พบบุหรี่ชนิดใหม่.. สูบได้ทั้งครอบครัว.. ทำให้สุขภาพดี
บุหรี่ทั่วไปแก้เครียดได้จริงหรือ...
ลองเป่าลมหายใจออกทางปากช้า ๆ..
เหมือนกับว่า เรากำลังพ่นควันบุหรี่อย่างละเอียดละไม
จะรู้สึกว่า ลมหมดท้องดูซิ..
ทำสัก 3-4 ครั้ง แล้วสังเกตดูความรู้สึกที่เกิดขึ้น.. |
จะรู้สึกผ่อนคลายสบายขึ้นมาก..
แล้วสังเกตด้วยหรือไม่ว่า เมื่อลมหายใจหมดท้อง..
ร่างกายก็จะสูดลมหายใจใหมา เข้าไปจนอิ่มเช่นกัน..
นี่คือกุญแจไขปัญหาที่สำคัญ...
อันเป็นความลับของธรรมชาติ.. |
คำตอบคือ สิ่งที่ทำให้คลายเครียดมิใช่บุหรี่...
แต่เพราะการขยายความยาวของลมหายใจออก-เข้าต่างหาก
ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายหายเครียด...
ลมหายใจที่ยาวนุ่มลุ่มลึก ทั้งออกและเข้า..
มีอิทธิพลต่อร่างกายและจิตใจ ตามวิถีของธรรมชาติ..
ทำให้เกิดความสงบระงับ ทั้งร่างกายและจิตใจ... |
บุหรี่จึงไม่มีความสำคัญหรือจำเป็นต่อชีวิตเลย...
ซ้ำยังก่อโทษเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นมากมาย.!!!! |
เพื่อให้แน่ใจและชัดเจนในคำตอบนี้...
ลองหายใจสั้น ๆ กระชั้นถี่ สัก 20 ครั้งติดต่อกัน..
แล้วสังเกตดูสภาวะอารมณ์จิตใจของตน
รวมทั้งสังเกตการเต้นของหัวใจและกล้ามเนื้อ...
หลังการหายใจสั้น ๆ กระชั้นถี่ แบบนี้... |
เราต่างพบความจริงร่วมกันว่า...
การหายใจชนิดนี้ ทำให้กาย-ใจ ระส่ำระสาย...
สภาวะเช่นนี้เรียกว่า "ความเครียด"... นั่นเอง!
เรามักไม่ค่อยได้สนใจ สังเกตลมหายใจของเรา
ในขณะที่รู้สึกว่า เครียด...!!
มันมีลักษณะแบบเดียวกัน นั้นคือ สั้น ๆ กระชั้นถี่..
ความลับของธรรมชาตินี้จึงถูกปิดบังไว้ ด้วยตัวเราเอง...
เรามักพุ่งความสนใจไปสู่วัตถุที่จะทำให้หายเครียด...
โดยลืมค้นหาสาเหตุที่แท้จริง แล้วแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ... |
คนทั่วไปมักหนีอารมณ์เครียดด้วยวิธีต่าง ๆ
อันเป็นการหลอกตัวเอง เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว...
ที่สำคัญมักก่อปัญหาซ้ำซ้อนวุ่นวายตามมาภายหลัง..
เช่น การไปเที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์ เดินซื้อของฟุ่มเฟือย
หรือประชดชีวิตด้วยวิธีต่าง ๆ นานา...
แล้วผลสุดท้าย ปัญหาก็วกเพิ่มสุมทับเข้ามาอีกมาก
และหลาย ๆ คนก็เลือก บุหรี่ เป็นคำตอบ..(ที่ผิดพลาด) |
บุหรี่มีสารเสพย์ติด เป็นสารพิษ
ให้โทษแก่ร่างกาย ที่เรียกว่า "สารนิโคติน"
คนที่ทดลองสูบบุหรี่ใหม่ ๆ จะรู้สึกคลายเครียดบ้าง ก็เพราะ..
ได้สูดลมหายใจยาว ๆ นั่นเอง...
แต่ก็มีความเครียดอื่นแทรกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว คือ มีอาการมึน ๆ...
ต่อมาก็จะติดสารเสพย์ติดที่เป็นพิษนั้น... |
แม้ไม่มีเรื่องเครียดจากภายนอก...
แต่ร่างกายก็จะระส่ำระสาย เคร่งเครียด
เพราะอยากเสพสารนั้น...
พอได้เสพสมใจอยาก ร่างกายก็สงบไปชั่วครู่
ก็เลยหลงเข้าใจผิดคิดไปว่า บุหรี่ ทำให้หายเครียด
ถ้าสังเกตให้ละเอียดต่อไป จะพบว่า...
ความสบาย เกิดเพียงชั่วขณะที่สมใจอยาก
และได้สูดลมหายใจที่ยาว ผ่อนคลาย...
แต่หลังจากนั้นล่ะ!!! |
เมื่อสารพิษ "นิโคติน" เข้าสู่กระแสเลือด...
ก็จะเกิดความเคร่งเครียดแก่ระบบร่างกายและจิตใจอีก...
หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น ทำงานหนักขึ้น
ลมหายใจจึงถี่กระชั้นขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
ปอดได้รับความระคายเคืองอย่างมาก
ส่งผลร้ายไปถึงอวัยวะอื่น ๆ ...
เพราะส่วนต่าง ๆ ทั้งกายใจทำงานประสานกันเป็นฟันเฟือง... |
ดังนั้นจึงขอแนะนำ บุหรี่ชนิดใหม่...
ชนิดพิเศษไม่มีควันพิษและสารพิษ ไม่เสียทรัพย์ต้องจับจ่าย...
ไม่เสียสุขภาพ แต่กลับบำรุงสุขภาพ
ทำให้สบายกายใจ คลายกังวล...
ก็บุหรี่ยี่ห้อ "สมาธิ" นั่นไง...
สูบแล้ว มีความสุขทั้งครอบครัว... |
เคล็ดลับสำคัญ...
