เพลงนี้มีชื่อแปลเป็นภาษาไทยว่า " ฉันถามต้นแอช " เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์รัสเซียเรื่องหนึ่ง เวอร์ชั่นนี้ร้องโดยเซรเกย์ นิกิติน เนื้อหาตอนท้ายชวนขำเล็กๆ ผมลองแปลมาให้ไม่่รู้ผิดหรือถูกอย่างไร ลองอ่านดูครับ
ฉันถามต้นแอชว่าสุดที่รักข้าอยู่ไหน
ต้นแอชไม่ตอบได้แต่ส่ายหัว
ฉันถามต้นป็อปล่าร์ว่าแฟนข้าอยู่ไหน
ป็อปล่าร์แค่โปรยปรายใบไม้ใส่ฉัน
ฉันถามฤดูใบไม้ร่วงว่าหวานใจข้าอยู่ไหน
ฤดูใบไม้ร่วงตอบมาด้วยสายฝนโปรย
ฉันเลยถามสายฝนว่าดวงใจข้าอยู่ไหน
เม็ดฝนจิ๋วแค่ปรอยโปรยนานเนิ่นที่หน้าต่าง
ฉันถามจันทรา ว่าคนรักข้าอยู่ไหน
จันทราหนีเข้าหมู่เมฆา แล้วก็ไม่ตอบ
ฉันถามหมู่เมฆา ข้าตามหานวลนาง
หมู่เมฆสลาย หลบหายในท้องฟ้าคราม
เพื่อนเอ๋ย เพื่อนข้า สุดที่รักข้าอยู่ที่ใด
บอกหน่อยเถิด นางไปหลบอยู่ที่ใด นายรู้ไหม
เพื่อนตอบอย่างเปิดใจ ใสซื่อ
เคยเป็นสุดที่รักของแก เคยเป็นหวานใจของแก
เคยเป็นดวงใจของแก แต่ตอนนี้เป็นเมียข้าแล้ววะ
เมื่อวันที่ 17 นี้ รัสเซียได้ ติดตั้ง S400 รอบๆ Moscow
และ
วันที่ 19 นี้ กองทัพอากาศรัสเซียซ้อมรบขนาดใหญ่ ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ
โดยเน้นการโจมตี ด้วย SU-34 and SU-34M
รัสเซียคงพร้อมแล้วสำหรับสงคราม
แต่ us พร้อมหรือยัง ??
แต่น่าเห็นใจทหารยูเครน ทำอะไรไม่ได้เลย
เนื่องจากว่าตอนที่มีการลงประชามติขอแยกตัวเป็นเอกราชของไครเมีย ใด้มีทหารเรือยูเครนที่ประจำการอยู่ในฐานทัพ
เมืองเซวาสโตปอล แปรพรรคเข้าร่วมกับรัสเซียเป็นจำนวนมาก ทำให้ยูเครนต้องเสียเรือรบไปไม่น้อยกว่า 20-30ลำ
ทำให้กำลังรบทางเรือของยูเครนหดหายไปกว่าครึงหนึ่งเลยที่ ดังนั้นพวกรัสเชียสจึงไปจับตัว ผบ.ทร.เอาง่ายๆที่บ้านพักแกเลย
1. ยูเครนประกาศให้คืนตัวประกันภายใน 3ชั่วโมง (บัดนี้ล่วงเลยเวลาแล้ว)
2. เตรียมหารือกับ UN เพื่อขอให้ไครเมียเป็นเขตปลอดทหาร
3. ประกาศเป็นรัฐเอกราช(ไม่แน่ใจข้อมูลได้ยินไม่ชัด) และเตรียมตัวซ้อมรบกับ สหรัฐ
4. ชาวรัสเซียที่จะเข้ามาในยูเครนจะต้องทำวีซ่า
5. ไทยออกแถลงการณ์สรุปความได้ว่า ไทยติดตามข่าวและเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์
าพข่าวการกล่าวสุนทรพจน์ในวันอังคารที่ผ่านมา ของประธานาธิปดีปูติน ที่ไครเมีย
คำพูดเด่นๆในสุนทรพจน์มี "ตะวันตกถูกนำโดยอเมริกาที่ชอบไม่ทำตามกฏหมายระหว่างประเทศ แต่ชอบใช้อาวุธเป็นกฏ"
"พวกเขากล่าวว่าเราละเมิดกฏหมาย โชคดีที่พวกเขายังระลึกได้ว่ายังมีมันอยู่ ดีกว่าพูดตอนสายไป"
"ยิ่งคุณกดปริงแรงเท่าไหร่ มันยิ่งจะเด้งกลับแรงเท่านั้น จงจำสิ่งนี่ไว้"
เพิ่มเติมข่าว การตอบโต้ของรัสเซียอย่างแรกต่อยูเครนเพิ่มราคาก๊าซ จากเดิม 360-370us dol/1000 คิวบิกเมตร เป็น 500 us dol /1000 คิวบิก เมตร โดยจะเริ่มใช้ราคาใหม่ตั้งเเต่วันที่ 10 เมษาเป็นต้นไป
จริงๆผมมองว่า US+NATO ไม่กล้าอยู่แล้วครับ
เป็นเหมือนเสือกระดาษซะมากกว่า ได้แต่ขู่นั่นขู่นี่
ใจจริงแล้ว US มันกลวงมากเลยนะ
พิมพ์เงินเป็นว่าเล่น หนี้ก็ไม่รู้เท่าไหร่
เศรษฐกิจยังไปไม่รอดเลย ถ้าเกิดสงครามผมมองว่าสหรัฐเละตั้งแต่เริ่มสงครามค่าเงินละครับ
ลองคิดเล่นๆ รัสเซีย จีน อินเดียทิ้งดอลล่า ขายน้ำมันเป็นทอง
คนจะแห่ซื้อทอง ความน่าเชื่อถือของดอลล่าจะหมดไป และทำให้จีนยิ่งมีอำนาจ เข้าทางจีนเลย
ผลักดันหยวนเป็นเงินสกุลหลักแทนดอลล่า และลองดูพันธมิตรของรัสเซีย จีนเงี๊ย อินเดียเงี๊ย
ดูประชากรแต่ละประเทศ เกิดสงครามมีเทคโนโลยียังไงก็ไม่ไหวหรอก
ถ้าไม่ยิงนิวเคลียร์ล้างโลก ยังไงก็มองว่า NATO+US ก็สู้ไม่ไหว
ปล.ผมเกลียดการแทรกแซงทางการเมืองUS ทีการเมืองไทยละอยากจะช่วยจังเลย
แต่พอมีเรื่องผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในไทยไม่เห็นแสดงท่าทีอยากจะช่วยสักกะติ๊ด
เมื่อสื่อใหญ่ของอเมริกาเขียนถึงกองทัพรัสเซีย อเมริกายังต้องตะลึงกับประสิทธิภาพของกองทัพรัสเซีย
Cr:วอชิงตันโพสต์. แปลโดย FB.สมาคมนิยมอาวุธรัสเซีย
19/14/2013
กองทัพรัสเซียยุคใหม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอ
-บทความจากนักวิเคราะห์ David Ignatius ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
พวกเขาได้จัดระเบียบและมีระเบียบวินัยด้วยความเป็นมืออาชีพซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการนองเลือดในไครเมีย หลักฐานจากภาพถ่ายที่ปรากฏออกมาแสดงให้เห็นถึงการทำงานของทหารรัสเซียในแหลมไครเมียซึ่งได้ข้อสรุปดังต่อไปนี้
พวกเขาทำงานที่เป็นความลับภายใต้เครื่องแบบที่ไม่มีเครื่องหมายและมักจะปิดบังใบหน้าของพวกเขา พวกเขาจะมีระเบียบวินัยและความมุ่งมั่น
ปฏิกิริยาทางการทูตต่อการการแทรกแซงของรัสเซียในไครเมียยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อำนาจของเพนตากอนได้เริ่มลดลงและเริ่มมีการประเมินผลของบทเรียนที่ได้รับ ทำให้ว่าการกระทำของรัสเซียในไครเมียได้กลายเป็นบทเรียนให้เห็นถึงความรวดเร็วในการปฏิบัติงานของกองกำลังพิเศษเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่จำกัดอย่างเคร่งครัด
"สำหรับกองทัพรัสเซีย สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงมากที่สุดคือระดับของความมีวินัยในการฝึกอบรมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของพวกเขา", -ผู้อำนวยการบริหารผลประโยชน์ของชาติ Paul Sanders กล่าว
"แรกเริ่มสำหรับวิกฤตในไครเมียมีทหารรัสเซียอยู่ประมาณ 15,000 คน แต่พวกเขาก็ส่งทหารกว่า 5,000 คนเข้าไปเพิ่มอีกโดยใช้เวลาไม่นาน"
นักวิเคราะห์ทางทหารกล่าวว่าได้สังเกตเห็นคุณสมบัติที่น่าสนใจบางอย่างของการใช้งานทหารรัสเซียในภารกิจแทรกแทรงไครเมียอย่างเห็นได้ชัดแต่เต็มไปด้วยความลับโดยประธานาธิบดีปูติน อดีตผู้พันสายลับเคจีบี
วันที่ 4 มีนาคม ปูตินได้แถลงข่าวปฏิเสธว่ากองกำลังในไครเมียไม่ใช่ทหารรัสเซีย
"ไปที่ร้านกับผมถ้าคุณข้องใจเรื่องชุดทหาร ที่นั่นมีขายทุกแบบที่คุณต้องการ " - เขาตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ซึ่งต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม Sergei Shoigu ก็ได้ออกมายืนยันสนับสนุนคำพูดของผู้นำว่า "ไร้สาระที่สุด กับรายงานที่ว่ากองทัพรัสเซียบุกแหลมไครเมีย"
การแถลงข่าวปฏิเสธความจริงเป็นประโยชน์มาก รัสเซียมีการจัดการด้วยความรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาการแทรกแทรงที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้ปูตินไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีการนองเลือด
นอกจากนี้ปูตินได้แสดงความเต็มใจที่จะกล้ารับความเสี่ยง
"แม้ยังไม่มีการนองเลือด แต่ปูตินก็ไม่สามารถรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ นั่นคือเหตุผลที่ระเบียบวินัยของทหารรัสเซียเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้น ความเป็นมืออาชีพของพวกเขาจะลดความเสี่ยงของการเกิดเหตุไม่คาดฝัน" - นักวิเคราะห์กล่าว
สุดท้ายปูตินได้จัดทำกฎหมายรองรับสำหรับการแทรกแซงยูเครนในการปกป้องประชาชนของพวกเขาและประชากรพูดภาษารัสเซียในยูเครน แต่รูปแบบของพฤติกรรมนี้นักวิเคราะห์กล่าวว่าสามารถใช้ได้กับทั้งประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ใช่เพียงยูเครน
ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่ามีโอกาสน้อยที่ปูตินจะโจมตีประเทศเพื่อนบ้านเช่นลัตเวียลิ ทัวเนีย การดำเนินการเช่นนี้กับประเทศสมาชิกนาโต้จำเป็นต้องใช้ทหารมากกว่าเดิม ขณะที่พันธมิตรนาโตต่างก็แสดงท่าทีเตรียมพร้อมในการป้องกันสมาชิกตามระเบียบข้อ 5 ของนาโต้ ซึ่งความเสี่ยงนี้ปูตินอาจจะยังไม่พร้อม
การดำเนินงานที่ดีในแหลมไครเมียแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงคุณภาพและการฝึกอบรมของกองทัพรัสเซียใน 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งแตกต่างจากในเชชเนียและจอร์เจีย เป็นที่ชัดเจนว่ารัสเซียจะประสบความสำเร็จในการปฏิรูปกองทัพ
"กองทัพรัสเซียได้พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาได้รับการฝึกฝนอย่างมาเป็นดี ดำเนินการอย่างสุขุมรอบคอบและมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติการในพื้นที่ที่จำกัด เป็นที่ชัดเจนว่าปูตินไม่ได้หยุดประลองยุทธ์กับนาโตที่พากันส่งสัญญาณความพร้อมในการปกป้องพันธมิตรที่เป็นของตน แต่ไม่ได้แสดงความพร้อมที่จะหยุดรัสเซียที่ปฏิบัติการในภูมิภาคที่อยู่ใกล้เคียงกับพันธมิตร "
"ไครเมีย" กับ "ลีโอ ตอลสตอย" (บทความนี้ว่าด้วยประวัติศาตร์และแรงจูงใจที่ ปูตีนต้องการยึดครองดินแดนไครเมีย)
วันที่ 08 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23:35:00 น. โดย ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 8 มีนาคม 2557
วาสิลี อัคซีโยนอฟ ประพันธกรรัสเซียน เคยตั้งคำถามผ่านนวนิยายชื่อ "ดิ ไอส์แลนด์ ออฟ ไครเมีย" ไว้ตั้งแต่ปี 1979 ว่า ไครเมีย ซึ่งตามท้องเรื่อง "เป็นอิสระและเป็นกลาง" จะคงความเป็นอิสระจากลัทธิ ซาริสม์ คอมมิวนิสม์ และอิมพีเรียลิสม์ อยู่ได้นานเท่าใด
เมื่อคำนึงถึงปรารถนาและเจตนารมณ์ของ "คนรัสเซีย" ทั้งในและนอกไครเมีย!
