ภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวดใน ประเทศซิมบับเว เป็นสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงเป็นอันดับที่สองในประวัติศาสตร์การเงินโลก (รองจากภาวะเงินเฟ้อในประเทศ ฮังการี ใน พ.ศ. 2489) ภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวดครั้งนี้ เกิดขึ้นกับเงินสกุล ดอลลาร์ซิมบับเว (Zimbabwean Dollar, ZWD) อันเนื่องมาจากการบริหารงานอันผิดพลาดของประธานาธิบดี โรเบิร์ต มูกาเบ โดยมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 516,000,000,000,000,000,000 (ห้าร้อยสิบหกล้านล้านล้าน) ต่อปี [1] (อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยในปัจจุบัน จะอยู่ที่ร้อยละ 4 ต่อปี) ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอย่างรุนแรงในระบบเศรษฐกิจและสังคม จนนำไปสู่การยุติการใช้สกุลเงินประจำชาติในที่สุด
ลำดับเหตุการณ์
พ.ศ. 2530-2542
พ.ศ. 2530 นาย โรเบิร์ต มูกาเบ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนที่สองแห่งสาธารณรัฐซิมบับเว หลังจากนั้น นายมูกาเบ มีนโยบายทางการเงินที่ผิดพลาดอยู่บ่อยๆ เงินเฟ้อของประเทศในช่วงนั้นอยู่ที่ร้อยละ 10-20 แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อเกิดรุนแรงขึ้น คือวันหนึ่ง นายมูกาเบเห็นว่า ประเทศซิมบับเวนั้นเคยเป็นอาณานิคม(เมืองขึ้น) ของ สหราชอาณาจักร (ได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2523 ) ในช่วงที่เป็นเมืองขึ้นนั้นถูกคนขาว(คนอังกฤษ) กดขี่ขมเหง แม้ตอนนี้จะมีเอกราชแล้ว การกดขี่ลดน้อยลงไป แต่ยังมีคนขาวจำนวนหนึ่งที่ยังปักหลักทำมาหากินอยู่ในซิมบับเว นายมูกาเบไม่พอใจ ด้วยเห็นว่าแผ่นดินซิมบับเวควรเป็นของซิมบับเว จึงได้ออกมาตรการปฏิรูปที่ดินในซิมบับเว โดยเป็นนโยบายในการขับไล่คนขาวออกไป หรือทำให้ชาวผิวขาวกลายสถานะเป็นลูกจ้าง และริบที่ดินทำกินมาให้ชาวผิวดำซิมบับเว ชาวผิวขาวซึ่งมีจำนวนแม้จะน้อยไม่กี่พันคน แต่ครอบครองที่ดินในซิมบับเวเป็นสัดส่วนจำนวนมาก ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นรุนแรง ประกอบกับเมื่อที่ดินเหล่านั้นถูกริบ ปรากฏว่ารัฐบาลซิมบับเวกลับบริหารไม่เป็นประโยชน์ ใช้คนไม่ถูกงาน ที่ดินเหล่านั้นเสมือนไร้ประโยชน์ ทำให้ผลิตภัณฑ์และระบบเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำลง [2] [ ต้องการอ้างอิง ] รวมถึงการคอรัปชันที่เกิดขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้นจากระดับปกติมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 20-50 ต่อปี
ธนบัตรชุดดั้งเดิมของ ดอลลาร์ซิมบับเว จะมี 4 ชนิด มูลค่า 2, 5, 10, 20 ดอลลาร์ แต่เมื่อเกิดภาวะเช่นนี้ ใน พ.ศ. 2537 จึงได้มีการออกธนบัตรมูลค่า 50 ดอลลาร์ และออกธนบัตรมูลค่า 100 ดอลลาร์ตามมาในปี 2538 ตามมาด้วยการยกเลิกธนบัตร 2 ดอลลาร์ และการเปลี่ยนรูปแบบของธนบัตร 5, 10, 20 ดอลลาร์พร้อมกันในปี 2540
พ.ศ. 2543-2549
ภาพข่าวเชิงประชดประชันที่ถูกส่งต่อในอินเทอร์เน็ตและอีเมล กล่าวถึงการเตรียมเงินจ่ายค่าอาหารหนึ่งมื้อ
จากการปฏิรูปที่ดินที่ล้มเหลว สถานการณ์รุนแรงขึ้นตามเวลา ซิมบับเวจากที่เคยเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ำ ส่งออกสินค้าหลายชนิด กลายเป็นต้องนำเข้า อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 50-100 ต่อปี ต่อมาได้ติดหนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อีกทั้งการเริ่มขาดแคลนอาหารและสาธารณูปโภค และสถานการณ์การขับคนขาวออกที่รุนแรงขึ้นในระยะนี้ ผลักหนุนอัตราเงินเฟ้อเพิ่มไปอยู่ที่ร้อยละ 100-600 ต่อปี ผลสุดท้าย พ.ศ. 2549 ธนาคารกลางแห่งประเทศซิมบับเว ตัดสินใจพิมพ์ธนบัตรขึ้นมาเพิ่มเติมครั้งใหญ่ เพื่อนำไปซื้อเงินสกุล ดอลลาร์สหรัฐ และนำเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐนั้นไปใช้หนี้ (อัตราแลกเปลี่ยนเงินในขณะนั้น คือ 1.59 ดอลลาร์ซิมบับเว = 1 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งซิมบับเวสามารถปลดหนี้ให้ตนเองได้ แต่ด้วยระบบเศรษฐกิจ เงินดอลลาร์สหรัฐที่ใช้หนี้คืนไป เมื่อออกสู่ระบบ ก็เริ่มค่อยๆ ถูกแลกกลับเป็นเงินในสกุลดอลลาร์ซิมบับเว และกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของซิมบับเวเอง ทำให้เงินล้นประเทศ ค่าของเงินจึงจางลง ซ้ำเติมสถานะทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว หนุนให้เงินเฟ้อสูงขึ้นไปอีก และในปีเดียวกันนั้น รัฐบาลยังสั่งอัดฉีดเงินเข้าระบบอีก 60,000,000,000,000 (หกสิบล้านล้าน) ดอลลาร์ซิมบับเว เพื่อเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการชดเชยภาวะเงินเฟ้อ แต่ยิ่งทำให้เงินล้น เงินเฟ้อจึงพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมอีก ในปี 2549 เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นไปที่ร้อยละ 1,281.11 ต่อปี
ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 50-100 ต่อปี ธนาคารกลางต้องออกธนบัตร 500 ดอลลาร์ พร้อมยกเลิกการธนบัตร 5 ดอลลาร์ ในปี 2544 ต่อมาเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงเกินร้อยละ 100 ต่อปี ธนาคารกลางต้องออก Bearer Cheque ออกมาเพิ่ม 4 ชนิด (และเงินหมุนเวียนทุกรุ่นหลังจากนี้ไป ส่วนใหญ่จะออกในรูปของ Bearer Cheque หรือ "เช็คที่ธนาคารสัญญาว่าจะแลกเป็นเงินได้" ทั้งหมด) มูลค่า 1 000 5 000 10 000 และ 20 000 ดอลลาร์ ในปี 2546 และตามมาด้วย Bearer Cheque 50 000 และ 100 000 ดอลลาร์ในปี 2548 แต่ที่สุดแล้ว เนื่องจากเงินเฟ้อจัด ทำให้การซื้อ-ขาย มีเลขศูนย์ต่อท้ายมากเกินไป ทำให้ 1 สิงหาคม 2549 รัฐบาลและธนาคารกลางสั่งปรับปรุงสกุลเงินนี้ใหม่ทั้งหมด โดยกำหนดหน่วยเงินเป็น "ดอลลาร์ซิมบับเวที่สอง" (ZWN) มาแทนเงินดอลลาร์ซิมบับเวเดิม (ZWD) โดยกำหนดให้ 1 ZWN = 1,000 ZWD รวมทั้งยกเลิกธนบัตรและ Bearer Cheque ของ ZWD ทั้งหมดตั้งแต่ 10 20 50 100 500 1,000 5,000 10,000 20,000 50,000 100,000 ดอลลาร์ทิ้งทั้งหมด และออก Bearer Cheque ของ ZWN ใหม่ โดยชุดแรกมี 14 ชนิด คือ 0.01, 0.05, 0.10, 0.50, 1, 5, 10, 20, 50, 100, 500, 1,000, 10 000 และ 100,000 ดอลลาร์ซิมบับเวที่สอง
พ.ศ. 2550
ภาพข่าวเชิงประชดประชันที่ถูกส่งต่อในอินเทอร์เน็ตและอีเมล เกี่ยวกับราคาอาหารสำเร็จรูป ราคาต่ำที่สุดคือ 10 ล้านดอลลาร์ [3]
พ.ศ. 2550 รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมราคาสินค้า ผู้ใดขายสินค้าในราคาเกินกำหนดถือว่ามีความผิด แต่ผลคือ ต้นทุนของสินค้ายังเพิ่มขึ้นจนแพงกว่ากำแพงราคาที่กำหนด ร้านค้าต่างๆ เก็บสินค้าของตนออกไปขายในตลาดมืด เพราะไม่สามารถขายในราคาที่ขาดทุนได้ ทำให้ตลาดมืด (ตลาดผิดกฎหมาย) ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประชาชนไม่มีทางเลือก และเกิดการกักตุนสินค้าในตลาดมืดไว้ขายในราคาที่สูงกว่าในวันหน้า และนอกจากนี้ ชาวซิมบับเวเปลี่ยนไปใช้เงินสกุลอื่น หรือใช้สิ่งของในการแลกเปลี่ยนแทนเงินประจำชาติ เพราะมีความเสถียรกว่ามาก มีรายงานว่าแม้แต่โรงพยาบาลบางแห่ง ยังยินดีรับค่ารักษาเป็นถั่วลิสงมากกว่าที่จะรับเงินในสกุล ZWN โดยจะคิดค่ารักษาเป็นจำนวนถังของถั่วลิสง [4] เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการทาขนมปังให้คนไข้ เงินสกุลนี้ กลายเป็นเงินที่ต้องรีบใช้ เพราะราคาของในเงินสกุลนี้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเก็บออมโดยใช้เงินสกุลนี้คงจะยากที่จะมีโอกาสตั้งตัว และมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ต้องพบชะตากรรม เพราะเงินล้านที่ทำงานอดออมมาทั้งชีวิตตลอดก่อนหน้านี้เพื่อหวังจะใช้ชีวิตสบายยามชรา กลับเหลือมูลค่านำมาซื้อได้เพียงข้าวเช้า 1 จานเท่านั้น การควบคุมค่าเงินดูจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เงินเฟ้อประจำปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 66,212.3 ต่อปี
ในช่วงต้นปี รัฐบาลประกาศยินยอมให้คนขาวกลับมาทำมาหากินในดินแดนซิมบับเวได้ใหม่อีกครั้ง รวมทั้งยินยอมให้คนขาวเซ็นสัญญาเช่าที่ดินระยะยาวในประเทศซิมบับเวได้ใหม่ แต่ที่ดินที่เคยใช้ประโยชน์ได้ ก็เสื่อมสภาพ ไม่สามารถใช้ทำประโยชน์ได้เต็มที่ดังเดิม
