Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ชีวิตสุดท้ายที่เบตง

ArjanPong | 19-07-2557 | เปิดดู 2510 | ความคิดเห็น 0

 

 

        คาร์บอมเบตงหนักสุดรอบ7ปี

 

 

 

                      

 

 

อดีตนายกฯเทศมนตรีเบตงเผยคาร์บอมเบตงหนักสุดรอบ 7 ปี เร่งประสานฝ่ายความมั่นรปภ.เมืองเข้มหวั่นกระทบศก.ชายแดน

 

นายคุณวุฒิ มงคลประจักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเบตง และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า เหตุคาร์บอมบ์บริเวณหน้าโรงแรมฮอลิเดย์ ฮิลล์ (ฟูทูน่า) บริเวณเขตเทศบาลเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ทำให้เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ทราบชื่อคือน.ส.เพ็ญนภา ตุ่นห่อ 2.นายเดชา ดารีเยาะ นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 30 ราย

 

สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นเหตุความรุนแรงที่สุดอีกครั้งนับตั้งแต่เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดธนาคารในพื้นที่อ.เบตงพร้อมกัน 6 แห่งเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็มีการวางระบบการดูแลความปลอดภัยพื้นที่อย่างเข้มงวด ทำให้ตลอดช่วง 7 ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ค่อนข้างเบาบางลงเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ

 

กระทั่งเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ซึ่งเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวมาเลเซียทยอยเดินทางเข้ามาเที่ยวและจัดทริปทัวร์เพื่อรับประทานทุเรียนที่กำลังให้ผลผลิต แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการแจ้งประสานให้ทุกฝ่ายเฝ้าระมัดระวังเหตุการณ์ในช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงเดือนสุดท้ายของการถือศีลอดก็ตาม

 

" หลังจากนี้อาจต้องมีการหารือร่วมกันอย่างจริงจังเพื่อวางมาตรการดูแลความปลออดภัยอีกครั้ง เนื่องจากผลกระทบที่ตามมามีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นและระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ซึ่งเป็นเมืองชายแดน " นายคุณวุฒิ กล่าว

 

 

 

 

 

 

'ชีวิตสุดท้ายที่...เบตง' คาร์บอมบ์สะเทือน 'ไข่แดง' ศก.

 

 
ก่อนนั้นไม่กี่ชั่วโมง...
 
หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า กำชับเฝ้าระวังช่วงเปราะบาง "โค้งสุดท้าย" ก่อนสิ้นเดือนรอมฎอน
 
 
กระทั่ง 14.48 น. วันที่ 25 กรกฎาคม คนร้ายขับรถตู้ ทะเบียนป้ายเหลือง 10-1010 มาจอดกันพื้นที่เป้าหมาย เพื่อ "ล็อกเป้า" เปิดทางให้ "มัจจุราช" ผู้ขับรถกระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ทะเบียน บค8594 เบตง (ป้ายปลอม) บรรทุกระเบิดเข้ามาเสียบแทน ก่อนกลุ่มคนร้ายจากรถ "คาร์บอมบ์" ก้าวขึ้นรถตู้ไปด้วยท่าทางเรียบเฉย
 
 
ไม่มีใครล่วงรู้หรือมีลางสังหรณ์ใดๆ ว่าจะบังเกิดสิ่งไม่พึงประสงค์ขึ้นในพื้นที่ ไม่กี่นาทีถัดมา...
 
เสียงตูมสนั่น!!
 
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน ความชุลมุน สับสนวุ่นวาย มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บอีกเกือบครึ่งร้อย
 
บริเวณหน้า "โรงแรมฮอลิเดย์ ฮิลล์" ตั้งอยู่เลขที่ 50 ถนนภักดีดำรงค์ ในเขตเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา คือพิกัดหลักที่กลุ่มลงมือ "ก่อการ" พื้นที่ "ไข่แดง" ทางเศรษฐกิจอย่างเบตงสงบร่มเย็นมาเกือบ 10 ปีแล้ว อาจทำให้หลายฝ่ายชะล่าใจอย่างมิควรจะเป็น
 
 
หลังอรุณรุ่ง... ย่างเข้าวันใหม่...
 
ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" เข้าสำรวจพื้นที่ พบความเงียบงันยังครอบงำ การใช้ชีวิตประจำวันผิดแผกจากทุกวัน ส่วนใหญ่เลือกปิดตัวเงียบ หลายชีวิตขอเก็บตัวเงียบ
 
บ้านใครบ้านมัน!!
 
 
บรรพต รัตนพันธ์ ชาวสงขลา วัย 47 ปี คนต่างถิ่นที่ย้ายครอบครัวมาทำกินในเมืองเบตง ปัจจุบันยึดอาชีพขายของชำใกล้ที่เกิดเหตุ เล่าว่า เข้ามาทำมาหากินที่เบตง 19 ปีแล้ว ทั้งเปิดร้านขายของชำ และร้านน้ำชา ไม่เคยประสบเหตุรุนแรงกับตัวเองเหมือนครั้งนี้มาก่อน ช่วงเกิดเหตุกำลังวุ่นอยู่กับการขายของในช่วงใกล้ค่ำ จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดรุนแรง จึงหมอบกับพื้น เพราะเกรงจะมีระลอกที่ 2 ตามมา
 
 
"ผมสั่งให้ลูกเมียหมอบลงกับพื้นทั้งหมด แต่นาทีนั้นสติทุกคนแตกหมดแล้ว จึงแตกกระเจิงกันละทิศละทาง โดยเฉพาะลูกค้า ผู้คนที่เดินถนนหลายคนก็กระโจนเข้ามาหลบในร้าน ชุลมุนวุ่นวายไปหมด สักพักหลังตั้งหลักได้ จึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่นี้ เพราะเริ่มมีเปลวเพลิงดำโขมงตามมา" ชายวัยกลางคน เล่านาทีระทึก
 
 
พร้อมยืนยันว่า แม้จะเกิดเหตุร้ายรุนแรง ชีวิตเฉียดตาย ก็ไม่เคยท้อ คงไม่ย้ายออกจากพื้นที่นี้ เพราะปักหลักมานานจนเหมือนบ้านเกิด ไม่รู้จะถอยร่นไปไหนแล้ว ยอมรับว่า หากเป็นช่วงปกติ การทำมาหากินในพื้นที่นี้ถือว่าพออยู่ได้ เศรษฐกิจดี อนาคตข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่ไปไหน ขอตายสุดท้ายที่เบตง
 
 
ธัณยวรรณ ยงวิริยะกุล เจ้าของร้านอาหาร “ต้าเหยิน” อ.เบตง เล่าว่า จุดอ่อนที่ทำให้คนร้ายก่อเหตุครั้งนี้ คือ มาตรการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ซึ่งในระยะหลังอ่อนลงไป โดยเฉพาะการตรวจค้นการเข้า-ออกเมือง ยิ่งไม่ค่อยเกิดเหตุบ่อยยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ชะล่าใจ เพราะมั่นใจว่าไม่มีอะไร หลังจากนี้จะต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย การตรวจค้นการเข้า-ออกเมืองเบตง และให้ดำเนินการด้วยความเข้มข้นต่อเนื่อง ไม่เฉพาะหลังจากเกิดเหตุใหม่ๆ เท่านั้น
 
 
สำหรับผลกระทบชัดเจนล่าสุด จำนวนลูกค้าลดลงบางส่วน ส่วนกรุ๊ปทัวร์ก็มีการแจ้งยกเลิกบางส่วน แต่ยังไม่มาก ในขณะที่ทางร้านก็จะให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ด้วยการสั่งให้พนักงานในร้านทุกคนช่วยกันสังเกตคนแปลกหน้า ยานพาหนะที่ไม่คุ้น เพราะถือว่าการดูแลทุกคนจะต้องช่วยกัน หวังพึ่งเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียวไม่ได้
 
 
“ช่วงนี้ก็เป็นการเสียโอกาส เพราะเป็นช่วงเทศกาลผลไม้ ปกติจะมีนักท่องเที่ยว ทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โรงแรมห้องพักจะเต็ม การที่นักท่องเที่ยวเข้ามามากก็มีผลต่อร้านอาหารตามไปด้วย" เจ้าของร้านระบุ
 
ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานหอการค้าจังหวัดยะลา ประเมินว่า ความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้ ไม่ว่าเป้าหมายของคนร้ายจะต้องการสร้างสถานการณ์ หรือตั้งใจทำลายระบบเศรษฐกิจใจพื้นที่ แต่ครั้งนี้ย่อมกระตุ้นให้ภาคเอกชนในพื้นที่เรียกร้องไปยัง คสช.ช่วยคืนความสุขให้ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมเสียที
 
 
สะท้อนจาก คุณวุฒิ มงคลประจักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเบตง ย้ำว่า อ.เบตง ทิ้งช่วงการเกิดเหตุนานถึง 8 ปี ล่าสุดที่เกิดเหตุในปี 2549 ถือว่ารุนแรงกว่า ครั้งนี้แม้ความรุนแรงน้อยกว่า แต่ผลกระทบทางด้านจิตวิทยามีมากกว่า ด้วยเหตุผลคือ เบตงทิ้งช่วงเหตุร้ายเป็นเวลานานมาก
 
