่อนสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ เช่น หากตกลงจะยุติคดี ยอมจ่ายค่าปรับ และยอมเอาเงินมาซื้อของคืน แค่นี้ก็หลุดแล้ว ทำให้สุดท้ายกฎหมายก็ไม่มีประสิทธิภาพที่จะปราบปรามคนกลุ่มนี้ได้จริง” แหล่งข่าววิเคราะห์ ตามกฎหมายกำหนดว่า ผู้กระทำผิดจะถูกปรับเป็น 4 เท่า ตามราคาประเมินของเจ้าหน้าที่ศุลกากร แต่ถ้าผู้ถูกจับยอมรับผิด ยอมยกสินค้าให้เป็นของแผ่นดิน และยอมยุติคดี โดยจ่ายค่าปรับ ศุลกากรจะไม่ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล ทำให้คดีจบลงได้ นอกจากนี้ผู้กระทำผิดยังมีสิทธิ์ที่จะรับซื้อสินค้าคืนก่อนรายอื่นด้วย แต่หากไม่มีการซื้อคืนกรมศุลกากรจะนำของออกไปประมูลขายต่อไป แหล่งข่าวระบุว่า การที่กฎหมายให้อำนาจศุลกากรแบบเบ็ดเสร็จ พิจารณาจบคดีเองได้ โดยไม่มีหน่วยงานกลางอื่นๆ มาคานอำนาจ ทำให้สุดท้ายคดีก็ไม่เคยไปถึงตำรวจ ไม่เคยได้ส่งฟ้องศาล ทำให้ไม่สามารถปราบปรามผู้นำเข้าสินค้าเถื่อนได้อย่างจริงจัง
รวมถึงระบบอุปถัมภ์ที่ช่วยเหลือกันระหว่างผู้นำเข้าที่คุ้นเคยกับเจ้า หน้าที่ ก็มีการรวบรัดทำให้คดีจบลง ทำให้คนที่ควรจะเป็นผู้ต้องหาหลุดจากคดีทุกครั้ง ทั้งที่เป็นความผิดทางอาญา ต้องส่งฟ้องศาลเพื่อพิจารณาโทษ นอกจากนี้ยังมีการวิ่งเต้นขอซื้อสินค้าคืนในราคาต่ำกว่าความเป็นจริงอีกด้วย อำนาจของตำรวจจะสามารถจับกุมสินค้าเถื่อนได้ ก็ต่อเมื่อพ้นเขตศุลกากรไปแล้วเท่านั้น นอกจากนั้นจะเป็นการดำเนินคดีที่รับเรื่องต่อจากศุลกากรมา มีการสอบปากคำ ดูเอกสาร พยาน ก่อนทำสำนวนส่งอัยการ เพื่อสั่งฟ้องศาล ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่เมื่อมีคดีเกิดขึ้น ผู้นำเข้ามักจะรับสารภาพ ยอมจ่ายค่าปรับ เพื่อยุติคดี รัฐจี้เร่งแก้กฎหมาย ช่วงที่ผ่านมามีความพยายามที่จะแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ขึ้น โดยในปี 2549 กรมศุลกากรได้เสนอแผนพัฒนากฎหมาย โดยจะดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีศุลกากร และพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีศุลกากร รวมถึงประกาศอธิบดี และประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันให้กลายเป็นฉบับเดียวกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อน เน้นความสะดวกรวดเร็ว เน้นการปรับแก้พิกัดศุลกากร ไม่ได้มีการระบุว่าจะแก้ไขในเรื่องกระบวนการใช้กฎหมายให้มีความรัดกุมยิ่ง ขึ้น ล่าสุดขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ศุลกากร 2469 แก้ไขเพิ่มเติมร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณา และเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ส่วนกฎหมายลิขสิทธิ์ที่กำลังเร่งดำเนินการแก้ไข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณา โดยจะพิจารณาให้แล้วเสร็จ รวมทั้งการทำประชาพิจารณ์ก่อนสิ้นเดือน พ.ค. นี้ และจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไปเพื่อให้ใช้บังคับได้ดีขึ้น ซึ่งเนื้อหาในกฎหมายจะกำหนดให้ผู้ซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ถือเป็นความผิดทางกฎหมายมีโทษทางแพ่ง คือ ปรับ ส่วนเจ้าของสถานที่ที่ให้เช่าจำหน่ายสินค้าละเมิด ทั้งห้างสรรพสินค้า อาคารพาณิชย์ ตลาดนัด จะมีความผิดทางแพ่งและทางอาญา.
