Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ที่มาเเพะรับบาป

ArjanPong | 13-05-2557 | เปิดดู 4873 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

                                        แพะรับบาป

 


ได้ความรู้จากข้อเขียนของ นายสำรวย นักการเรียน นักวิชาการด้านภาษา ราชบัณฑิตยสถาน ในจดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ 9 ฉบับที่ 102 พฤศจิกายน 2542 ท่านว่า สำนวนไทยที่ว่า "แพะรับบาป" คงจะสงสัยว่าเหตุใดไฉนแพะจึงเป็นสัตว์ที่ต้องมารับบาปด้วย จะเป็นสัตว์อื่นไม่ได้หรือ คำตอบอาจเป็น "สมัยนั้นแพะคงหาได้ง่ายกว่าสัตว์อื่นมั้ง" หรือ "แพะเป็นสัตว์ไม่มีอันตรายจับได้ง่ายมั้ง" หากถามหลายๆ ท่านก็คงได้รับคำตอบทำนองนี้ แต่เป็นคำตอบที่คาดเดาหาความแน่นอนชัดเจนถูกต้องไม่ได้

ส่วนคำตอบที่ถูกต้องมีหลักฐานยืนยันได้ถึงสาเหตุที่ทำให้แพะต้องมารับบาปนั้น ผู้เขียนขอนำศัพท์ที่คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากลแห่งราชบัณฑิตยสถานได้พิจารณาแล้วและมีมติดังนี้ คำว่า "แพะรับบาป" หมายถึงผู้ที่มิได้กระทำผิดแต่กลับต้องเป็นผู้รับโทษหรือรับความผิดที่ผู้อื่นกระทำไว้ ที่มาของคำนี้ปรากฏในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นคัมภีร์ของชาวอิสราเอลผู้มีภูมิหลังเป็นผู้เลี้ยงแพะแกะเป็นอาชีพ

แพะรับบาปเป็นพิธีปฏิบัติในวันลบบาปประจำปีของชาวอิสราเอล (the annaul day of atonement) ซึ่งเริ่มด้วยการที่ปุโรหิตถวายวัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของตนเองและครอบครัว เมื่อเสร็จพิธีแล้วนั้นปุโรหิตจะนำแพะ 2 ตัวไปถวายพระเป็นเจ้าที่ประตูเต็นท์นัดพบ และจะเป็นผู้จับสลากเลือกแพะ 2 ตัวนั้น

สลากที่ 1 เป็นสลากสำหรับแพะที่ถวายแก่พระเป็นเจ้า อีกสลากหนึ่งเป็นสลากสำหรับแพะรับบาป หากสลากแรกตกแก่แพะตัวใด แพะตัวนั้นจะถูกฆ่าและถวายเป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาปของประชาชน เรียกว่า "แพะไถ่บาป" ส่วนสลากที่ 2 หากตกแก่แพะตัวใด แพะตัวนั้นเรียกว่า "แพะรับบาป" ซึ่งปุโรหิตจะถวายพระเป็นเจ้าทั้งยังมีชีวิตอยู่ แล้วใช้ทำพิธีลบบาปของประชาชน โดยยกบาปให้ตกที่แพะตัวนั้น เสร็จแล้วก็จะปล่อยแพะตัวนั้นให้นำบาปเข้าไปในป่าลึกจนทั้งแพะและบาปไม่สามารถกลับมาอีก

ส่วนในศาสนาฮินดู เซอร์มอเนียร์ วิลเลียมส์ (Sir Monier Williams) สันนิษฐานว่า การฆ่ามนุษย์บูชายัญคงไม่เป็นที่ถูกอัธยาศัยพื้นฐานของพวกอารยัน คัมภีร์พราหมณะจึงอธิบายว่าเทวดาฆ่ามนุษย์ ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชายัญก็ออกไปจากมนุษย์เข้าสู่ร่างม้า ม้าจึงกลายเป็นสัตว์ที่เหมาะสมจะใช้ฆ่าบูชายัญ เมื่อฆ่าม้า ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชาก็ออกจากตัวม้าไปเข้าสู่ร่างโค เมื่อฆ่าโค ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชาก็ออกจากตัวโคไปเข้าสู่ร่างแกะ จากแกะไปสู่แพะ ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชาคงอยู่ในตัวแพะนานที่สุด เพราะฉะนั้นแพะจึงกลายเป็นสัตว์เหมาะสมที่สุดสำหรับใช้ฆ่าบูชายัญ ซึ่งก็ทำให้เห็นที่มาอีกแห่งหนึ่งของคำว่า "แพะรับบาป"

นอกจากความรู้จากราชบัณฑิต ยังมีเกร็ดเล่าเพิ่มเติมว่า สำนวน "แพะรับบาป" หรือ scapegoat มาจากคัมภีร์ไบเบิล แต่กลายเป็นสำนวนไทยธรรมดาไป แม้ว่าแพะจะไม่ใช่สัตว์พื้นบ้านของไทยแต่ก็รับบาปคนไทยได้เหมือนกัน สำนวนนี้หมายถึงคนสุจริตที่ได้รับการลงโทษโดยไม่มีความผิดแทนคนที่ทำผิด แต่น้อยคนจะรู้ว่าสำนวนนี้มาจากเหตุการณ์ในไบเบิล ในบท Leviticus เล่าถึงการเตรียมแพะบูชา มีแพะ 2 ตัว ตัวหนึ่งสังเวยพระเจ้าเพื่อเป็นการล้างบาปของมนุษย์ ส่วนอีกตัวหนึ่งให้อาซาเรล หรือซาตาน โดยปล่อยให้แพะเป็นอิสระ เอาบาปของมนุษย์เพ่นพ่านติดตัวไปด้วย

ที่จริงแล้วสำนวนแพะรับบาปนี้มาจากการแปลผิด ในไบเบิลฉบับแปลของ William Tyndale ใน ค.ศ.1530 ชื่อหนึ่งของซาตานคืออาซาเรล แต่ถูกแปลผิดว่าแพะที่หายไป นักแปลชาวกรีกก็แปลว่าแพะเดินทาง ส่วนฉบับปี 1535 แปลว่าแพะอิสระ ไม่ว่าจะเป็นฉบับไหนแพะก็โดนเข้าใจผิดไปหมด

 

 

 



           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ในฐานะรักษาการ มท.1
ออกเอกสารด่วนที่สุด! ถึง ปลัดกระทรวง, รองปลัดกระทรวง, ผวจ., .....
เรื่อง..ห้ามมิให้เดินทางไปรายงานตัวกับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง

 



[​IMG]

[​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กระแสต้านจีนที่เวียดนามลุกลาม เกิดจลาจลตาย 1 บาดเจ็บอีกร้อยกว่า

 

 

 

 

 

 

 