 
“เพื่อนที่กรุงเทพฯ จองห้องพักว่าจะเดินทางมาเที่ยวในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2 คืน หลังจากเกิดเหตุก็โทรมาแจ้งยกเลิกและขอค้างคืนที่ปีนังแทน จากเดิมที่ค้างที่ปีนัง 1 คืน แล้วมาค้างที่เบตง 2 คืน”
 
 
คนในพื้นที่รายนี้ บอกด้วยว่า ในฐานะคนเบตง อยากจะขอความร่วมมือทุกฝ่ายในเรื่องความปลอดภัย ว่า อย่าประมาท แม้เบตงไม่เกิดเหตุถี่เหมือนที่อื่นๆ ใน 3 จังหวัด แต่ก็ไม่ควรประมาท ที่พูดก็ไม่ได้เป็นการตำหนิ แต่เข้าใจว่า บางช่วงเวลามั่นใจมากเกินไปจะทำให้คนที่จ้องทำลายกับคนที่ป้องกันมีโอกาสพลาดได้ อย่าคิดว่าเบตงมีความปลอดภัยเหนือกว่าที่อื่น เพราะปัจจุบันไม่มีพื้นที่ไหนปลอดภัยแล้ว
 
 
บทเรียนการจ้องทำลายหัวเมืองทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นเนืองๆ จึงไม่ควรมองข้ามมิติพื้นที่เมืองหลวงปักษ์ใต้อย่าง "หาดใหญ่" จ.สงขลา
 
 
เรื่องนี้ สมพร สิริโปราณานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา ระบุว่า ปกติในช่วง 10 วันสุดท้ายของการถือศีลอด ในส่วนของ จ.สงขลา มีการประสานงานเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างเข้มงวดเป็น 2 เท่า ทั้งในส่วนคุมเข้มในย่านสำคัญ รวมถึงการประสานความร่วมมือผู้ประกอบการตรวจสอบและเช็กความพร้อมกล้องวงจรปิด รวมถึงประสานเครือข่ายวิทยุสอดส่องดูแล ทั้งนี้ ขอฝากไปยัง คสช.ให้จริงจังเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ภายใต้กรอบอำนาจและโครงสร้างใหม่ที่สามารถดำเนินการทันที
 
 
 
 

          

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การเคลื่อนย้ายแรงงานในอาเซียนหลังการเป็น เอ.อี.ซี

 

 

 

                                 

 

2. ไมต้องรอให้ถึงมีการรวมกันเป็นประชาคมอาเซียน หรือ เอ.อี.ซี.ในปีหน้า 2558 เพราะที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ มีการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามไปมาในประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว มีทั้งการเคลื่อนย้ายที่ถูกต้องตามกฎหมายและที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือการลักลอบเข้าไปทำงานในประเทศอื่น ตามความต้องการแรงงานของประเทศนั้น ซึ่งหลายประเทศขาดแคลนแรงงานที่ต้องการ ทั้งแรงงานมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมือ เช่น สิงคโปร์ต้องการแรงงานมีฝีมือไปทำงานก่อสร้างซึ่งกำลังขยายอย่างไม่หยุดยั้ง จึงมีแรงงานจากไทยจำนวนมากไปทำงานในสิงคโปร์ ขณะที่สิงคโปร์ก็ต้องการแพทย์ พยาบาล สถาปนิก วิศวกร บรูไนต้องการแรงงานมีฝีมือไปทำงานก่อสร้างซึ่งบรูไนมีการก่อสร้างขยายตัว มีการเปิดเมืองใหม่ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพราะคนบรูไนมีรายได้ดี มีแรงงานไทยไปทำงานก่อสร้างในบรูไนมาก

ไทยและมาเลเซียขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือ เพราะคนงานท้องถิ่นส่วนใหญ่ไปทำงานในต่างประเทศ ไปทำงานก่อสร้าง ทำงานในโรงงาน ดูแลคนสูงอายุ แม่บ้าน ดังนั้น คนงานพม่า เขมร ลาว จึงมาทำงานใช้แรงงานในภาคเกษตรกรรม โรงงานอุตสาหกรรม ประมง ก่อสร้าง แม่บ้าน ในมาเลเซีย ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือจากอินโดนีเซียมาทำงานในงานที่มาเลเซียขาดแคลน ส่วนฟิลิปปินส์นั้น ส่งคนออกไปทำงานในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารเพราะพูดภาษาอังกฤษได้ดี

 

3. ประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจก้าวหน้า มีการสร้างงาน มีโครงการก่อสร้าง มีโรงงานต่าง ๆ มากมาย ทั้งอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรม อาหาร ฯลฯ จึงต้องการแรงงานจำนวนมาก หากในประเทศมีแรงงานไม่พอ ก็มีแรงงานในเพื่อนบ้านอาเซียนหลั่งไหลเข้ามา โดยทั่วไปจะเป็นแรงงานจากเพื่อนบ้าน เช่น แรงงานพม่า ลาว เขมรเข้ามาทำงานในไทย เพราะพรมแดนติดกัน อีกทั้งเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน เป็นชาวพุทธเหมือนกัน เช่นเดียวกับคนอินโดนีเซีย มุสลิมจากไทย โรฮิงยา ไปทำงานในมาเลเซียเพราะศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงกัน นั่นคือ เป็นมุสลิมเหมือนกัน

ฟป. มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดในอาเซียน ฟิลิปปินส์ไปทำงานในสิงคโปร์เพราะใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันรู้เรื่อง ทั้งอาชีพระดับสูงและแรงงานก่อสร้าง

 

4. โดยทั่วไป คนเราทุกคนต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า และแสวงหางานที่ดีกว่ารายได้มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา เช่น แรงงานไทยไปทำงานในตะวันออกกลาง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฯลฯ จากแรงงานไร้ฝีมือพัฒนาเป็นแรงงานมีฝีมือเพื่อไปทำงานต่างประเทศ แรงงานที่มีฝีมือแล้วก็ไปทำงานในต่างประเทศ ทำงานมีรายได้ดีกว่า ส่งเงินกลับไทย ทำให้ครอบครัวมีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น แรงงานเกษตรก็เข้ามาทำงานในโรงงาน ทำให้เราขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือ แรงงานก่อสร้าง แรงงานภาคเกษตร ประมง ซึ่งคนพม่า ลาว เขมร มาปิดช่องว่างตรงนี้ ซึ่งพวกเขาจะมีรายได้มากกว่าค่าแรงในประเทศ และส่งเงินกลับบ้าน

 

5. การเคลื่อนย้ายแรงงานและการอพยพย้ายถิ่นในโลกปัจจุบันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เช่นเดียวกับการเคลื่อนย้ายแรงงาน และการอพยพย้ายถิ่นข้ามพรมแดนในอาเซียน ก็เป็นเรื่องปกติ และเป็นผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาประเทศ ที่ประโยชน์ผู้รับต้องดูแลสวัสดิการของแรงงานต่างด้าวและค่าแรง ๆ ดูจะไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ประกอบการ ปัญหาอยู่ที่ขาดแคลนแรงงานมากกว่า ผู้ประกอบการพร้อมที่จะจ่ายค่าแรงเท่าแรงงานไทย แต่ต้องมีแรงงานต่อเนื่อง เพื่อผลผลิตต่อเนื่อง

 

6. ดังนั้น หลังอาเซียนรวมตัวเป็น เอ.อี.ซี.และการเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง ข้อจำกัดการข้ามพรมแดนถูกยกเลิก หรืออำนวยความสะดวกได้มากขึ้น เชื่อว่า การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามประเทศในอาเซียนน่าจะมีมากขึ้น ขณะเดียวกัน ประเทศที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมตัวเผชิญกับขบวนการค้ามนุษย์ที่จะขยายกิจการกว้างขวางมากขึ้น ปัญหาเด็กต่างด้าวที่เกิดในเมืองไทยและได้สัญชาติไทย ปัยหาการขอแปลงสัญชาติเมื่อทำงานในเมืองไทยหลายปี ฯลฯ

 

7. ขณะเดียวกัน ก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนของตนเองถึงเหตุผลและความจำเป็นในการต้องการแรงงานต่างชาติมากขึ้น เพื่อป้องกันความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันระหว่างคนท้องถิ่นกับแรงงานต่างด้าว รัฐบาลที่เกี่ยวข้องต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิดในการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งสองฝ่าย ส่วนประเทศไหนในอาเซียนจะรับหรือส่งแรงงานออกมากน้อยกว่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ การลงทุน การสร้างงานที่เพิ่มขึ้น และต้องดูตัวเลขของการว่างงานของประเทศอาเซียนด้วย ประเทศใดที่มีคนว่างงานมาก แสดงว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้นไม่ดี ไม่มีการจ้างงาน ควรดูตัวเลขการว่างงานเปรียบเทียบของประเทศในอาเซียน

 

8. องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ( ไอ.แอล.โอ) ระบุใน แนวโน้มการมีงานทำของโลก (Global Employmen Trends) ปี 2556 ว่า ฟิลิปปินส์มีการว่างงานสูงที่สุดถึงร้อยละ 7.3 ของจำนวนประชากรของประเทศ ในรอบสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่สามารถสร้างงานได้เพิ่มขึ้น ทำให้คนไม่มีงานทำมากขึ้น ส่วนงานที่สร้างขึ้นได้ก็มีคุณภาพต่ำลง ทั้งที่รัฐบาลทำให้เศรษฐกิจโตได้ร้อยลฃะ 6.8 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่การเติบโตของงานกลับน้อยลง ดังนั้น คนฟิลิปปินส์จึงหาทางออกไปหางานทำนอก

