Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ตร.เผยผลชันสูตรศพโรบิน วิลเลียมส์แขวนคอตาย

ArjanPong | 09-08-2557 | เปิดดู 3861 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 

 

 

 

        ตร.เผยผลชันสูตรศพโรบิน วิลเลียมส์แขวนคอตาย

 

 

 

 

      ตร.เผยผลชันสูตรศพโรบิน วิลเลียมส์แขวนคอตาย

 


ตำรวจสหรัฐอเมริกา แถลงยืนยันผลการชันสูตรพลิกศพ โรบิน วิลเลียมส์ ดารานักแสดงฮอลลีวู้ดชื่อดังฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอในบ้านพัก หลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้ามาอย่างหนัก

 

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐอเมริกาออกมายืนยันผลการชันสูตรพลิกศพของ โรบิน วิลเลียมส์ ดาราฮอลลีวูดชื่อดังฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอภายในบ้านพักรัฐแคลิฟอร์เนีย

 

ร้อยโท คีธ บอยด์ นายอำเภอเขต มาริน เคาน์ตี้ แถลงว่า โรบิน วิลเลียมส์ ถูกพบขณะมีชีวิตครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงเย็นวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นโดยภรรยาของเขา ก่อนที่เธอจะเข้านอน และออกจากบ้านในเวลา 10.30 น.วันต่อมา โดยเธอเชื่อสามียังคงนอนหลับอยู่ในห้องอีกห้องหนึ่ง ต่อมาในเวลาก่อนเที่ยงวันเพียงเล็กน้อยผู้ช่วยส่วนตัวของ โรบิน วิลเลียมส์ เคาะประตูเรียกหลายครั้งแต่กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ จึงเขาไปในห้องและพบว่า โรบิน วิลเลียมส์ เสียชีวิตแล้ว

 

หลังจากการชันสูตรพลิกศพเจ้าหน้าที่สืบสวนระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจจากการแขวนคอ แต่เจ้าหน้าที่กำลังรอผลตรวจทางพิษวิทยา ก่อนจะมีการสรุปการตรวจสอบ

 

ในอดีต โรบิน วิลเลียมส์ เคยพูดเอาไว้ว่า เขากำลังต่อสู้กับการติดยาและสุรา โดยตัวแทนของเขาแถลงว่า โรบิน วิลเลียมส์ ประสบปัญหาโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงมาตลอดในระยะหลายหลายปีนี้ จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้เขาตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง

 

 

 

 

 

ช่วยหยุดการฆ่าตัวตาย

ผศ.นพ.พนม เกตุมาน
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
Faculty of
MedicineSirirajHospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

 

ปัญหาการฆ่าตัวตายเริ่มพบมากขึ้นในสังคมไทย ซึ่งจะมีสาเหตุอะไรบ้าง และจะมีวิธีการอย่างไรไม่ให้เราเกิดความคิดฆ่าตัวตาย มีข้อแนะนำมาฝากครับ

เข้าใจการฆ่าตัวตาย
 

การฆ่าตัวตาย เกิดจากหลายสาเหตุแต่สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนคิดอยากฆ่าตัวตายเกิดจากโรคซึมเศร้า คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีความรู้สึกเบื่ออย่างรุนแรงแทบทุกอย่างในชีวิต เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ความเศร้าที่รุนแรงมาก ๆ อาจทำให้คิดว่าตนเองผิด ไร้ค่า และคิดอยากฆ่าตัวตาย การตายจึงเป็นเหมือนทางออกของปัญหาในระยะสั้น เพื่อไม่ต้องเผชิญปัญหาต่อไป ความคิดของคนที่จะฆ่าตัวตายมักไม่เห็นหนทางแก้ไขปัญหา ชีวิตมืดมนและหมดหวัง ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น



อาการของโรคซึมเศร้า มักเริ่มเป็นจากอาการน้อย ๆ แล้วมากขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถสังเกตได้ไม่ยาก ดังนี้


1.อารมณ์ไม่สนุกสนานเหมือนเดิม ไม่มีความสุข เบื่อ ท้อแท้ หงุดหงิด และเศร้า
2.หมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ เบื่อสิ่งที่เคยทำแล้วสนุก มีความสุข ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเจอใคร
3.เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก(บางคนกินมากเพื่อให้หายเครียด ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น)
4.นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือตื่นเร็วกว่าเดิม 2-3 ชั่วโมงแล้วนอนต่อไม่ได้(บางคนนอนมากขึ้น เนื่องจากไม่อยากทำอะไร พยายามนอนแต่ก็ไม่หลับ)


5.เหนื่อยหน่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไม่อยากทำอะไร
6.ความคิดช้า การเคลื่อนไหวช้า ไม่มั่นใจตนเอง ไม่กล้าคิด ลังเลตัดสินใจลำบาก
7.สมาธิความจำเสีย ตั้งใจทำงานไม่ได้ ลืมง่าย ความจำลดลง
8.คิดว่าตัวเองไร้ค่า ทำผิด ทำไม่ดี คิดต่อตัวเองไม่ดี
9.คิดอยากตายและพยายามฆ่าตัวตาย



โรคซึมเศร้า อาจเกิดหลังจากปัญหาความเครียดในชีวิต เช่น การสูญเสียคนรักหรือสิ่งที่รักในชีวิต ปัญหาเรื่องการเรียน การทำงาน ปัญหาอื่น ๆ แต่ในบางคนอาจเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุก็ได้ ถ้าเริ่มมีอาการน้อย ๆ ผู้นั้นมักจะรู้ตัวและอาจมาพบจิตแพทย์ แต่ถ้ามีอาการมากอาจไม่รู้ตัวและไม่มารับการรักษา บางคนกลัวว่าการมาพบจิตแพทย์แสดงว่า ตนเองเป็นโรคจิตโรคประสาท ทำให้ไม่ได้รับการรักษาและโรคมีอาการมากขึ้น จนถึงระดับที่คิดอยากตายได้ จากการสำรวจทั่วโลกพบว่า ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 100 คน มีเพียง 10 คน เท่านั้น ที่มาพบแพทย์และได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

รักษาโรคซึมเศร้า


การรักษาโรคซึมเศร้า เป็นการแก้ไขสาเหตุของการฆ่าตัวตาย โรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายได้ไม่ยาก เนื่องจากปัจจุบันนี้เรารู้สาเหตุแล้วว่าเกิดจากการทำงานแปรปรวนของสารสื่อนำประสาทที่มีผลต่ออารมณ์ ยารักษาโรคซึมเศร้าช่วยให้การทำงานของสารสื่อนำประสาทนั้นกลับมาเป็นปกติ ผู้ป่วยร้อยละ 80 รักษาให้หายได้ เมื่อได้รับยาร่วมกับการรักษาทางจิตใจ เมื่อหายป่วยแล้วจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม โรคซึมเศร้าจึงไม่ใช่โรคจิตหรือโรคประสาท แต่เป็นโรคทางอารมณ์ที่สามารถรักษาให้หายได้


หากเราสงสัยว่าคนใกล้ชิดมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า เช่น ซึมเฉย เงียบ ไม่พูดไม่จา เฉื่อยชา เชื่องช้า ทำอะไรผิดไปจากเดิมมาก ๆ การเรียนหรือการทำงานเสียไป บางคนอาจใช้คำพูด เช่น รู้สึกเบื่อจัง ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” “ฝากดูแลลูกด้วยนะหรือดำเนินการบางอย่างที่น่าสงสัยว่าจะไม่อยากมีชีวิตต่อไป เช่น ทำพินัยกรรม โอนทรัพย์สมบัติให้ลูกหลาน เราควรให้ความห่วงใยสอบถามถึงความรู้สึก ความคิดและอาการของโรคซึมเศร้า เป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ทำให้คนที่กำลังซึมเศร้ารู้สึกว่ามีคนห่วงใย มีเพื่อน มีที่พึ่ง ช่วยให้อาการซึมเศร้าดีขึ้นและไม่คิดอยากฆ่าตัวตาย ถ้าพบว่าผู้ใดมีอาการของโรคซึมเศร้าข้างต้นเกิน 5 ข้อ ควรแนะนำให้ผู้นั้นมาพบจิตแพทย์ เพื่อรับการตรวจและช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว การรักษาโรคซึมเศร้าได้เร็วจะช่วยป้องกันการฆ่าตัวตายได้

 

ถ้าสงสัยว่าผู้นั้นคิดฆ่าตัวตายหรือไม่ ควรถาม


การถามเรื่องการฆ่าตัวตายสามารถทำได้ เพราะอาจช่วยรักษาชีวิตเขาไว้ได้ วิธีการถามควรใช้ชุดคำถามแบบขั้นบันได ดังนี้

1.เมื่อพบว่าใครมีอารมณ์ซึมเศร้า ให้ถามว่าความเศร้านั้นมากจนทำให้เบื่อชีวิตหรือไม่
2.ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า ความรู้สึกเบื่อชีวิตนั้น ทำให้คิดอยากตายหรือไม่
3.ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่าเมื่อคิดอยากตาย เคยคิดจะทำหรือไม่
4.ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า คิดจะทำอย่างไร

5.ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า เคยทำหรือไม่
6.ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า เคยทำอย่างไร
7.สุดท้าย ให้ถามต่อไปว่า มีอะไรยับยั้งใจ หรือหยุดความคิดนี้ได้ จนทำให้ไม่ได้ทำ

คำถามข้อสุดท้ายไม่ว่าจะตอบอย่างไร แสดงถึงปัจจัยบวกของผู้นั้นที่ช่วยให้เขายั้งคิด และป้องกันไม่ให้ฆ่าตัวตาย ควรชมและส่งเสริมให้กำลังใจในข้อดีนี้ เพื่อให้เป็นปัจจัยป้องกันในครั้งต่อไป

บางคนเชื่อว่า การถามเรื่องฆ่าตัวตายจะไปกระตุ้นคนที่ยังไม่คิดให้คิด หรือกระตุ้นให้คนที่คิดอยู่บ้างทำจริง ๆ ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้องเพราะในความเป็นจริงการถามเรื่องนี้ไม่ได้ชักจูงหรือกระตุ้นให้คิดหรือทำ แต่สำหรับคนที่คิดจะทำอยู่แล้ว เมื่อมีคนถามจะรู้สึกว่ามีคนเข้าใจความรู้สึกดีขึ้นจนไม่คิดอยากทำ

 

เราทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยป้องกันการฆ่าตัวตาย โดย...


สนใจ ใส่ใจ สังเกตตนเอง เพื่อน ๆ และคนใกล้ชิด ว่ามีอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่ ถ้ามีอาการมากให้ถามถึงอาการซึมเศร้า และถามถึงความคิดอยากฆ่าตัวตาย
ถ้าตนเองเกิดโรคซึมเศร้า ให้ปรึกษาทีมสุขภาพจิตโดยเร็ว
แนะนำผู้ที่มีอาการซึมเศร้า รีบมาพบทีมสุขภาพจิต

เพราะการรักษาอย่างรวดเร็วจะได้ผลดีกว่า โดยเฉพาะผู้ที่มีความคิดอยากตายหรือฆ่าตัวตาย ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

 

                                         ความฝันอันสูงสุด

 

 

ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลเดชฯ
คำร้อง : ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค

 

 

ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง

จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป

นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง หมายผดุง ยุติธรรม อันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่ เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
ยังคงหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย

 

 

พล ตต. เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน รอง ผบ.ตำรวจตระเวนชายแดน ได้เล่าประวัติความเป็นมา ของเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ไว้ในหนังสือ "วารสารลูกเสือชาวบ้าน" ของ มานพ ลิ้มจรูญ ฉบับปฐมฤกษ์ ซึ่งผมขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อว่า เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณอดีตมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปี

 

สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จฯ ไปที่ ต.แม่อาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จฯ มาตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นี้ก่อนยกทัพเข้าไปตีเมือง ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆ อยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จนเรศวรมหาราชทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง หลังจากเสร็จพระราชพิธี เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จฯ กลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์

 

ในคืนนั้น ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้น ที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคม โดยที่ทรงทราบจาก พระวรกายและฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกว่า คือ องค์พระนเรศวรมหาราช และได้มีกระแสพระดำรัส แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้น อย่างน่ากลัวอันตราย เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน (อนาคตนั้นก็น่าจะเป็น สมัยปัจจุบันนี้เอง -ผู้เรียบเรียง) ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นกำลังพระทัยถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ให้ผ่านพ้นไปได้

 

และพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน จักเป็นผู้นำให้ชาติไทยและประชาชนชาวไทย ผ่านพ้นห้วงวิกฤตินี้อย่างแน่นอน และพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป และขอให้ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ ที่เขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิด แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ เหมือนกับการทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา

 

และเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะถวายชีวิต เพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย จึงทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้ ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม และทรงประทับนั่งก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็น องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไป

 

เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว และจากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา.....