ในปี 2550 มีการออก Bearer Cheque มูลค่า 5,000 และ 50,000 ดอลลาร์มาเพื่อลดช่องว่างของ Bearer Cheque 1,000, 10,000 และ 100,000 ดอลลาร์ และในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง การออก Bearer Cheque รุ่นใหม่ของซิมบับเวเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2550 เพียงหนึ่งปีหลังปรับปรุงสกุลเงินมาเป็น ZWN, Bearer Cheque มูลค่าตั้งแต่ 0.01 ถึง 50 ดอลลาร์ซิมบับเวถูกยกเลิก และมีการออก Bearer Cheque มูลค่า 200,000, 250,000, 500,000 และ 750,000 ดอลลาร์ซิมบับเวออกมาในปีเดียว เพื่อลดปริมาณเช็คที่ต้องพกไปในการซื้อสินค้า
พ.ศ. 2551
ด้วยภาวะเงินเฟ้อทำให้ต้องออก Bearer Cheque มูลค่าสูงมาอย่างต่อเนื่องเพื่อความสะดวก ภาพนี้แสดงเช็คที่อยู่ในระบบในช่วงหนึ่งปี นับจากเดือนกรกฎาคม 2550
ภาวะเงินเฟ้อพุ่งทะยานไม่หยุด มากกว่าร้อยละล้านต่อปี ในช่วงนี้ธนาคารกลางต้องออก Bearer Cheque รุ่นใหม่เกือบทุกเดือน โดยในเดือนมกราคม ออก Bearer Cheque 1,000,000, 5,000,000 และ 10,000,000 ดอลลาร์ซิมบับเว ต่อมาในเดือนเมษายน ออก Bearer Cheque 25,000,000 และ 50,000,000 ดอลลาร์ ตามด้วยการออก Bearer Cheque 100,000,000 (หนึ่งร้อยล้าน), 250,000,000 (สองร้อยห้าสิบล้าน) ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคมต้นเดือน และ Bearer Cheque 500 000 000 (ห้าร้อยล้าน) ดอลลาร์ในช่วงกลางเดือน และในเดือนเดียวกันยังต้องออกเงินพิเศษฉุกเฉินในรูป Special Agro-Cheque มูลค่าใบละ 5,000,000,000 (ห้าพันล้าน), 25,000,000,000 (สองหมื่นห้าพันล้าน), 50,000,000,000 (ห้าหมื่นล้าน) และ 100,000,000,000 (หนึ่งแสนล้าน) ดอลลาร์ซิมบับเว แต่มันมีค่าเทียบเท่าเงินไทยในช่วงนั้นเพียง 61 บาท [5]
เมื่อการอนุญาตให้คนขาวกลับเข้ามาในประเทศไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น สุดท้ายรัฐบาลซิมบับเวได้ประกาศว่า เป็นเพราะรัฐบาลสหราชอาณาจักรในสมัยที่นาย โทนี แบลร์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ใช้อาวุธเคมีและชีวภาพทำให้เกิดโรคระบาดในซิมบับเว และทำให้ที่ดินเสื่อมสภาพ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังประกาศจะตรวจสอบกิจการที่มีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะสัญชาติอังกฤษถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของ ว่ามีการกักตุนสินค้าเพื่อปั่นราคาหรือไม่ หากพบ จะยึดกิจการดังกล่าวเป็นของรัฐบาล หากไม่พบ แต่พบว่าเป็นกิจการที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจระดับมหภาคของซิมบับเว จะยึดกิจการดังกล่าวให้นักลงทุนชาวซิมบับเว หรือเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อซิมบับเวเป็นผู้บริหารแทน [6] ทำให้คนขาวต้องออกไปจากซิมบับเวอีกครั้ง
ในที่สุด 1 สิงหาคม 2551 ธนาคารกลางต้องสั่งปรับค่าเงินสกุลนี้ใหม่อีกครั้ง โดยให้ประเทศเปลี่ยนไปใช้เงิน “ดอลลาร์ซิมบับเวที่สาม” (ZWR) แทนดอลลาร์ซิมบับเวที่สอง (ZWN) โดยกำหนดให้ 1 ZWR = 10,000,000,000 (หนึ่งหมื่นล้าน) ZWN (= 10,000,000,000,000 ZWD) เพียงสองปีหลังจาก ZWN ออกใช้ ซึ่งเงินสกุล ZWR เป็นต้นไป ได้กลับมาใช้ธนบัตรจริงทั้งหมด ไม่ใช้ Cheque โดยธนบัตรชุดแรกมี 6 ชนิด คือ 1, 5, 10, 20, 100 และ 500 ดอลลาร์ซิมบับเวที่สาม แต่ยังอนุญาตให้ใช้ Bearer Cheque ของดอลลาร์ที่สองได้จนถึงสิ้นปี โดยจะต้องคำนวณมูลค่าให้เป็นดอลลาร์ที่สาม แต่ในช่วงนั้น รายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมสูงขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 231 150 888.87 ต่อปี เป็นอัตราที่สูงอย่างไม่เคยพบมาก่อนในซิมบับเว เพียงเดือนเดียวก็ต้องออกธนบัตร 1,000, 10,000 และ 20,000 ดอลลาร์มาในเดือนกันยายน ตามด้วยออกธนบัตร 50,000 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม ตามด้วยธนบัตร 100,000, 500,000 และ 1,000,000 ดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในเดือนดังกล่าว เงินเฟ้อทะยานสูงสุดในประวัติศาสตร์ซิมบับเว โดยมีรายงานว่าอยู่ที่ร้อยละ 516,000,000,000,000,000,000 (ห้าร้อยสิบหกล้านล้านล้าน) ต่อปี
ในเดือนธันวาคม 2551 สถานการณ์ที่รุนแรงต่อเนื่อง การออกธนบัตรรุ่นใหม่ออกกันเป็นรายสัปดาห์ โดยออกธนบัตร 10,000,000, 50,000,000 และ 100,000,000 (ร้อยล้าน) ดอลลาร์ในวันที่ 4 ธันวาคม ออกธนบัตร 200,000,000 (สองร้อยล้าน) และ 500,000,000 (ห้าร้อยล้าน) ดอลลาร์ในวันที่ 12 ธันวาคม ตามด้วยธนบัตร 1,000,000,000 (หนึ่งพันล้าน), 5,000,000,000 (ห้าพันล้าน) และ 10,000,000,000 (หนึ่งหมื่นล้าน) ดอลลาร์ในวันที่ 19 ธันวาคม ปิดท้ายปีด้วยการสั่งยกเลิกธนบัตรมูลค่าตั้งแต่ 1 000 ดอลลาร์ลงไปทั้งหมด
ไม่ว่ารัฐบาลและธนาคารกลางจะทำอย่างไร แต่ก็ดูจะเริ่มไร้ประโยชน์ ความน่าเชื่อถือในเงินสกุลนี้หายไปแล้ว เศรษฐีที่มีเงินแสนล้าน เมื่อสองปีก่อน กลับจะเหลือทรัพย์สินเพียงสิบ มีรายงานว่าชาวซิมบับเวบางส่วนเลิกประกอบอาชีพทั้งหมด ไปร่อนทองในแม่น้ำ เพื่อนำเศษทองที่ร่อนได้ไปแลกอาหารประทังชีวิตเป็นรายวัน ส่วนระบบที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้เงินสกุลอื่นได้ล่มสลายไปโดยปริยาย แรงงานในสาขาอาชีพต่างๆ อพยพไปทำงานในประเทศอื่นถึงร้อยละ 10 ของประเทศ แม้แต่แพทย์-พยาบาล ยังได้อพยพไปทำงานในประเทศอื่นๆ มากกว่าครึ่ง ระบบสาธารณสุขล่มสลายโดยปริยาย อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึงร้อยละ 80 อัตราการติดเชื่อ เอดส์ สูงถึงร้อยละ 20 เป็นความล่มสลายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างสิ้นเชิง
พ.ศ. 2552
ด้านหน้าธนบัตรมูลค่า หนึ่งร้อยล้านล้านดอลลาร์ที่สาม
สถานการณ์เลวร้ายต่อเนื่องมาจากสิ้นปี การออกธนบัตรรุ่นใหม่รวดเร็วเช่นเดิม โดย 12 มกราคม ออกธนบัตร 20,000,000,000 (สองหมื่นล้าน) และ 50,000,000,000 (ห้าหมื่นล้าน) ดอลลาร์ หลังจากนั้น 4 วัน ในวันที่ 16 มกราคม ก็ก้าวกระโดดไปออกธนบัตร 10,000,000,000,000 (สิบล้านล้าน), 20,000,000,000,000 (ยี่สิบล้านล้าน), 50,000,000,000,000 (ห้าสิบล้านล้าน) และ 100,000,000,000,000 (หนึ่งร้อยล้านล้าน) ดอลลาร์
นับจากการปรับปรุงค่าเงินเป็น ZWR เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่สูงมากอย่างต่อเนื่อง จนที่สุดแล้ว 2 กุมภาพันธ์ 2552 ครั้งนี้เพียงครึ่งปีหลังจากดอลลาร์ที่สาม รัฐบาลประกาศปรับปรุงค่าเงินอีกครั้ง โดยให้ใช้ “ดอลลาร์ซิมบับเวที่สี่” (ZWL) โดยกำหนดให้ 1 ZWL = 1,000,000,000,000 (หนึ่งล้านล้าน) ZWR ( = 10,000,000,000,000,000,000,000 ZWN = 10,000,000,000,000,000,000,000,000 ZWD) โดยธนบัตรของดอลลาร์ที่สี่ ออกมาทั้งสิ้น 7 ชนิด คือ 1, 5, 10, 20, 50, 100 และ 500 ดอลลาร์ที่สี่ แต่ยังให้ใช้ธนบัตรของดอลลาร์เก่าได้ แต่ต้องคำนวณมูลค่าให้เป็นไปตามดอลลาร์ใหม่
แต่การกระทำใดๆ ไร้ผล ที่สุดแล้วรัฐบาลซิมบับเว ประกาศยกเลิกการใช้เงินสกุลดอลลาร์ซิมบับเวในประเทศและยอมรับการใช้เงินสกุลอื่นในประเทศอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 เมษายน 2552 โดยกล่าวว่า จะหยุดใช้เงินสกุลนี้ไปอย่างน้อยหนึ่งปี จนกว่าประเทศจะพร้อมกลับไปใช้เงินสกุลนี้อีกครั้ง เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเยียวยาตัวมันเอง นับจากวันนั้น ภาวะเงินเฟ้อในซิมบับเวลดลงสู่ระดับเกือบปกติในทันที และไม่เคยพุ่งสูงอีกเลย และจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลเลิกใช้เงินสกุลนี้มีแล้วหลายปี แต่ก็ยังไม่ได้ให้ประเทศกลับไปใช้เงินสกุลนี้แต่อย่างใด
ย้ายผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้ออีโบล่ากลางดึกหลังอาการทรุด
กรณีผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อมรณะ ล่าสุดอาการทรุดหนักเกิดภาวะช็อกเนื่องจากขาดเกล็ดเลือดถูกหามส่งย้ายเข้าโรงพยาบาลศูนย์กลางดึก
วันอาทิตย์ 3 สิงหาคม 2557 เวลา 16:28 น.
กรณีพบผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสมรณะ อีโบลาในพื้นที่ จ.จันทบุรี ถูกส่งเข้ารักษาตัว รพ.กรุงเทพ-จันทบุรี แพทย์ได้นำเข้าห้องไอซียูเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิด โดยระบุว่า ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนัก และเกิดภาวะช็อค เนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำยังไม่รู้สึกตัว ซึ่งน่าจะมีสาเหตุจากอาการติดเชื้อไข้มาลาเรีย โดยอาการทรุดหนักมากถึงขั้นอวัยวะภายในไม่ทำงาน แพทย์จึงลงความเห็นว่าควรจะหยุดการรักษาและแจ้งให้ทางญาติทราบ กระทั่งมีข่าวแพร่สะพัดออกไปในโลกโซเชี่ยลรอบ 2 ว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวได้เสียชีวิตลงแล้ว ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 3 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมาได้เกิดปาฏิหาริย์ เมื่อคนไข้กลับมีอาการตอบสนองดีขึ้น จนสามารถกระพริบตา และตอบสนองกับการรักษาได้ดี ซึ่งต่อมาญาติได้ปรึกษากับทีมแพทย์ที่ดูแล และตกลงจะทำการย้ายตัวผู้ป่วยไปเข้ารับการรักษาต่อที่ รพ.พระปกเกล้า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่มีเครื่องมือและทีมแพทย์พร้อมกว่า โดยขณะนี้ผู้ป่วยมีอาการที่ทรงตัว และยังไม่รู้สึกตัว ส่วนผลการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ยังสรุปว่า เป็นการติดเชื้อมาลาเรีย และโรคบิด ส่วนเรื่องการส่งตรวจเชื้อต้องสงสัยนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเชื้อไวรัสมรณะอีโบลาหรือไม่ เนื่องจากยังคงต้องรอผลแลป และการยืนยันของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ทางญาติเองในขณะนี้ได้มีการระดมทั้งญาติพี่น้อง เพื่อน ๆตลอดจนในโลกโซเชี่ยลขอรับบริจาคเกล็ดเลือดกรุ๊ปบีเป็นการเร่งด่วน เพื่อนำมาใช้ในการรักษายื้อชีวิตผู้ป่วย เนื่องจากขณะนี้ผู้ป่วยมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำมาก.
ข่าว CNN องค์การอนามัยโลก (WHO) เเจ้ง อีโบล่าแพร่กระจายเกินกว่าความสามารถที่จะควบคุมมันได้เเล้ว
ขึ้นหน้าจอเลยว่า WHO : Ebola spreading faster than our ability to control it
ทางเข้าของโรค ไม่ได้มีเเค่ สุวรรณภูมิ
--- พวกลักลอบหนีเข้าเมือง ตามด่านชายเเดน
--- เเรงงานเถื่อนที่ไป ตปท กับเรือประมง
--- เล็ดลอดจาก สนามบิน โดยไม่จำเป็นเลยต้องเป็นสายการบิน ที่บินตรงจาก ปท ที่เเพร่ระบาด อย่าเข้าใจผิด เเบบ อ่อนๆ
--- พวกสัตว์ที่ลักลอบนำเข้า
---- การนำเข้า สัตว์ เนื้อสัตว์ จากต่างประเทศ ( ก้ไม่จำเป็นอีกเเหละว่า ต้องมาจาก ปท ที่เเเพร่ระบาดอยู่ )
วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อีโบลา ขณะนี้ในภูมิภาคแอฟริกา ตะวันตก กำลังสร้างความน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก!!
ถึงแม้ขณะนี้ ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสมรณะ และผู้เสียชีวิต จะยังคงพบเพียงแค่ใน 3 ประเทศในแอฟริกา ตะวันตก คือ กินี , ไลบีเรีย และเซียร์รา ลีโอน เท่านั้น
แต่อัตราผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้ออีโบลา ยังคงพุ่งไม่หยุด เพราะนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ปีนี้ จนถึงวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยติดเชื้ออีโบลาถึง 759 ราย ในจำนวนนี้ เสียชีวิตไปแล้ว 467 ราย
ที่น่าวิตก คือ การระบาดของเชื้อ อีโบลา ขณะนี้ เป็นการระบาดในระดับที่ไม่ธรรมดา... เพราะเชื้อมรณะกำลังแพร่ระบาดอยู่ในชุมชนเมืองใหญ่ และโดยเฉพาะในเมืองหลวง ซึ่งยากต่อการควบคุม!!
มีเมืองหลวงถึง 2 แห่ง คือ กรุงโคนาครีย์ เมืองหลวงของประเทศกินี และกรุงมอนโรเวีย เมืองหลวงของไลบีเรีย รวมถึง เมืองฟรีทาวน์ เมืองใหญ่ของ เซียร์รา ลีโอน กำลังเกิดการระบาดของเชื้ออีโบลา
จากวิกฤตการณ์การระบาดที่รุนแรงของอีโบลา ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของ 11 ประเทศในแอฟริกา ตะวันตก ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, แกมเบีย, กานา,กินี,กินี-บิสโซ ,ไอวอรี่ โคสต์, ไลบีเรีย,มาลี ,เซเนกัล, เซียร์รา ลีโอน และยูกันดา รวมทั้งตัวแทนจากองค์การอนามัยโลก ไปนั่งร่วมประชุมฉุกเฉินที่เมืองอัคครา ในประเทศกินี เมื่อวันที่ 2-3 ก.ค. เพื่อหาทางรับมือและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของอีโบลา
พร้อมกันนั้น ยังเชิญบรรดาตัวแทนจากสายการบินต่างๆให้มาร่วมประชุมด้วย เพื่อจะได้ร่วมรับฟังและดำเนินมาตราการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของอีโบลา ที่อาจติดต่อผ่านทางผู้โดยสารที่ต้องเดินทางไป-มาระหว่างประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อมรณะ
แต่คำถามคงอยู่ที่ว่า “ จะสามารถหยุดการแพร่ระบาดของอีโบลา ครั้งใหญ่สุด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้หรือไม่??”
องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของอีโบลา ด้วยความวิตกกังวลว่า จำเป็นต้องใช้ ‘ปฏิบัติการขั้นสูงสุด’ เพื่อหยุดเชื้อไวรัสมรณะ พร้อมทั้งยังชี้ว่าการระบาดของอีโบลา ในเวลานี้ เป็นการระบาดครั้งใหญ่สุดและเลวร้ายที่สุด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
องค์การอนามัยโลก ยังแถลงว่า ไม่ใช่เพียงแต่ไม่สามารถจะควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้เท่านั้น แต่สายพันธุ์ของเชื้ออีโบลา ยังมีความรุนแรง และสามารถ “ฆ่า” ผู้ป่วยที่ติดเชื้อให้ตายได้ในอัตราสูงมาก ถึง 90%
นายแพทย์ปีเตอร์ เพียต หนึ่งในคณะนักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบเชื้ออีโบลา เป็นครั้งแรก ในการระบาดเมื่อช่วงทศวรรษ 1970 กล่าวกับ คริสเตียน อาแมนพัวร์ นักข่าวหญิงอาวุโสคนดัง ของซีเอ็นเอ็น ด้วยความกังวลว่า สถานการณ์การระบาดของอีโบลาขณะนี้ เป็นสถานการณ์ที่ "ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"
‘ประการแรก นี่เป็นครั้งแรกที่มีการระบาดของอีโบลา ในแอฟริกา ตะวันตก-ประการที่สอง เป็นครั้งแรกที่มีถึง 3 ประเทศเกี่ยวข้องกับการระบาดของอีโบลา และประการที่สาม มันเป็นครั้งแรกที่พวกเราพบการระบาดของอีโบลา ในเมืองหลวง และเมืองใหญ่หลายแห่ง’ นายแพทย์ เพียต ชี้ให้เห็นถึงความร้ายแรงของวิกฤตการณ์อีโบลา ระบาดในเวลานี้
เรียกว่า อีโบลา กำลังเป็นฆาตรกรเหี้ยม ที่ประหัตประหารชีวิตของผู้คนที่ได้รับเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆทุกขณะ !!
เพราะความร้ายกาจของอีโบลา นอกจากจะทำให้ผู้ติดเชื้อ ล้มป่วยด้วยอาการมีไข้ ปวดหัว ตัวร้อน และมีเลือดออกตามอวัยวะภายใน เหมือนที่เคยเห็นในหนังเรื่อง Outbreak แล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยท้องร่วง และอาเจียน ซึ่งผู้ติดเชื้อจำนวนมากสามารถเสียชีวิตได้ภายในเวลาแค่ 10 วันเท่านั้น
ข่าวดีไม่มากนักเกี่ยวกับเชื้ออีโบลา คงอยู่ตรงที่มันไม่สามารถจะติดต่อกันง่ายๆ ตามที่คิดกัน เพราะผู้ที่จะเป็นต้นเหตุการระบาด จะต้องแสดงอาการป่วยออกมาให้เห็นแล้วเท่านั้น จากนั้น การติดเชื้อจะเกิดการสัมผัสโดยตรงกับ สารคัดหลั่งในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำลาย น้ำมูก ของผู้ป่วยทั้งจากคน และสัตว์
ด้านองค์กรแพทย์ไร้พรมแดน ซึ่งส่งแพทย์และเจ้าหน้าที่ไปช่วยต่อสู้ยับยั้งการระบาดของอีโบลา ตั้งแต่เดือน มี.ค. และหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการขององค์กรแพทย์ไร้พรมแดนได้ออกแถลงการณ์เตือนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การระบาดของอีโบลาในแอฟริกา ตะวันตก อยู่นอกเหนือการควบคุมแล้ว
ขณะที่หากฟังข้อสรุปถึงปัญหาที่ทำให้รัฐบาลประเทศในแอฟริกา ตะวันตก ยากจะรับมือหรือควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลา ก็คือ การขาดแคลนทรัพยากร โดยเฉพาะ ขาดเงิน ที่จะนำไปซื้อหายา รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ และค่าใช้จ่ายให้เจ้าหน้าที่ทำงาน รวมถึงยังต้องเจออุปสรรค ความเชื่อเก่าๆ ตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ทำให้การแพร่ระบาดยิ่งขยายวงกว้างออกไป
เต้นท์สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อที่แยกออกมาอยู่ด้านนอกโรงพยาบาลในเซียร์รา ลีโอน
เรียกว่า เป็นปัญหาพื้นฐานที่เป็นอุปสรรคขัดขวางในการแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดขึ้นในประเทศยากจน ด้อยพัฒนา …
เพียงแต่ว่า เมื่อปัญหานั้น เป็นปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสร้ายแรง อย่าง อีโบลา...ชาวโลกจึงได้เห็นวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรง จนชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคำถามคงอยู่ที่ เราจะหยุดยั้งการระบาดของอีโบลา ได้อย่างไร?.
ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก จะถึงที่หมายต้องเดินเอาเอง
“ก็สาวกของพระโคดมผู้เจริญ เมื่อพระโคดมกล่าวสอน
พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ทุก ๆ รูปได้บรรลุนิพพานอันเป็นผลสำเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่งหรือ ? หรือว่าไม่ได้บรรลุ ?”