 

ประเทศ โดยมีจุดเด่นคือภาษาอังกฤษดี อันดับสองคือ อินโดนีเซีย ร้อยละ 6 ซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวดี แต่ประชากรมากเกินไป คนอินโดนีเซียนิยมไปทำงานในมาเลเซียมากที่สุด จนทำให้รัฐบาลมาแลซียปวดหัวเหมือนกันเพราะมากเกินไป บรูไนร้อยละ 3.7 เพราะคนบรูไนไม่ทำงานต่ำ ต้องใช้แรงงานต่างชาติแทน ถ้าเรื่องก่อสร้างก็เป็นแรงงานไทย พม่า 3.5 คนพม่านิยมมาทำงานไนไทยมากที่สุด มาเลเซีย 3.2 แต่มีแรงงานต่างชาติจากอินโดนีเซีย สิงคโปร์ 3.1 แต่มีการสร้างงานตลอดเวลา ต้องการแรงงานจากต่างประเทศมาก

 

9. ประเทศที่อัตราการว่างงานต่ำที่สุด คือ เวียตนาม 1.9 / ลาว 1.4 / ไทย 0.8 กัมพูชา 0.3 เพราะรัฐบาลมีโครงการพัฒนามากมาย มีการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้สร้างงานได้มาก คนท้องถิ่นจึงมีงานทำ ส่วนคนที่ไปทำงานนอกประเทศก็ถือว่ามีงานทำแล้ว ไม่ใช่เป็นคนว่างงาน ที่น่าสนใจ

 

ไอแอลโอ.ระบุว่า ภาพรวมของอาเซียน แนวโน้มการว่างงานโดยรวมจะลดลงจากร้อยละ 6 ระหว่างปี 2543-2551 เหลือร้อยละ 4.5 ในปี 2556 ซึ่งอาจเป็นเพราะส่วนหนึ่ง รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างงานเพิ่มขึ้น อีกส่วนหนึ่งคนไปทำงานในต่างประเทศ แต่ละประเทศตื่นตัว มีนโยบายในการส่งเสริมคนออกไปทำงานในต่างประเทศ และคอยให้ความค้าครองดูแลคนงานของตนในต่างประเทศ เพราะพวกนี้ส่งเงินเข้าประเทศ และไม่มากดดันรัฐบาลในประเทศ

 

10. ยิ่งมีการยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าเมืองหลังอาเซียนรวมตัวเป็น เอ.อี.ซี. เช่น ไม่ต้องใช้วีซ่าในการเข้าประเทศ หรือขยายเวลานานขึ้นในการไม่ต้องใช้วีซ่า การเคลื่อนย้ายแรงงานในอาเซียนก็น่าจะมาขึ้น

 

 

         

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 คะแนน 8.87 เต็ม 10 ผลงาน คสช.ครบ 2 เดือน

 

 

 

 

 

 

"สวนดุสิตโพล" เผยประชาชนให้คะแนนการทำงานของ คสช. ครบ 2 เดือน 8.87 เต็ม 10 ชี้พอใจ คสช. บริหารประเทศเพราะ สามารถทํางานตามแผนที่วางไว้ได้อย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง


วันที่ 27 ก.ค. "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ คสช. เข้ามาทําหน้าที่บริหารประเทศ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 2 เดือน โดย คสช. ได้มีการดําเนินงานแก้ปัญหาสําคัญในหลายๆ เรื่อง จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ดังนี้

จากที่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ ครบ 2 เดือน ประชาชน 72.94% เห็นว่า ยังสามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้ดี ไม่มีความขัดแย้งหรือการชุมนุมเคลื่อนไหวรองลงมา 69.98% มองว่า คสช.ดําเนินการจัดระเบียบสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน และ 67.14% มองว่า คสช.บริหารประเทศได้ดี มีผลงานให้เห็น มุ่งมั่นตั้งใจในการทํางาน

"จุดเด่น" ของ คสช. ที่บริหารประเทศ ครบ 2 เดือน 35.96% ระบุ การทําเพื่อประชาชน คืนความสุขให้กับประชาชน รองลงมา 34.84% มองว่าแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะการจัดระเบียบสังคม อีก 29.20% มองว่าจุดเด่นเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ การมอบหมายให้ผู้นําแต่ละเหล่าทัพทําหน้าที่ดูแลด้านต่างๆ

"ปัญหา หรืออุปสรรค" ในการดําเนินงานของ คสช. ส่วนใหญ่ 42.63% ระบุว่า บางปัญหามีความละเอียดซับซ้อน ต้องอาศัยเวลา และความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย รองลงมา 35.12% ต่างชาติยังไม่เชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในประเทศไทย และ 22.25% การดูแลรักษาความปลอดภัยยังไม่ทั่วถึง ยังมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น เช่น ไฟใต้

สิ่งที่อยากฝากบอก คสช. เกี่ยวกับการบริหารประเทศ 50.87% ฝากบอกว่าการจัดระเบียบสังคมเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรคํานึงถึงผลกระทบที่ประชาชนบางส่วนจะได้รับ รองลงมา 36.69% เร่งสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของ ประเทศขณะที่ 12.44% เร่งแก้ปัญหาไฟใต้และดําเนินคดีกับผู้กระทําผิดกฎหมายในเรื่องต่างๆ โดยเร็ว

ส่วนความพึงพอใจของประชาชน ต่อ คสช. ในการบริหารประเทศ ครบ 2 เดือน 51.51% พึงพอใจมากเพราะ สามารถทํางานตามแผนที่วางไว้ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ในภาพรวมยังควบคุมสถานการณ์ได้ดี ฯลฯ รองลงมา 40.26% ค่อนข้างพึงพอใจ เพราะ ชื่นชอบการจัดระเบียบสังคม ปราบมาเฟีย อาวุธเถื่อน ยาเสพติด ทําให้บ้านเมืองเป็นระเบียบมากขึ้น ฯลฯ 5.57% ไม่ค่อยพึงพอใจ เพราะยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติได้ เศรษฐกิจความเป็นอยู่ของประชาชนยังไม่ดีขึ้น ฯลฯ และ 2.66% ไม่พึงพอใจเลย เพราะอยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ

นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบคะแนนที่ประชาชนให้ คสช.นั้นพบว่า คะแนนสูงกว่า จากการที่คสช.ทำงานครบ 1 เดือน โดยครั้งที่ คสช.ทำงานครบ 1 เดือน ได้ 8.82 คะแนน ครบ 2 เดือน ได้ 8.87 คะแนน เพิ่มขึ้น 0.05 คะแนน.

 

 

 เสี้ยนตำเท้า...: มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

 

หนุ่ม SME

 

 

เอาละทีนี้หันมาพูดถึงผลงานของ คสช.ในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมา มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน หรือเรียกว่า เป็นรูปธรรมบ้าง ตามกระแสข่าวต่างๆ ที่เช็คยังแทบไม่มีอะไรที่สำเร็จเรียบร้อย 100 เปอร์เซ็นต์ จะมีดีขึ้นบ้างก็เห็นได้แก่

 

ย้ายที่จอดรถตู้เป็นที่เป็นทาง แต่เรื่องอื่น เช่น การขับรถเร็ว การจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เชื่อว่ายังไม่สำเร็จ

 

เรื่อง วินมอเตอร์ไซค์ ผลงานพอรับได้ ทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ใคร่ขอกระซิบ พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.ว่า เค้าเล่าลือกันว่า เปลี่ยนชุดเจ้าหน้าที่เก็บเงินจากชุดสีกากีเป็นชุดสีเขียว ยังไงลองไปเช็คสอบดูด้วยก็ดี

 

เรื่อง ภาษีที่ดิน ที่จะเรียกเก็บแก่ผู้ถือครองที่ดินเกินความจำเป็น ผู้เขียนเห็นวูบออกมา แล้วก็หายวาบไปในพริบตา ไม่ทราบติดอยู่ที่อุปสรรคอะไรหรือ ถึงได้เงียบหายไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว

 

เรื่อง ปตท. ที่มีข่าวว่าสร้างความร่ำรวยให้กับนักการเมืองในอดีตจนทำให้ราคาน้ำมันแพง เกินจริง จนเป็นที่หมายมั่นปั้นมือของ ส.ว.ลากตั้ง รสนา โตสิกระกูล ว่าจะต้องทวงคืนให้ได้หากมีโอกาส แต่พอมีรัฐประหารซึ่งน่าจะยึดคืนได้โดยง่าย แต่กลับหายเงียบไปทั้งคนโวยวายและ คสช. ผู้คนพากันตั้งความหวังว่าจะได้ใช้น้ำมันราคาถูกผิดหวังกันไปเป็นแถบ

 

