สำนัก ข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ MH17 ได้ขาดการติดต่อจากศูนย์ควบคุมการบินประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเครื่องบินลำดังกล่าวได้บินขึ้นออกจากสนามบินกรุงอัมสเตอร์ดัม เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งจับสัญญาณสุดท้ายของเที่ยวบิน MH17 ได้อยู่บริเวณชายแดนประเทศยูเครน – รัสเซีย ทางตะวันออกของยูเครน ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบระหว่างกองทัพยูเครนและกองกำลังติดอาวุธที่ฝักใฝ่รัสเซีย
ด้านที่ปรึกษา รมว.มหาดไทยยูเครน เผย เครื่องบิน MH17 มาเลเซียแอร์ไลน์ ถูกยิงโดยมิสไซล์ที่ความสูง 33,000 ฟุต หรือ เท่ากับ 10 กิโลเมตรจากพื้นดิน
ล่าสุด! มีชาวเมืองโดเนตสค์ ประเทศยูเครน ได้บันทึกภาพเหตุการณ์ หลังเครื่องบินตกเอาไว้ได้ พร้อมระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงด้วยขีปนาวุธจากพื้นดิน ทั้งนี้เครื่องบินลำดังกล่าว ประกอบด้วยผู้โดยสารและลูกเรือ 295 คน ซึ่งเสียชีวิตยกลำ
นายกมาเลย์ช็อก!ลั่นหาผู้ก่อเหตุ-กต.ไทยเร่งประสาน
สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรี นาจิ๊บ ราซัค ผู้นำมาเลเซีย ได้ทวิตในทวิตเตอร์ ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประกาศชัดเจนว่าทางการจะจัดตั้งหน่วยงาน เพื่อสืบสวนเรื่องนี้ทันทีเพื่อหาผู้ก่อเหตุในครั้งนี้
ใน ขณะที่ สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ประกาศยกเลิก10เที่ยวบิน 5ขาเข้า5ขาออก รวมที่จะบินจากกัวลาลัมเปอร์มาจังหวัดกระบี่ ในขณะที่ทางการฝรั่งเศส,ตุรกี, เยอรมัน สั่งการให้สายการบินแห่งชาติแอร์ฟรานซ์ ,เตอร์กิชแอร์และลุฟท์ฮันซ่า เลี่ยงการบินผ่านพื้นที่ยูเครน จนกว่าจะทราบสาเหตุการตกของ MH17
ขณะ ที่ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทย 3 แห่ง คือ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศต้นทาง สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโคว ประเทศรัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่เครื่องบินสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลนส์ ตก และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศเจ้าของสายการบิน ให้ทำการติดต่อกับทางสายการบินดังกล่าว เพื่อหาทางตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารว่ามีคนไทยอยู่ด้วยหรือไม่โดยเร็วที่ สุด ทั้งนี้ ประเทศไทยขอแสดงความเสียใจกับมาเลเซียที่เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นด้วย
โฆษกกระทรวงต่างประเทศ เผย ไร้คนไทยบนเครื่องบิน MH17 ที่ถูกยิงตกยูเครน พร้อมร่วมมาเลเซีย พิสูจน์สัญชาติ 47 ศพ
นาย เสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผย ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า กรณีที่เครื่องบินโดยสาร สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส (Malaysia Airlines) เที่ยวบิน MH17 ถูกขีปนาวุธยิงตกในประเทศยูเครน จนมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 298 คนนั้น ล่าสุด สถานทูตไทยประจำประเทศมาเลเซียได้รายงาน หลังจากนั่งโต๊ะแถลงข่าวร่วมกับนายกฯมาเลเซียว่า ยังไม่มีคนไทยบนเครื่องบินลำดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย พร้อมที่จะช่วยเหลือประเทศมาเลเซีย ในการพิสูจน์สัญชาติผู้โดยสารอีก 47 คน ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้สถานทูตไทย ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์และกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เข้าช่วยเหลือด้วย
โอบาม่าแถลงยิงบินมาเลย์สุดเลวร้ายลั่นนำศพชาวUSกลับ
สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า ผู้นำสหรัฐ ได้ทราบเหตุการณ์ยิงเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง777 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 แล้วและได้สั่งให้เจ้าหน้าที่อาวุโสสหรัฐฯทำงานร่วมกับยูเครนอย่างใกล้ ชิด และได้ประกาศเตรียมส่ง กำลังทหารและเจ้าหน้าที่สหรัฐ ไปยังจุดเครื่องบินตกเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุและร่างของพลเรือนสหรัฐที่เสีย ชีวิตในเหตุการณ์นี้ ทั้งนี้มีรายงานข่าว จากหลายสื่อต่างประเทศรายงานตรงกันว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า และ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้ต่อสายตรงถึงกันเพื่อหารือกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
ทั้ง นี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ได้กล่าวถึงโศกนาฏกรรมครั้งนี้ว่า เป็นเรื่องเลวร้ายอย่างที่สุด และมีชาวอเมริกันอยู่บนเครื่องด้วย และสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง เพื่อค้นหาชาวอเมริกันที่เสียชีวิตในครั้งนี้ และจะนำศพของชาวอเมริกันกลับบ้านให้ได้
ขณะที่สำนักงานฝ่าย สื่อของรัฐสภาเครมลิน รายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ออกมาได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อนายกรัฐมนตรี นาจิ๊บ ราซัค ผู้นำมาเลเซียแล้ว
ด้าน นายอเล็กซานเดอร์ โบราได หัววหน้ากลุ่มกบฎแบ่งแยกดินแดนภาคตะวันออกยูเครน เผยต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ รอสซิยา 24 ของทางการรัสเซีย อ้างว่ากองทัพอากาศยูเครนเป็นผู้ยิงเครื่องบินโดยสารของ มาเลเซียตก ส่วนผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ เผยว่า เห็นซากเครื่องบินลำดังกล่าวบนพื้นดิน ไฟกำลังลุกไหม้ เศษซากชิ้นส่วนเครื่องบินกระจายตกในรัศมีประมาณ 15 กิโลเมตร และเห็นผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100 ศพศพ ในเขตหมู่บ้านกราโบโว ห่างจากเขตแดนรัสเซียประมาณ 40 กิโลเมตร และพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในการยึดครองของกลุ่มกบฎฝักใฝ่รัสเซีย
USแถลงมีพลเรือน23ราย-ฮอลแลนด์154เด็ก80
สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางเจน ซากี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ชาวโลกร่วมไว้อาลัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง เครื่องบินโดยสาร มาเลเซีย เที่ยวบิน MH17 ถูกยิงตกที่พรมแดน ยูเครน ในพื้นที่ที่มีกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนเข้าควบคุมพื้นที่อยู่โดยมีการยืนยัน แล้วว่า มีพลเมือง สหรัฐ 23 ราย อยู่บนเครื่องบินลำดังกล่าว และไม่มีใครรอดเสียชีวิตจากเหตุการณช็อกโลกครั้งนี้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของสนามบิน ได้ออกมาเปิดเผยว่า มีผู้โดยสารบนเครื่องบิน สายการบิน ทั้งหมดจำนวน 280 คน และมีลูกเรือของสายการบิน อีก 15 คน ด้วยกัน
ทั้งนี้ 154 คน เป็นผู้โดยสารชาวเนเธอร์แลนด์, ชาวออสเตรเลีย 27 คน,ชาวมาเลเซีย 23 คน, ชาวอินโดนีเซีย 11 คน ชาวอังกฤษ 6 คน, เป็นชาวเยอรมัน 4 คน, เป็นชาวเบลเยียม 4 คน, มาจาก ฟิลิปปินส์ 3 คน และเป็นชาวแคนาดา อีก 1 คน นอกจากนี้ ยังมีจากสัญชาติอื่นๆ ที่ยังไม่ได้นับอีกจำนวนหนึ่งและที่น่าสลดใจมากที่สุดเมื่อจำนวนผู้โดยสารบน เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเด็กถึง80ราย
ยูเครนระบุดักฟังกลุ่มกบฏยิงบินมาเลย์-พบกล่องดำ
สำนัก ข่าวบีบีซี รายงานว่า หน่วยงานความมั่นคงยูเครน ได้ออกมาอ้างว่า ได้ดักฟังการสนทนาระหว่างกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนที่นิยมรัสเซียได้ ว่าโดยพวก เขากำลังคุยกันเรื่องยิงเครื่องบินพลเรือนลำหนึ่งตก แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็น MH17 ของมาเลเซียหรือไม่ซึ่งทาง SBU หรือ หน่วยงานความั่นคงยูเครน เผยแพร่ คลิป เสียง ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็นบทสนทนาระหว่างกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนฝักฝ่ายรัสเซีย ที่เอสบียูดักฟังได้ลงบนเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งต่อมาได้ถูกลบไปแล้ว
โดยกลุ่ม กบฏ 2 คนพูดคุยกันในทำนองว่า พวกเขายิงเครื่องบินพลเรือนตก เริ่มจากเสียงพูดของ อิกอร์ เบซเลอร์ แกนนำคนสำคัญของฝ่ายกบฏ บอกกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัสเซียทางโทรศัพท์ว่า พวกเขายิงเครื่องบินลำหนึ่งตกจากนั้นก็มีเสียงนักรบกลุ่มติดอาวุธอีกหนึ่ง ซึ่งมีช่อเล่นว่า เมเยอร์ พูดว่าเครื่องบินดังกล่าวถูกยิงตกโดยกลุ่มกลุ่มทหารในยูเครนและทางใต้ของรัส เซีย และกล่าวต่อว่า เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินพลเรือนอย่างแน่นอน และมีผู้โดยสารมาด้วยจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ในโลกออนไลน์อย่าง ทวิตเตอร์ ที่รายงานออกมาเป็นภาษารัสเซีย ซึ่งระบุว่า นาย อิกอร์ เกอร์คิน ผู้นำกบฎในโดเน็ตสก์ ว่าเป็นผู้ยิงเครื่องบินสายการบินมาเลเซียMH17 เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเครื่องบินของ แต่ทั้งนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการและทางสื่อต่างประเทศโดยตรงว่า กลุ่มของนาย เกอร์คิน เป็นผู้ก่อนเหตุช็อกโลกครั้งนี้ ด้าน สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ได้พบกล่องดำเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบินMH 17 แล้ว ตกอยู่ห่างจากชายแดนรัสเซียราว 60 กิโลเมตรในพื้นที่ครอบครองของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนที่นิยมรัสเซีย
MH17
เครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ MH17
สายการบิน มาเลเซียแอร์ไลน์ สายการบินประจำชาติของมาเลเซีย ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในฝั่งเอเซียว่ามีมาตรฐานระดับ 5 ดาว และกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย เช่น International Airlines of The Year เมื่อปี 2541, Best South-East Asian Airline เมื่อปี 2548-2549 ปัจจุบันมีเครื่องบินประจำการอยู่ทั้งหมด 94 ลำ
แต่ในปี 2557 ข่าวไม่สู้ดีนักของมาเลเซียแอรไลน์ เพราะเพียงครึ่งปีแรกเกิดอุบัติเหตุต่อเนื่องรวมกันถึง 4 ครั้ง ผู้โดยสารรอดปลอดภัย 2 ครั้ง สูญหายยกลำ 1 ครั้ง และเสียชีวิตยกลำ 1 ครั้ง ทาง MThai News จึงขอพาย้อนอ่านไทม์ไลน์ว่า ในครึ่งปี 2557 เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญใดบ้างกับสายการบิน มาเลเซียแอร์ไลน์
เริ่มที่เหตุการณ์แรก 8 มีนาคมเที่ยวบิน MH370 เส้นทางจากกัวลาลัมเปอร์มุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง บินด้วยเครื่อง Boeing 777-200 ผู้โดยสารจำนวน 239 คน สูญหายอย่างไร้ร่องรอยขณะบินอยู่เหนืออ่าวไทย ซึ่งทางการมาเลเซียแถลงข่าวสรุปว่าเครื่องบินสูญหายที่บริเวณกลางมหาสมุทรอินเดีย และได้มีการระดมทีมค้นหาจากนานาชาติ ซึ่งมีนิวซีแลนด์และออสเตรเลียเป็นทีมงานหลัก จน ขณะนี้เป็นเวลาผ่านไป 5 เดือนก็ยังไม่มีวี่แววการพบซากของเครื่องบินลำดังกล่าวแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อวันที่ 23 มีนาคมเครื่องบิน เที่ยวบิน MH114 เส้นทางกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงกาฐมาณฑุ เนปาล บินด้วยเครื่อง Boeing 737-800 ชนเข้ากับฝูงนกเป็ดน้ำ ขณะกำลังร่อนลงจอด แต่กัปตันสามารถนำเครื่องบิลงจอดได้โดยปลอดภัย ข่าวดังกล่าวไม่มีรายงานความเสียหาย ซึ่งสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ออกแถลงปฏิเสธรายงาน โดยระบุว่า ส่วนที่แตกเป็นกระจกครอบไฟส่องลงจอด ไม่ใช่กระจกห้องนักบิน