ครูบนดอย
16/1/58
เราเริ่มต้นพูดคุยด้วยคำถามที่ว่า "เป้าหมายของครูตั๋นในการมาเป็นครูดอยครั้งนี้คืออะไร?" ครูตั๋นได้ตอบข้อซักถามของเราได้อย่างน่าสนใจมากทีเดียว
ครูตั๋นเกริ่นนำว่า "..ครั้งแรกที่เดินทางมาถึงโรงเรียน บอกตรงๆเลยว่าผมคิดในใจว่า “กูจะอยู่รอดได้หรือ มันไกลและกันดารกว่าที่คิดมากจริงๆ ไม่มีไฟฟ้ามีแค่ไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่โซล่าร์เซล์ ที่พร้อมจะทรยศได้ทุกเมื่อที่ไม่มีแสงแดด ไม่มีน้ำประปาที่ใสสะอาดแต่เป็นระบบประปาดอย อยู่ห่างจากจุดที่มีคลื่นโทรศัพท์ไปอีก50 กิโลเมตร ไม่มีตลาดสด ไม่มีตลาดนัด ไม่มี 7-11 มีเพียงร้านขายของชำเล็กๆประจำหมู่บ้านอยู่สองร้าน บริเวณหมู่บ้านเป็นพื้นชายแนวชายแดน ถูกจัดเป็นพื้นที่สีแดงของการขนส่ง-ซื้อขายยาเสพติดและไข้มาลาเลีย ชีวิตที่ผ่านมาของผมเกิด เรียน และอยู่ในเมืองมาตลอด ชีวิตกำลังตาลปัตจากหน้ามือเป็นหลังมือ
สองสัปดาห์แรกครูตั๋นได้แต่นั่งนอนทำใจทั้งวันทั้งคืน วกวนอยู่กับความคิดว่าจะเสี่ยงอยู่ หรือว่าลาออกเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ไปทำงานโลตัสเหมือนเดิมดี เพราะถึงแม้จะรู้มาว่าโรงเรียนบนดอยนั้นเป็นอย่างไร แต่พอมาเจอจริงๆนั้นเป็นมากกว่าที่คิดไว้มาก
"ผมเริ่มนับวันและคืนที่จะครบกำหนดในการเขียนย้าย เฝ้าถวิลหาเวลาที่จะได้ลงจากดอยคือ “ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์” ที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตกินอาหารดีๆ เที่ยวเล่นตามที่ที่เจริญๆ เยี่ยงคนเมืองเหมือนเดิม แต่แล้วผมก็ลองมองดูรอบๆตัว เริ่มสังเกตสิ่งต่างๆ แล้วก็บอกตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า “ผมเป็นใคร? ผมมาทำอะไรที่นี่?” วันเวลามันค่อยๆผ่านไป ทำให้ผมค่อยๆเปลี่ยนความคิดที่เคยมีมา เมื่อผมตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น และเริ่มสร้างความชัดเจนในอุดมการณ์ที่ผมตั้งไว้ตลอดมา"
ครูตั๋นเล่าว่าจากที่ต้องรับผิดชอบงานการสอนแค่สัปดาห์ละไม่กี่ชั่วโมง ก็เพิ่มชั่วโมงสอนมากขึ้น สรรพวิชาที่ได้ร่ำเรียนในแขนงความรู้ต่างๆเริ่มถูกงัดมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาช่าง วิชาศิลปะดนตรี วิชาการทำอาหาร วิชาการพยาบาล และความเป็นนักกิจกรรม เขาได้งัดเอาออกมาใช้อย่างเต็มที่ จนทุกวันนี้ครูตั๋นแทบจะหาเวลานั่งอยู่เฉยๆ และเป็นส่วนตัวโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อเด็กๆไม่ได้เลย เพราะตอนนี้ เขารู้ตัวแล้วว่า เขาเป็นใคร เขามาที่นี่ทำไม เขาทำอะไรอยู่ เขาได้คำตอบแล้ว..
