วันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2557 เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ขนสัตว์เข้าปอดคนได้จริงหรือ?!?
ทั้งนี้เคยส่องกล้องเข้าไปในปอดคนไข้นับพันคน ไม่เคยเห็นขนอะไร หรือ เส้นผมในปอด ที่เห็นสิ่งแปลกปลอม คือ เศษอาหาร เศษหมูหยอง เมล็ดผลไม้ ซึ่งเกิดจากการสำลักเวลากลืนอาหาร
จากกรณีที่มีข่าวเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชื่อดังใน อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ติดเชื้อวัณโรคปอดอย่างรุนแรง โดยมารดาของเด็กระบุว่า ลูกสาวชอบเล่นและคลุกคลีกับสุนัขนับ 10 ตัว และขนสุนัขได้เข้าไปลมหายใจของลูกสาวจนอาการกำเริบและเสียชีวิตนั้น อาจทำให้คนรักสัตว์และคนที่คลุกคลีกับสัตว์ โดยเฉพาะสุนัข และแมว อาจจะไม่สบายใจ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์ระบบทางเดินหายใจ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เป็นไปไม่ได้ เพราะร่างกายมีระบบป้องกันสิ่งแปลกปลอม บริเวณจมูกมีทั้งขนจมูก และเมือกคอยจับเอาไว้ แม้จะเข้าไปในร่างกาย แต่ร่างกายก็สามารถที่จะไอขับออกมาได้
ทั้งนี้เคยส่องกล้องเข้าไปในปอดคนไข้นับพันคน ไม่เคยเห็นขนอะไร หรือ เส้นผมในปอด ที่เห็นสิ่งแปลกปลอม คือ เศษอาหาร เศษหมูหยอง เมล็ดผลไม้ ซึ่งเกิดจากการสำลักเวลากลืนอาหาร โดยเฉพาะคนแก่ เห็นคนที่เอาปากคาบตะปูเอาไว้ เผลอพูดแล้วหลุดเข้าไปในหลอดลม ต้องส่องกล้องและใช้คีมคีบออกมาที่ผ่านมาไม่เคยเห็นผม หรือขนสักเส้นหนึ่ง
ในต่างประเทศก็ไม่มีรายงานเรื่องนี้ แม้แต่คนต่างชาติเลี้ยงสุนัขเยอะมากก็ไม่เคยเห็นขนสุนัขในปอด ส่วนตัวอยู่ต่างประเทศเป็นสิบ ๆ ปีไม่เคยเห็นเลย เพราะอย่างที่บอกร่างกายของคนเรามีกลไกในการปกป้องตัวเอง ที่จะเข้าไปง่าย ๆ คือขน หรือผมของคน แต่ก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน การเอกซเรย์ คอมพิวเตอร์ การฉายรังสีจะไม่สามารถมองเห็นขนหรือผมได้ จะต้องเอากล้องเข้าไปดูอย่างเดียว ดังนั้นคงต้องดูว่ารู้ได้อย่างไรว่ามีขนอยู่ในปอด เพราะการจะรู้ได้ต้องใช้กล้องส่องเข้าไปดูเท่านั้น
ในเด็กกลไกการป้องกันจะแข็งแรงมาก กลไกร่างกายจะเข้มแข็งมาก ส่วนใหญ่คนแก่มักจะสำลักเวลากลืนอาหาร
ส่วนการติดเชื้อวัณโรคจากสุนัขก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะวัณโรคคนไม่ได้ติดจากสุนัข แต่ติดจากคนสู่คน/มีสัตว์บางชนิดที่มีวัณโรค เช่น ช้าง เสือ ยีราฟ สมเสร็จ ซึ่งสัตว์เหล่านี้ติดวัณโรคจากคนเช่นกัน กรณีของแมวและสุนัข
อยากฝากว่าไม่มีอะไรน่ากลัว สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับคนเลี้ยงสุนัข และแมว คือ ภูมิแพ้มากกว่า ซึ่งเป็นการแพ้น้ำลายของสัตว์ เนื่องจากสุนัขและแมวจะเลียขนของตัวเอง ร่างกายคนเราจะแพ้น้ำลายที่ติดมากับขน เวลาไปสัมผัสจมูกจะเกิดอาการคัดจมูก มีอาการจาม ไอเรื้อรัง แต่คนที่ไม่แพ้ก็อยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีอะไรน่ากลัว
สรุปขนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นขนสุนัข หรือแมว ไม่น่าจะหลุดเข้าไปในปอดของคนเราได้ ดังนั้นคนที่เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ไม่ควรวิตกกังวลจนเกินเหตุ.
นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
เดลินิวส์ออนไลน์
9 ข้อดีของการมีสัตว์เลี้ยง (petnews2005)
ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่มักนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนประจำบ้าน และจะเลี้ยงไว้อย่างน้อย 1 ชนิด และสัตว์เลี้ยงที่ ติดอันดับ 3 อันดับ ได้แก่ น้อง หมา น้องแมว และปลา นอกจากนั้น ก็ได้แก่ นก ม้า หนู กระรอก และ สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์แปลกอย่างอื่น
คนที่เลี้ยงสัตว์ ก็มีหลายเหตุผลบ้าง ก็เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน บ้างก็เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน บ้างก็เลี้ยงไว้ประดับบารมี บ้างก็เลี้ยงไว้เอาบุญ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คำนึงถึ งประโยชน์ หรือข้อดีของสัตว์เลี้ยงเท่าใดนัก แต่ความจริงสัตว์เลี้ยงมีประโยชน์มากมายที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ดังนั้น วันนี้จะมาพูดถึงข้อดีเกี่ยวกับประโยชน์ของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะน้องหมา ตามมาดูกันเลยค่ะ
ข้อที่ 1 ผลต่อความดันโลหิตและความเครียด
การเลี้ยงน้องหมาจะช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาความเครียดให้ เจ้าของ หรือคนเลี้ยงที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้
ข้อที่ 2 ผลต่อความรู้สึกโดดเดี่ยว
ปัจจุบัน ผู้สูงอายุมักจะถูกปล่อยทิ้งให้อยู่บ้านตามลำพัง หรือลูกหลานอาจแยกครอบครัว ออกเรือนไป ทำให้ผู้สูงอายุถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าได สัตว์เลี้ยงก็จะช่วยแก้ปัญหาจากการอยู่เพียงลำพังได้เป็นอย่างดี ช่วยลดปัญหาด้านจิตใจห่อเหี่ยวได้
ข้อที่ 3 ผลต่อการมีสังคม