เหตุการณ์ที่ 3 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม เที่ยวบิน MH066 เส้นทางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังสนามบินอินชอน กรุงโซล บินด้วยเครื่อง เครื่องบิน Airbus A330-300 เครื่องเกิดปัญหาระบบไฟฟ้าขัดข้องทำให้นักบินที่นำเครื่องบินอยู่กลางอากาศตัดสินใจเบี้ยงเส้นทางขอนำเครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติฮ่องกงแทน เหตุการณ์นี้ไม่ผู้โดยสารปลอดภัยและไม่มีรายงานความเสียหาย
เหตุการณ์ล่าสุด เที่ยวบิน MH017 เส้นทางจากกรุงอัมสเตอร์ดัม ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย บินด้วยเครื่อง Boeing 777-200ER ถูกขีปนาวุธยิงตกในประเทศยูเครน ใกล้กับพรมแดนของรัสเซีย ผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่ 295 คนเสียชีวิตยกลำ
ค่อนข้างแน่นอนว่า เครื่องบินของมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตกด้วยบัค จรวดยุคโซเวียต แต่รัสเซียกับยูเครนต่างโยนกลองว่า อีกฝ่ายเป็นคนผิด ในเบื้องต้น โฟกัสพุ่งไปที่พวกกบฏยูเครนที่มอสโกหนุนหลัง
ทั้งรัสเซีย ยูเครน และพวกกบฏที่พูดรัสเซีย ล้วนมีจรวด SA-11 Buk อยู่ในมือ เมื่อโบอิง 777 ลำนี้ถูกยิงตกทางตะวันออกของยูเครนเมื่อวันพฤหัสบดี เกิดคำถามในทันทีว่า ฝีมือใคร
บรรดานักวิเคราะห์และเจ้าหน้าที่ของชาติตะวันตก มองว่า หลักฐานแวดล้อมบ่งบอกว่า พวกแบ่งแยกดินแดนยูเครนเป็นคนลงมือ ขณะเครื่องบินซึ่งมีคนบนเครื่อง 298 คน กำลังบินจากกรุงอัมสเตอร์ดัมมุ่งหน้ากรุงกัวลาลัมเปอร์ เบื้องต้นคาดว่าผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด
พวกกบฏเคยใช้จรวดภาคพื้นสู่อากาศ บัค ยิงอากาศยานมาแล้ว เมื่อวันจันทร์ เพิ่งยิงเครื่องบิน อันโตนอฟ เอเอ็น-26 ของยูเครน ตกลำหนึ่ง และขณะเที่ยวบิน MH17 ของมาเลเซียลำนี้ตกนั้น พวกกบฏคุยโอ่ว่า เพิ่งสอยเครื่องบินได้อีกลำ
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า จรวดนำทางด้วยเรดาร์จากยุคทศวรรษ 1970 ในครอบครองของพวกกบฏ มาจากการสนับสนุนของรัสเซีย หรือเป็นอาวุธที่ยึดมาจากกองทัพยูเครน
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน สำนักข่าวในรัสเซีย ITAR-TASS อ้างการเปิดเผยของพวกแบ่งแยกดินแดนทางตะวันออกของยูเครน ไม่ไกลจากจุดตกของเครื่องบินมาเลเซีย ว่า พวกตนยึดระบบป้องกันจรวดได้ชุดหนึ่ง มีระบบบัครวมอยู่ด้วย
เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยของยูเครน อันตัน การาสเชนโก บอกภายหลังเครื่องของมาเลเซียตก ว่า จรวดยิงเครื่องบิน บัค ชุดที่ใช้ยิงนี้ ได้จากการสนับสนุนของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน
ตรงกันข้าม รัสเซียโทษยูเครน สำนักข่าว RIA Novosti ในกรุงมอสโก อ้างแหล่งข่าวระบุว่า กองพันทหารบกของยูเครนได้ติดตั้งระบบบัคชุดหนึ่งใกล้กับเมืองโดเนตสค์ก่อน เหตุเครื่องบินตกดังกล่าวหนึ่งวัน เชื่อว่าจรวดที่ยิงโบอิง 777 มาจากชุดนี้ พร้อมกับบอกว่า พวกกบฏทางตะวันออกของยูเครนไม่มีระบบบัค
@ ทหารยูเครนเคลื่อนย้ายระบบจรวด บัค ที่เมืองสลอฟยานสค์ ทางตะวันออกของยูเครน เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม
แซมมวล คารัป อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ นักวิจัยของสถาบันยุทศาสตร์ศึกษาระหว่างประเทศ (IISS) ในกรุงวอชิงตัน บอกว่า ถ้าพวกกบฏมีบัค คงไม่ได้รับการฝึกดีเท่าที่ควร ดังนั้น อาจสำคัญผิดในเป้าหมาย นึกว่าเครื่องบินของมาเลเซียเป็นเครื่องบินทหารของยูเครน ก็เป็นได้
นิค เดอ ลาร์รินนากา นักวิเคราะห์ของนิตยสาร HIS Jane's Defence บอกว่า จรวดประทับไหล่ยิง ที่พวกกบฏใช้กันทั่วไปในภาคตะวันออกของยูเครน คงจะยิงเครื่องบินที่ระดับความสูงปกติไม่ถึง เครื่องบินพาณิชย์ลำนี้อยู่ในระยะยิงของบัค หรือจรวดรัสเซียอีกรุ่นหนึ่ง คือ S-300
ระบบบัค ซึ่งหมายถึงไม้บีชในภาษารัสเซีย ประกอบด้วยจรวด 4 ลูกบนแท่นยิงหมุนได้ ติดตั้งบนรถตีนตะขาบ และมีรถตีนตะขาบอีกคันติดตั้งเรดาร์เตือนภัยล่วงหน้า ตัวจรวดยาว 5.7 เมตร หนัก 55 ก.ก. ยิงได้ไกลสุด 28 ก.ม.
เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐผู้หนึ่ง เชื่อว่า กบฏยูเครนเป็นคนยิง โดยอ้างหลักฐานแวดล้อมเป็นการคุยโอ่ทางโซเชียลมีเดียของผู้บัญชาการฝ่ายกบฏ อิกอร์ เกอร์คิน ซึ่งใช้นามจรยุทธ์ว่า สเตรลคอฟ ที่บอกว่า พวกตนยิงเครื่องบินตกไปลำหนึ่ง สหรัฐเชื่อว่าโพสต์นี้เป็นของจริง
เจ้าหน้าที่อเมริกันอีกคนบอก "รัสเซียกับพันธมิตรต้องหาคำแก้ตัวให้ดีในเรื่องคำโอ่ของเกอร์คิน แต่เห็นทีจะดิ้นไม่หลุด".
‘ยิ่งลักษณ์’เปิดใจย้ำปปช.เร่งตัดสินจำนำข้าวไม่เป็นธรรม เลือกฟังแต่พยานปฏิปักษ์ น้ำตาซึมลั่นไม่คิดหนีคดี!
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd05UWTJOell5Tmc9PQ==&subcatid=
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 18 ก.ค. ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมด้วยทีมทนายความ ประกอบด้วย นายพิชิต ชื่นบาน นายสมหมาย กู้ทรัพย์ และนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ร่วมแถลงภายหลัง ป.ป.ช. มีมติส่งความเห็นให้อัยการสูงสุดฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฐานละเว้นปฎิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว จนทำให้เกิดความเสียหาย
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่า 1.กระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการพิจารณาที่เร่งรีบ รวบรัด โดยแจ้งข้อกล่าวหาใช้เวลาเพียงแค่ 21 วัน หลังจากนั้นก็ชี้มูลความผิดอาญาต่อดิฉันภายใน 140 วัน ซึ่ง ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิบัติกับคดีอื่นๆ ที่ดำเนินการกับนักการเมืองเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อดิฉัน เมื่อเทียบเคียงกับการดำเนินคดีกับการโครงการประกันราคาข้าว ที่ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการดำเนินการนานไม่น้อยกว่า 4 ปี คดี ปรส ที่ล่าช้าและโครงการทุจริตโรงพักทั่วประเทศ ป.ป.ช.กลับไม่มีความคืบหน้า ถือว่ามิได้มีบรรทัดฐานอย่างเดียวกัน
น.ส.ยิ่งลักษณ กล่าวว่า 2.นอกจากนี้ในการปฏิบัติของ ป.ป.ช.เมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ เห็นว่า คดีนี้มีพฤติการณ์ รวบรัด เป็นกรณีพิเศษ คือ เลือกรับฟังพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวดิฉัน ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมในการเสนอพยานบุคคลที่เป็นส่วนสาระสำคัญ ไม่รอผลการพิสูจน์เรื่องสต็อกข้าวให้เป็นที่สิ้นสุด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องสต็อกข้าว ทั้งๆ ที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ไปร่วมสังเกตการณ์แล้ว ไม่ไต่สวนในข้อเท็จจริงกรณีการลงบันทึกบัญชีที่ยังมีข้อขัดแย้ง และแตกต่างกันของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี และ คณะกรรมการ กขช.ให้เป็นที่สิ้นสุด รวมทั้งกรณีไม่พิจารณาการที่ดิฉันคัดค้านนายวิชา รวม 3 ครั้ง
3.นโยบายรับจำนำข้าวเป็นนโยบายระดับประเทศ นายกฯ ในฐานะฝ่ายบริหารเป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ส่วนในระดับปฏิบัติการนั้น เป็นการทำงานของหน่วยงานต่างๆ หลายหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจน แต่ในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. กลับฟังความข้างเดียว ในขณะที่ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเห็นไม่ตรงกันในข้อเท็จจริง
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า 4.นอกจากนี้การแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ต่อสาธารณะที่ผ่านมา ยืนยันว่าคดีในเรื่องระบายข้าวไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน ทำให้ไม่ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาต่อสู้ และหักล้าง แต่ในข้อวินิจฉัยในการชี้มูลกลับนำข้อเท็จจริงในคดีระบายข้าวมาชี้มูลความผิดกับดิฉันด้วย 5.ที่ผ่านมาดิฉันพยายามชี้แจงและร้องขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวน และสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเป็นธรรม แต่ ป.ป.ช.ปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งที่ข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่อง เช่น ข้าวเสื่อมสภาพและข้าวหาย หน่วยงานที่ควบคุมดูแลสต็อกข้าว ทั้ง อ.ค.ส. และ อ.ต.ก. ได้ทำสัญญาต่างๆ กับเจ้าของคลังสินค้าและบริษัทประกัน รับผิดชอบค่าเสียหาย หากเกิดกรณีข้าวสูญหาย และการเสื่อมสภาพข้าวที่ผิดปกติธรรมชาติ ดังนั้นการกล่าวอ้างเรื่องรัฐมีความเสียหายจากข้าวหายและข้าวเสื่อมคุณภาพ จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า 6.ขอตั้งข้อสังเกตว่า การกล่าวหาและการไต่สวนของ ป.ป.ช.ได้นำพยานหลักฐานและไต่สวนพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อดิฉัน และเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันได้พยายามเสนอพยานหลักฐานต่างๆ แต่ ป.ป.ช.กลับละเลยและปฏิเสธที่จะไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
7.ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าดิฉันจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะหนีคดีต่างๆ นั้น ขอยืนยันว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางส่วนตัว และมีกำหนดการไปกลับที่ชัดเจนและมีการเตรียมการล่วงหน้าแล้วก่อนที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอย่างเร่งด่วน
“วันนี้ดิฉันเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้ว ควรจะมีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงประชาชนคนไทยทั่วไป ขอยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะกลับมาประเทศไทยแน่นอน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อแถลงเสร็จได้เดินออกจากห้องแถลงข่าวทันที โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน
ปูถูกบีบให้ลี้ภัยและจะโดนยึดทรัพย์..เกมส์ที่ต้องแก้
การเปิดทางให้ปูออกนอกได้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ตามมาด้วยปปช.ชี้มูลความผิดเพื่อชงเรื่องขึ้นสู่ศาลฎีกาเพื่อเข้าสู่หลักประหารยึดทรัพย์ติดคุก... ศาลที่จะพิจารณาคดีมีความน่าเชื่อถือขนาดไหน.. คดีที่ขึ้นศาลนี้เป็นศาลเดียวไม่มีอุธรณ์ฎีกา.. ระหว่างการสอบสวนของปปช. ไม่ยอมให้เพิ่มพยาน.. ร้องขอให้เปลี่ยนตัวผู้พิจารณาไม่ได้รับการตอบสนองผู้พิจารณาเคยถูกไล่ออกจากราชการ.. คดีที่ตัดสินเบาบางในฐานะรู้ว่าจะเสียหายแต่ไม่ยับยั้ง..
