วันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2557 เป็นวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10
เกวัฏฏะ ! นี่ปาฏิหาริย์สามอย่าง ที่เราได้ทำให้
แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้.
๓ อย่างอะไรเล่า ? ๓ อย่าง คือ :-
๑. อิทธิปาฏิหาริย์
๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์
๓. อนุศาสนีปาฏิหาริย์
(๑) เกวัฏฏะ! อิทธิปาฏิหาริย์นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
เกวัฏฏะ ! ภิกษุในกรณีนี้ กระทำอิทธิวิธีมีประการต่าง ๆ :
ผู้เดียวแปลงรูปเป็นหลายคน, หลายคนเป็นคนเดียว, ทำที่
กำบังให้เป็นที่แจ้ง ทำที่แจ้งให้เป็นที่กำบัง, ไปได้ไม่
ขัดข้อง ผ่านทะลุฝา ทะลุกำแพง ทะลุภูเขา ดุจไปใน
อากาศว่าง ๆ, ผุดขึ้นและดำรงอยู่ในแผ่นดินได้เหมือนในน้ำ,
เดินไปได้เหนือน้ำ เหมือนเดินบนแผ่นดิน, ไปได้ใน
อากาศเหมือนนกมีปีก ทั้งที่ยังนั่งสมาธิคู้บัลลังก์. ลูบคลำ
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อันมีฤทธิ์อานุภาพมาก ได้ด้วย
ฝ่ามือ. และแสดงอำนาจทางกายเป็นไปตลอดถึงพรหม
โลกได้.
เกวัฏฏะ ! กุลบุตรผู้มีศรัทธาเลื่อมใสได้เห็นการ
แสดงนั้นแล้ว เขาบอกเล่าแก่กุลบุตรอื่นบางคน ที่ไม่
ศรัทธาเลื่อมใสว่าน่าอัศจรรย์นัก. กุลบุตรผู้ไม่มีศรัทธา
เลื่อมใสนั้น ก็จะพึงตอบว่า วิชา ชื่อ คันธารี มีอยู่ ภิกษุ
นั้นแสดงอิทธิวิธีด้วยวิชานั่นเท่านั้น. เกวัฏฏะ ! ท่านจะ
เข้าใจว่าอย่างไร : ก็คนไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส ย่อมกล่าว
ตอบผู้เชื่อผู้เลื่อมใสได้อย่างนั้น มิใช่หรือ ?
“พึงตอบได้ พระเจ้าข้า !”
เกวัฏฏะ!
เราเห็นโทษในการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
ดังนี้แล จึงอึดอัด ขยะแขยง เกลียดชัง ต่อ
อิทธิปาฏิหาริย์.
(พุทธโอษฐ์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระไตรปิฏกเล่มที่ 9 หน้าที่ 273 - หน้าที่ 276)
ขิงเน่า น่าอนาถนัก
ดูรายชื่อคร่าวๆของ ครม. ชุด ตู่ 1 แล้ว ขอตั้งฉายาให้ว่า ครม.ชุด "ขิงเน่า" ...
เพราะมันทำให้ ครม. "ขิงแก่" ของ บิ๊กแอ๊ด สุรยุทธ์ ดูดีขึ้นเยอะเลย ...
...
- มหาดไทย,พาณิชย์, ต่างประเทศ,ทรัพยากรฯ,ศึกษา,ยุติธรรม ฯลฯ ... เอาทหารแก่ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเหล่านี้เลยมาเป็น - อุตสาหกรรม, เกษตร, สำนักนายก, วัฒนธรรม , ฯลฯ ... เอา ปลัดแก่ มาเป็น ...
// ทีมเศรษฐกิจ // - รองนายก "อุ๋ย 100 จุด" ที่เรารู้จักฝีมือกันดีจากยุค "ขิงแก่" จะขอกลับมาแก้มืออีกครั้ง (หวังว่าครั้งนี้จะทำได้ 200 จุด) ...
- รมต.พลังงาน "ดร. ณรงค์ชัย " ที่ใครเกิดทันจะรู้จักกันดีว่าแกเป็น 1 ใน "Dream Team" เศรษฐกิจของ รบ. บิ๊กจิ๋ว .... เข้าใจว่าถ้าเป็น "Dream Team" ก็คงเป็นยุคที่ไปเล่นโอลิมปิคแล้วแพ้จีน แพ้บราซิล
- รมต.พาณิชย์ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ... "เพื่อนซี้บิ๊กตู๋" .... ฟังคำอธิบายแค่นี้ก็รู้แล้วว่าฝีมือมีน้อยแค่ไหน
- รมต.คมนาคม พล.อ.อ. ประจิน ... ที่มีผลงานในความทรงจำเลยคือการ ลาออกจาก "ประธานบอร์ด" การบินไทยก่อนจะประกาศงบขาดทุนหมื่นล้าน เพื่อมาเป็น รมต.
- รมต.คลัง ... สมหมาย ภาษี ... อดีต รมต ช่วยคลัง ในยุค "ขิงแก่" ที่ต้องลาออกเพราะโดนศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในข้อหา "ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ"... โชคดีศาลให้ประกัน และอยู่ระหว่างอุทธรณ์
นับถอยหลังได้เลย แค่อุ๊ยร้อยจุดก็ขนหัวลุกกันทั้ง
หม่อมอุ๋ย ร้อยจุด
ตลาดหุ้นช็อกตกเกิน 100 จุด ต่างชาติหนีเทขายหมดเกือบแสน ล.
โดย เดลินิวส์ วัน พุธ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2549 08:49 น.
ตลาดหุ้นช็อกตกเกิน 100 จุด ต่างชาติหนีเทขายหมดเกือบแสน ล.
“หม่อมอุ๋ย” กลับลำกลางอากาศ ยกเลิกมาตรการแบงก์ชาติ ตั้งสำรอง 30% สำหรับต่างชาติลงทุนตลาดหุ้นไทย ส่วนนักลงทุนผ่านตราสารหนี้-พันธบัตรยังคง ยาขม ไว้เหมือนเดิมป้องกันเก็งกำไร หลังปิดตลาดตอนเย็น หุ้นดิ่งพสุธากว่า 100 จุด มูลค่าซื้อขายกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท เหตุต่างชาติกระหน่ำขายไม่ยั้ง ทำ ตลท. ร้อนผ่าว ต้องประกาศหยุดซื้อขายชั่วคราวครั้ง แรกในประวัติศาสตร์ ผู้ส่งออกเฮ ยกแบงก์ชาติเป็นฮีโร่ช่วยชีวิต เผย ก่อนได้ข้อสรุป รมว.คลัง ระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้วยตัวเองนาน 2 ชม. ปลอบ อย่าตกใจ หุ้นมีขึ้นมีลง ยอมรับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ธปท.เปิดฮอตไลน์สายด่วนไขข้อข้องใจ
เเสงออร่า...