คำถามนี้ยังคงมีนัยสำคัญอยู่แม้แต่ในยามนี้ แม้ว่า "ดิ ไอส์แลนด์ ออฟ ไครเมีย" จะเป็นจินตนาการ เป็นแฟนตาซี โดยแท้ก็ตามที
เมื่อ วิคเตอร์ ยานูโควิช ถูกขับพ้นตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนในกรุงเคียฟ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ วิกฤตไครเมีย เขตปกครองพิเศษที่เพิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนอย่างเป็นทางการในปี 1954 ที่ผ่านมานี่เอง
ไครเมีย มีประชากรอยู่ราว 2 ล้านคน แม้จนกระทั่งบัดนี้ประชากรส่วนใหญ่ยังคงนิยมรัสเซียนั่นเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้ รัฐสภาไครเมีย เคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทางการในกรุงเคียฟ อาศัย "กองเรือทะเลดำ" ของรัสเซียในเขตฐานทัพเรือเช่า ที่เซวาสโตโปล เป็นหลังพิง ส่ง "กองกำลังป้องกันตนเอง" ที่หลายคนบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็น "ทหารอาชีพ" ที่ "เชื้อเชิญเป็นพิเศษ" มาจากรัสเซีย กระจายกำลังเข้ายึดครองพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการทหารทั้งหลาย ก่อนที่ประกาศทำประชามติ เพื่อกลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย
ด้วยเหตุผลบังหน้าที่ว่า เพื่อเป็นการปกป้องประชาชนเชื้อสายรัสเซียจากกองกำลังที่เป็นสมุนต่างชาติและขบวนการชาตินิยมที่ยึดอำนาจได้สำเร็จผ่านการรัฐประหารในกรุงเคียฟ
มองจากมุมของทางการเคียฟ นั่นเท่ากับเป็นการก่อกบฏเพื่อแบ่งแยกดินแดน แม้ในมุมมองที่แตกต่างออกไปรวมทั้งแม้แต่ในไครเมียเอง การกระทำดังกล่าวก็ล่อแหลมอย่างยิ่ง สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการกลายเป็นชนวนของสงครามครั้งใหม่ สงครามใหญ่อีกครั้งแห่งไครเมีย แล้วทำไมต้องเทเดิมพันกันมากมายขนาดนั้น?
อาจบางทีคำตอบมีอยู่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของคาบสมุทรไครเมีย!
ประวัติศาสตร์แห่งไครเมียยืดยาวเนิ่นนานลงลึกไปในอดีต เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน สั่งสมทับถมหลายชั้นด้วยวัฒนธรรมหลายหลากนานัปการ นับตั้งแต่เริ่มต้นมีการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในยุคหิน พื้นที่แห่งนี้ถูกครอบงำ ยึดครอง และปกครองด้วยอารยธรรมหลากหลายในแต่ละห้วงแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์
ตั้งแต่อารยธรรมเกรโก-โรมัน, การตกอยู่ภายใต้อาณาจักร ไบเซนไทน์, อาณาจักรชนเผ่า เคียวาน รัส, ก่อนตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอูลูส แห่ง โจชิ โอรสองค์โตแห่ง เตมูจิน หรือเจงกิส ข่าน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมองโกล ต่อด้วยการกลายเป็นดินแดนใต้อาณาจักร ออตโตมาน และอยู่ในจักรวรรดิรัสเซียในที่สุด
ไครเมีย ยังเคยตกอยู่ภายใต้การยึดครองของ ติมูร์ เจ้าชายแห่งเปอร์เซียผู้พิชิตมองโกล สถาปนาพื้นที่นี้ขึ้นเป็นอาณาจักรข่าน ในชื่อ ไครเมียน ตาตาร์ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมทุกวันนี้ ยังคงมี ตาตาร์ เป็นชนกลุ่มน้อยอยู่ในไครเมีย หลังจากที่มีตาตาร์เป็นจำนวนไม่น้อยสูญเสียไประหว่างการกวาดล้างของ โจเซฟ สตาลิน และผ่านการเนรเทศหมู่ครั้งใหญ่อีกครั้งในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ตาตาร์ ในไครเมียกลับยืนอยู่ข้างเดียวกันกับกลุ่มผู้ประท้วงผู้โค่นล้มยานูโควิชในจัตุรัสเอกราช ใจกลางกรุงเคียฟ
คาบสมุทรไครเมีย ตกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย ในยุคของ แคเธอรีน มหาราช ในปี 1783 กลายเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลดำ และมีพื้นที่กว้างขวางให้พัฒนาให้ทันสมัย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ที่ 3 แห่งรัสเซีย ดำริให้ก่อสร้างพระราชวังใหม่หรูหราขึ้น 2 แห่งในเมืองชายฝั่งทะเลชื่อ "ยัลตา" พระราชทานนามว่า ลีวาเดีย และ แมสซานดรา
เมื่อสตาลิน จำเป็นต้องหาสถานที่รับรอง วินสตัน เชอร์ชิล แห่งอังกฤษและ ธีโอดอร์ รูสเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็เลือกพระราชวังลีวาเดีย เป็นสถานที่รับรองและจัดการประชุมขึ้นที่นั่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 1945 ผู้นำสหรัฐอเมริกากระทั่งได้อาศัยพำนักอยู่ในพระราชวังเดิมแห่งนี้
แต่ที่ติดแน่นตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกชาตินิยมรัสเซียทั้งหลาย กลับเป็นเมืองท่าสำคัญอย่าง เซวาสโตโปล เมืองแห่งนี้ในไครเมีย รู้จักกันในรัสเซียในชื่อ "เมืองแห่งความรุ่งโรจน์แห่งชนรัสเซียน" และมีบทบาทสูงมากในการสร้างทัศนคติของคนรัสเซียต่อไครเมีย ว่านี่คือดินแดนที่รัสเซียนควรมีสิทธิใดๆ เหนือใครอื่น
รัสเซีย ทำสงครามอาบเลือดที่เซวาสโตโปลมาแล้วถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกในปี 1854 เป็นสงครามระหว่างจักรวรรดิรัสเซียฝ่ายหนึ่งกับอาณาจักรออตโตมานอีกฝ่ายหนึ่ง ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างสหภาพโซเวียต กับนาซีเยอรมัน สงครามทั้งสองครั้งถูกเชิดชู สะท้อนความรุ่งโรจน์ของรัสเซียนออกมาในหลากหลายรูปแบบตั้งแต่งานจิตรกรรม วรรณกรรม เรื่อยไปจนถึงวัฒนธรรมร่วมสมัยหลากหลาย
เซวาสโตโปล ยังคงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของรัสเซียถึงขนาดต้องคง "กองเรือทะเลดำ" เอาไว้แม้ในเวลานี้
นิกิตา ครุสเชฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต เป็นผู้หยิบยื่นไครเมีย ให้กับยูเครน ในปี 1954 การกระทำครั้งนี้เป็นไปในเชิง "สัญลักษณ์" เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 300 ปีของการที่ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ครุสเชฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียตในเวลานั้น เป็นคนเชื้อสาย "ยูเครน" ไม่ใช่ "รัสเซีย"
ไม่ว่าจะเป็นเพียงการมอบให้ในเชิงสัญลักษณ์เพื่อการเฉลิมฉลองหรือไม่ก็ตามที เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายแตกเป็นเสี่ยงๆ ยูเครนก็ยึดถือไครเมีย เป็นส่วนหนึ่งของตนที่ยากจะเปลี่ยนแปลงกลับกลาย แม้จะส่งผลให้คนรัสเซีย ทั้งสามัญชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดานักการเมืองจำนวนไม่น้อยขมขื่นและแค้นเคืองในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาก็ตามที
ดังนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่กลุ่มแนวความคิดชาตินิยมรัสเซียในไครเมีย เคลื่อนไหวเพื่อดิ้นรนเป็นเอกราช หรือกลับไปอยู่ภายใต้อาณัติของรัสเซียอยู่ตลอดเวลา ความพยายามที่ปรากฏชัดเจนและจริงจังครั้งหลังสุดก็คือ เมื่อเกิดการลุกฮือขึ้นเปลี่ยนแปลงการปกครองในเคียฟในปี 2004 ที่ถูกเรียกขานกันว่า "ปฏิวัติสีส้ม" นั่นเอง
ไม่เพียงเกิดความพยายามในไครเมีย ผู้นำส่วนหนึ่งในมอสโก เองก็ดูเหมือนเต็มใจที่จะให้ เซวาสโตโปล หรือกระทั่ง ไครเมีย ทั้งหมดกลับมาอยู่ใต้อำนาจของรัสเซีย จะเห็นได้ชัดว่า ถึงแม้ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย พูดชัดเจนถึงความเคารพใน "บูรณภาพแห่งดินแดน" ของยูเครน แต่กองกำลังที่เชื่อกันว่าเป็นทหารรัสเซีย ก็บุกเข้ายึด อาคารที่ทำการรัฐบาล กรุงซิมเฟโรโปล และชักธงชาติรัสเซียขึ้นแทนที่ธงชาติยูเครน
แผ่นป้ายผ้าที่นำมาติดหราไปทั่ว สะท้อนความคิดเรื่องนี้ชัดเจน อาทิ "ไครเมียคือรัสเซีย" และ "เราต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับรัสเซีย" เป็นต้น
สนามบินสำคัญสองแห่ง ที่เซวาสโตโปล และซิมเฟโรโปล ถูกกองกำลังติดอาวุธเข้ายึดครอง เพื่อรอรับเครื่องบินขนส่งทางทหารของรัสเซียลงจอดในเวลาต่อมา ยานยนต์หุ้มเกราะของรัสเซีย กระจายตัวออกประจำตามตำแหน่งยุทธศาสตร์ในเมืองสำคัญทุกแห่งในไครเมีย
ทั้งๆ ที่สุ่มเสี่ยงและล่อแหลมต่อการเกิดปะทะกันขึ้นกับกองกำลังของยูเครน จนอาจลุกลามกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบขึ้นมาก็ตามทีในแง่หนึ่ง เหตุการณ์ที่ไครเมียครั้งนี้ กับอิทธิพลของรัสเซียในพื้นที่นี้ แทบไม่แตกต่างอะไรกับวิกฤตคล้ายๆ กันที่เกิดขึ้นในบางประเทศในยุโรปตะวันออกก่อนหน้านี้