สัตว์เลี้ยงจะช่วยให้เรามีสังคมมากขึ้นเพราะช่วยให้มีคนเข้ามาพบปะพูดคุยกับเรามากขึ้น ในหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับสตว์เลี้ยง ซึ่งจะทำให้เรามีเพื่อนมากขึ้น โดยเฉพาะบรรดาคอคนรักสัตว์ด้วยกัน
ข้อที่ 4 ผลต่อการออกกำลังกาย
การเลี้ยงสัตว์จำเป็นต้องมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น เช่น การจัดเตรียมอาหารให้สัตว์เลี้ยง การพาสัตว์เลี้ยงไปขับถ่าย ออกกำลัง การเล่นกับสัตว์เลี้ยง กิจกรรมเหล่านี้เองช่วยให้คนเลี้ยงได้ออกกำลังกายในทางอ้อม ทำให้ผู้สูงอายุได้ขยับเขยื้อนร่างกายบ้าง ไม่ต้องนั่งจับเจ่าอยู่เพียงอย่างเดียว
ข้อที่ 5 ผลต่อการพบแพทย์
พบว่าผู้สูงอายุที่เลี้ยงน้องหมา น้องแมว จะมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งดูได้จากการไปพบแพทย์ลดลง และกินยาลดลงอีกด้วย
ข้อที่ 6 ผลต่อจิตใจโอบอ้อมอารี
สัตว์เลี้ยงนั้นก่อให้เกิดความรักแท้ที่ไม่มีเงื่อนไขแก่คนเลี้ยง ทำให้คนเลี้ยงได้รับรักแท้ จากสตว์เลี้ยงเป็นประจำทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
ข้อที่ 7 ผลต่อความปลอดภัย
เลี้ยงสัตว์เช่น น้องหมา นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว น้องหมาก็ยังทำหน้าที่อารักขาเจ้าของอีกด้วย ทำให้คนเลี้ยงรู้สึกปลอดภัยในระดับหนึ่ง
ข้อที่ 8 ผลต่อการสูญเสียคนรู้จัก
ผู้สูงอายุนั้น มักจะต้องพบเจอกับเรื่องการจากไปของคนรู้จัก ตั้งแต่คู่สมรส ญาติผู้ใหญ่ ตลอดจนเพื่อนร่วมรุ่น ซึ่งสัตว์เลี้ยงคู่กายก็ยังอยู่เป็นเพื่อนช่วยบรรเทาความรู้สึกเศร้าใจจากการสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักได้บ้างไม่มากก็น้อย
ข้อที่ 9 ผลต่อปัญหาส่วนตัว
การได้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงสักตัว จะช่วยให้ผู้เลี้ยงรู้สึกมีค่า มีความหมาย โดยเฉพาะ กับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเมื่อมีปัญหาส่วนตัวจากภายนอกมากระทบ ก็จะช่วยผ่อนปรนให้เรื่องร้อน ๆ จากภายนอกค่อย ๆ บางเบาลงไป เมื่อเปรียบกับการมีจิตใจเมตตากรุณาต่อสัตว์เลี้ยงของตน
นี่เป็นข้อดีของสัตว์เลี้ยงบางส่วนที่มีคนเลี้ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งนอกนั้นเราสามารถพบข้อดีของสัตว์เลี้ยงที่มีต่อคนเลี้ยงได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ จนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งที่เห็นแน่ ๆ ก็คือ สัตว์เลี้ยงทำให้จิตใจของมนุษย์อ่อนโยนและชุ่มชื่นขึ้นค่ะ
อินเดีย:
ผลิตเครื่องจับขโมยไฮเทค
ตั้งในตลาด5ชม.จับขโมยได้ 300 คน
สหรัฐ:
ซื้อไปตั้งบ้าง 3 ชม.จับได้ 100 คน
ไทย:
เอาบ้าง ตั้ง 30 นาที
เครื่องจับขโมย หาย!!!
## นั่นแสดงว่า"ขโมยไทย" ไฮเทคกว่าเครื่องที่ว่าทันสมัยเยอะ
************************
มิสเตอร์แวน
มิสเตอร์แวนเป็นหมอ ที่ถูกส่งไปทำงานในยุโรป
พอไปถึงที่ เขาก็ส่งโทรเลขถึงภรรยาที่อยู่ถึงอเมริกา
แต่บังเอิญบุรุษไปรษณีส่งผิด
บุรุษปรษณีนำโทรเลขไปส่งให้บ้านคุณนายแวนอีกคนหนึ่ง
ซึ่งสามีเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวานนี้เอง
ทันทีเปิดโทรเลขอ่าน
คุณนายแวนก็แทบจะหัวใจวาย
เนื่องจากโทรเลขมีข้อความว่า
" ถึงที่หมายโดยปลอดภัยเช้าวันนี้เอง หวังว่าคุณคงจะตามผมมาเร็วๆนี้ "
****************************************************
เด็กชาย 3 คนนั่งคุยโม้แข่งกัน
คนที่ 1
พ่อกูเป็นทหาร ทำหน้าที่กู้ระเบิดตามชายแดน
ป้องกันประเทศ เพื่อชาวบ้าน
คนที่ 2
พ่อกูก็เป็นตำรวจ ทำหน้าที่กู้ระเบิดเหมือนกัน แต่ในเมือง
เพื่อชาวบ้านเหมือนกัน
จากนั้นเด็ก 2 คน ก็หัวเราะชอบใจ
หันมาถามเด็กคนที่ 3 แล้วพ่อมึงทำงานอะไร?
เด็กคนที่ 3
มึงรู้จะหนาว.. พ่อกู เป็นครู มีเกียรติมากๆ
กู้กรุงไทย, กู้ออมสิน, กู้สวัสดิการ,
กู้สหกรณ์, กู้ฉุกเฉิน...?
55555 กู้เยอะกว่าพ่อพวกมึงอีก
**************************
"ข่าวล่าสุด เมื่อ 15.30 น.
นายวันชัย รุจนวงค์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงถึงคดีรับจำนำข้าว ที่ ปปช.ฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า อัยการมีความเห็นว่าสำนวนของ ปปช.ยังไม่สมบูรณ์ จึงสั่งให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการและ ปปช.
เพื่อทำให้สำนวนมีความสมบูรณ์ขึ้น โดยจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาภายใน 14 วัน
ทั้งนี้ 3 ประเด็นแย้งของอัยการสูงสุด ได้แก่
1.อำนาจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในการยับยั้งโครงการ
2.การดำเนินการของน.ส.ยิ่งลักษณ์หลัง ปปช.ท้วงติง
3.รายละเอียดการทุจริต.
เรียกว่า ยกแรก ยังไม่รู้ผล ว่าคดีรับจำนำข้าวที่ "ไอ้ปกป้องชั่ว" มันบรรจง ชงลูกเสิร์ฟ...
กะว่างานนี้เล่นงานท่านนายกปูได้ด้วยวิธี "เล่นสำนวน-ตีความข้อกฏหมาย"...
เอาผิดได้แน่ๆ ก็ยังไม่แน่ เพราะความจริง มันไม่สามารถที่จะไปเอาผิดกับผู้ที่คุมแต่ในส่วนของนโยบาย...
ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจริงตามหน้าที่ได้เลย...แต่มันก็ยังพยายามทำทุกวิถีทาง ที่จะยัดเยียดข้อกล่าวหา ให้มีความผิดให้ได้...
เรียกว่า ทีมงานทั้งหมด ของ "ไอ้หน้าคางคกปกป้องชั่ว" มันสารเลวได้ใจจริงๆน่ะครับ!!!"...