กระแสต่อต้านจีนในเวียดนามลามแรง เกิดเหตุคนงานประท้วงใน 22 จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ โรงงานเหล็กกล้าขนาดใหญ่ของไต้หวันถูกหางเลขอย่างจัง โดยถูกม็อบ 1,000 คนบุกเข้าไปไล่ล่าชาวจีน ตามตัวเลขทางการมีคนงานจีนตาย 1 บาดเจ็บอีกกว่า 100 ทว่ารอยเตอร์ให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตถึง 20 ราย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า คนงานจีนกว่า 600 คนหนีตายจากจุดต่างๆ ของเวียดนามข้ามไปฝั่งเขมร ทางด้านด้านปักกิ่งกล่าวหาฮานอยในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) ว่าให้ท้ายม็อบ และเรียกร้องให้เวียดนามแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ ขณะที่วอชิงตันขอเอี่ยวร่วมผสมโรง เรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้นและแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ

การที่เมื่อต้นเดือนนี้จีนเคลื่อนย้ายแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลลึกไปยังน่านน้ำใกล้ๆ หมู่เกาะพาราเซลในทะเลจีนใต้ ซึ่งแย่งชิงกรรมสิทธิ์อยู่กับเวียดนาม กลายเป็นการจุดกระแสต่อต้านจีนครั้งรุนแรงที่สุดในเวียดนามในรอบหลายสิบปี เริ่มจากการชุมนุมประท้วงในหลายเมืองใหญ่ในวันอาทิตย์ (11) ทั้งที่ปกติแล้วทางการฮานอยจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จากนั้นก็ยิ่งบานปลายกลายเป็นม็อบไล่เผาโรงงานต่างชาติตั้งแต่วันอังคารกระทั่งถึงคืนวันพุธ (13-14) ในจังหวัดบินห์เยืองและด่งนาย

รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและการลงทุน บุย กวาง วิญ ของเวียดนามแถลงในวันพฤหัสบดี (15) ว่า การประท้วงของคนงานปะทุขึ้นใน 22 จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ เฉพาะที่จังหวัดบินห์เยือง มีโรงงานได้รับความเสียหาย 460 แห่ง พร้อมเรียกร้องให้ใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อฟื้นสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติก่อนที่นักลงทุนต่างชาติจะหนีเตลิดออกจากเวียดนาม

สำหรับเหตุจลาจลใหญ่ที่สุดนั้นเกิดขึ้นในวันพุธ (14) ที่โรงงานผลิตเหล็กกล้าของฟอร์โมซา พลาสติกส์ กรุ๊ป กลุ่มอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของไต้หวัน ในจังหวัดห่าติ๋ง ทางภาคกลางของประเทศ และอยู่ห่างจากฮานอยลงมาทางใต้ประมาณ 350 กิโลเมตร

หวง ฉีเผิง ผู้แทนสูงสุด หรือก็คือเอกอัครราชทูตในทางพฤตินัยของไต้หวันประจำเวียดนาม ซึ่งได้พูดคุยกับคณะผู้บริหารจำนวนหนึ่งของโรงงานแห่งนี้ แถลงในวันพฤหัสบดี (15) ว่า ฝูงชนชาวเวียดนามจำนวน 1,000 คนได้บุกเข้ามาจุดไฟเผาอาคารหลายแห่ง และออกไล่ล่าตามหาคนงานชาวจีน เขาบอกด้วยว่า ขณะเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดทั้งด้านการบริหารราชการและความมั่นคงของจังหวัดเดินทางมายังโรงงาน แต่ไม่มีการสั่งการขั้นเด็ดขาดเพื่อระงับเหตุ

ทางด้านเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของห่าติ๋งบอกว่า คนงานจีนเพศชายคนหนึ่งเสียชีวิตในเหตุจลาจลคราวนี้ สอดคล้องกับหวงซึ่งระบุว่าเขาได้รับแจ้งเช่นนี้ นอกจากนั้นยังมีคนงานจีนอีกราว 90คนได้รับบาดเจ็บ

ทว่า สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแพทย์คนหนึ่งจากโรงพยาบาลห่าติ๋ง และรายงานของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า เหตุจลาจลที่โรงงานฟอร์โมซาทำให้คนงานเสียชีวิต 21 คน โดยเป็นคนงานเวียดนาม 5 คน ที่เหลือเป็นคนงานจีน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บราว 100 คน

 

กระแสต้านจีนที่เวียดนามลุกลาม เกิดจลาจลตาย 1 บาดเจ็บอีกร้อยกว่า

 

กระแสต่อต้านจีนในเวียดนามลามแรง เกิดเหตุคนงานประท้วงใน 22 จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ โรงงานเหล็กกล้าขนาดใหญ่ของไต้หวันถูกหางเลขอย่างจัง โดยถูกม็อบ 1,000 คนบุกเข้าไปไล่ล่าชาวจีน ตามตัวเลขทางการมีคนงานจีนตาย 1 บาดเจ็บอีกกว่า 100 ทว่ารอยเตอร์ให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตถึง 20 ราย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า คนงานจีนกว่า 600 คนหนีตายจากจุดต่างๆ ของเวียดนามข้ามไปฝั่งเขมร

 

 

 

ขณะที่ บุย ดิ่ญ กวาง รองผู้บังคับการตำรวจของห่าติ๋ง กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า เมื่อถึงวันพฤหัสบดี สถานการณ์ “กลับสู่เสถียรภาพแล้ว” และไม่มีผู้บาดเจ็บรายใด ซึ่งเขาให้ตัวเลขที่ 141 มีอาการร้ายแรงถึงขั้นอาจเสียชีวิต

จากกระแสต่อต้านจีนคราวนี้ ได้ทำให้ชาวจีนที่พำนักอาศัยอยู่ในเวียดนามพากันหลบหนีทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชาบอกว่า มีคนจีนราว 600 คนข้ามเข้ามายังกัมพูชาจากภาคใต้ของเวียดนามโดยผ่านด่านชายแดนทางบกเมื่อวันพุธ และยังมีคนอื่นๆ กำลังเดินทางมาถึงอีกในวันพฤหัสบดี ส่วนสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ของไต้หวัน ก็กำลังเพิ่มเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำขึ้นอีก 2 เที่ยวโดยบินออกจากนครโฮจิมินห์ ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวกลางของไต้หวัน

ทางด้านกรุงปักกิ่ง หวา ชุนอิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงในวันพฤหัสบดีว่า ทางการฮานอยมีส่วนโดยตรงกับการมั่วสุมชุมนุมและรู้เห็นเป็นใจกับกลุ่มต่อต้านจีนที่ละเมิดกฎหมาย อย่างไรก็ดี หวาปฏิเสธที่จะระบุจำนวนคนจีนที่เสียชีวิตในเหตุประท้วงที่เวียดนาม เพียงแต่บอกว่า เจ้าหน้าที่ทูตจีนกำลังเดินทางไปตรวจสอบสถานการณ์แล้ว

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังเรียกร้องให้เวียดนามแสดงความรับผิดชอบ ลงโทษผู้ละเมิดกฎหมาย และชดเชยให้แก่พลเมืองและบริษัทจีน