ในขณะที่กำลังเป่าลมหายใจช้า ๆ
ออกจนหมดท้อง (เหมือนกำลังพ่นควันบุหรี่)
และสูดลมหายใจใหม่ที่ยาวนุ่มเข้าไปช้า ๆ...
ให้เอาจิตจดจ่อกับลมที่ออกและเข้านั้น...
เป็นการทำสมาธิและพักจิตไปในตัว...
สิ่งที่ขุ่นมัว คิดไม่ออก ก็จะแจ่มใสปลอดโปร่งขึ้น...
จิตใจจะสงบ ผ่องใสขึ้น
แล้วค่อยคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญา มิใช่อารมณ์...
ร่างกายก็จะแข็งแรง...
เพราะปอดขยายตัวได้รับออกซิเจนมากขึ้น
โลหิตจะบริสุทธิ์ขึ้น หัวใจทำงานดีขึ้น...
เพียงแค่รู้จักกำหนดลมหายใจ...
ไม่ต้องพึ่งวัตถุใดใดให้สิ้นเปลือง |
|
มาสูบบุหรี่ "สมาธิ" กันดีกว่า
เพิ่มชีวิตชีวาทั้งร่างกายและจิตใจ |
|
เก็บตกจากหนังสือ "ชีวิตผ่องใสที่ใคร ๆ ปรารถนา"
|
|
ฮือฮา! ผู้นำปากีสถาน “รับคำเชิญ” ไปร่วมพิธีสาบานตนของ “นเรนทรา โมดี” ว่าที่นายกฯอินเดีย
นายกรัฐมนตรี นาวาซ ชารีฟ แห่งปากีสถาน (ซ้าย) และ นเรนทรา โมดี ว่าที่นายกรัฐมนตรีอินเดีย
รอยเตอร์ - นายกรัฐมนตรี นาวาซ ชารีฟ แห่งปากีสถาน ตอบรับคำเชิญไปร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของว่าที่นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ระหว่าง 2 ประเทศที่เป็นคู่อริ และเคยทำสงครามกันมาแล้วถึง 3 ครั้ง นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1947
โมห์ยุดดิน วานี เลขาธิการร่วมประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปากีสถาน ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ในวันนี้ (24) ว่า “จะมีการประชุมทวิภาคีนอกรอบระหว่างนายกรัฐมนตรี นาวาซ ชารีฟ กับคุณโมดี... ท่านนายกรัฐมนตรีจะแวะไปเยี่ยมเยียนประธานาธิบดีแห่งอินเดียด้วย”
ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับอินเดียตึงเครียดเขม็งเกลียวมาตั้งแต่ปี 2008 หลังเกิดเหตุวินาศกรรมนครมุมไบ ซึ่งทางอินเดียกล่าวหาว่าเป็นฝีมือกลุ่มติดอาวุธที่ซ่องสุมอยู่ในปากีสถาน
ชารีฟ ซึ่งก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปีที่แล้ว ให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลภารตะ แต่ก็ถูกพวกอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรงในประเทศกดดันให้ยึดถือจุดยืนแข็งกร้าว โดยเฉพาะพวกนายทหารระดับสูง
ประเด็นที่ ชารีฟ ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือนโยบายส่งเสริมการค้ากับอินเดีย โดยผู้นำทหารปากีสถานยืนกรานให้อินเดียถอนกำลังออกจากดินแดนแคชเมียร์ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทเสียก่อน
ความพยายามของอดีตนายกรัฐมนตรี มานโมฮัน ซิงห์ แห่งอินเดีย ที่จะฟื้นฟูความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการทูตกับปากีสถานก็นับว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หลังมีเหตุปะทะรุนแรงเกิดขึ้นตามแนวพรมแดนแคว้นชัมมู-แคชเมียร์เมื่อปีที่แล้ว
เป็นทีทราบกันดีว่า พรรคภารติยะชนตะ (บีเจพี) ของ โมดี ถือนโยบายไม่อ่อนข้อให้ปากีสถานมานาน ซึ่งแนวคิดนี้ก็ถูกสะท้อนชัดเจนในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งรัฐสภาที่พรรคบีเจพีคว้าชัยชนะอย่างถล่มทลาย หลายฝ่ายมองว่านายกรัฐมนตรี โมดี น่าจะมีจุดยืนที่แข็งกร้าวพอสมควรในด้านของความมั่นคง
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ปากีสถานกลับคาดหวังว่า โมดี น่าจะฉวยโอกาสนี้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิสลามาบัด เนื่องจากนักการเมืองฮินดูชาตินิยมผู้นี้ไม่ได้เผชิญอุปสรรคจากข้อครหา “อ่อนแอ” เหมือนเช่นรัฐบาล ซิงห์
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งเป็นนโยบายหลักของ โมดี จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่ออินเดียเปิดตลาด และส่งเสริมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และ โมดี อาจเล็งเห็นว่า ชารีฟ ซึ่งเป็นผู้นำปากีสถานที่สนับสนุนระบบตลาดเสรีและมีท่าทีประนีประนอมกับนิวเดลีมานาน น่าจะเป็นพันธมิตรที่ควรรักษาไว้
สงครามศาสนา
สงครามอินเดีย-ปากีสถาน
ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียใต้ต่างเคยเป็นดินแดนใน อาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ ในช่วงปลาศตวรรษที่ 18 ซึ่งปกครองดินแดนอนุภูมิภาคอินเดียเป็นเวลายาวนานเกือบ 200 ปี ประมาณร้อยละ 95 ของประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้นับถือศาสนาฮินดูหรืออิสลาม ฝ่ายสันนิบาตรมสลิม (Muslim League) นำโดย Jinnah เสนอ Two Nation Theory ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ว่า ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของอนุ-ทวีปเป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมและพื้นเพความเป็นมาแทบจะ ไม่เหมือนกันเลย และจักรวรรดิอังกฤษของอินเดียควรแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและ ประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ในที่สุด จักรวรรดิอินเดียของอังกฤษได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศอินเดียและปากีสถาน
ความขัดแย้งระหว่างอินเดีย - ปากีสถาน ที่มีรากฐานมาจากความแตกต่างทางศาสนา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และข้อพิพาทที่เกิดขึ้นของทั้งสองประเทศเหนือดินแดนแคว้นชัมมูและแคชเมียร์ หรือที่เรียกว่า แคว้นแคชเมียร์ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1947
เมื่อข้อตกลงการแบ่งแยกดินแดนดังกล่าวไม่ได้แบ่งแยกเอาแคว้นชัมมูและแคชเมียร์ ซึ่งมีฐานะเป็น รัฐหรือแคว้นในอินเดีย ที่ปกครองโดยผู้ปกครองชาวอินเดียภายใต้ระบบจักรวรรดิอินเดียของอังกฤษ ถือเป็นการปกครองทางอ้อมโดยอังกฤษ และมีเสรีภาพที่จะเลือกว่าจะมีสถานะแบบใด ระหว่าง
- เป็นส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน หรือ อินเดีย
- คงสถานะเป็นรัฐที่แยกตัวออกจากทั้งสองประเทศ โดยในขณะนั้น มหาราชา Hari Singh เลือกที่จะคงสถานะให้แคว้นชัมมูและแคชเมียร์เป็นรัฐอิสระ
สาเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน
แคว้นชัมมูและแคชเมียร์นั้น เดิมเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาวสิกข์ในช่วงต้นคริสศตวรรษที่ 19 หลังจากที่อังกฤษรุกรานสิกข์และได้รับชัยชนะในปี ค.ศ. 1846 (พ.ศ. 2389) แทนที่อังกฤษจะปกครองดินแดนด้วยตนเองกลับให้อำนาจการปกครองกับชาวฮินดูในฐานะ "มหาราชา"
ในยุคจักรวรรดิอังกฤษ แคว้นชัมมูและแคชเมียร์เป็นหนึ่งใน 560 รัฐที่ได้รับอนุญาตให้ปกครองตนเองภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ ในการประกาศเอกราช ผู้ปกครองแคว้นต่างๆ เหล่านี้ ได้รับสิทธิเลือกที่จะอยู่กับประเทศใดประเทศหนึ่ง ระหว่าง อินเดียและปากีสถาน โดยต้องคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศและศาสนาของประชากรที่อาศัยอยู่ ณ ที่นั้น มหาราชา Hari Singh Dogra ผู้ครองแคว้นชัมมูและแคชเมียร์ขณะนั้นไม่สามารถตัดสินใจได้ เนื่องจากตัวพระองค์นับถือศาสนาฮินดู ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นมหาราชาจึงไม่ตัดสินใจที่จะรวมเข้ากับประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่กลับลงนามในข้อตกลงสงบศึกชั่วคราว กับปากีสถาน เพื่อที่ประชาชนในแคว้นยังสามารถทำการค้า การเดินทางท่องเที่ยวและการติดต่อสื่อสารกับประชาชนของปากีสถานได้ ขณะที่แคว้นชัมมูและแคชเมียร์ไม่ได้มีการลงนามข้อตกลงใดๆ กับประเทศอินเดีย
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1947 ชนเผ่า Pashtun จากชายแดนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานเข้ารุกรานแคว้นแคชเมียร์ นอกจากนั้น ยังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในแคว้นเพื่อต่อต้านกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลปากีสถานในความพยายามจะรวมเข้ากับปากีสถาน จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ทำให้มหาราชา Hari Singh ตัดสินใจนำแคว้นชัมมูและแคชเมียร์เข้าร่วมกับอินเดีย โดยแลกกับความช่วยเหลือด้านกำลังพลและอาวุธจากอินเดีย
ภายหลังจากที่มหาราชา Hari Singh ลงนามในการส่งมอบสัตยาบันหรือภาคยานุวัติสาร (Instrument of Accession) กับ V P Menon ผู้แทนนายกรัฐมนตรี Jawaharlal Nehru เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ในเช้าวันต่อมา (27 ตุลาคม) กองกำลังอินเดียเคลื่อนพลทางอากาศเข้าสู่กรุง Srinagar หรือ ศรีนคร เมืองใหญ่ที่สุดในแคชเมียร์ นับตั้งแต่นั้นมาความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน ได้ทวีความรุนแรงขึ้นและต่อเนื่องยาวนานจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 50 ปี
สรุป ประวัติการทำสงครามระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน
แคว้นชัมมูและแคชเมียร์ เป็นต้นตอขอข้อพิพาทในภูมิภาคเอเชียใต้ตลอดมานับตั้งแต่อังกฤษคืนเอกราชให้ดินแดนจักรวรรดิอินเดียของอังกฤษ และเป็นชนวนเหตุสงครามระหว่างอินเดีย - ปากีสถานถึง 4 ครั้ง ดังนี้
- ครั้งที่ 1 ระหว่างปี ค.ศ. 1947 - 1949 หรือที่เรียกว่า "The First Kashmir War" เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1947 ปากีสถานให้การสนับสนุนวาร์ซิรี (Warxiri) และมาอูซุด (Mausud) นำทหารชาวเขาจากชายแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือ โดยอ้างว่ามาทำการปลดปล่อยชาวแคชเมียร์จากมหาราชา Hari Singh และสามารถยึดครองดินแดนได้ถึง 1 ใน 3 ของแคว้น ทำให้มหาราชาตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอินเดีย เยาหะราล เนห์รู นายยกรัฐมนตรีขณะนั้นตัดสินใจส่งทหารบกลำเลียงทางอากาศลงที่ศรีนคร (เมืองหลวงแคชเมียร์) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1947 เวลา 09.00 ได้ทันก่อนที่ปากีสถานจะเข้ายึดสนามบิน เกิดการปะทะกันหลายครั้ง หลังจากนั้น รัฐบาลอินเดียยื่นประท้วงต่อคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งองค์การสหประชาชาติมีมติให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดยิง เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1949 โดยกำหนดแนวหยุดยิง (Line of Control) แบ่งแคชเมียร์ตะวันออก ชัมมู และลาดัคห์ เป็นเขตยึดครองของอินเดีย ส่วนแคชเมียร์ตะวันตก (ปากีสถาน เรียกว่า "อาซัค" หมายถึงแคชเมียร์) เป็นเขตยึดครองของปากีสถาน