ทั้งในยุคสงครามเย็น และอีกไม่นานหลังจากนั้น
ในยุคสงครามเย็น สหภาพโซเวียตกระทำการทำนองเดียวกันนี้กับ ฮังการีในปี 1956 และเชโกสโลวาเกีย ในปี 1968 ภายใต้ข้ออ้างว่า รัฐบาลของทั้งสองประเทศ "ร้องขอ" กองกำลังเข้าไปเพื่อปราบปรามการลุกฮือขึ้นก่อจลาจล
แต่เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงอย่างยิ่ง กลับเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย ในเดือนสิงหาคมปี 2008 เมื่อรัสเซียส่งทหารเข้าไปใน เซาธ์ ออสเซเตีย และอับคาห์เซีย ภายใต้ข้ออ้างว่า เพื่อให้ความคุ้มครองชนเชื้อสายรัสเซียในพื้นที่ตอนใต้ของสาธารณรัฐจอร์เจียดังกล่าวนั้น เหตุการณ์ลงเอยด้วยการที่ เซาธ์ ออสเซเตีย และอับคาห์เซีย แยกตัวเป็นอิสระ ภายใต้การรับรองสถานะอย่างรวดเร็วของรัสเซีย แม้ว่าแทบไม่มีชาติอื่นใดให้การรับรองเช่นเดียวกันนั้นก็ตาม
ในทางปฏิบัติแล้วทั้ง เซาธ์ ออสเซเตีย และอับคาห์เซีย ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียโดยสิ้นเชิงมาจนถึงเวลานี้
นั่นอาจเป็น "โมเดล" ที่ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซียต้องการนำมาใช้กับไครเมียในขณะนี้ คือให้มีสถานะเป็นอิสระ แต่พึ่งพาและตอบสนองต่อผลประโยชน์ของรัสเซียอย่างแนบแน่น ในทางสากล ปูติน อาจแย้งได้ว่ารัสเซียไม่ได้ผนวกเอาดินแดนไครเมียมาเป็นของตน แต่ในเวลาเดียวกัน การทำเช่นนี้ก็ทำให้กลุ่มชาตินิยมรัสเซียในไครเมียพึงพอใจ โดยอาจไม่จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินแม่รัสเซียโดยตรง
ที่สำคัญ ด้วยวิธีการเช่นนี้ รัสเซียก็จะยังสามารถคง "กองเรือทะเลดำ" ของตน ที่มีความสำคัญสูงในเชิงยุทธศาสตร์ไว้ที่เซวาสโตโปลต่อไปได้เหมือนเดิม
ถามว่า สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา เห็นพ้องหรือยินดีกับผลลัพธ์เช่นนี้หรือไม่ คำตอบก็คงเป็น ไม่ แต่ถ้าถามต่อไปว่า ทั้งอียูและสหรัฐ เต็มใจและมีศักยภาพเพียงพอต่อการดำเนินการประการหนึ่งประการใดเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ดังกล่าวได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อความขัดแย้งกลายเป็น "สงครามเต็มรูปแบบ" ขึ้นมา คำตอบก็คงยังเป็นการปฏิเสธเช่นเดียวกัน
อาจบางที ปูตินเองก็ตระหนักใน ความไม่มีน้ำยา นี้เช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อวดอานุภาพของตัวเองอย่างเต็มที่เช่นนี้
ลีโอ ตอลสตอย นักประพันธ์เรืองนาม เคยเขียนเอาไว้ในตอนสุดท้ายของงานเขียน 3 เรื่องชุด "เซวาสโตโปล อิน ออกัสต์ 1855" ล้วงลึกลงไปในจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของทหารรัสเซีย หลังพิชิตศึกเอาไว้ว่า
"เมื่อก้าวต่อไปถึงปลายสุดของสะพาน ทหารรัสเซียแทบทุกนายถอดหมวกแก๊ปออก และทำเครื่องหมายกางเขนกับตัวเอง แต่เบื้องหลังสัญชาตญาณที่ว่านี้นั้น ยังคงมีความรู้สึกอีกประการที่กดดันรุนแรงกว่า ลึกล้ำกว่า ดำรงควบคู่อยู่ไปด้วย
"นั่นคือความรู้สึกที่กอปรขึ้นจากความสำนึกเศร้าเสียใจ ความละอาย และความเคียดแค้นชิงชัง" หรือนี่คือชัยชนะที่ วลาดิมีร์ ปูติน ต้องการ?!
อรัมภบท
จากวิกฤติการทางการเมืองในยูเครน ที่เริ่มต้นพร้อมๆกับไทย เวลานี้ขณะที่วิกฤติการเมืองไทยยังหาทางออกไม่เจอ แต่วิกฤติการเมืองยูเครนใกล้จะใด้ข้อยุติแล้ว คืออีกไม่นาน แคว้นไครเมียซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองเขตหนึ่งในประเทศยูเครน ก็จะแยกตัวออกมา แล้วเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเชียแน่นอน
การที่ไครเมียเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียนี้ ใด้รับการคัดค้านและต่อต้านจากชาติตะวันตกอย่างหนัก มีการออกมาตราการคว่ำบาตทางการค้าต่างๆโดยชาติที่เป็นพันธมิตรนาโต้ ที่นำโดยอเมริกา งัดออกมาใช้เล่นงานรัสเซีย และนานาชาติมองว่างานนี้รัสเซียแทรกแซงทางการเมืองต่อยูเครนด้วยการส่งกำลังทหารเข้าไป ในระหว่างที่แคว้นไครเมียจะมีการขอลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากยูแครน แต่รัสเชียก็อ้างว่า ที่ส่งกำลังทหารเข้าไปนี่ ก็เพื่อคุ้มครองพลเมืองไครเมีย(มีเชื่อสายรัสเซียเป็นส่วนใหญ่)จากการถูกทำร้ายของ จทน. รัฐบาลยูเครน ชึ่งถูกอเมริกาชักใยอยู่เบื่องหลังอีกที่
ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้านจากนานาชาติอย่างหนัก แต่ประธานาธิปดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเชียก็ไม่ใด้สนใจและนิ่งเฉยต่อมาตราการคว่ำบาตเหล่านี้ ทั้งยังประกาศรับรองการเป็นรัฐเอกราชของไครเมียอย่างรวดเร็วหลังมีการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจายูแครน และล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญรัสเซีย ยังประกาศรับรองการผนวกดินแดนไครเมียเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแล้วอย่ารวดเร็ว อีกเช่นกัน
ทำไม่ถึงเป็นอย่างนี้ นักวิเคราะห์หลายคนพยายามอธิบายท่าที่ ที่เย็นชา และแข็งกร้าวของ ปูตีน ต่อมาตราการคว่ำบาตของชาติตะวันตก นักวิเคระห์การเมืองของอเมริกาหลายคนมองว่า ปูตีน ทะเยอทะยาน ต้องการที่จะสถาปนา สหภาพโชเวียตที่ 2 ขึ้นมาในชื่อ "สหภาพยูเรเชีย" บางคนวิเคราะห์ไปใกลถึงขนาดว่า ปูตีน รับเอาแนวคิดทำลายความมั่นคงของยุโรปตะวันตกมาจากฮิตเลอร์ เพื่อต้องการที่จะจัดระเบียบโลกใหม่
แต่ก็ยังมีคนที่มองอย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่างนายยูจีน รูเมอร์(อดีต CIA ที่ดูแลเรือง รัสเซีย-สหภาพยูเรเซีย และงานการข่าว)มองว่าถ้าจะเข้าใจ ปูตีน ต้องมองไปที่ประวัติศาตร์ของไครเมียและรัสเชีย ที่ผูกพันกันมายาวนาน และแทนที่จะสร้าง สหภาพยูเรเซีย ขึ้นมาสิ่งที่ปูตีนต้องการน่าจะเป็นการมี รัฐกันชน เพื่อป้องกันการปิดล้อมทางยุทธ์ศาตร์ของชาติพันธมิตรนาโต้มากกว่า
ดังจะเห็นใด้ว่าช่วงหลังจากการล้มสลายของสหภาพโชเวียต อเมริกาและชาติตะวันตกต่างก็เข้ามามีบทบาทต่อประเทศลูก ที่แยกตัวออกมาจากโชเวียต อิทธิพลของอเมริกานั้น มีทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านการทหาร โดยด้านการทหารนั้นอเมริกา มีการส่งกองกำลังเข้ามาประจำการในหลายประเทศอดีตสหภาพโชเวียต ทั้งยังจะมีการสร้างฐานทัพ ฐานยิงจรวดมิสไซส์ ซึ่ง ปธน. ปูตีน มองว่าสิ่งนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซีย และเป็นความพยายามที่จะปิดล้อมรัสเซียทางยุทธศาตร์
ดังนั้นรัสเซียจึงมองว่าเป็นความชอบธรรมแล้วที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปในยึดครองเอาไครเมีย อีกทั้งประชาชนชาวไครเมียซึ่งส่วนใหญมีเชื่อสายรัสเชียก็ต้องการจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอยู่แล้ว(ทำประชามติชนะด้วยคะแนน97%) และที่สำคัญไครเมียเป็นจุดยุทธ์ศาตร์สำคัญทางทหารของรัสเชีย ในอดีตรัสเชียก็เคยทำสงครามอาบเลือด ที่แหลมไครเมียนี้มาแล้วสองครั้ง
ความสำคัญทางยุทธศาตร์ของแหลมไครเมีย
แหลมไครเมีย ( Crimea ) เป็นรัฐที่อยู่ทางตอนเหนือของทะเลดำ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่แปลกตาล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาหินปูน เรียบชายฝั่งเป็นระยะทางยาว มองดูแล้วสวยงามยิ่งนัก สภาพอากาศส่วนใหญ่เป็นภูมิอากาศแบบ เมดิเตอร์เรเนียน เป็นลักษณะภูมิอากาศอบอุ่นในฤดูหนาวและร้อนจัดในฤดูร้อนมีปริมาณฝนปานกลางและตกในฤดูหนาว ด้วยสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยจึงทำให้มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นภายในประเทศ
แหลมนี้มีเมืองท่าสำคัญคือเมือง เซวัสโตปอล ( Sevastopol ) และ ยัลตา(ัyalta) สองเมืองนี้เป็นแหลงท่องเทียวที่มีชื่อเสียงมีรีสอร์ทหรู และเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญมาตั้งแต่อดีตแล้ว โดยเฉพาะเมือง เซวัสโตปอล นั้นชาวรัสเซียถึงกับขนานนามให้ว่า"เมืองแห่งความรุ่งโรจน์แห่งชนรัสเซียน"เพราะประเทศมีประวัติศาตร์ที่พูกพันกันเมืองนี้มาก