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหวาของทางการจีนรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของผู้จัดการโรงงานชาวจีนคนหนึ่งในเวียดนามที่ระบุว่า คนจีน 10 คนหายตัวไป หลังเกิดเหตุจลาจลโจมตีบริษัทจีน 4 แห่งในจังหวัดห่าติ๋งตลอดวันพุธ และคนงานอย่างน้อย 55 คนได้รับบาดเจ็บ

ส่วนที่วอชิงตัน เจย์ คาร์เนีย โฆษกทำเนียบขาวแถลงในวันพุธ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้น และแก้ไขข้อข้อแย้งด้วยสันติวิธี เวลาเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวว่า จับตาสถานการณ์ในเวียดนามอย่างใกล้ชิด แต่สำทับว่า อเมริกาสนับสนุนการชุมนุมอย่างสันติ

ทางด้านนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เหวียน เติ๋น หยูง ระบุว่าสถานการณ์นี้ “รุนแรงมาก” และว่า แม้ความรักชาติของคนส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้ยั่วยุที่ละเมิดกฎหมายจะต้องถูกลงโทษ

ที่จังหวัดบินห์เยืองทางใต้ ตำรวจปราบจลาจลถูกส่งไปจัดการผู้ก่อจลาจลต่อต้านจีนที่ทำให้โรงงานหลายแห่งต้องระงับการผลิตชั่วคราว โดยมีการจับกุมผู้ก่อความวุ่นวายและปล้นสินค้าได้ 600 คน นับจากที่คนงานเกือบ 20,000 คนชุมนุมบนท้องถนนในวันอังคาร แล้วกลุ่มหัวรุนแรงเริ่มปล้นสินค้าพร้อมกับโจมตีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและฝ่ายบริหารของโรงงานหลายแห่ง ก่อนจุดไฟเผาโรงงานอย่างน้อย 15 แห่ง

ทั้งนี้ การผลิตเพื่อส่งออกเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจเวียดนาม โดยมีบริษัทชื่อดังมากมาย เช่น ซัมซุงจากเกาหลีใต้, ไนกี้จากอเมริกา และอาดิดาสจากเยอรมนี เข้าไปตั้งฐานการผลิต

ขณะเดียวกัน ไต้หวันเป็นหนึ่งในนักลงทุนต่างชาติชั้นนำของเวียดนาม และโรงงานของฟอร์โมซาที่ถูกโจมตีจะมีฐานะเป็นโรงงานเหล็กกล้าใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2020 ด้วยเงินทุนราว 20,000 ล้านดอลลาร์

 

 

 เวียดนามเกลียดจีนมากเท่าไร แต่ตัวเองก็ "เกลียดตัวกินไข่"

คือต้องเข้าใจว่า เมื่อประมาณพันปีก่อน ราชวงศ์มองโกลยึดครองจีนได้สำเร็จ มองโกลเข้มแข็งทางการทหาร มองโกลจึงยกทัพจีนไปยึดครองเวียดนามต่อ บังคับให้เวียดนามต้องยอมถูกกดอยู่ใต้อาณัติของจีนอยู่หลายร้อยปี

ทีนี้ในอีกด้าน มองโกลเข้มแข็งด้านการทหาร แต่อ่อนแอทางวัฒนธรรม ตัวเองไปยึดครองเขาแต่กลับถูกคนจีนกลืน เลยกลายเป็นคนจีนไป แต่ความเป็นนักรบยังไม่จางหาย ราชวงศ์มองโกลก็ยกทัพไปยึดครองเวียดนาม วัฒนธรรมจีนก็เลยแพร่มาถึงเวียดนาม เวียดนามเลยมีพิธีไหว้เจ้า ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ ตรุษจีน มีศิลปะ อาหาร ความเป็นอยู่ เกือบเหมือนคนจีน ภาษาเขียนดั้งเดิมของเวียดนามก็ใช้ภาษาจีน ก่อนเปลี่ยนมาใช้ตัวหนังสือโรมันเช่นทุกวันนี้

เวียดนามเกลียดจีน แต่ตัวเองรับวัฒนธรรมจีนไปเต็มๆ

คล้ายๆ ญี่ปุ่น ไม่ค่อยชอบจีน แต่วัฒนธรรมของตัวเองไปเอามาจากจีนอีกต่อ วัฒนธรรมเกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม จัดอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมจีน

 

 

 เพิ่มอีก คำว่า "เวียดนาม" มาจากภาษาจีน ใครมีพ่อแม่เป็นจีนไปถาม อาป๊าอาม้าดู คนแต้จิ๋วเรียกเวียดนามว่า "อัง-นั้ม" บางครั้งเรียก "อวัก-นั้ม" กลุ่มคนจีนที่อยู่ในเวียดนามส่วนใหญ่เป็นแต้จิ๋วเหมือนเรา มีไหหลำบ้าง แต่ภาษาเวียดนามใกล้เคียงกับไหหลำมากกว่า
 

อย่าได้แปลกใจถ้าคนเวียดนาม(รวมถึง เขมร ลาว) บางคนก็ไม่ค่อยชอบคนไทย ส่วนใหญ่คนไทยจะไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร ทำไมเพื่อนบ้านเขาถึงแค้นไทยนักหนา ทำไมน่ะเหรอ

เป็นเพราะแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์พยายามปกปิดความโหดร้ายของสิ่งที่พวกเราไปทำกับเพื่อนบ้านมาตลอด อาณาจักรขอมเคยถูกอาณาจักรไทยยึดครอง แล้วเราก็ไปฆ่าคนเขมร กวาดต้อนมาเป็นทาส สังหารกษัตริย์เขมรอย่างทารุณ ลาวก็เจอเหมือนกันที่เรียกว่า นครศรีสัตนาคนหุต นั่นราชวงศ์ลาวก็ถูกอาณาจักรไทยจับตัว และสังหารทิ้ง

สมัยสงครามเวียดนาม ไทยกลัวคอมมิวนิสต์ แต่ตัวเองอ่อนแอและปกครองด้วยระบอบเผด็จการ จึงต้องไปดึงอเมริกามาคุ้มหัว อเมริกาก็กลัวโดมิโน่ เลยต้องเข้ามาแทรกแซง ไทยจึงยอมให้อเมริกามาตั้งฐานทัพ (เป็นต้นกำเนิดของ ประชากร นางแบบ นายแบบ ลูกครึ่งฝรั่งหล่อๆสวยๆที่วัยรุ่นไทยชื่นชอบ) คนไทยไม่ค่อยรู้หรอกว่า อเมริกาใช้ฐานทัพในไทยเป็นที่พักไปโจมตี ทิ้งระเบิด ลาว เขมร เวียดนาม อเมริกาไปหนุนหลังพวกม้งให้ฆ่าฟันกับลาวซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ลาวตายไปเป็นแสน แล้วอเมริกาก็ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดบินจากไทยไปทิ้งใส่คนเขมร ตายไปหลายหมื่นเหมือนกัน แล้วจากไทยก็เอาอาวุธเคมี เช่น Agent Orange หรือที่รู้จักกันดีในนาม "ฝนเหลือง" ไปโปรยคลุมหวังสังหารเวียดกง (คืออเมริกาไม่ต้องการใช้นาวิกโยธินไปตาย เลยใช้วิธีบอมบ์แหลก) รวมๆแล้วทั้งระเบิดและฝนเหลือง คนเวียดนามตายไปประมาณ 1-2 ล้านคน