การ บินไทย ซึ่งขาดทุนเละเทะอยู่ในปัจจุบัน แต่พนักงานกลับมีความเป็นอยู่กันอย่างสมบูรณ์พูนสุข ได้ข่าวว่า ขนาดกิจการขาดทุนยังมีโบนัสอีก จะไม่ให้สุขได้อย่างไร คสช.ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับการบินไทยได้เลย ได้แต่ปล่อยให้ขาดทุนไปเรื่อยๆ แล้วก็เอาเงินภาษีของประชาชนเข้าไปโปะทั้งๆ ที่รู้ว่า โปะเท่าไหร่ก็ไปไม่รอดน่าจะเลิกไปได้แล้ว ไม่มีสายการบินแห่งชาติของประเทศก็ไม่ได้เสียอะไรไปหรอก กลับจะทำให้การเงินของประเทศดีขึ้นมาเสียอีก

 

นอก จากในประเทศแล้วก็ยังมีทางด้านต่างประเทศอีก เท่าที่ทราบยุโรปและสหรัฐอเมริกาเองก็จ้องจะบอยคอตสินค้าจากประเทศไทย ซึ่งก็ได้บอยคอตไปแล้วหลายรายการ แรงงานในประเทศไทยก็มีโอกาสที่จะตกงานเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ นอกจากนั้นก็ยังมีองค์กรเสรีไทย ที่ไปตั้งองค์กรพลัดถิ่นอยู่ในต่างประเทศคอยรายงานให้ต่างประเทศทราบถึงความ เคลื่อนไหวที่ไม่ถูกไม่ควรของ คสช.ให้ต่างประเทศได้รับทราบนั้น คสช.จะทำอย่างไร จะไปบอกให้พวกเค้าเลิกแล้วต่อกันแล้วกลับมาจูบปากกันก็คงไม่มีใครกล้า เพราะขนาดเรียกเค้ามาประชุมให้ปรองดองกัน พอคุยกันไม่รู้เรื่องก็จับเค้าซะเลย หรือนักศึกษาที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหารก็จับแล้วจับอีก ใครจะกล้ากลับมาปรองดอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สามีนอกใจ...จะทำอย่างไรให้เขากลับมาเป็นคนเดิม

 
 
 
 
 
 
 
บทความ ความรัก
 





ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงดูใจหรือกำลังคบหากัน ก็พบว่าปัญหาเรื่องมือที่ 3 ยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับทุกคู่รักอยู่ดี โดยเฉพาะคู่รักที่ตัดสินใจร่วมหอกันไปแล้ว ซึ่งสาเหตุของการนอกใจส่วนใหญ่นั้นมาจากความเจ้าชู้ของฝ่ายชาย หรือไม่ก็ฝ่ายหญิงทำหน้าที่ของภรรยาได้ไม่ดีพอ แต่ไม่ว่าการนอกใจจะเกิดจากเหตุผลอะไรก็ตาม ซึ่งทางเดียวที่จะทำให้ดีขึ้นได้คือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นั่นก็คือ ตัวเขาและตัวของคุณเอง โดยเริ่มจาก...


1. ไว้เนื้อเชื่อใจกัน

หลังจากการแต่งงานไปแล้วระดับความหึงหวงของผู้หญิงอาจเพิ่มมากขึ้น เช่น โทรศัพท์ ไลน์ ส่งข้อความบ่อยจนเกินไป หรือตั้งคำถามมากมาย เพราะต้องการจะเช็กข้อมูลหรือจับพิรุธฝ่ายชาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ชอบพฤติกรรมจุกจิกจู้จี้แบบนี้ หากคุณไม่อยากเสียเขาไปให้กับคนอื่น ควรเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ เพราะในเมื่อเขาแต่งงานกับคุณ นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่าเขามั่นใจและเชื่อมั่นในตัวคุณ ดังนั้น คุณควรที่จะรู้จักเชื่อใจเขา และเชื่อมั่นในความรักที่เขามีให้กับคุณด้วย

2. รับฟังและเข้าใจ

ไม่ว่าฝ่ายชายจะพูดหรือบอกอะไรกับคุณ ควรเงียบและตั้งใจฟัง อย่างเพิ่งขัดจังหวะเขาโดยการพูดแทรก หรือแสดงความคิดเห็นว่าเขาควรทำอย่างไร หรือไม่ควรทำอะไรบ้าง พร้อมกับทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด เพราะผู้ชายชอบผู้หญิงที่ยอมรับฟังสิ่งที่เขาพูด ไม่ว่าเรื่องนั้นคุณจะรู้เรื่องหรือไม่ก็ตาม เชื่อเถอะว่าถ้าหากคุณสามารถทำได้ เขาจะทำแบบเดียวกันกับคุณ และไม่มีทางนอกใจคุณแน่ ๆ

3. ไม่ควรสั่งให้เขาทำ

เนื่องจากหลาย ๆ คนชอบเปรียบคนรักของตัวเองกับผู้ชายคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ พี่ชาย น้องชาย คนรักเก่า เพื่อน หรือแฟนของเพื่อน แล้วก็คาดหวังว่าคนรักจะทำแบบเดียวกันกับที่คุณชอบ ดังนั้น เมื่อไม่ได้ดั่งใจมักจะสั่งหรือพูดให้เขารู้สึกผิด ซึ่งจริง ๆ แล้วเมื่อคุณตัดสินใจแต่งงานกันแล้ว ควรจะยอมรับตัวตนของเขาให้ได้ และไม่ควรสั่งหรือบอกให้เขาทำตามใจคุณ เพราะเป็นการบังคับให้เขาถอยห่างจากคุณไปเรื่อย และอาจจะหายไปจากชีวิตคุณในที่สุด

4. นิ่งสยบความเคลื่อนไหว

หากวิธีที่บอกไปไม่มีวิธีใดได้ผลเลย และคุณต้องการจะรู้ความจริง คุณควรจะนิ่งเอาไว้ ทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นใด ๆ ทั้งสิ้น ห้ามแสดงกิริยาหรือทำอาการร้าย ๆ ใส่เขา เพราะนั่นอาจทำให้เขาไหวตัวทันและเรื่องราวบานปลายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ แถมทำให้เขารู้สึกว่าคุณเป็นคนผิดอีกด้วย จะดีกว่าหากคุณพูดเป็นนัย ๆ ว่าทราบเรื่องของเขาแล้ว หรือพูดประมาณว่า คุณคงไม่สามารถทำอะไรได้แล้วในเวลานี้

5. ใช้น้ำตาเป็นอาวุธ

ถ้าคุณทำทุกอย่างและงัดทุกกลยุทธออกมาแล้ว แต่ไม่สามารถรั้งเขาเอาไว้ ถึงเวลาที่คุณจะเรียก "น้ำตา" อาวุธของผู้หญิงออกมาใช้แล้วล่ะ เพราะน้ำตาเรียกคะแนนความสงสารจากผู้ชายได้ดีทีเดียว สำหรับผู้ชายแล้วการที่เขาตัดสินใจแต่งงาน แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเลือกคุณ และคงไม่มีใครอยากจะทำให้สุดที่รักของต้องเสียใจและเสียน้ำตาให้กับตัวเองหรอก


ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ถ้าเมื่อไหร่มีคนอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคงไม่ดีแน่ ๆ โดยเฉพาะคนที่เข้ามาแทรกตรงกลางความรักระหว่างพวกคุณ แต่ถ้าหากปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรตีโพยตีพายหรือเอะอะจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพวกคุณอาจตกเป็นเหยื่อของการนินทา และทำให้ฝ่ายชายดูแย่ลง ทางที่ดีลองนำวิธีของเราไปใช้ดีกว่า นอกจากจะไม่ทำให้เขาเสียหายแล้ว ยังทำให้ความรักของคุณกลับมาสดใสเหมือนเดิมอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 สาวหน้าคล้ายนางเอกดัง ถ่ายรูปบาดแผลโดนซ้อม ภาพว่อน! ชาวเน็ตสังเกตเคสมือถือเหมือนของ ‘เจนี่’

วันที่ 26 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกระแสฮือฮาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก มาอย่างต่อเรื่อง กรณีนางเอกดังที่กำลังตกเป็นข่าวเตรียมประกาศเลิกรากับสามี หลังจากถูกทำร้ายร่างกาย และแยกกันอยู่มาระยะหนึ่ง ซึ่งกระแสข่าวดังกล่าวนับวันยิ่งร้อนแรง

ล่าสุดในสังคมออนไลน์ มีการแชร์ภาพสาวหน้าคล้ายนางเอกดัง เจนี่ ถูกทำร้าย มีบาดแผลตามร่างกายหลายแห่ง

ที่สำคัญชาวเน็ตตาดี สังเกตภาพจากสมาร์ทโฟนที่ใช้ถ่ายรูปของหญิงสาวที่ถูกทำร้ายร่างกาย ว่าเคสโทรศัพท์คล้ายคลึงกับของนางเอกดังด้วย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า นางเอกดัง เจนี่ เตรียมแถลงข่าวทั้งหมดในเร็วๆ นี้





 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

  

สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เข้าอวยพรครบรอบวันคล้ายวันเกิด 76 ปี นายสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เข้าอวยพรครบรอบวันคล้ายวันเกิด 76 ปี นายชวน หลีกภัย

 

 

ภาพข่าว
********************************************
*****************************
********************
 

ทหารบุกอิมพีเรียล ลาดพร้าวขอยกเลิกจัดงานวันเกิด′แม้ว′ปลดป้ายรูป′ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ′

 

 

อีกข้างจัดได้ แต่อีกข้างที่ไม่ใช่พวกห้ามจัด

 

 

 

 
 

 

 

     

 

 

 

 