ด้วยความที่เป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ ในภายหลังจากการล้มสลายของสหภาพโชเวียตแล้ว รัสเซียก็ยังคงกองเรือทะเลดำเอาใว้ที่เมืองนี้ โดยการขอเช่ายูเครนสร้างฐานทัพเรือ เซวัสโตปอลจึงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กองทัพเรือยูเครนและกองเรือทะเลดำของรัสเซีย ความสำคัญด้านการค้าและการต่อเรือของท่าเรือเซวัสโตปอล จึงเติบโตขึ้นภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้วเป็นอย่างมาก แม้จะประสบความยากลำบากที่มาจากการควบคุมท่าเรือและสะพานเทียบเรือร่วมกันของทหารทั้งสองฝ่าย แต่ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว
เพราะการที่รัสเซียยึดเอาไครเมียมาใด้ ก็เท่ากับยึดครองเส้นทางเดินเรือและน่านฟ้า เหนือทะเลดำเอาใว้ใด้ทั้งหมด ทำให้แผนการปิดล้อมรัสเซียของชาติพันธมิตรนาโต้ต้องล้มสลายลงไปทันที่ อีกทั้งด้วยแสนยานุภาพของกองทัพรัสเซีย อเมริการและชาติพันธ์มิตรนาโต้(North Atlantic Treaty Organzation : NATO) ก็อาจมองว่าการยึดตรองไครเมียนี้ เป็นคุกคามต่อความมั่นคงของนาโต้ก็ใด้ มาดูกันว่าแสนยานุภาพอะไรของรัสเชียที่นาโต้หวั่นเกรง
แสนยานุภาพกองทัพรัสเซีย
-ระบบจรวดมิสไซส์ป้องกันจากพื้นสู่อากาศระยะใกล S-400 Triumf ระบบนี้คล้ายๆ ระบบแพทริออตของอเมริการ แต่มีความแม่นยำสูงกว่ามาก(แพทริออต บางที่ก็ยิงพวกเดียวกันอยู่บ่อยๆ) แน่นอนว่าเพื่อการต่อต้านอากาศยานสมัยใหม่ต้องมีระบบการจับเครื่องบินที่สามารถล่องหนหลบหลีกเรดาห์ได้ ซึ่ง S-400 Triumf ก็สามารถทำได้ ซึ่งสามรถตรวจจับและยิงเป้าหมายในระยถึง400กิโลเมตร รวมทั้งยิงจรวดร่อนในระยะทางได้ถึง3500 กิโลเมตร ระบบมิสไซส์นี้พี่งจะพัฒนาสำเร็จใหม่ๆดังนั้นจึงมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก( รุ่นก่อนหน้ามันเรียกว่า S-300 )ล่าสุดมีคนเห็นมันอยู่ที่เมือง เซวัสโตปอล
ของในรถนี้ว่ากันว่ามันคือเรดาร์ 96L6E ของ S-400
มาดูอนุภาพของมันจากคลิปนี้
-ระบบมิสไซส์โจมตีจากพื้นสู่อากาศระยะกลาง แบบจรยุทธ์ " CLUB-K คอนเทนเนอร์ " มันสามารถที่จะทำลายทั้งเป้าหมายภาคพื้นดินและเรือรบทุกแบบได้ในระยะทางถึง 300 กิโลเมตร ในวงการทหารขนานนามให้มันว่า"มือสังหารเรือบรรทุกเครื่องบิน"
ถ้าหากมันเข้ามาอยู่ในไครเมียจริง มันจะสามารถโจมตีอย่างร้ายแรงต่อเป้าหมายใดๆก็ตามที่อยู่ในระยะ 300 กิโลเมตรภายในไม่กี่นาที คุณสมบัติของระบบขีปนาวุธนี้คือเคลื่อนย้ายและบำรุงรักษาได้ง่าย สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถยิงจากที่ใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นบนกระดานเรือสินค้าหรือจากรถรางหรือบนพื้นดินหรือแม้กระทั่งจากรถบรรทุกธรรมดาซึ่งนอกจากการใช้ง่ายที่แสนสะดวกมันยังเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบที่ทันสมัยมาก สามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ.
คลิปแสดงการทำงานของ Club-k
-ระบบขีปนาวุธต่อต้านเรือรบระยะไกล Bastion-P ภาพถ่ายจากเมืองเซวัสโตปอล
ชุดเต็มมันจะเป็นแบบนี้
ระบบป้องกันชายฝั่ง Bastion-P นี้จะติดตั้งอยู่บนรถบรรทุกทำให้มีความคล่องตัวในการใช้งาน และสามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปยังจุดป้องกันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ระบบป้องกันชายฝั่ง Bastion-P ใช้ขีปนาวุธ P-800 Yakhont (SS-N-26) Supersonic Anti-Ship Cruise Missile มีระยะยิง 300 กิโลเมตร ติดหัวรบน้ำหนัก 200 กิโลกรัม ความเร็วประมาณ 2.5 มัค และที่สำคัญมีความสามารถในการลอยตัวเหนือผิวน้ำในระยะต่ำเพียง 2-3 เมตร จึงยากต่อการตรวจจับด้วยเรดาห์ และทำลายมัน
รัศมีทำการของBastion-P เมื่อประจำการในไครเมีย
ระบบจรวดต่อต้านอากาศยานภาคพื่นดินระยะใกล้ Pantsir-S1 หรือ SA-22 Greyhound.
ภาพนี้ก็ถ่ายใด้ที่เมืองเซวัลโตปอล
ดูชัดๆมันจะเป็นแบบนี้
และที่ขาดไม่ใด้เลยคือทหารรัสเซีย ซึ่งในวันที่จะมีการลงประชามติแยกตัวของไครเมีย รัสเซียก็ใด้ส่งทหารเข้าไปประจำการในไครเมียอยู่ก่อนแล้ว โดยอ้างว่าเป็นกองกำลังป้องกันตัวเองของรัฐบาลไครเมีย(ซึ่งแต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเอง)ดังรูป
รูปด้านบนคือทหารรัสเซียในเครืองแบบการรบสมัยใหม่ ด้านล่างคือกองกำลัง(แอบอ้าง)ของไครเมีย
นี้คือหน่วยรบพิเศษ New Spetsnaz uniforms.ของรัสเซีย
สองภาพนี้แสดงการรบของทหารรัสเซียยุคใหม่ที่ใช้วิทยุสือสารแบบเข้าระหัสซับช้อนR-168E "Aqueduct"
ภาพนี้อธิบายการทำงานของมัน
ยังมีเรือรบ รถถัง รถยานเกราะ เครื่องบิน ฯลฯ..อีกมากที่ไม่ใด้เอามาโพสลง แต่ขอย้ำว่าอาวุธต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นของใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาใช้ยังไม่ถึงสิบปีเลย บางอย่างพึ่งจะสร้างเสร็จรัสเซียก็ส่งเข้าประจำการ ที่แหลมไครเมียเลย นั้นแสดงให้เห็นถึงความ "เอาจริง"ของรัสเชียที่ต้องการผนวกดินแดนไครเมียมาเป็นของตนให้ใด้
แต่มองอีกด้านนี้ก็เป็นความอ่อนแอของยุโรป ที่กองทัพนาโต้ไม่สามารถยับยั้งการรุกรานไครเมียในครั้งนี้ใด้ แสดงว่าดุลภาพทางการทหารของดินแดนละแวกทะเลดำนี้ใด้เปลียนไปแล้ว.......
วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม2557 เป็นวันแรม 8 ค่ำ เดือน 4
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ว.วชิรเมธี น.ธ.เอก, ป.ธ. 9, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
6 ของกินใกล้ตัว แก้หิวชะงัด ลดพุงชัดเจน
“ปัจจัยที่ทำให้ผู้คนยุคนี้พุงปลิ้น ก็คือ กินแป้ง นอนดึก นั่งนาน”
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
บอกกับเรา พร้อมแนะนำของกินกรุบกริบที่กินแล้วไม่อ้วน
แถมหาง่าย ใกล้ตัว และราคาก็ไม่แพงเลย
เรียกว่า อยู่ท้อง ไร้พุง สบายกระเป๋า
1) เม็ดแมงลัก
“อาหารลดพุงแสนคลาสสิก แต่ประโยชน์ล้น
เพราะมีพระเอกสำคัญคือ วิตามินเอที่สูงปรี๊ดกับ
เส้นใยละลายน้ำ (Soluble fiber) ที่ดูเป็นวุ้นใส
เมื่อแช่น้ำนั่นละครับ ช่วยพองในท้องให้อิ่มแต่ไม่อ้วน”
คุณหมอกฤษดาให้เทคนิคกินง่ายคือ แช่น้ำให้พองเต็มที่ก่อน
อย่าใจร้อน แล้วค่อยปรุงรับประทาน
2) ถั่วลิสง
ของกินช่วยลดหิวได้ ใช้แทนของว่างที่แสนอ้วนอย่างมันฝรั่งทอด
“การรับประทานถั่วลิสงคั่วแบบไม่ปรุงรสจะให้ความรู้สึกอิ่มท้อง
จาก ใยอาหารถั่ว ที่มีอยู่อย่างอุดม แม้ถั่วจะมีพลังงานสูง
แต่ด้วยใยอาหารของมันกับโปรตีนนี่เองครับที่ช่วยให้รู้สึกไม่หิวจนเกินไป”
3) แอปเปิ้ลเขียว
เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย เพคติน ช่วยให้อิ่ม หยิบทานง่าย และเก็บไว้ได้นาน
“เก็บไว้ทานในตู้เย็นที่ออฟฟิศก็ได้ ใช้เป็นมาตรวัดความหิวแบบง่ายๆ คือ
ถ้านึกหิวขึ้นมาให้ถามตัวเองว่าหิวขนาดกินแอปเปิ้ลได้สักลูกไหม
ถ้าใช่ก็อย่ารีรอเลยครับ---รีบหยิบมากัดกระแทกท้องทันที”
4) มะนาว
“หามะนาวติดบ้านหรือออฟฟิศไว้ ไม่มีเวลาจริงๆ ก็บีบเข้าปากเลยก็ยังได้
น้ำมะนาวที่ขมนิดๆ จะช่วยให้รู้สึกหายหิวได้นานนับชั่วโมงหลังจากกิน
เพราะสารพิเศษจากเปลือก” คุณหมอกฤษดา กล่าวแนะต่อว่า
“บางครั้งลองหาโอกาสกิน ‘เมี่ยงคำใส่ชิ้นมะนาว’ แทน ‘เลม่อนพาย’ ดูก็ดีนะครับ”
5) ทูน่า
ติดทูน่ากระป๋องไว้ในทุกที่ จะใส่ในกระเป๋าถือหรือเป้ทำงานก็ได้ เก็บง่าย อยู่ได้ทนดี
เพราะคุณหมอกฤษดาบอกว่า ทูน่าช่วยให้อิ่มจากโปรตีนเน้นๆ
“เปี่ยมไปด้วยคุณค่าจากไขมันต้านชราอย่าง โอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในปลากระป๋องเช่นกัน”
6) ไข่ต้ม
“อาหารลดอ้วนที่ได้ผลชะงัด” คุณหมอกฤษดา ฟันเฟิร์ม
“การรับประทานไข่มีส่วนช่วยลดไขมันได้จากงานวิจัยใหม่ๆ
ส่วนไข่ขาวก็เป็นโปรตีนล้วน ที่ช่วยให้ไม่โทรมเวลาลดน้ำหนัก
เพราะมันสร้างกล้ามเนื้อที่เผาผลาญไขมันโดยธรรมชาติ”
ขอบคุณ : นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
6 ของกินใกล้ตัว แก้หิวชะงัด ลดพุงชัดเจน
สมพรปาก.....
