Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เมื่อเผชิญช้างป่าทำไงดี

ArjanPong | 08-01-2558 | เปิดดู 2108 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

"หมอล็อต" แนะข้อปฏิบัติ เมื่อเจอช้างป่าบนถนน ย้ำ! ห้ามดับเครื่อง

 

 

 

 

 

 

 
 
 

 

 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

จากกรณีช้างป่าออกมาทำลายรถยนต์นักท่องเที่ยวบนถนนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จนเป็นคลิปแชร์ว่อนทางโซเชียล เน็ตเวิร์กในขณะนี้ถึงสองคัน สองเหตุการณ์ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ทำให้หลายๆ คนหวาดระแวงในการขับรถขึ้นเขาใหญ่มากขึ้น ประจวบเหมาะกับก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา นายสัตว์แพทย์ภัทรพล มณีอ่อน หรือ "หมอล็อต" ได้ออกมาโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว Patarapol Lotter Maneeorn ถึงวิธีปฏิบัติเมื่อพบช้างป่าบนถนน ในพื้นที่ อช.เขาใหญ่ ดังนี้

 

Lotter: Khao yai Only. บ้านใครบ้านมัน เข้าใจตรงกันนะ


วิธีปฏิบัติเมื่อพบช้างป่าบนถนน ในพื้นที่ อช.เขาใหญ่ ขอย้ำครับ ช้างป่าเขาใหญ่เท่านั้น เพราะช้างป่าพฤติกรรมหรือปฎิกิริยาตอบสนองต่อรถที่สัญจรไปมาในแต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นที่เขาอ่างฤาไน หรือป่าละอู ต้องทำอีกอย่าง มาทำความเข้าใจกันนะครับ....


ทำไมถึงมักเจอช้างบนถนนของเขาใหญ่


- ในอดีตตอนยังไม่มีการสร้างถนนเส้นนี้ ช้างป่าได้ใช้เส้นทางบางส่วนของพื้นที่เป็นเส้นทางเดินหากิน หรือเราเรียกว่า "ด่านช้าง" ซึ่งบรรพบุรุษของช้างได้สอนลูกหลานต่อๆกันมาว่านี้คือเส้นทางหากินของเรา อยู่มาวันหนึ่งมีการสร้างถนนขึ้นมาและบังเอิญไปทับซ้อนกับด่านช้าง ทำให้บางส่วนของถนนนั้นเกิดการใช้ร่วมกันระหว่างช้างและรถยนต์


- ช้างป่าเขาใหญ่ในแต่ละฝูง มีการตกลูกทุกๆปี นั่นหมายถึงว่าในฝูงมีลูกน้อย การเดินหากินในป่าที่รกทึบ หญ้าสูง หรือเขาที่ชัน ของลูกช้างมักมีความยากลำบาก หลายพื้นที่มีลูกช้างป่าพลัดหลงฝูงจากการตกภูเขา และฝูงก็จะห่วงลูกช้างมาก การเดินบนถนนก็เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ปลอดภัยสำหรับลูกช้าง เดินสะดวก และฝูงช้างป่าจะหวงลูกมากๆ


- พื้นถนนในตอนกลางคืนจะอุ่น เนื่องจากความร้อนสะสมในตอนกลางวัน ในช่วงฤดูหนาว ช้างจะเดินออกมาบนถนนถี่ขึ้น บางครั้งจะเห็นช้างป่านอนหลับบนถนนในช่วงหน้าหนาว นอนบนดินโป่งในช่วงหน้าร้อน


- บริเวณข้างทางของถนน มักมีต้นหญ้าและพื้นขนาดเล็กที่เป็นอาหารของช้าง ช้างสามารถกินได้ง่าย


- เป้าหมายของการใช้ถนนของช้าง คือ การมุ่งหน้าไปยังพื้นที่แหล่งอาหารต่างๆด้วยความปลอดภัยและรวดเร็ว เช่น แหล่งดินโป่ง หรือแหล่งน้ำ


1. หยุดรถให้ห่างจากช้างอย่างน้อย 30 เมตร หากช้างเดินเข้าหา ให้เคลื่อนรถหนีด้วยการถอยหลังอย่างมีสติ รอจนกว่าช้างจะหลบจากถนน จึงเคลื่อนรถผ่านไป


2. อย่าใช้แตรรถ หรือส่งเสียงดังรบกวนช้างหรือไล่ช้าง เพราะอาจทำให้ช้างโกรธ และตรงเข้ามาหาเราได้ เนื่องจากช้างป่า ประสาทหูจะดีมาก เสียงแตรแหลมๆจะทำให้ช้างตกใจและโกรธ