-
- ครั้งที่ 2 ระหว่างปี ค.ศ. 1965 - 1966 หรือที่เรียกว่า "The Second Kashmir War" สงครามแคชเมียร์ครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 เมื่อปากีสถานส่งกำลังทหารเข้าโจมตี Runn of Kachehh โดยอ้างว่าเป็น "วันปลดปล่อยแคชเมียร์" (Kashmir Revolt Day) ซึ่งตรงกับการฉลองครบรอบ 12 ปีที่เชค อับดุลลาห์ ผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพชาวแคชเมียร์ถูกจับกุม ปากีสถานส่งหน่วยคอมมานโดพร้อมอาวุธทันสมัยรุกเข้ายึดศรีนคร ทำลายสถามบินปาธาน-กฏอดัมขปูร์ และฮัลวารา พร้อมทั้งส่งกำลังพลร่มเข้าสู่ปัญจาบ รัฐบาลอินเดียได้ยื่นประท้วงสหรัฐฯ กล่าวหาปากีสถานใช้อาวุธทันสมัยละเมิดแนวหยุดยิง รุกรานแคชเมียร์ในเขตยึดครองอินเดีย สหรัฐฯ จึงได้ระงับการขายอาวุธให้ปากีสถาน ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1965 และประกาศวางตัวเป็นกลาง อินเดียส่งกำลังทหารตีโต้ สามารถยึดดินแดนกลับคืนมาได้ และรุกคืบหน้าใกล้ถึงเมืองละฮอร์ (Lahore) ของปากีสถาน จนทำให้ปากีสถานต้องยอมหยุดยิงและเจรจาสงบศึก (The Tashkent Declaration) เมื่อค.ศ. 1966 ที่เมือง Tashkent
-
- ครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ. 1971 เป็นสงครามที่ไม่มีความเกี่ยวพันกับแคชเมียร์ แต่เกี่ยวพันกับสงครามการแยกตัวของปากีสถานตะวันออก หรือ บังคลาเทศในปัจจุบัน (Bangladesh Liberation War) ดินแดนทางทิศตะวันออกของปากีสถานซึ่งประชากรส่วนใหญ่เชื้อสาย Bengali ต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากปากีสถาน ด้วยเหตุความรุนแรงในวงกว้างที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้อพยพชาว Bengali หลายล้านคนหนีตายมายังประเทศอินเดีย ในครั้งนั้น อินเดียร่วมกับกองกำลังต่อสู้เพื่ออิสรภาพของบังคลาเทศ (Mukti Bahini หรือที่รู้จักกันในนามของ "Freedom Fighter") สามารถเอาชนะกองกำลังปากีสถาน ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้เกิดประเทศบังคลาเทศ
-
- ครั้งที่ 4 สงครามคาร์กิล ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม - 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 หรือที่เรียกว่า "Kargil War" ปากีสถานเปลี่ยนยุทธวิธีการรบจากการใช้กำลังเผชิญหน้ามาเป็นการใช้ยุทธวิธีในการทำให้อินเดีย Bleed through a thousand cuts เหมือนกับที่ปากีสถานได้ทำกับอดีตสหภาพโซเวียตในช่วงที่เข้ายึดครองอัฟกานิสถาน และในที่สุดโซเวียตก็พ่ายแพ้ ปากีสถานใช้นักรบศักดิ์สิทธ์ของพระผู้เป็นเจ้า หรือ "Jihad" ต่อสู้กับพวกนอกศาสนา คือ อินเดีย โดยเปิดค่ายผู้ก่อการร้ายในเขตแคชเมียร์ของปากีสถาน ในสงครามครั้งนี้ แม้อินเดียจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ แต่อินเดียพบกับความสูญเสียมหาศาล ทหารอินเดียหลายกองพันต้องสังเวยชีวิต ส่วนปากีสถานสามารถเรียกร้องให้นานาชาติหันมาสนใจปัญหาแคชเมียร์ได้ในระดับหนึ่ง
ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ได้มีสัญญาณแสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศมีวี่แววว่าจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งสองประเทศต่างเปิดการเจรจาสันติภาพหลายครั้ง และได้มีการเปิดเส้นทางรถโดยสารระหว่าง 2 ฝากฝั่งแคชเมียร์ในปี 2005 ขณะที่ในปี 2006 ได้มีการเปิดเส้นทางรถไฟและเส้นทางการค้าหลังจากปิดมา 60 ปีตรงบริเวณรอยต่อแบ่งเขตการปกครองแคชเมียร์ของอินเดีย และ ปากีสถาน
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายที่กรุงมุมไบในเดือนพฤศจิกายนปี 2008 ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศเริ่มย่ำแย่ลงอีกครั้ง อินเดียได้ส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ 2 ฉบับไปยังปากีสถาน เพื่อประท้วงที่ปากีสถานไม่อาจหยุดผู้ก่อการร้ายที่อาศัยอยู่ในประเทศตนได้
Cr.กองพันทหารม้าที่หนึ่ง รักษาพระองค์ฯ
ผลจากการรักษาความสงบที่ แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.57 ภาพแรกเหตุชุลมุนบริเวณร้านแม็คโดนัลทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บบริเวณเบ้าตาขวา ภาพที่ 2-3 ภาพข่าวที่ถูกแชร์และโพสลงเฟสบุคว่าทหารโดนด่าจนทนไม่ได้น้าตาไหล !!! ความจริงคือ!!! เกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมฉีด!!!สเปรย์พริกไทย!!!!!!ใส่ตาทำให้น้ำตาไหล
วันพุธที่ 21 พฤษภาคม 2557 เป็นวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6
ขยายความ
๑. เวรัญชกัณฑ์
เริ่มต้นด้วยเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ โคนไม้สะเดา ใกล้เมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่. เวรัญชพราหมณ์ได้ทราบกิตติศัพท์สรรเสริญ จึงเข้าไปเฝ้า แต่มิได้ถวายบังคม หลังจากทักทายปราศรัยแล้ว ก็ได้กล่าวว่า ได้ข่าวเขาพูดกันว่าพระสมณโคดมไม่ยอมไหว้หรือลุกขึ้นต้อนรับพราหมณ์ผู้สูงอายุ การที่พระสมณโคดมทำเช่นนั้น ย่อมไม่สมควร.