Phattita CherAiem Page II
***ผลเจรจา "กองสลาก"หวั่น "สมเด็ดมหาเดโชพุทไถอิสระ" พักแรม ยอมโอนเงินให้มูลนิธิวัดอ้อน้อย เท่านั้น นะคร๊ะ***
16.00 ผลการเจรจารอบสอง กองสลากฯ ยอมรับซื้อข้าวชาวนาที่มาเทไว้หน้ากองสลาก ในราคาเกวียนละ 12,000 บาท แต่จะโอนเงินเข้ามูลนิธิวัดอ้อ น้อยเพราะกองสลากฯ ไม่สามารถรับซื้อได้ พุทธอิสระ จึงให้ชาวนาที่มีข้าว นำข้าวมาให้พุทธอิสระ และจะนำมาขายให้กองสลากฯ ในนามมูลนิธิวัดอ้อน้อย เพื่อรับเงินจากกองสลากฯ ต่อไป
ระหว่างนี้รอทนายความวัดอ้อน้อยทำสัญญากับกองสลากฯ เพื่อเป็นการยืนยันการรับซื้อข้าวจากชาวนา
15.50 รอง ผอ.กองสลาก ให้ จนท. มานิมนต์ พุทธอิสระ เข้าไปเจรจาด้านใน
ผลการเจรจากองสลากฯ ยอมรับซื้อข้าวโดยให้นำข้าวผ่านมูลนิธิวัดอ้อน้อย ธรรมอิสระ เป็นจำนวนเงิน 1,344,000 บาท เป็นข้าวเปลือก 111.2 ตัน และจะสั่งจ่ายเข้ามูลนิธิวัดอ้อน้อยในวันพุธหน้า
จากนั้นพุทธอิสระ จะจำเป็นผู้แนกส่วนรายได้ให้ชาวนาแต่ละราย
มวลชนพอใจและทยอยตั้งขบวนเดินทางกลับ
"พุทธอิสระ" ขู่ ปักหลัก ค้างคืน หาก กองสลาก ไม่รับซื้อข้าว
!!!!!
-
มติตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6:3 เสียง วินิจฉัยเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 เป็นโมฆะ
จากกรณีที่ 28 เขตไม่มีผู้สมัคร ทำเลือกตั้งไม่ใช่วันเดียวทั่วประเทศ ขัดรัฐธรรมนูญ 108 วรรคสอง
ให้คณะกรรรมการการเลือกตั้งและรัฐบาล ไปหารือกำหนดวันเลือกตั้งใหม่
สำหรับรายชื่อตุลาการเสียงข้างน้อย 3 เสียง คือ "ชัช ชลวร" ,"อุดมศักดิ์ นิติมนตรี" และ "เฉลิมพล เอกอุรุ"
************************************
เปิดคำวินิจฉัย เลือกตั้ง 2 ก.พ. ขัดรัฐธรรมนูญ
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาอรรถคดีและมีผลการพิจารณาในคดีที่สำคัญดังนี้
1.เรื่องผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ร้อง) เสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 245 (1) ว่า การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือไม่
คำร้องนี้ผู้ร้องได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เห็นว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ
(1) การเลือกตั้งเป็นการทั่วไปตาม พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 มิได้กระทำขึ้นเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร จากกรณีที่มีการกำหนดให้เลือกตั้งใหม่ภายหลังวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 สำหรับการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่มีปัญหาจำนวน 28 เขต ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 โดยชัดแจ้ง
(2) คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการรับสมัครรับเลือกตั้งทั่วไป โดยมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 ประกอบมาตรา 30 จากกรณีที่กำหนดให้พรรคการเมืองที่ประสงค์จะยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่รับสมัครได้ ให้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานไว้ที่กองบังคับการปราบปรามหรือสถานีตำรวจนครบาลดินแดง ในเวลาก่อน 08.30 น. นาฬิกา เพื่อให้ได้สิทธิในการจับสลากหมายเลขผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้นๆ รวมถึงในการรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในหลายจังหวัดมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงสถานที่รับสมัครรับเลือกตั้งโดยไม่มีการประกาศให้รับทราบล่วงหน้าโดยเปิดเผย เป็นเหตุให้ผู้ประสงค์จะรับสมัครรับเลือกตั้งไม่ทราบและไม่สามารถเดินทางไปสมัครรับเลือกตั้งในสถานที่ที่สมัครรับเลือกตั้งใหม่ได้ ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า การดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีลักษณะเป็นการเลือกตั้งปฏิบัติ ขัดต่อหลักความเสมอภาค ไม่เป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 และมาตรา 30 ทำให้กระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
(3) คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งขัดต่อหลักการลงคะแนนลับ และทำให้การเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นในภายหลังเป็นอันไร้ผล เพราะบัตรเลือกตั้งที่ได้รับจากการเลือกตั้งเป็นบัตรเสีย ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า การกระทำของคณะกรรมการการเลือกตั้งเนการดำเนินการที่ขัดต่อหลักการลงคะแนนลับและถือเป็นเรื่องร้ายแรง และกระต่อสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก จึงมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 (1) มาตรา 93 และมาตรา 30
(4) คณะกรรมการการเลือกตั้งปล่อยปละละเลยให้มีการใช้อำนาจรัฐที่ก่อให้เกิดความไม่เที่ยงธรรมจากกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง โดยใช้อำนาจตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งมีผู้ร้องเห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งละเลยต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ปล่อยปละละเลยให้มีการใช้อำนาจรัฐในการออกประกาศและมีคำสั่งต่างๆ ที่ทำให้การจัดการเลือกตั้งไม่สามารถดำเนินไปได้โดยสุจริตและเที่ยงธรรม
ผู้ร้องจึงเสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 245 (1) ว่า การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งครั้งนี้ และให้มีการดำเนินการจัดการให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปขึ้นใหม่ให้เป็นไปตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อไป
ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วมีเหตุแห่งคำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยก่อนว่าการจัดการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 เป็นการเลือกตั้งที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) สรุปได้ว่า การที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้น เมื่อได้ดำเนินการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ไปแล้วปรากฏว่ายังไม่มีการจัดการเลือกตั้งสำหรับ 28 เขตเลือกตั้ง ซึ่งยังไม่เคยมีการรับสมัครรับเลือกตั้งมาก่อนเลย จึงถือได้ว่าในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 มิได้มีการเลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ส่วนการที่จะดำเนินการจัดการเลือกตั้งสำหรับ 28 เขตเลือกตั้ง หลังวันที่ 2 กมุภาพันธ์ พ.ศ. 2557 นั้น ก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะจะมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรเช่นเดียวกัน เป็นผลให้พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง
2. เรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 214 เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะรัฐมนตรีในการดำเนินการรับสมัครเลือกตั้งใหม่ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เรื่องพิจารณาที่ 26/2557)
คำร้องนี้ผู้ร้องอ้างว่า ตามที่พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ.2556 กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดช่วงเวลาในการรับสมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขต แต่ปรากฎว่า ในระยะเวลาที่กำหนด มีผู้ชุมนุมปิดล้อมสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง เป็นผลให้ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือไม่สามารถจัดให้มีการสมัครรับเลือกตั้งได้ ในจำนวน 28 เขต โดย กกต. เห็นว่าไม่มีบทบัญญัติมาตราใด ให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการประกาศและกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งใหม่ หรือกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งเพิ่มเติม จึงมีมติให้นายกฯ นำความกราบบังคมทูล เพื่อให้มีการตราพระราชกฤษฎีกา โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ประกอบมาตรา 93 ต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งให้ประธาน กกต. ทราบว่าได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว ซึ่งมีความเห็นต่างกันกับกกต. ว่าการดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกา ให้มีการเลือกตั้งใน 28 ตั้งนั้น
รัฐบาลไม่มีอำนาจในการกำหนดวันรัฐสมัครเลือกตั้งเพิ่มเติม กำหนดวันลงคะแนนใหม่ รวมทั้งประกาศงดเว้นการจัดให้มีการเลือกตั้ง นอกเขตเลือกตั้งและนอกราชอาณาจักร ไม่สามารถทำได้ แต่เป็นอำนาจของ กกต. ที่สามารถกระทำได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. 2550 ต่อมา กกต. ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาและยืนยันความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือถึงเลขาธิการกกต. แจ้งให้ทราบว่าคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติรับทราบคำชี้แจงดังกล่าวแล้ว ดังนั้น กกต.เห็น กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ระหว่างกกต. และคณะรัฐมนตรี อันเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมิใช่ศาลตั้งแต่ 2องค์กรขึ้นไป
ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า พ.ร.ฎ.ยุบสภา 2556 เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 2 ก.พ.2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง ดังนั้น เหตุในการที่กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้หมดไปแล้ว จึงไม่เป็นประโยชน์ต่อคดี ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาวินิจฉัยประเด็นตามคำร้องนี้ต่อไป ตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ข้อ 23 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้อง
นางฟ้าซาตาน มะนาวหวาน ชินวัตร
แชร์หนักๆ...ตลก.ตาบอด..
เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สุดอัปยศ อ้างเหตุผลล้มการเลือกตั้งว่า มี 28 เขต ยังไม่เคยมีการรับสมัครรับเลือกตั้งมาก่อน
ไม่ทราบศาล ไปตาบอด อยู่ที่ไหน จึงไม่เห็นม็อบไปขัดขวางการรับสมัครการเลือกตั้ง จนมีตำรวจโดนทำร้ายถึงแก่ชีวิต
"อภิสิทธิ์" รับทุกรัฐบาลมีทุจริต แต่ยกสปิริตคนประชาธิปัตย์แก้ปัญหาได้
ชีวกโกมารภัจจ์
สำหรับพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์เป็นตำรายาฉบับหลวงที่เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนในหนังสือเวชศาสตร์ฉบับหลวง ที่ชำระเป็นตำรายาหลวงใน พ.ศ. 2413 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ได้รวบรวมพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์รวมอยู่ร่วมกับพระคัมภีร์ยาหลวงเล่มอื่นๆ ด้วย
ในด้านรายละเอียดคัมภีร์ธาตุวิภังค์ ได้อธิบายรายละเอียดของลักษณะธาตุที่ 4 ซึ่งสอดคล้องกับตำราเล่มอื่นๆ ดังนี้
ธาตุดิน คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่มีลักษณะเป็นของแข็ง มีความคงรูป 20 ชนิด คือ เล็บ ฟัน หนัง ผม ขน เนื้อ เส้นเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า และเยื่อในสมอง
ธาตุน้ำ คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่มีลักษณะไหลไปไหลมา ซึมซับทั่วร่างกายมี 12 ชนิด คือ น้ำดี เสลด น้ำหนอง เลือด เหงื่อ มันเหลว มันข้น น้ำตา น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ และน้ำมูตร
ธาตุลม คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่มีลักษณะเคลื่อนไหวได้ มีคุณสมบัติคือความเบา เป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหว ธาตุลมมี 6 ชนิด คือ ลมพัดจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน ลมพัดจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง ลมที่พัดในกระเพาะลำไส้ ลมที่พัดทั่วร่างกาย และลมหายใจเข้าออก
ธาตุไฟ คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่มีลักษณะเป็นความร้อน ธาตุไฟมี 4 ชนิด คือ ไฟทำให้ร่างกายอบอุ่น ไฟทำให้ร่างกายระส่ำระสาย ไฟทำให้ร่างกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรม และไฟย่อยอาหาร
ในด้านหมอยาไทย ซึ่งอิงความเชื่อในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงชีวิตไว้ว่า ธาตุทั้ง 4 มาอยู่รวมกันอย่างถูกส่วน ทำให้เกิดมนุษย์ สัตว์ และพืชขึ้น แม้ธาตุทั้ง 4 จะเที่ยงแท้และดำรงอยู่ชั่วนิรันดร แต่การประชุมกันของธาตุทั้ง 4 ทำให้เกิดการเจ็บป่วย การแยกตัวจากกันของธาตุทั้ง 4 ทำให้ชีวิตถึงแก่ความตาย
สาเหตุของการเจ็บป่วยในทฤษฎีการแพทย์แผนไทยนั้นมี 6 ประการ คือ มูลเหตุเกิดจากธาตุทั้ง 4 จากอิทธิพลของฤดูกาล เกิดจากธาตุที่เปลี่ยนไปตามวัย จากดินที่อยู่อาศัยและจากอิทธิพลของกาลเวลาและสุริยจักรวาล ประการสุดท้ายเกิดจากพฤติกรรมส่วนตัว
ในพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์นั้นได้กล่าวว่า ความไม่สมดุลของธาตุทั้ง 4 เป็นสาเหตุที่สำคัญทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ โดยเชื่อว่า ธาตุทั้ง 4 จะต้องอยู่ในภาวะไม่สมดุลกับร่างกาย
คือดินต้องอาศัยน้ำ ทำให้ชุ่มและเต่งตึง อาศัยลมพยุงให้คงรูปและเคลื่อนไหว อาศัยไฟทำให้พลังงานอุ่นไว้ไม่ให้เน่า น้ำต้องอาศัยดินเป็นที่เกาะกุม ซับไว้มิให้ไหลเหือดแห้งไปจากที่ควรอยู่ อาศัยลมนำน้ำไหลซึมซับทั่วร่างกาย ลมต้องอาศัยน้ำและดินเป็นที่อาศัย นำพาพลังไปในที่ต่างๆ ดินปะทะลมสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนที่แต่พอเหมาะ ไฟทำให้ลมเคลื่อนที่ไปได้ ในขณะที่ลมสามารถทำให้ไฟลุกโชน เผาผลาญมากขึ้นได้
ขบวนการพลวัตของร่างกายนั้น เห็นได้ว่าธาตุทั้ง 4 ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมไม่ได้ ซึ่งหากธาตุใดธาตุหนึ่งแปรปรวนไม่ปกติทำให้เกิดการเสียความสมดุล ร่างกายจะเกิดอาการป่วยไข้ขึ้นมาทันที
ฤดูกาลก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์กล่าวว่าเป็นสาเหตุจากธาตุเกิดผลกระทบ ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย เพราะรอยต่อระหว่างฤดูกาล เช่น ฤดูหนาวต่อฤดูร้อน ความเย็นในร่างกายจะเจือผ่านออกไป และความร้อนเริ่มเจือผ่านเข้ามา ฤดูร้อนต่อฤดูฝน ความร้อนในร่างกายจะเจือผ่านออกไป มีผลต่อธาตุลมแทรกเข้ามากระทบความร้อนด้วย เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ละอองฝนปลายฤดูฝนและธาตุลมเปลี่ยนข้าสู่ความเย็น เกิดขณะที่ความหนาวเย็นต้นฤดูหนาวจะเริ่มเจือเข้ามารับลมปลายฤดูฝน สภาวะดังกล่าว หากร่างกายปรับตัวไม่ได้ ธาตุก็เกิดเสียความสมดุล ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น และอาจนำไปสู่ความตายได้ ถ้าธาตุทั้ง 4 เกิดการแยกจากกัน
ส่วนในประเด็นอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุแห่งการเกิดโรค คืออายุที่เปลี่ยนไปตามวัย ซึ่งหมอยาไทยได้แบ่งวัยมนุษย์ออกเป็น 3 วัย คือ ปฐมวัย อายุตั้งแต่ 0-6 ปี เชื่อว่าโรคเกิดจากธาตุน้ำ ปัจฉิมวัย อายุตั้งแต่ 6-32 ปี เชื่อว่าโรคเกิดจากธาตุไฟ และปัจฉิมวัย คือมีอายุมากกว่า 32 ปีขึ้นไป เชื่อว่าเกิดโรคในธาตุลม
สถานที่อยู่อาศัยก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดการเจ็บป่วย เพราะขาดที่อยู่อาศัยหรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งหมอยาไทยเรียกว่าประเทศสมมติฐาน เช่น ประเทศร้อน สถานที่ที่เป็นภูเขา และที่ราบสูง มักเจ็บป่วยด้วยธาตุไฟ ประเทศเย็นมีฝนตก โคลนตม พื้นแผ่นดินชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา มักเจ็บป่วยด้วยธาตุลม ประเทศอุ่น สถานที่ที่เป็นน้ำ มีกรวดทรายประกอบ มักเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ สำหรับประเทศหนาว สถานที่ที่เป็นน้ำเค็ม มีโคลนตมชื้นแฉะ ได้แก่ชายทะเล มักเจ็บป่วยด้วยธาตุดิน
อิทธิพลของกาลเวลา นับเป็นสาเหตุหนึ่งในสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงในระยะรอบหนึ่งวัน การเกิดจันทรุปราคา หรือสุริยุปราคา เพราะกาลเวลาดังกล่าวอาจเกิดน้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงของเวลา อิทธิพลของดวงดาว ย่อมมีผลต่อชีวิตได้เช่นกัน
ส่วนพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน เช่น การกินมากกินน้อย การกินอาหารไม่ถูกกับธาตุ การอดข้าวอดน้ำ อดนอน การกลั้นอุจจาระ-ปัสสาวะ การเศร้าโศกเสียใจ มีโทษะ หรือการมีกิจกรรมทางเพศมากเกินไป
โดยที่พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์ให้ความสำคัญของธาตุทั้ง 4 เนื้อในตำราได้พยายามอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องการขาดความสมดุลของธาตุอย่างละเอียด และพิสดารมาก รวมถึงการสำแดงอาการออกมาให้เห็นทั้งภายในและภายนอก ซึ่งผู้เป็นหมอยาสามารถวินิจฉัยโรคได้ และสามารถนำมาเจียดยา ดังปรากฏในพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์เพื่อนำมารักษาโรคอันเกิดแก่การเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้ง 4 ซึ่งไปสู่เป้าหมาย คือยาที่สามารถปรับธาตุทั้ง 4 ให้เกิดความสมดุลและร่างกายเป็นปกติเช่นเดิม
คัมภีร์ธาตุวิภังค์
กล่าวถึง สาเหตุการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นกับแต่ละบุคคล และอาการที่เกิดขึ้น เมื่อธาตุที่ 4 พิการ ได้แก่ ธาตูทั้ง 4 ขาดเหลือ ธาตุทั้ง4 พิการตามฤดู และยารักษา และธาตุทั้ง 4 พิการ และยารักษา มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
สาเหตุการเสียชีวิตของบุคคล
1. บุคคลตายด้วย ปัจจุบันกรรมและปัจจุบันโรค คือ โอปักกะมิกาพาธ ถูกทุบถองโบยตีบอบช้ำ หรือต้องราช อาญาของพระมหากษัตริย์ ให้ประหารชีวิต การตายโดยปัจจุบันนี้ มิได้ตายเป็นปกติ โดยลำดับ ขันธ์ชวร และธาตุทั้ง 4 มิได้ ล่วงไปโดยลำดับ อย่างนี้เรียกว่า ” ตายโดยปัจจุบันกรรม”
ส่วนปัจจุบันโรค คือเกิดโรคตายโดยปัจจุบันทันด่วน เช่น อหิวาตกโรค หรือโรคอันเป็นพิษ ซึ่งกำเริบขึ้นโดยเร็ว แล้วตาย ไป ธาตุทั้ง 4 มิได้ขาดไป ตามลำดับอย่างนี้ เรียกว่า ตายด้วยปัจจุบันโรค
2. บุคคลตายด้วย โบราณกรรม และโบราณโรค คุลคลตายโดยโบราณกรรม คือ ตายโดยกำหนดสิ้นอายุ เป็นปริโยสาน คือายุย่างเข้าสู่ความชรา ธาตุทั้ง 4 ขาดไปตามลำดับ เปรียบเหมือนผลไม้ เมื่อแก่สุกงอมเต็มที่แล้ว ก็หล่นลงเอง คนเราเมื่ออายุมากแล้ว ธาตุทั้ง 4 ก็ทรุดโทรม ไปตามลำดับ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ตาย อย่างนี้เรียกว่า ตายโดยโบราณกรรม