3. งดการใช้แฟลชถ่ายรูป เพราะอาจทำให้ช้างตกใจ ตรงเข้ามาทำร้ายได้ และทำให้ช้างเกิดการสนใจ เดินเข้ามาหา ช้างตกใจแล้ว ตกใจเลย หายยาก


4. ให้ติดเครื่องรถยนต์ไว้เสมอ เพื่อให้สามารถเคลื่อนรถหนีได้ทันท่วงที และเสียงเครื่องยนต์รถที่ติดเครื่องดังทุ้มๆ จะไม่ทำให้ช้างนั้นตกใจ ไม่เครียด และคุ้นเคย เพราะได้ยินเสียงและรู้ว่านี่คือรถยนต์ เรารู้จักแล้ว ไม่สน กินดีกว่า 55555


5. หากพบช้างในเวลากลางคืน ให้เปิดไฟรถไว้เสมอ เพื่อให้สามารถสังเกตอาการของช้างและระยะห่างระหว่างรถกับช้างได้โดยสะดวก ห้ามเปิดกระพริบ เพราะแสงจะเข้าตา และดึงดูดให้ช้างเกิดความสนใจ เดินเข้ามาหา


6.ประสาทสัมผัสของช้างที่ดีที่สุดคือ หู จมูก และตา ถ้าดับเครื่องยนต์ ช้างจะเข้าใกล้เพื่อใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่น นั่นคือการดม ดู และสัมผัส ซึ่งนั่นหมายถึง ช้างเข้ามาหาคุณแย้ววววว เค้าแค่แตะๆ แต่ด้วยกำลังมหาศาล รถคุณก็บาดเจ็บได้


7. เมื่อตกอยู่ในวงล้อมของช้าง ตั้งสติให้มั่น หากเป็นเวลากลางคืน ให้ใช้ไฟต่ำ และอย่าเปิดกระพริบ แล้วเลือกเคลื่อนรถไปในทางที่มีช้างอยู่น้อย แม้บางครั้งจำเป็นต้องเข้าใกล้หรือเบียดโขลงช้างไปก็ตาม อย่าดับเครื่องยนต์ และปิดไฟรถเป็นอันขาด ค่อยๆเคลื่อนรถ ให้เสียงเครื่องยนต์นิ่งมากที่สุด


ปล. ไฟสูงเปิดได้ ในกรณีที่เราอยู่ห่างจากช้างป่ามากกว่า 50 เมตรขึ้นไป เพราะจะทำให้ช้างรู้ตัวว่ามีรถมา ไม่ตกใจ และเดินหลบเข้าข้างทาง ถ้าเปิดไฟสูงระยะใกล้กว่านี้แสงจะแยงตา ช้างตกใจได้


8. ไม่ควรจอดรถดูช้าง เพราะอาจมีรถคันอื่นตามมา แล้วรถของคุณกีดขวางรถผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ถูกทำร้ายแทนรถของคุณได้ คนตามหลังซวยเลยครับ


9. สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเมื่อรถจอดเรียงกันบนถนน ความสามัคคีจะต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าคันที่อยู่ใกล้ช้างหรืออยู่ไกลช้างก็ล้วนเป็นผู้ประสบเหตุทั้งสิ้น ดังนั้นหากรถคันหน้าเปิดไปถอยรถ คันข้างหลังถัดไปก็กรุณาถอยรถอย่างมีสติด้วยนะครับ โดนด้วยกันรอดก็ต้องรอดด้วยกัน


10. ไม่ควรจอดรถแล้วลงไปถ่ายรูปช้างในระยะใกล้ เพราะอาจทำให้คุณวิ่งหนีขึ้นรถไม่ทัน ควรระลึกอยู่เสมอๆว่า โดยทั่วไปช้างมักจะอยู่รวมกันเป็นครอบครัวหรือฝูง ขณะที่คุณเจอช้างเพียงตัวเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีช้างตัวอื่นๆ อยู่ในบริเวณนั้น ฝูงช้างอาจจะกระจายกันหากินอยู่ในบริเวณป่าข้างๆทางนั้นก็เป็นได้ และวินาทีที่เค้าจะเข้ามาหานั้น เร็วมาก


วิธีสังเกตุอารมณ์ของช้างอย่างง่าย ๆ


- เมื่ออารมณ์ดี หูจะสะบัดไปมา หางจะแกว่งและใช้งวงสะบัดไปมา หรือเกี่ยวดึงต้นไม้กิน ไม่ค่อยสนใจเรา