ออร่าคืออะไร คำว่าออร่ามาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ
มาจากภาษากรีก แปลว่าลมหายใจ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับออร่า
- แสงฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าที่เราเห็นตามฝาผนังโบสถ์
- ภาพรัศมีของพวกนักบุญฝรั่ง
ส่วนหลักฐานที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร พบในยุโรปประมาณเกือบ 1,000 ปีมาแล้ว โดยกล่าวถึงออร่าว่า มี 4 จำพวกคือ
1. นิมบัส Nimbus มีลักษณะเป็นหมอก
2. ฮาโล Halo เป็นรัศมี
3. ออเรโอลา Aureola เป็นแสงรอบตัว
4. กลอรี่ Glory เป็นแสงที่รวมเอาแสงที่ศีรษะและรอบตัวเข้าด้วยกัน (ภาพ)
แสงออร่าไม่ใช่เรื่องใหม่
หลายๆ คนอาจจะมองออร่าไม่เห็น แต่ทุกคนสามารถรับข้อมูลและความรู้สึกจากแสงออร่าของผู้อื่นได้ จากประสบการณ์ดังนี้
1. รู้สึกสดชื่นหรือห่อเหี่ยว เมื่อได้ยินเสียงใครบางคน
2. รู้สึกว่าเพื่อนคุณสวยหรือหล่อเป็นพิเศษ เมื่อสวมเสื้อผ้าสีใดสีหนึ่ง
3. รู้สึกว่าคุณสดชื่นขึ้นเมื่อสวมเสื้อผ้าสีใดสีหนึ่ง
4. รู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ เมื่อเหลียวกลับไปก็มีคนจ้องอยู่จริง
5. รู้สึกชอบหรือเกลียดขี้หน้าคนบางคน ทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
6. รู้สึกโกรธหรือสงบเมื่อย่างเท้าเข้าไปในสถานที่บางแห่ง
7. รู้สึกว่าคนที่คุยด้วยไม่จริงใจกับคุณ และภายหลังคุณพบว่าความรู้สึกนั้นถูกต้อง
ถ้าคำตอบเหล่านี้คือ ใช่ แสดงว่าคุณสามารถสัมผัสออร่าได้ และหากฝึกฝนคุณก็สามารถสัมผัส ได้ด้วยตา มือ จิต และอ่านความหมายได้ รวมไปถึงหากดูแลรักษาสุขภาพ แสงออร่าของตัวเอง จะช่วยให้ร่างกายคุณ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมีแต่ความสุขกายสบายใจ
กลับสู่ด้านบน
มี 2 ประเภท
1. สีของความคิดและอารมณ์
จะมีลักษณะเป็นหมอก มีความไหลปรากฏเป็นหย่อมๆ จะเห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะ และเหนือบ่า มีสีสันต่างๆ เช่น
1.1 สีชมพู หมายถึงพลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์ขัน ถ่อมตนสามารถ ปลอบประโลม ผู้อื่น โรแมนติก ข้อเสียคือมักจะใจคอโลเล
1.2 สีแดง เป็นสีที่แสดงถึงความทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉง และ มีพลังทางเพศ ถ้าเป็นสีแดงมืดอาจหมายถึงอารมณ์รุนแรง ถ้าเป็นสีแดงสดใสหมายถึงความ ภาคภูมิใจ และทะเยอทะยานในทางที่ถูกที่ควร ถ้าสีแดงขุ่นเป็นพวกใจคอโหดร้าย
1.3 สีส้ม / แสด เป็นสีของความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข สุขภาพ ที่เต็มไปด้วยพลัง ถ้ามีแสงสีนี้มากเกินไปจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อด้วย
สีส้มมัวหม่น หรือ ส้มปนน้ำตาล แสดงถึงปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงหมายถึง เย่อหยิ่ง อวดฉลาด
1.4 สีเหลือง เป็นสีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาดความเมตตา มองโลกในแง่ดี รักเพื่อนมนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค สีเหลืองอมส้มแสดงถึง ความฉลาด - ปราดเปรื่อง สีเหลืองขุ่นค้นแสดงถึงความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ
1.5 สีเขียว เป็นสีของจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นยังเป็นสีของ ความรัก การเปลี่ยนแปลง การรักษาโรค ความสามารถในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงถึงความสมดุล
ถ้าเป็นสีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นคนปรับตัวเก่ง ใจดี ชอบอิสระ ถ้าเป็นสีเขียวมืดจะเป็นพวกขี้โกง ขี้อิจฉา ถ้าเป็นสีเขียวอมฟ้าเป็นพวกชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้ เข้าอกเข้าใจผู้อื่น และแสดงถึงความสามารถในการรักษาโรค ถ้าเป็นสีเขียวขี้ม้าเป็นพวกชอบหลอกลวง ต้มตุ๋น ขี้โกง และขี้เหนียว
1.6 สีน้ำเงิน เป็นสีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสาร พลังจิตความฉลาด ความมีอุดมคติ ขยันขันแข็ง ความสำเร็จ สามารถยืนหยัดอยู่บนขาของตัวเอง มีความเชื่อมั่นในตนเอง ซื่อตรง จริงใจ และชอบช่วยเหลือผู้อื่น มักจะเป็นพวกสมถะ แต่ใจคอหงุดหงิดง่าย
สีน้ำเงินขุ่นแสดงว่าทัศนะวิสัยถูกปิดกั้น กลายเป็นคนขี้กังวล และขี้ลืม
1.7 สีคราม เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต ความฉลาดล้ำลึกความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต
1.8 สีม่วง เป็นพวกจิตละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ชอบทางสมาธิ และโน้มเอียงไปทางศาสนา ชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีสีนี้ ผู้ที่มีสีนี้มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้อง เนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนาล้ำหน้าจักระช่วงล่าง
1.9 สีน้ำตาล เป็นสีที่แสดงถึงความคิดแคบๆ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแก่ตัว ชอบคุยแต่เรื่องตัวเอง เป็นคนน่าเบื่อ สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระเท้า พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา
ข้อดีของสีนี้คือ เป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ และอาจหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดมุ่งหมาย และความสำเร็จ
1.10 สีดำ หมายถึง การสิ้นสุด ซึ่งในที่นี้หมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา อาจหมายถึงการเกิดใหม่ หรือความล่าช้าก็ได้ บางครั้งอาจหมายถึง โรคร้ายแรง หรือโรคเรื้อรัง อิทธิพลมืด บางครั้งอาจหมายถึงการปกป้องตัวเองจากพลังภายนอก หรือคนผู้นั้นอาจจะมีความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่กับสีอื่นๆ เช่น สีแดง แสดงถึงความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท สีเหลือง แสดงถึงความคิดชั่วร้าย สีเขียวหมายถึง ความคิดหักหลัง อิจฉา
1.11 สีขาว เป็นสีที่มีความสมดุล และสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะปรากฏกับพวกนักบุญ พระ หรือ ผู้ฝึกสมาธิวิปัสสนาสม่ำเสมอ ถ้าปรากฏเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสง อาจหมายถึงข่าวสาร จากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เข้าทรงจะมีสีขาวเข้ามาในแสงระหว่างการเข้าทรง
ผู้ที่มีสีขาวปรากฏอยู่ในออร่า หมายถึง กายแสงได้รับการชำระและฟอกให้บริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึง สภาพจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบริสุทธิ์
1.12 สีเงิน หมายถึงแรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น
1.13 สีทอง เป็นพลังของจักรวาล หรือพลังจากเทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย
1.14 สีเทา เป็นพวกขาดจินตนาการ คร่ำครึ หัวโบราณ ยึดถือความคิดตนเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ
ถ้าเป็นสีเทามืด ยิ่งมืดทึบมาก ยิ่งแสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา สลดหดหู่ คนพวกนี้มักจะว้าเหว่ ถ้ามีจุดมืดสีนี้ในแสงแสดงถึงโรคอวัยวะที่มีปัญหา หรืออิทธิพลมืด
ถ้ามีจุดสีแดงอยู่ในเงามืดของแสง แสดงถึงความคิดแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคียดแค้น หรือ แม้แต่อารมณ์ฆาตกร สีเทาค่อนไปทางสีเงิน แสดงถึงว่าสมองซีกขวาได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิด จินตนาการและ สัมผัสที่ 6
สีที่ไม่ค่อยปรากฏอยู่ด้วยกันคือสีน้ำเงินกับสีแสด ถ้าใครมีสองสีนี้อยู่ด้วยกัน จะเป็นคนที่น่าอิจฉา เพราะสีน้ำเงินเป็นสีของความสงบ และสีแดงเป็นสีของความสุข คุณจะมีแต่ความสงบสุขทางจิตใจ
2. สีพื้นฐานของออร่า
จะทราบอย่างไรว่าเรามีสีพื้นฐานของออร่าเป็นสีอะไร
ง่ายนิดเดียว เพียงคำนวณตามสูตร นำวัน เดือน ปี ค.ศ. ที่เกิด มาบวกกัน
สมมุติว่า เกิดวันที่ 5 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1960 (2503)..พ.ศ ลบด้วย 543 = ค.ศ
ก็นำเลขทั้งหมดมาบวกกันคือ 5 + 5 + 1960 = 1970
จากนั้นก็แยกตัวเลขออกมาบวกกันอีกครั้ง
จะได้เป็น 1 + 9 + 7 + 0 = 17 ก็นำมาแยกบวกอีกจนกว่าจะได้เลข 1 ตัว
จะได้เป็น 1 + 7 = 8 เมื่อได้ผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียวแล้ว ขอให้ดูว่า ตัวเลขที่ได้ตรงกับสีพื้นฐาน
สีอะไร มีความหมายว่าอย่างไร แต่ถ้าเลขบวกกันแล้วได้ผลเป็น 11 และ 22 ไม่ต้องแยกบวกอีก