"ผมต้องการสนองความต้องการของตัวเองในการทำงาน เพื่อเด็กนักเรียนที่เป็นเด็กบนดอยนั้น ไม่รู้สึกว่าด้อยค่า หรือเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในวิถีความเป็นอยู่ของตนเอง ผมมุ่งสร้างบรรยากาศในการจัดระบบโรงเรียน ให้มีหลายๆสิ่งทัดเทียมกับโรงเรียนในเมืองให้มากที่สุดตามสภาพบริบทของโรงเรียนบ้านนาดอยเท่าที่ผมจะทำได้ ครูที่ดีไม่จำเป็นต้องมีงานเอกสาร ตำราที่หรูหรา ไม่ต้องมีสื่อที่สวยงามทันสมัย ไม่ต้องแต่งตัวดีหน้าเชื่อถือมากเกินไป ขอแค่มีไฟ มีใจเสียสละ และมีความกล้าก็เกินพอแล้ว..”
"การทำงานของผมคือการทำงานโดยเอาตัวผมเองเป็นที่ตั้ง สนองแนวทางของตัวเองด้วยความกล้าในการทำงาน ทุกอย่างที่ผมทำมุ่งหมายเพื่อรอยยิ้มและความสุขของเด็กๆ หลักการสำคัญที่ผมยึดถือคือ 'คนๆเดียวสามารถเปลี่ยนโลก ทั้งใบได้ ถ้าคนๆนั้นมุ่งมั่นและใจถึงจะเปลี่ยนจริงๆ'
"ผมอยากเห็นจริงๆนะ ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่เกิดจากเพลงๆสนุกๆที่ครูสอนร้อง เกิดจากอาหาร-ขนมอร่อยๆ ที่ครูทำให้ เด็กๆหรือลูกๆของผมอยู่ดีมีสุข ไม่เจ็บป่วยไข้ สิ่งนี้คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมมุ่งมั่นทำงานต่อไป และสัญญาว่าจะอยู่โรงเรียนต่อไปเรื่อยๆโดยไม่เขียนย้ายไปไหน อย่างไม่มีกำหนด หรือนี่อาจจะเป็นการตีตั๋วเที่ยวเดียวก็อาจจะเป็นไปได้ เป็น one way ticket" ครูตั๋นแถมภาษาอังกฤษให้ แล้วหัวเราะอารมณ์ดี
เราทราบมาว่าครูตั๋นนั้นเป็นคนเมือง อาศัยและเรียนจบจากในเมือง จึงอยากทราบว่าเมื่อมาใช้ชีวิตเป็นครูดอยในที่แห่งนี้ ชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
"ชีวิตผมเปลี่ยนไปมากๆครับ
ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะต้องตื่นเช้ามืดมาก่อไฟ หุงข้าวทำกับข้าวให้นักเรียนกว่า 80 ชีวิตกิน
ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเป็นหมอพร้อมๆกับเป็นครู
ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเดินทางจากที่พักในตัวเมืองมาถึงโรงเรียน จะต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงในฤดูแล้ง 4-6 ชั่วโมงในฤดูฝน
ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะต้องทำหน้าที่เป็นพ่อให้กับเด็กๆที่อยู่หมู่บ้านห่างไกลซึ่งเข้ามาเป็นนักเรียนหอพักของโรงเรียนบ้านนาดอย คงไม่ต้องสาธยายว่าผมต้องทำอะไรบ้างในหน้าที่ของคนเป็นพ่อ ยื่งเด็กเล็กๆ ยิ่งทำให้ผมรู้ซึ้งถึงการมีลูกจริงๆครับ
ชีวิตความเป็นอยู่ของผมยังมีอีกมายมายที่จะต้องเปลี่ยนแปลง หากให้สาธยายทั้งหมดคงไม่จบสิ้นง่ายๆ วิธีเดียวทีคุณจะรู้และเข้าใจผมให้ลึกซึ้งคือมาอยู่กินกับผมที่โรงเรียนและนั่งคุยกับผมในวงเหล้า(บ้าง)เท่านั้นครับ"
เมื่อถามว่า ครูตั๋นอยู่ที่นี่ต้องทำงานหนักไหม ไม่ทันจะจบคำถามครูตั๋นก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ครูตั๋น : หนักสิ หนักมากเลยล่ะ แต่ก็ทำมาทุกวัน ชินไปเสียแล้ว แล้วก็สนุกดีนะ
พร้อมกันนั้นครูตั๋นได้เล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆว่า ในหนึ่งวันเขาได้ทำอะไรบ้าง
"...ผมตื่นนอนตีห้าครึ่ง ก่อไฟหุงข้าว ทำกับข้าวให้เด็กๆหอพัก
-พาเด็กทำความสะอาด หรือพัฒนาโรงเรียนในส่วนโรงอาหารและหอพัก
-พานักเรียนกินข้าว แล้วก็ปล่อยให้นักเรียนไปปฎิบัติหน้าที่เวรประจำวัน
-7.00 น. ทำกับข้าวของครู กินข้าว อาบน้ำ แล้วก็ให้ยา ทายาเด็กที่ป่วยทั้งป่วยใหม่ป่วยเก่า
-เจ็ดโมงสี่สิบ ถ้าไฟโซล่าร์เซล์พอมี ก็เปิดระบบเสียงตามสาย เปิดเพลงและให้นักจัดรายการนักเรียนจัดรายการเสียงตามสาย
-แปดโมงครึ่งก็พาเด็กๆเขาแถวเคารพธงชาติ ปฎิบัติกิจกรรมหน้าเสาธง
-เก้าโมงเริ่มจัดการเรียนการสอน ถ้าวันไหนแม่ครัวไม่มาทำอาหารกลางวันผมก็รับหน้าที่โดดสอนไปทำอาหารกลางวันสักหนึ่งชั่วโมง ก็ได้เมนูแสนอร่อยสำหรับมื้อกลางวันของเด็กๆ 210 คน โดยมีสมาคมแม่บ้านบ้านนาดอยเป็นผู้ช่วยเหลือ(สมาคมที่ว่านี้คือเด็กนักเรียนมัธยม5555)
-ตอนเที่ยงก็ทำกับข้าวของครู กินข้าวแล้วก็จ่ายยาให้เด็กที่ป่วยตามปกติ บ่ายโมงเริ่มสอน
-บ่ายสามโมงถ้าไม่มีกิจกรรมใดๆ ก็ซ้อมดนตรีให้เด็กๆทั้งวงดุริยางค์และวงดนตรีโฟล์คซอง
-สี่โมงเย็นเข้าแถวปฏิบัติกิจกรรมหน้าเสาธง เลิกแถวก็พาเด็กชั้นประถมเล็กๆลงไปอาบน้ำที่แม่น้ำเงา หลังจากนั้นก็ไปทำกับข้าวเย็นให้เด็กหอพัก