 

 

 

 

 

 

 

 

          จี้ “ปู”เดินหน้าสู้คดีปล่อยโกงจำนำข้าว

 

                                    

 

   

“หมอวรงค์ ” จี้ “ปู” เดินหน้าสู้คดีปล่อยโกงจำนำข้าว หลังเดินทางกลับไทย อย่าใช้วิธีเตะถ่วง คดีจะได้จบไว ๆ

 

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยหลังจากขออนุญาตคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เดินทางไปพักผ่อนที่ยุโรปว่า ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ บริสุทธิ์ใจก็ต้องเข้าต่อสู้คดีการปล่อยปละละเลยจนเกิดปัญหาการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาโดยต้องสู้คดีตามข้อเท็จจริง ที่ผ่านมาน.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อสู้คดีโดยใช้มิติทางด้านการเมืองกล่าวหา ว่า ป.ป.ช.เร่งรีบรวบรัดในการสอบสวนคดี ซึ่งไม่เป็นความจริง

 

นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังขอเพิ่มพยานอีก 8 ปากให้อัยการสูงสุดไต่สวนเพิ่มทั้ง ๆ ที่ผ่านมาได้เคยยื่นให้ ป.ป.ช.ไต่สวน เช่นกัน และถูก ป.ป.ช.ไม่รับไต่สวนพยานเพิ่มมาแล้ว สิ่งเหล่านี้แสดงว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีพฤติกรรมยื่นเพิ่มตลอดแบบไม่จบสิ้นถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ คิดว่ามีข้อเท็จจริงที่ต้องแก้ในคดี หรือมีหลักฐานอะไรเพิ่มควรจะยื่นเรื่องทีเดียว ปัญหาจะได้จบ แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับใช้วิธียื่นคำร้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้คนมอง ว่า ต้องการเตะถ่วงหรือไม่.

 

 

 

แถมอีกภาพ หาว่าคุณยิ่งลักษณ์ให้เงิน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



 

 

 

 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                            เรื่องซึ้งๆของแม่ที่มีต่อลูก

 

  

 
 
 
 
 
 
 
 
  
 
 
 
 
 
 
 
 
แม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต


1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็กๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อยๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว
แม่จะแบ่งข้าวมาให้ผมเพิ่มขึ้นอีก พร้อมทั้งพูดว่า "ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น
นะ ส่วนแม่ไม่ค่อยหิว" นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม

2. เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าผม
จะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของผม แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้างๆ ผม
แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมไ ด้กินเนื้อปลาไปแล้ว ผม
รู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่ แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับ
กล่าวว่า
"ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม

3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้
พิเศษด้วยการรับงานเล็กๆ น้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอน
ตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน " แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว
พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก" แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่
เหนื่อย...นอนไม่หลับ" ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม

4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย แม่อุตส่าห์หยุดงานไป
เป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจให้ผม มันเป็นวันที่แดดร้อนมากๆ...แม่ต้องรอผม
อยู่หลายชม. เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่ เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วม
ตัว.. แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและ
ร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อน แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ" นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม

5. หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิต คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมาก
ขึ้นเพียงไร คุณลุงที่อยู่ข้างๆ บ้านท่านเป็นคนดี พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเรา
เสมอ....เช่น ซ่อมแซมบ้านที่ผุพัง..ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงานใหม่ แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า "แม่มีลูกอยู่ทั้ง
คน...แม่ไม่ต้องการความรักอีก" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว

6. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้งๆ ที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่ (ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคืนให้ผมอีก แม่พูดกับผมว่า
"แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6

7. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า.. ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกา เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่กับผมที่อเมริกา เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน" ครั้งที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม

8. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อยๆ.. ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่า

ตัด ที่โรงพยาบาล ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักทันที แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโทรมลงอย่างมาก แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ
"ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว" นี่เป็นครั้งที่ 8
 

ที่แม่โกหกผม และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม
แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ
หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ 8 จบลง
 
 
 
 
 
 
 

           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   อุ้มบุญ คืออะไร มารู้จักวิธีอุ้มบุญ เด็กอุ้มบุญกัน

 

 

 

การอุ้มบุญ
การอุ้มบุญเป็นพัฒนาการทางการแพทย์ที่เพิ่มโอกาสให้หญิงผู้ประสบปัญหามีบุตรยาก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

อุ้มบุญ คืออะไร คำถามที่ได้ยินหลังมีข่าวน้องแกมมี่ เด็กอุ้มบุญที่ถูกพ่อแม่ไม่รับ ว่าแต่ การอุ้มบุญ คืออะไร การอุ้มบุญในประเทศไทยผิดกฎหมายหรือไม่ เรามีข้อมูลมาฝาก

 
การอุ้มบุญ เป็นสิ่งที่อาจไม่คุ้นหูคนทั่วไป แต่สำหรับคู่รักที่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะกรณีที่ฝ่ายหญิงมีปัญหาเรื่องมดลูก การอุ้มบุญเป็นตัวเลือกที่หยิบยกขึ้นมาพิจารณาบ่อย และเป็นทางเลือกที่มีค่ามาก ช่วยเติมเต็มความฝันและเติมความสมบูรณ์ให้คำว่าครอบครัวได้

การอุ้มบุญคืออะไร

การอุ้มบุญ (surrogacy) หรืออาจเรียกให้เข้าใจง่ายและเห็นภาพได้ชัดเจนว่าเป็นการยืมมดลูกหญิงอื่นเพื่อตั้งครรภ์แทน ใช้ในกรณีที่ผู้มีความประสงค์จะมีบุตรแต่ไม่สามารถตั้งท้องเองได้ โดยมีภาวะที่ทำให้ตัวอ่อนไม่ฝังตัวในมดลูก ภาวะไร้มดลูก หรือมดลูกมีความผิดปกติใด ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถเป็นที่อาศัยของตัวอ่อนทารกได้ กระบวนการคือนำน้ำเชื้อและไข่มาผสมกันภายนอก เช่นเดียวกับกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) จากนั้นจึงฉีดเข้าไปเพื่อให้ฝังตัวตัวในมดลูกของผู้รับฝากครรภ์หรือคุณแม่อุ้มบุญนั่นเอง

การอุ้มบุญมีอยู่สองลักษณะ

อุ้มบุญแบบแรกเรียกว่า อุ้มบุญแท้ (Full suroogacy หรือ Traditional surrogacy) คือการใช้น้ำเชื้อจากฝ่ายชายของคู่ที่ต้องการมีบุตร ผสมกับไข่ของแม่ผู้อุ้มบุญ และฉีดฝังในมดลูกของคุณแม่อุ้มบุญ จะเห็นได้ว่าไม่มีกระบวนการใดเกี่ยวข้องทางชีวภาพกับคุณแม่หรือคุณภรรยาตัวจริงของคุณพ่อที่ต้องการมีบุตรเลย อาจเนื่องมาจากคุณภรรยาผ่าตัดนำรังไข่ออกไป หรือมีปัญหารังไข่ไม่สามารถผลิตไข่ที่สมบูรณ์ได้ คุณแม่ผู้อุ้มบญแท้คือผู้ที่ให้ทั้งไข่และมดลูก

อุ้มบุญแบบที่สองเรียกว่า อุ้มบุญเทียม (Partial surrogacy หรือ Gestational carrier) คือการที่ใช้น้ำเชื้อและไข่จากคู่คุณพ่อคุณแม่ที่แท้จริง แล้วจึงฝากไข่ที่รับการผสมเรียบร้อยแล้วเข้าไปในตัวของคุณแม่อุ้มบุญ ผู้จะทำหน้าที่เป็นผู้ตั้งครรภ์แทนจนกว่าทารกจะคลอดออกมา ในกรณีนี้เด็กทารกจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมใด ๆ กับคุณผู้อุ้มบุญเลย แม่อุ้มบุญทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ให้ยืมมดลูกเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันการอุ้มบุญเทียมเป็นทางเลือกได้รับความนิยมมากกว่าการอุ้มบุญแบบแรก

โอกาสประสบความสำเร็จในการอุ้มบุญ

การตั้งครรภ์ในการอุ้มบุญก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในสัดส่วนเท่า ๆ กับการตั้งครรภ์ทั่ว ๆ ไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความพร้อมของมดมูลคุณแม่ซึ่งเป็นผู้อุ้มบุญนั่นเอง เพราะหากไข่ที่ได้รับการผสมกับสเปิร์มจากภายนอกเรียบร้อยแล้วได้รับการฉีดเข้าไปในมดลูกของผู้อุ้มบุญ โอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวและพัฒนาเป็นทารกได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของมดลูกของคุณแม่อุ้มบุญนั่นเอง คือต้องมีความหนาของผนังมดลูกที่เหมาะสม มีระดับฮอร์โมนในร่างกายเหมือนกับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งก่อนดำเนินการถ่ายตัวอ่อนคุณแม่อุ้มบุญก็จะต้องรับประทานยาเพื่อปรับระดับฮอร์โมนให้เหมาะสมพร้อมจะตั้งท้องไว้ก่อนล่วงหน้า

นอกจากนี้ เปอร์เซ็นค์ความสำเร็จในการอุ้มบุญยังขึ้นอยู่กับอายุของคุณแม่ผู้รับท้องแทน ซึ่งควรอยู่ในช่วงวัย 20-35 ปี อันเป็นวัยเจริญพันธุ์ รวมทั้งควรผ่านการมีบุตรมาแล้วอย่างน้อย 1 คน เพื่อลดความยุ่งยากหรือภาวะแทรกซ้อนที่มักเกิดขึ้นได้ง่ายสำหรับการตั้งครรภ์ท้องแรกด้วย ส่วนหลังจากเมื่อตัวอ่อนเกาะกับมดลูกดีแล้ว การดูแลร่างกายของคุณแม่อุ้มบุญก็ไม่ต่างจากคุณแม่ท้องทั่ว ๆ ไป

เด็กมีโอกาสได้รับถ่ายทอดสิ่งใดจากแม่ผู้อุ้มบุญหรือไม่

หากพูดถึงในแง่กรรมพันธุกรรมแล้ว ทารกในท้องจะไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับแม่ผู้อุ้มบุญเลย ตราบเท่าที่ทารกนั้นเกิดจากการผสมกันของสเปิร์มของคุณพ่อและไข่ของคุณแม่ที่แท้จริง (เป็นกรณีของ Partial surrogacy) ซึ่งผสมกันมาเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนจะฉีดเข้าในมดลูกของผุ้อุ้มบุญแล้ว แต่นอกเหนือจากแง่พันธุกรรมแล้ว ทั้งสภาพอารมณ์หรือสุขภาพของคุณแม่ผู้ท้องแทนสามารถส่งผ่านถึงทารกในครรภ์ได้ไม่ต่างกับการตั้งท้องปกติ ซึ่งเป็นการถ่ายทอดผ่านทางรกและระบบการทำงานของร่างกายที่ส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้ ฉะนั้นเพื่อให้ทารกคลอดออกมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงมากที่สุด แม่อุ้มบุญจึงจำเป็นต้องผ่านการตรวจโรคอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่ามีสุขภาพแข็งแรงดี และต้องรักษาสุขภาพและบำรุงตนเองอย่างดีระหว่างตั้งครรภ์ด้วย

การอุ้มบุญในประเทศไทย

ในขณะหลาย ๆ ประเทศในแถบเอเชีย เช่น ไต้หวัน จีน การอุ้มบุญถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ด้วยความอ่อนไหวว่าอาจขัดต่อศีลธรรมอันดี โดยเฉพาะกรณีว่าจ้างหรือรับจ้างท้องแทน เนื่องจากร่างกายของผู้หญิงมิใช่สิ่งที่พึงซื้อขายกันได้ แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน การอุ้มบุญในประเทศไทยจึงเติบโตในอัตราค่อนข้างสูง ถึงขนาดที่คู่รักต่างชาติเข้ามามองหาแม่อุ้มบุญในไทยเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดีในทางกฏหมายของบ้านเรานั้น จะถือว่าหญิงผู้ให้กำเนิดหรือผู้ที่คลอดเด็กออกมานั้นเป็นแม่ที่แท้จริงของเด็ก ในใบสูติบัตรจึงระบุชื่อของแม่อุ้มบุญว่าเป็นแม่ที่แท้จริง แม้ว่าผู้อุ้มบุญจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายเลือดใด ๆ กับเด็กเลยก็ตาม สิ่งนี้จึงอาจก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากในภายหลังเกี่ยวกับการอ้างสิทธิความเป็นแม่ในตัวเด็ก หากว่าผู้อุ้มบุญเกิดความผูกพันกับทารกขึ้นมา ฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้วการอุ้มบุญสำหรับคู่รักชาวไทยจึงนิยมไหว้วานแม่อุ้มบุญที่เป็นญาติพี่น้องที่สนิทสนมและไว้ใจได้เท่านั้น