รู้หรือยังว่า ทำไมเพื่อนบ้านเขาเกลียดเราจัง แต่กระทรวงศึกษาเขาไม่ยอมให้เรารู้หรอก

 

 

 

          

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข้อมูลล่าสุดชี้ ยอดผู้อพยพทั่วโลกพุ่งทะลุ 33 ล้านคน ซีเรียครองแชมป์มีผู้ลี้ภัยสูงสุดในโลก

 

 

 

ข้อมูลล่าสุดชี้ ยอดผู้อพยพทั่วโลกพุ่งทะลุ 33 ล้านคน  ซีเรียครองแชมป์มีผู้ลี้ภัยสูงสุดในโลก

 

 

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-องค์การสหประชาชาติและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลนอร์เวย์ เผยรายงานล่าสุดในวันพุธ (14) ระบุ ผู้คนกว่า 33.3 ล้านคนทั่วโลก ต้องกลายสภาพเป็นผู้อพยพละทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือนของตนจากผลพวงของความขัดแย้งและความรุนแรงในปี 2013 ที่ผ่านมา โดยที่ “สงครามกลางเมืองซีเรีย” ถือเป็นความขัดแย้งที่เป็นต้นตอทำให้เกิดคลื่นผู้อพยพมากที่สุดในโลก

ตัวเลขผู้อพยพหนีภัยสงครามและความขัดแย้งทางการเมืองทั่วโลกที่มีสูงกว่า 33.3 ล้านคนในปีที่แล้ว ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปี 2012 ถึง 4.5 ล้านคน โดยสงครามกลางเมืองในซีเรียที่ดำเนินเข้าสู่ขวบปีที่ 4 และทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 150,000 คนถือเป็นความขัดแย้งที่ทำให้เกิดคลื่นผู้อพยพกลุ่มใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน

อันโตนิโอ กูเตร์เรส ข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติพร้อมด้วย ยาน เอเกลันด์ เลขาธิการของสภาผู้อพยพแห่งนอร์เวย์ เผยระหว่างการแถลงข่าวร่วมกันที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์โดยระบุว่า ในจำนวนผู้อพยพ 33.3 ล้านคนทั่วโลกนั้น ราว 6.5 ล้านคนเป็นผู้อพยพจากผลพวงความขัดแย้งในซีเรียเพียงประเทศเดียว และในทุกๆ 1 นาที จะต้องมีครอบครัวชาวซีเรียกลายเป็นผู้อพยพเพิ่มขึ้น 1 ครอบครัวจากการสู้รบภายในประเทศ

เอเกลันด์เผยด้วยว่า ตัวเลขผู้อพยพเพราะผลจากความขัดแย้งทั่วโลกในขณะนี้ ถือเป็นสถิติสูงสุดยิ่งกว่าเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1990 ที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาและบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา ซึ่งทำให้ยอดผู้อพยพทั่วโลกในเวลานั้นพุ่งสูงถึง 28 ล้านคน

ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดของสหประชาชาติและรัฐบาลนอร์เวย์ระบุว่า ราว 63 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพทั่วโลกในเวลานี้เป็นผู้อพยพจาก 5 ประเทศคือ ซีเรีย (6.5 ล้านคน),โคลอมเบีย (5.7 ล้านคน),ไนจีเรีย (3.3 ล้านคน), สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (2.9 ล้านคน) และซูดาน (2.4 ล้านคน)

 

 

ข้อมูลล่าสุดชี้ ยอดผู้อพยพทั่วโลกพุ่งทะลุ 33 ล้านคน  ซีเรียครองแชมป์มีผู้ลี้ภัยสูงสุดในโลก

 

 

 

ข้อมูลล่าสุดชี้ ยอดผู้อพยพทั่วโลกพุ่งทะลุ 33 ล้านคน  ซีเรียครองแชมป์มีผู้ลี้ภัยสูงสุดในโลก

 

 

 

 
 

 

 

วิกฤตซีเรียกำลังหน้าสิ่วหน้าขวานเพราะสหรัฐอเมริกาประกาศพร้อมใช้กำลังทางทหารเข้าแทรกแซงซีเรียทันทีที่บารัค โอบามา เปิดไฟเขียว แต่สหรัฐฯ ก็ได้รับการเตือนสติว่า การกระทำใดๆ ที่ปราศจากหลักฐาน และไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาตินั้นจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น

ล่าสุดกับมติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ 285 ต่อ 272 เสียง ไม่ให้อังกฤษเข้าไปเกี่ยวข้องกับการโจมตีใด ๆ ที่นำโดยสหรัฐอเมริกาต่อรัฐบาลซีเรีย ก็ช่วยลดอุณหภูมิอันร้อนแรงของวิกฤตนี้ให้ลดลงได้ แม้จะเป็นการลดลงเล็กน้อยในชั่วขณะหนึ่งก็ตาม แต่สถานการณ์ก็ยังไม่อาจไว้วางใจได้

จากวิกฤตซีเรียที่เกิดขึ้นจึงอยากทำความรู้จักประเทศนี้ให้มากขึ้น แม้จะเป็นแบบผิวๆ ก็ยังดี ประเทศซีเรีย มีชื่อเต็มๆ ว่า สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย (Syrian Arab Republic) มีประชากรราวๆ 22 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม นิกายสุนหนี่ เนื้อที่ประเทศเล็กกว่าไทย 3 เท่า

ด้านการเมือง ซีเรียใช้รูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐภายใต้การปกครองโดยทหาร (นับแต่ปี ค.ศ.1963) มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ เลือกตั้งคราวละ 7 ปี มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี

ด้านเศรษฐกิจ ซีเรีย มีทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ คือ ปิโตรเลียม ฟอสเฟต โครเมียม แมงกานีส แอสฟัลต์ แร่เหล็ก หินเกลือ หินอ่อน และยิปซั่ม อุตสาหกรรมหลัก คือ ผลิตน้ำมัน ประมาณ 333,900 บาร์เรล/วัน นอกจากนี้ยังมีสิ่งทอ อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่ม ยาสูบ ฟอสเฟต จึงส่งออกสินค้า จำพวก ปิโตรเลียม ผัก ผลไม้ เส้นใย ฟอสเฟต เสื้อผ้า เนื้อสัตว์ ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญมีเครื่องจักร อาหาร อุปกรณ์ขนส่ง ยา กระดาษ โลหะ โดยมีประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส ซาอุดีอาระเบีย เยอรมัน ตุรกี จีน อิรัก

