หากทำตัว เอียงข้าง กลางไม่แน่น
หากนั่งแป้น ส่อความ ลำเอียงได้
หากลุกลี้ ลุกลน ระคนไป
ก็ทำให้ มองเห็น ได้เด่นชัด
ความศรัทธา เชื่อถือ คือที่สุด
ของมนุษย์ มอบให้ คนใช่สัตว์
มีสติ พิจารณา พาเคร่งครัด
ถ้ารวบรัด เลี้ยวลด ก็หมดกัน
มองอดีต เป็นอย่างไร ใครก็รู้
ย้อนหลังดู ไม่เข้าท่า มันน่าขัน
ทำกับข้่าว ออกทีวี ชี้ิผิดพลัน
ยุบพรรคนั่น ดันย้อนหลัง ได้ตั้งนาน
ท่านเซ็นต์นาม ตามรู้ คู่สมรส
ที่กำหนด กฎหมาย หลายสถาน
ตัดสินให้ ถึงจองจำ กระทำการ
คือผลงาน ศาลไทย ดูไร้ธรรม
นี่คือภาพตัวแทน สหภาพรัฐสภาโลกตอนมาเยือนไทย เพื่อขอข้อมูลศาลไทย
เพือนำไปตรวจสอบความ ยุติธรรม ในการตัดสินคดี
ทาง สส. และหมอเหวง ก็ได้ให้ข้อมูลไปเพียบ หลังจากกลับไปได้ไม่นาน
ทางสหภาพรัฐสภาโลก จึงได้ออกหนังสือเตือนศาลไทย และ องค์กรอิสระ
ให้ตัดสิน คดี อยู่ในกรอบฺ และบรรทัดฐานที่ถูกต้องด้วยความยุติธรรม
สหภาพรัฐสภาโลกจะจับตามอง ศาล และ องค์กรอิสระของไทย
หากตัดสินโดยขาดความเที่ยงธรรมจะถอนใบขึ้นทะเบียนสมาชิก
ออกจากองค์กรทันที และจะมีการบอยคอตจากสมาชิกองค์กรสหภาพรัฐสภาโลกต่อไป
องค์กรสหภาพรัฐสภาโลกมีสมาชิค 153 ประเทศและทั้ง 153 ประเทศ กำลังสนใจ
และจับตามองการตัดสินคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และ ปปช
ไอ้ด่างคลองบางมุด จระเข้ที่กินคนมากที่สุดในไทย!!
พ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๐๗ ชาวบ้านในอ.หลังสวน จ.ชุมพร
เเทบไม่กล้าสัญจรทางน้ำกัีนเลยเพราะมีจระเข้ยักษ์
ดักทำร้าย กิน คนหาปลา ชาวบ้าน เด็ก ล้วนตกเป็นเหยื่อ
... จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน จระเข้ตัวนี้มีขนาดใหญ่มาก
และดุร้ายถึงขั้นไล่กัดผู้คนที่สัญจรไปมา
ไล่กัดกระทั่งคนที่ยืนอยู่บนฝั่ง
จนชาวบ้านไม่กล้าพายเรือหรือเดินเลาะริมตลิ่ง
ไอ้ดางบางมุด เป็นจระเข้พันธุ์ “ไอ้เคี่ยม” ซึ่ง
เป็นจระเข้ตีนเป็ด หรือพันธุ์ทองหลาง ตัวดำเมื่อมสนิท
มีสีขาวที่คอและตามตัวเวลามันโผล่ลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำ
นั้นจะมองเห็นสีขาวพาดที่บริเวณคอ
มีผู้คนนับไม่ถ้วนตกเป็นเหยื่อของมัน
สภาพคลองบางมุดในสมัยนั้น
สองข้างทางมีป่าโกงกางสลับด้วยป่าจากเป็นระยะ
ตอนบนของคลองแคบ แต่น้ำลึกไม่ต่ำกว่า ๖ เมตร
บางแห่งเช่นทางโค้ง จะมีวังน้ำลึก
ซึ่งมีจระเข้อาศัยอยู่ชุกชุม
การล่ามันทำได้ยากเพราะมันเป็นจระเข้ที่ฉลาดมาก
และเเม่น้ำเป็นเเม่น้ำที่ยาวเเละกว้าง
จนทางการต้องลงมาล่าเองโดยเป็นการสนธิกำลังกัน
ระหว่างตำรวจ - ทหาร - ชาวบ้านอาสาสมัคร
ใช้เรือกว่าร้อยลำ ในการไล่ล่า
ท่ามกลางมรสุม และพายุดีเปรสชั่นในอ่าวไทย
ที่โหมทั้งฝนและลม ทำให้น้ำท่วมในเขตชุมพร
และภาคใต้ขณะนี้ ข่าวร้ายได้เกิดขึ้นในคลองบางมุด
อำเภอสวน กลายเป็นดินแดนแห่งจระเข้ยักษ์อีกครั้ง
“ไอ้ด่าง” ได้อาละวาดลอยขึ้นมากันกินคนอีก
ในคลองเขาปีบ เขตติดต่อระหว่างอำเภอหลังสวนกับอำเภอสวี
ทำให้มีคนมากมายกลายเป็นเหยื่อของมันในช่วงนั้น
นายช้วน พิมาน บ้านอยู่ริมคลองเขาปีบ
ได้ออกจากบ้านไปตัดกล้วยมาเลี้ยงหมู
ในขากลับนั้น นายช้วนแบกต้นกล้วยเดินข้ามคลองเขาปีบ
เดินผ่านน้ำที่กำลังขึ้นท่วมสะพาน ลึกถึงเข่า
จระเข้ยักษ์ซึ่งซุ่มตัวอยู่พุ่กัดเข้าตรงเข่านายช้วน
แล้วลากลงใต้น้ำทันที
ขณะที่คณะล่าจระเข้ไปถึงได้พบว่า
ชาวบ้านประมาณ ๑๐๐ กว่าคน พร้อมด้วยอาวุธปืนและฉมวก
กำลังค้นหาจระเข้ยักษ์กับศพนายช้วน