อย่างไรก็ดีขณะนี้คณะกรรมการแพทยสภากำลังพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการอุ้มบุญอยู่ ซึ่งในอนาคตหากมีการบัญญัติกฎหมายว่าด้วยเรื่องการอุ้มบุญขึ้นเป็นรูปร่าง ก็อาจให้สิทธิ์แม่ผู้เป็นเจ้าของไข่ได้เป็นแม่ที่แท้จริงและถูกต้องตามกฎหมายก็ได้

การอุ้มบุญเป็นพัฒนาการทางการแพทย์ที่เพิ่มโอกาสให้หญิงผู้ประสบปัญหามีบุตรยากได้มีทายาทมาเชยชมสมใจ หากต้องพึงระวังเรื่องของความอ่อนไหวในประเด็นด้านจริยธรรมเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้ามีการเตรียมความพร้อมมาอย่างดี และยินยอมพร้อมใจกันอย่าถูกต้องทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายคู่ที่ต้องการมีบุตร และหญิงผู้เป็นคุณแม่อุ้มบุญ ความปราถนาที่จะให้กำเนิดทารกตัวน้อย ๆ ขึ้นมาเป็นแก้วตาดวงใจก็คงไม่ยากเกินไปนักค่ะ
 

 


------------------------------------------------------------------------------

 

 

 

       ป.ป.ช. ปรับหลักสูตร ดัน 'ลูกเสือช่อสะอาด' เป็นวิชาบังคับ

 

 
ป.ป.ช. จับมือ ลูกเสือแห่งชาติ จัดโครงการลูกเสือช่อสะอาด ปรับปรุงหลักสูตร-คู่มือผู้ให้การฝึกอบรม เพื่อใช้ในการเรียนการสอนตามสถานศึกษา พร้อมดันให้เป็นวิชาพิเศษบังคับเรียน ระหว่างวันที่ 13-15 ส.ค. ที่บ้านท้ายหาด สมุทรสาคร...

วันที่ 11 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักป้องกันการทุจริตภาคการเมือง ร่วมกับสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อปรับปรุงหลักสูตรและการจัดทำคู่มือสำหรับผู้ให้การฝึกอบรมหลักสูตรลูกเสือช่อสะอาด ระหว่างวันที่ 13-15 ส.ค. 57 ที่บ้านท้ายหาด รีสอร์ต แอนด์ วอเตอร์ สปอร์ต อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการปลูกจิตสำนึกในเด็กและเยาวชนให้ตระหนักถึงปัญหาการทุจริต และพัฒนาตนเองสู่การเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรมจริยธรรมผ่านหลักสูตรวิชาลูกเสือเนตรนารีในสถานศึกษาทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ จะนำหลักสูตรและคู่มือสำหรับผู้ให้การฝึกอบรมหลักสูตรลูกเสือช่อสะอาดที่สมบูรณ์ โดยจัดอบรมครูผู้ปฏิบัติการสอน เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำหลักสูตรและคู่มือไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาลูกเสือและเนตรนารี สำหรับเยาวชนในสถานศึกษา รวมถึงส่งเสริมให้มีการจัดตั้งหน่วยลูกเสือช่อสะอาดในสถานศึกษา และผลักดันให้วิชาลูกเสือช่อสะอาดเป็นวิชาพิเศษ และเป็นวิชาบังคับให้ผู้เรียนวิชาลูกเสือทุกคนต้องเรียน.

 

 

  หากศึกษาความเป็นมาของลูกเสือ ที่ลอร์ดเบเดน เพาเวล ก่อตั้งขึ้นนั้น ก็เป็นเพียงการออกแบบกิจกรรมอะไรบางอย่างที่ต้องการพัฒนาความเป็นสุภาพบุรุษหรือลูกผู้ชาย โดยให้มีจิตใจเข้มแข็ง รู้จักเสียสละ และมีร่างกายที่แข็งแรง แต่เพื่อให้เด็กผู้ชายในยุคนั้นสนใจ ก็เลยต้องออกแบบกิจกรรมลูกเสือให้สนองธรรมชาติของเด็กผู้ชายด้วย โดยการบูรณาการการพัฒนาจิตใจและร่างกายเข้าไปในกิจกรรมที่เด็กผู้ชายชอบ เช่น การผจญภัย การเดินทางไกล จึงต้องมีการสอนทักษะจำเป็นบางอย่างในการผจญภัยไว้ให้ด้วย เช่น การเรี่ยนรู้เรื่องเงื่อนเชือก การทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำและผุ้ตาม ระเบียบวินัย เป็นต้น

 

แต่พอมาหลังๆ กิจกรรมลูกเสื้อก็ถูกแปรเปลี่ยนไป บางประเทศใช้ลูกเสื้อเป็นเครื่องมือทางการเมืองก็มี อีกทั้งมองกิจกรรมลูกเสือเป็นพิธีกรรมสำคัญที่ขาดไม่ได้ในโรงเรียน จนมีการบังคับให้เด็กทุกคนต้องเป็นลูกเสือ ทั้งๆที่หลายคนไม่ได้อยากเป็น บังคับไปจนถึงเด็กโตระดับอาชีวฯ เราจึงได้เห็นลูกเสืออาชีวะแต่งเครื่องแบบเพี้ยนๆกันเยอะแยะ การเรียนการสอนลูกเสือก็ทำไปอย่างแกนๆ ไม่ได้สนองตอบธรรมของเด็กๆเลย ...

 

 

Chayapat Dittajaroen ถ้าไม่เป็นวิชาลูกเสือก็ให้เป็นทหารเยาวชนไปเลยครับ ไม่น่าเป็นทางเลือกครับ และเชิญทหารจริงๆมาฝึกเลย ไม่เอาคุณครูมาฝึก สอนความรักชาติจริง ให้เล่าเรื่องราวความรู้สึกเมื่ออกรบ ความรู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับประชาชนอันเป็นที่รัก เมื่อเวลาที่เด็กดูทีวีเห็นสงคราม และ การปฎิวัติในประเทศไทยจะได้เข้าใจของจริง ให้เข้าใจว่าชีวิตที่หนีทหารมันเป็นยังไง ให้เข้าใจการสูญเสีย และให้รู้คุณค่าและเกียรติยศของทหารที่แท้จริง เพราะเขาไม่เคยเห็นลูกเสือออกไปทำอะไรดีดีแล้วในปัจจุบัน ให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งที่เสมือนจริง ให้เด็กได้วางแผนเช่นช่วยคนจมน้ำจริง ไม่ใช่แค่อยู่แต่ในห้องเรียน และเข้าค่ายเท่านั้น แต่ขอยืนยันว่า ควรเป็นวิชาบังคับครับ ไม่ใช่ทางเลือก

 

 

Khunbum Chintanakul วิชาลูกเสือมีประโยชน์นะ แต่ลูกเสือสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน เด็กจะช่วยเหลือตนเองได้จาการเข้าค่าย แต่ก่อนต้องกางเต็นท์เอง หุงข้าวเอง สมัยนี้มีบ้านพัก มีแม่ครัวทำกับข้าวให้พร้อม แล้วจะไปเข้าค่ายทำไม ไม่มีประโยชน์

 

 

Big-bottom Bigbig วิชาลูกเสือเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ฝึกให้เด็กมีวินัย รู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ค้นหาตัวเอง ฝึกระเบียบ รับผิดชอบตัวเอง ในวิชาลูกเสือ พัฒนาสติปัญญา ทางกาย ทางใจ เป็นพลเมืองดี ช่วยเหลือสังคม ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ในระดับชั้นสูงๆ ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่จะได้เรียน การปฐมพยาบาล ระเบียบหมู่การอยู่ร่วมกับผู้อื่น หน้าที่ของผู้นำ การบำเพ็ญประโยชน์ การเดินทางเมื่อหลงป่าใช้เข็มทิศ การดูดาว ดูทิศทาง ช่วยเหลือคน เงื่อน การทำอาหาร การเอาตัวรอดเมื่อต้องอยู่ในป่า การแสดงออก และอื่นๆ อีกหลายวิชา ยิ่งสามัญรุ่นใหญ่มีทั้งหมด 76 วิชาให้เลือกเรียน เพราะวิชาลูกเสือต้นกำเนิดเขาอยู่ประเทศอังกฤษ ถ้าอยากให้เด็กไทยเห็นแก่ตัว ทำอะไรไม่เป็นก็ไม่ต้องคับเรียน แต่ถ้าอยากให้เด็กไทยเป็นเด็กที่มีคุณธรรมจริยธรรม ซื่อสัตย์ รักษาคำพูด ก็สมควรที่จะบังคับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วิเคราะห์ข่าว : ทำไมอเมริกาถึงอยากบุกซีเรียนัก

 

เมื่อปี พ.ศ. 2523 อายาตุลลอฮ์รูฮุลลอฮ์ มูซาวี โคมัยนี ได้ทำการปฏิวัติประเทศอิหร่านโดยไล่ชาร์ ปาร์ลาวี(กษัตริย์)ออกจากอิหร่าน และเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยใช้หลักการศาสนาอิสลามเข้ามาปกครองบริหารประเทศ นี้คือสิ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริการับไม่ได้ นอกจากผลประโยชน์ของตนเองในอิหร่านจะเสียหายไม่เหลือแล้ว อเมริกายังกลัวว่าอิหร่านจะเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นๆเลียนแบบโดยนำหลักการอิสลามมาปกครองในประเทศ

 

หลังจากนั้นอเมริกาก็เร่งสร้างตัวละครเพื่อมาล้มอิหร่าน และอเมริกาก็ปั้นซัดดัม ฮุสเซน จนกลายเป็นประธานาธิบดีอิรัค และให้ซัดดัมนำทหารเข้าสู่สมรภูมิรบกับอิหร่านนานถึง 8 ปี(สงครามอ่าวเปอร์เซีย) เมื่อปราบอิหร่านไม่สำเร็จ ซัดดัม ก็กลายเป็นขยะชิ้นหนึ่งซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเก็บไว้ และสุดท้ายก็โดนกำจัดในที่สุดด้วยข้อหามีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง แต่ต่อมาเมื่อค้นหาก็เป็นที่รู้ว่าอิรักไม่มีนิวเคลียร์สักลูก เจอแต่ขีปนาวุธที่เคยรับจากอเมริกาทั้งนั้น

 

ประเทศสหรัฐอเมริกามีแผลใหญ่ในใจอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการแพ้สงครามในเวียดนาม และเรื่องที่สองคือการฟาดฟันกับอิหร่านอย่างถึงพริกถึงขิงนาน 30 ปี แต่ทำอะไรอิหร่านไม่ได้เลย ใช้เฮลิคอปเตอร์กี่ลำบุกเข้าไปก็ร่วงหมด สู้กันด้วยกำลังอาวุธและทหารยังไงก็ไม่ชนะ จนสุดท้ายอเมริกาต้องยืมมือสหประชาชาติเข้าไปบอยคอตอิหร่าน เจ็บใจกว่านั้นคือประชาชนอิหร่านก็ยังอยู่กันอย่างปกติ การบอยคอตแทบไม่เกิดผลอันใดเลยกับอิหร่าน โดยปัจจุบันผู้นำสูงสุดของประเทศอิหร่านคือ ฯพณฯ อยาตุลลอฮ์ซัยยิด อาลี คอมาเนอี ก็ยังมีแนวทางการเมืองเช่นเดิมต่ออเมริกาคือไม่มีการอ่อนข้อให้อย่างเด็ดขาด

 

ประเทศซีเรียถือเป็นประเทศหนึ่งซึ่งประกาศตนว่าเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน การมีความสัมพันธ์อันดีฉันท์มิตร การติดต่อค้าขายการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นการหยามหน้าพี่เบิ้มอย่างอเมริกาเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าเรามองให้ดีๆและติดตามข่าวสารอยู่บ้างก็จะรู้ว่าประเทศอเมริกาจะไม่บุกประเทศที่ไม่มีประโยชน์ อย่างเมื่อก่อนหน้านี้ประเทศเกาหลีเหนือเคยถูกกล่าวหาว่ามีอาวุธนิวเคลียร์(ซึ่งก็มีจริง) อเมริกาก็ไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง แค่ขู่ๆเท่านั้น แต่ดันเจอของจริงเมื่อเกาหลีเหนือท้าให้มาบุก อเมริกาก็ไม่แน่จริงอย่างที่ขู่รีบม้วนเสื่อกลับบ้านพลางบอกว่าเห็นแก่สิทธิมนุษยชน ซึ่งทุกประเทศเค้ารู้ดีว่าอเมริกาเป็นอย่างไร

 