       ปิดน้ำตกเขาสอยดาว จันทบุรี ไม่มีกำหนด หลังฝนตกต่อเนื่อง

 

 

                                    

 

 

หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ.จันทบุรี สั่งปิดน้ำตกเขาสอยดาว ไม่มีกำหนด เนื่องจากฝนตกติดต่อกัน ทำให้ปริมาณน้ำในน้ำตกเขาสอยดาวมีระดับสูงขึ้น

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2557 นายสิทธิชัย บรรพต หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว อ.สอยดาว จ.จันทบุรี เปิดเผยว่า ได้สั่งปิดน้ำตกเขาสอยดาว ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวแล้ว เนื่องจากตอนนี้ปริมาณน้ำในน้ำตกเขาสอยดาวมีระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ฝนตกติดต่อกันหลายวัน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดน้ำป่าไหลหลากจากเทือกเขาสอยดาวมายังเบื้องล่าง หรืออาจทะลักท่วมชุมชนได้

นอกจากนี้ ยังเกรงว่านักท่องเที่ยวอาจ จะได้รับอันตราย ส่วนการปิดน้ำตกเขาสอยดาวนั้น จะยังคงปิดอย่างไม่มีกำหนด โดยจะดูจากสภาพอากาศเป็นสำคัญ หากสภาพอากาศไม่เอื้อต่อการท่องเที่ยว มีฝนตกเหนือเทือกเขาเติมน้ำในน้ำตกให้มากขึ้น มีโอกาสไหลทะลักอย่างรวดเร็วสู่น้ำตกเขาสอยดาวในชั้นล่าง หรือมีลมพัดหนักหน่วงรุนแรง ก็จะยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวน้ำตกเขาสอยดาวอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

 

น้ำตกเขาสอยดาว อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว อำเภอสอยดาว น้ำตกอยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 4 กิโลเมตร มี 16 ชั้น บริเวณธารน้ำตกมีผีเสื้อจำนวนมากเหมาะสำหรับการดูผีเสื้อและศึกษาพรรณไม้ พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวนั้นมีสภาพป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรังและสมุนไพร เช่น กระชายป่า กระวาน สัตว์ป่า ไก่ฟ้าหลังขาวจันทบูรณ์ นกสาริกาเขียวหางสั้น สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อน โดยมียอดเขาสูง 2 ยอด คือ ยอดสอยดาวเหนือและสอยดาวใต้ ความสูงของยอดสูงสุดคือ ยอดสอยดาวใต้ อยู่ที่ประมาณ 1,675 เมตร จากระดับน้ำทะเล

 

สภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์เป็นต้นกำเนิดของธารน้ำหลายสาย ไหลตกลงมาเป็นน้ำตกเขาสอยดาวขนาดใหญ่ ท่ามกลางป่าลึกที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ นักท่องเที่ยวจะต้องเดินเท้าเข้าไปชม ตลอดเส้นทางเดินชมน้ำตกมีทั้งความงามและความตื่นเต้นท้าทาย เช่น ชั้นน้ำตกที่ต้องปีนผาไปตามรากไทรสูงราว 20 เมตร กระทั่งถึงน้ำตกชั้นบนสุดซึ่งมีขนาดสูงใหญ่ งดงามยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นน้ำตกได้ถึงชั้นที่ 9 ระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ใชเวลาเดินขึ้นเกือบ 2 ชั่วโมง ส่วนชั้นที่ 10-16 ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง ใช้เวลาเดินอีก 1 ชั่วโมง บริเวณน้ำตกมีบ้านพักรับรองบริการนักท่องเที่ยว          

 

       ข้อควรระวังในการเที่ยวน้ำตก

1. เนื่องจากช่วงของการเดินทางเที่ยวน้ำตกนั้น มักอยู่ในฤดูฝน ควรจะตรวจตรา ระวังในเรื่องระดับน้ำและ น้ำป่า หากสังเกตว่าธารน้ำตกมีน้ำเต็มเปี่ยม ไหลแรง การเดินข้ามลำธารหรือลงเล่นน้ำควรต้องเพิ่มความ ระมัดระวัง หรือพยายามหลีกเลี่ยง และหากมีฝนตกหนักบริเวณนั้น หรือในผืนป่าต้นน้ำเป็นเวลานาน ๆ ควรขึ้นจากสายน้ำ และขึ้นมาอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัย

2. การเดินป่า หรือเลาะริมลำธาร หากจำเป็นต้องตัดข้ามไปมาบ่อยครั้ง ก็ควรยอมเปียกด้วยการเดินลุยน้ำ เพราะการโดดข้ามไปตามก้อนหิน อาจเสี่ยงต่อการลื่นล้มได้รับบาดเจ็บได้

3. หากจะต้องตั้งแค้มป์พักแรมกลางป่า ควรตั้งในที่สูงขึ้นมาจากสายน้ำพอสมควรเพราะอาจเกิดน้ำป่าไหล หลากลงมาได้

4. ไม่ประมาท หรือหยอกล้อกันในบริเวณที่อาจจะเกิดอันตราย เช่น ริมผาน้ำตก ริมลำธาร เป็นต้น

5. น้ำตกบางแห่งมีคำเตือน "ห้ามเล่นน้ำในบางบริเวณนี้" เช่น บริเวณอ่างน้ำตกพรหมโลก นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบริเวณที่มีน้ำวน ทำให้ผู้ลงไปเล่น จมน้ำเสียชีวิตได้ จึงไม่ควรฝ่าฝืน

6. ควรระมัดระวังอย่าให้การเข้าไปเที่ยวน้ำตกของท่าน เป็นการรบกวนหรือทำลายธรรมชาติ

ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติ

1. ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในการเที่ยวน้ำตก เพราะนอกจากจะทำให้เกิดการมึนเมา เสี่ยงต่อการ จมน้ำ หรือพลัดตกจากผาน้ำตกแล้ว เศษแก้วเศษขวดที่แตกยังเป็นอันตรายต่อผู้อื่นและธรรมชาติอีกด้วย

2. ควรเคารพสิทธิ์ผู้อื่นที่เดินทางเข้าไปสัมผัสธรรมชาติร่วมกัน

3. ไม่ทิ้งขยะในทุกพื้นที่ ยกเว้นภาชนะที่ได้จัดไว้ให้เท่านั้น

4. ช่วยกันเก็บขยะออกจากพื้นที่ เพื่อให้แหล่งธรรมชาติงดงามน่าชมตลอดไป

5. ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่นั้น ๆ เช่น กฎระเบียบของอุทยานแห่งชาติ หรือกฎข้อบังคับของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

6. ควรให้การเดินทางเข้าไปสัมผัสธรรมชาติของท่านเป็นการเรียนรู้ที่คุ้มค่าที่สุด

 

 

 

 

         คสช.สั่งเบรกเบี้ยยังชีพอดีตสมาชิกรัฐสภา

 

คสช.สั่งสภาฯ ชะลอจ่ายเบี้ยยังชีพอดีตสมาชิกรัฐสภา อ้างขอปรึกษาฝ่ายกฎหมาย “บุญยอด” วอนทบทวน เหตุเป็นสิทธิพึงได้ตามกฎหมาย เตือนออกนโยบายเหมาเข่งกระทบนักการเมืองสุจริตที่รักษาผลประโยชน์ประชาชน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               ต้นกำเนิดไลน์ LINE จ๋ามาจากไหน?

 

 

                                   

 
 
 
 
 

นาทีนี้ถ้าพูดถึงการติดต่อสื่อสาร LINE ก็คือเบอร์หนึ่งในเรื่องการแชตบนสมาร์ตโฟน ปรากฏการณ์ของการส่งสติกเกอร์ไลน์ให้กัน ส่งต่อจนทำให้หลายองค์กรถึงกับผลิตสติกเกอร์ไลน์ให้คนได้โหลดฟรี แต่ใครจะทราบว่าเบื้องหลังความสำเร็จของ LINE ในวันนี้นั้นเกิดมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในญี่ปุ่นเมื่อปี 2554

 

จุดกำเนิดของ LINE เกิดขึ้นหลังจากตลาดสมาร์ตโฟนเติบโตอย่างรวดเร็วในทั่วทุกมุมโลก จนทำให้ NAVER Japan ซึ่งเป็นทีมพัฒนาเกี่ยวกับการให้บริการการหาข้อมูล search engine เกมแพลตฟอร์ม และ portal เว็บไซต์ของญี่ปุ่นต้องหันมาสนใจตลาดแอพฯ ของสมาร์ตโฟน

 

จากการสอบถามไปทาง LINE ญี่ปุ่น ว่าอะไรคือจุดกำเนิดของแอพฯ ยอดฮิตนี้ ทาง LINE ก็ได้เล่าให้ฟังว่า “ถ้าพูดถึงแอพฯ ให้บริการการส่งข้อความ LINE ถือเป็นแอพฯ แรกที่ได้พัฒนาขึ้น และเพื่อให้ได้แอพฯ ที่ดีตรงใจมากที่สุด ทางทีมจึงได้เริ่มทำการวิจัยและหาข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2554 ทำให้เราเข้าใจถึงสิ่งสำคัญในการสื่อสารของผู้ใช้ในยุคสมาร์ตโฟน ว่าเราควรพัฒนาและให้บริการอย่างไรเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้

 