พระพุทธเจ้าตรัสรับว่า พระองค์มิได้ไหว้พราหมณ์ผู้สูงอายุจริง. เวรัญชพราหมณ์จึงเกล่าววาจารุกรานด้วยถ้อยคำที่ถือกันในสมัยนั้นว่า เป็นคำดูหมิ่นเหยียดหยาม รวม ๘ ข้อ เช่น คำว่า พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีรสชาติ, เป็นคนไม่มีสมบัติ, เป็นคนนำให้ฉิบหาย, เป็นคนเผาผลาญ เป็นต้น. แต่พระผู้มีพระภาคทรงอธิบายคำเหยียดหยามนั้นไปในทางที่ดี เช่นว่า ใครจะว่าไม่มีรสชาติก็ถูก เพราะท่านไม่ติดรส คือรูป เสียง เป็นต้น.
ใครจะว่าไม่มีสมบัติก็ถูก เพราะท่านไม่ติดสมบัติ คือรูป เสียง เป็นต้น. ใครจะว่านำให้ฉิบหายก็ถูก เพราะท่านแสดงธรรมให้ทำบาป อกุศล ทุกอย่างให้ฉิบหาย. ใครจะว่าเป็นคนเผาผลาญก็ถูก เพราะท่านเผาผลาญบาป อกุศล อันเป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อนทั้งหมด. เมื่อตรัสตอบแก้คำดูหมิ่นเหยียดหยามของพราหมณ์ตกทุกข้อโดยไม่ต้องใช้วิธีด่าตอบ หากใช้วิธีอธิบายให้เป็นธรรมะสอนใจได้ดั่งนั้นแล้ว จึงตรัสอธิบายเหตุผลในการที่พระองค์ไม่ไหว้พราหมณ์ผู้สูงอายุ โดยเปรียบเทียบว่าลูกไก่ตัวไหนเจาะฟองไข่ออกมาได้ก่อน ลูกไก่ตัวนั้น ควรนับว่าแก่กว่าลูกไก่ตัวอื่น พระองค์เจาะฟองไข่คืออวิชชาก่อนผู้อื่น จึงถือได้ว่าเป็นผู้แก่กว่าผู้อื่น เวรัญชพราหมณ์ได้ฟังก็เลื่อมใส ประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกราบทูลอาราธนาให้ทรงจำพรรษอยู่ในเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ พระองค์ทรงรับโดยดุษณีภาพ.
ในสมัยนั้น เมืองเวรัญชาเกิดทุพภิกขภัย หาอาหารได้ยาก ถึงขนาดต้องใช้สลากปันส่วนอาหาร. ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต ได้อาศัยข้าวแดงจากพ่อค้าที่พักแรมฤดูฝน ณ เมืองนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญภิกษุเหล่านั้นว่า เป็นผู้ชนะ (ที่สามารถต่อสู้กับความยากลำบากได้ โดยไม่ต้องใช้วิธีแสวงหาในทางที่ผิด เช่น อวดตนเป็นผู้วิเศษ เป็นต้น).
พระโมคคัลลานะเสนอวิธีแก้ไขความอดอยากหลายประการ รวมทั้งการไปเที่ยวบิณฑบาตในที่อื่น แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต.
ส่วนพระสาริบุตรคำนึงถึงความตั้งมั่นแห่งพรหมจรรย์ จึงกราบทูลถามถึงเหตุที่ทำให้พรหมจรรย์ตั้งมั่นและไม่ตั้งมั่น พระพุทธเจ้าทรงชี้ไปที่การบัญญัติสิกขาบท การสวดปาฏิโมกข์ (สวดทบทวนสิกขาบททุกกึ่งเดือน) ว่าเป็นเหตุให้พรหมจรรย์ตั้งมั่น การไม่ทำเช่นนั้นเป็นเหตุให้พรหมจรรย์อันตรธาน. พระสาริบุตรจึงกราบทูลขอให้ทรงบัญญัติสิกขาบท. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยังไม่ถึงเวลา คือพระสงฆ์ยังไม่มาก ลาภสักการะยังไม่มาก ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ (กิเลสที่ดองสันดาน) ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ ก็ยังไม่ต้องบัญญัติสิกขาบท. ถ้าพระสงฆ์มาก ลาภสักการะมาก ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะปรากฏในสงฆ์ จึงควรบัญญัติสิกขาบท. ทั้งขณะนั้นภิกษุสงฆ์ที่ติดตามพระพุทธเจ้า ก็ล้วนเป็นพระอริยบุคคล คืออย่างต่ำก็เป็นพระโสดาบัน.
เมื่อออกพรรษาแล้ว พระพุทธเจ้าจึงชวนพระอานนท์ไปบอกลาเวรัญชพราหมณ์ ในฐานะผู้นิมนต์ให้จำพรรษา เวรัญชพราหมณ์นิมนต์พระองค์พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ฉันในวันรุ่งขึ้น ทรงรับนิมนต์และไปฉันตามกำหนดแล้ว แสดงธรรมโปรดเวรัญชพราหมณ์ แล้วเสด็จจาริกไปสู่เมืองโสเรยะ เมืองสังกัสส์ เมืองกัณณกุชชะ โดยลำดับ เสด็จข้ามลำน้ำคงคา ที่ท่าชื่อปยาคะ ไปสู่กรุงพาราณสี จากพาราณสี สู่เวสาลี ประทับ ณ เรือนยอดในป่ามหาวัน.