ขอโทษปรส.ที่ปล่อยหมดอายุความปปช.รู้ว่าเกิดความเสียหายแต่ปล่อยให้หมดอายุความเหมือนกันหรือไม่.. กรณียิ่งลักษณ์ถูกบีบไม่ให้ขายข้าว แม้จีนพร้อมจะรับซื้อก็ยังบีบยังร้องบริษัทจีน.. ด้วยข้อหาไม่ใช่จีทูจี.. กูถามหน่อยใครมาซื้อข้าวต้องให้พวกมึงเลือกด้วยหรือ ใครจะซื้อจะขายข้าว ต้องให้มึงอนุญาติแล้วจะมีรัฐบาลมีรัฐมนตรีพาณิชย์ไว้ทำเอี้ยไร..
ข้าวก็ยังไม่ได้ขายออกยืดเวลาจนข้าวหมดอายุในที่สุดก็เสื่อม..ขายไม่ได้ราคา แล้วก็ให้ยิ่งลักษณ์รับผิดชอบ.. ส้นตีนแน่ะ.. ระหว่างนี้ก็ขนข้าวออกเพื่อโยนความผิดให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ข้าวหายข้าวเน่า มาแผนเดิมๆ ทีมงานข้าวเน่าเจ้าเดิม บ้านอยู่พิษณุโลก..เสือกมีตาทิพย์รู้เห็นข้าวหายข้าวเน่าในโกดังที่ปทุม.. ไม่มีใครสงสัย..มันรู้ได้ไง....
ถูกแมงมุมกัดขณะนอนหลับ จนพิษไข้กระจายทั่วตัว
ทางด้าน นพ.เอกชัย อนันตพรรค แพทย์ที่รักษาคนไข้ เผยว่า คนไข้ถูกส่งต่อมาจาก รพ.สมเด็จพระยุพราชเด่นชัย เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีอาการเริ่มหนัก บาดแผลเหวอะหวะ โดยรับทราบว่า คนไข้ถูกแมงมุมกัดเข้าที่บริเวณขาและที่หลังเท้ามาก่อน ซึ่งหลังจากที่ญาติได้นำแมงมุมที่กัดใส่ถุงมาตรวจสอบ เบื้องต้นตามลักษณะอาการน่าจะเป็นแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม จากการสอบถาม นางสิงห์คาร เวียงคำ ภรรยาของคนไข้ บอกว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะนายอุทัย สามี เข้านอน ก็ถูกแมงมุมกัดเข้าที่หลังเท้าก่อน และเมื่อเก็บผ้าห่มออกก็ถูกแมงมุมกัดเข้าที่น่องซ้ายอีก จากนั้นก็พยายามหาตัวแมงมุม เมื่อพบแล้วก็ขยี้ให้ตาย แล้วเก็บใส่ถุงไว้ แต่ญาติไม่ได้พาส่งโรงพยาบาล
กระทั่งวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 18.00 น. คนไข้มีอาการปวดและแผลเริ่มแยกออกจากกัน จึงรีบพาไป รพ.สมเด็จพระยุพราชเด่นชัย จากนั้นทางโรงพยาบาลก็ส่งต่อมายัง รพ.แพร่
นพ.วันชัย เผยอีกว่า หลังญาตินำซากแมงมุมมาให้ ก็ส่งไปยัง รพ.ศิริราช เพื่อตรวจพิสูจน์ว่าเป็นแมงมุมชนิดใด ซึ่งคาดว่าภายใน 1 อาทิตย์ก็จะทราบผล ส่วนคนไข้ตอนนี้ต้องรักษาดูอาการตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากพิษของแมงมุมได้กระจายไปทั่วตัว คนไข้สามารถขยับตัวได้เล็กน้อย
ที่สำคัญคนไข้ไม่ได้เข้ารักษาโดยทันที ซึ่งแพทย์อาจจะระงับพิษไม่ให้กระจายได้ก่อน แต่พอคนไข้มาถึงพิษก็กระจายไปทั้งตัวแล้ว สำหรับแมงมุมคาดว่า น่าจะเป็นแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล หากเป็นแมงมุมแม่ม่ายดำ อาการคนไข้จะเกรงและพิษร้ายแรงกว่านี้
ขณะที่ ผู้ว่าฯ แพร่ เผยว่า ได้กำชับให้ดูแลคนป่วยเต็มที่ ส่วนคนไข้ที่ไม่ยอมมารักษาตอนที่ถูกกัด คงคิดว่าไม่อันตราย ดังนั้น จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จะเล็กหรือใหญ่ ก็ขอให้รีบมาหาหมอ และให้ระมัดระวัง ก่อนนอนควรตรวจสอบที่นอนหมอนมุ้งให้ดี เพราะอาจจะมีสัตว์อะไรเข้าไปซุกซ่อนอยู่ และคนไข้รายนี้เป็นรายแรกของจังหวัดแพร่ เพราะไม่เคยมีคนไข้แบบนี้มาก่อนเลย ซึ่งขอเตือนประชาชนว่าอย่าได้ประมาท.
แผลถูกแมงป่องต่อย ตะขาบและแมงมุมกัด บาดแผลพวกนี้จะทำให้เกิดอาการปวดและบวมมาก บางคนอาจแพ้พิษมากก็จะทำให้มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน เนื่องจากพิษถูกดูดซึมเข้ากระแสโลหิต
การปฐมพยาบาลแผลถูกแมงป่องต่อย ตะขาบหรือแมงมุมกัด ปฏิบัติได้ดังนี้
-ถ้าถูกกัดหรือต่อยบริเวณข้อมือหรือนิ้วเท้า ให้ใช้ผ้าหรือสายยางรัดตรงโคนนิ้ว ถ้าเป็นแขนหรือขาให้รัดเหนือแผลประมาณ 5 นาที จึงคลายออก
-ดูดเอาพิษออก หรืออาจใช้เหล็กเผาไฟจี้ใส่แผล หรืออาจผ่าแผลให้กว้าง แล้วใช้เกล็ดด่างทับทิมใส่เข้าไป <<< ความคิดเห็นส่วนบุคคล ใช้วิธีบีบเลือดออกจะปลอดภัยกว่าต่อผู้ปฐมพยาบาล-ผู้ป่วย นะครับ
-ใช้น้ำแข็งวางบริเวณที่ถูกกัดหรือต่อย ประมาณ 2 ชั่วโมง แขนหรือขาข้างที่ถูกกัดหรือต่อย ควรจะวางต่ำกว่าส่วนอื่นของร่างกาย
-บริเวณที่ถูกกัดให้ล้างด้วยด่างทับทิม
-ถ้ามีเหล็กในติดอยู่ให้คีบออกแล้วทาด้วยแอมโมเนีย โซดาไบคาร์บอเนต น้ำเกลือหรือน้ำปูนใส
นที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10:41 น. ข่าวสดออนไลน์
คสช.อนุญาต ‘ยิ่งลักษณ์’ พา ‘น้องไปป์’ บินพักผ่อนยุโรป ตามคำขอ-เหตุไม่พบพฤติกรรมฝ่าฝืนคำสั่ง
เมื่อ วันที่ 17 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ยื่นหนังสือ ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้า คสช.เพื่อขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ โดยระบุว่า ขอไปพักผ่อนในประเทศยุโรป ที่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม - 10 สิงหาคม นี้ พร้อมกับ น้องไปป์ ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย
โดยเป็นที่จับตามองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส เพื่อไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิด ครบ 65 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่ชาย ในวันที่ 26 ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ยกเลิกการจัดงานวันเกิดไปแล้ว
ทั้ง นี้ ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีข่าวว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนได้ยื่นหนังสือต่อ คสช. ขอเดินทางออกนอกประเทศหลายคน โดยอยู่ระหว่างการรอว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอนุมัติหรือไม่
ส่วนที่มีการมองว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจจะไม่เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยอีก โดยอาจขอลี้ภัยทางการเมืองอยู่ที่ต่างประเทศนั้น แหล่งข่าวคนใกล้ชิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกลับมาแน่นอน ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะหนี หรือ ขอลี้ภัย เพราะถ้าจะหนี ก็คงหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะรองโฆษก คสช. เปิดเผยว่า คสช. อนุญาต ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางออกนอกประเทศพร้อมกับบุตรชาย ระหว่างวันที่ 20 ก.ค.-10 ส.ค.57 เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร้องขอมาตามขั้นตอน และช่วงที่ผ่านมาไม่เคยขัดคำสั่งหรือฝ่าฝืนคำสั่ง คสช .