พราหมณ์ผู้หนึ่งทูลถามพระผู้มีพระภาค.
พราหมณ์ ! สาวกของเรา แม้เรากล่าวสอนพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพาน อันเป็นผลสำเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ.
“พระโคดมผู้เจริญ ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย, ที่พระนิพพานก็ยังตั้งอยู่, หนทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพานก็ยังตั้งอยู่. พระโคดมผู้ชักชวน (เพื่อดำเนินไป) ก็ยังตั้งอยู่, ทำไมน้อยพวกที่บรรลุ และบางพวกไม่บรรลุ ?”
พราหมณ์ ! เราจักย้อนถามท่านในเรื่องนี้,
ท่านจงตอบตามควร. ท่านเป็นผู้ช่ำชองในหนทางไปสู่เมืองราชคฤห์มิใช่หรือ ? มีบุรษผู้จะไปเมืองราชคฤห์ เข้ามาหาและกล่าวกับท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห์ ขอท่านจงชี้บอกทางไปเมืองราชคฤห์
แก่ข้าพเจ้าเถิด” ดังนี้; ท่านก็จะกล่าวกะบุรุษผู้นั้นว่า
“มาซิท่าน ทางนี้ไปเมืองราชคฤห์ ไปได้ครู่หนึ่งจักพบบ้าน
ชื่อโน้น แล้วจักเห็นนิคมชื่อโน้น จักเห็นสวนและป่าอัน
น่ารื่นรมย์ จักเห็นภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอัน
น่ารื่นรมย์ของเมืองราชคฤห์” ดังนี้. บุรุษนั้นอันท่าน
พร่ำบอก พร่ำชี้ให้อย่างนี้ ก็ยังถือเอาทางผิด กลับหลัง
ตรงกันข้ามไป, ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่ง ไปถึงเมืองราชคฤห์ได้โดยสวัสดี.
พราหมณ์เอย ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย ที่เมืองราชคฤห์ก็ยังตั้งอยู่ ท่านผู้ชี้บอกก็ยังตั้งอยู่ แต่ทำไมบุรุษผู้หนึ่งกลับหลงผิดทาง ส่วนบุรุษ
อีกผู้หนึ่งไปถึงเมืองราชคฤห์ได้โดยสวัสดี ?
“พระโคดมผู้เจริญ ! ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจักทำอย่างไรได้เล่า,
เพราะข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น”
พราหมณ์ ! ฉันใดก็ฉันนั้นแล, ที่พระนิพพาน
ก็ยังตั้งอยู่ ทางเป็นเครื่องถึงพระนิพพานก็ยังตั้งอยู่ เรา
ผู้ชักชวนก็ยังตั้งอยู่;
แต่สาวกแม้เรากล่าวสอนพร่ำสอน อยู่อย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพานอันเป็นผลสำเร็จ ถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ.
พราหมณ์ ! ในเรื่องนี้ เราจักทำอย่างไรได้เล่า,
เพราะเราเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น.
อุปริ. ม. ๑๔/๘๕-๘๗/๑๐๑-๑๐๓.
สาวจีนไฟช็อตดับร่างไหม้เกรียม หลังชาร์จไอโฟนไว้ข้างตัวตอนหลับ แพทย์ยันเสียชีวิตจากไฟช็อตจริง
วานนี้(31ก.ค.) เว็บไซต์เซี่ยงไฮ้อิสต์ รายงานว่า สาวจีน วัย 18 ปี ตกเป็นเหยื่อสมาร์ทโฟนรายล่าสุด เมื่อเธอถูกไฟช็อตเสียชีวิต ขณะนอนหลับโดยมีโทรศัพท์มือถือ iPhone 4s ชาร์จอยู่ข้างตัว แพทย์ยืนยันถูกไฟช็อตจริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สาวจีนจากเขตปกครองตนเองซินเจียง อุยกูร์ ได้นอนหลับบนเตียงตามปกติ แต่มีการชาร์จโทรศัพท์มือถือ iPhone 4s ไว้ข้างตัว หลังจากนั้น เมื่อพี่สาวของเธอกลับมาบ้าน ก็ได้กลิ่นไหม้จึงเข้ามาในห้องนอนที่น้องสาวนอนอยู่ และต้องตกใจเมื่อพบว่า ร่างของน้องสาวนั้นไหม้เกรียมไปทั่วร่าง โดยมี iPhone 4s ในสภาพแตกละเอียด วางอยู่ข้าง ๆ
หลังจากส่งร่างของเธอให้แพทย์ชันสูตร พบว่า เธอเสียชีวิตจากไฟช็อต และจากการสืบสวนทราบว่า เธอซื้อโทรศัพท์ iPhone มาจากศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในเมืองอูรุมชีในราคาราว 10,500 บาท
อย่างไรก็ดี เจ้าของร้านขายโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวได้ติดต่อมาทางครอบครัวเหยื่อ เพื่อพูดคุยเรื่องค่าเสียหายแล้ว ขณะที่การสืบสวนสาเหตุของไฟช็อตครั้งนี้ยังคงดำเนินต่อไป
อันตราย !!!!!
อีก 1 ชีวิต ที่ต้องสังเวยให้กับ โทรศัพท์มือถือ
อย่าใช้โทรศัพท์ ไม่ว่าจะรับ หรือ โทร ออก
ขณะที่เครื่องกำลังชาร์จ แบตเตอรี่
เพราะแรงสั่นสะเทือนของพลัง งานที่แผ่รังสีคลื่นแม่เหล็ กไฟฟ้า...
มีความรุนแรง ถึง 1000 เท่า !!!!!!
โดยแรงสั่นสะเทือนจะพุ่งเข้ าสู่หัวใจเร็วมาก
มือที่จับโทรศัพท์ จะถูกเผาไหม้ ดังภาพ
และอันตรายดังกล่าว เกิดขึ้นได้กับทุกยี่ห้อ
ช่วยแชร์ด้วยครับ Cr. แอบ ชอบ ดูเพิ่มเติม
อันตรายมือถือ ไฟดูด แบตระเบิด ป้องกันได้
โดย Momypedia
ข่าวแอร์สาวที่ถูกไฟช็อต จนเสียชีวิต ขณะคุยโทรศัพท์ระหว่างชาร์จไฟไปด้วยนั้น ทำให้หลายคนต้องมาทบทวนเรื่องความปลอดภัย กันอย่างจริงจังแล้วว่า เราจะป้องกันอันตรายทั้งไฟช็อต ไฟรั่ว และแบตเตอรี่ ระเบิดใส่ จากการใช้มือถือ (ไม่ใช่แค่ iPhone) และอุปกรณ์เสริมนี้ได้อย่างไรบ้าง
-
อุปกรณ์เสริมต้องของแท้
พวกอุปกรณ์เสริมทั้งหมด เช่น สายชาร์จ หัวปลั๊ก แบตเตอรี่พกพา ไม่เฉพาะกับมือถือเพียงอย่างเดียว ควรเป็นของแท้ รับประกันคุณภาพโดยตรงจากผู้ผลิตที่ได้รับมาตราฐานรับรองเท่านั้น หากชำรุดเสียหายต้องซื้อใหม่ก็ควรพิจารณาของแท้เท่านั้น อย่าเกี่ยงเรื่องราคา เพราะอาจได้ไม่คุ้มเสี่ยง
- ติดตั้งสายดิน
สายดินถือเป็นสิ่งสำคัญกับระบบไฟฟ้าทุกสถานที่ เพราะสายดินทำให้ไฟฟ้าส่วนเกินในระบบ ไหลออกไปที่โครงสร้างอาคารอันไม่เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า ทำให้ผู้ใช้งานลดความเสี่ยงที่จะถูกไฟดูดได้
อย่างที่ทราบกันว่าตัวเราก็เป็นสื่อนำไฟฟ้าอย่างดี จึงมีคำแนะนำเรารู้ๆกันว่า เพื่อลดความเสี่ยงไฟฟ้าดูดทุกกรณี ห้ามไม่ให้สัมผัสกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดถ้าตัวเปียกชื้น ถ้าไม่มั่นใจวิธีที่ง่ายที่สุด คือใส่รองเท้าแบบใส่เดินในบ้าน เพื่อเป็นฉนวนกันไฟฟ้าอย่างง่ายๆ
ดังนั้นถึงปลั๊กและสายชาร์จของแท้ จะมีความปลอดภัย ป้องกันได้ระดับหนึ่ง แต่หากระบบไฟในบ้าน-อาคาร ไม่ได้เดินสายดินไว้ ก็ยังมีความเสี่ยงที่เราจะถูกไฟฟ้าดูด หรือไฟฟ้าลัดวงจรกับอุปกรณ์ที่เราใช้ได้จึงควรติดตั้งสายดินในระบบไฟในบ้าน เพื่อความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด
- อุปกรณ์มีปัญหาต้องงดใช้ ตรวจดูความสมบูรณ์ของอุปกรณ์ควรอยู่ในสภาพพร้อมใช้ หากชาร์จไฟแล้วมีเสียง มีไฟแลบ หรือสายไฟชำรุดฉีกขาด ก็มีโอกาสที่กระแสไฟฟ้าจะรั่ว ช็อตและดูดเราได้
- เสียบปลั้กเข้าเต้ารับก่อนทุกครั้ง เป็นเทคนิคง่าย ๆ ในการป้องกันไฟกระชากใส่มือถือและอุปกรณ์ต่างๆ ก็คือเอาหัวปลั้กเสียบเข้ากับเต้ารับก่อนเสียบสายเข้าอุปกรณ์ ทำให้ไฟที่เกินมา จะไม่วิ่งเข้าอุปกรณ์ในทันที
- ไม่ใช้ขณะชาร์จแบตเตอ รี่ ก็เท่ากับลดความเสี่ยงจากการถูกไฟดูด ไฟช็อตได้ไประดับหนึ่ง เพราะเราอาจจะไม่รู้ตัวว่าขณะนั้นมือหรือร่างกายเราเปียกน้ำเช่นเดียวกับสาวแอร์ หรือสายชาร์จหรือไฟฟ้าภายในบ้านฉีกขาดชำรุดอยู่หรือไม่ค่ะ
-ไม่ชาร์จแบตนานข้ามวัน และควรรู้จักชนิดของแบตเตอรี่ที่ใช้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดบนก้อนแบตเอตรี่นั้นๆ จะได้ใช้งานและชาร์จไฟอย่างถูกวิธี ในกรณีนี้ควรปฏิบัติตามคู่มือการใช้โทรศัพท์แต่ละรุ่นจะดีที่สุด
-อย่าวางโทรศัพท์ไว้ในที่ที่ร้อนจัด เช่น ในรถยนต์ หรือโลหะ เช่น เหรียญกษาปณ์ ที่อาจสัมผัสกับขั้วที่ใช้ชาร์จ ทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร และอาจทำให้ระเบิดได้ค่ะ
-เปลี่ยนแบตใหม่ทันที (ควรใช้ของแท้) หากพบว่าแบตที่ใช้บวมผิดสภาพ แสดงว่าแบตเตอรี่นั้นเสื่อมแล้ว
มาทำให้การสูญเสียแบบนี้ให้เป็นศูนย์ ด้วยการรู้ทันอันตรายจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และมือถือกันเถอะค่ะ Safety frist ไม่ยากเลย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.macstroke.com และ blogspot กลุ่มจุดตะเกียง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : news.thaiza.com
รุ่งศักดิ์ สุวรรณภาณุ คนไทย...ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ
1. วัยรุ่นหญิงของไทยท้องก่อนวัยอันควรสูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และเป็นที่ 1 ในเอเซีย เดี๋ยวนี้ท่ายากมันเยอะ เด็กไทยเลยต้องเร่งศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อย
2. ผู้หญิงไทยทำแท้งมากที่สุดในโลก (ทั้งข้อ1 ข้อ2 ชี้ให้เห็นว่าผู้ชายไทยขาดความรับผิดชอบมากที่สุดในโลก)
3. คนไทยดื่มเหล้ากลั่นปริมาณมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก
4. คนไทยตายจากอุบัติเหตุมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นที่ 1 ในอาเซียน
4.1 คนไทยใช้รถมอเตอร์ไชค์จำนวนมากที่สุดอันดับ 5 ของโลก และตายเพราะมอเตอร์ไซค์ มากที่สุดในโลก (ขนาดญี่ปุ่นเจ้าของยี่ห้อมอไซค์ดัง ๆ คนในประเทศเขากลับนิยมใช้จักรยานมากกว่าใช้มอเตอรไซค์ ไม่เหมือนคนในประเทศด้อยพัฒนาแถวนี้)
5. คนไทยติดเชื้อเอชไอวีหรือเอดส์สูงที่สุดในโลก (หากไม่นับประเทศในอาฟริกา)
6. ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาคอร์รัปชั่น อาชญากรรม และหลบเลี่ยงภาษี สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ของโลก (ไทยแลนด์คือแดนสวรรค์ของพวกมาเฟียทั่วโลก)
7. ล่าสุด เด็กไทยเล่นเน็ตผ่านสมาร์ทโฟนค่าเฉลี่ยสูงที่สุดในเอเชีย แต่เด็กไทยเรียนแย่ที่สุดในอาเซียนไปแล้ว
เศร้าใจค่ะ
พวกเรากำลังจะตายหมู่...?