-หกโมงเย็นอบรมเด็กหอพัก พาเด็กกินข้าว
-หนึ่งทุ่มตรง จ่ายยา ทายาให้เด็กที่ป่วยทั้งใหม่และเก่า
-หนึ่งทุ่มครึ่งก็นั่งคุยกับเด็กๆ ฟังเด็กเล็กร้องรำทำเพลงอยู่ที่ชานบ้านพักครู
-สองทุ่มครึ่ง(ถ้ามีไฟฟ้า)เปิดทีวีให้เด็กหอพักดูที่ชานบ้านพักครู บางวันครูก็กินเหล้าอยู่เฝ้าจนละครหลังข่าวจบ ถ้าไม่มีไฟก็ปล่อยให้เด็กๆร้องรำทำเพลงไปจนกว่าเด็กจะง่วงนอน
-เที่ยงคืนก็เข้านอน(ผมนอนรวมกับหอพักเด็กชาย) เหล่าลูกสมุนของผมก็จะปูผ้าห่มให้หนึ่งผืน หมอนหนึ่งใบ กับผ้าห่มกันหนาวตายอีกหนึ่งผืน คือเด็กอยู่แบบไหนเราก็ต้องอยู่แบบนั้น
ตีห้าครึ่งก็ตื่นมาปฏิบัติภารกิจเหมือนๆเดิมอีกวันหนึ่ง บางวันอาจจะมีแปลกพิศดารไปบ้างถ้าหากเด็กเกิดไม่สบายกลางดึกก็ต้องจัดการไปตามเรื่องตามราวครับ
โรงเรียนบ้านนาดอย อำเภอ สบเมย ตำบล สบเมย จังหวัด แม่ฮ่องสอน
ท่านที่ติดตามรายการ"บอกเล่าข่าวเพลง" ช่วงเที่ยงถึงบ่ายสอง ของทุกๆวัน ตั้งเเต่ปีใหม่ 58 เป็นต้นมา ตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนเเปลงนิดหน่อย โดยเอารายการของคุณพงษ์กร นักจัดรายการที่มากด้วยประสบการณ์เเละฝีมือเข้ามาเเทนในเวลานี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสีสรรค์ให้กับทางสถานีได้เป็นอย่างมาก
ส่วนตัวผมก็กำลังมองหาเวลาเหมาะๆลงมาจัดเหมือนกัน อดใจอีกสักนิดนะครับสำหรับท่านที่ฟังรายการ"บอกเล่าข่าวเพลง"คงอีกไม่นานก็คงจะได้ยินเสียง"ไอ้หนุ่มเสียงกาละมังเเตก" จะมาร้องเเรกเเหกกระเฌอในวิทยุของท่านต่อไป....อีกไม่นาน...........
ป้อง 13/1/58
`โรคซึมเศร้า เอาชนะได้..
เคยมีอาการอย่างนี้บ้างมั๊ย? เหนื่อยง่าย ปวดหัว ท้องอืดอาหารไม่ย่อย กินอะไรก็ไม่อร่อย เฉื่อยชา เก็บตัวเงียบๆ..เบื่อ..ทำอะไรก็ไม่ประสบผลสำเร็จสักกะอย่าง คิดว่าตัวเองนี้ไร้ค่า ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใครเลย เเต่ทำไมชีวิตมันเซ็งๆอย่างนี้ ไม่มีความภาคภูมใจในตัวเอง ทั้งๆที่ทางบ้านก็ไม่ได้ยากจนข้นเเค้นอะไรสักนิด เเต่มันเบื่อชีวิตเหลือหลาย จะโทรไปหาเพื่อนสักหน่อยกลับหาว่าเราบ้า คิดมาก ฟุ้งซ่าน สติเเตก เออนั่นนนน....ตายมันซะ!!
ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในสภาวะอย่างนี้เเสดงว่าอันตรายเเล้วครับ ปรึกษาจิตเเพทย์เถิดไม่ต้องอายกลัวคนจะหาว่าเราเป็นโรคจิตหรอกครับ เพราะอาการที่คุณกำลังเจออยู่นั้นเขาเรียกว่าโรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) หรือ MDD
ซึ่งโรค MDD นี้ สุดท้ายก็คือการฆ่าตัวตายนั่นเอง เมื่อใดก็ตามที่คุณสังเกตุเห็นตัวเองหรือคนรอบข้าง เริ่มตำหนิตัวเอง ด่าตัวเอง โทษตัวเอง กูเกิดมาทำไม? กูมันไม่มีค่า เริ่มเก็บตัวไม่ไปไหน หมดเรี่ยวหมดเเรงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร การเริ่มตำหนิตัวเองถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่สุดที่จะต้องรีบทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
เพราะในปัจจุบันสื่อต่างๆได้ลงข่าวกันอย่างโจ่งเเจ้งเกี่ยวกับในเรื่องของการฆ่าตัวตายในเเต่ละวัน ซึ่งกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธรณสุข ได้เปิดเผยตัวเลขเกี่ยวกับเรื่องการฆ่าตัวตายของคนไทยว่ามีมากกว่า 3,900 คน/ปี เฉลี่ย 328 คน/เดือน หรือวันละ 12 คน คือ 2 ชั่วโมง/ศพ เลยทีเดียว สาเหตุอันดับ 1 เลยก็คือความสัมพันธ์ในครอบครัว รองลงมาก็คือปัญหาเศรฐกิจ เเละป่วยเป็นโรคเรื้อรัง
อายุ 40-44 ปี มากที่สุด รองลงมาก็อายุ 30-34 ปี นิยมเเขวนคอ ยาฆ่าเเมลงเเละก็อาวุธปืน ซึ่งการที่สื่อต่างๆลงข่าวการเกรียวกราวมาเท่าไร ก็จะเกิดอาการ Copy Cat หรือเลียนเเบบกันมากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าเป็นดารา นักร้อง นักเเสดงด้วยเเล้ว ก็จะเป็นกระเเสที่รุนเเรงมาก
ข้อควรระวังสำหรับสื่อมวลชนคือ หนึ่ง ไม่ควรนำเสนอวิธีการฆ่าตัวตายอย่างละเอียด เช่น การรมแก๊สเพื่อฆ่าตัวตาย หนังสือพิมพ์บางฉบับบรรยายชัดเจนว่าต้องปิดหน้าต่างให้มิดชิด เปิดแก๊สเป็นเวลานานเท่าไหร่ บางเคสฆ่าตัวตายด้วยการใช้สารเคมีก็มีการอธิบายอย่างละเอียดว่าใช้สารเคมีตัวใด ยี่ห้ออะไร ปริมาณเท่าไหร่
สอง ไม่ควรนำเสนอข่าวฆ่าตัวตายไปในทางที่แสดงให้เห็นว่าผู้กระทำนั้นเด็ดเดี่ยว ใจถึง เพราะคนที่ปลิดชีพตัวเองอาจถูกมองว่าเป็นฮีโร่
สาม อย่าใส่อารมณ์ความรู้สึกลงเยอะจนเกินไปจนแยกไม่ออกว่าคือข้อเท็จจริงหรือนิยาย ผู้อ่านที่กำลังรู้สึกว่าตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน สี่ สื่อโทรทัศน์ไม่ควรฉายภาพเหตุการณ์ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานาน สุดท้ายการมีสมาชิกในครอบครัวฆ่าตัวตายคนที่ยังอยู่จะได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัส ฉะนั้นการไปสัมภาษณ์ด้วยคำถามบางคำถามไม่ต่างอะไรกับตอกย้ำซ้ำเติม
รีบไปพบเเพทย์โดยด่วนเหอะ หรือจะใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ทีจะให้บริการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตทางโทรศัพท์ตลอด 24 ชั่วโมง ก็ได้...ดีกว่าปล่อยไว้จนสายเกินเเก้.......
ป้อง 14/1/58...
ขอพักสักนิด...
ท่านที่ติดตามรายการ"บอกเล่าข่าวเพลง" ช่วงเที่ยงถึงบ่ายสอง ของทุกๆวัน ตั้งเเต่ปีใหม่ 58 เป็นต้นมา ตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนเเปลงนิดหน่อย โดยเอารายการของคุณพงษ์กร นักจัดรายการที่มากด้วยประสบการณ์เเละฝีมือเข้ามาเเทนในเวลานี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสีสรรค์ให้กับทางสถานีได้เป็นอย่างมาก
ส่วนตัวผมก็กำลังมองหาเวลาเหมาะๆลงมาจัดเหมือนกัน อดใจอีกสักนิดนะครับสำหรับท่านที่ฟังรายการ"บอกเล่าข่าวเพลง"คงอีกไม่นานก็คงจะได้ยินเสียง"ไอ้หนุ่มเสียงกาละมังเเตก" จะมาร้องเเรกเเหกกระเฌอในวิทยุของท่านต่อไป....อีกไม่นาน...........