ปปช. มีมติ 7-0 ฟัน "ยิ่งลักษณ์" ผิดอาญาคดีจำนำข้าว
เมื่อเวลา 17.30น. วันที่ 17 ก.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ นายวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษกป.ป.ช. แถลงว่า การไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกรรมการป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว และได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาและไต่สวนพยานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหาเสร็จสิ้นแล้ว
นายวิชามหาคุณ ระบุว่า คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นการการกระทำที่มีมูลความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจโดยมิชอบ ให้รายงานเอกสารพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปทั้งนี้คดีดังกล่าวมีผลค่าความเสียหายถึง 5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม การที่มาแถลงข่าวครั้งนี้ก็ไม่ใช่มาจากกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไปต่างประเทศ และทางป.ป.ช.ก็ไม่ได้ขอให้ระงับยับยั้ง เพราะกรณีการขอไปต่างประเทศนั้นเป็นดุลยพินิจของคสช.
น้องก้อย ยันตัวเองโดนลงโทษเกินกว่าเหตุ ย้อนถามสังคม ถ้าไม่มีโค้ชเช เป็นความผิดตนหรือ?
ก้อย รุ่งระวี ขุระสะ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่เกิดเหตุว่า ตนได้เตรียมพร้อมก่อนการลงแข่งแล้ว โดยการใส่อุปกรณ์และวอร์มร่างกาย แต่โค้ชคนไทยเป็นบอกให้ถอดอุปกรณ์ก่อน จากนั้นตนได้นั่งรอนานมาก จนกระทั่งถูกเรียกให้เข้าแข่งขันกะทันหัน ทำให้ตนตกใจและเตรียมตัวไม่ทันโดยหลังการแข่งขัน โค้ชเชได้เรียกนักกีฬาทั้งหมด 19 คนมารวมกัน และต่อยท้อง ชกหน้า ตนเพื่อเป็นการลงโทษที่แพ้การแข่งขัน
แม้รุ่นพี่ในทีมจะให้กำลังใจและกล่าวว่าการลงโทษเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ตนรู้สึกว่าการลงโทษเช่นนี้เป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป ทำให้ตนอาเจียนและบาดเจ็บ ตนเองรู้สึกน้อยใจที่โค้ชเชไม่ฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจึงได้ติดต่อกับแม่ แม้เบื้องต้นพยายามปิดบัง แต่แม่ก็คาดเดาเหตุการณ์ได้ว่าโดนโค้ชทำร้าย ซึ่งแม่ของก้อยรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและรีบดำเนินการรับลูกกลับเมืองไทย
หลังจากที่โค้ชเชทราบว่าแม่ของก้อยได้ทราบเรื่อง โค้ชเชได้ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นและบอกว่าจะซื้อยาให้ก้อย แต่ก้อยก็ยังรู้สึกไม่ดี และรับไม่ได้กับการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้
ทั้งนี้ พ่อและแม่ของก้อยเรียกร้องให้โค้ชเชออกมาขอโทษ เพื่อให้สังคมรับรู้ข้อเท็จจริง เนื่องจากสังคมมองว่าก้อยไม่มีความรับผิดชอบ
เจาะข่าวเด่น เปิดใจ 'ก้อย รุ่งระวี' นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย (16ก.ค.57)
VIDEO
พิมล ศรีวิกรม์ ระบุว่า โค้ชเชจะไม่เดินทางกลับไทยพร้อมนักกีฬา เผยครอบครัวโค้ชกลับเกาหลีใต้ไปแล้ว ยันพยายามทุกทางให้โค้ชเชกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง
*นายกฯสมาคมเทคควันโดฯ ยืนยัน นักกีฬามีความผิดไม่พร้อมก่อนลงแข่งขัน โค้ชเช ลาเมืองไทย*
ปัญหาในสมาคมเทควันโด แห่งประเทศไทยกรณีหัวหน้าผู้ฝึกซ้อมชาวเกาหลีใต้ทำร้ายนักกีฬา “รุ่งระวี ขุระสะ” นายพิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทคควันโดแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า นายชัชวาล ขาวละออ หรือ โค้ชแม็ก ระบุว่า โค้ช เช ยอง ซอก จะไม่กลับเดินทางกลับประเทศไทย ขณะที่ ครอบครัวของโค้ชเช เดินทางกลับเกาหลีใต้แล้วเช่นกัน
นายพิมล กล่าวถึงความผิดของนักกีฬาจากการสอบถามโค้ชทั้ง 4 คน พบว่า นักกีฬา ผิดจริง ไม่เตรียมความพร้อม ไม่เอาถุงมือ ไม่เอาไอดีการ์ดมา และเป็นไปไม่ได้ที่ โค้ชจะบอกว่า ไม่ต้องเตรียมตัว เพราะในความจริงนักกีฬาต้องเตรียมความพร้อม ต้องวอร์มอัพด้วยการใส่อุปกรณ์ให้ครบ แต่นักกีฬาซึ่งในขณะนั้นไม่ได้ฟัง หรือไม่ได้ใส่ใจไม่ได้ใส่อุปกรณ์
สำหรับหลังการแข่งขันที่ นักกีฬาแพ้ โค้ชเช ยอมรับว่า ได้ทำโทษด้วยการทุบ แต่ไม่ได้ ทำเพื่อระบายความโกรธ ขณะผลการตรวจร่างกายของนักกีฬาที่มีความบอบช้ำ นายพิมลบอกว่า การแข่งขัน ที่แพ้ถึง 6 ต่อ 12ย่อมมีร่องรอยจากการแข่งขัน ไม่ใช่จากการทำร้ายร่างการของโค้ชแน่นอน โดยขอให้สื่อตรวจสอบได้จากกลุ่มนักกีฬาที่จะเดินทางกลับมาในค่ำวันนี้
นายพิมล ยังฝากถึงรุ่งระวี ด้วยว่า ให้ไตร่ตรองพฤติกรรมว่าอะไรถูกผิด จะทำทีมชาติเพื่อชีพหรือไม่ การเรียกร้องให้โค้ชเชออกมาขอโทษเหมาะสมหรือไม่ ระวังอาจเป็นนักกีฬาคนแรกที่คนไทยไม่เชียร์
( จากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
The fall of a superpower
By Pepe Escobar
10/07/2014
การที่ฟุตบอลทีมชาติบราซิลร่วงหล่นลงมาจากความรุ่งโรจน์เฟื่องฟูดังที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นความเสื่อมโทรมที่ดำเนินต่อเนื่องมาอย่างยาวนานทีเดียว และก็เป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นกันได้ล่วงหน้า ยกเว้นแต่พวกที่กุมบังเหียนวงการนี้อยู่เท่านั้น ซึ่งได้แก่ สหพันธ์ฟุตบอลบราซิล และ “คณะกรรมการเทคนิค” ที่สหพันธ์แห่งนี้แต่งตั้งขึ้นมา โดยที่คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยกลุ่มคนที่ไร้ความรู้ความสามารถ, โอหังเย่อหยิ่ง/โง่เขลางี่เง่า ซึ่งเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนอย่างชัดแจ๋วใสปิ๊ง ให้เห็นถึง ความโอหังเย่อหยิ่ง/โง่เขลางี่เง่า ของชนชั้นนำทางการเมือง/ทางเศรษฐกิจ ทั้งเก่าและใหม่ของบราซิลนั่นเอง
เซาเปาลู, บราซิล – ผมเซฟภาพที่เห็นข้างบนนี้เอาไว้เพื่อใช้ในจังหวะโอกาสอันเหมาะสม ซึ่งก็คือ ณ ขณะนี้นั่นเอง
ขอเชิญพบกับหนึ่งในสรวงสวรรค์สุดแสนคลาสสิกแห่งดินแดนแถบเส้นศูนย์สูตร มันอยู่ในเมืองซานโตอันเดร (Santo Andre) ในรัฐบาเยีย (Bahia) ใกล้ๆ กับจุดที่บราซิล “ถูกค้นพบ” โดยพวกโปรตุเกสในปี 1500 ค่ายฝึกซ้อมของฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี “ทีมอินทรีเหล็ก” อยู่ตรงด้านหลังของหมู่ต้นไม้ทางซ้ายมือของภาพนี้พอดิบพอดีเลย ผมไปอยู่ที่นั่นเมื่อตอนที่ฟุตบอลโลกปีนี้เริ่มต้นขึ้นมา อันนา มาริอานี (Anna Mariani) เจ้าบ้านผู้สง่างามของผม เป็นเจ้าของบ้านพักริมชายหาดที่แสนวิเศษสุด ซึ่งตั้งอยู่ถัดมา
ค่ายฝึกซ้อมของพวกเยอรมัน ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นคอนโดริมชายหาดแห่งหนึ่ง มีลักษณะแยกออกไปเป็นส่วนตัวและได้รับการแต่งแต้มให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าจนกระทั่งสมบูรณ์เพียบพร้อม กระนั้นพวกนักฟุตบอลก็มีปฏิสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยการไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง, ผูกมิตรนับพี่นับน้องกับชาวอินเดียนเผ่าปาตาโซ (Pataxo Indians), ออกมาเดินเล่นบริเวณชายหาดกันในตอนเช้า พวกเขาฝึกฝนกันอย่างหนักหน่วง ด้วยความมีวินัย, ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว, หลักจริยธรรมในการทำงาน ในเวลาเดียวกับที่ชื่นชมหลงรักทุกๆ นาทีของการที่พวกเขาได้มาอยู่ในสรวงสวรรค์ และดูดซับพิธีการแห่งวัฒนธรรมบราซิลอย่างเต็มที่ นี่เองคือจุดเริ่มต้นอันแท้จริงของกระบวนการแห่งการฉีกกระชากตัดเฉือนฟุตบอลทีมชาติบราซิลออกเป็นชิ้นๆ ด้วยประตู 7 ต่อ 1
ในขณะเดียวกันนั้น ฟุตบอลทีมชาติบราซิลคือการแสดงอันตื่นเต้นหวือหวามุ่งเรียกน้ำตาและความสะเทือนใจอย่างรุนแรงจากประชาชนประมาณ 200 ล้านคนของแดนแซมบ้า มันมีลักษณะคล้ายๆ กับละครโทรทัศน์น้ำเน่าที่ไร้ความสมมาตร โดยที่ไม่มีการใส่ใจกับเรื่องการมุมานะทำงานหนักหรือระเบียบวินัย มีแต่ความสนใจในเรื่องวูบวาบฉาบฉวยยิบยับแพงๆ (ดูผมทรงใหม่ของผมสิ!) บวกกับความรู้สึกสำนึกถือศักดิ์ศรีที่ชวนให้ตนเองสบายอกสบายใจ พวกเขาเชื่อว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็จะเป็นผู้ชนะในบั้นปลาย เพราะตามมายาคติแห่งชาติซึ่งเป็นที่เชื่อถือกันอย่างที่สุดนั้น “พระเจ้าก็เป็นชาวบราซิล”