ท่านเคยสงสัยบางไหมว่า ทำไมทนายจึงเรียกค่าว่าความแพงนัก
เหตุที่ทนายความเรียกค่าว่าความแพง ส่วนหนึ่งมาจากขั้นตอนการดำเนินงานของทนายความ ในการฟ้องคดีแต่ละคดีมีความยุ่งยากซับซ้อนแตกต่างกันออกไป
ตั้งแต่เริ่มต้นวิเคราะห์พยานหลักฐาน การตั้งประเด็นที่จะฟ้อง รวมถึงข้อหาที่จะฟ้อง ทั้งนี้ หากไม่ดูให้ดีแล้ว บางครั้งอาจจะทำให้แพ้คดีได้ง่ายๆ
เมื่อตั้งประเด็นแล้ว ยังต้องไปค้นคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆว่า เคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับเรื่องประเด็นที่จะฟ้องหรือไม่ ถ้ามี ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้อย่างไร
เมื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆได้แล้ว ก็จะต้องมาดูเขตอำนาจศาลว่าจะต้องยื่นฟ้องที่ศาลไหน ร่างคำฟ้อง เรียบเรียงถ้อยคำให้รัดกุม มิให้มีช่องโหว่
เสร็จแล้วก็จะไปดำเนินการยื่นฟ้อง หลังจากยื่นฟ้องแล้ว จะต้องคอยไปศาลเพื่อดูแลติดตามการส่งหมายให้จำเลย จนกว่าจะถึงวันนัดพิจารณา การดำเนินการทั้งหลายที่กล่าวมา ล้วนแต่ต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ไม่ว่าค่ารถ ค่ากิน บางคดีที่จำเป็นต้องใช้รูปประกอบเป็นพยานหลักฐาน ก็จะต้องมีค่าฟิล์ม ค่าล้างรูป ตามมาอีก
ที่กล่าวมาเป็นในส่วนของการดำเนินการ ซึ่งยังมีในส่วนของความรับผิดชอบของงานอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งในคดีหนึ่งๆนั้นจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
การใช้ระยะเวลาเร็วที่สุดที่ผมเคยทำมาก็ประมาณ 3 เดือน แต่นั่นหมายถึงว่าจำเลยไม่ได้สู้คดี และศาลได้มีคำพิพากษาเลย แต่ถ้าจำเลยสู้คดี อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า บางคดี 1 ปี บางคดีก็มากกว่า
แล้วคุณคิดดู ถ้าเรื่องหนึ่งใช้ระยะเวลานานเป็นปี แล้วรายได้ไม่คุ้มกับงานที่ทำไป จะมีสักกี่คนที่จะทำงานจนสำเร็จ ฉะนั้น จึงมีส่วนของค่าความรับผิดชอบเพิ่มเติมเข้ามา คุณรู้ไหมว่าในแต่ละปี คนที่เรียนจบทางด้านนิติศาสตร์มีจำนวนไม่น้อย แต่คนเหล่านี้ส่วนหนึ่งไม่ประกอบอาชีพเป็นทนาย อีกส่วนหนึ่งเริ่มต้นประกอบอาชีพเป็นทนาย แต่ก็ต้องเลิกลาไป ทั้งนี้ ก็เพราะในตอนเริ่มต้นอาชีพใหม่ ยังขาดความเชื่อถือจากลูกความ ไม่ค่อยจะมีคดีให้ทำ บางคนต้องการทำถึงขนาดที่ว่ายอมเรียกค่าว่าความถูกๆเพื่อที่จะได้มีคดีทำ แต่ผลสุดท้ายก็ไปไม่รอด ต้องออกไปประกอบอาชีพอื่นๆ
ปัจจุบันมีทนายความที่จดทะเบียนเป็นทนายความทั่วประเทศประมาณสามหมื่นกว่าคน แต่ประกอบอาชีพทนายความจริงๆมีประมาณแค่หมื่นเศษๆเท่านั้น
สำหรับขั้นตอนการฟ้องคดีนั้น ผมได้แสดงเอาไว้ด้านล่างนี้ เป็นขั้นตอนเพียงคร่าวๆ
1. รวบรวมข้อมูล เอกสารหลักฐานต่างๆ
2. ร่างคำฟ้อง
3. ไปศาลครั้งที่ 1 ยื่นฟ้องพร้อมขอให้ศาลส่งหมายเรียกพร้อมสำเนาคำฟ้องให้จำเลย
4. ไปศาลครั้งที่ 2 ตรวจดูสำนวนว่าคำฟ้องที่ยื่นไปศาลรับคำฟ้องหรือไม่ และกรณีที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ปิดหมายเรียกไว้ที่ภูมิลำเนาของจำเลย กรณีที่ไม่มีผู้ใดรับหมายนั้น ศาลสั่งอนุญาตหรือไม่ หากไม่อนุญาตก็จะต้องดำเนินการแก้ไขต่อไป
5. ไปศาลครั้งที่ 3 ดูผลหมายว่าส่งได้หรือไม่ หากไปครั้งนี้ผลการส่งหมายยังไม่มา จะต้องไปใหม่อีกหนึ่งรอบ หากส่งได้แล้วก็จะดูว่าจำเลยรับหมายหรือปิดหมายไว้
6. ไปครั้งที่ 4 หลังจากวันที่ครบกำหนดที่จำเลยจะยื่นคำให้การได้ เพื่อดูว่าจำเลยยื่นคำให้การหรือไม่ หากจำเลยไม่ยื่นคำให้การก็จะต้องยื่นคำร้องขอศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขอให้ศาลมีคำพิพากษา
7. ไปครั้งที่ 5 เข้าสู่กระบวนพิจารณาครั้งแรก หากคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ศาลก็จะนัดให้สืบพยานโจทก์เลย แต่ถ้าคดีมีข้อยุ่งยาก ศาลก็จะนัดเป็นวันชี้สองสถาน (วันชี้สองสถานคือ วันที่ศาลจะมากำหนดว่าคดีนั้นมีประเด็นข้อพิพาทกันเรื่องใด แยกเป็นข้อๆ และจะกำหนดว่าให้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายที่นำพยานมาสืบก่อน) และกำหนดวันนัดครั้งต่อไป ส่วนใหญ่จะอยู่ในระหว่างระยะเวลาประมาณ เดือนครึ่ง ถึงสองเดือน หากศาลใดที่มีคดีค้างการพิจารณาอยู่มาก บางครั้งอาจจะต้องกำหนดนัดกันนานถึง 3 - 4 เดือนได้
8. ไปครั้งที่ 6 จนเสร็จสิ้นคดี ระยะเวลาเท่าใด ขึ้นอยู่กับจำนวนพยานที่แต่ละฝ่ายจะนำเข้าสืบ ส่วนใหญ่จะนำพยานมาเพียงแค่ปากเดียวต่อหนึ่งนัด เว้นแต่จะสืบพยานเพียงสั้นๆ ไม่ต้องถามหลายข้อ หรือไม่ซับซ้อนอะไร ก็อาจจะนำมาทีเดียว 2 - 3 ปากในหนึ่งนัดก็ได้ เหตุที่ทนายนำพยานมาเพียงแค่ปากเดียวในการสืบพยานหนึ่งนัด ก็เพราะว่าในการพิจารณาคดีของศาลในแต่ละวัน ศาลจะต้องพิจารณาทีเดียว 4-5 คดีในแต่ละช่วงของวัน คือช่วงเช้า และช่วงบ่าย หากทนายแต่ละคนนำพยานมาสืบกันทีเดียวหลายปาก ศาลย่อมไม่สามารถพิจารณาคดีได้หมด
หากคุณเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย ไม่ค่อยจะมีกะตังไปปรึกษาทนาย หรือ ไปจ้างทนายมาว่าความให้คุณ คุณก็สามารถขอรับการช่วยเหลือทางด้านกฎหมายได้ฟรี
โดยหากคุณต้องการเพียงขอคำปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับคดีความที่คุณถูกฟ้อง หรือเป็นเรื่องที่คุณต้องการใช้สิทธิทางศาล แต่ไม่รู้จะดำเนินการอย่างไร คุณสามารถไปขอคำปรึกษาได้ที่ ที่ทำการศาลทุกศาล ซึ่งจะมีโต๊ะสำหรับทนายความอาสาประจำอยู่ทุกศาล คอยให้คำปรึกษาชี้แนะกับประชาชนทั่วไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
และทนายความอาสาเหล่านี้จะให้แค่คำปรึกษากับคุณได้เท่านั้น ไม่สามารถว่าความให้กับคุณได้ เพราะเป็นข้อห้าม
ส่วนหากคุณต้องการทนายความว่าความให้กับคุณ คุณอาจจะต้องไปที่ ที่ทำการสภาทนายความ ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อขอรับการช่วยเหลือที่นั่น
แต่การขอรับการช่วยเหลือในกรณีนี้ จะมีเงื่อนไขอยู่ 2 ประการคือ
1. คุณต้องเป็นผู้ที่ยากจน และ
2. ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ต้องมีคุณสมบัติครบทั้ง 2 ประการ จึงจะสามารถขอรับการช่วยเหลือได้
อีกกรณีหนึ่งคือ กรณีที่คุณตกเป็นจำเลยในคดีอาญา หากคุณไม่มีทนายความว่าความให้ คุณสามารถร้องขอต่อศาลขอให้ตั้งทนายความให้ได้ ซึ่งศาลจะมีทนายขอแรงไว้ช่วยเหลือว่าความให้คุณ
ที่นี้ รู้หรือยังละว่า ทนายความฟรี.......มีที่ไหน (บ้าง)