- เมื่ออารมณ์ไม่ดี หูจะตั้งกาง ไม่สะบัดหาง หางชี้ งวงจะนิ่งแข็ง แตะอยู่ที่พื้น หรือใช้งวงตีพื้น และอยู่นิ่งจ้องมองมาทางเรา...
ปกติช้างจะวิ่งไล่ผู้รบกวนเป็นระยะทางสั้น ๆ เพียง 2 - 3 ครั้ง หากวิ่งตามผู้รบกวนไม่ทันก็จะเลิกวิ่งไล่ไปเอง ช้างเมื่ออารมณ์ดี สังเกตจากการแกว่งหู และสะบัดหางไปมา จะไม่ทำร้ายแม้รถจะวิ่งเข้ามาใกล้ก็ตาม
แต่หากช้างโกรธ หรือไม่ไว้ใจสิ่งใด เช่น ช้าง
แม่ลูกอ่อน อาจตรงเข้าทำร้ายผู้รบกวนได้ในระยะไกล จึงพึงสังเกตอารมณ์ และอาการของช้างไว้ประกอบการตัดสินใจด้วยครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเกิดเหตุที่รถติดเป็นจำนวนมาก หรือช้างเกิดความเครียด จากการสังเกตุตามข้อแนะนำข้างต้น ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ จะมาทำการอารักขา ขอย้ำครับว่า"อารักขาช้างป่า" ไม่ใช่ไล่ช้าง
"เพราะเวลาที่ช้างป่ามาเดินเที่ยวสวนจตุจักร เค้าก็เจอแต่คนเยอะแยะมากมายเช่นกัน"



ภาพจากเฟซบุ๊ค Patarapol Lotter Maneeorn

 


 

 

 

 

            วันจันทร์ที่ 12มกราคม2558เป็นวันแรม๘ค่ำ เดือนยี่(๒)ปีมะเมีย
 
 

                         

 

                                      การทำกรรมทางใดมีโทษมากที่สุด

 

 
ทีฆตปัสสีนิครนถ์ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาค
ว่า ท่านพระโคดม ! พระองค์เล่าย่อมบัญญัติทัณฑะ ในการทำ
บาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรมไว้เท่าไร ?

ทีฆตปัสสี ! ตถาคตจะบัญญัติว่ากรรม ๆ ดังนี้
เป็นอาจิณ.

ท่านพระโคดม ! ก็พระองค์ย่อมบัญญัติกรรม ในการ
ทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรมไว้เท่าไร ?

ทีฆตปัสสี ! เราย่อมบัญญัติกรรม ในการทำ
บาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรมไว้ ๓ ประการ
คือ กายกรรม ๑ วจีกรรม ๑ มโนกรรม ๑.

ท่านพระโคดม ! ก็กายกรรมอย่างหนึ่ง วจีกรรมอย่าง
หนึ่ง มโนกรรมอย่างหนึ่ง มิใช่หรือ ?

ทีฆตปัสสี ! กายกรรมอย่างหนึ่ง วจีกรรม
อย่างหนึ่ง มโนกรรมอย่างหนึ่ง.

ท่านพระโคดม ! ก็บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่จำแนก
ออกแล้วเป็นส่วนละอย่างต่างกัน เหล่านี้ กรรมไหน คือ
กายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมที่พระองค์บัญญัติว่ามีโทษ
มากกว่าในการทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรม ?
ทีฆตปัสสี ! บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่
จำแนกออกแล้วเป็นส่วนละอย่างต่างกันเหล่านี้
เราบัญญัติมโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า ในการทำ
บาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรม เราจะบัญญัติ
กายกรรม วจีกรรมว่ามีโทษมาก เหมือนมโนกรรม
หามิได้.

ท่านพระโคดม ! พระองค์ตรัสว่ามโนกรรมหรือ ?
ทีฆตปัสสี ! เรากล่าวว่ามโนกรรม.

ท่านพระโคดม ! พระองค์ตรัสว่ามโนกรรมหรือ ?
ทีฆตปัสสี ! เรากล่าวว่ามโนกรรม.
 
ท่านพระโคดม ! พระองค์ตรัสว่ามโนกรรมหรือ ?
ทีฆตปัสสี ! เรากล่าวว่ามโนกรรม.

ทีฆตปัสสีนิครนถ์ให้พระผู้มีพระภาคทรงยืนยัน
ในเรื่องที่ตรัสนี้ถึง ๓ ครั้ง ด้วยประการฉะนี้ แล้วลุกจาก
อาสนะเข้าไปหานิครนถ์นาฏบุตรถึงที่อยู่.

  

อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
 
 
 
 

                

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 "ทัวร์นกขมิ้น" เป็นการเดินทางไปดูปัญหาของประชาชนถึงจุดที่น่าจะเป็นปัญหาไม่ใช่เหรอ ?