ค่าเทอมปี 2557 ของ 30 โรงเรียนอนุบาล-ประถมชื่อดัง
ค่าเทอมปี 2557 ของ 30 โรงเรียนอนุบาล-ประถมชื่อดัง (TheAsianparent.Com)
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังหาโรงเรียนอนุบาลและประถมให้ลูก เรารวบรวมค่าเทอมหลักสูตรสามัญในปี 2557 ของโรงเรียนอนุบาล-ประถมชื่อดัง ทั้งโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนสาธิตไว้แล้ว
ตารางค่าเทอมปี 2557 ของ 30 โรงเรียนอนุบาล-ประถมชื่อดัง
เรียนฟรีเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลนะครับ...อย่างโรงเรียนสังกัดกทม.(ที่ผมสอนอยู่) ฟรี 1. อาหารเช้า (ข้าวต้ม) 2.นม 3.ค่าเทอม 4.เสื้อผ้า 5.อุปกรณ์ 6.ค่าเรียนว่ายน้ำ 7.ชุดว่าน้ำ 8.ทัศนศึกษา 9.อาหารกลางวัน 10....11.....12..............40 กว่าๆรายการ 555+
ฟรีจริงๆครับ แต่รับสภาพแวดล้อมสังคมได้ไหมหละ
เพราะสังกัดกทม.เป็นสังกัดเมืองหลวงก็จริง แต่เด็กที่มาเรียนคือเด็กตจว.ย้ายไปย้ายมาตามพ่อแม่ ผู้ปกครองไม่ค่อยให้ความสำคัญด้านการศึกษา(ปากท้องสำคัญกว่า) ฐานนะไม่สู้ดี น.ร.บางคนกลับบ้านต้องช่วยพ่อแม่ทำงานถึงมืดค่ำ
เคยถามป.3คนนึงชอบหาวๆหลับๆเลยถามว่านอนกี่โมง น.ร.บอกว่า ต้องรอแม่กลับมาตี1แล้วกินข้าวกันแล้วค่อยนอน (ฟังแล้วตอนนั้นน้ำตาคลอๆเลย)บางคนก็ป่วยง่ายมีโรคประจำตัว(บางคนดูไม่ค่อยสมบูรณ์เลย น่าจะตั้งแต่การบำรุงครรภ์) อย่างพื้นๆเลยคือมีเหา โรงเรียนติดต่ออนามัยศูนย์ฯมาใส่ยาก็ไม่ได้ผลเท่าไร สักพักก็เป็นอีก เพราะที่นอนหมอนที่บ้านเป็น...
ส่วนเรื่องครูก็ไม่ขี้เหร่เลย เพราะข้าราชการครูกทม.ทุกคนก็มาจากร.ร.เอกชนหลายๆที่ ที่มีค่าเทอม 30,000-50,000 มาสอบบรรจุกันทั้งนั้น ใครสอบไม่ได้ก็สอนที่เดิม
เด็กพวกนี้น่าสงสาร จะเห็นเลยว่าปัญหาความเป็นอยู่ของเด็กมันเยอะนัก จะแค่เข้าสอนแล้วออกไม่มีทาง (ถึงแม้ผลการเรียนเด็กทำได้ไม่ค่อยดี แต่ผมและครูอีกหลายๆท่านก็ภูมิใจกว่าสอนเอกชน....เหมือนได้รับใช้ชาติ
ลูกเราโรงเรียนรัฐ สังกัดเทศบาล
คนโต ป.1 พันกว่าบาท
คนเล็ก อ.1 สองพันกว่า
หนูเรียนม.ปลายค่ะ
เรียนฟรี 15 ปี... ฟรีนะ แต่ค่าบำรุงโรงเรียน ค่าบริจาคเอย เรียกเก็บกันประมาณเกือบๆ ห้าพัน (บังคับจ่ายเลยค่ะบางรร.)
ส่วนค่าเทอม หนูเรียนโรงเรียนรัฐฯ โครงการพิเศษ(ep) เสีย 20000 ค่ะ แต่มีแนวโน้มว่าค่าเทอมจะขึ้นรุ่นหน้าอีก
จะเรียนจบ หมดไม่รู้กี่ล้าน จบออกมาเงินเดือน 12000
ต้นไม้ที่เลี้ยงไว้ไม่ให้โดนแดด โดนฝน
เมื่อเอามาไว้ข้างนอก จะเฉาเร็วกว่าต้นไม้ปกติ
เหมือง แร่ทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย ที่มีปัญหา ชายฉกรรจ์คลุมหน้า และติดอาวุธ ประมาณ 100 ถึง 300 คน เข้ามาปิดล้อมตามจุดตรวจชุมชน และจับควบคุมตัวชาวบ้านที่อยู่ประจำจุดตรวจ มัดมือมัดเท้า ทุบตีและใช้มีดแทง ระหว่างให้รถบรรทุกขนแร่ออกไป ซึ่งส่งผลให้มีชาวบ้านบาดเจ็บประมาณ 20 คน และ สาหัส 3-4 คน
เหมืองแร่แห่งนี้ดำเนินการโดย
บริษัท ทุ่งคำ จำกัด
ซึ่งมี บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด เป็นบริษัทแม่
บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด
มีนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นประธานกรรมการ
และ นายแกรี่ อลัน ไพเออร์ เป็นกรรมการผู้จัดการ
โดยมีกรรมการบริษัทดังนี้คือ
1. นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
2. นายประจิตร ยศสุนทร
3. นางนิลยา มาลากุล ณ อยุธยา
4. นายประกิต ประทีปะเสน
5. นายโรนัลต์ อึ้ง ไว ซอย
6. นายแกรี่ อลัน ไพเออร์
7. นายสมศักดิ์ ศิริจรรยา
8. นายปรีชา อรรถวิภัชน์
9. นายวารินทร์ เชิดบุญเมือง
10. นายเหลียง นิงกวง
11. นายราชัน กาญจนะวณิชย์
ต่อมาทางบริษัทได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน
มีผู้อำนาจกระทำแทนบริษัทคือ
นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล และนายเอียน แพสโค ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท
และ มีคณะกรรมการบริษัท ดังนี้
1. นายวิชัย เชิดชีวศาสตร์
2. นายบัณฑิต แสงเสรีธรรม
3. นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล
4. นางธารินี พงศ์สุพัฒน์
5. นายอำนวย ถาวรวงศ์
6. นายเอกชัย โชติยานนท์
7. นายนิพนธ์ กีรติพิทยาภรณ์
8. นายรุทธิรงค์ สุ่นกุล
9. นายเอียน แพสโค
10. นายพอล ดิฟรีส
ส่วนบริษัท ทุ่งคำ จำกัด มีคณะกรรมการดังนี้คือ
1. นายชนะ วงศ์สุภาพ
2. นายปราโมทย์ บันสิทธิ์
3. นายบัณฑิต แสงเสรีธรรม
4. นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล
5. นายวิชัย เชิดชีวศาสตร์
6. นายธนภูมิ เดชเทวัญดำรง
กรณีนี้ ปธ. บริษัท คือ จิรายุ ผอ.สนง.ทรัพย์สินฯ เคยแฉ (เล่า) ไปแล้ว ว่าผ่านเงินให้สนธิญาณ ให้ กปปส. เป็นเงินหลายสิบล้านบาท
คือ กรณีเคสข้างต้น มันจะเหมือนกรณีบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ที่แพร่สารแคดเมียมที่จังหวัดตากไหมนะ
ซึ่ง บ.ผาแดง เนี่ยมี นายอาสา สารสิน เป็นประธานกรรมการบริษัท และเคยเป็นอดีตราชเลขาธิการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ด้วย
นี่ยังไม่รวมกรณี สหยุเนียน ที่มีปัญหาที่นิคมมาบตาพุด ที่อานันท์ ปันยารชุน นั่งบริหาร
แล้วตอนมีปัญหา เสือกตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย โดยมีอานันท์เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย
กล่าวโดยสรุป คือ
จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นประธานกรรมการ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด และ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด นี้ มีปัญหากับชาวบ้าน ที่ จ.เลย และมีการใช้กำลังชายฉกรรจ์ มาทำร้ายชาวบ้าน เพื่อให้ขนแร่บริษัทตัวเอง
และนายจิรายุ เป็น ผอ.สนง.ทรัพย์สินฯ และในฐานะประธานกรรมการ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด จะปฏิเสธความรู้เห็น ในการทำร้ายชาวบ้าน ซึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดาไม่ได้
ดูสิ จะยังปล่อยให้คนแบบนี้ มาอยู่ในตำแหน่งสูงๆ อีกหรือ
นี่มันทุนนิยมสามานย์
เครือข่ายสามานย์
ตาสว่างได้แล้ว
จากเพจ : กูต้องได้ 10 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ
......................................................................
พวก กปปส. มันประชุมกัน
เพื่อเสนอแผนให้เลขา กปปส.
ในวันที่ 17/5/57 ที่ ตึกไทยคู่ฟ้า
ดูรายละเอียดเล่นๆ นะ
โครงสร้างชาติของมวลมหาประชาชน
ในยุคปฏิรูปการเมือง
#ฝ่ายบริหาร
นายกไม่ต้องเป็น ส.ส.
คณะรัฐมนตรี ปลอดนักการเมือง ให้กำนันเสนอ
#ฝ่ายนิติบัญญัติ
ส.ว. เลือกตั้ง 77 สรรหา 73 คงเดิม
ส.ส.
เลือกตั้ง 250 คน (ระดับจังหวัดทั้งหมด)
แต่งตั้ง 250 คน
ส.ส. แต่งตั้ง
*กปปส. 100 คน
*วิชาชีพ 100 คน
- ยกเลิกระบบบัญชีรายชื่อ
ที่มา ส.ส.
- เลือกตั้ง 250 คน = ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ (หาร) 250
หรือ 172,000 คน ต่อ ส.ส. 1 คน
(กทม.จะมี ส.ส.เรามากที่สุด)
- แต่งตั้ง 250 คน
กปปส. 100 คน
*สายกำนัน 30
*สายพรรค 50
*คปท 5
*กองทัพธรรม 5
*หลวงปู่ฯ 5
*ราชนิกูล 5
สายวิชาชีพ 150 คน
*แพทย์ 50
*ภาคประชาชน 50
*นักธุรกิจประชาธิปไตย 30
*NGOs 20
*นักกฎหมาย 20
โดยมีกรรมการแต่งตั้ง ส.ส. คือ
*ประธาน ศาลรัฐธรรมนูญ
*ประธาน กกต.
*ประธาน ป.ป.ช.
*ประธาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน
*ประธาน ศาลฎีกา -------------> ให้เฝ้าระวัง
*ประธาน ศาลปกครองสูงสุด
*เลขาธิการ กปปส.
วิธีการแต่งตั้ง
- ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมควรได้รับแต่งตั้ง
- การแต่งตั้งให้ใช้เสียงกึ่งหนึ่งของกรรมการแต่งตั้ง
- ส.ส.แต่งตั้ง ห้ามดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี
#ตุลาการ
- คงเดิม -
* เพิ่มอำนาจ
* ขยายบทลงโทษ ม.112 ให้ครอบคลุมทุกมิติ
#องค์กรอิสระ
โทษที มองไม่ค่อยเห็น เอาเป็นว่ามีเรื่องการขยายขอบเขตอำนาจ และมีข้อผูกพันกับทุกองค์กร
#คำถามสำคัญ
1. มันกำลังจะเสนอแผนแบบนี้ แปลว่าทำให้การเลือกตั้ง และกลไกประชาธิปไตย ถูกลิดรอนลงหรือไม่ ?