โดย สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการป.ป.ช. อาจารย์พิเศษผู้บรรยายวิชาระบบศาลและหลักการพิจารณาคดี (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 เวลาประมาณ 09.30 น. ศาลอาญาได้อ่านคำวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (เลขาธิการ กปปส.) อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนายการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฐานผู้ร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำการหรือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 ทันทีที่คำวินิจฉัยถูกอ่านจบลงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหว
ผู้เขียนขอยืนยันในเรื่องนี้เพราะหลังเกิดการปฏิรูปประเทศไทยไม่มีนักข่าวโทรศัพท์มาขอสัมภาษณ์ผู้เขียนเหมือนก่อนมีการปฏิรูป แต่จากการที่ผู้เขียนต้องรับโทรศัพท์จากนักข่าวหลายสำนักเพื่อสอบถามปัญหาของคำวินิจฉัยคดีนี้สะท้อนให้เห็นว่าผลของคำวินิจฉัยนี้ก่อให้เกิดความสะเทือนต่อสังคมไทยโดยทั่วไปหลายๆ วงการ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้เขียนต้องเขียนบทความนี้เพื่อตอบสังคมแทนการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ นี่คือคำสัญญา
ก่อนเขียนบทความนี้ต้องขอยืนยันด้วยความเคารพต่อคำวินิจฉัยของศาลอาญา ซึ่งเป็นสถาบันศาลยุติธรรมที่ผู้เขียนใช้ชีวิตอยู่ถึง 36 ปี และขอถอดจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิพากษาศาลยุติธรรมและกรรมการ ป.ป.ช.ออกไป คงเหลือแต่จิตวิญญาณของอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายและประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ไม่เคยมีอคติต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดในหัวใจ
สาระสำคัญของคำวินิจฉัยนี้โดยสรุปก็คือศาลเห็นว่า"การที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมเพื่อการผลักดันการชุมนุม หรือสลายการชุมนุมหรือกระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่ตามที่โจทก์ฟ้องมานั้นล้วนแต่เกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ. ..................... หลังจากที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัวหรือไม่ได้กระทำที่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติหน้าที่หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ได้คัดค้าน............"
เพื่อความเข้าใจง่ายของคนทั่วไปขออธิบายว่าศาลยกฟ้องคดีนี้โดยอ้างเรื่องเขตอำนาจของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เรื่องเขตอำนาจศาลนั้นนับเป็นเรื่องสำคัญในการฟ้องคดี ซึ่งมีบัญญัติไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 17 ถึงมาตรา 23 ยกตัวอย่างเช่น ศาลแพ่ง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ส่วนศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา การยกฟ้องหรือคำร้องเมื่อมีการนำคดีมาฟ้องหรือร้องผิดศาลเป็นอำนาจของศาลย่อมกระทำได้ แต่คำวินิจฉัยของศาลในคดีนี้น่าจะมีปัญหาดังต่อไปนี้
1.การกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีนี้แม้จะเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ก็เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหลายบท เรื่องการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทนั้นขอยกตัวอย่างเช่น จำเลยเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องนอน จำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และฐานบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 และมาตรา 362 ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งมาตรา 276 และมาตรา 362 แม้จะเป็นการกระทำในครั้งเดียวกัน และหากฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องศาลก็จะลงโทษจำเลยโดยบทหนักที่สุดคือตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 ฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นไปตามหลักของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 เช่นเดียวกับความผิดของจำเลยทั้งสองในคดีนี้ โจกท์ฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 และมาตรา 157 เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยแม้จะเป็นกรรมเดียวแต่ก็ผิดกฎหมายหลายบท โดยสามารถแยกฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 ต่อศาลอาญาซึ่งมีเขตอำนาจ ส่วนความผิดตามมาตรา 157 โจทก์ (อัยการ) ก็มีอำนาจที่จะฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจอีกศาลหนึ่งและอยู่ในอำนาจไต่สวนของกรรมการ ป.ป.ช.
2.ที่ศาลอาญาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นถูกต้อง แต่คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยตามมาตรา 157 ตามที่ศาลยกฟ้องในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ฟ้องตามมาตรา 288, 83, 84 ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลอาญา เพียงแต่โจทก์อ้างในฟ้องถึงมูลเหตที่จำเลยทั้งสองมีคำสั่งดังกล่าวว่าเนื่องจากขณะนั้นจำเลยทั้งสองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ศาลได้ทราบถึงที่มาที่ไปของคำสั่งเท่านั้น
3.หากศาลอาญาจะยกฟ้องในเรื่องคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอาญาก็ควรจะอ้างเฉพาะข้อกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 9(1) ซึ่งบัญญัติถึงเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นต้น แต่ศาลอาญากลับไปวินิจฉัยในเนื้อหาของคดีว่า "ล้วนแต่เกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี... โดยอาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัวหรือไม่ได้กระทำที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง..."
มีความหมายว่าจำเลยออกคำสั่งตามหน้าที่ มิได้ปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่แต่อย่างใด ดังนี้ นอกจากศาลอาญาจะวินิจฉัยเรื่องอำนาจศาลแล้วยังก้าวล่วงไปวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยว่าไม่ผิดตามมาตรา 288 และเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในขอบอำนาจหน้าที่ไม่ผิดตามมาตรา 157 ด้วย (ก้าวล่วงเข้าไปในอำนาจของ ป.ป.ช. รวมทั้งอำนาจในการวินิจฉัยคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย)
4.การที่ศาลใช้อำนาจวินิจฉัยคดีเกินคำฟ้องโจทก์ (โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 288, 83, 84) เป็นกรณีที่ไม่ปฏิบัติไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่ง เกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง" (อัยการโจทก์ไม่ได้ขอให้ศาลลงโทษตามมาตรา 157 เพราะอัยการย่อมทราบดีว่ามาตรา 157 อยู่ในอำนาจไต่สวนของ ป.ป.ช.)