ระหว่างที่ทำการค้นหาข้อมูลอยู่นั้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเดือนมีนาคม ปี 2554 ทำให้ความคิดทางสังคมที่เกี่ยวกับการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงการให้บริการโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งเดิมเป็นการให้บริการแบบค่อนข้างเปิด ที่มีจุดประสงค์เพื่อการหาเพื่อนใหม่ แต่หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ NAVER Japan ได้บทสรุปว่าจริงๆ แล้ว สังคมต้องการการให้บริการโซเชียลเน็ตเวิร์กแบบปิด คือสำหรับเพื่อการสื่อสารกับคนใกล้ชิด คนที่เรารัก ซึ่งรวมถึงเพื่อน ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ

 

จากบทสรุปที่ NAVER Japan ได้รับ ทำให้การคิดค้น LINE ได้เริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ปี 2554 และเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ทำให้ NAVER Japan ต้องการมอบบริการใหม่ตัวนี้ให้แก่ผู้ใช้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงช่วงเวลาแค่ 1.5 เดือน NAVER Japan จึงเปิดตัวการให้บริการ LINE ก่อนที่จะพัฒนาความสามารถอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนถึงวันนี้ LINE ได้มอบนวัตกรรมเพื่อการสื่อสารสำหรับคนที่เรารักอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของสติกเกอร์ จนถึงเกมและฟังก์ชันการทำงานอีกมากมาย

 

ทางทีม NAVER Japan ยังได้กล่าวปิดท้ายถึงแรงบันดาลใจในการพัฒนา LINE ออกมาว่า “จริงๆ แล้วการให้บริการการส่งข้อความมีแผนจะเกิดขึ้นเพื่อใช้ภายในองค์กรเท่านั้น แต่เนื่องจากช่วงแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น เมื่อปี 2554 นั้นรุนแรงสร้างความเสียหายจนทำให้การสื่อสารผ่านสายในรูปแบบดั้งเดิมขัดข้อง แต่ผู้คนก็ยังคงติดต่อสื่อสารกันผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้เราได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต เราจึงรีบพัฒนา LINE แอพพลิเคชันอย่างเต็มที่ออกมาเพื่อให้เราสามารถสื่อสารกับคนที่เรารักได้ตลอดเวลา แม้ในยามขับขัน”

 

และนี่ก็คือต้นกำเนิดสุดยอดแอพฯยอดฮิตในปัจจุบันอย่าง ‘LINE

   

ข้อดี - ข้อเสีย ของ Social Network

 

 ในโลกไซเบอร์ก็เหมือนสังคมรอบข้างตัวเรา มีใส่หน้ากาก กัดกันข้างหลัง มีนิสัยดี นิสัยชั่ว มีการสงสัย การระวังคนรอบข้าง มีหมดทุกอย่าง เพราะมันเป็นธรรมดาของโลก แต่เราจะสามารถคัดกรองกลุ่มคนยังไงได้นั้น ก็ต้องใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ หรือพิจารณา คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นคนดี สักวันหนึ่งอาจจะกลับกลายเป็นคนชั่วไปก็เป็นได้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นแน่นอน เพียงแต่เราจะมองโลกในแง่บวก หรือแง่ลบ เท่านั้นเอง เช่นเดียวกับเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอก็เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว และใน Social Network ก็เช่นเดียวกัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ประโยชน์ของ Social Network

...............บริษัทต่างๆเริ่มหันมาใช้ Blog ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการมากขึ้น เนื่องจากจัดการใช้งาน และอัพเดทให้ทันสมัยได้ง่าย อีกทั้งยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดี เพราะ Blog ส่วนใหญ่จะสำรวจและแยกประเภทความสนใจของสมาชิกอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูก และสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าผ่านข้อความแสดงความคิดเห็นได้อีกด้วย

ข้อดีของ Social Network

  • สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
     
  • เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว
     
  • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
     
  • ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
     
  • ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น
     
  • คลายเคลียดได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ
     
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้
     

ข้อเสียของ Social Network

  • เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้
     
  • Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
     
  • เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น
     
  • ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
     
  • ผู้ใช้ที่เล่น social network และอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้
     
  • ถ้าผู้ใช้หมกหมุ่นอยู่กับ social network มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้
     
  • จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์

 

 

 social network คือ สังคมของโลกแห่งอินเตอร์เน็ท หรือเรียกว่าสังคมของมนุษย์ที่ติดต่อสื่อสารกันด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอินเตอร์เน็ท ทางโทรศัพท์ ทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และอื่น ๆ ที่ไร้สาย


ในโลกอินเทอร์เน็ตปัจจุบันนี้รูปแบบของเว็บไซต์ที่เป็น โซเชียล เน็ตเวิร์คได้มีเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งเว็บในรูปแบบของโซเชียล เน็ตเวิร์ค คือ เว็บที่คุณสามารถ “สร้าง” ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อนได้ผ่านเว็บไซต์ในรูปแบบเชื่อมโยงเป็นโครงข่ายจาก เพื่อนสู่เพื่อน ทำให้ติดต่อสื่อสารกันสะดวกมากยิ่งขึ้นแต่ในทางกลับกันก็มีภัยด้านมืดของโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว‘การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์กที่แพร่หลาย พบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่เป็นนักเรียน นักศึกษา มีเพียง 4 ใน 100 คนที่รู้ด้านลบของการใช้ โซเชียล เน็ตเวิร์ก และรู้ว่าต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง’ เป็นคำกล่าวของ ปริญญา หอมเอนก นักวิชาการและกรรมการและเลขานุการ สมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ

 

ปริญญา มองว่า กระแสโซเชียล เน็ตเวิร์กที่มาแรงมากๆ แต่การเล่นโซเชียล เน็ตเวิร์กกำลังกลายเป็นดาบสองคม ถ้าใช้ไม่ระวังก็จะเป็นภัยกับตัวเอง รวมทั้งองค์กร โดยเฉพาะการทวิต หรือ โพสต์ข้อมูลที่อาจเป็นช่องโหว่ให้อาชญากรไซเบอร์ ใช้เป็นข้อมูลในการคุกคามผู้ใช้ได้ง่ายๆ

 

ข้อดี
1. โซเชียลเน็ตเวิร์ก จะเป็นการสร้างเครือข่ายและจุดประกายด้านการศึกษาได้อย่างกว้างขวาง หากใช้ได้อย่างถูกวิธี

2. ทำให้ไม่ตกข่าว คือทราบความคืบหน้า เหตุการณ์ของบุคคลต่างๆและผู้ที่ใกล้ชิด

3. ผู้ใช้สามารถสร้างเครือข่ายทางสังคม แฟนคลับหรือผู้ที่มีเป้าหมายเหมือนกัน และทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้

4. สามารถสร้างมิตรแท้ หรือเพื่อนที่รู้ใจที่แท้จริงได้

5. โซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นซอฟแวร์ที่เอื้อต่อผู้ที่มีปัญหาในการปรับตัวทางสังคม ขาดเพื่อน อยู่โดดเดี่ยว หรือผู้ที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ ให้มีเครือข่ายทางสังคม และเติมเต็มชีวิตทางสังคมได้อย่างดี ไม่เหงาและปรับตัวได้ง่ายขึ้น

6. สร้างเครือข่ายที่ดี สร้างความเห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจที่ดีแก่ผู้อื่นได้


ข้อเสีย
1. โซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นการขยายเครือข่ายทางสังคมในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นการมีเพิ่มเพื่อนเครือข่ายที่ไม่รู้จักดีพอ จะทำให้เกิดการลักลอบขโมยข้อมูล หรือการแฝงตัวของขบวนการหลอกลวงต่างๆได้

2. เพื่อน ทุกคนในเครือข่ายสามารถเขียนข้อความต่างๆลง Wall ของ โซเชียลเน็ตเวิร์ก ได้แต่หากเป็นข้อความที่เป็นความลับ การใส่ร้ายกัน หรือแฝงไว้ด้วยการยั่วยุต่างๆ จะทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีวุฒิภาวะพอ หลงเชื่อ เกิดความขัดแย้ง และปัญหาตามมาในภายหลังได้

3. โซเชียลเน็ตเวิร์ก อาจเป็นช่องทางในการสร้างสังคมแห่งการนินทา หรือการยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะสังคมที่ชอบสอดรู้สอดเห็น

4. การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดให้กับบุคคลภายนอกที่ไม่รู้จักดีพอ เช่นการลงรูปภาพของครอบครัวหรือลูก อาจนำมาเรื่องปัญหาการปลอมตัว หรือการหลอกลวงอื่นๆที่คาดไม่ถึงได้

5. เด็กๆที่ใช้เวลาในการเล่น โซเชียลเน็ตเวิร์ก มากเกินไป จะทำให้เสียการเรียน

6. ในการสร้างความผูกพันและการปรับตัวทางสังคมเป็นการพบปะกันในโลกของความจริง มากกว่าในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นผู้อยู่ในโลกของไซเบอร์มากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาทางจิต หรือขาดการปรับตัวทางสังคมที่ดี โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น โซเชียลเน็ตเวิร์ก ตั้งแต่ยังเด็ก

7. โซเชียลเน็ตเวิร์ก อาจเป็นแรงขับให้มีการพบปะทางสังคมในโลกแห่งความเป็นจริงที่น้อยลงได้ เนื่องจากทราบความเคลื่อนไหวของผู้ที่อยู่ในเครือข่ายอย่างตลอดเวลา