เพราะเป็นพวกพิเศษกว่าพวกอื่น
1. สีแดง ศักยภาพ : ผู้นำ
พวกมีสีแดงเป็นสีพื้นฐาน จะมีความกระตือรือร้น เป็นผู้นำ เต็มไปด้วยพลังกระฉับกระเฉง มีเสน่ห์ สามารถพูดจาโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ดี เป็นคนสนุกสนาน โอบอ้อมอารี กล้าหาญ ทะเยอทะยาน มองโลกในแง่ดี ชอบการแข่งขัน เป็นสีที่นำมาซึ่งความสำเร็จ คุณควรหาอะไรที่ท้าทายความสามารถทำแต่อย่าให้ถึงกับว่า คุณวิ่งไม่เร็ว แต่คุณสร้างโครงการท้าทายความสามารถ โดยฝันที่จะเป็นนักกีฬาโอลิมปิก อย่างนี้มันเกินความสามารถมากไป ต้องพิจารณาให้พอเหมาะสม
ข้อเสีย มักจะขี้กังวล ตื่นตระหนก และอาจหลงตัวเอง รวมทั้งอาจจะบ้างานมากไปจนเครียดควรรู้จักพักผ่อน และคลายความเครียด
2. สีส้ม/แสด ศักยภาพ : มนุษยสัมพันธ์ดี
คุณเป็นคนอบอุ่น น่าคบ เข้ากับคนง่าย ชอบเป็นที่ปรึกษาปัญหาให้ใครต่อใคร ชอบช่วยเหลือและ ทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ มีจิตใจเป็นสมถะ ชอบปิดทองหลังพระ คุณควรคบกับคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเปรียบคุณ
ข้อเสีย ขี้เกียจ ใจน้อย มักถูกคนอื่นเอาเปรียบ
3. สีเหลือง ศักยภาพ : มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด
คุณเป็นคนคิดอะไรรวดเร็ว มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เข้าสังคมง่าย ปรับตัวเก่ง ชอบคุยถกเถียงปัญหา ชอบเรียนรู้ และทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน มีพรสวรรค์ด้านการพูด งานที่ทำควรเกี่ยวกับการพูดเป็นสื่อ เช่น ครู เซลล์แมน นักการทูต ที่ปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ต้องใช้คำพูดเป็นหลัก เป็นคนฉลาดหลักแหลม และเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว
ข้อเสีย จับจด ขี้อาย โกหกเก่ง
4. สีเขียว ศักยภาพ : รักษาโรค (สีเขียวเป็นสีของการรักษาโรค)
คุณเป็นคนรักสงบ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดี มีพลังจิต ไว้วางใจได้ คุณอาจมีลักษณะภายนอกหงิมๆ หรือเรียบง่าย แต่ส่วนลึกแล้วดื้อน่าดู คุณเป็นพวกสู้งาน หนักเอาเบาสู้ข้อเสีย ดื้นรั้น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
5. สีน้ำเงิน ศักยภาพ : เป็นได้ทุกอย่าง
คุณเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แม้ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้าง แต่ยังยิ้มสู้เสมอ แสงออร่าของคุณจึงกว้างและสว่างไสวเสมอ ทำให้กระชุ่มกระชวย ดูอ่อนกว่าวัย คุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ปากกับใจตรงกัน รักการผจญภัย มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ชอบพบปะผู้คน และสนใจการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีพรสวรรค์หลายๆ ด้าน
ข้อเสีย ชอบทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างนอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเท้า และขาดความอดทนอีกด้วย
6. สีคราม ศักยภาพ : มีความรับผิดชอบสูง
คุณชอบงานด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น ชอบรับผิดชอบงาน จิตใจโอบอ้อมอารี เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่เห็นแก่ตัว
ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง มีมาตรฐานการทำงานสูง จึงมักหงุดหงิดกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ตามมาตรฐานของตนเอง
7. สีม่วง ศักยภาพ : ฉลาดล้ำลึก และสันโดษ
คุณมีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจในศาสตรลึกลับจนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนลึกลับ คุณมีประสาทสัมผัสที่ ๖ รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเข้ากับใครไม่ได้
ข้อเสีย มักดูถูกความคิดผู้อื่น และเก็บความรู้สึกมากเกินไป
8. สีชมพู ศักยภาพ : นักบริหาร นักธุรกิจ
คุณเป็นคนมีความตั้งใจจริง แต่ค่อนข้างดื้นรั้น วางมาตรฐานตัวเองไว้สูง มีความเด็ดเดี่ยว และมุ่งมั่นที่จะให้บรรลุเป้าหมาย และความสำเร็จ อาชีพของคุณจึงต้องเกี่ยวกับการบริหารและความรับผิดชอบ ในส่วนลึกเป็นคนโรแมนติค และถ่อมตน รักความสงบ มีเมตตา ขณะเดียวกันจะยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ยอมถอย ถ้าคุณรู้ว่าเป็นฝ่ายถูก
ข้อเสีย มุงานมากเกินไปจนเครียด ควรหางานอดิเรกคลายเครียด
9. สีทองเหลือง ศักยภาพ : นักสังคมสงเคราะห์
คุณเป็นคนอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม คุณมี
ความสุขมากที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี
ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น จึงถูกเอาเปรียบบ่อยๆ ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง
10. สีเงิน ศักยภาพ : นักอุดมคติ
คุณมีประสาทสัมผัสที่ ๖ มีศักยภาพสูงในหลายๆ ด้าน เต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ชอบฝันหวาน แต่คุณมักจะฝันมากกว่าลงมือทำจริงๆ เป็นคนซื่อสัตย์ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี ถ้ามุมานะสร้างความฝันให้เป็นความจริงคุณจะไปได้ไกลมากทีเดียว
ข้อเสีย ขี้เกียจ และบางครั้งจะเครียดจนใครๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ควรหาเวลาพักผ่อน ฝึกสมาธิ หรือโยคะ
11. สีทอง ศักยภาพ : ไม่มีขอบเขตจำกัด
คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปาก คุณจะประสบความสำเร็จไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจ ทำงานหนักเอาเบาสู้ มีเป้าหมาย ในการทำงานที่แน่นอน มีอุดมคติและความสามารถสูง เป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้
คลังอ้อนให้ออมสินปล่อยกู้ การบินไทย
คลังบี้ออมสินปล่อยกู้ทีจี อ้างเร่งเสริมสภาพคล่อง
คลังบี้ออมสินปล่อยกู้ฉุกเฉินเจ้าจำปี 7 พันล้านบาท ภายในเดือน ก.ย.นี้ เสริมสภาพคล่อง เหตุมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วน
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า กระทรวงการคลังได้เข้าเจรจากับธนาคารออมสินเพื่อขอให้ปล่อยกู้เพื่อเสริมคล่องให้กับ บมจ.การบินไทย วงเงิน 7 พันล้านบาท โดยไม่มีคนค้ำประกัน ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารออมสินยื่นเงื่อนไขการปล่อยกู้ โดยขอดูแผนฟื้นฟูของการบินไทยที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือ ซูเปอร์บอร์ดก่อน เนื่องจากผลดำเนินงานในปี 2556 การบินไทยขาดทุนกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท และกว่าจะล้างขาดทุนสะสมหมดได้คงใช้เวลาอีกหลายปี
อย่างไรก็ดี ทางด้านกระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ได้ขอให้ธนาคารออมสินช่วยพิจารณาเรื่องนี้ คาดว่าในที่สุดธนาคารออมสินจะต้องปล่อยกู้ให้การบินไทยเพื่อเสริมสภาพคล่องภายในเดือน ก.ย.นี้ เพราะการบินไทยมีความจำเป็นต้องใช้เงินเสริมสภาพคล่องจำนวนนี้อย่างมาก ส่วนรูปแบบการปล่อยกู้เป็นแบบเปิดวงเงินฉุกเฉิน หรือเงินกู้ระยะสั้น 4 เดือน และให้กระทรวงการคลัง โดย สบน.กู้เงินมาใช้หนี้คืนออมสินในต้นปี 2558 อย่างไรก็ตาม หากกระทรวงการคลังไม่ค้ำเงินกู้ดังกล่าว กระทรวงการคลังต้องประสานทางสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ให้ดำเนินการจัดหาแหล่งเงินมาใช้หนี้คืนธนาคารออมสินในต้นปี 2558
นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะประธานคณะกรรมการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการธนาคาร (บอร์ด) ยังไม่เคยพิจารณาเรื่องปล่อยกู้ให้การบินไทยเลย โดยจะมีการประชุมบอร์ดครั้งหน้าในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ หลักการพิจารณาการปล่อยกู้ จะต้องดูว่าผู้กู้จะนำเงินไปทำอะไร ความสามารถในการชำระหนี้ และแผนฟื้นฟูจะเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงในการปล่อยกู้ของธนาคารออมสิน แม้ขณะนี้ธนาคารออมสินจะมีสภาพคล่องจำนวนมาก แต่หากเกิดความเสียหายจะกลายเป็นภาระจากเงินภาษีประชาชน
แสดงออก...กันชัดเจนเหลือเกิน
ทีช่วยชาวนาทั้งประเทศ...ขัดขวางกันสุดลิ่ม
.....
ทั้งที่ชาวนา...ไม่ได้มาขอเงินฟรีๆ
แต่เอาข้าวที่ปลูกอย่างเหนื่อยยาก..อาบเหงื่อต่างน้ำ
มาแลกกับเงินด้วยซ้ำ...คนพวกนั้นยังใจร้ายใจดำขัดขวาง
...
ต่างจากบินไทย...มีคนอยู่กระจุกเล็กๆ
ทำงานอยู่ในห้องแอร์...แต่งตัวโก้ เฉิดฉายไปมา
.....