ป้อง
วันที่: Fri Nov 15 17:55:06 ICT 2024
|
|
|
|
|
และสอบถามเรียงตัวว่าจะมั่นใจได้หรือไม่ที่จะทำสงครามกลางเมืองกับพวกยิวและคอมมิวนิสต์ คำตอบเป็เอกฉันท์คือไม่
องค์ไกเซอร์ได้รับผลประชุมในเช้าวันนั้น และเวลาต่อมาการปฏิวัติเต็มรูปแบบเกิดขึ้นในเมืองเบอร์ลินสายข่าวแจ้งว่าเลืดท่วมเมือง
กบฏเรียกร้องให้สละบัลลังค์ในทันที
ความวุ่นวายจากพวกคอมมิวนิสต์ ในเยอรมัน
ฝ่ายซ้ายนำโดยยิวสองคนชายหญิง..ชายคือ Karl Liebknecht หญิงคือ Rosa Luxemberg หรือสมญาว่า แม่กุหลาบแดงเดือด (Red Rose หรือ Bloody Rose) สองคนนี่ซ่องสุมผู้คนนับแสนคนที่จะล้มล้างรัฐบาล
เพื่อเปลี่ยนให้เป็นคอมมิวนิสต์ให้ได้ โดยมีการจลาจลชนิดถึงขั้นนองเลือด..และจวนเจียนที่จะสำเร็จผลเสียด้วย...
หากแต่พวกคณะที่รักชาติ อดีตทหารหาญที่เพิ่งกลับกันมาจากแนวหน้า ได้รวมตัวกันสำเร็จเป็นกองทัพย่อย ๆ เรียกว่า Free Corps เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด เสียเลือดเนื้อล้มตายไปกันมากมาย..ในเดือนมกราคม 1919 การสู้รบได้ผลัดกันแพ้ชนะ ไปจนถึงวันที่ 13 มกรา..
Karl และ Rosa ถูกจับตัวได้..
ถูกซ้อมซะอ่วมไปสองวัน ก่อนที่จะถูกยิงกบาลแบบเผาขนไปทั้งสองคน..ศพแม่แดงเดือดถูกโยนทิ้งในลำคู.. ส่วน Karl นั้น..ทิ้งเป็นที่เป็นทาง คือ ในป่าช้า...
เป็นอันว่า..พวกสปาตาลิสต์ ได้จบบทบาทลงในเบอร์ลิน..แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า..