8. นโยบาย ของบางโรงเรียน บางมหาวิทยาลัย บางครอบครัวหรือในบางประเทศมีปัญหามากมายที่เกิดจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้ โซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ได้รับการอนุญาตให้มีในหลายพื้นที่

จึงกล่าว ได้ว่าผู้ปกครองควรเอาใจใส่ลูกหลานของท่านที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นซึ่งนิยมท่อง โลกอินเตอร์เน็ต ให้มีความระมัดระวังและมีวิจารณญาณในการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กมากยิ่งขึ้น เพราะ โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นเป็นทั้งสื่อที่มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ในเวลาเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ถ้าเป็น รบ.ปูผมว่าปิดถนนภาคใต้แล้วแบบนี้

 

ตึงเฒ่า

 

 

มังคุด-ทุเรียนล้นตลาด พ่อค้าคนกลางต้องนำออกเร่ขายตามตลาดนัดในราคาถูก ชาวบ้านแห่เลือกซื้อจำนวนมาก

ภาวะราคาผลไม้ในภาคใต้โดยเฉพาะมังคุดและทุเรียนที่ลดลง อย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากผลไม้ล้นตลาดทำให้พ่อค้าคนกลางที่เข้าไปตระเวนรับซื้อจากสวนของ ชาวบ้านต้องนำมาเร่ขายตามตลาดนัดในราคาถูก เช่น ที่ตลาดนัดวันอาทิตย์ เขตเทศบาลนครสงขลา เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่นำมังคุดและทุเรียนใส่รถกระบะมาจอดวางขายกันริม ถนน

 

ทุเรียนล้นตลาด ราคาถูก

ทุเรียนล้นตลาด ราคาถูก

โดยมังคุดราคากิโลกรัมละ 10 บาท ขณะที่ในตลาดสดราคา 15 บาท ส่วนทุเรียนบ้านหรือทุเรียนพื้นเมืองกิโลกรัมละ 15 บาท ทุเรียนพันธุ์ทั้งก้านยาว กระดุมทอง ชะนี และหมอนทอง อยู่ที่กิโลกรัมละ 25-35 บาท ได้รับความสนใจจากประชาชนที่ไปเลือกซื้อเป็นจำนวนมาก

นายสะฮารี ลาเตะ ชาวอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี หนึ่งในพ่อค้าที่นำมังคุดและทุเรียนมาจำหน่าย เปิดเผยว่า ต้องเร่งระบายสินค้าให้หมดโดยเร็วที่สุดเน้นราคาถูกหากเหลือมากจะขาดทุน เพราะราคาลดลงอย่างต่อเนื่องและผลไม้จะเสียไม่สวย เนื่องจากผลไม้ทั้งมังคุดและทุเรียนสดใหม่จะออกสู่ตลาดทุกวัน

 

ทุเรียนล้นตลาด

ทุเรียนล้นตลาด

552687-06

 

 

 

 

 

 

 

                                           

 

 

 

 

 จำนวนประชากรในเขตเทศบาลเมืองนางรอง ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 มีจำนวนทั้งสิ้น 21,257 คน เป็นชาย 10,139 คน เป็นหญิง 11,118 คน จำนวนบ้านทั้งสิ้น 9,163 หลังคาเรือน จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 14,689 คน เป็นชาย 6,746 คน เป็นหญิง 7,943 คน เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนความหนาแน่นของประชากรต่อ พื้นที่รวมทั้งหมดจะมีค่าประมาณ 1,023 คน/ตารางกม.

 

 

 

 

 

                                                                               

 

 

วัดร่องมันเทศ เมื่อย้อนประวัติศาสตร์ขึ้นไปจนถึง ปี พ.ศ.1895 ภายหลังจากขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งต่อมาภายหลังได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาที่ 1 ได้ทรงมีชัยชนะต่อขอมที่เป็นกบฏและแผ่ขยายอาณาเขตไทย ขับไล่ขอมให้ออกไปจากดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ ในเขตอิสานตอนใต้ และทรงตั้งเมืองนางรองให้ถือกำเนิดขึ้น อยู่ในขอบขัณฑสีมาแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

 

พร้อมทั้งได้ทรงก่อตั้ง วัดให้เป็นวัดคู่เมืองนางรองขึ้นวัดหนึ่งให้ชื่อว่า "วัดอารามสามัคคี" ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า"วัดร่องมันเทศ" แต่ก่อสร้างยังไม่ทันเสร็จ พระองค์ก็ทรงยกทัพกลับคืนกรุงศรีอยุธยา เพราะมีข้าศึกมอญมาประชิดเมืองทางด้านประจิมทิศแต่เหล่าชาวประชาผู้คนชาวเมืองนางรอง ก็ได้สืบสานก่อสร้างและทำนุบำรุงรักษากันต่อๆมา

 

แม้บางช่วงบางตอนจะถูกทอดทิ้งรกร้างไปบ้าง อาจจะเป็นด้วยเหตุผลจากการบ้านการเมืองก็ตาม แต่ในปัจจุบันก็เป็นวัดที่สมบูรณ์ไปด้วยศาสนสถานต่างๆ และเป็นศูนย์รวมแห่งชาวพุทธที่อยู่ในบริเวณนั้น และยังเป็นความภาคภูมิใจ และรำรึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณขององค์ขุนหลวงพะงั่ว พระผู้ให้กำเนิดบ้านเมืองนี้ให้อยูในจิตใจของผู้คนพลเมืองนางรองตลอดไป

 

 

 

 

 

 

 

  

วัดกลางนางรอง เป็นวัดที่ถือกำเนิดขึ้นภายหลังวัดร่องมันเทศประมาณ 250 ปี
ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ ในปี พ.ศ. 2136 ทั้ง
สองจอมกษัตริย์ได้ยาตราทัพออกจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปปราบพระยาละแวกโดยเดิน
ทัพผ่านมาทางเมืองโคราชเข้าสู่ตัวเมืองนางรอง ก่อนที่จะเข้าไปยังกัมพูชา

 

ทั้งสองพระองค์ได้ทรงปลูกต้นโพธิ์ไว้เป็นอนุสรณ์ข้าพลับพลาที่ประทับ องค์ละ 1 ต้น เมื่อ
บ้านเมืองว่างเว้นต่อการศึก บรรดาขุนทหารที่เคยมาพักไพร่พลที่เมืองนางรองได้รับ
พระบรมราชานุญาตใหพาไพร่พลเดินทางกลับมาเยี่ยมเมืองนางรองเพื่อตอบแทน
คุณงามความดีของชาวเมืองโดยการสร้างวัดให้ ณ ที่ตั้งพลับพลาที่ประทับของ 2
กษัตริย์ ชื่อว่า วัดกลาง เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของพระองค์ท่าน ต้นโพธิ์ขณะนี้ยังเหลือ
อยู่ 2 ต้น ทางทิศเหนือใกล้กับอุโบสถหลังใหม่

 

 

 

 

 

 

วัดขุนก้อง สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระ เอกาทสรถแห่งกรุงศีรอยุทธยา โดยขุนก้อง นายทหารผู้ควบคุมกองเสบียง ที่ตามเสด็จสองจอมกบัตริย์ เมื่อครั้งยกกองทัพไปปราบเขมร พระอุโบสถหลังนี้ แต่เดิมมีคูเมืองอยู่ด้านตะวันออก ปัจจุบันกลายสภาพเป้นเพียงสระน้ำในวัด และเชื่อว่าเป็น กองบัญชาการฝ่ายเสบียงของกองทัพในช่วงศึกสงคราม

 วัดขุนก้อง ตั้งอยู่บน ถ.สายโชคชัย-เดชอุดม หมู่ 5 บ้านทุ่งโคกหลวงพ่อ ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ของจังหวัดบุรีรัมย์แห่งหนึ่ง กล่าวคือ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าพระยาจักรี ยกทัพมาปราบพระยานางรองและเจ้าโอ เจ้าอินอุปฮาดเมืองนครจำปาศักดิ์ และได้จับพระยานางรองไปประหารบริเวณวัดขุนก้องปัจจุบันนี้ ลักษณะสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น คือ หลังคามีมุขประเจิด หลังคามุงด้วยสังกะสี หน้าจั่วไม้ กระดานแนวนอน มีลายฉลุปลายป้านลม และระบายชายมุขประเจิด ตัวโบสถ์ก่ออิฐถือปูน อิฐก้อนใหญ่ฐานมีร่องรอยศิลาแลง ซึ่งอาจนำมาจากศาสนสถานอื่น ๆ

 

 

 

 

 

 

                        

 

         

 

วัดถนนหัก (ศีลวิสุทธาราม) ตั้งเมื่อ ปี พ.ศ.2412 อยู่ที่บ้านถนนหัก ถนนวิสุทธาราม ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินที่ตั้งวัดมีเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 22 ตารางวา มีอาณาเขตติต่อสวนสาธารณะทั้ง 4 ด้าน ลักษณะพื้นที่ตั้งวัดและบริเวณเป็นที่ราบลุ่ม