5.ศาลอาญายกฟ้องในเรื่องงอำนาจศาลอันเป็นข้อกฎหมาย แต่กลับก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยในข้อเท็จจริงคดีทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ จำเลยให้สิ้นกระแสความจึงอาจมีข้อผิดพลาดได้มากและผิดหลักการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาล
6.องค์ประกอบความผิดของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 กับองค์ประกอบความผิดของมาตรา 157 นั้นต่างกัน ผลคำวินิจฉัยของศาลอาญาฉบับนี้ ทำให้ความผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลอาญาไม่ได้รับคำวินิจฉัยอย่างรอบคอบถี่ถ้วน จากคำพยานโจทก์จำเลย แต่กลับไปวินิจฉัยข้อกฎหมายแล้วพิพากษายกฟ้อง ทั้งนี้ ขณะนี้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ก็ยังอยู่ในกระบวนการไต่สวนของกรรมการ ป.ป.ช. หากไต่สวนแล้วกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่าการะกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองไม่เป็นความผิด ก็จะต้องมีมติให้คดีนี้ตกไป ความผิดตามมาตรา 157 ที่ศาลอาญาอ้างว่าอยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ไม่มีโอกาสได้รับการพิจารณาพิพากษาโดยศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด
7.หากเกิดกรณีตามข้อ 6 สังคมไทยคงต้องกังขาและสั่นสะเทือนโดยเฉพาะความหนาวสะท้านในหัวใจของพ่อแม่พี่น้องคนที่เสียชีวิต 99 ศพ เพราะคนตายเกือบร้อยคน จะพึ่งฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่ได้ ฝ่ายบริหารก็ไม่มีทาง คงเหลือแต่ฝ่ายตุลาการคือศาล แต่ศาลอาญาท่านก็ว่าท่านก็ไม่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ครั้นจะไปขอความเป็นธรรมจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีเขตอำนาจคดีก็อาจจะไปไม่ถึงศาลหากคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ไต่สวนแล้วมีมติให้คดีตกไป คดีนี้ก็จะปิดฉากลง
ทั้งๆที่คนตายก็คือคนไทยด้วยกันและเขาเหล่านั้นก็หาใช่อาชญากรของแผ่นดินแต่อย่างใดและผู้ที่เป็นต้นเหตุให้เขาตายก็ใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งประหารพวกเขาทั้งๆที่ไม่ใช่ศาลซึ่งเป็นสถาบันที่ใช้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ความผิดที่อาจพอจะมองเห็นได้ก็คือเขาเหล่านั้นมีความคิดเห็นในทางการเมืองตรงกันข้ามกับความคิดเห็นของผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศในขณะนั้นเท่านั้น ความผิดเพียงเท่านี้สมควรแล้วหรือที่เขาจะถูกพิพากษาประหารชีวิต โดยมิได้ผ่านกระบวนการยุติธรรม แต่พอครอบครัวของผู้ตายเดินเข้ามาขอความเป็นธรรมตามสิทธิที่พวกเขาพึงมีพึงได้
แต่ก็กลับถูกปฏิเสธ จึงเป็นเรื่องใหญ่เนื่องจากนอกจากคนตายซึ่งเป็นคนไทยแล้วยังมีชาวต่างประเทศถูกสังหารด้วย หากเรื่องนี้มิได้ถูกดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมด้วยหลักนิติธรรมแล้วผลเสียหายก็จะบังเกิดแก่ประเทศชาตินี้อย่างใหญ่หลวง แต่ในความมืดมิดก็ได้ปรากฏการณ์มีแสงสว่างเกิดขึ้นเมื่อท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ใช้อำนาจของท่านตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 11 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรับผิดชอบในราชการของศาลให้เป็นไปโดยเรียบร้อย และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย
(1) นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีใดๆ ของศาลนั้น หรือเมื่อได้ตรวจสำนวนคดีใดแล้วมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้......"
ความเห็นแย้งของท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาจึงน่าจะมีน้ำหนักที่ใช้ในการประกอบดุลพินิจของศาลสูงเมื่อมีการอุทธรณ์ฎีกาโดยพนักงานอัยการโจทก์ต่อไป
(มติชนรายวัน3กันยายน2557)
จากไทยรัฐออนไลน์ 29 ส.ค. 2557
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเผยเป็นครั้งแรกที่มีความเห็นแย้งในคำพิพากษาหลังศาลอาญายกฟ้อง ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ สั่งขอคืนพื้นที่จากเสื้อแดง ถามคดีที่สู้กันศาลเดียวกับสามศาลอันไหนเหมาะสมกว่ากัน ยันไม่ขอเป็นองค์คณะในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ
ภายหลังจากที่ศาลอาญา ได้วินิจฉัยที่คดีที่พนักงานอัยการฯเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือพระสุเทพ ปภากโร อดีตรองนายกฯและผอ.ศอฉ. กรณีออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน และแยกราชประสงค์จากกลุ่มนปช. ที่ชุมนุมตั้งแต่เดือนเมย.-19 พ.ค.53 จนมีผู้เสียชีวิตหลายราย
โดยที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ในฐานะนายกฯ และรองนายกฯ รวมทั้งผอ.ศอฉ. ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัว จึงเป็นอำนาจของป.ป.ช.ที่จะไต่สวน และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดต้องยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจศาลอาญา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ นายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้มีความเห็นแย้งไว้ท้ายคำสั่งศาล ว่า ศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี การฟ้องหากคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีเฉพาะข้อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเท่านั้น ดังนั้น เมื่อมีการกล่าวหาจำเลยทั้งสองในความผิดอาญา ฐานร่วมกันมีเจตนาฆ่าผู้อื่น กรณีนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลทั้งสองมีอำนาจขัดแย้งกัน