ประเทศซีเรียก็เช่นเดียวกันเป็นประเทศที่ไม่มีอะไรเลย น้ำมันมีแต่น้อย ก๊าซธรรมชาติก็พอใช้ในประเทศ แร่ธาตุแทบจะไม่มี นอกจากจะเอาไว้เป็นที่วางท่อเพื่อดูดน้ำมันจากอิรัคมาที่ทะเล และเมื่อซีเรียเป็นอย่างข้างต้นที่ผมบอกแล้วอเมริกาจะมายุ่มย่ามอะไรกับซีเรีย หนึ่งในบรรดาเหตุผลทั้งหลายคือซีเรียเป็นเพื่อนสนิทกับอิหร่านและซีเรียเองก็ให้ความช่วยเหลือกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ในเลบานอน ที่ต่อไปจะเป็นอันตรายต่ออิสราเอลมาก ซึ่งถ้าหากกำจัดซีเรียได้ การจัดการกับอิหร่านก็จะง่ายขึ้น แต่เท่าที่ผมสังเกตุผมว่ายังไงอเมริกาก็ไม่กล้าบุกอิหร่าน ซึ่งถ้าอเมริกาบุกอิหร่านจริง ก็จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างแน่นอน

 

เนื่องจากมหาอำนาจต่างๆจะถูกลากเข้ามาตีรันฟันแทงกันในสงครามนี้ ไหนจะรัสเซียที่ทำสงครามเย็นกับอเมริกามาตลอด ไหนจะจีนพี่เบิ้มแห่งเอเชียที่มีทหารประมาณ400ล้านคนเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก็เป็นคู่ค้าและพันธมิตรที่ดีของอิหร่าน ยังไม่รวมประเทศเล็กประเทศน้อยอีก ซึ่งอเมริกาก็รู้ดีว่าได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นในตอนนี้อเมริกาทำยังไงก็ได้เพื่อให้อิหร่านอ่อนแอลงและนั้นก็คือการจัดการซีเรีย ประธานาธิบดีบาชัร อัซซาด เป็นนายแพทย์ที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง แกจะไม่รู้หรอกหรือว่าถ้าใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนเมื่อใด ก็จะกลายเป็นเหยื่อของอเมริกาและชาติตะวันตกเมื่อนั้น

 

ในขณะที่ข่าวการใช้อาวุธเคมีแพร่กระจายออกไปนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่กองกำลังฝ่ายกบฎกำลังจนมุม หรือพูดง่ายๆคือกำลังจะถูกถอนรากถอนโคนโดยฝ่ายรัฐบาล แล้วนายบาชัร อัซซาด จะใช้อาวุธเคมีเพื่ออะไรเมื่อได้เปรียบอยู่สุดกู่ขนาดนั้น และที่สำคัญการใช้อาวุธเคมีนอกจากจะฆ่ากองกำลังกบฎแล้วมันยังฆ่าประชาชนของตัวเขาเองด้วย

 

ดังนั้นจากที่ผมกล่าวมาจึงทำให้รัสเซีย จีน และอิหร่าน ไม่เชื่อว่านายบาชัร อัซซาด เป็นคนทำ!!! ชาติที่ออกมาเตือนชาติตะวันตกว่าอย่าเล่นซีเรียอย่างไร้เหตุผลคือจีน ส่วนรัสเซียนั้นไม่พูดพล่ำทำเพลงจัดการส่งเรือพิฆาตติดอาวุธนำวิถี และเรือดำน้ำเข้าประจำการแล้ว ส่วนอิหร่านนั้นช่วยซีเรียมานานแล้วครับ เพราะชาติเหล่านี้รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อเมริกากุขึ้นเพื่อเขมือบซีเรีย ถ้าอเมริกาบุกซีเรียขึ้นมาจริงๆ ผมมีลางสังหรณ์ว่าจะมีประเทศบางประเทศหายไปจากแผนที่โลก เหมือนที่อิหร่านเคยประกาศไว้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ปชช.อิรักถูก ISIS ล้อมราวครึ่งแสน

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com


 

ISIS บุกยึดอิรักเพิ่ม ปชช.ถูกล้อม 50,000 คน สหรัฐอเมริกาเตรียมบุก UN เตือนระมัดระวัง

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน สถานการณ์ในอิรักหลังการเข้าควบคุมพื้นที่ทางเหนืออีกครั้ง ซึ่งคราวนี้กองกำลังติดอาวุธอิสลามซุนนีย์เข้ายึดเมืองชุมชุนของชาวคริสต์ ทำให้ประชาชนในพื้นที่หนีตายกว่าแสนรายทะลักเข้าชายแดนเคิร์ดเป็นจำนวนมาก ทั้งเจ้าหน้าที่มั่นคงของเคิร์ดยังถูกบังคับให้ถอนกำลังบริเวณชายแดนด้วย ล่าสุด พบประชาชนกว่า 50,000 ราย ยังคงติดค้างอยู่ในวงล้อมของกองกำลังกลุ่มนี้ ขณะที่ บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐอเมริกาออกมาประกาศจะโจมตีอิรักทางอากาศในเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ สหประชาชาติได้ออกเตือนว่าการปฏิบัติการดังกล่าวจะต้องทำอย่างระมัดระวังและต้องทำให้เด็ดขาด

 

 

แฉสหรัฐโจมตีกองกำลังไอซิสเพราะต้องการรักษาผลประโยชน์

 
 
 
สหรัฐ 9 ส.ค.-นักวิเคราะห์อิรักแฉสหรัฐตัดสินใจโจมตีกองกำลังไอซิส เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์มากกว่าช่วยรัฐบาลอิรัก

นายฮูเนียน อัล คาโด นักวิเคราะห์ชื่อดังของอิรัก กล่าวว่า รัฐบาลอิรักได้ร้องขอการสนับสนุนจากกองทัพสหรัฐต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายหลายครั้ง ตั้งแต่สหรัฐยุติปฏิบัติการในอิรัก 3 ปี ตามนโยบายของประธานาธิบดีบารัค โอบามา แต่เมื่อกลุ่มไอซิสรุกคืบคุกคามเขตปกครองตนเองชองชาวเคิร์ดในภาคเหนือของอิรัก ผู้นำสหรัฐกลับส่งเครื่องบินเข้าโจมตีทางอากาศทันที โดยอ้างว่าประชาคมโลกกดดัน แต่แท้จริงแล้วสหรัฐหวั่นเกรงว่าหากเขตปกครองตนเองชาวเคิร์ด ซึ่งเชื่อมโยงกับซีเรีย อิหร่าน และตุรกี ตกอยู่ในกำมือของผู้ก่อการร้ายไอซิส

สหรัฐจะสูญเสียผลประโยชน์ หากประเทศอาหรับที่เป็นพันธมิตรจะต้องกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของขบวนการก่อการร้ายไอซิสที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว.-สำนักข่าวไทย
 

 

 ย้อนรอย สงครามอิรัก ค.ศ. 2003


๑๘ มี.ค.๒๕๔๖ สหรัฐฯ ก็ได้ประกาศเส้นตายให้ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน และบุตรชาย ออกจากอิรักภายใน ๔๘ ชั่วโมง ซึ่งไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายอิรัก โดยประกาศว่าจะต่อสู้และต่อต้านสหรัฐฯ และพันธมิตร

สงครามอิรัก เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศอิรักตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2546 ด้วยการรุกรานอิรักโดยสหรัฐอเมริกาซึ่งมีประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชเป็นผู้นำ และสหราชอาณาจักรซึ่งมีนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์เป็นผู้นำ สงครามคราวนี้อาจเรียกชื่ออื่นว่า การยึดครองอิรัก, สงครามอ่าวครั้งที่สอง หรือ ปฏิบัติการเสรีภาพอิรัก โดยทหารสหรัฐ สงครามครั้งนี้สหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554 แม้ความรุนแรงประปรายยังมีต่อไปทั่วประเทศ

การรุกรานอิรักนำไปสู่การยึดครองและการจับกุมตัวประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนในท้ายที่สุด ซึ่งภายหลังถูกพิจารณาโดยศาลอิรักและประหารชีวิตโดยรัฐบาลใหม่ของอิรัก ความรุนแรงต่อกองกำลังผสมและระหว่างกลุ่มนิกายต่าง ๆ ได้นำไปสู่การก่อความไม่สงบในอิรักในเวลาไม่นาน การต่อสู้ระหว่างกลุ่มอิรักนิกายซุนนีย์และชีอะฮ์หลายกลุ่ม และการเกิดกลุ่มแยกใหม่ของอัลกออิดะฮ์ขึ้นในอิรัก

วิเคราะห์สงครามอิรัก (Operation Iraqi Freedom)
โดย กองวิจัยและพัฒนาการรบ กรมยุทธการทหารอากาศ
Part of the War on Terror
Iraq header 2.jpg
คำนำ

หลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ ๑๑ ก.ย. ๒๕๔๔ โลกได้ก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงของการจัดระเบียบครั้งใหญ่ โดยระเบียบโลกใหม่ ในยุคสงครามต่อต้านการก่อการร้ายนี้ได้สะท้อนให้เห็นบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก

 

The 9/11 attacks
The terrorist attacks on New York on September 11, 2001.


ภายใต้แนวคิดของการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) การต่อต้านการก่อการร้ายจึงเป็นแกนกลาง ของนโยบายและการปฏิบัติ
ทั้งด้านการเมืองและการทหารของสหรัฐฯ อิรักซึ่งสหรัฐฯอ้างว่ามีความเชื่อมโยงและให้การสนับสนุนการก่อการร้าย จึงเป็นประเทศหนึ่ง
ที่อยู่ในกระบวนการจัดระเบียบโลกใหม่ดังกล่าว การศึกษาทำความเข้าใจถึงองค์ประกอบของความขัดแย้ง ระหว่างสหรัฐฯและอิรัก
ตั้งแต่มูลเหตุการเกิดสงคราม สภาวะสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์ ยุทธศาสตร์ และแผนการปฏิบัติทำให้การวิเคราะห์สามารถดำเนินการจนได้บทเรียนที่สมเหตุสมผล การวิเคราะห์สงครามระหว่างสหรัฐและอิรักของกรมยุทธการทหารอากาศ โดยกองวิจัยและพัฒนาการรบฯในครั้งนี้ ได้พิจารณาจัดทำในลักษณะ วิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ โดยนำเอากระบวนการวางแผนการยุทธทางอากาศใน Air Campaign Planning Hand Book ที่เคยใช้วิเคราะห์สงครามการก่อการร้าย เป็นหลักในการดำเนินการ สำหรับบทเรียนของสงครามที่ได้จากการวิเคราะห์ในเอกสารนี้ เป็นการนำเสนอ แนวคิดในแง่มุมหนึ่ง ที่อาจยังไม่ครอบคลุมทุกบทบาทที่เกี่ยวข้อง ผู้อ่านจำเป็นต้องวิเคราะห์
ตามไปด้วย พร้อมทั้งสามารถเสนอแนวคิด ของท่านในแง่มุมที่แตกต่างออกไปได้ตลอดเวลา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารฉบับนี้
จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และทำให้เกิดแนวคิด ในการพัฒนาการใช้กำลังทางอากาศ ของกองทัพอากาศให้เกิดประสิทธิภาพ
ยิ่งขึ้นไป

พลอากาศตรี พิธพร กลิ่นเฟื่อง
เจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ

บทนำ

ตะวันออกกลางนับเป็นดินแดนภูมิภาคหนึ่งที่เกิดปัญหาความขัดแย้ง ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้สหรัฐฯ และประเทศมหาอำนาจตะวันตก พยายามเข้าไปมีบทบาทในการแก้ไขปัญหา ซึ่งรวมถึงการเข้าไปแสวงประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สหรัฐฯได้เข้าไปมีบทบาทด้านการทหารกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้มากขึ้น เช่นในปี ๒๕๒๒ ได้สนับสนุนประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำอิรัก เพื่อคานอำนาจโคไมนีของอิหร่าน จนเกิดสงครามระหว่างอิรักกับ อิหร่าน ในปี ๒๕๒๓ และเป็นผลทำให้อิรักมีศักยภาพทางทหารสูงขึ้น และมุ่งพัฒนากองทัพ
และเทคโนโลยีทางทหารอย่างต่อเนื่อง

 

 

ภูมิภาคตะวันออกกลาง

 