สำหรับไทยกับซีเรียนั้นมีสัมพันธ์ทางการทูตกันมายาวนานถึง 57 ปี (10 มกราคม 2499) แต่ยังไม่มีการจัดตั้งสถานเอกอัครราชทูตในแต่ละประเทศ แต่ทั้งสองประเทศก็มีกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำอยู่ ส่วนทางด้านเศรษฐกิจไทยค้าขายกับซีเรียในระดับปานกลาง โดยไทยได้ดุลการค้าจากเซียจากสินค้าประเภท เส้นใยประดิษฐ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ ผ้าผืน ยางพารา ผลิตภัณฑ์พลาสติก ข้าว เหล็ก เหล็กกล้า เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยทำข้อตกลงกันซีเรียเพียงเรื่องเดียว คือ ความตกลงว่าด้วยบริการการบินระหว่างไทยกับซีเรีย เมื่อปี 2535

ทั้งนี้ ซีเรีย เป็นประเทศที่มีบทบาทในกลุ่มประเทศอาหรับ เคยเป็นประธานสันนิบาติอาหรับ และเป็นประธานการประชุม OIC แต่อีกด้านหนึ่งซีเรียก็ถูกสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าเป็นประเทศอาหรับหัวรุนแรง ที่สนับสนุนการก่อการร้าย และถูกประณามว่าเป็น "แกนแห่งความชั่วร้าย"

ชนวนเหตุวิกฤตภายในของเซียเกิดจากการจลาจลขึ้นในเมืองดาราทางตอนใต้ของประเทศ หลังมีกลุ่มเด็กและวัยรุ่นถูกจับเพราะวาดภาพล้อเลียนการเมือง เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2007 (2550) เหตุการณ์ครั้งนั้นมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ทำการจับกุมทำให้มีประชาชนเสียชีวิตหลายสิบราย จากนั้นมาจึงเกิดกระแสต่อต้านการบริหารประเทศของตระกูลอัล-อัสซาด เรื่อยมา โดยการชุมนุมประท้วงก่อตัวรุนแรงมากขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2554 ซึ่งมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจต่อการครองอำนาจอย่างยาวนานของรัฐบาล การคอรัปชั่น ปัญหาคนว่างงาน ผนวกกับแรงกระเพื่อมจากกระแสอาหรับ สปริง (Arab Spring) โดยมีผู้เสียชีวิตจากการปะทะกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้านแล้วกว่า 40,000 คน และมีผู้อพยพลี้ภัยกว่า 380,000 คน

 

 

 

 

 

 

 

 

             ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด?...Dr.Dwight Lundell, M.D.เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!</p><p>เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก  แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน….ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปีแน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี</p><p>แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไร ผิดคืออะไรไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้ </p><p>และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลักMain stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปี</p><p>นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่ </p><p>“แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตูตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่านๆมานั้นไม่ถูกต้อง!!!!!” </p><p>“ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “<br />“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด” </p><p>เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำคัญที่ Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไปได้ง่ายขึ้น </p><p>1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ60ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ<br /><br />2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริการายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)กว่า57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายูน้อยลงๆ(เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม??<br /><br />3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!<br /><br />4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง<br /><br />5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา60ปีที่ผ่านมา<br /><br />6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด25ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆอันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆบริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก <br /><br />7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆมื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง <br /><br />8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ?  ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ???? <br /><br />9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง <br /><br />10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจนกลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 6,940 mg ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน20%</p><p>11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึงไม่เหม็นหืน?) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

 

 

 

 

ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด ?...Dr.Dwight Lundell, M.D.

เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!

เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน….ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปีแน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี

แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไร ผิดคืออะไรไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้

และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลัก Main stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปี

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

“แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตูตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ถูกต้อง !!!!!”

“ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “


“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำคัญที่ Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ60ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา รายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)กว่า57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายูน้อยลงๆ(เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม??

3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา60ปีที่ผ่านมา

6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด25ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆอันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆบริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆมื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1

แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง

เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ? ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????

9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจน กลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 6,940 mg ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึงไม่เหม็นหืน?) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                 

 

 

                         #เจาะข่าวเด่น# ลุงคับ อย่าแถเลยลุง

 
ลุงบอกว่า ตอนนี้นายกคนกลางเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เพราะทุกอย่างมันตันไปหมดแล้ว
แต่ลุงลืมคิดไปเหรอ ว่าที่มันมาตันจนถึงวันเพราะอะไร แล้วมันมีกฎหมายไหนมารองรับบ้าง

ลุงบอกว่า ถ้ามีนายกนิ้วกลาง เอ้ย! ไม่ใช่สิ คนกลาง เหตุการณ์บ้านเมืองจะสงบเรียบร้อยแน่นอน รับประกันได้
อืม... ผมว่ามันจะยิ่งเละกันไปใหญ่นะลุงนะ แต่พอถึงตอนนั้น ลุงคงหายเข้ากลีบ... ไปละล่ะ

ลุงบอกว่า ตอนนี้เราอย่าพึ่งอิงกฎหมาย ขอให้ละเว้นใว้ซะเรื่องนึง
งั๊นผมขอให้ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องรับผิดจากคำตัดสินใดๆบ้าง ขอละเว้นให้ผมหน่อยได้มั๊ยครับลุง นะ นะ นะ

ลุงบอกว่า ประชาชนไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง
ลุงรู้เหรอว่าผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง อย่ามามโน

ลุงบอกว่า เลือกตั้งมันเป็นโมฆะไปแล้ว
แล้วลุงไม่คิดล่ะว่าทำไมมันถึงโมฆะ

ลุงบอกว่า เลือกตั้งมันมีการโกงกิน มีการทุจริตซื้อเสียง
แล้วมันเป็นกงการอะไรของลุง มันเป็นหน้าของ กกต.ไม่ใช่เหรอ ทำไมลุงไม่ไปจี้ กกต. ให้เค้าทำงานของเค้าล่ะ

ลุงบอกว่า 23 ล้านเสียงเค้าไม่ไปเลือกตั้ง ก็เพราะว่าเค้าไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง
ไม่ใช่ว่าเค้าไม่เห็นด้วยหรอกลุง แต่ที่เค้าไม่ออกไปเลือกตั้ง เพราะว่าถ้าใครจะเข้าคูหา ต้องได้รับการตรวจชีพจรก่อนเข้าคูหาน่ะสิลุง

ลุงบอกว่า พรรคการเมืองมันไม่ดี มันมีเผด็จการการเมืองในพรรค
ลุงสังกัดพรรคไหนบ้างหรือเปล่าล่ะ ลุงถึงรู้ดีจังเลย

ลุงบอกว่า ยูเครนเค้าก็มีรัฐบาลรักษาการณ์ทันที ส่วนที่เค้าลงประชามติอยากแยกประเทศ ก็ทำไปมันคนละส่วนกัน
ครับ มันคนละส่วนครับลุง แต่ลุงครับ เมิงมั่วมากครับลุง เหตุการณ์บ้านเค้าคนละอย่างกับบ้านเรา มันเรื่องที่เค้าจะแยกประเทศครับลุง
ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะเอาปฎิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเปล่า

ลุงบอกว่า ลุงก็ชอบนะการเลือกตั้ง

แล้วทำไมลุงไม่ลงสมัคร สว. เลือกตั้งวะครับลุง ลุงมาเป็น สว.แบบสรรหาทำไม
 
แก้ไขข้อความเมื่อ

 