พระอุปัญญาย์เพียร ศีลวิสุตโต หรือหลวงปู่เพียร อดีตเจ้าอาวาสวัดถนนหัก เป็นบุตรคนที่ 3 ของนายเกิด - นางปาน มาประจวบ เกิดเมื่อวันที่ใด ไม่ปรากฏหลักฐาน ทราบว่าตรงกับเดือนเมษายน พ.ศ.2413 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะแม ที่บ้านมะตูม หมู่ที่ 11 (บ้านถนนหักตำบลนางรองในสมัยนั้น)

ลอดเกวียนหลวงพ่อเพียร

หลวงพ่อเพียร ศีลวิสุทโต เกจิอาจารย์อีสานใต้วัดถนนหัก ต.ถนนหัก อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์เป็นวัดที่อยู่ในเขตเทศบาลเมืองนางรองท่านได้มรณภาพไปนานแล้วแต่ศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนยังระลึกถึงและสักการะบูชายกย่องท่านเป็นยอดวิทยาคมด้านอยู่ยงคงกระพันและเมตตามหานิยม

เมื่อครั้งดำรงอยู่ในสมณเพศ ท่านเป็นอุปปัชฌาย์จารย์ในสมัยโบราณจะเดินทางจากวัดถนนหักไปวัดอื่นๆเพื่อทำหน้าที่อุปัชฌาย์อุปสมบทภิกษุท่านจะนั่งเกวียนออกไปและเกวียนนังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดถนนหักและเชื่อกันว่าพุทธศาสนิกชนท่านใดได้ลอดเกวียนหลวงพ่อเพียรแล้วจะหมดทุกข์โศกโรคภัยทั้งปวงจะประสบแต่สิ่งดีงามตลอดไป

 

 

 

 

 

    

 

วัดป่าเรไร (วัดโจด) พระราชมนูเป็นทหารกองหน้าของสมเด็จพระนเรศวรและนายแก้วผู้เป็นลุง ได้นำพลมาพักที่เนินแห่งนี้ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าลำดวน และต้นโจดเมื่อยกกองทัพไปปราบเขมรจนสงบราบคาบแล้วขากลับก็แวะพักที่บริเวณนี้อีก นายแก้วได้บวชและปลูกต้นโพธิ์ไว้คนละต้นพระภิกษุแก้วจึงพำนักอยู่บริเวณนี้เรื่อยมาบริเวณนี้เคยเรียกว่าเนินวัดชัยมงคลต่อมาเรียกว่าเนินวัดป่าเรไรซึ่งมีหลักฐานว่าสร้างเมื่อ พ.ศ. 2210

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

      

 

อ่างเก็บน้ำทุ่งแหลม ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 24 ห่างจากอำเภอนางรอง 4 กิโลเมตร ระหว่างทางไปปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้เป็นจุดแวะพักริมทาง มีศาลาริมน้ำรับลมเย็นสบาย และในฤดูแล้งมีฝูงนกเป็ดน้ำจำนวนมากมายอาศัยอยู่ที่อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ด้วย

 

 

 

เสน่ห์ภาษานางรอง

ภาษานางรองมีความละม้ายคล้ายคลึงกับภาษาโคราชซึ่งเรียกว่า"ไทยเบิ้ง"จะมีบางคำที่เพี้ยนไป
และความหมายเปลี่ยนไปพึงสันนิษฐานได้ว่าภาษานางรองมีวิวัฒนาการมาจากภาษาโคราชซึ่งเป็นภาษาถิ่น
เดียวกันตัวอย่างภาษานางรอง

 

คำว่า เดิ่น (คำนาม) ความหมาย สนามดินที่ราบเรียบบริเวณกว้าง เช่น
เดิ่นบ้าน หมายถึง ลานบ้าน
เดิ่นวัด หมายถึง ลานวัด

 

คำว่า งวม (กริยา) ความหมาย การคว่ำลง เช่น
งวมชาม หมายถึง คว่ำชามเอาด้านหน้าลงเอาก้นขึ้น
งวมฝา หมายถึง คว่ำฝาลง

 

คำว่า งึด (กริยา) ความหมาย สงสัย สนเท่ห์ เคลือบแคลง ไม่แน่ใจ เช่น
งึ่ดใจ หมายถึง สงสัยเป็นยิ่งนักเป็นต้น

 

คำว่า กะเหวา(กริยา)ความหมาย ข่วนขีดหรือขูดด้วยของแหลมเล็กประเภทหนามหรือเล็บ
เช่น โดนแมวกะเหวา หมายถึง ถูกแมวข่วน เป็นต้น

 

คำว่า เตลิด (วิเศษณ์) ความหมาย เกิน พ้น เลยไปไกล เช่น
เตลิดแล้ว หมายถึง เลยไปแล้ว
เตลิดไอ๋ไกลปะหนี่ หมายถึง ทำไมจึงมาไกลจังเลย เป็นต้น

 

คำว่า คยึ่ก (กริยา) ความหมาย เร่งรีบ ด่วน เร็ว ไม่รอช้า เร่งไปโดยเร็ว เช่น
คยึ่กเข่าถั๊ว หมายถึง รีบเร่งทำให้เร็วเข้า

 

คำว่า จั๊ก (กริยา) ความหมาย เจียก การใช้มีดฝ่าให้เป็นชิ้น เช่น
จั๊กไม้ หมายถึง การเจียกไม้ไฝ่เพื่อเกลาให้ผิวเรียบ
จั๊กตอก หมายถึง การเจียกไม้ไผ่ปล้องเล็กให้เป็นแผ่นบางสำหรับใช้มัดของ
เช่น มัดข้าวต้ม มัดกล้าข้าว เป็นต้น

 

คำว่า จั๊กเด่ (อุทาน) ความหมาย ไม่รู้ ไม่สามารถตอบได้ ไม่ทราบได้

คำว่า จั๊กไอ๋เหย๋อะ (อุทาน) ความหมาย ทำอะไรอย่างนั้น ไม่รู้เอาเสียเลยหรือ

 

 

 

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในขณะที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ในระหว่างการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อมาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ หลังรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มีผลบังคับใช้ ได้มีความ เคลื่อนไหวในส่วนของสภาเกี่ยวกับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพให้กับอดีตสมาชิกรัฐสภาโดยล่าสุดเจ้าหน้าที่สภาได้รับคำสั่งจากคสช. ให้ชะลอการจ่ายกองทุนเบี้ยยังชีพของอดีตสมาชิกรัฐสภารวมถึงค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า จะปรึกษาฝ่ายกฎหมายก่อนทำให้ในสิ้นเดือนนี้อดีตสมาชิกรัฐสภาที่เป็นสมาชิกในกองทุนนี้จะไม่ได้รับเบี้ยยังชีพตามสิทธิที่ได้รับตามพ.ร.บ.กองทุน เพื่ออดีตสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2556 ซึ่งกำหนดให้สมาชิกรัฐสภาจ่ายเงิน 5 % ของเงินเดือนเข้ากองทุน และ รัฐอุดหนุนส่วนหนึ่งโดยสมาชิกรัฐสภาจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือนเมื่อพ้นตำแหน่ง ซึ่งผู้ที่เป็นสมาชิกรัฐสภาก่อนกฎหมายบังคับใช้จะได้เดือนละ15,000 บาท ส่วนสมาชิกรัฐสภาที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามพ.ร.บ.นี้จะได้รับเงินในลักษณะขั้นบันไดตามวาระของการดำรงตำแหน่ง โดยอยู่ที่ประมาณ 21,000-42,000 บาทต่อเดือน

 

 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่การเงินของรัฐสภาได้รับคำยืนยันว่า มีคำสั่งให้ชะลอการจ่ายเงินดังกล่าวจริงโดยได้รับข้อมูลว่า เป็นคำสั่งจาก คสช.แต่ไม่ทราบรายละเอียดทำให้ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่มีอดีตสมาชิกรัฐสภามาเบิกได้และตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปคงไม่มีการโอนเงินเบี้ยยังชีพเข้าบัญชีอดีตสมาชิกรัฐสภาจนกว่า จะมีคำสั่งยกเลิกการชะลอการจ่ายเงินในส่วนนี้นอกจากนี้อดีตสมาชิกรัฐสภาหลายคนยืนยันตรงกันว่า ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับคำสั่งคสช.ดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ทราบเหตุผลซึ่งคงต้องติดตามต่อไปว่าคสช.จะมีนโยบายในเรื่องนี้อย่างไร

 

 ทั้งนี้นายบุญยอด สุขถิ่นไทย อดีตกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า คสช.อาจมองว่านักการเมือง คือ ตัวปัญหา แต่อยากให้ความเป็นธรรม เพราะนักการเมืองไม่ได้เลวทุกคน และมีนักการเมืองสุจริตจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นนอกจากการทำงานการเมืองในฐานะเป็นตัวแทนประชาชน และส่งเงินเข้ากองทุนเหมือนเป็นเงินออม ไม่แตกต่างไปจากพนักงานบริษัทหรือข้าราชการ จึงเห็นว่า คสช.เป็นข้าราชการน่าจะเข้าใจเพราะมีบำเหน็จบำนาญไม่ควรมองว่า นักการเมืองเลวหมดไม่ควรได้อะไรเลย จึงอยากให้คสช.ทบทวนเรื่องนี้ เพราะการกำหนดนโยบายแบบเหมารวมเพื่อให้นักการเมืองอ่อนแอจะไม่ใช่การสกัดคนเลวแต่กลายเป็นการขจัดคนดีที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์ในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน.

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:56:59 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>