ส่วนการตายด้วยโบราณโรคนั้น คือ เป็นโรคคร่ำคร่า เรื้อรังมานาน หลายเดือนหลายปี เรียกว่า โบราณโรค เวลาจะตาย ธาตุทั้ง 4 ขาดไปตามลำดับ แล้วตายไป อย่างนี้เรียกว่า ตายด้วยโบราณโรค
ว่าด้วยธาตุทั้ง 4 ขาดเหลือ
บุคคลใดตายโดยสิ้นกำหนดอายุเป็นปริโยสานนั้น ธาตุทั้ง 4 ย่อมขาดสูญไปตามลำดับ แต่เมื่อจะสิ้นอายุ แต่ละธาตุ ขาดเหลือ ดังนี้
- ปถวีธาตุ 20 ขาดไป 19 หทยัง( หัวใจ) ยังอยู่
- อาโปธาตุ 12 ขาดไป 11 ปิตตัง ( น้ำดี) ยังอยู่
- วาโยธาตุ 6 ขาดไป 5 อัสสาสะปัสสาสะวาตา (ลมหายใจเข้าออก) ยังอยู่
- เตโชธาตุ 4 ขาดไป 3 สันตัปปัคคี ( ไฟอุ่นกาย) ยังอยู่
-
ถ้าธาตุ ทั้งหลาย สูญสิ้นพร้อมกันดังกล่าวนี้ ท่านว่า เยียวยาไม่หาย หากขาดหรือหย่อนไปแต่ละสิ่ง สองสิ่ง ยังพอ พยาบาลได้
ว่าด้วยธาตุทั้ง 4 พิการตามฤดู
ตามปกติ ปี 1 มี 3 ฤดูๆ ละ 4 เดือน แต่ในคัมภีร์ธาตุวิภังคื จัดฤดูไว้ 4 ฤดูๆละ 3 เดือน คือ
1. เดือน 5,6 และ 7 ทั้ง 3 เดือนนี้ว่าด้วยเตโชธาตุ ชื่อสันตัปปัคคีพิการ อาการให้เย็นในอก วิงเวียน รับประทานอาหารไม่ได้ บริโภคอาหารอิ่มมัก ให้จุกเสียด ขัดในอก อาหารมักพลันแหลก มิได้อยู่ท้อง ให้อยากบ่อยๆ จึงเป็น เหตุให้เกิดลม 6 จำพวก คือ
1.1 ลมชื่อ อุทรันตะวาตะ พัดแต่สะดือถึงลำคอ
1.2 ลมชื่อ อุระปักขะรันตะวาตะ พัดให้ขัดแต่อก ถึงลำคอ
1.3 ลมชื่อ อัสสาสะวาตะ พัดให้นาสิกตึง
1.4 ลมชื่อ ปัสสาสะวาตะ พัดให้หายใจขัดอก
1.5 ลมชื่อ อนุวาตะ พัดให้หายใจขัด ให้ลมจับแน่นิ่งไป
1.6 ลมชื่อ มหสกะวาตะ คือลมมหาสดมภ์ ให้หาวนอนมาก และหวั่นไหวหัวใจ ให้นอนแน่นิ่งไป มิรู้สึกกาย
2. เดือน 8,9 และ 10 ทั้ง3 เดือนนี้ว่าด้วย วาโยธาตุ ชื่อ ชิรณัคคีพิการ อาการให้ผอมเหลือง ให้เมื่อยขบทุกข้อ ทุกลำตัว ทั่วสรรพางค์กาย ให้แดกขึ้นแดกลง ให้ลั่นโครกๆ ให้หาวเรอ วิงเวียนหน้าตา หูหนัก มักให้ร้อนในอก ในใจ ให้ ระทดระทวย ให้หายใจสั้น ให้เหม็นปาก และหวานปาก มักให้โลหิตออกทางจมูก ทางปาก กินอาหารไม่รู้รส
3. เดือน 11,12 และ 1 ทั้ง 3 เดือนนี้ อาหารที่กินมักผิดสำแดง อาโปธาตุพิการ คือ
3.1 ดีพิการ มักให้ขึ้งโกรธ สะดุงตกใจ หวาดกลัว
3.2 เสมหะพิการ ให้กินอาหารไม่รู้รส
3.3 หนองพิการ มักให้ไอเป็นโลหิต
3.4 โลหิตพิการ มักให้เพ้อพก ให้ร้อน
3.5 เหงื่อพิการ มักให้ซูบผอม ให้ผิวหนังสากชา
3.6 มันข้นพิการ มักให้ปวดศีรษะ ให้ปวดตา ให้ขาสั่น
3.7 น้ำตาพิการ มักให้ตามัว น้ำตาตก ตาแห้ง ดวงตาเป็นดังเยื่อลำใย
3.8 มันเหลวพิการ ให้แล่นออกทั่วกาย ให้นัยน์ตาเหลือง มูตรและคูถเหลือง บางทีให้ลงและอาเจียน กลาย เป็นป่วงลม
3.9 น้ำลายพิการ ให้ปากเปื่อยคอเปื่อย บางทีให้เป็นยอดเป็นเม็ดขึ้นในคอ บางทีเป็นไข้ ให้ปากแห้ง คอแห้ง
3.10 น้ำมูกพิการ ให้ปวดศีรษะ เป็นหวัด ให้ปวดสมอง น้ำมูกตก นัยน์ตามัว วิงเวียนศีรษะ
3.11 ไขข้อพิการ ให้เมื่อยทุกข้อ ทุกกระดูก ให้ขัดให้ตึงทุกข้อ
3.12 มูตรพิการ ใหปัสสาวะแดง และขัดปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นโลหิต เจ็บปวดเป็นกำลัง
4. เดือน 2,3 และ 4 ทั้ง 3 เดือนนี้ นอนผิดเวลา ปถวีธาตุพิการ อาการแต่ละอย่าง มีดังนี้
4.1 ผมพิการ ให้เจ็บรากผม ให้คันศีรษะ ผมหงอก ผมเป็นรังแค เจ็บหนังศีรษะ
4.2 ขนพิการ ให้เจ็บทั่วสรรพางค์กาย ทุกเส้นขน ให้ขนลุกขนพองทั้งตัว
4.3 เล็บพิการ ให้เจ็บต้นเล็บ เล็บเขียวช้ำดำ เจ็บเสียวหลายนิ้วมือ นิ้วเท้า
4.4 ฟันพิการ ให้เจ็บไรฟัน ให้ฟันหลุด ฟันโยกคลอน
4.5 หนังพิการ ให้ร้อนผิวหนังทั่วกาย บางทีให้เป็นผื่นขึ้นทั้งตัว ดุจหัวผด ให้ปวดแสบ ปวดร้อน
4.6 เนื้อพิการ ให้นอนสะดุ้ง ไม่สมปฤดี มักให้ฟกบวม บางทีผุดขึ้นเป้นสีเขียว สีแดง ทั่วทั้งตัว บางทีเป็น ลมพิษ สมมุติเรียกว่า ประดง*
4.7 เอ็นพิการ ให้จับสะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้ปวดศีรษะมาก เรียกว่า อัมพฤกษ์กำเริบ
4.8 กระดูกพิการ ให้เมื่อยในข้อในกระดูก
4.9 เยื่อในกระดูกพิการ ให้ปวดตามแท่งกระดูกเป็นกำลัง
4.10 ม้ามพิการ ให้ม้ามหย่อน มักเป้นป้าง
4.11 หัวใจพิการ ให้คลั่งไคล้ดุจเป็นบ้า ถ้ามิดังนั้น ให้หิวโหย หาแรงมิได้ ให้ทุรนทุรายยิ่งนัก
4.12 ตับพิการ ให้ตับโต ตับทรุดเป็นฝีในตับ กาฬขึ้นในตับ
4.13 พังผืดพิการ ให้เจ็บให้จุกเสียด ให้อาเจียน ให้แดกขึ้นแดกลง
4.14 ไตพิการ ให้ปวดท้อง แดกขึ้นแดกลง ปวดขัดเป็นกำลัง
4.15 ปอดพิการ ให้เจ็บปอด ให้ปอดเป็นพิษ ให้กระหายน้ำมาก กินน้ำจนปอดลอย จึงหายอยาก
4.16 ลำไส้น้อยพิการ ให้สะอึก ให้หาว ให้เรอ
4.17 ลำไส้ใหญ่พิการ ให้ผะอืดผะอม ให้ท้องขึ้นท้องพอง มักเป็นท้องมาน ลมกระษัย บางทีให้ลงท้องตก มูก ตกเลือดเป็นไปต่างๆ
4.18 อาหารใหม่พิการ ให้ลงแดง ให้ราก มักเป็นป่วง 8 จำพวก
4.19 อาการเก่าพิการ ให้กินอาหารไม่มีรส เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารผิดสำแดง
4.20 มันสมองศีรษะพิการ ปกติสมองศีรษะพร่องจากกระบาลศีรษะ ประมาณเส้นตอกใหญ่ๆ ถ้าเจ็บปวดพิการ มันในสมองก็เดือดขึ้นเต็มกระบาลศีรษะ ให้ปวดเป็นกำลัง นัยน์ตาแดงคลั่ง เรียกว่า สันนิบาต ให้สุมยา รสสุขุม มันสมอง จึงจะยุบ และหายปวด
ยาแก้ เตโชธาตุ ชื่อ กาลาธิจร
ประกอบด้วย โกฏสอ โกฏพุงปลา ดีปลี หัวแห้วหมู เปลือกโมกมัน ผลผักชี อบเชย สะค้าน ขิง ผลเอ็น อำพัน ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดเป็นผง ละลายน้ำร้อน หรือน้ำผึ้งก็ได้ กินแก้เตโชธาตุพิการ
ยาแก้วาโยธาตุ ชื่อฤทธิจร
ประกอบด้วย ดีปลี แผกหอม เปราะหอม พริกไทย หัวแห้วหมู ว่านน้ำ ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน รากกระเทียมเท่ายาทั้งหลาย
บดเป็นผงละลายน้ำร้อนหรือน้ำผึ้งก็ได้ กินแก้ วาโยธาตุพิการ
ยาแก้อาโปธาตุพิการ
ประกอบด้วย รากเจตมูลเพลิง โกฏสอ ลูกผักชี ขิงแห้ง ดีปลี ลูกมะตูมอ่อน สะค้าน หัวแห้วหมู ลูกพิลังกาสา รากคัดเค้า เปลือกโมกมัน สมุลแว้ง กกลังกา ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี เกสรบัวหลวง ราดขัดมอน เอาส่วนเท่ากัน ต้ม 3 เอา
กินแก้แาโปธาตุพิการ หายแล
ยาแก้ปถวีธาตุพิการ( สมอง กระดูก ม้าม)
ประกอบด้วย กระเทียม 1 ใบสะเดา1 ใบคนทีสอ เปลือกตีนเป็ด เบญจกูล สิ่งละ 1 ลูก จันทน์ 1 ดอกจันทน์1 กระวาน1 กานพลู1 ตรีกฎุก1 เปลือกกันเกรา (สิ่งละ 2 ) สมุลแว้ง 3 จันทน์ทั้งสองสิ่งละ 1 สมอทั้ง3สิ่งละ 1
ยาแก้หัวใจพิการ ชื่อมูลจิตใหญ่
ประกอบด้วย ผลคนทีสอ ใบสหัสคุณ ผลตะลิงปลิง จันทน์ทั้งสอง ดีปลี เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน เทพทาโร เอาส่วน
เท่ากัน บดปั้นเป็นแท่ง ละลายน้ำดอกไม้ แทรกพิมเสน กินหาย ใช้ได้ 108 แล
( จากหนังสือตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเวชกรรม เล่ม 1 โดยกองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธรณสุข หน้า 50 – 56 )
แชร์ว่อน วิจารณ์ขรม ! ตำรวจฝ่าวง "เตะหญิง" ห้าม 2 สาวตบกันนัวร์
(20 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คลิปวิดีโอที่กำลังได้รับความสนใจในโซเชียลเน็ตเวิร์กเพียงข้ามคืน ภาพเหตุการณ์ 2 หญิงสาวกำลังทะเลาะวิวาทกันใกล้กับวัดแห่งหนึ่งใน จ.นครปฐม ทั้ง 2 กำลังตบตีกันชนิดที่ไม่ใครยอมใคร ท่ามกลางกองเชียร์และชาวบ้านที่ยืนมุงดู แต่กลับไม่มีใครเข้าห้ามปราม จนช่วงท้ายมีชายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่าวงเข้าไปเตะหญิงสาว จนเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ตามรายงานระบุว่า เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง YouLike (คลิปเด็ด) ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์ 2 หญิงสาวตบตีทะเลาะวิวาทกัน เป็นคลิปที่แชร์ต่อมาจากผู้ใช้เฟซบุ๊กคนหนึ่ง ชื่อคลิปว่า "ตีกัน ตำรวจเข้าห้าม @ป้อมวัดเกาะวังไทร" คลิปความยาวประมาณ 1 นาทีเศษ เผยให้เห็นเหตุหญิงสาวกำลังจิกหัวตบตีกัน ท่ามกลางเสียงกองเชียร์รอบด้าน ไม่สนใจแม้จะอยู่ในเขตอภัยทาน
จน กระทั่งช่วงท้ายของคลิปวิดีโอ เผยให้เห็นชายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมเครื่องแบบครึ่งท่อน ฝ่าวงล้อมของกองเชียร์ เข้าไปเตะหญิงสาวที่กำลังตบตีกัน พร้อมกับสั่งให้ "ลุกขึ้น" เพื่อระงับเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้น ก่อนที่เหตุดังกล่าวจะสงบลง
อย่าง ไรก็ตาม คลิปวิดีโอดังกล่าวกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตหลายคนต่างเห็นด้วยกับวิธีระงับเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเหมาะกับการใช้ระงับเหตุคนทะเลาะวิวาทกันอย่างขาดสติ ในขณะที่อีกหลายความคิดเห็นได้ตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เลือกใช้วิธีเตะ ผู้หญิงเพื่อระงับเหตุ
ซึ่งเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุหรือไม่ ?