 

 

 

 

ทุกอย่าง ถูกวางแผนไว้หมดแล้ว

1. นายกฯ หลุดจากตำแหน่ง เลยคำว่ามือเปื้อนเลือดไปแล้ว

2. นปช.ชุมนุมในที่ปลอดภัย

3. กปปส.แสดงความชั่วได้สุดๆ ประชาชนเอือมระอา

4.กปปส./สว./ปชป./...ดิ้นสุดฤทธิ์ เพื่อตั้งนายกฯคนกลาง

5.ศาลเห็นชอบออกหมายจับ แสดงว่า เปิดไฟเขียว

6.รัฐบาลมีความชอบธรรมในการปราบกบฎ

เลือกเอา!!! ครั้งนี้ คือ ของจริง...ความรุนแรง กำลังจะเริ่มต้นแล้ว

          

 

 

เอาหลักฐานมาให้ดู รองนายก รักษาการแทนนายกฯ ก็สามารถรับสนองพระบรมราชโองการได้

 

 

 
“พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส.ส.2551”
กำหนดวันเลือกตั้ง วันที่ 11 ม.ค.52
“นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

จะแถยังไงต่อดี สมชัย??





 

สุเทพเคยพูดไว้เรื่อง นายก ม.7 ว่า สร้างบาปให้กับปชช. จำได้มั้ย จำได้หรือเปล่า

กระทู้สนทนา


'สดศรี'จะลาออก กกต.ยันยังจัดเลือกตั้งได้

เทือกซัดพวกขอ 'ม.7' สร้างบาปให้กับปชช.

"เทือก" ซัดพวกร้องหานายกฯมาตรา 7 สร้างบาปให้ประชาชน ลั่นไม่มีสัญญาณ พิเศษล้มเลือกตั้ง ย้ำเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ไม่มีทอดเวลายืดไป

"สดศรี สัตยธรรม" เพิ่มน้ำหนักข่าวลือไม่มีเลือกตั้งอีกรอบ โผล่สมัครคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง พร้อมลาออกจากกรรมการเลือกตั้ง อ้างเบื่อหน่ายการเมือง ชอบโยนบาปให้ กกต. ทั้งๆที่มีขบวนการเตะถ่วงยื้อการออกกฎหมายลูก 3 ฉบับ "ประพันธ์" ระบุมี กกต.แค่ 3 คน ก็จัดเลือกตั้งได้ "อภิสิทธิ์" พูดชัดไม่มีใครไปกดดัน "เจ๊สด" วอนทุกฝ่ายให้ เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ชี้เป็นทางออกแก้ปัญหาในชาติ ดีที่สุด

หลังจากพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคออกมาระบุว่าไม่มั่นใจว่าจะมีเลือกตั้ง รวมทั้งล่าสุดนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้งประกาศว่า จะลาออกหากได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งเป็นแรงกระเพื่อมช่วยตอกย้ำว่าอาจไม่มีการเลือกตั้งนั้น เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมายืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร การเลือกตั้งยังทำได้แม้จะมี กกต.บางคนลาออก

"เทือก" ย้ำไม่มีสัญญาณพิเศษ

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. เวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีท่าทีของนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ที่ระบุว่าต่อให้ ยื่นเรื่องร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีการยุบสภาจนกว่าจะมีการโปรดเกล้าฯลงมา ว่าไม่มีท่าทีอะไรที่น่าสงสัย ประธานสภาฯท่านก็พูดไปตามหลักการคือถือว่าความแน่นอนอยู่ตรงที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว นั่นคือการพูดตามหลักการกฎหมายเป๊ะ สมมติว่าท่านนายกรัฐมนตรียื่นเรื่องกราบบังคมทูลฯขึ้นไป

วันที่ 7 พ.ค. ก็ไม่ได้หมายความว่าวันที่ 7 พ.ค.เป็นวันยุบสภา อาจจะกลายเป็นวันที่ 8 หรือ 9 พ.ค. วันที่นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะถือเป็นวันที่ยุบสภาอย่างจริงจัง ยืนยันว่าไม่ได้มีสัญญาณพิเศษอะไร ที่จะบ่งชี้ว่าอาจจะไม่มีเลือกตั้ง หรือการเลือกตั้งต้องทอดเวลาออกไปอีกอย่างไม่มีกำหนด

ลั่นนายกฯยุบสภาต้น พ.ค.แน่

"ผมยืนยันว่า การเลือกตั้งไม่มีการทอดเวลาออกไปจากนั้น นายกรัฐมนตรียุบสภาในสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค.แน่นอน และการเลือกตั้งก็นับไปจากนั้น 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วัน สุดแล้วแต่ กกต.จะกำหนด" นายสุเทพ กล่าว เมื่อถามว่า ทำไมไม่กำหนดวันที่ยุบสภาให้แน่นอนไปเลยเพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจมากขึ้น นายสุเทพกล่าวว่า กำหนดไว้อย่างนี้ดีแล้ว พอแล้ว แค่นี้ก็มั่นใจได้แล้ว

ก.ม.ลูกคว่ำ กกต.มีอำนาจออกประกาศ

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามเอาเรื่องการแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ มาเป็นเงื่อนไขอยู่ ทั้งๆที่ไม่จำเป็น นายสุเทพกล่าวว่า ถูกต้องแล้วในความคิดของรัฐบาลตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่เพิ่งแก้ไขไปได้เขียนไว้ชัดเจนว่า กกต.สามารถออกประกาศ กำหนดระเบียบ เพื่อใช้ในการเลือกตั้งได้ ไม่จำเป็นต้องรอกฎหมายลูก 3 ฉบับ แต่เมื่อ กกต.บอกว่าต้องขอกฎหมาย เหล่านี้ นายกฯก็ขอความร่วมมือจาก ส.ส.ทุกพรรคเมื่อ วันที่ 23 มี.ค. สภาฯก็พิจารณากัน 3 ฉบับรวด และลงมติรับหลักการผ่านวาระแรกไปแล้ว ตั้งกรรมการวิสามัญมาพิจารณาคาดว่าจะเสร็จใน 14-15 วัน ภายในสิ้นเดือน เม.ย.ก็ควรจะสำเร็จเรียบร้อย แต่ถ้าสมมติเกิดอะไรขึ้นที่กฎหมายไม่สำเร็จ นายกฯยุบสภาก็ยังเป็นอำนาจของ กกต.ที่จะออกประกาศต่างๆได้

พวกร้องหานายกฯ ม.7 ทำบาป ปชช.