โดย คุณนิติ นวรัตน์ 31 ก.ค. 2557 05:01
‘เจ้าของร้านขายอุปกรณ์แต่งรถในร้านขนาดเล็กในห้างแห่งหนึ่ง เคยขายได้วันละ 20,000 บาท ตอนนี้เหลือไม่ถึง 5,000 บาท ร้านขายชาโบราณที่เคยขายได้วันละ 5,000-10,000 บาท ตอนนี้เหลือ 3,000 บาท ตัวเลขจากการสำรวจการค้าขายในห้างสรรพสินค้าของไทย ขายได้น้อยลงทุกห้าง 20-80%’, ‘ร้านอาหารหลายแห่งต้องมีการลดแลกแจกแถม’,
‘พนักงานโรงแรมขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯออกมาเปิดใจในชะตากรรมเรื่องถูกลอยแพหลังโรงแรมปิด’
บริษัททัวร์หลายแห่งปิดกิจการไปแล้ว เพราะไม่มีลูกค้าเข้ามาเยือนเมืองไทย บางแห่งต้องให้พนักงานออกเพื่อรักษากิจการ เจ้าของสวนยางแห่งหนึ่งซึ่งแต่เดิมเฮฮา ขนเพื่อนๆมาประท้วงทางการเมืองในกรุงเทพฯไม่เคยขาด วันนี้ประกาศหยุดกรีด เพราะไม่มีคนรับจ้างกรีดยางแบ่งครึ่ง ด้วยเหตุว่าราคายางแผ่นตกลงไปเหลือเพียงกิโลกรัมละ 50 บาท ขี้ยางเหลือกิโลกรัมละ 22 บาท กรีดและแบ่งกันไปยังไงก็ไม่คุ้ม ทั้งเจ้าของสวนและทั้งคนรับจ้างกรีด
ความโกลาหลอลหม่านเกิดในราชอาณาจักรไทยของเราทีละน้อยจนปัจจุบันทุกวันนี้ ความจนด้นลึกเข้าไปจนจะถึงขีดที่ละม้ายคล้ายวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ.2540 แล้ว
ประชาชนคนไทยจำนวนหนึ่งดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินที่ส่งมาจากหัวหน้าครอบครัวที่เดินทางไปทำงานในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทั้งที่อิสราเอลและลิเบีย จากใจแรงงานไทยที่รับผิดชอบปากท้องของลูกเมียตัวเอง แม้ว่าจะมีสถานการณ์การสู้รบรุนแรงขนาดไหน แต่แรงงานไทยก็ยังยอมปักหลักทำงาน เพียงแต่ทางการไทยไม่ไว้ใจให้ทำงานต่อเพราะมีผู้เสียชีวิต ก็ขอให้กลับ ทำให้เงินที่เสาหลักของครอบครัวส่งกลับมาบ้านทุกเดือนหายไป ไหนจะเป็นหนี้ที่ไปกู้ยืมเอามาเป็นค่าหัว ไหนจะหนี้ค่าเดินทาง กรมการจัดหางานบอกว่าจะมอบเงินจากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศคนละ 40,000 บาท ให้แก่ญาติ เงินจำนวนนี้ก็คงมลายหายไปในเวลาเพียงเดือนสองเดือน แล้วเดือนต่อๆไปเล่า?
ผมอ่านจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ บอกว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งสูงสุดในรอบ 9 ปี หนี้ครัวเรือนตัวนี้นี่แหละครับ จะทำให้การบริโภคในประเทศของคนไทยไม่กระดิกพลิกตัว ตอนนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันทั้งทวีปเอเชียแล้วนะครับ ว่าหนี้ครัวเรือนของไทยมีอัตราการขยายตัวเร็วที่สุดในเอเชีย ที่ว่าขยายตัวเร็วที่สุดเพราะปัจจุบันอัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนของเราอยู่ที่ 82.3% ของจีดีพี คนรวยไม่เป็นไรดอกครับ แต่คนจนซีครับแย่ เพราะหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มคนที่มีรายได้ที่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน
พวกอสังหาริมทรัพย์ก็โอดว่า เห็นท่าจะต้องพับโครงการและเก็บข้าวของกลับบ้าน เพราะยอดจำหน่ายบ้านเดี่ยวทั่วกรุงเทพฯลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ถึง 31% และลดลงทุกทำเล เดือนมิถุนายน พ.ศ.2557 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งหดตัวชะลอลง 33.7% รถยนต์เชิงพาณิชย์หดตัว 27.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
คณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรปออกแถลงการณ์ว่า จะระงับการเยือนอย่างเป็นทางการระหว่างกัน+จะไม่ลงนามความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ (PCA) กับไทย ผมสังหรณ์ใจยังไงชอบกล ว่าข้อตกลงเขตการค้าเสรี 6 ฉบับ ระหว่างไทยกับอียูจะสะดุด หากการเจรจาเอฟทีเอรอบที่ 4 ไม่จบทันปลาย พ.ศ.2557 ผู้อ่านท่านตัดเปิดฟ้าส่องโลกแปะข้างฝาไว้พิสูจน์ได้เลยว่า ปีหน้า พ.ศ.2558 เราจะมีปัญหาเศรษฐกิจรุนแรง เพราะสินค้าไทยที่จะส่งไปยุโรปจะถูกตัดสิทธิพิเศษ 6,200 รายการ เป็นเงินมหาศาล 2.9 แสนล้านบาท
โรงงานหลายแห่งตั้งอยู่ในแผ่นดินไทยไม่ได้แล้วครับ เพราะเราจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษจากสหภาพยุโรป ประเภทที่ต้องย้ายด่วนก็เป็นโรงงานที่ผลิตยานยนต์ขนส่ง กุ้งปรุงแต่ง ถุงมือยาง เลนส์แว่นตา เครื่องปรับอากาศ ยางนอกรถยนต์ กุ้งแช่เย็นแช่แข็ง สับปะรดกระป๋อง ฯลฯ ใครยังอยากพึ่งพาตลาดสหภาพยุโรปก็จะต้องย้ายฐานการผลิตไปที่กัมพูชา พม่า และลาว ซึ่งยังคงได้รับสิทธิพิเศษจากสหภาพยุโรปอยู่
ส่วนใครที่ยังต้องการผลิตและส่งออกไปตลาดอเมริกัน ก็ต้องย้ายฐานการผลิตไปที่ญวน เพราะญวนได้รับการต่ออายุจีเอสพี เสียภาษีนำเข้า 10% ไปอีก 3 ปี และถ้าญวนเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิกกับสหรัฐฯสำเร็จ ก็จะได้ลดภาษีนำเข้าเครื่องนุ่งห่มลงเหลือ 0% ในขณะเครื่องนุ่งห่มที่ยังผลิตในไทย จะโดนโขกภาษีนำเข้าสูงถึง 30%
ความ ‘จนอย่างยิ่ง’ กำลังมาเยือนประชาชนคนไทย
ต้องชุมนุมสุมหัวช่วยกันคิดแก้ไขครับ.
คุณนิติ นวรัตน์
http://www.thairath.co.th/content/439875
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทิปพนักงานเสิร์ฟ
คนไทยเพิ่งได้รับการยกย่องเรื่องของความมีน้ำใจเป็นที่หนึ่งของเอเชียแปซิฟิกในเรื่องของการให้ทิปพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร
เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา บัตรเครดิต MasterCard ได้รายงานผลสำรวจในหัวข้อเรื่อง Top Tippers in Asia Pacific ที่ได้ทำการสำรวจระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนปีที่แล้ว ถึงพฤติกรรมการให้ทิปของคนเอเชีย
โดยทำการศึกษาคนจำนวน 7,932 คน อายุระหว่าง 18-64 ปี ใน 16 ประเทศคือ ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, สิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์, อินเดีย, บังกลาเทศ, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
ผลการสำรวจออกมาเป็นที่น่าภูมิใจว่า สัดส่วนของคนไทยที่ให้ทิปพนักงานเวลาไปทานอาหารที่ร้านสูงเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย
คนไทยจำนวน 84 เปอร์เซ็นต์ จะให้ทิปพนักงาน อันดับ 2 คือ บังกลาเทศ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสองอันดับสุดท้ายจากล่างสุดคือ เกาหลีใต้ที่ให้ทิปพนักงานเสิร์ฟ 10 เปอร์เซ็นต์ และท้ายสุดคือญี่ปุ่นที่มีคนให้ทิปแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ (เพราะวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นทั้งประเทศเขาไม่รับทิปในทุกกรณี)
สำหรับค่าเฉลี่ยของจำนวนการให้ทิปของคนในเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่ 40 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ คณะผู้ศึกษายังได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจว่า สัดส่วนของผู้ชายที่ทิปนั้นสูงกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายจำนวน 43 เปอร์เซ็นต์ จะให้ทิป ส่วนผู้หญิงให้ทิป 36 เปอร์เซ็นต์
เรื่องของอายุกับการให้ทิปก็มีส่วนเช่นกัน คนที่อายุ 45 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนการให้ทิปสูงกว่าคนที่อายุระหว่าง 18-29 ปี
คนอายุ 45 ปีขึ้นไป จำนวน 42 เปอร์เซ็นต์จะให้ทิป ส่วนคนอายุ 18-29 ปี จำนวน 37 เปอร์เซ็นต์ ให้ทิปพนักงาน
มารยาทของการให้ทิปในแต่ละประเทศเป็นเรื่องที่สับสนพอสมควร บางประเทศการให้ทิปถือเป็นการดูถูก อย่างประเทศญี่ปุ่น วัฒนธรรมญี่ปุ่นถือว่าการให้บริการที่ดีเป็นหน้าที่ของพนักงานเสิร์ฟอยู่แล้ว ดังนั้น การให้ทิปจึงเหมือนเป็นดูถูกว่าพนักงานเสิร์ฟเป็นอาชีพรายได้น้อย ต่ำต้อย ไม่มีเกียรติ
ในขณะที่หลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา การไม่ให้ทิปพนักงานเสิร์ฟถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย พนักงานเสิร์ฟอาจโมโหฉุนเฉียว ถามอย่างเอาเรื่องกับลูกค้าว่าตนบริการแย่นักหรือไงถึงไม่ให้ทิป หรือหากให้ทิปน้อยเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์กับราคาค่าอาหาร พนักงานเสิร์ฟก็อาจเดินเข้ามาถามลูกค้าทันทีว่าบริการไม่ถูกใจตรงไหนถึงให้ทิปน้อยขนาดนี้!