กลับมาแบมือขอเงินอย่างเดียว...มานานหลายปี
แล้วก็เอาไปแจกกัน...ทั้งเงินเดือน โบนัส เบี้ยเลี้ยง
พวกคุณไม่เอารัดเอาเปรียบ...เพื่อนร่วมชาติมากไปหน่อยรึ
นึกถึงตอนออมสินปล่อยเงินช่วยชาวนา แล้วคนใต้แห่กันไปถอนเงินแล้ว น้ำตาจะไหล ทำไมพวกเขาช่างใจดำได้ขนาดนี้
แบ๊งค์ชาติรายงานชัด เศรษฐกิจไทยยังทรุดต่อเนื่อง ติดลบทุกภาค
นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผอ.อาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจการเงิน ธ.แห่งปทท. รายงานเศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค. ว่า
1) การส่งออกยังขยายตัวดิดลบ 6.3%
2.) การท่องเที่ยวยังมีปัญหาความเชื่อมั่นเนื่องจากกฎอัยการศึก จึงยังมีคำเตือนมาไทยถึง 60 ประเทศ จึงติดลบไปอีก10.9%
3.) ภาคการผลิตยังไม่กลับมาผลิตตามปกติ จึงติดลบตามกันไปอีก 5.2% (ไม่เน้นผลิต เน้นแต่ระบายสต๊อกสินค้าเนื่องจากมีสินค้าคงเหลือจำนวนมาก)
แล้วจะทำกันยังไงต่อไปละ จะมาโม้ทุกวันศุกร์แล้วไม่ทำอะไรเลยไม่ไหวนะ
Date : March 10th, 2014Category : All PostsAuthor : admin
ไม่ว่าคุณจะมีลูกหนี้ประเภทใด จะมีสถานะเป็นเจ้านาย พี่น้อง หรือเพื่อนฝูงก็ตาม ถ้าอยากได้เงินคืนกลับมาแบบครบๆ และยังสามารถรักษามิตรภาพได้ใจคนคนนั้นด้วย ลองทำตามแนวทาง ดังนี้
1. ใจกล้าเข้าไว้
หากเงินนั้นจำนวนไม่มาก และไม่กล้าเอ่ยปากอาจต้องปล่อยผ่านไป และคิดว่า ‘ช่างมัน’ แต่ถ้าเงินก้อนนั้นจำเป็นกับคุณและครอบครัว ต้องมีความกล้า และใจแข็ง การให้ยืมเงินเป็นการให้ความช่วยเหลือ และถือเป็นธุรกิจ ถ้าไม่มีกำไร(ไม่คิดดอกเบี้ย) อย่างน้อยควรได้ทุนคืน ไม่ใช่หนี้สูญ
2. ให้เกียรติลูกหนี้เสมอทั้งต่อหน้า และลับหลัง
ไม่ว่าลูกหนี้จะเป็นใคร สิ่งสำคัญ คือ ต้องให้เกียรติเขาเสมอ การเป็นหนี้ไม่ได้หมายถึงการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นคนของลูกหนี้ การเปิดเผยว่าเขาเป็นหนี้อาจทำให้กระทบต่อชีวิตด้านอื่น ตามบทบาทในสังคมของเขาด้วย
หากต้องการคุยถึงหนี้สินที่ติดค้าง ควรหนักแน่นในจุดยืน ใช้ความสุภาพ และทำอย่างเป็นการส่วนตัว เช่น ส่งอีเมล์ คุยทางโทรศัพท์ หรือพบปะกันเป็นการส่วนตัว
3. ตั้งสติ คิดให้ดีก่อนที่จะพูด
ก่อนการพูดคุย ควรสร้างบรรยากาศที่ดีเพื่อลดความตึงเครียดให้ลูกหนี้ หรือหาจังหวะทวงถามอย่างแนบเนียบ เช่น คราวที่แล้วฉันจ่ายไป ครั้งนี้เธอจ่ายให้ฉันบ้างนะ
ถ้าเป็นเงินจำนวนมาก บริบทการพูดคุยควรเพิ่มการชื่นชมความสามารถของเขาบ้าง เพื่อเป็นการให้กำลังใจก่อน ตามด้วยความสามารถที่เขามี และคุณเชื่อว่าเขาต้องปลดหนี้ได้แน่ๆ
4. อย่าท้อแท้ ต้องอดทน เพราะฉันเองก็มีเหตุผลไม่ต่างกัน
พยายามติดตามเตือนความจำบ้าง เพราะลูกหนี้บางคนอาจมีนิสัยขี้ลืมจริงๆ ไม่ได้มีเจตตาต้องการผิดสัญญา แต่ถ้าระยะเวลาเริ่มเนิ่นนานเกินกว่าจะรับได้ ขอให้คิดหาเหตุผลถึงความจำเป็นที่คุณต้องใช้เงินก้อนนี้มาบอก พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เช่น ถ้าไม่ได้เงินก้อนนี้คืน ครอบครัวเราต้องเดือดร้อนแน่ๆ ถึงคราวที่เธอต้องช่วยฉันแล้ว (เป็นการวัดใจไปในตัว)
5. ยื่นข้อเสนอให้ลูกหนี้สบายใจมากขึ้น
เพื่อเป็นการลดความอึดอัดใจด้วยทางเลือกใหม่ เช่น เปิดใจคุยกันและยื่นเสนอขยายเวลาชำระหนี้ออกไป แต่อย่าเสนอลดหนี้ เพราะจะเป็นการทำให้เขาเคยตัว
6. ให้บุคคลที่สามช่วยเจรจา
ซึ่งควรเลือกจากบุคคลที่ลูกหนี้ให้ความเคารพและเกรงใจ เช่น พ่อแม่ คนในครอบครัวของลูกหนี้ หรือเพื่อนสนิท
7. ใช้กฎหมายเป็นตัวช่วย
หากเลือกใช้หลายวิธีแล้วไม่ได้ผล อาจต้องทำใจยอมรับว่า ‘หนี้สูญ’ แต่หากทำใจไม่ได้คงต้องใช้กฎหมายเป็นตัวช่วย ก่อนลงมือควรแจ้งให้เขาทราบก่อนด้วยว่า คุณผิดหวังในตัวเขามากแค่ไหน และกำลังจะดำเนินการอะไรต่อไป
NFO จัดอันดับขุมทรัพย์มาเฟียทางสาธารณะ
ปัญหากลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ค้าบนทางเท้า และที่สาธารณะในกรุงเทพมหานคร เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะจัดระเบียบอยู่หลายครั้ง แต่ทำได้แค่การแก้ปัญหาในระยะสั้นๆ เพราะการจะเข้าไปจัดการผลประโยชน์นอกระบบที่มีมากกว่า 200 ล้านบาทต่อเดือนไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้ทีมข่าวไทยรัฐทีวีจะพาท่านผู้ชมไปรู้จัก 5 ทำเลทองในกรุงเทพมหานครที่เป็นขุมทรัพย์มาเฟียทางสาธารณะ
ไทยรัฐออนไลน์
อันดับแรก สั่งให้งดการเลือกตั้ง กรณีสภา หรือนายก อปท.หมดวาระ
ถัดมา ชะลอการเคลื่อนย้ายอัตรากำลัง
ถัดไป ....... อบจ. อบต. เตรียมตัวหาที่อยู่ใหม่ได้แล้วครับ
ยังมีผู้พิพากษาผู้ทรงธรรมอยู่ครับ เปิดความเห็นแย้งของ "อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา" คดี 99 ศพ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 ส.ค. ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดประชุมคดีและตรวจพยานหลักฐาน คดีหมายเลขดำที่ อ.4552/2556 ที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดย เจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 84 และ 90 จากกรณีออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)เมื่อปี 2553
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพระสุเทพ เดินทางมาศาลตามนัด พร้อมนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความและคณะ โดยมีกลุ่มอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ และ กปปส. เช่น นายเทพไท เสนพงศ์ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข มาร่วมฟังคำสั่ง และให้กำลังใจทั้งสองด้วย
ศาลอ่านคำพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 2 ที่ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมโดยใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนจริง ทำให้มีผู้ชุมนุม ประชาชน และเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต เป็นการออกคำสั่งในฐานะนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ แต่การปฏิบัติต้องทำไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และไม่เกินกว่าเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติจะไม่ใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนปืนจริง การใช้อำนาจของจำเลยทั้ง 2 จึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ และผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
คดีนี้มีข้อที่ ต้องพิจารณาว่า จำเลยทั้ง 2 มีการกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการหรือไม่ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 66 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9(1) และประกาศ คสช. ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 ระบุให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้มีหน้าที่ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ต้องยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เมื่อ วิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ให้ลงโทษจำเลยทั้ง 2 ในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 84 และ 90 เห็นได้ว่ามูลเหตุแห่งคดี เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศอฉ. ซึ่งเป็นความผิดตามอำนาจหน้าที่ราชการ และเป็นการออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หาใช่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลอาญาไม่