เมื่อถามว่า กกต.จะยอมจัดการเลือกตั้งให้หรือ ถ้าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของเขา นายสุเทพกล่าวว่าตนพูดสมมติไป แต่เชื่อว่าทุกอย่างราบรื่น กฎหมายลูก ประกาศได้ทัน และ กกต.จะทำงานได้สะดวก เพราะเป็นเจตนารมณ์ร่วมกันของคนทั้งประเทศไปแล้ว ที่ต้องการเห็นการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามกำหนดที่นายกฯได้เสนอต่อสังคมเอาไว้ เมื่อถามว่า หากมีเงื่อนไขว่าไม่มีการปฏิวัติ แต่ทำไมคนจึงเริ่มพูดถึงเรื่องนายกฯ มาตรา 7 กันมาก นายสุเทพกล่าวว่า "ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรไปก็ทำได้ ในประเทศประชาธิปไตย แต่ต้องอยู่ในกรอบ ถ้าคิดอะไรที่หลุดไปนอกกรอบ และทำให้เกิดความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน คนนั้นทำบาปให้กับประชาชน ผมยืนยันว่าไม่มีเรื่องปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีเรื่องอย่างอื่น เดินหน้า สู่การเลือกตั้ง แล้วเราจะได้เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่สำหรับประเทศไทย ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน" นายสุเทพกล่าว

========================================

http://www.thairath.co.th/content/158628

ทบทวนความจำกันหน่อย
25 มีนาคม 2554

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   'นาซา' ชี้ธารน้ำแข็งละลายในแอนตาร์ติกา 'เกินเยียวยา'

 
 
นาซาเปิดเผยว่าธารน้ำแข็ง 6 แห่งทางภาคตะวันตกของแอนตาร์ติกากำลังละลายอย่างรวดเร็ว จนผ่านจุดที่มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้แล้วอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน พร้อมคาดด้วยว่าระดับน้ำทะเลของโลกในอนาคตจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 1 เมตร 20 เซนติเมตรจากปรากฏการณ์ดังกล่าว
 
 
 
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ "นาซา" ออกแถลงการณ์ระบุว่า ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของทวีปแอนตาร์ติกาได้ละลายอย่างรวดเร็วจนผ่านจุดที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้วเมื่อไม่นานมานี้ และกำลังละลายอย่างต่อเนื่อง โดย นายเอริค ริกน็อต นักภูมิศาสตร์นาซาและอาจารย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเออร์ไวน์ เปิดเผยผ่านทางโทรศัพท์ว่า การพังทลายลงของระบบธารน้ำแข็งในภาคตะวันตกของแอนตาร์กติกาเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งได้อีกต่อไป
 
 
 
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลอามันด์เซ็น ด้านตะวันตกของทวีปแอนตาร์ติกา ซึ่งมีธารน้ำแข็งอย่างน้อย 6 แห่งที่กำลังละลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะธารน้ำแข็งสมิธ ที่ละลายด้วยอัตราความเร็วสูงสุด จากสถิติตั้งแต่ปี 2539 พบว่าแผ่นน้ำแข็งของธารน้ำแข็งสมิธได้ละลายหายไปแล้วกว่า 45 กิโลเมตร สาเหตุหนึ่งของการละลายอย่างรวดเร็วมาจาก "ภาวะโลกร้อน" ที่ทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลทะลักเข้ามาในทะเลอามันด์เซ็นมากขึ้น แผ่นน้ำแข็งส่วนที่ลอยตัวอยู่บนน้ำทะเลจึงละลายเร็วขึ้นทุกปี จนผ่านจุดที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ นอกจากนี้ ภูมิประเทศของชายฝั่งแอนตาร์ติกาด้านตะวันตกเองก็เป็นพื้นที่ราบที่ทำให้ธารน้ำแข็งไหลลงทะเลเร็วกว่าธารน้ำแข็งในภูมิภาคอื่นด้วย
 
 
 
องค์การนาซาคาดคะเนว่าการละลายของธารน้ำแข็ง 6 แห่งทางภาคตะวันตกของแอนตาร์ติกานี้ จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลของโลกเพิ่มขึ้นถึง 1 เมตร 20 เซนติเมตร ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของสหประชาชาติหรือยูเอ็นก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้นอีกกว่า 98 เซนติเมตรภายใน 90 ปีนับจากนี้
 
 
 
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองว่า แม้ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้แล้ว แต่การหันมาร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะลดการผลิตก๊าซเรือนกระจกก็จะช่วยชะลอการพังทลายของธารน้ำแข็งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลได้
 
 
ด้านคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ "ไอพีซีซี" เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สถานการณ์การละลายของธารน้ำแข็งทางฝั่งตะวันออกของทวีปแอนตาร์กติกาก็กำลังละลายเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน พร้อมระบุด้วยว่าสาเหตุของปรากฏการณ์ธารน้ำแข็งละลายอย่างน้อยร้อยละ 95 มาจากฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น

 

 

 หลายคนอาจมองว่า “แอนตาร์กติกา” ที่อยู่ทางขั้วโลกใต้และ “อาร์กติก” ที่อยู่ทางขั้วโลกเหนือก็ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเหมือนๆ กัน แต่ในความเหมือนกันนี้ยังมีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

- ขั้วโลก (ใต้) ของแอนตาร์กติกาอยู่บนแผ่นขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วย “ชั้นน้ำแข็ง” แต่ขั้วโลก (เหนือ) ของอาร์กติกอยู่บนน้ำทะเลที่บางส่วนกลายเป็นน้ำแข็งหรือเรียกว่า “ทะเลน้ำแข็ง”
- น้ำแข็งที่ปกคลุมทวีปแอนตาร์กติกามีความหนาเฉลี่ยถึง 2,450 เมตร แต่น้ำแข็งที่อาร์กติกมีความหนาเฉลี่ยเพียง 2-3 เมตร

- ในช่วงฤดูหนาวของทวีปแอนตาร์กติกามีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง -65 ถึง -70 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง -25 ถึง -45 องศาเซลเซียส ขณะที่อาร์กติกมีอุณหภูมิช่วงฤดูหนาวระหว่าง -26 ถึง -43 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนมีอุณหภูมิประมาณ 0 องศาเซลเซียส ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอุณหภูมิในฤดูหนาวของอาร์กติกใกล้เคียงอุณหภูมิในฤดูร้อนของแอนตาร์กติกา
- ทวีปแอนตาร์กติกาถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร ได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนอาร์กติกถูกล้อมรอบไปด้วยทวีปต่างๆ ได้แก่ ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ

 

 

 

แอนตาร์กติกา กับ อาร์กติก ความเหมือนที่แตกต่าง

 

 

 

 

 

เพนกวินอยู่ขั้วโลกใต้ (แอนตาร์กติกา) หมีขาว (โพลา) อยู่ขั้วโลกเหนือ (อาร์กติก)

 

 

สวัสดีครับ หลายคนมักจะสับสนระหว่าง แอนตาร์กติกา (ขั้วโลกใต้) กับ อาร์กติก (ขั้วโลกเหนือ) วันนี้ก็เลยอยากเขียนเปรียบเทียบให้ชัดเจนระหว่างสองขั้วโลกนี้ มาทำความเข้าใจกันเลยครับ

 

 

Antarctica (ขั้วโลกใต้) ภาพซ้าย Arctic (ขั้วโลกเหนือ) ภาพขวา

 

 