ไม่ใช่ทัวร์หรู สำหรับท่องเที่ยว และบันเทิงซักหน่อย

หากนี่เป็น "ความผิด" ต่อไปใครจะทำงาน ก็คือผิดหมด เพราะไม่สามารถลงไปดูพื้นที่ได้เลย
 
 "สั่งให้ลุงกำนันประกาศไล่ล่าตอนปิดบ้านปิดเมือง พอนายกฯ ยิ่งลักษณ์หลบไปต่างจังหวัดเพื่อดูแลราษฎร และเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุความรุนแรง ก็จะฟ้องว่าไป "หาเสียง" ซะอีก พวกนี้เล่นกันเป็นทีม"
 
แล้วคนขวางการพิมพ์บัตร ทำลายบัตร ขวางการเลือกตั้ง บีบคอ ปิดคูหา ไม่เอาผิดหรา?
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
                                อาหารเสริมโชคลาภ
 

อย่างที่ทราบกันแล้วว่า แต่ละประเทศก็จะมีอาหารพื้นบ้านของแต่ละที่แตกต่างกันออกไป ถ้า Horoscope.Mthai.com จะนำเสนออาหารประจำประเทศต่างๆก็จะธรรมดาเกินไป วันนี้เราจึงนำอาหารการกินที่ เสริมโชคลาภ หรืออาหารมงคลทานแล้วจะมีโชคของแต่ละประเทศมาฝากกันแทนครับ ลองไปดูกัน

 

 

 

 

องุ่นแห่งความโชคดีของชาวสเปน ประเทศสเปนทำไร่องุ่นมากที่สุดในโลก และได้ผลผลิตจำนวนมาก ชาวสเปนจึงกินองุ่น 12 ผลไปพร้อมกับเสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนในวันสิ้นปี เพื่อต้อนรับความโชคดีตลอด 12 เดือนข้างหน้า

 

เนเธอร์แลนด์ โดนัทแห่งความบริบูรณ์ ชาวดัตช์เชื่อว่า การกินโดนัทซึ่งมีลักษณะกลมแบบวงแหวน จะทำให้โชคดี และมีชีวิตครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนรูปร่างของอาหาร

 

กรีซ St. Basils cake แห่งความสุข ในวันปีใหม่ ชาวกรีกจะทำเค้กสอดใส้เหรียญเงินชิ้นใหญ่ (St.Basils cake) กินกันในครอบครัว เพื่อรำลึกถึงนักบุญบาซิล ผู้ที่มีเมตตาต่อคนยากจน ซึ่งถึงแก่กรรมในวันที่ 1 มกราคม เชื่อกันว่าสมาชิกคนใดที่พบเหรียญเงินในชิ้นเค้กนั้นจะโชคดีตลอดปี

 

ญี่ปุ่น กินโซบะ อายุยืนหมื่นปี คนญี่ปุ่นนิยมกินบะหมี่ไม่ตัดเส้นที่ชื่อ โทชิโคชิ โซบะ ต้อนรับปีใหม่ เพราะเชื่อว่า จะทำให้อายุยืนยาวเหมือนเส้นบะหมี่

 

จีน กินปลากินไก่ ให้ความมั่งคั่ง ชาวจีนนิยมกินปลาในเทศกาลปีใหม่ เพราะเสียงของคำนี้ในภาษาจีนพ้องกับคำว่า เหลือเฟือ จึงเชื่อว่าจะทำให้มีเหลือกินเหลือใช้ตลอดทั้งปี และการกินไก่ทั้งตัวโดยไม่ตัดส่วนใดออก ก็จะทำให้ชีวิตครบถ้วนสมบูรณ์และมั่งคั่งอีกด้วย

 

อิตาลี ความมั่งมีในถั่วเลนทิล ชาวอิตาลีกินถั่วเลนทิลในวันแรกของปีเพราะถั่วเลนทิลมีรูปร่างคล้ายเหรียญเงิน จึงเป็นสิ่งนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้

 

อเมริกา ถั่วตาดำ กับความร่ำรวย ถั่วตาดำ Black-Eyed Beans (Cow Peas) เป็นอาหารนำโชคของชาวอเมริกัน เพราะเมื่อปรุงสุกแล้ว จะมีสีและลักษณะคล้ายเหรียญเงิน แสดงถึงความร่ำรวย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก Forward mail
ขอบคุณภาพจาก www.goodfoodgoodlife.in.th

 

 

ส้มเขียวหวาน ก็ดีนะ เพราะ มีความเชื่อว่าเป็นผลไม้ที่สมหวัง อ้อ.. บางคนก็ใช้ส้มโอนะเพราะถือว่าจะได้มีโชคลาภ ใหญ่ ๆ เหมือนส้มโอ

 