เรื่องทำนองนี้เพื่อนผมเคยเจอมาแล้วในร้านสเต๊กชื่อดังที่นิวยอร์ก รับประทานกัน 4 หมื่นกว่าบาท ทิปไป 15 เปอร์เซ็นต์ก็ 6,000 บาท ถูกพนักงานเสิร์ฟตามเข้าไปในห้องน้ำถามว่า "เราบริการไม่ดีหรืออย่างไร" เลยต้องเพิ่มอีก 50 เหรียญ
การให้ทิปในร้านอาหารเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพนักงานเสิร์ฟในสหรัฐอเมริกา สมัยก่อนเวลาคนไทยไปสหรัฐอเมริกา มักจะได้รับการบอกต่อๆ มาว่าเวลาเข้าร้านอาหารอย่าลืมให้ทิปพนักงานเสิร์ฟ 10 เปอร์เซ็นต์ ของราคาค่าอาหาร
แต่สมัยนี้การให้ทิป 10 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าต่ำมากตามมาตรฐานของร้านอาหารในสหรัฐอเมริกา แม้พนักงานเสิร์ฟจะบริการไม่ประทับใจ คนอเมริกันก็มักจะกัดฟันให้ทิป 15 เปอร์เซ็นต์ หากบริการดีก็มักจะให้เพิ่มเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น พนักงานเสิร์ฟในสหรัฐอเมริกาจะคาดหวังเงินทิปจากลูกค้าว่าจะต้องได้รับประมาณ 15-20 เปอร์เซ็นต์
หลายคนสงสัยว่าทำไมในสหรัฐอเมริกา ต้องให้ทิปกันมากมายขนาดนั้น
คำตอบก็คือในสหรัฐอเมริกาอาชีพที่ทำงานได้ทิป เช่น พนักงานเสิร์ฟ, บาร์เทนเดอร์ หรือพนักงานเข็นกระเป๋าในโรงแรม เป็นอาชีพที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำต่ำมาก
ในหลายรัฐพนักงานเหล่านี้จะได้รับค่าแรง 2.13 ดอลลาร์ หรือเพียง 70 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในอเมริกา ถ้าหากไม่ได้ทิปจากลูกค้า ก็จะมีรายได้ไม่พอกินพอใช้ ดังนั้น รายได้ของพนักงานกลุ่มนี้จึงขึ้นอยู่กับการให้ทิปของลูกค้าเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ในร้านอาหารที่จัดการอย่างเป็นระบบคือทำงานเป็นทีม ซึ่งประกอบด้วย พนักงานเสิร์ฟมีหน้าที่รับออเดอร์อาหาร พนักงานทำหน้าที่ทำความสะอาดโต๊ะหรือที่เรียกว่า Busser และพนักงานที่ถืออาหารมาเสิร์ฟจากในครัว ซึ่งเรียกว่า Runner เงินทิปที่ลูกค้าให้กับพนักงานเสิร์ฟนั้น ตัวพนักงานเสิร์ฟไม่ได้รับไปคนเดียวเต็มๆ แต่ต้องนำทิปไปแบ่งให้กับ Busser และ Runner ด้วย
ว่าไปแล้วพนักงานเสิร์ฟต้องทำหน้าที่บริการอย่างดีเพื่อหาเงินแบ่งกับลูกทีมอีก 2 คน
เรื่องการไม่ให้ทิปหรือให้ทิปน้อยจึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากในสหรัฐอเมริกา หากเป็นคนดังหรือคนรวยที่มีชื่อเสียง พนักงานเสิร์ฟก็คาดหวังว่าควรให้ทิปมากตามฐานะ
ดังนั้น จึงมีข่าวซุบซิบดาราฮอลลีวู้ดอยู่เรื่อยๆ ว่าดาราคนไหนเป็นเศรษฐีใจดี คนไหนเป็นเศรษฐีขี้เหนียว ถึงกับมีการตั้งเว็บไซต์โดยบรรดาพนักงานเสิร์ฟ เพื่อชื่นชมคนดังที่ทิปหนัก และประจานคนดังที่ทิปน้อย
คนดังที่เป็นข่าวเรื่องความใจดีในการให้ทิปพนักงานเสิร์ฟอยู่เป็นประจำคือ เบ็น แอฟเฟล็ก ดาราหนุ่มเจ้าของรางวัลออสการ์ ที่มีพนักงานเสิร์ฟออกมาให้ข่าวถึงความใจดีว่าให้เงินค่าทิปมากกว่าค่าอาหารอยู่เรื่อยๆ
ล่าสุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็มีพนักงานร้านกาแฟในเมืองซานตา โมนิก้า เล่าว่า เธอได้ทิปเป็นเงินกว่า 90 ดอลลาร์ จาก เบ็น แอฟเฟล็ก ที่มาซื้อกาแฟแก้วละไม่ถึง 10 ดอลลาร์!
ในวันนั้น เบ็นมาซื้อกาแฟที่ร้านแต่เช้าตรู่ และยื่นธนบัตรใบละ 100 ดอลลาร์ เพื่อจ่ายค่ากาแฟ แต่แคชเชียร์ทางร้านมีเงินทอนไม่พอเพราะร้านเพิ่งเปิด พนักงานสาวเลยบอกให้เบ็นรอสักครู่เพื่อไปเอาเงินทอนในตู้เซฟหลังร้าน
เบ็นซึ่งมีธนบัตร 100 ดอลลาร์ ติดตัวอยู่ฉบับเดียว บอกว่าไม่ต้องห่วง ให้เก็บเงินทอนไว้ เรื่องความใจดีของเบ็นสร้างความประทับใจให้กับพนักงานสาวเป็นอย่างมากและนำมาบอกต่อให้นักข่าวทราบ
ด้วยความที่เรื่องการให้ทิปรวมถึงการปฏิบัติต่อพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารเป็นสิ่งสำคัญมากในวัฒนธรรมของคนอเมริกัน จึงมีการกล่าวกันว่าจะดูนิสัยใจคอว่าคนคนนั้นเป็นอย่างไรให้ดูการปฏิบัติต่อพนักงานเสิร์ฟอาหาร หากใครที่นั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกับเรา พูดจาสุภาพกับเรา แต่หยาบกระด้าง ไม่มีหางเสียงกับพนักงานเสิร์ฟ คนคนนั้นไม่ใช่คนที่น่าคบ
นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำกันอีกว่า เวลาจีบกันใหม่ๆ หากผู้หญิงลังเลใจว่าจะคบกับผู้ชายคนนี้ต่อไปดีหรือไม่ ขอให้ดูที่การทิปพนักงานเสิร์ฟ ก็จะรู้เลยว่าผู้ชายคนนี้มีน้ำใจหรือเปล่า
แม้หนุ่มจะพาสาวไปทานอาหารร้านหรู ราคาแพง แต่พอถึงเวลาจ่ายเงิน กลับทิปพนักงานเสิร์ฟเพียงน้อยนิด ก็เป็นเครื่องชี้บอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีน้ำใจและขาดมารยาททางสังคม!
คอลัมน์ คลุกวงใน
พิศณุ นิลกลัด
ที่มา นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์
คสช.ต่ออายุรถไฟ-รถเมล์ฟรี 6 เดือน เดินหน้ารถไฟทางคู่ 6 เส้นทาง ขนาดความกว้างราง 1 เมตร
วันที่ 29 กรกฎาคม 2557 นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. อนุมัติขยายเวลามาตรการลดค่าครองชีพในการเดินทางของประชาชน (รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี) ออกไปอีก 6 เดือน ถึงเดือนมกราคม 2558 ส่วนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของกระทรวงคมนาคม พร้อมเดินหน้าโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 873 กม. ขนาดความกว้างของราง 1 เมตร 6 เส้นทาง คือ
1. ชุมทางจิระ - ขอนแก่น ระยะทาง 185 กม.
2. ประจวบคีรีขันธ์ -ชุมพร ระยะทาง 167 กม.
3. นครปฐม - หัวหิน ระยะทาง 165 กม.
4. มาบกะเบา - นครราชสีมา ระยะทาง 132 กม.
5. ลพบุรี - ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม.
6. หัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม.
รวมทั้ง ยังได้มอบหมายสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจรจาจร หรือ สนข. ศึกษาเพิ่มเติมโครงการรถไฟทางคู่ ขนาดราง 1.435 เมตร ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ความเร็ว 160 กม./ชม. จากผลการศึกษาเดิมของโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ สนข. เคยศึกษาไว้ จำนวน 2 เส้นทาง คือ หนองคาย - โคราช -สระบุรี-แหลมฉบัง -มาบตาพุด ระยะทาง 737 กม. และ เชียงของ - เด่นชัย - บ้านภาชี ระยะทาง 655 กม.