ตีแนวขนานทั้ง 2 ฝั่งคลองเขาปีบอย่างชุลมุน
ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบศพนายช้วนอยู่ใต้รากไม้ริมตลิ่ง
ถูกไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ลากไปขัดไว้
และไม่มีทางที่จะดึงออกมาได้
ต้องให้นักประดาน้ำดำลงไปใช้เชือกผูกศพ
แล้วใช้คนกว่า ๒๐ คนดึงอยู่พักใหญ่จึงลากศพนายช้วนมาได้
ปรากฏว่าศพนายช้วนไม่มีส่วนใดเหลือเป็นชิ้นดีให้เห็น
เลยเพราะถูกจระเข้กัดกินด้วยความหิวกระหาย
ทุกคนได้แต่สังเวชและอนาถใจไปตาม ๆ กัน
(แปลกดีทำไมถึงตั้งชื่อว่า ไอ้ด่าง ทั้งสองตัวเลย แต่ด่างเกยชัย ที่ ต.เกยไชย อ.ชุมแสง จ.พิจิตร นั้นเขาว่าตัวใหญ่กว่ามากขนาดขวางแม่น้ำน่านได้เลย... เป็นข่าวสมัย รัชกาลที่ 5 โน้น ต่างกับ ด่างคลองบางมุด จ.ชุมพร นี้ จับได้ปีพ.ศ.2507 ครับ )
จากแหล่งที่พบศพของนายช้วนนั้นเอง
คณะนักล่ากับชาวบ้านจึงรู้ว่า เป็นบริเวณแอ่งน้ำลึก
หรือวังจระเข้เก่าที่ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ใช้เป็นที่หลบซ่อน
พอรู้แหล่งซ่อนของจระเข้ยักษ์
คณะนักล่าแห่งค่ายทหารบกชุมพร
ได้ให้ชาวบ้านทุกคนหลบซุ่มอยู่บนตลิ่ง
แล้วใช้ระเบิดซี .3
หย่อนลงไปในบริเวณวังจระเข้ยักษ์ ๓ นัด
เสียงระเบิดดังก้องสนั่นหวั่นไหว
ตัวไอ้ด่างลอยกระเพื่อมตามกระแสน้ำ
บอกให้รู้ถึงการสิ้นอิทธิฤทธิ์ของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์แล้ว
ทันใดนั้น ส.อ. จำนงได้ใช้ฉมวกพุ่งลงไปกลางส่วนหลัง
ของไอ้ด่าง ซึ่งทำให้มันดิ้นพลิกขึ้นมาให้เห็น
ทั้งตัวแต่มันไม่สามารถจะอาละวาดต่อไปได้อีกแล้ว เ
พราะกระดูกสันหลังของมันหักด้วยอำนาจของแรงระเบิดซี .๓
ชาวบ้านจึงช่วยกับเอาเชือกมัดพันธนาการตัว “ไอ้ด่าง”
และลากจระเข้จอมเพชฌฆาตแห่งลำน้ำขึ้นมาบนตลิ่ง
ซึ่งไอ้ด่างอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที่
จากนั้นคณะล่าจระเข้ได้ใช้เชือกลาก
จระเข้ยักษ์จากคลองเขาปีบมุ่งไปยังตลาดอำเภอสวี
แต่ระหว่างที่ลากมาในคลองนั้น “ไอ้ด่าง” ก็พลิกท้อง
บอกถึงการจบชีวิตปิดฉากอันโหดเหี้ยมของมัน
หลังผ่าท้องพบซากมนุษย์เป็นอันมาก
บ่งบอกถึงความเหี้ยมโหดของมัน
ซากของ"ไอ้ด่าง"ถูกซื้อขายกันในราคา ๗,๐๐๐ บาท ถูกนำไปให้คนในละแวกจังหวัดชุมพรและใกล้เคียงดู
ผู้คนพากันแห่ไปดูนับหมื่นคน
แม้ว่าจะมีการเก็บเงินค่าเข้าชมด้วยก็ตาม
ซากของมันถูกซื้อขายต่อเปลี่ยนมือกันไปมา
จนราคาพุ่งขึ้นไปถึง ๒๓,๐๐๐ บาท (สมัยนั้นถือว่าเยอะ)
โดยซากไอ้ด่างถูกขายให้นายไห้ แซ่เซ็ง เป็นเจ้าของ
ทำให้องค์การสวนสัตว์ชวดไปอย่างน่าเสียดาย
อ่านเถอะ....แล้วคุณจะรู้ว่าถูกหลอกมานาน
น้ำมันพืช
อันตรายระดับชาติ !!!
คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม
อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช
ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น … ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้…เป็นต้น
วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมัน พืช สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ
ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น
อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
บันทึก #1 18 ก.พ. 2553 09:51:24
http://gov.ca.gov/press-release/10291/
รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553
http://dallas.bizjournals.com/dallas/stories/2009/05/04/daily72.html
KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat
http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217
McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขา
http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/
Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืช ผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550
https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease.aspx?viewtype=current&id=100102
เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat
โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…ระบบ เผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน, ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน, โรคไต
http://transfatdisease.com/why.html
อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ… ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด, ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่… สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด) ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น
น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม น้ำซึมผ่านไม่ได้ หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น
อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข’ มาหลอกท่านได้อีก
บันทึก #2 18 ก.พ. 2553 09:51:54
น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมูที่เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไป อยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทาน เข้าไป และ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำ ชาธรรมดา
แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ จะละลายกับน้ำได้ สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้
หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์
ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก เหมือนกับที่เขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น
แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย
เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไปที่ไต พาไปที่กระเพาะ ปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และโรคกระเพาะปัสสาวะตามมา
เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้ วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค ขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส
บันทึก #3 18 ก.พ. 2553 09:52:36
เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง เงินทองไหลออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ
- ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส
- แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นตามที่ต้องการ
- ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated) เพื่อทำให้ทอดอาหารอร่อย
- กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมี เปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง
เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที …
…Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.)