นะโม ตัสสะ
สงคราม เริ่มแล้ว !!!
****************
ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ ชี้มูลความผิด "นิคม"
ทำหน้าที่ขัดธรรมนูญ และ อันเป็นมูลเหตุให้ถูกถอดถอน
ตามมาตรา 270 และ 274
และ ป.ป.ช. มีมติ เสียงข้างมาก
ให้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่รักษาการ ปธ.วุฒิสภา นับตั้งแต่วันนี้
เหตุเพราะรวบรัดตัดสิทธิ อภิปราย 57 คน
กรณีแก้ไขรธน.ที่มาสว. เตรียมไต่สวนคดีอาญาต่อไป
โดยคุณ นะโม ตัสสะ
4 เมษา 57
ฤา ประเทศจะเปลี่ยนไป
********************
คือมันมีการข่าวมา ซึ่งตรงกับทาง พี่ๆ นปช. ได้รับทราบว่า ..
ในวันพรุ่งนี้ 21 มีนาคม 2557
ศาล รธน. จะชี้ว่า การเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 กุมภา เป็น โมฆะ !!!
ตามธงที่ฝั่งอำมาตย์ ได้ตั้งไว้
ถ้าเป็นดั่งการข่าว ที่มาจริงๆ
ในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน
ปปช. ก็จะชี้มูล ปลดนายกฯรัฐมนตรี เช่นกัน
เพื่อเล่นเกมส์ให้สอดคล้องกับ ศาล รธน.
ดึงคนเสื้อแดง ให้เข้าสู่เกมส์ ที่ อำมาตย์ วางไว้
อะไรคือ .. จุดสำคัญ ???
หลัง ปปช. ชี้มูลนายกฯ เป็นที่เรียบร้อย
ก็จะมีการประกาศ กฏอัยการศึก โดยทหารตามมา
ก็ฝากกราบไปถึง พี่ๆแกนนำ นปช. เจ้าค่ะ
จง .. ดึงเค้า ให้เข้ามาสู่ เกมส์ของเรา
ขอชัยชนะครั้งนี้ จงสถิตย์อยู่กับ คนเสื้อแดง
นะโม ( โม้ ... กามิ-กาเซ่ )
แผนบันไดสี่ขั้น เริ่มแล้ว
ป.ป.ช.ลักไก่ ชี้มูลความผิดไล่ "นิคม ไวรัชพานิช" พ้นเก้าอี้ ปธ.วุฒิสภา โดยยังไม่ได้ไต่สวน ยังไม่ได้เรียก สส.สว.310 คนมาไต่สวนสอบถามเลยแม้แต่คนเดียว กระโดดข้ามขั้นจากรับเรื่อง แล้วไปวินิจฉัยหน้าตาเฉยเลย
นับวัน การใช้กฏหมายยิ่งเละเทะ. ไม่ใช่เสื้อคลุมราชสีห์ที่เกรงขาม. เป็นเพียงเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกเท่านั้น
ชี้มูลก่อนวันดีเดย์. เลือกตั้งโมฆะ
ช่วงนี้ใครเป็นนักกฏหมายลองเขียนคำวินิจฉัยไปพลางก่อนได้ จะดูว่าตรงใจศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
มีที่ไหนในโลก. การประชุมสภา ถือว่าผิดกฏหมาย. ทั้งสส. สว.โดนหมด. อย่างมากก็แค่ทำให้การออกกฏหมายตกไปเท่านั้น. ไม่รู้จะสรรหาคำด่ายังไง. ให้สาสม กรรมเวรของคนไทยจริงๆ
การแก้ให้มีการเลือกตั้งแทนแต่งตั้ง....เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ.........ในสากลโลกนี้.....มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่วินิจฉัยเช่นนี้
การทำงานของสภามีกฏหมายคุ้มครองห้ามฟ้องร้อง อภิปรายกันโยกโย้ข้ามวันข้ามคืน
ซ้ำประเด็นกันไปมาวนเวียน ยั่วยวน โห่ฮา ประธานนิคน เห็นว่าพอสมควรแล้วจึง สั่งปิด
เป็นอำนาจอันชอบธรรมตามกฏหมาย ของ ประธานสภา ปปช.เป็นใครมีชี้มูลกล่าวโทษ.
ข้อคิดดีๆจากมหาเศรษฐีระดับโลก
กฏทอง 10 ข้อ ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (มหาเศรษฐี ระดับโลก ผู้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง)
1. ต้องทำงานหนัก วอร์เรน เขาฟันธงเลยว่า ส่วนใหญ่แล้วการทำงานหนักจะนำผลกำไรมาให้ ในขณะที่การพูดมากแต่ไม่ทำ กลับจะนำความยากจนมาให้แทน แบบนี้เข้าตำราว่า “อย่ามัวแต่ตั้งท่าชก ให้ชกเลย” จึงจะได้คะแนนชนะการต่อสู้...
2. อย่าขี้เกียจ เขายกตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ว่า “ ขนาดกุ้งมังกรตัวโต ๆ ถ้ามัวแต่นอนหลับ ยังสามารถถูกกระแสน้ำพัดลอยไปได้ ” หมายความว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอคอยความหวัง คุณจะต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตการณ์ทางการเงินนี้ต่อไปอย่างแน่นอน
3. รายรับจากหลายแหล่ง ข้อนี้เป็นเคล็ดลับของมหาเศรษฐีหลายคน ไม่ใช่เฉพาะวอร์เรน เพราะการพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว ทำให้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของภาวะที่ไม่แน่นอน เขาแนะนำให้ทำการลงทุนที่ฉลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่น ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน คุณควรมีรายได้ส่วนอื่นจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถสร้างรายรับเข้ามาในแต่ละเดือนได้ด้วย
4. ควบคุมรายจ่าย เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มจ่ายเงินซื้อ สิ่งที่คุณไม่มีความต้องการจริง ๆ คุณก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจต้องขาย สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด แทน ดังนั้นคิดและตั้งสติก่อนที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรในชีวิตเสมอ
5. ตั้งใจออม วอร์เรนเน้นว่าเราอย่ารอเก็บออมเงินที่เหลือหลังจากที่ได้ใช้จ่ายจนพอใจ แต่เราต้องกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้มาเพื่อเก็บสะสมก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย หลายคนมักจะเข้าใจผิด ใช้จ่ายแล้วเหลือจึงนำเข้าแบงก์ ที่จริงต้องนำออกมาออม ก่อนจะไปทำอย่างอื่น
6. งดกู้ยืม คนที่กู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น มักจะตกเป็นทาสของคนที่คุณไปกู้ยืม ดังนั้นต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พยายามมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพเท่าที่เราหามาได้ อย่าไปสร้างหนี้สร้างสิน โดยไม่จำเป็น พยายามดำรงชีวิตอยู่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
7. จัดระบบบัญชี เขาใช้คำคมมาเปรียบเทียบว่า “ ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝน ตราบใดที่รองเท้าที่คุณสวมใส่นั้นยังมีรูอยู่ เพราะมันทำให้เปียกเหมือนกัน ” นั่นคือต้องอย่าทำให้มีจุดรั่วไหลของบัญชี
8. หมั่นตรวจสอบ วอร์เร็นให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาก เพราะว่าค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเปรียบเสมือนรูรั่วของเรือ รูรั่วเพียงเล็ก ๆ แต่นานไปก็สามารถจมเรือใหญ่ทั้งลำได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดเสมอ
9. จัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบเท่าที่ยังโลดแล่นอยู่ในธุรกิจ เขากล่าวว่า เราไม่ควรจะทดสอบความลึกของแม่น้ำที่จะข้าม ด้วยขาสองข้างพร้อม ๆ กัน เพราะเราอาจจมน้ำตายได้ ในการจัดการความเสี่ยง เราต้องมีแผนสำรองเสมอ ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชาญฉลาดที่สุด
10. บริหารการลงทุน อย่าเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มลงทุนในสิ่งเดียวกัน เปรียบเหมือนกับ อย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้าตะกร้าหล่นจะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ ดังนั้นเราต้องกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีกธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประโยชน์โดยรวมยังอยู่ได้
ถ้า...เราชอบซื้อของที่ ไม่จำเป็น....สุดท้าย....เราต้องขายของที่ จำเป็น
จาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ – มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
ช่วงระหว่างความอึมครึมของสถานการณ์ยูเครน - ไครเมีย ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงเอาๆแทบทุกวัน
วอร์เร็น ออกให้สัมภาษณ์ช่วงนั้นว่า "เขาเองก็ยังไม่แน่ใจและฉงนว่า ราคาหุ้นมันจะตกลงไปเกือบ 50% เชียวหรือ"
หลังจากนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หุ้นเริ่มไต่ขึ้นเรื่อยๆ เกือบกลับไปจุดที่เคยพีค
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก funonline.in, thetoyzone.com
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก สำหรับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของ บริษัท เบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ว่าเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีมูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้นสูงถึง 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.3 ล้านล้านบาท แต่หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่า มหาเศรษฐีผู้นี้จะดำรงชีวิตอยู่อย่างสมถะเรียบง่ายภายในบ้านที่มีราคาเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น!
รายงานระบุว่า นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ อาศัยอยู่ในบ้านที่เขาซื้อเมื่อปี ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) ราคา 31,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.8 แสนบาท (ปัจจุบันบ้านหลังนี้มีมูลค่าราว 652,619 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 20 ล้านบาท) ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1921 (พ.ศ. 2464) อยู่ใจกลางเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกาของสหรัฐฯ ภายในบ้านมีเนื้อที่ 6,570 ตารางฟุต (610 ตร.ม.) ซึ่งเป็นบ้านหลังโปรดเพียงหลังเดียวที่เขามีไว้ในครอบครอง
โดย นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ เปิดเผยว่า จะย้ายบ้านไปทำไม ในเมื่อเขามีความสุขที่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เขานึกไม่ออกว่าการมีบ้านสิบหลังทั่วโลกจะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร อีกทั้ง เขาไม่ชอบดูแลบ้านพร้อมกันหลายหลัง แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นมาดูแลบ้านแทนด้วย ดังนั้น เขาจึงไม่คิดว่าการมีบ้านหลาย ๆ หลังจะทำให้มีความสุขมากขึ้น
นอกจากนี้ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าภายในห้องทำงานที่ซึ่งน่าจะเต็มไปด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ไฮเทคราคาแพงมากมาย แต่กลับไร้ซึ่งคอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข หรือแม้แต่อุปกรณ์อื่น ๆ เลย เพราะเขาเพียงแค่นั่งในห้องทำงานและใช้เวลาอ่านหนังสือทั้งวัน
นอกจากการดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายแล้ว นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญบริจาคให้กับองค์กรการกุศลมากมาย ซึ่งเขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่า จะบริจาคทรัพย์สิน 99 เปอร์เซ็นต์ ให้กับ 5 องค์การกุศล โดยเน้นบริจาคผ่านทาง เกตส์ ฟาวเดชั่น ของนายบิลล์ เกตส์ เป็นหลัก ซึ่งจะทยอยบริจาคในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่และบริจาคส่วนที่เหลือหลังเสียชีวิต