นอกจากนี้ คสช. ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาการลงทุนระบบรางของประเทศไทย รวมถึงการจัดหาหัวรถจักร และระบบอาณัติสัญญาณ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช.เป็นประธาน และคณะทำงานประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตุ้ม จ่านกร้อง เกิดวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่ง ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย และได้รับรางวัลระดับเกียรติยศในหลายรายการ[1] เขาเป็นผู้ชนะการประกวดรายการชิงช้าสวรรค์ สองปีซ้อน[2] ซึ่งได้นำพาโรงเรียนจ่านกร้อง เข้ารับตำแหน่งแชมป์ออฟเดอะแชมป์ในปี.ศ. 2548 และ พ.ศ. 2549
ผู้อำนวยการคนปัจจุบัน
โรงเรียนจ่านกร้อง จ.พิษณุโลก ได้ชื่อโรงเรียนมาจากตำนาน "จ่านกร้อง" และ "จ่าการบุญ" สร้างเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นที่สรุปแล้วว่าเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ โดยที่นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ได้ศึกษา ค้นคว้าจากหลักฐานต่างๆ ทั้งทางโบราณคดี สภาพภูมิศาสตร์ ศิลาจารึก พงศาวดาร ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับเมืองพิษณุโลกแล้ว ไม่พบหลักฐานที่จะระบุได้ว่ามีชื่อจ่านกร้องและจ่าการบุญในการสร้างเมืองพิษณุโลก
ทั้งนี้ ตำนานเล่าว่า แต่ชาติก่อน พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นภิกษุ ได้สร้างพระไตรปิฎกขึ้น ครั้นพระองค์เกิดตรัสรู้ในไตรปิฎกทั้งสาม รู้ในพระทัยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตทางตะวันตก ตะวันออก แล้วเสด็จไปอาศัยฉันจังหันใต้ต้นสมอ จึงเห็นควรจะไปสร้างเมืองไว้ที่นั้น มีพระราชโองการตรัสสั่งจ่านกร้อง จ่าการบุญ ให้ทำเป็นพ่อค้าเกวียนไปด้วยคนละ 500 เล่ม เดินทางจากเมืองเชียงแสน มาถึงเมืองน่าน และเมืองลิหล่ม พักพลไหว้พระบาทธาตุพระพุทธเจ้าแล้วจึงข้ามแม่น้ำตรอมตนิม ข้ามแม่น้ำแก้วน้อย แล้วจึงถึงบ้านพราหมณ์ที่พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต บ้านพราหมณ์ข้างตะวันออก 150 เรือน ข้างตะวันตก 100 เรือนมีเศษ
จ่านกร้อง จ่าการบุญ คิดอ่านกันสร้างเมืองถวายแก่เจ้า โดยจ่านกร้องทำสารบาญชีพ่อพราหมณ์และไพร่ของตนรวมกันเป็นคน 1,000 ส่วนจ่าการบุญทำบาญชีพ่อพราหมณ์และไพร่ของตนรวมกันเป็นคน 1,000 เท่ากัน จ่านกร้องสร้างข้างตะวันตก จ่าการบุญสร้างข้างตะวันออกแข่งกัน ทำปีหนึ่งกับเจ็ดเดือนจึงแล้ว สั่งชีพ่อพราหมณ์ให้รักษาเมือง ครั้นได้ฤกษ์ดีนำเอาเกวียนและคน 500 เล่มขึ้นไปสองเดือน จึงถึงเมืองเชียง แสนราชธานี ถวายบังคมกราบทูลพระกรุณาว่า พระองค์เจ้าใช้ตูเข้าไปถึงที่พระ พุทธเจ้าฉันจังหันใต้ต้นสมอสถานที่นั้นเป็นอันสนุกนักหนา ข้าพเจ้าชวนกับพ่อพราหมณ์ทั้งหลาย สร้างเมืองถวายแก่พระองค์เจ้าแล้ว
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่เสนาอำมาตย์ให้ชุมนุมท้าวพระยาทั้งหลาย ให้จ่าทั้งสองไปก่อนเป็นทัพหน้า ท้าวพระยาทั้งหลายเป็นปีกซ้ายขวา เจ้าไกรสรราช เจ้าชาติสาคร พระราชโอรสทั้งสองเป็นกองรั้งหลัง ตามเสด็จพระราชบิดา พระราชมารดาออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม 6 ค่ำ เพลาเช้า ไปได้ 2 เดือนจึงถึง มีพระราชโองการตรัสถามพ่อพราหมณ์ว่าจะให้ชื่อเมืองอันใดดี พราหมณาจารย์กราบทูลว่า พระองค์เจ้ามาถึงวันนี้ในยามพิษณุ พระองค์ได้ชื่อเมืองตามคำพรามหณ์ว่า เมืองพิษณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้ามาบิณฑ บาต ก็ชื่อว่าโอฆบุรีตะวันออก ตะวันตกชื่อจันทรบูร
เรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเมืองเชียงแสน ให้จ่านกร้อง จ่าการบุญมาสร้างเมืองพิษณุโลกนั้นพิจารณาได้ว่าเป็นเรื่องประเภทตำนาน เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า พ.ศ.1400 กว่าๆ เมืองเชียงแสนยังไม่เกิดขึ้น เอกสารของล้านนาที่เล่าเรื่องเมืองเชียงแสนเก่าแก่ถึงสมัยนั้นก็เป็นตำนาน ซึ่งตำนานเมืองเชียงแสนก็ขัดแย้งกับตำนานเรื่องนี้ เพราะไม่มีกษัตริย์เชียงแสนพระนามศรีธรรมไตรปิฎก หรือมีกษัตริย์เชียงแสนองค์ใดลงมามีบทบาทอยู่ที่เมืองพิษณุโลก
หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นเช่นกันว่า เมืองเชียงแสนในตำนานนั้นเป็นเพียงถิ่นที่อยู่เดิมของต้นตระกูลพระเจ้ามังราย เพิ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองในสมัยหลานพระเจ้ามังราย เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 19 และพระเจ้ามังรายก็เพิ่งรับพระพุทธศาสนาเมื่อพุทธศตวรรษที่ 19 นี้เอง ส่วนเมืองพิษณุโลกนั้น ฝั่งตะวันออกเดิมชื่อสองแคว ต่อมาอยุธยามาสร้างเมืองชัยนาททางฝั่งตะวันตก และสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้รวมเอาเมืองทั้งสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกันตั้งขึ้นเป็นเมืองพิษณุโลก
พุทธวจน
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา......
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.
แผนที่จากเว็บไซต์ BBC ชิ้นนี้ แสดงจุดที่กองกำลังติดอาวุธรุกเข้าใกล้สู่กรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก แล้ว
สงครามอิรักรอบใหม่ เขย่าสันติภาพโลกอีกรอบ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สงครามรอบใหม่ในอิรัก อาจจะจบลงด้วยการแบ่งประเทศเป็นส่วนๆ และความรุนแรงจะกลายเป็นเรื่องปกติ ตอกย้ำอีกครั้งว่า สหรัฐล้มเหลวอีกรอบหนึ่งในความพยายามที่จะแก้ปัญหาในอิรัก เพราะว่าตอนถอนทหารออกเมื่อปลายปี 2011 นั้น ประธานาธิบดีโอบามา บอกว่า ทหารอิรักจะดูแลตัวเองได้แล้ว
แต่วันนี้ กลุ่มติดอาวุธ ISIS (Islam State in Iraq and Syria) ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มอัลกออิดะห์ จับมือกับกลุ่มหัวรุนแรงมุสลิมนิกายสุหนี่ ซึ่งไม่พอใจรัฐบาลกลางที่แบกแดด เพราะเชื่อว่ามุสลิมนิกายชีอะต์ ได้ผูกขาดอำนาจในการปกครองประเทศ
กองกำลัง ISIS สามารถยึดเมืองหลักๆ ทางเหนือของประเทศได้หลายจุด เช่น Mosul (เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ ) กับ Tikrit ตามมาด้วยเมือง Tal Afar หลังจากที่เมื่อปลายปีก่อนได้เริ่มรุกด้วยการเข้าเมืองในภาคกลาง คือ Falluja และบางส่วนของเมือง Ramadi
หากดูจากแผนที่แล้ว จะเห็นว่า เมืองเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทางเหนือของอิรัก และหากว่ารัฐบาลของนายกฯ นอรี มาลิกิ ไม่สามารถจะตีคืนเมืองเหล่านี้ได้ อิรักจะถูกแบ่งเป็นส่วนเหนือที่อยู่ใต้ ISIS และ สุหนี่ ขณะที่ทางใต้ซึ่งมีเมืองหลวงแบกแดดเป็นแกนหลักจะอยู่กับฝ่ายชีอะต์
เท่ากับเป็นการเริ่มต้นศึกสงครามรอบใหม่ของอิรักอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีคนล้มตายกันอีกมาก และจะมีผลต่อการเมืองในภูมิภาคนั้นอีกไม่น้อย
อเมริกาทำอย่างไร ?
ประธานาธิบดีโอบามา บอกว่า จะไม่ส่งทหารมะกันภาคพื้นดินกลับเข้าไปอิรักแน่นอน แต่ก็ได้ส่งนาวิกโยธิน 275 คน ไปคุ้มกันสถานทูตอเมริกันที่แบกแดด อีกทั้งได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือรบอีกสองลำเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อส่งสัญญาณว่า ถ้าจำเป็นอาจจะถล่มทางอากาศช่วยเหลือทหารของรัฐบาลอิรักสู้กับฝ่ายติดอาวุธจากทางเหนือ
ผมจะไม่แปลกใจ หากว่าสหรัฐจะส่งเครื่องบินไร้คนขับแบบ Drone ขึ้นถล่มกลุ่ม ISIS ถ้าเห็นว่าสถานการณ์เสื่อมทรุดจนรัฐบาลอิรักเอาไม่อยู่
เริ่มด้วยการส่งเครื่องบินลาดตระเวน F-18 จากเรือบรรทุกเครื่องบินเหนืออิรัก เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะช่วยสกัดการรุกคืบของฝ่าย ISIS ให้ถอยร่น และที่สำคัญคือไม่ให้เข้ายึดเมืองหลวงได้อย่างไร
ISIS ซึ่งประกาศตัวเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ประกาศว่า ต้องการจะสร้างรัฐอิสลามซึ่งกินพื้นที่อิรักและซีเรีย อ้างว่าตนสามารถควบคุมพื้นที่ใน 16 จังหวัด ที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศใหม่แล้ว
กองกำลังจริงๆ ของกลุ่มนี้ ประมาณกันว่ามีอยู่ราวๆ 3,000 ถึง 5,000 คน และมีหัวหน้าชื่อ Abu Bakr al-Baghdad ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในแวดวงระหว่างประเทศนัก แต่เชื่อว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ที่เคยคึกคักในบริเวณที่กลุ่มนี้กำลังยึดเป็นฐานปฏิบัติการอยู่
ที่น่าเป็นห่วงอีกด้านหนึ่ง ก็คือ การที่กองกำลังติดอาวุธนี้เข้าไปล้อม และถล่มโรงกลั่นน้ำมันใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอิรัก ที่เมือง Baiji ทางเหนือ
ข่าวสับสนว่า ทหารรัฐบาลสามารถสกัดกั้นการรุกของกลุ่มต่อต้าน เข้าไปยึดโรงกลั่นแห่งนี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ข่าวเรื่องนี้ทำให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่วโลก หวั่นว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งพรวดพราด เพราะความกลัวว่าน้ำมันจากอิรักสู่ตลาดโลกจะหดหายไป เพราะความขัดแย้งรุนแรงรอบใหม่
มีคำอธิบายทางผู้เชี่ยวชาญว่า บ่อน้ำมันและโรงกลั่นส่วนใหญ่ของอิรักอยู่ทางใต้ที่รัฐบาลยังควบคุมอยู่ ส่วนทางเหนือที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถยึดได้หลายเมืองนั้น ไม่ได้เป็นแหล่งขุดและกลั่นน้ำมันมากนัก
แต่ ...สถานการณ์ก็ไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี เพราะตราบเท่าที่การสู้รบยังดำเนินไปอย่างดุเดือดและรุนแรงเช่นนี้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ...ทั้งนั้น
แผนที่จากเว็บไซต์ BBC ชิ้นนี้ แสดงจุดที่กองกำลังติดอาวุธรุกเข้าใกล้สู่กรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก แล้ว
สงครามอิรักรอบใหม่ เขย่าสันติภาพโลกอีกรอบ
สงครามรอบใหม่ในอิรัก อาจจะจบลงด้วยการแบ่งประเทศเป็นส่วนๆ และความรุนแรงจะกลายเป็นเรื่องปกติ ตอกย้ำอีกครั้งว่า สหรัฐล้มเหลวอีกรอบหนึ่งในความพยายามที่จะแก้ปัญหาในอิรัก เพราะว่าตอนถอนทหารออกเมื่อปลายปี 2011 นั้น ประธานาธิบดีโอบามา บอกว่า ทหารอิรักจะดูแลตัวเองได้แล้ว
แต่วันนี้ กลุ่มติดอาวุธ ISIS (Islam State in Iraq and Syria) ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มอัลกออิดะห์ จับมือกับกลุ่มหัวรุนแรงมุสลิมนิกายสุหนี่ ซึ่งไม่พอใจรัฐบาลกลางที่แบกแดด เพราะเชื่อว่ามุสลิมนิกายชีอะต์ ได้ผูกขาดอำนาจในการปกครองประเทศ
กองกำลัง ISIS สามารถยึดเมืองหลักๆ ทางเหนือของประเทศได้หลายจุด เช่น Mosul (เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ ) กับ Tikrit ตามมาด้วยเมือง Tal Afar หลังจากที่เมื่อปลายปีก่อนได้เริ่มรุกด้วยการเข้าเมืองในภาคกลาง คือ Falluja และบางส่วนของเมือง Ramadi
หากดูจากแผนที่แล้ว จะเห็นว่า เมืองเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทางเหนือของอิรัก และหากว่ารัฐบาลของนายกฯ นอรี มาลิกิ ไม่สามารถจะตีคืนเมืองเหล่านี้ได้ อิรักจะถูกแบ่งเป็นส่วนเหนือที่อยู่ใต้ ISIS และ สุหนี่ ขณะที่ทางใต้ซึ่งมีเมืองหลวงแบกแดดเป็นแกนหลักจะอยู่กับฝ่ายชีอะต์
เท่ากับเป็นการเริ่มต้นศึกสงครามรอบใหม่ของอิรักอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีคนล้มตายกันอีกมาก และจะมีผลต่อการเมืองในภูมิภาคนั้นอีกไม่น้อย
อเมริกาทำอย่างไร ?