คราวนี้มาฟังเรื่องราวที่เป็นคติสอนใจแห่งยุคโลกาภิวัตน์กันบ้าง เป็นเวลายาวนานทีเดียวตั้งแต่ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกคราวนี้แล้ว บราซิลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอภิหาอำนาจอันเปี่ยมล้นด้วยแสนยานุภาพแห่งวงการฟุตบอล แต่ด้วยการบริหารจัดการอันผิดพลาดในทุกๆ ระดับเหมือนๆ กันหมด ก็ได้ลดฐานะตนเองลงมาจนมีบทบาทแค่ตัวรองๆ ในสภาพของผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ (อย่างเช่นนักฟุตบอลที่มีความรู้ความสามารถ) ในบราซิลนั้นไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับการลงทุนเพื่ออนาคต ทั้งหมดทั้งสิ้นที่เห็นกันว่าสำคัญก็คือสิทธิในการถ่ายทอดโทรทัศน์อันสามารถทำกำไรงดงาม และก็กลายเป็นอภิสิทธิ์ในการทำมาหากินของพวกแก๊งมาเฟียในวงการสื่อ แต่เยอรมนีกลับเป็นตรงกันข้าม ตั้งแต่ที่พวกเขาพ่ายแพ้ในฟุตบอลโลกปี 2002 (ซึ่งก็ปราชัยต่อบราซิลนั่นเอง...) ก็ได้เร่งลงทุนในเครือข่ายโรงเรียนสถานฝึกสอนกีฬาฟุตบอลอันกว้างขวาง และถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบระดับชาติในการบ่มเพาะอบรมผู้มีความสามารถ, ให้แก่ศึกษาแก่พวกเขา, และก็เตรียมพวกโคชพวกผู้ฝึกสอนให้พรักพร้อมด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้าการหยามศักดิ์ศรีอย่างแรงถึง 7-1 คราวนี้จะเริ่มต้นขึ้นประมาณ 3 ชั่วโมง ผมถูกสอบถามในร้านตัดผมประจำของผมว่าผลการแข่งขันนัดนี้น่าจะออกมาอย่างไร ผมตอบกลับไปทันทีว่า “เยอรมันชนะ 4-0” ทุกๆ คนต่างตื่นตะลึงกันหมด ครับ ผมบินเข้ามาจากเอเชียและจากนั้นก็ยุโรป เพื่อเฝ้าติดตามฟุตบอลโลกในบราซิล เสมือนหนึ่งว่าผมกำลังติดตามรายงานข่าวเกี่ยวกับสงคราม และสิ่งที่ผมสงสัยข้องใจในตอนต้นๆ ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นจริง ในขณะที่ละครบีบน้ำตาเรื่องนี้เริ่มต้นเผยแบคลายปมออกมา
ทุกๆ สัญญาณที่ปรากฏ ต่างบ่งบอกชี้ให้เห็นว่า นักฟุตบอลทีมชาติบราซิล อยู่ในสภาพของกลุ่มเศรษฐีเยาว์วัยผู้ไร้ความมั่นคงในทางจิตวิทยา และพร้อมที่จะแตกระเบิดจากภายใน --พวกเขาเฉียดใกล้ภาวะเช่นนี้ตั้งตั้งตอนที่แข่งขันกับทีมชิลี และจากนั้นก็ในตอนที่เล่นกับทีมโคลอมเบีย ในที่สุดสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นมาจนได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 6 นาทีเมื่อเยอรมนีทำประตูได้ถึง 4 ลูก และเพียงแค่นาที 29 ของการแข่งขัน ทีมแกร่งจากยุโรปทีมนี้ก็เป็นผู้นำด้วยประตู 5-0
เซอร์ไพรซ์หรือ? ไม่ถึงกับอย่างนั้นเสียทีเดียวหรอก บราซิลนั้นเลิกเล่นฟุตบอลแบบ “โจโก โบนิโต (jogo bonito) หรือ “เกมอันสวยงาม” (the beautiful game) มานานแล้ว ภายหลังที่สร้างทีมซึ่งแสนมหัศจรรย์อย่างนั้นขึ้นมาในปี 1970 แล้วจากนั้นทีมยอดเยี่ยมที่สุดของพวกเขาก็ไม่สามารถชนะอะไรได้เลยในปี 1982 นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 บราซิลในฐานะที่เป็นบ้านเกิดของ โจโก โบนิโต กลายเป็นเพียงมายาภาพอีกประการหนึ่งของประเทศนี้ และมีค่าเป็นเพียงแค่กลเม็ดอันประณีตทางการตลาดอย่างหนึ่ง (ด้วยฝีมือของ “ไนกี้”) ตลอดระยะเวลาเหล่านี้ ชาวบราซิลเอาแต่ใหลหลงได้ปลื้มกับการหลอกตนเอง ในการยกย่องเชิดชูแนวความคิด ที่ว่า “เราคือแชมเปี้ยน” ซึ่งจัดว่าเป็นแบรนด์ราคาถูกๆ อย่างหนึ่งของลัทธิชาตินิยมนั่นเอง
จวบจนกระทั่งความอหังการเช่นนี้ถูกเผยให้เห็นโฉมหน้าอันน่าชัง และเยอรมนีต่างหากกลายเป็นผู้ที่ทวงสิทธิ์ในการอวดอ้างเป็นเจ้าของฟุตบอลแบบ โจโก โบนิโต อันแท้จริง ทั้งด้วยการส่งลูกแบบเฉียบขาดได้เสีย, การจบสกอร์อย่างสุดยอด, และการเล่นถ่ายบอลแบบสามเหลี่ยมที่เต็มไปด้วยสไตล์
ทีมบราซิลต้องตกเข้าสู่ความวิบัติชวนสยอง ทีแรกสุดทีเดียวเนื่องจากเหตุผลทางแท็กติก/เทคนิค ทีมฟุตบอลทีมนี้ขาดไร้ผู้เล่นมิดฟิลด์ที่จะสามารถต่อสู้กับมิดฟิลด์ดีเยี่ยมที่สุดบนพื้นพิภพได้ เราควรที่จะต้องประณามว่าเป็นความผิดของผู้กุมบังเหียนวงการนี้ของแดนแซมบ้า ซึ่งก็คือ สหพันธ์ฟุตบอลบราซิล และ “คณะกรรมการเทคนิค” ที่พวกเขาแต่งตั้งขึ้นมา โดยที่คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยกลุ่มคนที่ไร้ความรู้ความสามารถ, โอหังเย่อหยิ่ง/โง่เขลางี่เง่า ซึ่งเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนอย่างชัดแจ๋วใสปิ๊ง ให้เห็นถึง ความโอหังเย่อหยิ่ง/โง่เขลางี่เง่า ของชนชั้นนำทางการเมือง/ทางเศรษฐกิจ ทั้งเก่าและใหม่ของบราซิลนั่นเอง ช่างเหมือนกันมากเหลือเกินกับการที่ตำรวจบราซิล เข้าทลายแก๊งขายตั๋วตลาดมืดในเมืองรีโอเดจาเนโร ซึ่งเกี่ยวข้องโยงใยอยู่กับบริษัทหนึ่งในเครือฟีฟ่า ทว่ากลับพลาดแก๊งมาเฟียใหญ่อีกแก๊งหนึ่ง --เป็นพวกที่แตกแขนงแฝงตัวอยู่ตามซอกหลืบของวงการฟุตบอลบราซิลนั่นแหละ
คณะกรรมการเทคนิค ได้จัดการแถลงข่าวภายหลังความพ่ายแพ้อันทำร้ายจิตใจอย่างเลวร้ายของทีมชาติ ในวันเดียวกับที่ อาร์เจนตินา กับ ฮอลแลนด์ แข่งขันชิงชัยกันแบบทีมผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ ซึ่งแม้ต่อเวลาออกไปเป็น 120 นาทีก็ยังคงเสมอกัน 0-0 (จากนั้นก็ต้องใช้การเตะลูกโทษมาตัดสิน) การแถลงข่าวคราวนี้ทำให้ผมหวนคิดถึงตอนที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) กำลังพยายามแก้เนื้อแก้ตัวหลังจากถูกเปิดโปงกรณีการทารุณกรรมนักโทษชาวอิรักในคุก อบู กรออิบ (Abu Ghraib) “โอ้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาอย่างผิดธรรมดาเท่านั้น” แต่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ พวกขี้ขลาดตาขาวชาวบราซิลซึ่งต้องเป็นผู้รับผิดชอบเต็มๆ เหล่านี้ ไม่อาจยอมรับได้หรอกว่า ความหายนะคราวนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นระบบขั้นตอน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความปราชัยยับเยินถึง 7-1 คราวนี้ จะส่งผลสะท้านสะเทือนทางการเมืองสะท้อนไปมาไม่รู้สิ้นสุด มันจะส่งผลไกลเลยออกไปจากฝูงชนชาวบราซิล (ผิวขาว) ซึ่งมีเงินทองเพียงพอที่จะจับจ่ายซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันของฟีฟ่า ขณะเดียวกันก็กำลังหยามหยันการใช้จ่ายงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมของประธานาธิบดีดิลมา รุสเซฟฟ์ (Dilma Rousseff) แน่นอนทีเดียวว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลกำไรอันงดงามของฟีฟ่า จากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มหกรรมการแข่งขันคราวนี้ (ผลกำไรดังกล่าวคือ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี) โดยที่ผู้ที่จ่ายเงินก้อนนี้ก็คือคนท้องถิ่น เช่นเดียวกับที่พวกเขาต้องเป็นผู้ควักค่าใช้จ่ายโดยรวมของการจัดการแข่งขัน (ซึ่งมีมูลค่าถึง 13,600 ล้านดอลลาร์) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบเงินก้อนมหึมานี้ กับงบประมาณการลงทุนอันจิ๊บจ๊อยในด้านการศึกษา, บริการสาธารณูปโภคต่างๆ, การคมนาคมขนส่งในเขตชุมชนเมือง, โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ยังขาดแคลนอย่างน่าใจหาย ขณะเดียวกันนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นกันได้เลย
การถูกเหยียดหยามในเชิงกีฬาระดับโลกครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะจดจำกันได้ในคราวนี้ มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มอาการโรคความโอหังเย่อหยิ่ง/โง่เขลางี่เง่า (และความรู้สึกถือศักดิ์ศรี) อันเป็นเครื่องหมายการค้าของพวกชนชั้นนำชาวบราซิล ในเวลาเดียวกันนั้น คุณย่อมไม่สามารถมุ่งมาดปรารถนาที่จะผงาดขึ้นเป็น “อภิมหาอำนาจ” รายหนึ่งในกลุ่มบริกส์ (BRICS กลุ่มชาติเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่) ได้หรอก เมื่ออัตลักษณ์ของตัวคุณเองซึ่งสร้างขึ้นมาโดยอิงอาศัยกีฬาฟุตบอล กำลังถูกบ่อนทำลายโดยพวกทุจริตคดโกง
พระเจ้าแห่งกีฬาฟุตบอลได้ทรงเมตตาประกาศออกมาแล้วว่า ละครน้ำเน่าสำหรับผู้คน 200 ล้านคนถึงเวลาปิดฉากลาโรงแล้ว แต่กระนั้นผมก็ยังมีความรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างแท้จริงต่อเหล่าผู้แพ้พ่ายทั้งหลาย ซึ่งก็คือคนส่วนข้างมากล้มหลามในหมู่ผู้สนับสนุนจำนวน 200 ล้านคนเหล่านี้ ที่เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตและทำงานหนัก เป็นผู้ซึ่งฟุตบอลคือเครื่องบรรเทาผ่อนคลายอันน้อยนิด สำหรับที่พวกเขาจะได้ปลอดพ้นจากความเจ็บปวดและการต้องต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขาได้บ้าง พวกเขามีแต่ถูกหลอกลวงตลอดมา
บราซิลอาจจะยังคงมี “อำนาจละมุน” (soft power) ปริมาณไม่จำกัดที่จะสามารถใช้ในตลอดทั่วทั้งโลก ทว่าบราซิลจะต้องร่วมมือร่วมใจกันลงมือขจัดการทุจริต/ความไร้ประสิทธิภาพ ของตนทิ้งไป ถ้าหากฟุตบอลจะเป็นองค์ประกอบอย่างเดียวที่เหลืออยู่สำหรับการรักษาให้อภิมหาอำนาจผู้ทะเยอทะยานรายนี้รวมตัวเข้าด้วยกันแล้ว บราซิลก็ควรต้องคิดให้จริงจังยิ่งกว่านี้, ทำความเข้าใจว่าการถูกเหยียดหยามคราวนี้มีสาเหตุมาจากอะไร, ขจัดพวกไร้คุณค่าที่เอาแต่ประโคมความสำคัญของตนเองออกไป, แสดงให้เห็นกันบ้างถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนและการทำงานให้หนักหน่วงจริงจัง ศึกษาเรียนรู้โมเดลด้านการกีฬาของเยอรมนี –แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องไปศึกษาเรียนรู้บทเรียนการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจอันเข้มงวดของอียูด้วยหรอก แล้วจากนั้นพวกคุณก็จะได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์
เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Globalistan: How the Globalized World is Dissolving into Liquid War (Nimble Books, 2007), Red Zone Blues: a snapshot of Baghdad during the surge (Nimble Books, 2007), และ Obama does Globalistan (Nimble Books, 2009) ทั้งนี้สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com
“คสช.”ยิ่งลากยาว โอกาสเสี่ยงมีเยอะ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่มีอะไรยั่งยืนจีรัง วันหนึ่งก็ดับไป เป็นสัจธรรมของโลก วันนี้ช่วงที่ทุกอย่างหอมหวาน จะทำอะไรก็มีแต่คนเชยชม ยกย่อง สรรเสริญ ดังวีรบุรุษเข้ามากู้ชาติ แต่วันหนึ่งถ้าพลาดพลั้ง ก็จะมีคนพร้อมเหยียบยอดหน้าเหมือนกัน
ตามรูปการณ์ที่ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เข้ามาทำหน้าที่ จะแตะจะต้องแก้ไขจุดไหนก็มีแต่คนยกมือท่วมหัว อนุโมทนาสาธุ ชนิดดีไปหมดทุกอย่าง ยังไม่มีอะไรที่พลาดท่าเสียทีจนโดนคนนินทาหมาดูถูก ทว่าถ้าวันหนึ่งก้าวพลาด หมดโปรโมชั่น บรรยากาศที่เต็มไปด้วยดอกไม้ อาจจะกลายเป็นหนังคนละม้วน ดังนั้น คสช.อย่ามองข้ามความปลอดภัย
ที่ผ่านมางานของคสช. ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญอะไร เพราะปัจจุบันเป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจชี้ถูก ชี้ผิดได้หมด ผ่านประกาศ ผ่านคำสั่ง ที่ถูกต้องชอบธรรม แถมในภายภาคหน้าหากมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวมา ก็จะมีการรองรับการกระทำนั้นไว้ไม่ให้มีใครกล้าหือเอาเรื่องได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มาเฟีย มาฟรี พวกขาใหญ่ อิทธิพลเถื่อนในบ้านเมืองสะพรึงกลัว ไม่กล้างัดข้อ ทำให้งานของ คสช.ราบรื่น สะดวกโยธิน
อำนาจของ คสช.ตอนนี้ล้นพ้น เพราะไม่มีข้อจำกัดเหมือนกับพรรคการเมืองที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนมากมาย จนกลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่หยั่งรากลึกยาวนาน ทั้งเรื่องคอนเนกชั่น และความสัมพันธ์ ขณะที่ “บิ๊กตู่”เอง ก็พยายามซื้อใจ จัดการฝุ่นไรประเทศแบบไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงจะได้ยินแต่เสียงปรบมือ
แต่ขึ้นชื่อว่าโปรโมชั่น ย่อมมีระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง เวลาใดเวลาหนึ่งก็ต้องหมดไปในที่สุด เพราะมีข้อจำกัด เหมือนกันกับ คสช. วันนี้ ระยะสั้นๆ อาจมีเสียงเชียร์ แต่ในระยะยาวๆ คงต้องวัดกัน เพราะปัญหาในประเทศไทยมันมีสารพัน นับไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่ปัญหาเฉพาะหน้าที่ คสช.ไล่แผ้วถางจนเตียนโล่ง แต่ยังมีรากเหง้าที่พันยั๊วเยี้ยเต็มไปหมด
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแทรกซ้อน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องปากท้อง ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ฯลฯ ฉะนั้นการเข้ามาทำหน้าที่นี้จึงไม่มีใครได้กำไร มีแต่เท่าทุน และเจ็บตัว วันนี้อาจยังกำไร หรือเท่าทุน แต่อนาคตข้างหน้า คสช. อาจจะเจ็บตัวก็เป็นได้
ยิ่งอยู่ลากยาวนานๆ โอกาสเสี่ยงที่จะเจ็บตัวหลายแผลก็มีเยอะ ตามที่มีการคาดการณ์กันว่า โรดแมปของคสช.นั้นยาวนานเกินไป สุ่มเสี่ยงจะกลายเป็นดาบสองคมเอาในวันข้างหน้า เพราะด้วยปัจจัยของคณะรัฐประหารทุกชุดแล้วงานเบื้องหน้ามีแต่ความเร่งด่วน และต้องทำด้วยความรวดเร็วเท่านั้น ด้วยรู้เงื่อนไขตรงนี้ คณะรัฐประหารทุกชุดจึงรีบคายอำนาจโดยเร็วกันหมด
ขณะเดียวกัน ผลเสียของการรอยู่บนคานอำนาจนานๆ แม้จะหวังดีเพื่อให้ปัญหาสำเร็จลุล่วง จึงลากยาวเข้าไว้ตามที่เป็นอยู่ แต่ถ้ามองกันในสภาพความเป็นจริง งานที่คสช.ตั้งตุ๊กตาเอาไว้ว่าจะเดินไปสู่เป้าหมายอย่างองอาจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาปฏิรูปที่เข้ามาทำหน้าสังคายนาระบบต่างๆ ให้เข้ารูปเข้ารอยให้จงได้ หรือจะเรื่องการสร้างความปรองดอง ดูกันตามโรดแมปเพียงแค่นั้น ยากยิ่งเหลือเกินที่จะไปสู่เป้าหมายได้
โดยเฉพาะเรื่องการปรองดอง ซึ่งเป็นเรื่องความรู้สึกนึกคิดของประชาชนที่มีความเชื่อของตัวเองมายาวนานหลายปี การจะปรับทัศนคติผิดๆ เหล่านั้นให้เข้าที่เข้าทางได้ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานหลายปีมากๆ แต่โรดแมปของคสช. เพียงแค่ปีกว่าๆ เสมือนเป็นการบังคับให้คนรักกัน หรือเป็นการรักกันภายใต้กฎหมายพิเศษ ไม่ได้รักกันจริงๆ เหมือนภาพที่ออกมา แถมยังพร้อมจะขยับเขยื้อนเสียด้วยหากวันหนึ่ง ไม่มี คสช. คอยประกบแล้ว
ฉะนั้น จึงไม่มีความหมายที่จะต้องลากยาวนานไปขนาดนั้น เอาแค่เพียงวางโครงสร้างต่างๆ เสร็จสิ้น แล้วเอากฎหมายมาประทับตราเขียนล็อกเอาไว้ให้ผู้มีอำนาจในอนาคตมาปฏิบัติตามก็น่าจะเพียงพอแล้ว
วันนี้คสช.จึงต้องคิดเร็ว ทำเร็ว โอ้เอ้ เหยาะแหยะไม่ได้ ไม่ใช่เห็นโรดแมปยาวนานแล้วตายใจ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ระวังจะจุกเอาเข้าสักวัน ซึ่งหลังจากประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราว ทีนี้จะเข้าโหมดของจริงสู่ภาคปฏิบัติล้วนๆ จะรู้ว่ามีน้ำยาหรือไม่มีน้ำยา ก็คราวนี้ กลิ่นอายความหอมหวานที่เคยได้จะเริ่มเจือจางลงไปตามระยะเวลา
โดยเฉพาะตอนมีรัฐบาลที่ต้องเข้ามาบริหารประเทศเต็มตัว ไม่ได้ทำในนาม คสช. ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จอีกแล้ว งานต่างๆ ที่เคยหยิบจับได้ง่ายก็จะไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อน ความซับซ้อน ปัญหา จะวิ่งติดเกียร์หมาเข้ามาแบบไม่หยุดยั้ง เรื่องการบ้านการเมืองถ้าไม่เชี่ยวชาญจริงๆ บริหารคนไม่เป็น ตายคาที่กันมาหลายรายแล้ว ไม่เช่นนั้นแต่ละรัฐบาลจะล้มครืนไม่เป็นท่ากันหรือ
รัฐบาลที่ว่ากันว่าจะนำโดย “บิ๊กตู่”แบกความหวังของคนในชาติไว้เยอะ เมื่อความคาดหวังสูง จึงเป็นอะไรที่ล่อแหลมอย่างมาก การพลาดเพียงครั้งอาจถูกนำมาขยายปมเป็นเรื่องใหญ่บานตะไทกันได้ ดูแล้วก็ไม่ใช่งานง่ายๆ เอาเสียเลยสำหรับว่าที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลที่จะมาทำหน้าที่
อุปสรรคของรัฐบาลที่มาจากการัฐประหารนั้นเยอะกว่ารัฐบาลธรรมดา เพราะเสียเปรียบเรื่องความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจ โดยเฉพาะในสายตาของชาวโลก การจะบริหารราชการทั้งภายนอกภายในให้ได้ดังใจไปเสียทุกเรื่องนั้นเป็นไปได้ยากมากๆ
ยิ่งมีข่าวหลุดลอดออกมาว่า ต่อให้มีรัฐบาลแล้วก็ยังมี คสช. คอยครอบอยู่บนหัวอีกชั้น เพื่อประกบไม่ให้แตกแถว เสมือนควบคุมงานให้เป็นไปตามสเปก งานการค้ากับต่างประเทศเตรียมเจอก้างชิ้นโตเอาไว้ได้เลย
โอกาสที่ต่างชาติจะเจรจาการค้าการลงทุนแบบหวานเจี๊ยบ ทอดไมตรีแบบตาหวานเยิ้ม เลิกคิดเลิกฝันได้ ไม่แน่บางทีสหภาพยุโรป (อียู) หรือสหรัฐอเมริกา อาจที่ออกลูกตุกติกกับเราก่อนหน้านี้ จะแสดงอิทธิฤทธิ์กับเราต่อก็เป็นได้ ด้วยข้ออ้างว่ารัฐบาลชุดนี้มาจากเผด็จการทหารยังไม่พอ ยังดันเป็นนอมินี ที่ถูกกำกับชักใยอยู่ด้วย ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่กำหนดเอาไว้ว่า คสช.อยู่ขนาบข้างกับรัฐบาล เรียกว่า ดิ้นอย่างไรก็สลัดไม่พ้นสัญลักษณ์ทหาร ทำให้งานยากเข้าไปอีก
จึงเป็นเรื่องที่ต้องทบทวนหรือตัดสินใจกันใหม่ว่า จะยังคง คสช.เอาไว้แบบในลักษณะนั้นหรือไม่ ต้องชั่งตวงวัดกันให้ดี ว่ามีผลเสีย ผลดี อันไหนมันมากกว่ากัน
เว็บไซต์มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้เผยแพร่บทความ "ประชาธิปไตยเมืองไทย" พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไอ้กันเป็นประมุข โดยนายศรีศักร วัลลิโภดม นักมานุษยวิทยาอาวุโส ซึ่งตีพิพม์ครั้งแรกในจดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉ.102 (เม.ย.-มิ.ย. 2557) มีเนื้อหาบางส่วนระบุไว้ ดังนี้
"ข้าพเจ้าเกลียดไอ้กันเพราะเป็นเจ้าลัทธิประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่ไม่แคร์กับการซื้อเสียงขายเสียงเพื่อให้พรรคการเมืองที่ชั่วร้ายเข้ามามีเสียงส่วนมากในรัฐสภา จนในที่สุดกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาภายใต้การบัญชาของทศกัณฐ์หน้าเหลี่ยมขี้ข้าตัวโปรดของไอ้กัน
หลังการปฏิวัติของทหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ทำให้รัฐบาลหน้าเหลี่ยมสิ้นสุดลงไปอย่างสิ้นเชิงท่ามกลางความดีใจและโล่งใจของคนส่วนใหญ่ในชาติ ข้าพเจ้าก็พลอยฟ้าพลอยฝนโล่งใจไปกับเขาด้วย เพราะก่อนหน้านี้เป็นทุกข์กับ กปปส. และเครือข่าย เช่น คปท. กองทัพธรรมและกลุ่มหลวงปู่พุทธอิสระที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวของมวลมหาชนที่ออกมาขับไล่ไอ้หน้าเหลี่ยมและน้องสาวอย่างอหิงสาวิธี ด้วยพลังการตื่นรู้ของคนทุกเพศทุกวันทุกชาติพันธุ์และหมู่เหล่าในประเทศแต่ก็ยังไม่เห็นแสงสว่างของความสำเร็จ"
...
"อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนออกมาล้มระบอบทรราชทักษิณด้วยวิธีอหิงสาก็ดีกับการออกมายึดอำนาจและทำการปฏิวัติของกองทัพทหารนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณูปการต่อกันอย่างแยกไม่ออก ซึ่งข้าพเจ้าในฐานะคนแก่ๆ คนหนึ่งเห็นว่าเป็นบุญของประเทศโดยแท้และนับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งก็ว่าได้
"เพราะความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อยังเป็นสิ่งที่ครอบงำและคุ้มครองคนไทยอย่างไม่น้อย ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนเพื่ออหิงสาให้ได้มาถึงความเป็นประชาธิปไตย ฝ่ายทหารก็คงไม่สามารถออกมาปฏิวัติได้ เพราะเป็นการต่อสู้ที่ไม่น่าจะสำเร็จได้โดยง่ายโดยไม่ต้องมีการสูญเสียอย่างมากมาย
"ข้าพเจ้าให้น้ำหนักความสำเร็จในการโค่นอำนาจรัฐบาลทรราชของไอ้หน้าเหลี่ยมอย่างเท่ากันระหว่างผู้นำของขบวนมหาประชาชนกับผู้นำของทหารหาญ และถือว่าเป็นบุญบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริงในบ้านเมือง
"โดยเฉพาะบุญญาบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ"
...
"ประการที่สองก็คือ รัฐทรราชให้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกับบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักวิชาการ ข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจที่ขาดมนุษยธรรมและจริยธรรมที่อยู่ภายใต้อำนาจเงินของรัฐที่มาจากการโกงกินให้ออกมาต่อต้านกับฝ่ายประชาชน โดยอ้างเหตุผลของการไม่เป็นประชาธิปไตย
"การเคลื่อนไหวและการกระทำของคนเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งเห็นประจักษ์แก่วิญญูชนทั่วไป แต่ก่อนเคยเห็นเป็นประจักษ์แต่เพียงทรราชหน้าเหลี่ยม ญาติพี่น้องและบริวารสามารถซื้อเสียงการเลือกตั้งให้มีเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาจนเป็นเผด็จการรัฐสภา และการใช้อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและอามิสสินจ้างหว่านล้อมบรรดาข้าราชการประจำทั้งพลเรือน ทหารบางรุ่นบางเหล่าและตำรวจเกือบทั้งสถาบันให้มาเป็นขี้ข้าเครื่องมือของตนเท่านั้นแต่คราวนี้ก็ได้เห็นแนวร่วมจากกลุ่มคนชั้นสูง คนเคยเป็นผู้ดีมีตระกูลและคนกลุ่มปัญญาชน เช่น อาจารย์ระดับด็อกเตอร์ด็อกตีน นักศึกษาและมิจฉาชีพที่เอาผ้าเหลืองมาห่มพรางกาย
"คนกลุ่มต่างๆ เหล่านี้แม้ว่าจะไม่ออกมาทำการรุนแรงแต่กลับดูร้ายแรงยิ่งเสียกว่าเพราะเป็นกลุ่มที่พยายามอ้างความถูกต้องชอบธรรมของรัฐบาลไอ้หน้าเหลี่ยมและพรรคพวกว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ถูกต้องและรักษากฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด สมคบคิดกับพวกสื่อที่ชั่วร้ายทางโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ออกมาประนามและขัดขวางการต่อต้านเรียกร้องของมวลมหาประชาชน
"คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกันที่นอกจากเป็นทาสน้ำเงินของไอ้หน้าเหลี่ยมแล้วก็เห็นว่าไอ้กัน ไอ้กิด และไอ้เศสคือพ่อแม่ หลายๆ คนเคยเป็นคนใหญ่คนโตและเป็นข้าราชการผู้ใหญ่เคยรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยถวายสัตย์ปฏิญาณดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาหรือเคยสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพลให้ความสำคัญกับองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะพระประมุขในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้กลับแลเห็นว่าไอ้กันเป็นประมุขแทน"
...
"การออกมาปฏิวัติของกองทัพครั้งนี้คงไม่เหมือนครั้งใดๆ ในการปฏิวัติรัฐประหารที่เคยมีมา ซึ่งพอสรุปได้ว่าทุกครั้งของการปฏิวัตินั้นเกิดภาวะขัดแย้งทางเศรษฐกิจการเมืองในชาติอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากรัฐบาลเป็นเผด็จการ ผู้นำทหารที่ทำการปฏิวัตินั้นเริ่มต้นก็เจตนาดี แต่พอมีอำนาจเต็มที่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยจริงแบบเผด็จการทุกที
"จากเผด็จการของขุนศึกจนมาถึงเผด็จการของนายทุนจนถึงยุคทรราชหน้าเหลี่ยมที่ทำความพินาศให้บ้านเมืองและผู้คนในทุกมิติของสังคมไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรมจนผู้คนในสังคมรุ่นใหม่ในปัจจุบันทนต่อไปไม่ได้ เกิดการตื่นรู้และรวมตัวกันขับไล่และล้มล้างทรราชในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่มีทางสำเร็จด้วยวิธีอหิงสาจึงต้องมีกำลังฝ่ายทหารที่ตื่นรู้รักบ้านรักแผ่นดินและรักพระมหากษัตริย์ออกมาจัดการ
"แน่นอนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อให้มีการปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้น ไม่มีทางใช้อำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยได้ ต้องเป็นอำนาจปฏิวัติแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น"
...
"เพราะฉะนั้นสังคมไทยกำลังเข้าสู่ทางแยก [Turning Point] ระหว่างการเป็นประชาธิปไตยแบบพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือประชาธิปไตยทุนนิยมแบบไอ้กันคือมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
"ทางหลังนั้นคือความหายนะล่มสลายของคนไทยทั้งชาติที่บรรดามหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์เช่นประเทศไทยแล้วยังเป็นการปล่อยให้บรรดานายทุนข้ามชาติทั้งภายในและภายนอกเข้ามาครอบครองประเทศด้วย เพราะบรรดานายทุนเหล่านี้คือพวกมองโลกแบบไร้พรมแดนไม่จำเป็นต้องมีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อีกต่อไป"
โรงงานเเห่งความตาย
สนธิสัญญาเจนีวามีข้อกำหนดห้ามทุกประเทศทั่ว โลกทำการทดลองหรือใช้อาวุธชีวภาพในการทำสงคราม เมื่อคนทั้งโลกเกรงกลัวต่ออาวุธชนิดนี้ย่อมแสดงว่ามันต้องเป็นอาวุธทำลาย ล้างที่ทรงอานุภาพมากที่สุด
ด้วยแนวความคิดนี้เองทำให้กองทัพญี่ปุ่นลักลอบละเมิดข้อตกลงในสนธิสัญญา เจนีวา ทำการก่อสร้างห้องทดลองลับยิ่งกว่าลับขนาดใหญ่กินเนื้อที่ 6 ตร.กม. เพื่อศึกษาและวิจัยอาวุธชีวภาพที่มีอำนาจการทำลายล้างสูงกว่าระเบิดนิวเคลียร์หลายเท่าตัว
เรื่องราวเริ่มขึ้นหลังจากที่ญี่ปุ่นบุกเข้ายึดดินแดนแมนจูเรียในปี 1932 กองทัพญี่ปุ่นได้สร้างค่ายกักกันเชลยซึ่งรู้จักกันในชื่อ ?ป้อมซงหม่า? เชลยในค่ายกักกันได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิ่มหมีพีมันผิดกับเชลยในค่ายกักกัน แห่งอื่น เนื่องจากพวกเขาจะถูกนำตัวไปเป็นหนูทดลองทางการแพทย์จึงจำเป็นต้องดูแลนัก โทษให้มีสุขภาพสมบูรณ์จึงจะสามารถวินิจฉัยสาเหตุการติดเชื้อและการเจ็บป่วย ได้อย่างถูกต้อง
พลโทชิโร อิชิอิ ผู้บัญชาการกรมแพทย์ทหาร ได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลเรื่องนี้โดยตรง แต่แล้วในเดือนสิงหาคม 1934 บรรดานักโทษได้รวมหัวกันแย่งอาวุธและกุญแจจากผู้คุม สามารถแหกค่ายกักกันออกมาได้หลายสิบคน ผู้ที่หนีรอดออกมาได้ป่าวประกาศให้ประชาชนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเชลย ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจปิดป้อมซงหม่าลงในเวลาต่อมา แต่นั่นมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายสำหรับชาวแมนจูเรียเท่านั้น
ลับยิ่งกว่าลับ
อิชิอิได้รับอนุมัติเงินงบประมาณก้อนใหญ่สำหรับก่อสร้างนิคมลับแห่งใหม่ ที่ห่างจากชุมชนในหมู่บ้านปิงฟาง ใกล้กับเมืองฮาร์บิน เพื่อปกปิดปฏิบัติการลับสุดยอด มันจึงถูกสร้างเป็นสถานีศูนย์วิจัยโรคระบาดและผลิตน้ำสะอาด
ในสมัยนั้นมีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตลงเพราะโรคระบาดหลายชนิด เช่น อหิวาห์และซิฟิลิส การรักษาโรคระบาดนั้นจำเป็นต้องเข้าใจถึงการฟักตัวและแพร่กระจายของโรคร้าย การมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตน้ำสะอาดให้กับกองทหารที่ต้องประจำการสถานที่ใน ต่างถิ่น
อิชิอิได้คิดค้นเครื่องผลิตน้ำสะอาดเคลื่อนที่ซึ่งสามารถพกพาติดตัวไปตาม สถานที่ต่างๆได้ มันมีประสิทธิภาพถึงขนาดสามารถกรองปัสสาวะให้กลายเป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ ว่ากันว่าความสำเร็จนี้ทำให้เขาได้เข้าเฝ้าและสาธิตการทำงานต่อหน้าพระ พักตร์จักรพรรดิฮิโรฮิโต