เรามามองภาพรวมของสองขั้วโลกกันก่อนนะครับ

แอนตาร์กติกา (Antarctica) เป็นทวีปที่อยู่ทางทิศใต้สุดของโลก โดยตั้งอยู่ในเขตแอนตาร์กติกเซอร์เคิลรอบขั้วโลกใต้ ล้อมโดยมหาสมุทรใต้ มีพื้นที่มากกว่า 14 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ถือว่าเป็นดินแดนที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดในโลก

 

 

 

 

ประมาณร้อยละ 98 ของแอนตาร์กติกาถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา แผ่นน้ำแข็งซึ่งหนาเฉลี่ย 1.9 กิโลเมตร ทวีปนี้มีน้ำแข็งถึงราวร้อยละ 90 ของน้ำแข็งทั้งหมดบนโลก ทำให้มีน้ำจืดที่ใช้ได้ประมาณร้อยละ 70 ของโลก ถ้าน้ำแข็งทั้งหมดละลายแล้ว ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นประมาณ 61 เมตร

 

 

เพนกวินอยู่ขั้วโลกใต้ (แอนตาร์กติกา)

 

 

อาร์กติก (Arctic) เป็นพื้นที่ในบริเวณขั้วโลกเหนือ ซึ่งบริเวณของอาร์กติกนี้ประกอบไปด้วยพื้นที่บางส่วนของประเทศต่าง ๆ เช่น แคนาดา, กรีนแลนด์ (ดินแดนของเดนมาร์ก), รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา (อลาสกา), ไอซ์แลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน และฟินแลนด์ รวมถึงบริเวณของมหาสมุทรอาร์กติกด้วย

 

 

 

 

บริเวณพื้นที่ส่วนใหญ่ของอาร์กติกจะเป็นพื้นที่ของมหาสมุทร ที่เกิดการแข็งตัวจนเป็นชั้นน้ำแข็ง ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่โดยรอบนอก ซึ่งรวมมนุษย์ด้วย และที่อาศัยอยู่ในน้ำแข็ง เช่น ปลา ,สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, นก, โดยเฉพาะพระเอกของขั้วโลกเหนือก็คือหมีขาวที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี และที่หลายคนไม่คุ้นเคยกันนักแต่ผมชอบเป็นพิเศษก็คือ นาวาฬ (วาฬมีงา) ที่สวยงามมากครับ

 

 

หมีขาว (โพลา) อยู่ขั้วโลกเหนือ (อาร์กติก)

 

 

หลายคนมองว่า “แอนตาร์กติกา” ที่อยู่ทางขั้วโลกใต้และ “อาร์กติก” ที่อยู่ทางขั้วโลกเหนือก็ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเหมือนๆ กัน จนบางครั้งก็เกิดความสับสนในเรื่องข้อมูล เช่นหมีขาวอยู่ขั้วโลกไหน แล้วเพนกวินล่ะ เหนือหรือใต้กันแน่ วันนี้เรามาทำความเข้าใจเพื่อจะได้ทำให้จดจำง่ายขึ้นครับ

 

  • ขั้วโลกใต้ ของแอนตาร์กติกาอยู่บนพื้นทวีปขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง
  • แต่ขั้วโลกเหนือ ของอาร์กติกอยู่บนน้ำทะเล ที่บางส่วนกลายเป็นน้ำแข็งหรือเรียกว่า ทะเลน้ำแข็ง
  • ทวีปแอนตาร์กติกาถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร ได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก ก็คือ แอนตาร์กติกาถูกล้อมด้วยมหาสมุทร

 

  • ส่วนอาร์กติกถูกล้อมรอบไปด้วยทวีปต่างๆ ได้แก่ ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ
  • น้ำแข็งที่ปกคลุมทวีปแอนตาร์กติกามีความหนาเฉลี่ยถึง 1,900 เมตร
  • แต่น้ำแข็งที่อาร์กติกมีความหนาเฉลี่ยเพียง 2-3 เมตร เท่านั้น
  • ในช่วงฤดูหนาวของทวีปแอนตาร์กติกามีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง -65 ถึง -70 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง -25 ถึง -45 องศาเซลเซียส

 

  • ขณะที่อาร์กติกมีอุณหภูมิช่วงฤดูหนาวระหว่าง -26 ถึง -43 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนมีอุณหภูมิประมาณ 0 องศาเซลเซียส ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอุณหภูมิในฤดูหนาวของอาร์กติกใกล้เคียงอุณหภูมิในฤดูร้อนของแอนตาร์กติกา
  • ทวีปแอนตาร์กติกา ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างถาวร มีเพียงแต่นักวิจัยที่ทำงานอยู่ในฐานปฏิบัติการวิจัยเท่านั้น

 

  • ส่วนอาร์กติก มีผู้คนอาศัยอยู่บริเวณโดยรอบ
  • ขั้วโลกใต้ (Antarctica) เป็นดินแดนที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
  • ส่วนขั้วโลกเหนือ (Arctic) แม้จะเป็นดินแดนที่หนาวมากเหมือนกัน แต่ก็มีประชากรอยู่ 4 ล้านกว่าคน และมีเมืองเล็กๆ กับเมืองหลักอยู่หลายเมืองทีเดียว ซึ่งปัจจุบัน หลายประเทศก็อยากได้ทรัพยากรจากขั้วโลกเหนือมาครอบครอง โดยเฉพาะรัสเซีย จีน และสหรัฐอเมริกา

 

  • เพนกวิน อาศัยอยู่ในขั้วโลกใต้ (Antarctica)
  • ส่วนหมีขาว อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ (Arctic)
  • ขั้วโลกใต้เริ่มที่จะมีรูโหว่ของโอโซน เพียงแต่น้อยกว่าขั้วโลกเหนือ
  • ในขณะที่ขั้วโลกเหนือ มีรูโหว่ที่โอโซนที่ใหญ่มาก เนื่องจากความร้อนที่สะท้อนจากน้ำทะเลขึ้นไปมีมากกว่า

 

  • ขั้วโลกใต้ ที่ไม่เคยเกิดการละลายของน้ำแข็งมาก่อน ก็เริ่มเกิดการละลายทีละน้อย อันเป็นปรากฎการณ์ที่น่าตกใจ
  • ส่วนขั้วโลกเหนือในหน้าร้อน จะเกิดการละลายของน้ำแข็ง และจะกลับมาแข็งตัวเช่นเดิมในหน้าหนาว แต่ปัจจุบันก็ละลายมากขึ้นเช่นกัน

 

 


แอนตาร์กติกา (Antarctica) ขั้วโลกใต้

นาร์วาฬ ยูนิคอร์นแห่งท้องทะเล (ขั้วโลกเหนือ)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 [​IMG]
[​IMG]
 

 

 

 อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์-น้องไปป์ ลูกชาย เวียนเทียนวันวิสาขบูชา ที่วัดโลกโมฬี


[​IMG]

 

 

 

ถนน สาย พระ ทำ................


[​IMG]
Maysa Nitto




พระแบบนี้ ขอ กราบ งามๆ 3ที


[​IMG]

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 16:19:58 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>