มีรายงานเพิ่มเติมเรื่องนี้เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่รับราชการมา เคยผ่านตำแหน่ง หัวหน้าศาล รองประธานศาลอุทธรณ์ มาก่อน ที่ทำความเห็นแย้งในคำพิพากษา ก็เพื่อหากคู่ความต้องการใช้สิทธิ์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็จะตรวจดูสำนวนและดูความเห็นแย้งที่ตนบันทึกไว้ การทำความเห็นแย้งจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ คดีนี้ก่อนมีคำพิพากษา องค์คณะได้มาหารือกับตนแล้วตนก็ให้คำแนะนำไป ซึ่งผู้พิพากษามีความเป็นอิสระ คดีนี้ตนไม่คิดจะโอนสำนวนจากองค์คณะนี้ไปองค์คณะอื่น เพราะการโอนสำนวนส่วนใหญ่จะทำในระดับศาลสูง แต่คดีนี้องค์คณะเพียงอยู่ในชั้นตรวจพยานหลักฐานเท่านั้น เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ก็มีคำพิพากษาออกไป เพราะท่านมีอำนาจพิจารณาพิพากษา จะไปก้าวก่ายไม่ได้
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เผยอีกว่า คดีที่มีสามศาล กับศาลเดียว ศาลใดจะเหมาะสมกว่ากัน ถ้าคดีนี้ไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ศาลเดียวจบ แต่ถ้าคดียังอยู่ในศาลอาญา ก็มีโอกาสสู้กันถึงสามศาล โจทก์มีภาระการพิสูจน์ตามข้อกล่าวหาว่า มีการกระทำความผิดหรือไม่ จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ ศาลจะลงโทษเพียงใด ดูง่ายๆ ศาลอาญามีองค์คณะ 2 คน มีรองอธิบดี อธิบดีกลั่นกรอง ศาลอุทธรณ์มีองค์คณะ 3 คน มีกองเซ็นเซอร์อีก 7 คน มีรองประธาน มีประธานศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็เช่นกัน แต่กองเซ็นเซอร์ ถึงสองกอง ดังนั้นถ้าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลอาญาจนถึงศาลฎีกา ก็จะมีผู้พิพากษาช่วยกันกลั่นกรองกว่า 20 คน
ท้ังนี้ เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีใหญ่ เป็นปัญหาความสงบ มีคนตายถึง 99 คน มีญาติคนตายเกี่ยวข้องเป็นผู้เสียหายจัดการแทนหลายคน เป็นคดีฆ่า เป็นอาญาแผ่นดิน มีต่างประเทศมาเกี่ยวข้อง มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดีไหนทหารยิง ก็บอกว่าทหารยิง คดีไหนฟังไม่ได้ว่าทหารได้ยิง ศาลก็สั่งว่าทหารไม่ได้ยิง คดีเรื่องนี้ควรจบที่ศาลยุติธรรม
ถามว่าผู้เสียหายฟ้องเองได้หรือไม่ เขามีฟ้องมาแล้ว และโอนมาที่ศาลอาญา ก็ให้รอดูต่อไปถ้าคดีนี้ ป.ป.ช.ฟ้อง และคดีเข้าสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ก็จะมีการประชุมใหญ่ เพื่อเลือกผู้พิพากษาองค์คณะ ถึงเวลาตนนั้นตนคงเป็นหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และตนจะไม่ขอรับเป็นองค์คณะ 9 คน ใครเสนอชื่อตนจะปฏิเสธก็เพราะว่ามีส่วนได้เสีย เคยทำความเห็นแย้งไปแล้ว และระหว่างอุทธรณ์ ฎีกาคำสั่งคดีนี้ ทางป.ป.ช. ก็มีอำนาจไต่สวนของท่านไป ป.ป.ช.มีใครบ้าง ใครเป็นใคร ตนไม่ขอพูดถึง ไม่อยากวิจารณ์
"ผมไม่อยากพูด ว่าศาลรีบตัดฟ้องหรือไม่ รอดูศาลอุทธรณ์ ถ้าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนก็เป็นที่สุด เพราะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ในนาทีนี้ เราต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ว่า คนที่ถูกฟ้องเขาทำผิดจริงหรือไม่ ยังไม่มีใครรู้ มีคนตายคนเจ็บ มีพ่อ มีแม่ สามี ภรรยา ที่รอฟังคำพิพากษาอยู่ ซึ่งการพิจารณาก็ต้องมีกติกา ผิดก็ลงโทษ ไม่ผิดก็ยกฟ้อง ผมเห็นใจทุกฝ่าย สุดท้ายก็อยู่ที่ศาลตัดสิน ถ้าไม่มีศาล สังคมก็อยู่ไม่ได้เกิดการแก้แค้นกันเอง จะเป็นอันตรายมาก" อธิบดีศาลอาญากล่าว
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
เชื่อเลยว่าหลายคนยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะแบบผิด ๆ กันอยู่ เพราะส่วนใหญ่เข้าใจว่า ยาปฏิชีวนะ คือ ยาแก้อักเสบ ที่สามารถรักษาอาการป่วยได้ชะงัด โดยเฉพาะคนที่เจ็บคอเป็นหวัดมักจะวิ่งหายาแก้อักเสบมาทานเอง บางคนทานหมดไปหลายแผงแล้วก็ยังไม่หาย จนถึงกับดื้อยาเลยทีเดียว เพราะความเชื่อผิด ๆ ที่เข้าใจกันมานมนาน
วันนี้กระปุกดอทคอม ก็เลยนำข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างปลอดภัย และถูกต้อง จาก สำนักคณะกรรมการอาหารและยา มาบอกให้กระจ่างกัน
ยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาแก้อักเสบ
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่คนทั่วไปมักเรียกยาปฏิชีวนะว่า ยาแก้อักเสบ ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะการอักเสบส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จึงไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา เช่น หลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ คออักเสบจากเชื้อไวรัส ข้ออักเสบจากโรคเกาต์ อาการปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นต้น
ยาปฏิชีวนะมีหลายชนิด เช่น เพนนิซิลลิน อะม็อกซีซิลลิน เตตร้าซัยคลิน เอซิทโทรมัยซิน ซิพโพรฟล็อกซาซิน โคทรัยม็อกซาโวล ซัลฟาคลินดามัยซิน แต่ละชนิดใช้รักษาแบคทีเรียต่างกัน
ดังนั้น อย่าเรียก "ยาปฏิชีวนะ" ว่า ยาแก้อักเสบ เพราะทำให้เข้าใจผิดว่า ทุกครั้งที่มีอาการอักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ จะต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งไม่ถูกต้อง
3 โรคหายได้ ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
หวัดเจ็บคอ...ต้องกินยาปฏิชีวนะหรือไม่?
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหวัดเจ็บคอต้องกินยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ นั่นคือความเชื่อที่ผิด เพราะหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส แต่ยาปฏิชีวนะใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การกินยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น โรคหวัดเจ็บคอ ไข้หวัดใหญ่ จึงเป็นการใช้ยาไม่ถูกกับโรค
วิธีรักษาที่ดีที่สุด คือ ดื่มน้ำอุ่น และพักผ่อนให้เพียงพอ ภูมิต้านทานของร่างกายจะทำลายเชื้อไวรัสเอง
ท้องเสีย...อาหารเป็นพิษ ยาปฏิชีวนะช่วยได้ไหม?
ยาปฏิชีวนะใช้ได้ผลกับอาการท้องเสียที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น แต่อาการท้องเสียที่พบบ่อย (มากกว่า 99%) เกิดจากอาหารเป็นพิษ หรือติดเชื้อไวรัส ซึ่งหายได้เอง ยาปฏิชีวนะใช้ไม่ได้ผล
วิธีรักษาที่ดีที่สุด คือ ดื่มน้ำเกลือแร่ กินอาหารอ่อน ๆ งดอาหารรสจัด หรือย่อยยาก
ยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อจากแผลเลือดออก?
ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในบาดแผลเลือดออกทั่วไป และไม่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น อย่านำยาเม็ดปฏิชีวนะไปบดเป็นผง หรือแกะแคปซูลออกแล้วโรยแผล เพราะผงยาอาจไม่สะอาด และปิดกั้นการระบายอากาศ อาจทำให้แผลติดเชื้อหรือเน่าได้
ถ้าแผลไม่สัมผัสสิ่งสกปรก ล้างแผลอย่างถูกวิธี รักษาความสะอาดของแผลให้ดี เพียงเท่านี้ แผลก็หายเองได้ แต่ถ้ามีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน) หรือถ้าแผลบวม อักเสบ กรณีนี้ต้องรีบไปหาหมอเพื่อรับยาปฏิชีวนะ
อันตราย...หากใช้ยาปฏิชีวนะไม่ถูกต้อง
แพ้ยา มีตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น มีผื่น คัน จนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต เช่น รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก และช็อก
อาการข้างเคียง มีตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้ ท้องเดิน , อาการรุนแรง เช่น ตับอักเสบ และเอ็นร้อยหวายฉีกขาด
ดื้อยา ถ้าเชื้อดื้อยาทำให้ต้องกินยาปฏิชีวนะชนิดที่อันตรายมากขึ้น เสียเงินขึ้น ใช้เวลารักษานานขึ้น สุดท้ายยาอะไรก็รักษาไม่หาย เชื้อดื้อยาสามารถติดต่อได้ผ่านทางการไอ จาม และทางการรับประทาน ถ้าเชื้อดื้อยากระจายออกไปจะเป็นอันตรายร้ายแรงมากต่อสังคมไทย
ติดเชื้อแทรกซ้อน จะทำให้ติดเชื้อราแทรกซ้อน เช่น มีตกขาว คันก้น หรือเป็นเชื้อราในช่องปาก หรือชักนำให้ติดเชื้อแบคทีเรียชนิดที่รักษาได้ยาก ทำให้ป่วยหนัก ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
ข้อปฏิบัติง่าย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
อย่าเรียกยาปฏิชีวนะ ว่า ยาแก้อักเสบ เพราะทำให้เข้าใจผิดว่าทุกครั้งที่มีอาการอักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ จะต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งไม่ถูกต้อง
สอบถามแพทย์ หรือเภสัชกรผู้จ่ายยาถึงความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะ
ไม่เรียกร้องยาปฏิชีวนะจากแพทย์ หรือซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง เพราะอันตรายมาก และทำให้เชื้อดื้อยา
อย่าใช้ยาปฏิชีวนะตามที่คนอื่นแนะนำ เพราะยานั้นอาจเหมาะสมกับเขา แต่อาจเป็นอันตรายกับเรา เพราะโรคและสภาพร่างกายของแต่ละคนต่างกัน
ระลึกเสมอว่ายาปฏิชีวนะเป็นยาอันตราย ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น หากจะใช้ต้องมั่นใจว่ามีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร โดยกินยาให้ครบตามขนาดและตามกำหนดอย่างเคร่งครัด
เมื่อเกิดการเจ็บป่วยที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ อย่ารีบใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับตัวคุณ ครอบครัว และสังคม
โดย คุณดาวดิน ประชาทอล์ค
อุปนิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่คนไทยควรสังวร…
ในฐานะคนไทยที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่อยากจะเล่านิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ให้คนไทยได้รู้จักกันหน่อย คนไทยที่ประเทศไทยคงคิดว่า คนจีนแผ่นดินใหญ่นิสัยก็คงเหมือนคนจีนในประเทศไทย คุณกำลังเข้าใจผิดอย่างแรง เพราะคนจีนในประเทศไทยได้รับการหล่อหลอมจากหลายวัฒนธรรมรวมทั้งวัฒนธรรมไทย แม้แต่คนจีนในเมืองไทยที่ยังมั่นคงในวัฒนธรรมจีนแท้ๆ ก็ยังได้รับผลบุญจากวัฒนธรรมจีนที่สั่งสอนกันมาถึง 2000 กว่าปี คำสอนของขงจื้อ ลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธมหายาน การนับถือบูชาบรรพบุรุษ ยังมีการสืบทอดมาถึงลูกหลานคนจีนในเมืองไทย ถ้าให้เทียบแล้วคนจีนในเมืองไทยนิสัยเป็นยังไง ต้องเอาสิบคูณถึงจะเข้าใจนิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่
ด้วยเหตุที่ประเทศจีนปิดประเทศมานานในช่วงที่ท่านประธานเหมาเจ๋อตงนำการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มาปกครองประเทศ ผมถือว่าไม่ได้เป็นช่วงเลวร้ายหรอก ถ้าศึกษาอุปนิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่จริงๆ ช่วงที่เลวร้ายและคนจีนอยากจะลืมประวัติศาสตร์หน้านี้ก็คือ ช่วงปฎิวัติวัฒนธรรม โดย แกงค์สี่คน ที่มีเจียงชิงภรรยาของท่านประธานเหมาเจ๋อตง นั่นแหละเป็นช่วงสูญญากาศของวัฒนธรรมจีนอย่างแท้จริง มีการเผาตำราเก่าโบราณ ตำราแห่งรากเหง้าศิลปและวัฒนธรรม ทำลายวัดวาอารามไม่ว่าของศาสนาอะไร ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลามแม้กระทั่งลัทธิเต๋าเจอกันทั่วหน้า และที่น่ากลัว คือ การวิพากษ์คนและกล่าวหาผู้กระทำผิด รวมทั้งมีการให้ลูกหลานวิพากษ์และกล่าวหาพ่อแม่ของตนเองกลางชุมชน ทำให้สังคมครอบครัวซึ่งเป็นสังคมพื้นฐานถูกทำลาย การปฎิวัติวัฒนธรรมช่วงนี้กี่ปีผมจำไม่ได้ แต่ที่รู้ทำให้นิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนไป เป็นพวกประเภทชอบปัดความรับผิดชอบและไม่กล้ารับผิดชอบ เพราะถ้าเป็นในยุคนั้น อาจถึงตายได้เพราะถ้าไปรับผิดชอบสุ่มสี่สุ่มห้า กลายเป็นคนก้าวร้าว ไม่นับถือผู้มีอายุมากกว่า ลืมศิลปวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีจีนดีๆที่ปฎิบัติกันมา
นิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ผมประสพพบอยู่ในชีวิตประจำวัน เอาลักษณะเด่นๆมาเล่าสู่กันฟัง มีดังนี้