2. ถ้าท่านไม่ได้เลือกตั้ง ส.ส. แล้วจะเรียก ส.ส. ว่า ผู้แทนราษฎร ไปทำไม ในเมื่อประชาชนไม่ได้เลือก
3. ในการแต่งตั้ง ส.ส. เราจะยอมให้คนเหล่านี้ เข้ามามีอำนาจในการปกครองประเทศหรือ แล้วจะตรวจสอบได้หรือ มิเลวร้ายไปกว่าระบอบที่ กปปส.โจมตีหรือ ตอบเอง ใช่เลย เลวร้ายกว่าแน่นอน ดูชื่อคนเลือก ปธ.ศาลปกครองสูงสุด งี้ ปธ.ศาล รธน. งี้ แถมยังให้เฝ้าระวัง คนที่อยู่บนหลักการอย่างประธานศาลฎีกาด้วยเสียอีก
4. ประชาชน ยอมให้เลขาธิการ กปปส. สรรหาคนเหล่านี้ หรือ ?
5. ขยายบทลงโทษ ม.112 มันมากเกินไปหรือเปล่า ?
6. ขยายอำนาจองค์กรอิสระ ให้ผูกพันกับทุกองค์กร ทุกวันนี้ มันทำงานไหม ดู E-อมรา พงศาพิชญ์ เป็นตัวอย่าง อมกรวยสุเทพอยู่ไง ทุกวันนี้ ไม่พูดอะไรเลย
7. คำถามสำคัญที่สุด
ประชาชน เขาจะยอมให้มึง ทำแบบนี้หรือ
พวกมึงจะเอาอำนาจอะไร จากไหน มาทำแบบนี้
ภาพนี้ ถ่ายโดยผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่ง
และแผนนี้ ถูกเสนอให้ สุเทพ ทราบแล้ว
นี่คือเหตุผล ที่มันเดินกันอุตลุต เพื่อหวังอำนาจ
ไอ้เครือข่ายต่างๆ ก็หวังอำนาจกันทั้งนั้น
#สารเลวจริงๆ = ช่วยกันแฉ
นะโม ตัสสะ
1 ชม. · แก้ไขแล้ว
การเมืองตอนนี้เป็นไง น่าหนักใจหรือไม่ ???
***********************************************
ตามความคิดนะโม ... เราไม่ได้เสียเปรียบอะไรเลย
ฝั่งตรงข้าม ทำทุกวิถีทาง เพื่อจะให้ได้ นายกฯนิ้วกลาง
แต่ ...
ไม่มีใครยื่น เจ้าค่ะ 5555
เพราะ ประธานวุฒิฯ ก็ยังไม่มี
ถ้าจะมี ต้อง นายกฯ หรือ รักษาการนายกฯ เป็นผู้ยื่นทูลเกล้า
แต่ พี่นิวัฒน์ธำรงค์ ท่านงานล้นมือ .. ไม่ว่างยื่น แน่นอน 555
อีกทั้ง ที่มาของประธานวุฒิ ดูท่า .. มันจะผิดหลักการณ์ ซะด้วยซิ
ยื่นไปสุ่มสี่ สุ่มห้า .. เดี๋ยวงานเข้า
ส่วน สว.ลากตั้งบางท่าน ก็ออกมาเห่า
ยื่น นายกฯ ม.7 ได้ ...แต่ตัวเองกล้ายื่น ซะที่ไหน ?
ก็มาเห่า เรียกเสียงเชียร์ ไปวันๆ
และ สว.ลากตั้งท่านนี้ กล่าวไว้ว่า ...
ถ้าตั้งนายกฯนิ้วกลางได้ และมี เสื้อแดง ออกมาประท้วง
จะล้อมปราบ อย่างเด็ดขาด
ก็ขอกราบเรียนว่า ... ยินดี เจ้าค่ะท่าน
ขออย่างเดียว .. เมื่อถึงวันนั้น อย่าขนครอบครัว
หนีไปต่างประเทศ ก็แล้วกัน ..
ถุยยยยยยยยส์ !!!!!!!
กปปส. และ ลุงกำนัน ก็ไม่ได้มีอะไรแล้ว เจ้าค่ะ
ทางข้างหน้าที่จะเดินต่อ มันไม่มี
ก็สร้างกระแสริบหรี่ เรียกสื่อ ไปวันๆ
จุดประสงค์ กปปส. มันมีแค่อย่างเดียว
ให้ทหาร ออกมาทำรัฐประหาร ฯ
เพื่อปลดคดีความมากมายก่ายกอง ของตัวเอง
ทหาร
ยังไงก็ไม่กล้ารัฐประหาร
เต็มที่ก็เพียงช่วยสนับสนุนแบบลับๆ ( จริงๆเค้ารู้กันหมด )
เรื่องจะออกมาทำ รัฐประหาร ... มองแล้ว ไม่มีทางเลย
ขยับเมื่อไหร่ ?? .. โดนอัดทันที
ด้วยความที่ ไม่เป็นเอกภาพ ของกองทัพ นั่นเอง
ภาพรวมตอนนี้
ทั้ง 2 ฝั่ง .. เหมือนกองฟางแห้งๆ
ไม่ว่า ทหาร / ตุลาการ / องค์กรอิสระ .. โยนไฟ เข้ามานิดเดียว
กองไฟ ลูกมหาศาล พร้อมจะลุกพรึบ ทันที
คนเสื้อแดง
แข็งแกร่ง กว่าทุกๆปี จากประสบการณ์ ปี 52 - 53
คนเสื้อแดง พัฒนาไปไกล ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
แกร่งทั่วแผ่น สู้เป็นระบบ และ เป็นเอกภาพ
เรื่อง ยิงนกในกรง แบบปี 53 .. ไม่ต้องมาพูดกัน
เพราะนี่ มันปี 57 .. นกจิกตา .. สถานเดียว
KU .. ไม่กลัวมรึง !!
นะโมตัสสะ