 1. ละมุด เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักไม่โดดเด่น ปิดๆ ซ่อนๆ

2. มังคุด เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วไม่ได้ดีเท่าที่ควร ไปไม่ถึงที่สุด มันกุด ๆ ด้วน ๆ ไม่โดดเด่น

3. พุทรา เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วดีในช่วงแรกๆ ช่วงหลังๆ ซาซา

4. มะเฟือง เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักผืดเคือง ไม่อะไรก็อะไร สักอย่าง

5. มะไฟ เชื่อกันว่าทำอะไรแล้วมักต้อง เร่งๆ รีบๆ เหมือนไฟลน ไม่ได้คุณภาพ

6. น้อยหน่า เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักมีปัญหา อุปสรรค เล็กน้อย จุกๆจิกๆ อยุ่เสมอๆ ทำแล้วได้ผลเพียงน้อยนิด

7. น้อยโหน่ง เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ได้ผลสมบรูณ์เพียงน้อยนิด มีอุปสรรคปัญหา ไม่สมบรูณ์แบบ

8. มะตูม เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วไม่เจริญก้าวหน้า เช่นเดียวกับชื่อที่ตูมอยู่ตลอด ไม่ก้าวหหน้า ไปไม่ได้ไกล

9. มะขวิด เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วมักจะประสบปัญหา วัสดุอุปกรณ์ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ครบ ขาดโน่น ขาดนี่เสมอ

10. ลูกจาก เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักจะไม่ยั่งยืน

11. ลูกพลับ เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ผลงานต้องโดนเก็บใส่ลิ้นชัก ไม่ได้แสดงผลงาน ไม่ก้าวหน้า

12. ลูกท้อ เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ท้อแท้ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังใจ

13. ระกำ เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักจะไม่ประสบความสำเร็จ

14. กระท้อน เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว สิ่งที่ดีๆ ที่ต้องการเผยแพร่ออกไป กลับสะท้อนมายังจุดเดิม

15. ลางสาด เชื่อกันว่า เป็นผลไม้ที่มียาง ทำอะไรแล้วมักจะมีเรื่อง ยุ่งยากวุ่นวาย

 

1. ขนุน มีคนคอยสนับสนุน

2. กล้วย ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จง่าย ๆ เหมือนที่พูดติดปากว่า กล้วย ๆ หรือ คำโบราณที่บอกว่าง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากไงล่ะ

 

 

 


* *"เพราะผม พยายามทำทุกวิถีทาง ที่จะถอดถอน นายกปู...เพื่อนำไปสู่การ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง ให้พ้นเส้นทางของพวกผมไป อย่างน้อยๆก็อีกซัก 5 ปี....


*
*
 

แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นว่า...ผมได้นำเธอมา "ฟอกขาว" เพิ่มความบริสุทธิ์ให้กับตัวเธอเอง...แถม เธอยังได้ใช้โอกาสนี้ ทำการ "หาเสียงเลือกตั้ง กับนโยบายช่วยเหลือชาวนา...และเกษตรกร คนยากคนจนเอาไว้ล่วงหน้า อย่างเบ็ดเสร็จไปเลยซะอีก"..

 

 

 

 

 
 

 

           

 

 

 

 

 

 

 

 

                                  เลี้ยงเด็กในปัจจุบัน

 

 

 

 

 

การเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันดูจะเป็นปัญหากับพ่อแม่มาก ว่าเลี้ยงอย่างไรให้เก่งบ้าง เป็นอัจฉริยะบ้าง ส่วนใหญ่จะเน้นพัฒนาสมอง เพราะสังคมยุคนี้ต้องฉลาด มีปฏิภาณ ไหวพริบดี ทันสมัยจึงจะอยู่รอดปลอดภัย ท่ามกลางกระแสแปรปรวนทางเศรษฐกิจ เราลืมว่าปู่ย่า ตายาย มักจะอวยพรลูกหลานให้ "อยู่ดี มีสุข" หรือ "ร่มเย็น เป็นสุข" มากกว่าจะอวยพรให้เป็นอัจฉริยะ เพราะท่านผ่านโลกมามาก ทราบว่าอัจฉริยะอย่างเดียวไม่พอสำหรับการดำรงชีวิตที่ประสบความสำเร็จและมีสุข ดังนั้นเด็กยุคใหม่ที่คาดหวังน่าจะเป็น "เก่ง ดี และมีสุข" สมบูรณ์ทั้งไอคิว และอีคิว ลองพิจารณาดูความจริงของชีวิตที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้เรียบเรียงไว้น่าสนใจ

 

 

                        

 

 

 

ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยการยอมรับ เขาจะเป็นคนที่พอใจในตนเอง ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยการให้กำลังใจ เขาจะเป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยความยุติธรรม เขาจะเป็นคนมีใจเป็นธรรม ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยความเป็นมิตร เขาจะมีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยความรักและความอบอุ่น เขาจะเป็นคนมีศรัทธาในชีวิต ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยคำตำหนิติเตียน เขาจะเป็นคนล้มเหลว ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยความก้าวร้าว เขาจะเป็นคนที่กร้าวแข็ง ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยความเย้ยหยัน เขาจะเป็นคนขลาดอาย ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยความละอาย เขาจะเป็นคนขี้ระแวง ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยความมานะ เขาจะเป็นคนอดทน ถ้าเลี้ยงเด็กด้วยความชื่นชม เขาจะเป็นคนซาบซึ้งในคุณค่า

 

ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านหยุดคิดเรื่องอื่น นิ่งสัก 1 นาทีเพื่อพิจารณาข้อแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิในการเลี้ยงดูเด็ก วิเคราะห์ดูถึงปัญหา นำมาซึ่งปัญญาที่เหมาะสมและถูกต้องต่อไป โดย ศ.จ.เกียรติคุณพ.ญ.ชนิกา ตู้จินดา โรงพยาบาลสมิติเวช

 

 

 

 

           "ตีสนิท" พลังขับเคลื่อนโลก "เจนวาย"

 

 

 

 

 
 

โลก เปลี่ยนไปแล้ว เห็นวัยรุ่นสมัยนี้ทำอะไรแปลกๆ อย่าเพิ่งตกใจ เห็นลูกไม่ทนไม่แกร่งเหมือนตนเองสมัยก่อนอย่าท้อใจ เพราะทั้งหมดคือธรรมชาติของเขา ฉะนั้น มาทำความเข้าใจวัยรุ่นที่เป็นคนรุ่นใหม่ในสังคม ซึ่งเป็น "คนเจนเนอเรชั่นวาย" กัน

ผศ.ภูเบศร์ สมุทรจักร อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า เจนเนอเรชั่นวาย เป็นผู้เกิดระหว่างปี 2525-2546 หรือปัจจุบันเป็นผู้มีอายุระหว่าง 11-32 ปี มีช่วงระดับการศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย อุดมศึกษา และวัยทำงานช่วงแรก เจนวายปัจจุบันมีจำนวนสัดส่วน 1 ใน 4 ของประชากรทั้งโลก สำหรับประเทศไทยมี "ประชากรเจนวาย" จำนวน 18 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 27 ของประชากรทั้งประเทศ

"เจนวายในปัจจุบันเริ่ม มีบทบาทมากขึ้น เพราะอยู่ในวัยทำงานเริ่มแรกและวัยกำลังเจริญพันธุ์ ทำให้สังคมเริ่มให้ความสำคัญและสนใจว่า เจนเนอเรชั่นนี้ทำไมถึงมีแนวทางดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ซึ่งความแตกต่างตรงนี้เกิดจากสภาพแวดล้อมลักษณะที่แตกต่าง ทั้งจากเศรษฐกิจ สังคม ซึ่งหลอมรวมแต่ละเจนเนอเรชั่นไว้"

ผศ.ภูเบศร์เผยว่า สิ่งพิเศษของเจนเนอเรชั่นวายคือ คนเจนวายแต่ละพื้นที่ในโลกมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แม้ยังไม่มีงานวิจัยชัดเจนว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่สันนิษฐานได้ว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสิ่งเชื่อมจากโลกาภิวัตน์ ที่คนแต่ละภูมิภาคสามารถเชื่อมโยงด้วยโลกไซเบอร์ รวมถึงการเดินทางไปมาหากันได้ง่ายขึ้น เหล่านี้ทำให้ลักษณะการดำเนินชีวิตของคนเจนวายคล้ายคลึงกัน


ผศ.ภูเบศร์ สมุทรจักร



ส่วน ลักษณะโดดเด่นของคนเจนวายเป็นเรื่องของความเป็นตัวของตัวเอง ให้เกียรติกับความเป็นตัวของตัวเอง ตัวเองใหญ่ขึ้น เสียงของตัวเองดังมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการปลูกฝังจากคนเจนเนอเรชั่นบี หรือเบบี้บูม (พ.ศ.2468-2503) คือพ่อแม่ และเจเนอเรชั่นเอ๊กซ์ (พ.ศ.2504-2524) คือครู ซึ่งจะปลูกฝังเสมอว่าต้องค้นหาตัวเอง ให้เรียนในสิ่งที่ชอบและรัก ไม่ฝืนเพื่อให้ลูกมีความสุข