ศาลอาญาจึงไม่มีอำนาจรับคำฟ้องของโจทก์ทั้ง 2 สำนวน จึงพิพากษายกฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 และยกฟ้องการขอเป็นโจทก์ร่วม
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามในคดีนี้ นายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้มีความเห็นแย้งไว้ในสำนวนด้วย โดยเห็นว่าศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และญาติผู้ตายที่เป็นผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ เนื่องจากมูลเหตุที่นำมาฟ้องคดีซึ่งเกิดจากการไต่สวนชันสูตรพลิกศพผู้เสีย ชีวิต ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา จากเหตุสลายการชุมนุม และพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ดำเนินการสอบสวนมากระทั่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง เป็นการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย
ขณะที่ใน การฟ้อง หากคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีเฉพาะข้อหากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีการกล่าวหาจำเลยทั้งสองในความผิดอาญาฐานร่วมกันมีเจตนาฆ่าผู้ อื่น กรณีนี้จึงไม่ใช่เรื่องศาลทั้งสองมีอำนาจขัดแย้งกัน อีกทั้งปัจจุบันคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการกล่าวหาจำเลยทั้งสอง ก็ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช. ตาม พ.ร.บว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 66 ซึ่ง ป.ป.ช.ยังไม่ได้มีคำสั่งไปทางหนึ่งทางใด หากไต่สวนได้ข้อยุติว่าไม่มีมูลก็ย่อมมีผลเฉพาะต่อข้อกล่าวหาทำผิดในตำแหน่ง หน้าที่ราชการเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อความผิดในการใช้หรือก่อให้ฆ่าผู้อื่นตามฟ้องของอัยการโจทก์ จึงเห็นควรว่าศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
ผู้ สื่อข่าวรายงานต่อว่า ภายหลังฟังคำสั่ง นายอภิสิทธิ์และพระสุเทพ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด โดยนายอภิสิทธิ์เดินทางกลับพรรคทันที เพื่อประชุมหารือกับทีมทนายความ
ด้านนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความของนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อศาลมีคำสั่งชี้ว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจ ตนจะนำคำสั่งดังกล่าวไปประกอบเป็นพยานหลักฐานนำสืบคดีที่ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ กับพวก ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน ปฏิบัติหน้าที่มิชอบต่อศาลอาญาด้วย ขณะที่คำสั่งชี้อำนาจฟ้องของโจทก์วันนี้ ฝ่ายอัยการโจทก์ก็ยังมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ได้อีกตามขั้นตอนกฎหมาย
ส่วน นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายญาติผู้ตาย กล่าวว่า จากคำพิพากษายกฟ้องที่เห็นว่า การสั่งการให้เกิดการตาย เป็นการเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ แต่จากความเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา รวมทั้งฝ่ายโจทก์อธิบายและยกตัวอย่างหลายคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญา เนื่องจากการฆ่าคนตายไม่ใช่อำนาจหน้าที่ คำพิพากษาวันนี้เหนือความคาดหมาย เพราะตนดูข้อกฎหมายแล้ว เชื่อว่าอยู่ในอำนาจของศาลอาญาที่จะพิจารณาได้ ตามความเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
"หลัง จากนี้อัยการโจทก์และตนในฐานะทนายของโจทก์ร่วมจะยื่นอุทธรณ์ให้ศาลพิจารณา ว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอาญา ส่วนอัยการก็มีอำนาจฟ้อง และดีเอสไอมีอำนาจสอบสวน ตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา คาดว่าจะยื่นอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน" นายโชคชัยกล่าว
“ใคร” พร้อม-ไม่พร้อม ด้านไหน อะไรยังไง มาดูข้อดี-ข้อเสีย (เปรียบ) ของ 10 ประเทศสมาชิกในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) กัน และไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่แต่เมื่อปฏิเสธไม่ได้ เพราะอย่างไร เราต้องเข้าสู่วงจรประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในวันที่ 1 มกราคม 2558 อยู่ดี! จุดแข็ง-จุดอ่อนเบื้องต้นของประเทศต่างๆใน AEC ขอเริ่มจากประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในสมาชิก AEC ก่อนค่ะ ซึ่งผู้ได้รับตำแหน่งนั้นได้แก่…
1. ประเทศอินโดนีเซีย
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศนี้เน้นทรัพยากรในประเทศเป็นหลัก ส่วนจุดแข็ง : นั้น แน่นอน เมื่อเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในประเทศสมาชิกฯ(จำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลกและอันดับหนึ่งใน ASEAN) อินโดนีเซียก็กลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนผู้บริโภค (และเป็นมุสลิม) มากที่สุด มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด มีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก และมีระบบธนาคารที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่จุดอ่อน :ของประเทศนี้คือการที่ประเทศเป็นหมู่เกาะ ระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคมก็ยังต้องพัฒนาอยู่ค่ะ
2. ประเทศสิงคโปร์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีอัตรารายได้เฉลี่ยต่อหัวมากที่สุดในกลุ่มสมาชิกฯ ตอนนี้ทางสิงคโปร์กำลังเน้นการขยายระบบเศรษฐกิจมายังภาคบริการมากขึ้น และลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้า จุดแข็ง :ข้อได้เปรียบของสิงคโปร์ คือตำแหน่งที่ตั้งของประเทศ อยู่ในจุดยุทธศาสตร์เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ (เอื้อต่อการขนส่ง) ศูนย์การการเงินระหว่างประเทศ รวมถึงการที่แรงงานที่มีทักษะ มีการศึกษาและภาษาดี ตบท้ายด้วยการเมืองมีเสถียรภาพ และ จุดอ่อน : คือ เนื่องจากมีประชากรน้อยและเป็นแรงงานที่มีทักษะ สิงคโปร์จะขาดแรงงานที่เป็นแรงงานระดับล่างและมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจหรือค่าครองชีพค่อนข้างสูง
3. ประเทศกัมพูชา
กัมพูชาเป็นประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำที่สุดในอาเซียน (USD 1.6/วัน) สำหรับไทยนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งที่อาจจะเป็นได้ทั้งการสนับสนุนและบั่นทอนโอกาสในการร่วมมือ ขยายการค้า หรือการลงทุนต่างๆ จุดแข็ง: ของกัมพูชานอกจากเรื่องค่าแรงต่ำแล้ว ประเทศนี้ยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น แร่ธาตุ หรือป่าไม้ จุดอ่อน : เรื่องที่ต้องพัฒนาปรับปรุงต่อไปคือ เรื่องระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังให้บริการได้ไม่ทั่วถึงและมีต้นทุนค่อนข้างสูง และการขาดแรงงานที่มีทักษะ
4. ประเทศเวียดนาม
เวียดนามเป็นประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำที่สุดเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มสมาชิก (รองจากกัมพูชา) สิ่งที่น่าจับตามองของเวียดนามคือการเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ความต้องการภายในประเทศ รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเรื่องสิทธิและเสรีต่างๆ เวียดนามมีจุดแข็ง : ที่การเมืองที่ค่อนข้างนิ่งและมีเสถียรภาพ ประชากรจำนวนมากซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ มีปริมาณน้ำมันสำรองมาก (อันดับ2 ของอาเซียน) และมีแนวชายฝั่งทะเลยาวมากกว่า 3,000 กิโลเมตร จุดอ่อน : เรื่องที่ยังคงต้องกังวลอยู่คือระบบสาธารณูปโภคที่ยังต้องการการพัฒนาและราคาค่าที่ดินและค่าเช่าสำนักงานซึ่งยังถือว่าสูงมากทีเดียว