ปี ๒๕๓๓ อิรักได้ใช้กำลังทหารเข้ายึดคูเวต ทำให้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร ต้องใช้กำลังทหารผลักดันทหารอิรักออกจากคูเวต
จนเกิดสงครามอ่าวครั้งที่ ๑ คือในปี ๒๕๓๔ ภายใต้ยุทธการพายุทะเลทราย (Desert Strom) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติและประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามทั่วโลก หลังจากการพ่ายแพ้สงคราม ในปี ๒๕๓๔ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติใช้มาตรการคว่ำบาตร ทางเศรษฐกิจต่ออิรัก และให้อิรักทำลายอาวุธที่มีอำนาจในการทำลายล้างสูงรวมทั้งขีปนาวุธระยะไกล ไม่แสวงหาหรือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จัดตั้งเขตปลอดทหาร และจัดคณะผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติเข้าไปตรวจสอบอาวุธร้ายแรงของอิรักแต่ในห้วงเวลา ๑๒ ปี ที่ผ่านมา อิรักละเมิดมติสหประชาชาติมาโดยตลอด และสหรัฐฯยังเชื่อว่ามาตรการทางการทูตด้วยวิธีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) เป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ผลกับอิรัก หรือในกรณีการตรวจสอบอาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างสูงก็เช่นเดียวกัน อิรักจะใช้วิธีหลบหลีกประวิงเวลา แสดงอาการไม่ให้ความร่วมมือ และคณะผู้ตรวจสอบอาวุธเข้าไม่ถึงหลักฐานที่เป็นจริงของโครงการอาวุธของอิรัก ทำให้ อิรักยังมีขีดความสามารถในการพัฒนาระบบอาวุธร้ายแรง (Weapons of Mass Destruction: WMD)
ซึ่งได้แก่ อาวุธนิวเคลียร์ เคมีและชีวภาพ

มูลเหตุของสงคราม


เมื่อ ๑๑ ก.ย. ๒๕๔๔ ได้เกิดการก่อวินาศกรรมทำลายอาคาร World Trade Center และอาคาร Pentagon ที่ตั้งกห.สหรัฐฯทำให้สหรัฐฯประกาศทำสงครามกับประเทศที่ให้การสนับสนุนการก่อการร้าย โดยเริ่มปฏิบัติการในอัฟกานิสถานเป็นประเทศแรก แม้จะประสบผลสำเร็จ ในการล้มล้างต่อระบอบตอลีบัน แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุม นายโอซามา บินลาเดน และทำลายเครือข่ายกลุ่มอัลกออิดะห์
ที่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค ทำให้สหรัฐฯมุ่งประเด็นไปยังประเทศที่สนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆ อาทิ อิรัก อิหร่าน ลิเบีย ซีเรีย ซูดาน เกาหลีเหนือ และคิวบา

หลังจาก ๑๑ ก.ย. ๒๕๔๔ เป็นต้นมา สังคมโลกได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะสังคมอเมริกา และโลก ตะวันตก เมื่อลัทธิ บินลาเดน ซึ่งเปรียบเสมือนความคิดแห่งอนาธิปไตยใหม่ ต่อต้านสหรัฐ ฯ และแนวทางจัดระเบียบโลกใหม่ตามความคิดตะวันตก จึงนำเอารูปแบบการต่อสู้แบบดั้งเดิม คือการก่อการร้าย ที่มุ่งหวังจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ด้วยการพัฒนารูปแบบ
ของสงครามก่อการร้าย ที่มีองค์ประกอบของกลยุทธ์อยู่เหนือจินตนาการ และอาศัยจุดอ่อนสังคมเปิดของตะวันตก มาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายคนอเมริกาและพันธมิตร ความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความหวาดผวาจากภัยก่อการร้าย สร้างความกังวลให้คนอเมริกา และประชาคมโลกให้อยู่ในภาวะที่ไม่มั่นคงปลอดภัย จากการก่อการร้ายทั้งๆที่มิได้อยู่ในวงสัมพันธ์ของความเกลียดชังระหว่างชาวอเมริกัน ชาวตะวันตก และชาวยิว กับกลุ่มอาหรับมุสลิมอุดมการณ์รุนแรง จากความหวาดผวานี้นำความรู้สึกนึกคิดย้อนไปสู่กลุ่มประเทศที่สร้างอดีตอันขมขื่นให้กับสหรัฐฯโดยตรง ทั้งในปัจจุบันยังแสดงท่าทีต่อต้านสหรัฐ ฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนประธานาธิบดีบุช ประกาศชัดเจนว่าเป็นกลุ่มแกนนำแห่งความชั่วร้าย ได้แก่ อิรัก อิหร่าน และเกาหลีเหนือ และประเทศเหล่านั้น อาจจะร่วมมือกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่มีอยู่มากมายหลายกลุ่ม โดยเน้นไปที่ประเทศอิรัก ในการเปิดฉากสงครามอ่าวครั้งที่ ๒ สหรัฐฯและอังกฤษ อ้างว่าพวกตนทำสงครามอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้มติปี ๒๕๓๔ ที่สั่งให้ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซ็น ต้องปลดอาวุธ นอกจากนั้นสหรัฐฯ ยังให้เหตุผลว่าอาวุธในครอบครองของประธานาธิบดี ซัดดัม เป็นภัยร้ายแรงมากพอที่จะทำให้สหรัฐฯมีสิทธิชิงลงมือก่อนได้ อีกทั้งรัฐบาลกรุงวอชิงตันยังระบุว่าประธานาธิบดี ซัดดัม ให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้าย อัลไกดา ซึ่งเท่ากับว่าอิรักเกี่ยวพันกับการโจมตีอาคาร
World Trade Center เมื่อวันที่ ๑๑ ก.ย. ๒๕๔๔ ด้วย อย่างไรก็ตามสมาชิกมนตรีความมั่นคงชาติอื่น ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซียไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายทั้งหลายของสหรัฐฯ พร้อมชี้แจงว่าคณะผู้ตรวจสอบอาวุธกำลังปฏิบัติหน้าที่ไปด้วยดี ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า อิรักมีความสัมพันธ์กับอัลไกดา ก็ยังไม่ชัดเจน นอกจากนั้นมติฉบับเก่าๆ ก็ไม่ได้ให้อำนาจในการดำเนินการทางทหาร หากมองไปที่อิรัก จะพบว่าคณะมนตรีความมั่นคงได้ออกมติ ๑๗ ฉบับ ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามอ่าวเปอร์เซียเรียกร้องให้อิรักร่วมมือในการปลดอาวุธ แม้สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงเห็นพ้องกันว่าแบกแดดท้าทายสหประชาชาติแต่หลายชาติไม่เชื่อว่าอิรักจะเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่ สำหรับมติฉบับล่าสุด ๑๔๔๑ ที่ผ่านไปเมื่อเดือน พ.ย.๒๕๔๕ กำหนดให้อิรักร่วมมือกับคณะผู้ตรวจสอบอาวุธ พร้อมระบุว่าอิรักจะเผชิญผลพวงที่ร้ายแรง หากคณะมนตรีความมั่นคงตัดสินใจว่ารายการอาวุธที่อิรักยื่นมาไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง รวมถึงกรณีที่ อิรักไม่ยอมให้ความร่วมมือกับคณะผู้ตรวจสอบ ในส่วนนี้สหรัฐฯประกาศว่า อิรักละเมิดเนื้อหาในมติ ๑๔๔๑ ขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงยังไม่ได้ลงความเห็นเช่นนั้น อีกทั้งมติยังไม่ได้ระบุว่าอิรักจะเผชิญผลลัพธ์ในรูปแบบใด แต่สหรัฐฯและอังกฤษกล่าวว่าในฐานะหนึ่งในสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง พวกเขามีสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง การตัดสินใจดังกล่าวนำไปสู่การใช้ปฏิบัติการทางทหารในเวลาต่อมา

President George Bush, surrounded by leaders of the House and Senate, announces the Joint Resolution to Authorize the Use of United States Armed Forces Against Iraq, October 2, 2002.

 

 

United States Secretary of State Colin Powell holding a model vial of anthrax while giving a presentation to the United Nations Security Council



Anti-War protest in London, 2002

 

 

A Marine Corps M1 Abrams tank patrols a Baghdad street after its fall in 2003 during Operation Iraqi Freedom.

ผลลัพธ์
  • การรุกรานและการยึดครองอิรัก
  • การล้มรัฐบาลพรรคบาธและการประหารชีวิตซัดดัม ฮุสเซน
  • การก่อความไม่สงบในอิรัก, ปฏิบัติการก่อการร้ายต่างชาติ และความรุนแรงระหว่างนิกายต่าง ๆ[2]
  • การก่อความไม่สงบลดลงกระทันหัน[3] พัฒนาการในความมั่นคงสาธารณะ[4]
  • การสถาปนาการเลือกตั้งประชาธิปไตยอีกครั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
  • การถอนทหารสหรัฐออกจากอิรัก
  • การก่อความไม่สงบขนาดเล็กดำเนินต่อไป




ผู้นำของอิรัก

ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน เกิดที่เมืองกีตริท อยู่ห่างจากกรุงแบกแดด ทางตะวันตกเฉียงเหนือราว ๑๐๐ ไมล์ ครอบครัวเป็นชาวนา เคยเข้ารับราชการศึกษาด้านกฎหมายที่ไคโรประเทศอียิปต์ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ได้สมัครเข้าร่วมกับพรรคบาธ ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมอาหรับ และเรืองอำนาจอยู่ในขณะนั้น ในช่วงที่เป็นรองประธานาธิบดี ได้เริ่มตั้งองค์กรตำรวจลับขึ้นมาเพื่อกวาดล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล องค์กรตำรวจลับจึงเป็นเสมือนฐานอำนาจของซัดดัม ทำให้เขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในอิรัก ต่อมาในปี ๒๕๒๒ ก็ได้ตั้งตนเป็นประธานาธิบดี ขึ้นปกครองประเทศแบบเผด็จการ


 

ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน

 


ในทัศนะของประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน อาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างสูงหมายถึงอำนาจ อีกทั้งอาวุธนี้ยังหมายถึงฐานะความเป็นผู้นำของโลกอาหรับ ดังนั้น การครอบครองอาวุธดังกล่าว จึงเป็นการส่งเสริมฐานะทางการเมือง ของอิรักในเวทีระหว่างประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างสูงหมายถึง เกียตริยศและอิทธิพลนั่นเอง
 
ยุทธการเสรีภาพแห่งอิรัก (Operation Iraqi Freedom)

แผนการรบของยุทธการนี้ มีระยะเวลาประมาณ ๓๐ วัน ซึ่งสมมติฐานนี้น่าจะเป็นจริงได้ เพราะเมื่อวันที่ ๒๕ มี.ค.๒๕๔๖ที่ผ่านมา รัฐบาลประธานาธิบดีบุชได้ยืนยัน ข้อเสนอของบประมาณการทำสงคราม ซึ่งจะหมดในเดือน พ.ค.๒๕๔๖ จากรัฐสภาเพิ่มอีก ๘๕,๐๐๐ พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ดังนั้นตามหลักการทำแผนสงครามทางอากาศจะต้องเชื่อมกับแผนการรบร่วมอากาศพื้นดิน (Air Land Battle Doctrine) ในห้วงเวลา ๓๐ วัน สามารถแบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอน โดยมีช่วงแต่ละขั้นตอนประมาณ ๗-๘ วัน และคาบเกี่ยวกันเพื่อความอ่อนตัวตามสถานการณ์การรบ ดังนี้
๑. การโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบินขับไล่ เครื่องบินทิ้งระเบิดและขีปนาวุธ Cruise
๑.๑ ขั้นตอนที่ ๑ ประมาณ ๘ วัน โดยใน ๓ วันแรก (๒๐–๒๒ มี.ค.๒๕๔๖) เป็นยุทธการ “เด็ดหัว” ณ เป้าหมายตามที่ข่าวกรองแจ้งว่ามีการประชุมของประธานาธิบดีซัดดัม คณะรัฐบาลและสภากองทัพ จึงโจมตีทันทีหวังจะพิฆาตประธานาธิบดีซัดดัม แต่ล้มเหลว จากนั้นก็เริ่มโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เช่น ศูนย์บัญชาการแห่ง อำนาจรัฐ ได้แก่ ทำเนียบประธานาธิบดีหลายแห่งกระทรวง ทบวง กรม ที่ทำการพรรคบาธ โรงผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งอาวุธเคมี-ชีวภาพ ฐานยิงขีปนาวุธ หน่วยกำลังพิทักษ์สาธารณรัฐ (Republican Guard) กองบัญชาการต่อสู้อากาศยานแท่นยิงจรวด ฐานทัพอากาศ และสถานีเรดาร์ในเมืองสำคัญๆ เช่น กรุงแบกแดด โมซูล และ
เคอร์คุก
ภาพถ่ายทางอากาศของเป้าหมายที่สำคัญ

 

๑.๓ ขั้นตอนที่ ๓ โจมตีเป้าหมายทางทหารที่ยังหลงเหลืออยู่และเป็นหน่วยกำลังทหารที่เผชิญหน้ากับกองทัพสหรัฐ ฯ และอังกฤษ โดยเฉพาะบริเวณสมรภูมิขั้นแตกหักรอบกรุงแบกแดด ตลอดจนที่ตั้งกำลังสำรองพรรคบาธ และหน่วยกำลังที่เป็นภัยคุกคาม เช่น กองกำลังทหารรับจ้างและกองโจรจากนอกประเทศ