1. พูดเสียงดัง ผมว่าผมเป็นคนเชื้อสายจีนที่เกิดในเมืองไทยและพูดเสียงดัง จนบางทีเพื่อนผมมันรำคาญแล้วนะ แต่มาอยู่ที่ผมดูดีขึ้นเยอะ เป็นคนสุภาพขึ้น เพราะที่นี่ไม่รู้คุยอะไรกันดังหนักหนา เหมือนกับตะโกนใส่กัน ทุกครั้งที่ผมเข้าประชุมจะหูอื้อทุกที เพราะแย่งกันพูด แย่งกันคุยในขนาดเสียง 60 เดซิเบลอย่างต่ำ และถ้าคุณไปทานอาหารที่ภัตตาคาร หรือร้านอาหารกรุณาจองห้องส่วนตัว เพราะถ้าคุณนั่งในห้องรวม ไม่รู้โต๊ะข้างๆเอาเรื่องอะไรมาคุยกันได้มากมาย ขนเอาเรื่องจากที่ไหนมาพูดไม่รู้ เหมือนไม่ได้เจอกันมาสิบสิบปี ดังก้องไปทั้งร้าน เอาเป็นว่าคุณทานอาหารไป หูอื้อไป
2. เวลาพูดชอบมองจ้องและชี้หน้า ถ้าเป็นวัฒนธรรมไทยใครมาทำแบบนี้ ชกกันแล้วครับ ข่าวไทยรัฐแค่มองหน้าก็กลับบ้านเก่าแล้วมีให้เห็นบ่อยๆ แต่ที่นี่เวลาพูดกับคุณเขาจะจ้องคุณและชี้หน้าคุณ ไม่ได้หมายความว่า เขาเป็นศัตรูกับคุณมาแล้วหมื่นๆปี แต่เขาต้องการให้คุณรู้ว่า เขากำลังพูดอยู่กับคุณ และให้คุณตั้งใจฟังที่เขาพูด ไม่งั้นจะเดินมาพูดและพ่นน้ำลายรดหน้า เพราะภาษาจีนบางคำพูดแล้วน้ำลายกระเด็นออกมาถึงพูดชัด ไม่เชื่อคุณไปหัดเรียนดู
3. ไม่มีวินัยในการเข้าแถว อันนี้เมืองไทยดีกับเขาหน่อยเพราะสั่งสอนกันมาเป็นสิบๆปีแล้ว แต่ที่นี่แตกแถวตลอด หน้ากระดานเรียงหนึ่ง ผมมาใหม่เรียกแท็กซี่ปวดหัวประจำ เราเรียกตรงนี้ เขาไปดักข้างหน้า หรือไม่ไปยืนหน้าแท็กซี่คันที่เราเรียกพอแท็กซี่จอดให้เรา หรือพอเราเรียนรู้ทำแบบเขาบ้างเจอดีกว่า พอเราเรียกแท็กซี่จอด ใครไม่รู้มาจากไหนมายืนดักแท็กซี่คันที่จอดให้เรา แต่ที่แย่กว่าขณะที่เรากำลังทะเราะกับไอ้คนที่มาดักหน้าแท็กซี่คันที่เราเรียก ดันมีตาอยู่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงเปิดประตูแท็กซี่ขึ้นไปนั่งเฉย ให้ลงก็ไม่ลง มันบอกว่า ผมได้สิทธิไปแล้ว ทำแบบเกมส์เศรษฐีของคุณไตรภพเลย
4. ไม่รู้จักคำว่า เกรงใจ ทั้งๆที่มีคำว่า เกรงใจ ในภาษาจีนด้วย คุณเคยไปเลือกซื้อของไหม ของที่คุณกำลังเลือกกำลังจะซื้อ อยู่ๆก็มีคนมาแย่งไปจากมือ เคยเห็นไหมละ ที่นี่บ่อยๆ คำว่า “เกรงใจ” 不客气 อ่านว่า ปู้เค่อชี่ (BuKeQi) ส่วนมากใช้กับคนรู้จักหรือสนิทสนนกัน ส่วนมากใช้ตอนที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเท่านั้น แต่ถ้าคนแปลกหน้าอย่างหวัง ชาติหน้าตอนสายๆ
5. โลภมาก ไม่รู้จักคำว่าพอ เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจจะเนื่องจากประเทศเขาใหญ่ ประชาชนก็มีมาก เลยต้องแย่งกันทำมาหากิน และระบอบของรัฐยังไม่สามารถจัดสวัสดิการให้ถึงทั่วทุกคน จึงทำให้คนจีนส่วนใหญ่พยายามไขว่คว้าเพื่อหาหลักประกันของตน ประเทศนี้จึงมีเงินฝากมาก แต่ปัญหาที่เกิดคือพอมีแล้วไม่รู้จักพอ เศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองจีนเมื่อ 2-3ปีที่แล้วโดนรัฐบาลจีนจับไปเพราะความโลภ เศรษฐีอันดับหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ ชิ่อ จูเจิ้งอี้ ที่คิดจะซื้อห้างสรรพสินค้า Super Brand Mall ของกลุ่มบริษัทซีพีของไทย ตอนนี้ก็นอนอยู่ในคุก แล้วตอนนี้กำลังสอบสวนฐานมีส่วนร่วมในการคอรัปชั่นเงินกองทุนประกันสังคม ที่ทำให้ผู้ว่าเซี่ยงไฮ้คนก่อนโดนปลดและถูกดำเนินคดีอยู่ แถมเมื่อ 2-3 วันศาลเมืองจีนลงโทษผู้คุมคุกที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการอยู่ในคุกตลอดจนทำเรื่องลดโทษให้เศรษฐีคนนี้เป็นเวลา 11 ปี เพราะโดนเศรษฐีคนนี้ซื้อไป
6. ทำงานไม่รับผิดชอบ นี่คือปัญหาใหญ่ในการทำงานที่นี่ ส่วนมากจะทำงานไม่รับผิดชอบ กัน เวลาเจอปัญหาจะเตะปัญหาออกจากตัวเป็นว่าเล่น และส่วนใหญ่ความผิดจะไปอยู่ที่คนที่ไม่อยู่ตอนนั้น หรือไม่อยู่ในที่ประชุม แถมยังLobbyกันให้โยนปัญหาอีกต่างหาก ผมว่าอันนี้อิทธิพลมาจากในช่วงปฎิวัติวัฒนธรรมที่เล่ามาข้างต้น และสั่งสอนสืบต่อกันมาจนเป็นพฤติกรรมที่ปฎิบัติกันทั่วไป
7. เอาความฉลาดไปใช้ในการโกงมากกว่าสร้างสรร อันนี้ทีเด็ดเอาเรื่องแบบเป็นตัวอย่างมาเล่าให้ฟังสักเรื่อง คุณเคยได้ยินพวกขายสินค้าให้กับทางห้างสรรพสินค้า หรือห้างพวกโลตัสหรือคาร์ฟูร์ที่เมืองจีนไหม ธรรมดาตอนเก็บเงินพวกขายสินค้าพวกนี้จะมารอทวงเงินกัน มากันเป็นร้อยๆบริษัท ซึ่งก็ต้องรอคิวกันบางวันติดต่อก็ได้เงิน บางวันโดนผลัดถ้ดไปเป็นวันอื่นๆ ทางห้างเห็นคนมามากก็เลยทำเครื่องจ่ายบัตรคิว แต่ก็มีคนขายสินค้าบางคนหัวใส ตื่นเช้ามากดบัตรคิวเอาไว้ขาย 100 ใบ ใบละ 10 หยวนและขายหมดด้วยเพราะคนไม่อยากรอกัน ตกลงวันนั้นทวงเงินไม่ได้ก็มีเงินติดกระเป๋ากลับบ้าน 1000 หยวนเทียบเงินไทยก็ 5000 บาท รายได้ดีไหม ปัญหาคือผู้ค้าสินค้ารายอื่นไม่ยอมเสียเปรียบไปร้องหนังสือพิมพ์ แต่กลายเป็นว่า ไปลงว่าห้างขายบัตรคิวทั้งๆที่ไม่ใช่ห้างทำ ห้างนั้นก็เลยเสียชื่อไป ยังมีเรื่องอื่นทำนองนี้อยู่เยอะ
วันนี้เอาแค่นี้ก่อนเพราะยังมีอีกเยอะแต่กลัวความเรียงจะยาวเกินไป พยายามหาข้อมูลมาบอกเพื่อให้เข้าใจคนจีนแผ่นดินใหญ่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นทุกๆคนหรอกนะ .
วันที่: Fri Nov 15 17:17:25 ICT 2024
|
|
|
โกงกปส. ทำให้คนไทยและประเทศชาติเสียหายไปหลายแสนล้าน..
เกิดขึ้นในยุครัฐบาลชวน 2 พวกมันไม่เคยพูดถึง..
วันนี้..กองทุนฟื้นฟูฯยังต้องแบกภาระหนี้เอาไว้กว่าล้าน ๆ บาท..
เพราะพวกใครกันเล่าวุ้ยยยย.....????