5. ประเทศลาว
ประเด็นที่น่าสนใจเป็น จุดแข็ง : สำหรับลาวคือการลงทุนทางด้านสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานน้ำ และเหมืองแร่ เพราะที่ประเทศนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะ น้ำ และ แร่ธาตุค่ะ การเมืองที่นี่ก็นิ่งและมีเสถียรภาพ บวกกับค่าแรงต่อหัวที่ยังถือว่าต่ำ (USD 2.06/วัน) จุดอ่อน : เรื่องที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนหรือการติดต่อต่างๆคือประเทศลาวไม่มีทางออกที่ติดกับทะเลเลย รวมถึงภูมิประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบสูง ซึ่งจะมีผลต่อการขนส่ง รวมถึงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังคงต้องได้รับการพัฒนา
6. ประเทศพม่า
พม่ากำลังทุ่มสุดตัวกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและเครือข่ายคมนาคมภายในและเชื่อมต่อภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟความเร็วสูง ถนนต่างๆ และท่าเรือ เพื่อรองรับความต้องการและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ จุดแข็ง : ถ้าพูดเรื่องค่าแรง พม่ายังจัดอยู่ในประเทศที่มีค่าแรงต่อหัวค่อนข้างต่ำ(USD2.5/วัน) แถมยังความได้เปรียบทางภูมิประเทศและเพื่อนบ้าน โดยมีพรมแดนเชื่อมโยงกับประเทศจีนและอินเดีย ส่วนเรื่องทรัพยากรธรรมชาติก็ยังมีอยู่มากมาย รวมถึงแหล่งพลังงานอย่าง ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันด้วย จุดอ่อน : ที่ต้องระวัง ก็น่าจะเป็นเรื่องนโยบายในหลายๆด้านและความไม่แน่นอนทางการเมือง บวกกับสาธารณูปโภคที่ยังต้องพัฒนาอยู่ค่ะ
7. ประเทศฟิลิปปินส์
เป็นอีกประเทศที่มีลักษณะทางภูมิประเทศเป็นเกาะ แก่ง น้อยใหญ่ จุดเด่นของประเทศนี้คือสหภาพแรงงานที่มีบทบาทมาก มีการประท้วงเกี่ยวกับเรื่องค่าแรงอยู่เรื่อยๆ การลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทางตอบสนองความต้องการภายในประเทศ เนื่องจากฟิลิปปินส์มีจำนวนประชากรจำนวนมาก (มากกว่า 100 ล้านคน ติดอันดับที่ 12 ของโลก) ทำให้เป็นตลาดที่น่าสนใจและมีขนาดใหญ่มาก จุดแข็ง : อีกเรื่องของประเทศนี้คือประชากร (หรือมองอีกแง่คือแรงงาน) แทบจะทั้งประเทศสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ ที่เป็นภาษากลางของประชาคมอาเซียน (AEC) ได้ดี ส่วนจุดอ่อน :ของฟิลิปปินส์คือที่ตั้งของประเทศที่ค่อนข้างห่างไกลจากประเทศสมาชิกอื่นๆ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิภาพทางสังคมที่ยังต้องการการพัฒนาอยู่
8. ประเทศบรูไน
บรูไน- ประเทศที่คนไทยหลายคน (รวมถึงแอดมินด้วย)ไม่ค่อยจะรู้สึกคุ้นชินมากนัก ทำให้ไม่ค่อยได้ทราบข้อมูลหรือติดตามข่าวอัพเดตต่างๆในเชิงลึก เพื่อนๆหลายคนอาจจะไม่ทราบว่า บรูไนเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ (สองประเทศแรกเข้าใจว่าเพราะเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเหมือนกัน) ส่วนสิงคโปร์จะเป็นหลักในการส่งสินค้าระหว่างประเทศให้กับบรูไน ที่สำคัญประเทศนี้ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารค่อนข้างมากเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เป็นประเทศที่เป็นผู้ผลิต-ส่งออกน้ำมันและมีปริมาณน้ำมันสำรองรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน บรูไนมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีมากเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ และมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง ที่กล่าวมานี้นับเป็นจุดแข็ง : ของบรูไน ในขณะที่เรื่องที่ถือว่าน่าจะเป็นจุดอ่อน : ของบรูไน คือ ขนาดตลาดของประเทศนี้ถือว่าเล็กมาก เพราะมีจำนวนประชากรอยู่แค่สี่แสนคนเท่านั้น และปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ตามมาเป็นลูกโซ่ค่ะ
9. ประเทศมาเลเซีย
เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวต่อปีมากเป็นอันดับสาม รองจากสิงคโปร์และบรูไน สิ่งที่น่าสนใจสำหรับประเทศนี้คือ มาเลเซียตั้งเป้าให้ในอีก 8 ปีข้างหน้าจะกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศนี้มีฐานการผลิตและสินค้าส่งออกหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับไทย และมีนโยบายการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างจริงจัง นอกจากนี้ จุดเด่น : ของมาเลเซียคือ ความได้เปรียบเรื่องพลังงาน จำนวนปริมาณน้ำมันสำรองและก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่มาก ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจร รวมไปถึงแรงงานที่มีทักษะ ส่วนจุดอ่อน : ก็จะคล้ายๆกับของประเทศบรูไนคือการที่จำนวนประชากรน้อยและปัญหาการขาดแคลนแรงงานโดยเฉพาะแรงงานระดับล่างค่ะ
10. ประเทศไทย
ปิดท้ายด้วยไทยแลนด์ แดนสยาม ประเทศอันเป็นที่รักของเราเอง ประเทศไทยตั้งเป้าเป็น Hub หรือเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นโลจิสติกส์ หรือการท่องเที่ยว จุดแข็ง : ของประเทศเรา คือมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วถึง ที่ตั้งและภูมิประเทศเอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางคมนาคมในภูมิภาค ระบบธนาคารค่อนข้างแข็งแข็ง ขนาดของตลาดใหญ่ มีแรงงานจำนวนมาก รวมถึงการที่เป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมรายใหญ่ของโลกเลยทีเดียว แต่จุดอ่อน : ยังคงอยู่ที่แรงงานส่วนใหญ่ยังขาดทักษะ เทคโนโลยีในการผลิตส่วนใหญ่ยังเป็นขั้นกลาง และระดับความรู้และการใช้ภาษากลาง (อังกฤษ) ที่อาจทำให้เสียเปรียบด้านการแข่งขันสำหรับแรงงานเมื่อมีการเปิดเสรีแล้ว
|
แนวโน้มการเคลื่อนย้ายแรงงานและอาชีพของประเทศใน AEC
AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้น สิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านแรงงานวิตกคือ เกรงว่าเมื่อเปิดตลาดแรงงานเสรีในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนแล้วจะมีแรงงานจากอาเซียนมากมายเข้ามาแย่งงานแรงงานไทย ทำให้หางานยากขึ้นและทำให้ค่าจ้างและรายได้ของแรงงานไทยต่ำลง
ขณะที่ด้านผู้ประกอบการอาจจะเห็นว่าการเปิดตลาดแรงงานเสรีอาจจะช่วยให้มีทางเลือกใช้แรงงานมากขึ้นจากประเทศอาเซียนซึ่งก็ยังไม่มีเสียงสะท้อนชัดเจนนักจากภาคเอกชน ในอีกด้านหนึ่งคือมองในแง่โอกาสว่าตลาดแรงงานไทยจะได้กว้างขึ้น แรงงานฝีมือไทยจะได้ออกไปทำงานในประเทศอาเซียนมากขึ้นซึ่งการไหลออกของแรงงานก็อาจเป็นปัญหาต่อผู้ประกอบการบ้างแต่ยังไม่มีภาคเอกชนออกมาแสดงความวิตกในเรื่องนี้
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีประชากรประมาณ 600 ล้านคน และแรงงานรวมกันประมาณ 307 ล้านคน โดยอินโดนีเซีย มีแรงงาน 120 ล้านคน รองลงมา คือ เวียดนาม 52.6 ล้านคน ฟิลิปปินส์และไทยประเทศละประมาณ 40 ล้านคน พม่า 28.4 ล้านคน มาเลเซีย 12.2 ล้านคน กัมพูชา 8.1 ล้านคน สปป.ลาว 3.2 ล้านคน สิงคโปร์ 2.9 ล้านคน และบรูไน 0.2 ล้านคน แต่ แรงงานจากประเทศอาเซียนที่ เข้ามาทำงานในประเทศไทยรวมทั้งระดับล่างและระดับฝีมือยังมีจำนวนน้อยมากประมาณ 1.8 ล้านคน (ไม่รวมแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน) คิดเป็นร้อยละ 0.6 ของแรงงานทั้งหมดของอาเซียน ดังนี้