http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html
ถึงเวลาล้างได้แล้ว
ท่านจำเป็นต้องล้างน้ำมันพืชในร่างกาย ที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเสียที ด้วยสูตรตามธรรมชาติ ที่ท่านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มี 2 สูตร ที่ได้รับการทดสอบจากประชาชนทั่วไป มากกว่า ห้าหมื่นคน และได้ผล
สูตรที่เร็วที่สุดคือ น้ำชามะละกอ (ล้างอย่างเดียว แต่เร็ว)
วิธีทำ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)
สูตร นมสดโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว (ล้างและบำรุง ค่อย ๆ ล้าง)
บันทึก #4 18 ก.พ. 2553 09:53:14
นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และบีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อยน้ำมันพืช, นมสดให้แคลเซียม
ขอให้ท่านมองดูคนป่วยรอบกายท่าน คนป่วยในสังคม แล้วถามตัวเองว่า
- คนเหล่านั้น ทานน้ำมันพืชแล้ว ภูมิคุ้มกันมีปัญหา ป่วย แต่ไปรักษา ปลายเหตุ ใช่หรือไม่ ?
- คนป่วยเหล่านี้มากพอหรือยัง เงินที่คนป่วยเหล่านี้ต้องจ่ายซื้อยา เงินนั้นอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ ?
- เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากคนไทยยังไม่ดูแลสุขภาพตนเอง ต้องพึ่งพายาฝรั่งไปเรื่อย ๆ ?
หมายเหตุ : การทานอะไรก็ตาม แม้จะเป็นสมุนไพรก็ดี ควนทานแต่พอเหมาะ เพราะจะเกิดการสะสมตกค้างในอวัยวะ ภายในต่างๆ เช่นกัน
ขณะนี้องค์การอนามัยโลกประกาศว่าถึงยุคที่ยาปฏิชีวนะนั้นได้สูญเสียคุณสมบัติในการรักษาโรคไปแล้วในทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่องต่อสุขภาพของประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งจะต้องยกระดับให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร
ดร. Keiji Fukuda กล่าวว่าขณะนี้ยาปฏิชีวนะสามารถใช้กับการรักษาโรค หรืออาการบาดเจ็บต่างๆได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจาก 114 ประเทศทั่วโลก ถึงแม้ว่าข้อมูลจะยังไม่สมบูรณ์ในทุกพื้นที่ แต่จากการทดสอบในห้องทดลองกับแบคทีเรีย และไวรัสพบว่ายาได้สูญเสียคุณสมบัติไปแล้วจริงๆ
ดร. Carmen Pessoa Da Silva หัวหน้าทีมวิจัยการต้านทานเชื้อจุลินทรีย์กล่าวว่า เชื้อโรคนั้นมีอยู่ทุกที่ พวกมันกำเนิดมาก่อนมนุษย์เสียอีก ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของมนุษยชาติเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้ทุกประเทศต้องช่วยกันหาทางออก และแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้
ในรายงานการศึกษาพบว่าการต้านเชื้อแบคทีเรีย 7 ชนิด ของสาเหตุโรคที่ไม่รุนแรงและรุนแรง เช่น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคท้องร่วง โรคปอดบวม โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และหนองใน พบว่าแบคทีเรียก่อโรคสามารถต้านทานยาปฏิชีวนะได้ทั้งหมดแม้กระทั่งยาที่ใช้เป็นกรณีสุดท้ายเมื่อยาอื่นหมดทางรักษา
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่าปัญหาที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การที่พบว่ายาที่ใช้ในกรณีสุดท้ายในการรักษาผู้ป่วยซึ่งติดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่รุนแรง Klebsiella pneumoniae นั้นไม่สามารถต้านเชื้อนี้ได้ แบคทีเรียชนิดนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ติดเชื้อในผู้ป่วยที่สามารถมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายในโรงพยาบาล เพราะมันเป็นสาเหตุของโรคปอดบวม การติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อในทารกแรกเกิด และผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ยาที่ใช้ในกรณีสุดท้ายในการรักษาเมื่อผู้ป่วยติดเชื้อนี้ก็คือ Carbapanems แต่จากการเก็บข้อมูลในทุกพื้นที่พบว่าเชื้อสามารถต้านยาได้หมด ในบางประเทศจากการต้านยา Carbapanems ทำให้ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ K. pneumoniae ได้ มากกว่าครึ่งหนึ่ง กรณีที่รุนแรงต่อการต้านยา Carbapanems นั้นเนื่องมาจากเอนไซม์ NDM1 ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอีก แต่ก็ยังมียา 2-3 ชนิดที่ยังสามารถใช้ต้านแบคทีเรียชนิดนี้ได้ แต่ก็เป็นยาที่เลิกใช้ไปแล้วเนื่องมาจากผลข้างเคียงของมัน
ซึ่งยาปฏิชีวนะนั้นไม่มีชนิดใหม่เกิดขึ้นเลยนานมาถึง 25 ปีแล้ว บริษัทผู้ผลิตยาไม่สามารถรองรับต้นทุนของการวิจัยและพัฒนาได้เนื่องจากยาปฏิชีวนะชนิดใหม่นั้นต้องใช้อย่างจำกัด เพราะกลัวเกิดการพัฒนาการต้านของเชื้อต่อยา และเมื่อสร้างยาขึ้นมาได้ก็พบว่ายานั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นมาก ยาปฏิชีวนะใหม่ที่อยู่ในท้องตลาดก็ไม่ใช่ของใหม่จริงๆเพราะก็เป็นชนิดที่มีอยู่แล้ว คือหมายความว่าแบคทีเรียก็สามารถที่จะพัฒนาตัวต้านยาเหล่านี้ได้ในไม่ช้าเช่นกัน
บางครั้งในการรักษาผู้ป่วยแพทย์ต้องเห็นการรักษาที่ล้มเหลว ต้องเห็นผู้ป่วยเสียชีวิตไปต่อหน้า เนื่องจากรักษาไม่ทันแต่ในบางคนก็สามารถรักษาได้เพียงใช้ยาแค่ชนิดเดียวเท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็ต้องใช้ยาตัวใหม่ ซึ่งไปเพิ่มความเสี่ยงเพราะเมื่อดื้อยาแล้วอาการป่วยก็จะเพิ่มขึ้นและการต้านยาก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
อันตราย !!!
อีก 1 ชีวิต ที่ต้องสังเวยให้กับ โทรศัพท์มือถือ
อย่าใช้โทรศัพท์ ไม่ว่าจะรับ หรือ โทรออก ขณะที่เครื่องกำลังชาร์จ แบตเตอรี่ เพราะแรงสั่นสะเทือนของพลังงานที่แผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
มีความรุนแรง ถึง 1000 เท่า !!!!!!
โดยแรงสั่นสะเทือนจะพุ่งเข้าสู่หัวใจเร็วมาก มือที่จับโทรศัพท์ จะถูกเผาไหม้
และอันตรายดังกล่าว เกิดขึ้นได้กับทุกยี่ห้อ
ช่วยแชร์บอกเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ให้ทราบกันด้วย !!!
เรื่องดีๆ...มีมาฝากกันทุกวัน
ใช้ได้จริง ๆ ทุกวันนี้ยังใช้แบ๊ตเตอรี่ที่ติดมากับมือถืออยู่เลย
ถ้าแบตเตอรี่มือถือเริ่มเก็บไฟได้น้อยอย่าเพิ่งทิ้ง
เพื่อนที่ทำงานบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่ส่งมาให้ครับก็เลยแบ่งกับเพื่อนๆต่อ...
เพื่อนๆทุกคนคงมีโทรศัพท์มือถือกันทุกคน
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำจากวิศวกรในโรงงานแบตเตอรี่
สำหรับผู้ที่แบตฯมือถือของท่านเริ่มมีอายุการใช้งานสั้นลงจนสังเกตได้ชัด .... ให้ปฏิบัติดังนี้ครับ
1. นำแบตฯของท่านห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วใส่ไว้ในถุงพลาสติก แล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งตรงนี้กระดาษหนังสือพิมพ์ จะช่วยดูดความชื้น ส่วนเกินให้
2. หลังจากทิ้งแบตฯไว้ในตู้เย็นครบสามวันแล้วนำแบตฯออกมาทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องอีกสองวัน
3. เมื่อทิ้งไว้สองวันแล้ว ชาร์จแบตฯให้เต็มแล้วนำไปใส่ในมือถือของท่านอีกครั้ง จะสังเกตได้ว่า แบตฯ สามารถใช้งานได้นานถึง 80-90% ของแบตฯใหม่เลยทีเดียว
วันที่: Fri Nov 15 16:47:07 ICT 2024
|
|
|