ภายในศูนย์วิจัยโรคระบาดและผลิตน้ำสะอาดถูกแบ่งออกเป็นหน่วยงานย่อยๆหลาย แห่ง และหนึ่งในนั้นคือหน่วย 731 ที่มีแต่เพียงเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าออกหน่วยงานนี้ ได้ แม้แต่ทหารญี่ปุ่นเอง หากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่รู้ว่าหน่วยงานนี้รับผิดชอบเรื่องอะไร ดังนั้น หน่วย 731 จึงเป็นหน่วยงานลับที่ซ่อนตัวอยู่ในนิคมลับ
โรงเลื่อยนรก
กองทัพญี่ปุ่นแจ้งกับหน่วยงานท้องถิ่นว่าหน่วยงาน 731 คือโรงเลื่อย บรรดาเชลยถูกกวาดต้อนมาคุมขังในหน่วย 731 ส่วนใหญ่เป็นชาวแมนจูเรีย รองลงมาคือชาวฟิลิปปินส์และเกาหลี ส่วนที่เหลือเป็นชาวรัสเซีย ด้วยเหตุที่คนภายนอกเชื่อว่าหน่วย 731 คือโรงเลื่อย ทหารญี่ปุ่นจึงเรียกพวกเชลยแบบติดตลกว่าท่อนซุง
สิ่งที่ทำให้หน่วย 731 เป็นความลับสุดยอดก็เพราะมันเป็นศูนย์วิจัยอาวุธชีวภาพ เชลยที่ถูกกวาดต้อนมาทุกคนจะถูกนำไปเป็นหนูทดลองเพื่อศึกษาการระบาดของโรค ติดต่อร้ายแรง และระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆทั้งในและนอกร่างกายขณะที่ผู้ถูกทดลองยังคงมี ลมหายใจ หากอิชิอิต้องการศึกษาการทำงานของหัวใจ เขาก็จะเอามีดกรีดลงบนหน้าอกเชลยแล้วแหวะดูดื้อๆ ที่สำคัญคือไม่มีการวางยาสลบผู้ถูกทดลอง พวกเขายังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ
อกิร่า มากิโนะ หนึ่งในผู้ช่วยแพทย์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันแรกที่เขาถูกส่งตัวไปทำงานในหน่วย 731 ว่า เชลยถูกนำตัวมามัดติดบนเตียงผ่าตัด พวกเขารู้ตัวว่าวาระสุดท้ายได้มาถึงแล้ว หากแต่สิ่งที่เชลยยังไม่รู้คือพวกเขาจะถูกผ่าแยกร่างทั้งเป็นโดยไม่มีการวาง ยาสลบ
ทันทีที่แพทย์หยิบมีดหมอ เชลยก็ส่งเสียงร้องตกใจ แพทย์กรีดมีดจากหน้าอกยาวลงไปถึงหน้าท้อง ผู้เคราะห์ร้ายดิ้นทุรนทุราย ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด สาเหตุที่ไม่มีการใช้ยาสลบก็เนื่องจากอิชิอิเกรงว่าฤทธิ์ยาสลบอาจมีผลต่อการ ทำงานของอวัยวะ ทำให้ไม่สามารถเรียนรู้การทำงานของอวัยวะได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
อิชิอิยังทำการทดลองแผลงๆอีกมากมายหลายอย่าง เช่น การตัดอวัยวะออกจากร่างแล้วต่อกลับเข้าไปใหม่แต่สลับข้าง การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง การสอดท่อเข้าทวารหนักแล้วอัดอากาศเข้าไปจนอวัยวะภายในระเบิด การทดสอบอานุภาพของระเบิดมือโดยใช้คนเป็นเป้า และการทดลองอื่นๆอีกมากมายที่เกินความคาดคิดของคนทั่วๆไป
อุตสาหกรรมขนาดใหญ่
หน่วย 731 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการลับที่ใช้ชื่อบังหน้าว่าศูนย์วิจัยโรคระบาดและ ผลิตน้ำสะอาด ยังมีหน่วยอื่นๆเช่นหน่วยศึกษาและวิจัยการเพาะเชื้อโรค นักโทษหญิงถูกฉีดเชื้อซิฟิลิสเข้าร่างแล้วบังคับให้หลับนอนกับนักโทษชาย หากนักโทษคนใดขัดขืนคำสั่งจะถูกยิง อิชิอิเฝ้าดูอาการของผู้ได้รับเชื้อโรค ทำการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในระยะต่างๆจนกระทั่งพวกเขาเสียชีวิต
นักโทษบางคนถูกจับให้ยืนแหงนหน้าอ้าปากในที่โล่งแจ้งโดยไม่รู้ตัวว่าอิชิ อิได้โปรยเชื้อโรคเข้าใส่เพื่อทำการทดลองว่าเชื้อโรคชนิดนั้นสามารถแพร่ กระจายโดยทางอากาศได้หรือไม่ เมื่อผลการทดลองเป็นบวก อิชิอิได้ทำการทดลองขั้นต่อไปโดยการสร้างระเบิดชีวภาพ เขาปล่อยเชื้อโรคลงในแหล่งน้ำของหมู่บ้านหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดโรคระบาดมีผู้คนเสียชีวิตราว 400,000 คน
การทดลองระเบิดชีวภาพได้ถูกระงับชั่วคราวหลังจากที่ประสบความล้มเหลวใน การทดลองครั้งที่ 5 เมื่ออิชิอิยิงระเบิดชีวภาพเข้าใส่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง กระแสลมได้เปลี่ยนทิศกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว ลมหอบเอาเชื้อโรคโหมเข้าใส่กองทหารญี่ปุ่นทำให้ทหาร 1,700 นายเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองพิสูจน์แล้วว่าระเบิดชีวภาพมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงอย่าง เหลือเชื่อ กองทัพญี่ปุ่นวางแผนที่จะใช้อาวุธชีวภาพบรรจุใส่บอลลูน 200 ลูก ปล่อยมันขึ้นจากเรือดำน้ำใกล้กับชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐ กระแสลมจะทำหน้าที่พัดบอลลูนเข้าสู่แผ่นดิน หากแผนการนี้สำเร็จจะมีคนเสียชีวิตเพราะโรคระบาดจำนวนหลายล้านคน
นับว่ายังโชคดีที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะมีการนำอาวุธชีวภาพมาใช้ อิชิอิสั่งให้สังหารเชลย 150 คนที่เหลืออยู่ในหน่วย 731 เพื่อปิดปากไม่ให้มีพยานและสั่งเจ้าหน้าที่ทุกคนห้ามเอ่ยถึงเรื่องราวที่ เกิดขึ้นในหน่วย หาไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะส่งคนไปตามล่าสังหารผู้ที่ปากโป้ง เขาไม่ลืมที่จะสั่งให้ทหารทำลายหลักฐานและอาคารสำคัญๆทิ้ง จากนั้นอิชิอิก็เดินทางกลับไปซ่อนตัวในประเทศญี่ปุ่น
ถึงกระนั้นสหรัฐก็ยังคงสามารถสืบทราบปฏิบัติการลับยิ่งกว่าลับของฝ่าย ญี่ปุ่น จากข้อมูลที่ระบุว่าอิชิอิประสบความสำเร็จในการทดลองหลายอย่าง เช่น การรักษาโรคหิมะกัด ความรู้ด้านการติดเชื้อและการแพร่กระจายของโรคระบาด ตลอดไปจนถึงการสร้างระเบิดชีวภาพ ทำให้สหรัฐมีความสนใจต้องการนำความรู้เหล่านี้มาใช้เป็นประโยชน์ทางการทหาร อีกทั้งยังระแวงว่าหากความรู้เหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของประเทศอื่นโดยเฉพาะ รัสเซียจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อครั้งที่ เยอรมันยอมแพ้สงครามแล้วส่งมอบเทคโนโลยีการสร้างขีปนาวุธ V2 ให้กับรัสเซีย
ด้วยเหตุนี้เองพลเอกดักลาส แมคอาร์เธอร์ จึงได้มอบหมายให้พลโทเมอร์เรย์ แซนเดอร์ ไปทำการเจรจากับอิชิอิ ยื่นข้อเสนอให้ส่งมอบข้อมูลงานวิจัยทั้งหมดเพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ดำเนิน คดีในข้อหาอาชญากรสงคราม ซึ่งแน่นอนว่าอิชิอิยอมรับข้อเสนอแต่โดยดีและเชื่อกันว่าอิชิอิยังได้ทำงาน วิจัยด้านอาวุธชีวภาพร่วมกับสหรัฐในรัฐแมริแลนด์และนำอาวุธชีวภาพนี้ไปใช้ใน สงครามเกาหลีหากแต่บุตรสาวของอิชิอิปฏิเสธข้อ้างดังกล่าว โดยระบุว่าบิดาของเธอใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นตลอดเวลา
ตลอดระยะเวลา 60 ปี สหรัฐให้ความร่วมมือปกปิดการมีตัวตนของหน่วย 731 ไม่มีเจ้าหน้าที่แม้แต่คนเดียวถูกดำเนินคดีแม้จะมีเชลยอย่างน้อย 12,000 คนเสียชีวิตในที่แห่งนี้ เพราะพวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะสงคราม ปัจจุบันหน่วย 731 ถูกขนานนามว่าเป็น ?โรงงานแห่งความตาย?
ที่มา : http://www.unigang.com/Article/6901
เอกสารที่คนเข้ารายงานตัว กับคสช.ต้องเซ็น
นี่เงื่อนไขหนึ่ง ที่ผู้เข้ารับรายงานตัวจาก คสช. ออกมาแล้วเงียบกันทุก เพราะว่าบันทึกเงื่อนไขของ คสช.
ข้อ 1. บอกที่อยู่ และไม่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุมัติ จาก หน.คสช.
ข้อ 2. ข้าพเจ้าจะละเว้นการเคลื่อนไหว หรือประชุมทางการเมืองใดๆ
ข้อ 3. หากข้าพเจ้าฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าว หรือดำเนินการช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง ข้าพเจ้ายินยอมที่จะถูกดำเนินคดีทันที และยินยอมถูกระงับธุรกรรทางการเงิน ต้องลงนาม ว่าได้รับการดูแลอย่างดี
เหตุการณ์พบคนไข้ถูกแมงมุมมีพิษกัดจน ลุกลามไปทั้งตัวรายนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 ก.ค. 57 นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ผวจ.แพร่ ได้พาสื่อมวลชนไปยัง รพ.แพร่ หลังจากที่ได้รับรายงานว่า มีคนไข้ถูกแมงมุมกัดไปรักษา ซึ่งอาการหนักนอนอยู่ที่ห้องไอซียูของโรงพยาบาล
นพ.วันชัย ล้อกาญจนรัตน์ ผู้อำนวยการ รพ.แพร่ ได้นำคณะขึ้นไปยังห้องอายุรกรรมชาย ไอซียู ซึ่งพบคนไข้ ทราบชื่อคือ นายอุทัย เวียงคำ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ 5 ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ มีบาดแผลที่บริเวณต้นขาซ้าย 1 แผล หลังเท้าขวามีแผลดำ บริเวณน่องซ้ายมีบาดแผลกว้างดำคล้ำ และขณะนี้พิษได้กระจายไปทั่วตัว ทำให้มีอาการเลือดคั่งเป็นจุดๆ
ถูกแมงมุมกัดขณะนอนหลับ จนพิษไข้กระจายทั่วตัว