ก) แรงงานระดับล่าง 3 สัญชาติ (พม่า กัมพูชา และลาว) 1,825,658 คน (แยกเป็น ขึ้นทะเบียน 1,248,064 คน พิสูจน์สัญชาติ 505,238 คน และ นำเข้าตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาล 72,356 คน)
ข) แรงงานฝีมือ 14,313 คน (แยกเป็น ได้รับใบอนุญาตทำงานตามมาตรา 9 ประเภททั่วไป 12,303 คน และ ตาม
มาตรา 12 ส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI 2,010 คน)
สำหรับแรงงานระดับล่างนั้นขณะนี้ยังไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรีตามกรอบ AEC เพราะไม่ใช่แรงงานฝีมือ การเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีตามกรอบ AEC ซึ่งจะเริ่มในปี พ.ศ.2558 เป็นการเคลื่อนย้ายเฉพาะแรงงานฝีมือและต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (MRAs) ของอาเซียน
ปัจจุบันประเทศสมาชิกอาเซียนได้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (MRAs) ใน 7 สาขาด้วยกันคือ วิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ และนักบัญชี และ บุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยว (ซึ่งไทยยังไม่ได้ลงนามใน MRA) ส่วนสาขาอื่นๆ ยังอยู่ระหว่าง พิจารณาจึงควรมาดูเฉพาะแรงงานฝีมือ ดังกล่าวไปแล้ว ในปี 2554 มีแรงงานฝีมือจากประเทศอาเซียน 8 ประเทศ (ไม่นับบรูไน และ ไทย) ที่ได้รับใบอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมายจำนวน 14,313 คน แยกเป็น ได้รับใบอนุญาตทำงานตามมาตรา 9 ประเภททั่วไป 12,303 คน และ ตามมาตรา 12 ส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI 2,010 คน คิดเป็นสัดส่วนของแรงงานฝีมือประเภททั่วไป ต่อ ประเภทการลงทุนประมาณ 6 ต่อ 1 ในจำนวนนี้เป็นฟิลิปปินส์เกือบ 8 พันคน คิดเป็นร้อยละ 55 ของแรงงานฝีมือจากอาเซียนทั้งหมด รองลงมาได้แก่มาเลเซีย 2,200 คน สิงคโปร์ 1,500 คน และพม่า (แรงงานฝีมือประเภททั่วไปและการลงทุน) 1,400 คน
นอกนั้นมีจำนวนไม่ถึงพันคน แรงงานฝีมือจากอาเซียน ส่วนใหญ่ 6,600 คน (ร้อยละ 46) เป็นบุคลากรวิชาชีพ หรือ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านวิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ และนักบัญชี และบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยว รองลงมาได้แก่เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสหรือผู้จัดการ 5,900 คน (ร้อยละ 41) และช่างเทคนิค ประมาณ 1,000 คน (ร้อยละ 7)
สำหรับแรงงานวิชาชีพจากฟิลิปปินส์จำนวน 7,823 คน นั้นมีจำนวนไล่เลี่ยกับแรงงานฝีมือที่ มาจากประเทศนอกอาเซียนคือจีน (7,168) อินเดีย (6,786) อังกฤษ (8,328) และอเมริกา (6,598) ที่น่าจับตาคือแรงงานจากฟิลิปปินส์ซึ่งส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 70 เป็นบุคลากรวิชาชีพ นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับแรงงานจากประเทศอาเซียนที่ เหลือซึ่งเป็นบุคลากรวิชาชีพเพียงร้อยละ 17 เท่านั้น
การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรีตามกรอบอาเซียนประกอบด้วย 2 ส่วนที่สำคัญ คือการเข้ามาหางานทำและการเข้ามาตามการลงทุน ซึ่งปัจจุบันแรงงานฝีมือจากอาเซียนยังมีจำนวนน้อย ปริมาณแรงงานฝีมือจากอาเซียนที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยขึ้นอยู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการส่งออก และอัตราค่าจ้างในประเทศไทยเทียบกับประเทศต้นทาง ดังนั้นหากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสามารถกระตุ้นให้มีประเทศไทยมีการส่งออกเพิ่มขึ้นย่อมทำให้มีการจ้างแรงงานฝีมือทั้งแรงงานไทยและแรงงานจากอาเซียนเพิ่มขึ้น จากที่ IMF ได้ประมาณว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 5.5 7.5 และ 5.0 ในช่วงปี 2555 2556 และ 2557 ตามลำดับ
จึงคาดได้ว่าแรงงานฝีมือจากอาเซียนจะเข้ามาประเทศไทยในอัตราไม่ต่างจากนี้ มากนัก ที่น่าเป็นห่วงนอกจากแรงงานจากฟิลิปปินส์แล้วคือ แรงงานฝีมือจากประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งมีจำนวนสูงมาก แรงงานเหล่านี้จะไหลเข้าสู่ อาเซียนและประเทศไทยซึ่งมีโอกาสได้งานทำดีกว่า เพราะเหตุผลประการหนึ่งคือ คุณภาพของแรงงานเหล่านี้กำลังได้รับการพัฒนาอย่างมากทั้งในประเทศจีนและอินเดีย รัฐบาลจีนได้ใช้งบประมาณจำนวนมากปรับปรุงมหาวิทยาลัย และระบบการศึกษาพื้นฐาน และรัฐบาล อินเดียมีโครงการรือฟื้นมหาวิทยาลัยเก่าๆ และลงทุนในการศึกษาอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องพัฒนาความพร้อมของแรงงานที่ จะออกสู่ ตลาดใน 4-5 ปี ข้างหน้านี้มากขึ้น เพราะการแข่งขันจะสูงมาก โดยเฉพาะจากแรงงานฝีมือในประเทศเอเชีย ซึ่งมิใช่แค่อาเซียนเพียงกลุ่มเดียว
อ่านต่อ: http://www.thai-aec.com/231#ixzz3BaxunVZF
รัฐบาลเขายายเที่ยง...อยู่ปีกว่ามีแต่เรื่อง
ตามล้าง ตามเช็ด...ตามกำจัดฝ่ายทักษิณอย่างเดียว
เรื่องทำมาหากิน หาเงินเติมคลัง...ไม่มีเพราะทำไม่เป็น
.....
ไอทีวีกำลังทำรายได้ดี...จ่ายภาษีเข้ารัฐ
จ่ายค่าสัมปทานให้รัฐ...รัฐมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
.....
จู่ๆไปยึดไอทีวีมา...ยัดใส่มือคนหัวเหม่งฟรีๆ
แค่นั้นยังน้อยไป...ยังแถมเงินให้อีกปีละ 2 พันล้าน
.....
รายได้ที่รัฐเคยได้รับแบบเสือนอนกิน..นอกจากหายวับแล้ว
ยังต้องควักเป๋าจ่ายให้เขาเสียอีก..เก่งจริงๆรัฐบาลขิงแก่
.....
เวลานอกนั้นที่เหลือ..ก็ตั้งหน้าตั้งตาล้างบางนักการเมือง
ฝั่งทักษิณ...ทั้งยุบพรรค ยึดเงิน ยัดคดี พร้อมสรรพ
แถมตามล่าทักษิณให้ต่างชาติส่งตัว..ฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
.....
พอเขียนรัฐธรรมนูญ 50 เสร็จ..
หมกเม็ด สว.ลากตั้งครึ่งนึง..จัดเลือกตั้งฝ่ายตนแพ้ตามเคย
.....
แพ้แล้วพาล แล้วแปลงร่างเป็นพวก...ขี้แพ้ชวนตี
ไล่โค่นล้มทำลาย...รัฐบาลที่ชนะเลือกตั้ง
.....
ทั้งสมัครและสมชายล้มหมด...กะไม่ให้เหลือซาก
พรรคดีแต่พูดจะได้หมดขู่แข่ง...เป็นรัฐบาลสะดวกโยธิน
.....
ยุบพรรคเขา...เป็นรอบที่สอง
แล้วแย่ง สส.ของเขา..เอามาใส่พานให้พรรคดีแต่พูด
พากันไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร..ถ้ามียางอายคงไม่กล้า
.....
อยู่แก้กติกาการเลือกตั้ง..จนมั่นใจยังไงก็ชนะใสๆ
ท้าทายได้ สส.ไม่ต่ำกว่า 200...ถ้าแพ้จะขุดรูอยู่
....
แล้วก็แพ้จริงๆ...ทั้งที่ทำกติกาให้คนงงเล่นๆก็ยังแพ้
มีใครเคยเห็นเมือก....ขุดรูอย่างที่พูดรึยัง
.....
เป็นฝ่ายค้านทนไม่ไหว..ถอดหนังราชสีห์โชว์หนังเห้
ปาแฟ้มป่วนสภาก็แล้ว..ขโมยเก้าอี้ประธานไปซ่อนก็แล้ว
.....
ไล่ชกไล่บีบคอ สส.ฝ่ายรัฐบาลก็แล้ว...ทุ่มเก้าอี้จนพังก็แล้ว
ยังทำอะไรรัฐบาล..ที่ประชาชนค่อนประเทศเลือกมาไม่ได้
....
ออกมาเป็นอันธพาลข้างถนนง่ายกว่า..ป่วนบ้านป่วนเมือง
สมบัติราชการพังเสียหายพินาศย่อยยับ...ก็ไม่มีทางผิด
...
กวักมือเรียกเย้วๆ...ให้สางเขียวออกมาเป็นตัวช่วย
คราวนี้สมใจเมือก..สางเขียวยึดอำนาจตามใจเมือกทุกอย่าง
.....
เมือกเห็นท่าไม่ค่อยดี...วางบิล 1.4 พันล้าน คืนตรูมาซะดีๆ
อ้อยเข้าปากช้างแล้ว...มีหรือจะคายออกมาง่ายๆ
....
ไหนๆก็ลงทุนโค่นรัฐบาล..ล้มประชาธิปไตยแล้ว
หัวหน้ายึดอำนาจเป็นายกเองเลย..เหมือนตู่จตุพรพูดไว้
.....