พวกที่ฝักใฝ่ในลัทธินี้จะหายไปจากแผ่นดินเสียเมื่อไหร่..รัฐบาลไม่สามารถใช้ กำลังตำรวจเข้าควบคุมทั้งหมดได้ จึงต้องออกประกาศเรียกร้องผู้คนเข้าร่วมขบวนการอาสาช่วยเป็นหูเป็นตา ในการกวาดล้างให้สิ้นซาก เชิญไปสมัครได้ ที่ Buaer Cafe กับ..Potsdam Beer Garden
กองทัพ Free Corps ได้จากเบอร์ลินหลังจากที่ทำการกู้เมืองสำเร็จ..เพียงสองอาทิตย์เอง..เอาอีก แล้ว ก่อการปฏิวัติอีกแล้ว คราวนี้คือ..พวกยิวแดงโดยการหนับหนุนของรัสเซีย {Lenin และ Trotsky}.. จัดการก่อการจราจลชิงเมืองอีกครั้ง.. เพราะคิดเอาเองว่า เคยทำสำเร็จที่ Petrograd กับ Moscow มาแล้ว..ที่เบอร์ลินจะง่ายดังปอกกล้วยเข้าปากเช่น กัน ทั้ง ๆ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมด้วยแค่ 5% งานนี้ทำให้รากหญ้าของฝ่ายนิยมซ้ายในเมืองต่าง ๆ เกิดลุกฮือขึ้นมาอีก Saxony ถูกยึดครอง..ต่อมาก็ Dresden ตามด้วยเมืองต่าง ๆ
กองทัพ Free Corps สามหมื่นคน ถูกเรียกกลับมาใช้งานโดยด่วน..คราวนี้..มีการประกาศกฎอัยการศึกใครขัดขืน ยิงทันที การนองเลือดครั้งนี้ ฝ่ายก่อการตายเป็นเบือ บาดเจ็บนับพัน
เบอร์ลินถูกกู้กลับคืนขึ้นมาได้ หากแต่อีกหลายเมืองยังอยู่ในความควบคุมของพวกคอมมิวนิสต์
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รัสเซียเองก็เพิ่งเปลี่ยนการปกครองไปหมาด ๆ จากกษัตริย์มาเป็นกรรมกร ทำให้พวกชนชั้นแรงงานส่วนใหญ่ ฮึกเหิมถึงกับคิดจะเข้ายึดครองในประเทศอื่น ๆ ในยุโรปด้วยลัทธิ (อย่างที่เล่ามาในฮังการี) ยังไม่ได้มีกองทหารเป็นเรื่องเป็นราว มีแต่กลุ่มแทรกแซงที่ เข้าไปสร้างความเดือดร้อนที่นั่นที่นี่ อย่าง Bela Kun
พวกนักรบ Free Corps คือพวกทหารผ่านศึกที่รัฐบาลเรียกกลับมาจากแนวหน้า ที่เข้ามารวมตัวกันไม่ยอมให้ บ้านเมืองตกในมือของคอมมิวนิสต์ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและรัฐบาลฝ่ายขวา {right wing} ดังเหตุการณ์ครั้งที่ยิ่งใหญ่ในมิวนิค..คอมมิวนิสต์ในการนำของ Levine เข้ายึดครองอย่างเด็ดขาด..
นักรบ FC เก้าพันคน นัดรวมตัวกันที่ Nuremberg เพื่อเคลื่อนทัพเข้าสู่มิวนิค และ เพียงสิบไมล์ก่อนถึง..คือเมือง Dachau (อ่านว่า ดักเฮา) เกิดการปะทะกันขึ้น..
กองทัพคอมภายใต้การนำของ Ernst Tollerชนะ..
นักรบ Free Corps ตายเรียบ..ไม่เหลือ
นี่ คือเหตุการณ์ที่น่าสลดใจ..ซึ่งฮิตเล่อร์จำไว้อย่างละเอียดละออ..เขาจึงเลือก Nuremberg เป็นศูนย์กลางการประชุมต่างๆ..และ..เลือก..Dachau เป็น..สถานีนรกแก่ศัตรู (หมายถึง Concentration camp แบบจงใจ)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และขอให้คิดดูว่า ฮิตเลอร์ต้องมาพบกับความล่มสลายของอาณาจักรบาวาเรียที่เขารัก ด้วยฝีมือของของยิวเพียงไม่กี่คน
ตามข่าวเล่าว่า..พระเจ้าลุดวิคที่สาม ถูกสั่งให้ขนข้าวของออกจากวัง..ขึ้นรถภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง..และ..ขณะที่ รถแล่นออกจากวังไปอย่างช้าๆ พวกคณะยิวปฏิวัติยิงปืนไล่จนรถพระที่นั่งต้องเร่งความเร็วขับหนี เป๋ปัดปุเลง ๆ ลง ไปในไร่มันฝรั่งแบบทุลักทุเล ฝุ่นตลบ..ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงของเหล่าทหารแดง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เป็นเพราะเหตุเหล่านี้ ฮิตเลอร์ จึงจงเกลียดจงชัง ยิว กับ คอมมิวนิสต์ เป็นกรณีพิเศษ...