"คนเจนวายเป็นคนที่พยายามค้นคว้าหาตัวเอง เขาไม่ได้เรียนเพื่ออยากมีงานที่มั่นคงทำ แต่เรียนเพราะชอบและรัก"

ผศ.ภู เบศร์เผยว่า นอกจากนี้ คนเจนวายยังมีลักษณะจับจ่ายใช้สอยโดดเด่น เนื่องจากเติบโตในช่วงพาณิชย์ระดับบุคคลโตขึ้น หรือพูดง่ายๆ ว่าเติบโตมาพร้อมสินค้าที่หลากหลาย ตรงกับความต้องการและมีจำนวนมาก ไม่เหมือนคนยุคก่อนที่จำนวนสินค้าไม่เยอะมาก ทั้งนี้ ก็ทำให้คนเจนวายใช้เงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยสินค้าเยอะ ไม่ว่าจะมีรายได้ระดับไหนก็ตาม

"เวลามีรายการที่อยากซื้อมากและชอบ ชีวิตอิสระมาก ก็ทำให้คนเจนวายไม่อยากมีพันธะในการเลี้ยงดูคนนั้นคนนี้รวมถึงการแต่งงานมี ลูก ยิ่งเมื่อรวมกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสภาพสังคมในปัจจุบัน ยิ่งทำให้คนเจนวายตั้งคำถามว่าจะมีบุตรไปเพื่ออะไร หรือหากต้องมีก็ขอมีเพียงคนเดียว กระทั่งไม่อยากมีบุตรเลย"

ในส่วน ของการทำงาน ผศ.ภูเบศร์เล่าว่า คนเจนวายเร่งอยากประสบความสำเร็จเร็วๆ อยากเป็นตัวของตัวเองเร็วๆ อยากมีอิสระ ไม่อยากอยู่ในองค์กรที่ตนเองต้องไต่เต้าใช้เวลานาน เพราะกว่าจะอยู่ในตำแหน่งระดับกลางหรือขยับสู่ระดับสูงได้ก็ใกล้เป็นผู้สูง อายุแล้ว ฉะนั้นคนเจนวายรับกับองค์กรลักษณะนี้ไม่ได้ จึงมีแนวโน้มไปหาอาชีพอะไรที่ถนัด อาชีพที่หาเงินง่ายและเร็ว และมีเวลาพักผ่อนมากกว่า

ผศ.ภูเบศร์เผยเสริมว่า คนเจนวายให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตระหว่างการทำงานและชีวิตครอบครัว ซึ่งมีความแตกต่างจากเจนเอ๊กซ์และบีในหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเจนเอ๊กซ์และบีที่ถูกปลูกฝังเรื่องความมั่นคงของชีวิต ซื้อบ้านก่อนค่อยซื้อรถ เพราะบ้านเป็นทรัพย์สิน ส่วนเจนวายซื้อรถก่อนซื้อบ้าน เพราะรถจำเป็นทั้งเพื่อแสดงฐานะ สัญจรไปทำงาน ส่วนบ้านอยู่หลังเล็กแบบคอนโดก็ได้เพราะอยู่กันไม่กี่คน

แม้จะเป็นคนรักอิสระมาก ให้ความสำคัญกับตัวเองสูง แต่คนเจนวายก็ไม่ทิ้งความเป็นพลเมือง

"เจน วายเป็นเจนที่เปิดสู่โลกข้อมูลข่าวสารมาก เขาจะมีส่วนร่วมกับความเป็นไปในสังคมสูง โดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็น ซึ่งจะเริ่มเห็นบทบาทผ่านการโพสต์คลิป การแสดงความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่แรงๆ ส่วนใหญ่เป็นเจนวายทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดและแสดงความเป็นตัวของตัวเอง เขาจึงโพสต์แรงๆ อย่างนี้ จนคนเจนเอ๊กซ์หรือเจนบีรู้สึกตกใจว่า โพสต์แบบนี้ไม่กลัวคนอื่นว่า เจ้านายจะว่า หรือไม่กลัวผลกระทบบ้างหรือ ความเป็นพลเมืองของคนเจนวายน่าจับตามอง เขามีข้อมูลและมีอิสระในการแสดงความคิดเห็น มีช่องทางให้แสดงความคิดเห็นมากขึ้นโดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย"

ผศ.ภู เบศร์เผยว่า สังคมต้องการการตรวจสอบ ซึ่งผมเห็นด้วย ยิ่งแชร์ข้อมูลจะยิ่งทำให้คนเห็น และข้อมูลนั้นจะยิ่งชัดเจนขึ้น เพียงแต่เจนวายต้องมีวิจารณญาณการแสดงความเห็นจะดีมาก