ตอนนี้นักข่าวทายว่า...จะตั้งรัฐบาลขิงแก่เหมือนเดิม
แต่แก่กว่าเดิมหน่อย..ขนาดแก่แค่นี้ ยังแค่นั้น
ถ้าแก่กว่านั้นจะแค่ไหน..นึกภาพขิงแก่ชุดเก่าทีไรขนลุกทุกที
สวัสดีค่ะ.... เมืองไทยได้ชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม เวลาเราพบเจอนักท่องเที่ยว เราก็มักจะยิ้มให้เค้าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีใช่มั้ยคะ แต่ในทางกลับกัน ก็มีบางประเทศบนโลกใบนี้ติดอันดับ Rudest countries for travelers !! หรือประเทศที่หยาบคายต่อนักท่องเที่ยว !!! โอ้วววว แค่ฟังชื่อก็ดูน่ากลัวแล้วล่ะค่ะ เพราะฉะนั้น พี่เป้ ขอพาน้องๆ ไปดูว่า มีประเทศไหนติดอันดับบ้างนะ
อันดับ 3 United Kingdom (สหราชอาณาจักร)
ภาพลักษณ์ของคนในสหราชอาณาจักรโดยเฉพาะคนอังกฤษคือ "ผู้ดี" แต่ก็มีหลายคนออกมาค้านว่า ไม่จริงอย่างภาพลักษณ์หรอก !! เพราะคนอังกฤษน่ะชอบตะโกนโหวกเหวก ชอบทะเลาะลงมือตบต่อยกันอย่างไร้เหตุผล และที่สำคัญ ถ้าเราคุยกับคนอังกฤษโดยพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันล่ะก็ รับรองโดนคนอังกฤษหัวเราะเยาะใส่แน่ๆ เหมือนถูกเหยียดหยามเลยล่ะ
อย่างคนข้างบนเล่าว่า ได้เดินทางไปเที่ยวที่สหราชอาณาจักร และรู้สึกว่าคนส่วนมากที่นั่นหยาบคาย ไม่มีการเคารพผู้อื่น เวลาเดินบนถนนก็มักถูกผลักและไม่มีการเอ่ยคำขอโทษโดยเฉพาะคนลอนดอน เคยไปซื้ออาหารในร้านแมคโดนัลด์และพนักงานนี่แทบจะเขวี้ยงอาหารใส่หน้ากันเลยทีเดียว
อันดับ 2 Russia (รัสเซีย)
คนรัสเซียเป็นชาติที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเล็กๆ ค่ะ เช่น ถ้าเราช่วยเปิดประตูให้เค้า เค้าอาจจะไม่พูดขอบคุณก็ได้ เพราะสำหรับคนรัสเซียแล้วไม่ถือเป็นเรื่องไร้มารยาท หรือในอีกกรณีคือ เวลาที่เราไปเยี่ยมคนรัสเซียที่บ้าน เราจะต้องมีของฝากติดไม้ติดมือไปด้วย และเมื่อเรามอบของนั้นให้เค้า เค้าก็อาจจะไม่พูดขอบคุณก็ได้ แน่นอนค่ะ คนชาติไหนๆ ก็ต้องรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมไม่ขอบคุณล่ะ ไม่มีมารยาท แต่สำหรับคนรัสเซียเค้าไม่ถือค่ะ
หรืออีกเหตุการณ์หนึ่ง เจ้าของที่พักแห่งหนึ่งเล่าว่า ในบรรดานักท่องเที่ยวที่มาพัก ชาติที่รับมือยากที่สุดคือคนรัสเซีย เพราะทุกๆ คืนนักท่องเที่ยวรัสเซียจะเมาแล้วโวยวายเสียงดังมากๆ สร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่น หรือเวลาที่มีจัดเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ นักท่องเที่ยวรัสเซียก็มักจะตักอาหารใส่จานเยอะเวอร์ๆ จนทำให้อาหารหมดไวและไม่เหลือให้คนอื่นกิน หรือแม้แต่เวลาที่กำลังเช็คอินเข้าที่พักและจ่ายเงิน บางทีอาจมีแขกกำลังต่อคิวเช็คอินหลายคน นักท่องเที่ยวรัสเซียก็มักจะชอบโวยวายและโชว์บัตรเครดิตหลายๆ ใบ เหมือนเป็นการอวดว่าตัวเองรวยกว่าคนอื่น ควรจะต้องได้รับสิทธิพิเศษหรือต้องได้เช็คอินก่อนคนอื่น
อันดับ 1 (ฝรั่งเศส)
สาเหตุหลักที่ทำให้คนฝรั่งเศสดูเป็นคนหยาบคายก็เพราะว่า คนฝรั่งเศสไม่ค่อยยิ้มค่ะ ปกติแล้วเวลาที่เราเจอนักท่องเที่ยว เราก็มักจะยิ้มให้เค้าเพื่อจะได้แสดงความเป็นมิตรหรือเฟรนด์ลี่ แต่คนฝรั่งเศสนี่เป็นพวกเสือยิ้มยากค่ะ เค้าจะไม่ยิ้มพร่ำเพรื่อถ้าเค้าไม่ได้รู้สึกมีความสุขจริงๆ จึงทำให้ภาพลักษณ์ดูเป็นคนเฉยเมยค่อนข้างไปทางหยาบคาย ก็แหม คิดดูสิคะ เรายิ้มให้เค้าจนเหงือกแห้งแต่เค้าไม่ยิ้มกลับมาเลย เป็นใครก็ต้องคิดแหละว่า เฮ้ย ทำไมไม่มีมารยาทเลยอะ
อย่างคนข้างบนเค้าเล่าว่า เค้าใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศสมา 3 ปีแล้ว และบอกได้เลยว่าคนฝรั่งเศสนี่หยาบคายสุดๆ เคยเดินทางไปหลายประเทศแล้วแต่ไม่เคยเจอที่ไหนเป็นแบบนี้มาก่อน เวลาเจอหน้ากัน คนฝรั่งเศสจะทักทายว่า Bonjour (บงชู) แต่ในใจไม่ได้คิดอยากทักทายกันจริงๆ หรอก
สำหรับคนที่จะไปฝรั่งเศสเพื่อเที่ยวเฉยๆ ก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษใส่คนฝรั่งเศส เค้าจะไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่ (เพราะคนฝรั่งเศสรักภาษาของตัวเองมากจนไม่สนใจภาษาอื่น) ดังนั้นถ้าใครคิดจะไปอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวให้ชินกับคนประเทศนี้
นั่นก็คือผลสำรวจที่เค้าได้สำรวจกันมานะคะ ใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเถียงกันนะ เพราะยังไงก็เป็นความคิดเห็นของคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ^^ ส่วนประเทศไทยนี่ติดอันดับท้ายๆ เลยค่ะ (โล่งไป) แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าประเทศไหนๆ ก็มีทั้งคนสุภาพและคนหยาบคายอยู่รวมกันทั้งนั้นแหละค่ะ ดังนั้นถ้าเราไปเที่ยวที่ไหนแล้วเจอคนหยาบคาย ก็อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ให้หมดสนุกเลยเนาะ มองข้ามไปดีกว่า อิอิ
คสช.ไฟเขียว โละขายยาง 2.1 แสนตัน...
ยอม ขาดทุนยับเยินกว่า 50%
ขายให้ผู้ประกอบการเพียงรายเดียว...
...
ไม่ต้องประมูลให้เสียเวลา...
...วงเงิน 6,040 ล้านบาท...
...
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมาได้เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรฯขายยางในสต็อก 2.1 แสนตัน กับผู้ประกอบการเพียงรายเดียว ซึ่งในต้นสัปดาห์นี้ กระทรวงเกษตรฯจะลงนามกับผู้ประกอบการดังกล่าว เพื่อส่งมอบยางล็อตแรกจำนวน 1 แสนตัน วงเงิน 6,040 ล้านบาท แยกเป็นยางแท่ง 4 หมื่นตัน ราคากก.ละ 58 บาท รวม วงเงิน 2,320 ล้านบาท และ ยางแผ่นรมควัน 6 หมื่นตัน ราคากก.ละ 62 บาท รวมวงเงิน 3,720 ล้านบาท...!!!
~ มติ!! กรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ไม่รับรอง ป.โทกฎหมาย 7 ม.ดัง (ตรวจสอบชื่อ) ~
เว็บไซต์ สำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ได้เผยแพร่ผลการประชุม ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ครั้งที่ 19/2557
เมื่อวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2557 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 8 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดยที่ประชุมพิจารณาได้พิจารณา และมีมติที่ประชุม ที่น่าสนใจ ดังนี้
ในวาระที่ 4 ที่ประชุม ไม่เห็นชอบรับรองหลักสูตรปริญญาโททางกฎหมายในการสมัครสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาของมหาวิทยาลัยจำนวน 4 แห่ง ได้แก่
1.มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2.มหาวิทยาลัยสยาม
3.มหาวิทยาลัยบูรพา
4.มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
ให้เพิกถอนการรับรองหลักสูตรปริญญาโททางกฎหมายในการสมัครสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาของมหาวิทยาลัยจำนวน 3 แห่ง ได้แก่
1.มหาวิทยาลัยตาปี
2.มหาวิทยาลัยปทุมธานี
3.มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
ขอขอบพระคุณ หนังสือพิมพ์คุณภาพ " มติชน " หลายๆเด้อครับ
สถาบันการศึกษา...ระดับอุดมศึกษา
ก่อนเปิดสอนหลักสูตรใด..ต้องได้รับการอนุมัติจาก
คณะกรรมการการอุดมศึกษา...หรือ กอศ.กระทรวงศึกษาฯ
....
เมื่ออนุมัติแล้ว...ก็เปิดรับสมัคร
มีคนมาสมัครเสียเงินมากมาย...จึงเปิดทำการสอนได้
ถ้าไม่รับรองแล้วผู้เรียนจะให้ทำอย่างไร..ใครรับผิดชอบ