๑.๔ ขั้นตอนที่ ๔ โจมตีทางอากาศเมื่อเกิดภัยคุกคามต่อกองกำลังสหรัฐ ฯและพันธมิตรที่เข้าสถาปนารัฐ ณ กรุงแบกแดด ตามที่ได้รับการร้องขอแบบทันทีทันใด ตลอดจนเป้าหมายที่หลบซ่อนของผู้นำประเทศ หากหนีออกจากกรุงแบกแดดไปหลบซ่อนในพื้นที่ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า

๒. การปฏิบัติการของกองกำลังปฏิบัติการพิเศษ (Special Forces) ได้แก่ Delta Force, Rangers, Green Baret, Seal, SAS, Mar Force Reccon Usafsf และ CIA

๒.๑ เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ก่อนวันที่ ๒๐ มีนาคม แล้วแทรกซึมรอบทิศสู่อิรักในลักษณะต่างๆ เช่น การกระโดดร่มลงที่ตำบลและพื้นที่สถาปนาเขตปลอดภัย หรือ เข้าพื้นที่ปฏิบัติการด้วย เฮลิคอปเตอร์ และรถติดปืน โดยคาดหวังว่าจะสถาปนาฐานปฏิบัติการลาดตะเวนระยะไกล จัดตั้งสถานีโทรคมนาคมถ่ายทอดต่อระยะ (Relay Station) กำหนดตำบลแมวมองตามเส้นทางการรุกของขบวนยานยนต์ กำหนดตำบลชี้เป้า ทำลายเส้นใยแก้วสื่อสาร ทำสงครามจิตวิทยาและล่าสังหาร

๒.๒ เตรียมกำลังสนับสนุน และคุ้มกันกองกำลัง CIA ที่ถูกฝึกให้ทำการรบแบบกองโจรในเมือง (Urban Guerrilla Warfare) ต่อต้านหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองโจรฝ่ายอิรัก

๓. การปฏิบัติการกองกำลังทางบกหลักประกอบด้วย กองพลยานยนต์ที่ ๓ และกองพลนาวิกโยธินที่ ๑ เป็นสองแกนรุก (Two Prong Princess) ขนาบตะวันตก-ตะวันออก โดยมีกองพลทหารที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยทหารที่ทันสมัยที่สุดเป็นกำลังสำรอง

๓.๑ ขั้นตอนที่ ๑ ตีผ่านเมืองหน้าด่านต่างๆ เช่น นาชิริยาห์ และคาร์บาลา ก่อนมุ่งสู่กรุงแบกแดด

๓.๒ ขั้นตอนที่ ๒ สถาปนาอำนาจรัฐ






ปฐมเหตุแห่งสงคราม

หลังเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ สหรัฐประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ตามล่าตัวนาย ออสมา บินลาเดน ที่สหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และประเทศแรกที่ถูกอเมริกาพิพากษา ก็คือ รัฐบาลตอลีบัน แห่งอาฟกานิสถาน และตามด้วยการพิพากษาสามประเทศอันได้แก่ อิรัก อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ว่าเป็นกลุ่ม “อักษะแห่งความชั่วร้าย “ ที่เป็นอันตรายต่อความสงบสุขสันติภาพของประชาคมโลก
จุดปะทุของสงครามอเมริกา-อิรัก รอบสอง เริ่มปรากฏเค้ารางที่ชัดเจนขึ้นเมื่อประธานาธิบดี ยอจช ดับเบิ้ลยู บุช ออกมาแถลง ถึงแผนโค่นอำนาจ 'ซัดดัม' ผู้นำอิรัก เบิกโรงด้วยการให้ เครื่องบินรบสหรัฐและอังกฤษเปิดฉากทิ้งระเบิด โจมตีศูนย์ควบคุมและบัญชาการทางอากาศ ที่สนามบินทหารแห่งหนึ่ง ห่างจากกรุงแบกแดด ไปทางตะวันตกประมาณ ๓๘๐ กิโลเมตร ในวันศุกร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๕ ถือเป็นปฏิบัติการทางทหารในอิรักครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ ๔ ปี
ตามด้วยการกดดันองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้เห็นด้วยกับ แผนการโจมตี อิรักของสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แถลงว่าเขาจะชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายต่ออิรัก ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก ในวันที่ ๑๒ กันยายน นี้ ท่ามกลางกระแสคัดค้านของประชาคมโลก ที่ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่ไร้หลักฐานของสหรัฐนำมาใช้เป็นข้ออ้างโจมตีอิรัก ในครั้งนี้


สงครามต่อต้านการก่อการร้าย (อังกฤษ: War on Terrorism) เป็นการอ้างของอเมริกาที่จะแสวงหาประโยชน์จากประเทศมุสลิม ชื่อเรียกทั่วไปที่ใช้เรียกความขัดแย้งทางการทหาร ทางการเมือง ทางกฎหมายและอุดมการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะใช้เรียกการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายอิสลาม และใช้ในความหมายถึงปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรภายหลังจากวินาศกรรม 11 กันยายน เมื่อปี พ.ศ. 2544
เป้าหมายที่กำหนดไว้ของการทำสงครามในสหรัฐอเมริกา คือ เพื่อปกป้องพลเมืองชาวอเมริกันและผลประโยชน์ทางธุรกิจในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ การแบ่งแยกกลุ่มก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาและขัดขวางการดำเนินการขององค์การก่อการร้ายข้ามชาติ ซึ่งอยู่ภายใต้เงาของกลุ่มอัลกออิดะฮ์
ทั้งการให้นิยามและนโยบายการทำสงครามยังคงถูกถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการอ้างเหตุผลเพื่อการชิงโจมตีก่อน การละเมิดสิทธิมนุษยชนและยังเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย


สงครามช่วงชิงความชอบธรรม ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับ อิรักก่อนเปิดยุทธการสู้รบในยุทธภูมิ เมื่อสหรัฐประกาศกล่าวหาอิรักว่า เป็น”อักษะแห่งความชั่วร้าย “เป็นอันตรายต่อสันติภาพโลก มีการซ่องสุม ผลิตอาวุธทำลายล้างสูง เช่น อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ และขีปวุธนิวเคลียร์ ฯลฯ สหรัฐจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปปลดอาวุธ และเปลี่ยนแปลงผู้นำในอิรัก ปลดอำนาจประธานาธิบดี ซัสดัม ฮุสเซน ผู้นำที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงในสันติภาพของโลก !! ออกไป
สังคมโลกเกิดความตรึงเครียดขึ้นมาทันที เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศพิพากษากลุ่ม “อักษะแห่งความชั่วร้าย” สามประเทศอันได้แก่ อิรัก อิหร่าน และเกาหลีเหนือ โดยมีเป้าหมายแรกประกาศสงครามต่อประเทศอิรัก แต่ แทนที่ประธานาธิบซัสดัม ฮุสเซน จะเดือดเนื้อรัอนใจกลับนั่งตีขิม วางหมากอยู่ในแนวลึก ปล่อยให้สงครามทางการฑูตวิ่งพล่านกันทั่วโลก เมื่อมหาอำนาจต่างๆ เกิดความระแวงต่อแผนการโจมตีอิรักของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ว่าในเบื้องลึกมีอะไรแอบแฝงมากกว่าความต้องการ รักษาความสงบสันติสุขของประชาคมโลกตามที่สหรัฐกล่าวอ้างหรือไม่ พันธมิตรของอิรักจึงค่อยๆ ปรากฎร่างขึ้นโดยที่อิรักไม่ต้องออกแรง ซัสดัม ฮุสเซน เมื่อเขาสามารถกุมสภาพ เงื่อนไขภายนอกได้ จึงเลือก “ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว “ ปล่อยให้เงื่อนไขภายนอก ไปโดดเดี่ยวพลังอำนาจของศัตรู เช่น
องค์การสหประชาชาติ ที่ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจ มากกว่าการยืนอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องชอบธรรม พวกเขาเป็นองค์กรแรกที่สับสนวุ่นวายกันไปหมด เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจ และประชาคมโลกที่รักและหวงแหนเสรีภาพสันติภาพ พวกเขาจึงกำหนดบทบาทตนเองแทบไม่ถูก เสียผู้เสียองค์กรไป กับความไม่ชัดเจน โปร่งใส ไร้อำนาจ ต่อการตัดสินปัญหา เมื่อผลการตรวจสอบอิรักไม่พบหลักฐาน ไม่มีเหตุผล การตัดสินปัญหาก็ยังต้องเกรงใจสหรัฐ ผลของการตัดสินปัญหาขององการสหประชาชาติ จึงปรากฏออกมาในรูปของสีเทา ไม่เด็ดขาดชัดเจน สร้างความอึมครึมต่อเศรษฐกิจโลก และกระทบความมั่นคงต่อสันติภาพโลก อย่างแหลมคม



ซัดดัม ฮุสเซน



การประหารชีวิตซัดดัม ฮุสเซน มีขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 (วันแรกของอีดิลอัดฮา)ซัดดัมถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอ หลังพบว่ามีความผิดจริงและถูกพิพากษาฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยศาลอาญาอิรักสูงสุด ในการฆาตกรรมชาวอิรักชีอะฮ์ 148 คนในเมืองดูเญล เมื่อ พ.ศ. 2525 เพื่อเป็นการแก้แค้นต่อความพยายามลอบสังหารตัวเขา[1]
ซัดดัม ฮุสเซนเป็นประธานาธิบดีอิรักตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 ถึง 9 เมษายน พ.ศ. 2546 เมื่อเขาพ้นจากตำแหน่งระหว่างการรุกรานอิรัก พ.ศ. 2546 โดยกำลังผสมพันธมิตรนำโดยสหรัฐ หลังการจับกุมตัวซัดดัมในอัดดาวร์ ใกล้ติกรีตเมืองเกิดของเขา เขาถูกกักขังที่ค่ายครอปเปอร์ และถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

 

 

 

 

 

 

               สารทจีน 2557 ของไหว้สารทจีน 2557


สารทจีน วันสารทจีน
วันสารทจีน
 


 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก irrigation.rid.go.th


 

สารทจีน 2557 ตรงกับวันที่ 10 ส.ค. ว่าแต่ ไหว้สารทจีน 2557 ต้องทำอย่างไร ของไหว้สารทจีน 2557 มีอะไรบ้าง เรามีบทความมาฝาก

สารทจีน 2557 หรือ วันสารทจีน 2557 ตรงกับวันที่ 10 สิงหาคม ตามปฏิทินจีนโบราณ เดือน 7 ถือเป็นเดือนสำคัญที่ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และยังเป็นเวลาที่ประตูนรกเปิดให้บรรดาภูตผีออกเร่ร่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้อาถรรพ์ ชาวจีนจึงมีการเซ่นไหว้ด้วยของไหว้ สารทจีน หลากความหมาย ที่ปฏิบัติสืบกันมาเนิ่นนานใน.. เทศกาลวันสารท

ทั้งนี้ ในรอบหนึ่งปี คนจีนจะมีไหว้เจ้าใหญ่ 8 ครั้ง เรียกว่าไหว้ 8 เทศกาลโป๊ะโจ่ย การไหว้เจ้า สารทจีน หรือ วันสารทจีน ถือเป็นการไหว้ครั้งที่ 5 ตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ซึ่งถือกันว่าเป็นเดือนผี เป็นเดือนที่ประตูนรกปิด-เปิดให้ผีทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้

ตำราจีนหนึ่งกล่าวไว้ว่า วันที่ 15 เดือน 7 เป็นวันที่เช็งฮีไต๋ตี๋จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์ และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้าย จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ นรกจึงเปิดประตู เพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญได้ ใน วันสารทจีน นั่นเอง

การไหว้ในเทศกาลสารทจีน ต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่น ๆ ตรงที่แบ่งการไหว้สารทจีน ออกเป็น 3 ชุด ดังนี้

 

สารทจีน วันสารทจีน ของไหว้สารทจีน
สารทจีน ของไหว้ สารทจีน



ของไหว้สารทจีน ชุดแรก สำหรับไหว้เจ้าที่ จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมไหว้ สารทจีน ก็ใช้ ถ้วยฟู กุยช่าย ซึ่งต้องมีสีแดงแต้มเป็นจุดเอาไว้ ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมีซึ่งเป็นประเพณีของ สารทจีน คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงินกระดาษทอง

ของไหว้สารทจีน ชุดที่สอง สำหรับไหว้บรรพบุรุษ คล้ายของไหว้เจ้าที่ พร้อมด้วยกับข้าวที่บรรพบุรุษชอบ ตามธรรมเนียม สารทจีน ต้องมีน้ำแกง หรือขนมน้ำใส ๆ วางข้างชามข้าวสวย และน้ำชา จัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ และที่ขาดไม่ได้ในเทศกาล สารทจีน ก็คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง

ของไหว้สารทจีน ชุดที่สาม สำหรับไหว้วิญญาณพเนจร ซึ่งไม่มีลูกหลานกราบไหว้ เรียกว่า ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋ จะต้องไหว้นอกบ้าน ของไหว้ สารทจีน มีทั้งของคาวหวานกับผลไม้ตามต้องการ และที่พิเศษคือ มีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง จัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกันสำหรับเซ่นไหว้ ในวันสารทจีน

เทพแห่งโชคลาภ ไหว้เจ้าวันสารทจีน

 

 


 

ในช่วงหลายสิบปี เทพแห่งโชคลาภที่บันทึกไว้ในระบบความจำของตี๋หมวยใหญ่น้อยทั้งหลายคือ "ฮก-ลก-ซิ่ว" เทพยอดนิยมอมตะนิรันดร์กาล ที่ไม่ว่าจะเป็นจีนเชื้อสายใด เป็นคนรุ่นไหน ฮก-ลก-ซิ่ว คือเทพที่อยู่ในความศรัทธามายาวนาน ที่สามารถเข้าได้กับทุกงานมงคล ตั้งแต่งานขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน เปิดสำนักงาน วันเกิด ฯลฯ

หรือหากเป็นเมื่อประมาณ 5-6 ปีผ่านมา "ไฉ่ สิ่ง เอี๊ย" หรือเทพแห่งทรัพย์ เริ่มยึดครองพื้นที่ศรัทธาในใจผู้คนมากขึ้น เพราะไม่ว่าคนรวยคนจนไหว้พระไหว้เจ้าก็ไม่พ้นเรื่องของเงินทอง

ส่วนเทพแห่งโชคลาภของจีนมี 7 องค์ด้วยกัน คือ พระยูไล พระโพธิสัตว์กวนอิม พระสังกัจจายน์ พระจี้กง เทพแห่งเงินตราทั้ง 4 ในศาสนาพุทธ เซียนคู่ และเทพฮก

หลายองค์ที่กล่าวถึงนั้นเป็นเทพที่คุ้นเคยใกล้ชิดไม่เฉพาะแต่คนจีน หากรวมถึงคนไทยจำนวนไม่น้อยทีเดียว เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ที่เรามักเรียกกันว่าเจ้าแม่กวนอิม พระสังกัจจายน์ ที่นั่งยิ้มแฉ่งรับญาติโยม

พระโพธิสัตว์กวนอิม ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นมา หาได้มีตัวตนจริงไม่ แต่เมื่อสร้างแล้วมีผู้กราบไหว้บูชามากมาย จึงพยายามผูกเป็นเรื่องให้เข้ากับประวัติศาสตร์จีน โดยจัดเรื่องให้พระโพธิสัตว์เป็นพระราชธิดาของพระราชาองค์หนึ่ง…กล่าวไว้ว่าพระนางนั้นเดิมเป็นพระธิดาของ พระเจ้าเมี่ยว จวง หวาง ทรงพระนามว่า เมี่ยวซ่าน ทรงฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ไม่ยอมเข้าสู่พิธีอภิเษกสมรสตามพระประสงค์ของพระบิดา

ต่อมาได้เทพทางศาสนาเต๋า คือเทพไท้ไป๋ ซิง จวิน ชี้แนะ จึงได้บำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์…ด้วยศาสนาพุทธและศาสนาเต๋าล้วนเข้าไปสู่วิถีชีวิตของชาวจีนอย่างแยกกันไม่ออก พระโพธิสัตว์กวนอิมของศาสนาพุทธจึงกลายเป็นเทพของศาสนาเต๋าไปด้วย ไม่ว่าใครจะเป็นพุทธศาสนิกชนก็ได้ เป็นผู้ที่นับถือศาสนาเต๋าก็ดี ล้วนกราบไหว้พระโพธิสัตว์องค์นี้กันทั้งนั้น…

พระสังกัจจายน์ หรือพระยิ้ม หรือเรียกกันทั่วไปว่าพระถุงย่าม…ที่รู้จักกันของชาวจีนว่าคือ พระหมี เล่อ โฝว นั้นเป็นนามเรียกขานเดียวกับพระศรีอริยเมตไตรย แต่แท้จริงแล้วพระยิ้มอาจไม่ใช่พระศรีอริยเมตไตรยก็ได้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระประหลาด…ที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ย พุงยุ้ย มักใช้ไม้เท้าที่ทำจากไม้ไผ่เกี่ยวถุงผ้าแล้วแบกไว้บนบ่า มักปรากฏกายไปบิณฑบาตในตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา พูดจาผิดจากคนทั่วไป ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น ที่ไหน ๆ ก็นอนได้หมด มักจะบอกเล่าและทำนายเรื่องในอนาคตที่จะเป็นอันตรายต่อผู้คน ราวกับเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

ความจริงแล้วสิ่งที่ติดตัวของท่านก็มีเพียงถุงย่ามใบเดียว ท่านมักจะนำของบิณฑบาตมาได้เทรวมลงไปในถุงย่าม ผู้คนเข้ามามุงดู ท่านจะพูดกับคนเหล่านั้นด้วยคำพูดที่เปรียบเทียบให้คนรู้เห็นธรรมอันแท้จริง บางคนบอกว่าท่านเป็นเทพเจ้า บางคนก็ว่าท่านเป็นบ้า…

พระหมีเล่อ หรือพระศรีอริยเมตไตรย เป็นเสียงเรียกขานตามภาษาสันสกฤต Maitreya ความหมายก็คือผู้มีความเมตตา เป็นนามของพระโพธิสัตว์หมีเล่อของศาสนาพุทธมหายาน กล่าวกันว่า ท่านเป็นบุตรตระกูลพราหมณ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งหมู่บ้านเจี่ยพอหลีชุน แห่งหนานเทียนจู๋ ของอินเดียโบราณ

พระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้ก่อนพระศรีศากยมุนี จากนั้นก็ประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ในแดนสุขาวดีพุทธเกษตรทางทิศตะวันตก…พระองค์ทรงดูแลความสุขของมวลมนุษยชาติสืบต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวกันว่าในยุคของพระองค์จะมีแต่สิ่งดี ๆ ความสวยงาม และความสุข…

พระจี้กง หลายท่านรับรู้เรื่องราวของท่านในฐานะ "พระคนยาก" เพราะภาพลักษณ์ของพระที่แต่งตัวปอน ๆ ด้วยจีวรเก่าซอมซ่อ และมีขวดน้ำเต้าบรรจุเหล้าติดตัวอยู่เสมอ หากเบื้องลึกของพระจี้กงที่ได้กล่าวไว้คือ พระจี้กงเป็นชาวไถโจว ปัจจุบันคืออำเภอหลินไห่ ของมณฑลเจ้อเจียง นามเดิมของท่านคือหลี่ ซิน หย่วน ท่านออกบวชที่วัดหลิงอวิ่นซื่อ ที่เมืองหังโจว มณฑลเจ้อเจียง…เนื่องจากพระจี้กงไม่นิยมปฏิบัติตามกฎของสงฆ์ ชอบกินเนื้อสัตว์และดื่มเหล้า อีกทั้งมีท่าทางเหมือนคนบ้า ผู้คนจึงเรียกท่านว่าพระบ้า

พระจี้กงมีจิตใจเมตตา ชอบช่วยเหลือคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งดูถูกพวกข้าราชการที่ชอบกินสินบนและกดขี่ข่มเหงประชาชน การปฏิบัติตัวของพระจี้กงเป็นที่นิยมนับถือของประชาชนทั้งหลาย จนเรียกกันว่า ท่านคือพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดในยุคปัจจุบัน…"

ข้อความข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระเจ้าใกล้ตัว ที่หลายท่านคุ้นเพราะเคยได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวจากผู้เฒ่าผู้แก่มาตั้งแต่เด็ก ในเชิงของตำนานพื้นบ้านที่มีอภินิหารผสมอยู่ด้วย เล่าสู่กันฟังเพื่อความสนุก จึงอยากเชิญให้ท่านลองทำความรู้จักกับพระเจ้าองค์เดิมที่นับถือมานาน รวมถึงพระเจ้าองค์อื่น ๆ ที่เหลือในแง่มุมที่มีหลักฐานอ้างอิงได้ ตลอดจนสถานะของเทพแห่งโชคลาภ เผื่อการไหว้พระไหว้เจ้าในวันสารทจีนจะมีคุณค่า และความหมายยิ่งขึ้น

ที่สำคัญ
สารทจีน สะท้อนให้คนเราเห็นว่า เมื่อมีชีวิตอยู่ควรกระทำตัวให้เป็นบรรพบุรุษที่ดี ให้ลูกหลานเคารพ และกราบไหว้บูชาแม้ยามจากไป ยังดีกว่าจะรอให้คนทั่วไปมาเซ่นไหว้ตามข้างทาง ขึ้นอยู่ที่ว่า..คุณ !! จะเลือกเป็นบรรพบุรุษแบบไหน

และในปีนี้ขอให้คนจีนไหว้เจ้าสารทจีนทุกคนช่วยกันรณรงค์ไหว้เป็นผลไม้ไทย และซื้อสินค้าไทยไหว้เจ้ากัน   

 



เจ้าเเม่กวนอิม เทพเจ้า
เทพเจ้าโชคลาภ ในวันสารทจีน

 

 

 

 

 

 

 

 

                  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


เคยสงสัยไม๊ว่า เหตุใดระบบการทำงานในร่างกายคนเราถึงทำงานได้เป็นเวลาคล้ายมีโปรแกรมตั้ง เวลาระบบไว้ ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะในร่างกายมีนาฬิกาชีวิตหรือนาฬิกาชีวภาพ (biological clock) ตั้งอยู่ที่ suprachiasmatic nucleus(SCN) ของสมอง ไฮโพธาลามัส ทำหน้าที่บริหารระบบในร่างกายให้ทำงานสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมของธรรมชาติ เพราะสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา ประกอบกับธรรมชาติไม่หยุดนิ่ง, มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากโลกหมุนรอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์ ทำให้โลกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแสงจากดวงอาทิตย์ เกิดเป็นวงจรของวัน(circadian rhythm) ใช้ระยะเวลา 24 ชั่วโมงต่อการหมุนรอบตัวเองของโลก 1 รอบ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงมืด(กลางคืน) กับช่วงสว่าง(กลางวัน) ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตจะต้องปรับสภาวะร่างกายให้ทำงานสอดคล้องกับวงจรของวันใน ธรรมชาติ มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้มีอายุขัยสั้นลง

 

ด้วยเหตุนี้นาฬิกาชีวภาพของคนจึงทำงานเป็นวงจรและใช้ระยะเวลา 24 ชั่วโมงเช่นกัน โดยมี 2 ช่วง คือ ช่วงมืด กับช่วงสว่าง สำหรับช่วงสว่าง แสงจะกระตุ้น SCN โดยอาศัยตัวรับแสง(melanopsin) ซึ่งอยู่ ที่เรตินา(จอตา) กับที่เส้นใยประสาท retinohypothalamic tract ส่วนช่วงมืด(กลางคืน) ต่อมไพเนียลของสมองจะหลั่งเมลาโทนิน(melatonin) มากระตุ้น SCN เมื่อ SCN ถูกกระตุ้นก็จะส่งสัญญาณผ่านระบบประสาทและฮอร์โมนไปควบคุมการทำงานของอวัยวะ และต่อมต่างๆ เพื่อให้สภาวะร่างกายดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับวงจรของวันในธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ อุณหภูมิของร่างกาย, ความดันเลือด, การเต้นของหัวใจ และวงจรการหลับ-ตื่น เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมาก โดยชักนำให้เกิดการนอนหลับ ปรับการทำงานของนาฬิกาชีวภาพ ช่วยชะลอความแก่ และป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง แต่เมลาโทนินจะถูกหลั่งออกมาในช่วงกลาง คืนเท่านั้น เนื่อง จากถูกยับยั้งโดยแสง แม้แสงจะมีความเข้มต่ำเพียง 0.1 ลักซ์(เทียบได้กับแสงในคืนพระจันทร์เต็มดวง) ก็ส่งผลให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนินน้อยลงได้

 


ปัจจัยที่ทำให้นาฬิกาชีวภาพทำงานผิดปกติ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิต(เช่น การนอนไม่เป็นเวลา นอนดึก) ความชรา และโรคบางชนิด เช่น อัลไซเมอร์ มะเร็ง พาร์คินสัน โรคทางจิตเภท(schizophrenia) โรคซึมเศร้า เป็นต้น โดยเซลล์ประสาทใน SCN จะหลั่ง vasopressin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกายและยังส่งผลไปควบคุม สภาวะร่างกาย เช่น อุณหภูมิของร่างกาย การตื่นตัว/ความกระฉับกระเฉง เมื่อ คนเรามีอายุมากขึ้น vasopressin และเมลาโทนินจะถูก หลั่งออกมาน้อยลง ส่งผลให้นาฬิกาชีวภาพทำงานผิดปกติ คนชราจึงมีอาการต่างๆ เช่น นอนไม่ค่อยหลับ ใช้ระยะเวลาให้เริ่มหลับนาน ระยะเวลานอนหลับสั้นลง นอนหลับไม่ลึก และเข้านอนเร็ว ทั้งนี้เป็นเพราะตัวรับแสงและตัวรับสัญญาณอื่นๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลง ส่วนผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียจากการเดินทางเป็นเวลานาน(jet lag) ร่างกายจะต้องปรับการทำงานของนาฬิกาชีวภาพใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ จึงเกิดอาการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก

 

ขณะที่นาฬิกาชีวภาพของผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะทำงานช้าลง ทำให้ช่วงเวลาที่อุณหภูมิของร่างกายลดลงต่ำสุดแตกต่างจากคนปกติ คือ จะลดลงในช่วง 9.00 น. ถึงช่วงเย็น แทนที่จะลดลงในช่วง 4.00 – 5.00 น. เหมือนคนปกติ ทำให้ตารางเวลาชีวิตเปลี่ยนไป โดยช่วงกลางคืนจะมีภาวะวิตกเครียดและนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาทำกิจกรรมและนอนหลับในช่วงกลางวันหรือช่วงเย็นแทน สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภท นาฬิกาชีวภาพจะทำงานเร็วผิดปกติ ผู้ป่วยจะนอนหลับไม่สนิทเนื่องจากมีภาวะรบกวนขณะหลับ โดยพบว่า 40-65% ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักจะนอนไม่หลับขั้นรุนแรง คาดว่าเป็นผลมาจากการนอนหลับในช่วงเย็น ทำให้เวลาเข้านอนดึก หลังเวลา 2.00 – 3.00 น. ร่างกายจึงไม่หลั่งหรือหลั่งเมลาโทนินออกมาน้อย ดังนั้นในขณะนอนหลับจึงไม่ควรเปิดไฟทิ้งไว้เพราะมีผลไปยับยั้งการหลั่งเมลา โทนิน และไม่ควรรนอนหลับในช่วงเย็นเพราะจะทำให้ช่วง เวลาเข้านอนต้องเลื่อนออกไป

 

 

 


 

 

 

การแพทย์จีนได้ใช้ทฤษฎี หยิน-หยาง อธิบายความสัมพันธ์ 2 ด้านที่ต่อต้าน/ตรงกันข้ามกัน แต่มีความเกี่ยวเนื่องควบคุมและสัมพันธ์กันตลอดเวลา โดย หยิน หมายถึง เย็น/ร่ม การหยุดนิ่ง กลางคืน ส่วนหยาง หมายถึง ร้อน/สว่าง กลางวัน การเคลื่อนไหว ดังนั้นหยิน-หยางจึงเปรียบได้กับสภาวะธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งกลางวันและกลางคืน และเปรียบได้กับอวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่ทำงานเชื่อมโยงกันและสอดคล้องกับวงจรของวันโดยแต่ละช่วงเวลาจะ มีอวัยวะบางชนิดหรือบางระบบในร่างกายที่ต้องทำงานหนัก (ภาพที่ 1) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า อวัยวะอื่นๆ จะหยุดทำงาน อวัยวะทั้งหมดยังคงทำงานเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันตลอดเวลา

 


ความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะ/ระบบของร่างกายกับช่วงเวลาในวงจรของวัน มีดังนี้

 

เวลา 3.00 – 5.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด เพื่อให้ระบบหายใจได้ทำงานได้เต็มที่ และเซลล์ต่างๆ ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอโดยเฉพาะที่สมอง สมองที่ได้รับออกซิเจนน้อยหรือไม่เพียงพอจะมีผลความจำของคนเราเสื่อมลงได้ และช่วง 4.00 – 5.00 น เป็นช่วงที่อุณหภูมิของร่างกายลดลงต่ำสุด ร่างกายควรได้รับความอบอุ่น หลีกเลี่ยงสภาวะอากาศเย็น ช่วงนี้จึงเหมาะต่อการตื่นนอนเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์และออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น สำหรับคนที่ระบบหายใจหรือปอดมีปัญหา หายใจติดขัด ไอ จาม มีน้ำมูก โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบต้องระวังสุขภาพ เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่อาการกำเริบได้ง่าย

 

เวลา 5.00 – 7.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ เพื่อขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย และมีการหลั่ง cortisol เพื่อช่วยให้ร่างกายกระปรี่กระเปร่า ช่วงนี้จึงควรดื่มน้ำเพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย และตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไปจนถึงช่วงหัวค่ำ ความดันเลือดในร่างกายจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น สำหรับคนที่มีสุขภาพอ่อนแอ จะมีอาการคัดจมูก มีน้ำมูก หายใจติดขัด โดยเฉพาะคนที่เป็นโรค หืดควรระวังอาการกำเริบ

 

เวลา 7.00 – 9.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร เนื่องจากร่างกายต้องการพลังงาน ดังนั้นจึงควรรับ ประทานอาหารมื้อเช้า สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน ภูมิแพ้ ไขข้ออักเสบรูมาทอยด์ช่วงเวลานี้ควรระวังอาการกำเริบได้

 

เวลา 9.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้ามและตับอ่อน โดยม้ามทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย กำจัดเม็ดเลือดแดงที่เสื่อมสภาพ ส่วนตับอ่อนจะผลิตเอนไซม์มาช่วยย่อยอาหารที่ลำไส้เล็ก ร่างกายช่วงนี้จะมีความตื่นตัวมาก จึงเป็นช่วงที่เหมาะต่อการ ทำงาน/ทำ กิจกรรม

 

เวลา 11.00 – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ช่วงนี้ระดับความดันเลือดในร่างกายยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ดัง นั้นคนที่หัวใจผิดปกติ ช่วงนี้จะมีเหงื่อออกมากและรู้สึกร้อน อบอ้าว

 

เวลา 13.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหาร หากมื้อกลางวันไม่รับประทานอาหารหรือรับประทานอาหารไม่เพียงพอ ช่วงนี้จะรู้สึกหิวและทรมาน

 

เวลา 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะ ปัสสาวะ ซึ่งทำหน้าที่เก็บน้ำกรองจากไต โดยช่วง 17.00 น. เป็นช่วงที่หลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อในร่างกายมีความแข็งแรง จึงเหมาะต่อการออกกำลังกาย

 

เวลา 17.00 – 19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต เพื่อกรองของเสียออกจากเลือดและ รักษาสมดุลในร่างกาย ช่วง 18.30 น. ระดับความดันเลือดจะเพิ่มขึ้นสูงสุด และ ช่วงนี้จึงควรดื่มน้ำสะอาด(ไม่ควรดื่มน้ำเย็น) และไม่ควรนอนหลับในช่วงนี้ เพราะจะทำให้นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน

 

เวลา 19.00 – 21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของหัวใจ และเป็นช่วงของระบบหมุนเวียนโลหิต โดยช่วง 19.00 น. อุณหภูมิในร่างกายจะเพิ่มขึ้นสูงสุด ผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนัง ช่วงนี้ควรระวังอาการกำเริบ

 

เวลา 21.00 – 23.00 น. เป็นช่วง เวลาของระบบทั้ง 3 (triple heater) ได้แก่ ระบบหายใจส่ง ผลต่อร่างกายช่วงบน(หัวใจ-ปอด) ระบบย่อยอาหารมีผลต่อช่วงกลางลำตัว(กระเพาะ อาหาร ม้าม ตับ) และระบบขับถ่ายมีผลต่อร่างกายช่วงล่าง(ไต กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก) เป็นช่วงที่ร่างกายปรับสมดุลความร้อนและเป็นช่วงที่อุณหภูมิในร่างกายจะ ค่อยๆ ลดลง การขับถ่ายอุจจาระจะหยุดพักชั่วคราว ร่างกายจะเริ่มหลั่งเมลาโทนิน ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ควร นอนหลับพักผ่อน

 

เวลา 23.00 – 1.00 น. เป็นช่วง เวลาของถุงน้ำดี เพื่อเก็บน้ำดีที่ได้จากตับและส่งน้ำดีมาช่วยย่อยไขมันที่ลำไส้เล็ก ถุง น้ำดีและตับ จึงเป็นอวัยวะที่ทำงานเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กันอย่างมาก

 

เวลา 1.00 – 3.00 น. ช่วงเวลาของตับ เพื่อกำจัดสารพิษในร่างกาย ลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยนำมาสังเคราะห์และเก็บสะสมในรูปไกลโคเจน และสร้างน้ำดีมาเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี ช่วงนี้ควรเป็น ช่วงที่หลับสนิทเพื่อ ให้เลือดไหลเวียนมาที่ตับได้ดี เนื่องจากเวลา 2.00 น ร่างกายจะหลั่งเมลาโทนินได้สูงสุด การนอนไม่หลับ เครียด ได้รับสารพิษ หรือรับประทานอาหารหวานจัด จะส่งปัญหาถึงตับ สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ ช่วงนี้อาจทำให้อาการกำเริบและหัวใจล้มเหลวได้

 

 

ทีนี้ลองพิจารณาพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเราสิว่า สอดคล้องกับตารางเวลาของนาฬิกาชีวิตหรือไม่? เพราะโรคบางโรค อาจมีสาเหตุมาจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา

 

http://board.postjung.com/795453.html#

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 โภชนาบำบัด^^'1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค2.กินไข่วันละฟอง ไม่ต้องไปหาหมอ3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก(เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์)ทำให้หน้าอกโตด้วย8.กล้วยน้ำหว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับน้ำมพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน(สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัด)10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและทาหน้า ร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด11.กินน้ำมันหมูดีที่สุด
 

 

โภชนาบำบัด


1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค
2.กินไข่วันละฟอง ไม่ต้องไปหาหมอ
3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ
4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า
5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง


6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด
7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก(เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์)ทำให้หน้าอกโตด้วย
8.กล้วยน้ำหว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน
9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับน้ำมพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน(สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัด)
10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและทาหน้า ร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด
11.กินน้ำมันหมูดีที่สุด

 

 

 

 

@ อ า ห า ร ที่ กิ น คู่ กั น . . . อั น ต ร า ย ! ! ! @

1. กินทุเรียนกับน้ำอัดลม - ให้พิษร้ายมากกว่าพิษงูเห่า!

2. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง - ห้ามรับประทานด้วยกันจะทำให้หูหนวก

3. น้ำเต้าหู้ - ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน

4. มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า

5. หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก

 

6. กล้วยกับเผือก - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้ท้องอืด

7. บวบ ซือกวย ไชเท้า - ห้ามรับประทานวันเดียวกัน จะทำให้เป็นเบาหวาน ทำให้เชื้ออสุจิอ่อนไม่แข็งแรง

8. กล้วย+มะละกอ+แตงโม - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน

9. มังคุดกับน้ำตาล - กินรวมกันจะทำให้เสียชีวิต

10. ผักป๋วยเล้ง - ห้ามรับประทาน กับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง

 

11. น้ำผึ้ง - ห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน

12. ส้มกับมะนาว - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้กระเพาะทะลุ

13. ปลาทุกชนิด - ห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง

14. ขิงดอง - ห้ามเข้าตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรค มะเร็ง

15. น้ำข้าว - ห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน

 

16.น้ำเต้าหู้กับนมสด - ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำให้ท้องผูกและเส้นเลือดตีบ

17. ถั่วลิสงกับฟักทอง - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้ทำร้ายร่างกายและลำไส้อักเสบ

18. มันเทศกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร

19. เหล้าขาวกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นพิษ

20. เหล้าขาวกับเบียร์ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก

21. หัวไชเท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว - ห้ามรับประทารด้วยกัน จะเป็นโรคผิวหนัง

 

* * *มีนักท่องเที่ยวชาวจีนวัยเพียง28ปีรายหนึ่ง ตอนมาเที่ยวเมืองไทยได้รับประทานทุเรียนไปจำนวนมากหลังจากนั้นก็ดื่มน้ำอัดลม สารคาเฟอินในน้ำอัดลมก่อให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หัวใจวายอย่างเฉียบพลัน

+ + ประเทศไทยได้ออกกฎอย่างชัดเจนไว้ว่า ภายใน 8 ชั่วโมงหลังจากการรับประทานทุเรียนเป็นจำนวนมาก ห้ามดื่มน้ำอัดลมเป็นอันขาด ! !

* * ทุเรียนก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะสูงเลยทีเดียว

 

Nichapat Kaeokun วิชาลูกเสือเป็นวิชาที่สนุกสนาน ครื้นเครง แต่วิทยากรที่มาสอนทำให้เด็กไม่อยากเรียน เช่น ทำซุ้มโรยมดแดง ลอดถ้ำเอาตะปูตอกให้เด็กลอดตะปูก็ขูดหลัง ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่ทำให้เด็กขยาดกับกิจกรรมนี้

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:19:32 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>