"นี่เป็นความ แตกต่างที่แต่ละเจนเนอเรชั่นต้องปรับเข้าหากัน เจนวายไม่ใช่เจนที่ผิดเสียหมด ก็อยากให้นำจุดแข็งแต่ละเจนออกมาแสดงศักยภาพมากที่สุด" ผศ.ภูเบศร์กล่าว


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                      เปิดแผน 'ยิ่งลักษณ์' แจงคดีจำนำข้าว อดีตนายกฯลุยเดี่ยว

 

 

ทีมทนายเปิดแผน ยิ่งลักษณ์ แจงคดีจำนำข้าว สนช.พรุ่งนี้ รับอดีตนายกฯ ขึ้นแจงเพียงคนเดียว วิชาญ ส.ส.เพื่อไทย ปัด ไม่มีการเกณฑ์คนไปให้กำลังใจพรุ่งนี้แน่

วันที่ 8 ม.ค. นายพิชิต ชื่นบาน ทีมทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ เกี่ยวกับกรณีที่พรุ่งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไปให้ข้อมูลกับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สนช. ในคดีจำนำข้าวกรณีถูกกล่าวหาว่ามีความผิดในฐานะผู้มีอำนาจ แต่กลับไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ว่า ตนพร้อมกับอดีตรัฐมนตรี ทั้งนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรักษาการนายกรัฐมนตรีและอดีต รมว.พาณิชย์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และ รมว.คลัง นายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง และนายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ พร้อมทีมทนายความ จะเดินทางไปกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วย

เนื่องจากทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้แทนคดีตามข้อบังคับ จึงมีสิทธิ์เข้าไปฟังประชุมด้วย แต่ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นผู้ชี้แจงด้วยตนเองเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม คณะทำงานทั้งหมดคงต้องขอฟังการแถลงเปิดคดีนี้ของ ป.ป.ช.เสียก่อนว่ามีข้อหาอะไรบ้าง เพื่อที่จะมีการเสนอถึงประเด็นและแนวทางในการต่อสู้

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะ จะเดินทางถึงที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (รัฐสภา) ในเวลาประมาณ 09.00 น. พรุ่งนี้ อย่างไรก็ดี สำหรับแนวทางต่อสู้คดีนั้นขอให้รอฟังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดีกว่า ไม่ว่าประเด็นถูกกล่าวหาว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เกิดความเสียหายจริงไหม และเสียหายแค่ไหน ซึ่งมั่นใจว่าอดีตนายกรัฐมนตรีสามารถชี้แจงได้

ส่วนที่มีข่าวระบุว่า อาจมีบรรดาพ่อยก-แม่ยก เดินทางไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้น ส่วนตัวยอมรับว่าไม่ทราบ แต่ความเป็นจริงขอให้สงบๆ ดีกว่า แต่ยอมรับว่าขณะนี้รู้สึกกลัวและเป็นห่วงกระแสสังคมมากกว่า เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลที่พยายามกดดันสร้างกระแสพยายามที่ให้ประชาชนเกิดการเข้าใจผิด ทั้งที่ความเป็นจริงโครงการรับจำนำข้าวไม่ใช่โครงการใหม่ แต่เกิดมาเป็นเวลาถึง 33 ปีแล้ว การที่ระบุว่ามีความผิดโดยเฉพาะเน้นไปที่ปีที่แล้วกับปีนี้เพียงอย่างเดียว คงเป็นไปไม่ได้

ด้านนายวิชาญ มีนชัยนันท์ อดีต ส.ส.เพื่อไทย กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ถึงกระแสข่าวว่า อาจมีประชาชนเดินทางไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่รัฐสภาในวันพรุ่งนี้นั้น ยืนยันว่า ไม่มีการกะเกณฑ์คนอะไรจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทั้งสิ้น หากมีคนเดินทางไปให้กำลังใจ น่าจะเป็นการเดินทางไปให้กำลังใจกันเอง และเชื่อว่าก็ไม่ได้ไปกันมาก ถ้ามีการเดินทางไป ทั้งนี้ ยอมรับว่าส่วนตัว ก็คิดว่าอาจจะเดินทางไปให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรีที่รัฐสภา แต่ไม่ใช่เกณฑ์คนไป อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว ฝากไปยัง สนช.ว่า หากไม่ต้องการให้คนเดินทางไปกันเยอะ ก็อนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดก็หมดเรื่อง ก็เชื่อว่าจะไม่มีใครเดินทางไป เพราะต้องยอมรับว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งให้ความสำคัญ สนใจ อดีตนายกฯ ในการแก้ต่าง.

http://www.thairath.co.th/content/473545

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 16:26:10 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>