ประธานาธิบดีโอบามา บอกว่า จะไม่ส่งทหารมะกันภาคพื้นดินกลับเข้าไปอิรักแน่นอน แต่ก็ได้ส่งนาวิกโยธิน 275 คน ไปคุ้มกันสถานทูตอเมริกันที่แบกแดด อีกทั้งได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือรบอีกสองลำเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อส่งสัญญาณว่า ถ้าจำเป็นอาจจะถล่มทางอากาศช่วยเหลือทหารของรัฐบาลอิรักสู้กับฝ่ายติดอาวุธจากทางเหนือ
ผมจะไม่แปลกใจ หากว่าสหรัฐจะส่งเครื่องบินไร้คนขับแบบ Drone ขึ้นถล่มกลุ่ม ISIS ถ้าเห็นว่าสถานการณ์เสื่อมทรุดจนรัฐบาลอิรักเอาไม่อยู่
เริ่มด้วยการส่งเครื่องบินลาดตระเวน F-18 จากเรือบรรทุกเครื่องบินเหนืออิรัก เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะช่วยสกัดการรุกคืบของฝ่าย ISIS ให้ถอยร่น และที่สำคัญคือไม่ให้เข้ายึดเมืองหลวงได้อย่างไร
ISIS ซึ่งประกาศตัวเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ประกาศว่า ต้องการจะสร้างรัฐอิสลามซึ่งกินพื้นที่อิรักและซีเรีย อ้างว่าตนสามารถควบคุมพื้นที่ใน 16 จังหวัด ที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศใหม่แล้ว
กองกำลังจริงๆ ของกลุ่มนี้ ประมาณกันว่ามีอยู่ราวๆ 3,000 ถึง 5,000 คน และมีหัวหน้าชื่อ Abu Bakr al-Baghdad ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในแวดวงระหว่างประเทศนัก แต่เชื่อว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ที่เคยคึกคักในบริเวณที่กลุ่มนี้กำลังยึดเป็นฐานปฏิบัติการอยู่
ที่น่าเป็นห่วงอีกด้านหนึ่ง ก็คือ การที่กองกำลังติดอาวุธนี้เข้าไปล้อม และถล่มโรงกลั่นน้ำมันใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอิรัก ที่เมือง Baiji ทางเหนือ
ข่าวสับสนว่า ทหารรัฐบาลสามารถสกัดกั้นการรุกของกลุ่มต่อต้าน เข้าไปยึดโรงกลั่นแห่งนี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ข่าวเรื่องนี้ทำให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่วโลก หวั่นว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งพรวดพราด เพราะความกลัวว่าน้ำมันจากอิรักสู่ตลาดโลกจะหดหายไป เพราะความขัดแย้งรุนแรงรอบใหม่
มีคำอธิบายทางผู้เชี่ยวชาญว่า บ่อน้ำมันและโรงกลั่นส่วนใหญ่ของอิรักอยู่ทางใต้ที่รัฐบาลยังควบคุมอยู่ ส่วนทางเหนือที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถยึดได้หลายเมืองนั้น ไม่ได้เป็นแหล่งขุดและกลั่นน้ำมันมากนัก
แต่ ...สถานการณ์ก็ไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี เพราะตราบเท่าที่การสู้รบยังดำเนินไปอย่างดุเดือดและรุนแรงเช่นนี้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ...ทั้งนั้น
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สงครามอิรักรอบใหม่ เขย่าสันติภาพโลกอีกรอบ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สงครามรอบใหม่ในอิรัก อาจจะจบลงด้วยการแบ่งประเทศเป็นส่วนๆ และความรุนแรงจะกลายเป็นเรื่องปกติ ตอกย้ำอีกครั้งว่า สหรัฐล้มเหลวอีกรอบหนึ่งในความพยายามที่จะแก้ปัญหาในอิรัก เพราะว่าตอนถอนทหารออกเมื่อปลายปี 2011 นั้น ประธานาธิบดีโอบามา บอกว่า ทหารอิรักจะดูแลตัวเองได้แล้ว
แต่วันนี้ กลุ่มติดอาวุธ ISIS (Islam State in Iraq and Syria) ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มอัลกออิดะห์ จับมือกับกลุ่มหัวรุนแรงมุสลิมนิกายสุหนี่ ซึ่งไม่พอใจรัฐบาลกลางที่แบกแดด เพราะเชื่อว่ามุสลิมนิกายชีอะต์ ได้ผูกขาดอำนาจในการปกครองประเทศ
กองกำลัง ISIS สามารถยึดเมืองหลักๆ ทางเหนือของประเทศได้หลายจุด เช่น Mosul (เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ ) กับ Tikrit ตามมาด้วยเมือง Tal Afar หลังจากที่เมื่อปลายปีก่อนได้เริ่มรุกด้วยการเข้าเมืองในภาคกลาง คือ Falluja และบางส่วนของเมือง Ramadi
หากดูจากแผนที่แล้ว จะเห็นว่า เมืองเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทางเหนือของอิรัก และหากว่ารัฐบาลของนายกฯ นอรี มาลิกิ ไม่สามารถจะตีคืนเมืองเหล่านี้ได้ อิรักจะถูกแบ่งเป็นส่วนเหนือที่อยู่ใต้ ISIS และ สุหนี่ ขณะที่ทางใต้ซึ่งมีเมืองหลวงแบกแดดเป็นแกนหลักจะอยู่กับฝ่ายชีอะต์
เท่ากับเป็นการเริ่มต้นศึกสงครามรอบใหม่ของอิรักอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีคนล้มตายกันอีกมาก และจะมีผลต่อการเมืองในภูมิภาคนั้นอีกไม่น้อย
อเมริกาทำอย่างไร ?
ประธานาธิบดีโอบามา บอกว่า จะไม่ส่งทหารมะกันภาคพื้นดินกลับเข้าไปอิรักแน่นอน แต่ก็ได้ส่งนาวิกโยธิน 275 คน ไปคุ้มกันสถานทูตอเมริกันที่แบกแดด อีกทั้งได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือรบอีกสองลำเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อส่งสัญญาณว่า ถ้าจำเป็นอาจจะถล่มทางอากาศช่วยเหลือทหารของรัฐบาลอิรักสู้กับฝ่ายติดอาวุธจากทางเหนือ
ผมจะไม่แปลกใจ หากว่าสหรัฐจะส่งเครื่องบินไร้คนขับแบบ Drone ขึ้นถล่มกลุ่ม ISIS ถ้าเห็นว่าสถานการณ์เสื่อมทรุดจนรัฐบาลอิรักเอาไม่อยู่
เริ่มด้วยการส่งเครื่องบินลาดตระเวน F-18 จากเรือบรรทุกเครื่องบินเหนืออิรัก เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะช่วยสกัดการรุกคืบของฝ่าย ISIS ให้ถอยร่น และที่สำคัญคือไม่ให้เข้ายึดเมืองหลวงได้อย่างไร
ISIS ซึ่งประกาศตัวเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ประกาศว่า ต้องการจะสร้างรัฐอิสลามซึ่งกินพื้นที่อิรักและซีเรีย อ้างว่าตนสามารถควบคุมพื้นที่ใน 16 จังหวัด ที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศใหม่แล้ว
กองกำลังจริงๆ ของกลุ่มนี้ ประมาณกันว่ามีอยู่ราวๆ 3,000 ถึง 5,000 คน และมีหัวหน้าชื่อ Abu Bakr al-Baghdad ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในแวดวงระหว่างประเทศนัก แต่เชื่อว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ที่เคยคึกคักในบริเวณที่กลุ่มนี้กำลังยึดเป็นฐานปฏิบัติการอยู่
ที่น่าเป็นห่วงอีกด้านหนึ่ง ก็คือ การที่กองกำลังติดอาวุธนี้เข้าไปล้อม และถล่มโรงกลั่นน้ำมันใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอิรัก ที่เมือง Baiji ทางเหนือ
ข่าวสับสนว่า ทหารรัฐบาลสามารถสกัดกั้นการรุกของกลุ่มต่อต้าน เข้าไปยึดโรงกลั่นแห่งนี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ข่าวเรื่องนี้ทำให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่วโลก หวั่นว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งพรวดพราด เพราะความกลัวว่าน้ำมันจากอิรักสู่ตลาดโลกจะหดหายไป เพราะความขัดแย้งรุนแรงรอบใหม่
มีคำอธิบายทางผู้เชี่ยวชาญว่า บ่อน้ำมันและโรงกลั่นส่วนใหญ่ของอิรักอยู่ทางใต้ที่รัฐบาลยังควบคุมอยู่ ส่วนทางเหนือที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถยึดได้หลายเมืองนั้น ไม่ได้เป็นแหล่งขุดและกลั่นน้ำมันมากนัก
แต่ ...สถานการณ์ก็ไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี เพราะตราบเท่าที่การสู้รบยังดำเนินไปอย่างดุเดือดและรุนแรงเช่นนี้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ...ทั้งนั้น