โดย http://www.petheng.com/index.php/dealer/dog-article/item/57-dog
การดูแลสุนัข
ที่อยู่ที่นอน
สุนัขควรมีที่อยู่ที่นอนเป็นที่เป็นทางแลเป็นสัดเป็นส่วน อาจจะใช้ผ้าเก่า ๆ หรือเศษผ้านุ่ม ๆ หลายๆชั้นทำเป็นที่นอนขนาดเล็กใหญ่แล้วแต่ความเหมาะสม ส่วนการจะเลี้ยงดูสุนัขไว้ในบ้านหรือไม่นั้นคงแล้วแต่ความพร้อมของสมาชิกในครอบครัว ส่วนใหญ่แล้วหากมันยังเล็กอยู่ก็นิยมเลี้ยงไว้ในบ้านเพื่อคอยดูแลและทำให้มันสนิทสนมกับคนในบ้านได้ง่าย แต่ต้องคอยดูแลเรื่องการขับถ่ายให้เป็นที่เป็นทางหากมีบริเวณบ้านมากพอ ควรเลี้ยงไว้นออกบ้าน โดยสร้างกรงที่ขมีขมันความแข็งแรง กว้างขวางตามขนาดของสุนัขควรมีมุ้งกางให้สุนัขด้วย มีหลังคากันแดดกันฝนได้ และมีฝากันลมในทิศทางที่ถูกต้อง บริเวณที่ตั้งกรงควรเลือกเอาที่ร่ม ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับชื้น เวลากลางวันต้องมีแสงแดดส่องผ่านเข้าได้บ้างเพื่อฆ่าเชื้อโรคและให้กรงแห้งพื้นกรงควรจะสะดวกในการทำความสะอาด ไม่เป็นที่หมักหมดของสิ่งปฏิกูลต่าง ๆมีที่ระบายของเสียได้สะดวก
การตัดหาง
สุนัขบางพันธุ์นิยมตัดหาง ให้เหลือความยาวตามลักษณะในพันธุ์นั้นนิยม ซึ่งก็ควรตัดในขณะที่ยังมีอายยังน้อย ๆ อยู่เพื่อที่จะไม่มีเลือดออกมามาก สุนัขไม่เจ็บปวด แผลหายเร็วและทำได้ง่ายโดยไม่ต้องวางยาสลบ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์ที่ต้องตัดหางหลังคลอดควรนำลูกสุนัขไปทำการตัดหางภายในหนึ่งสัปดาห์หากจะตัดหางเองต้องทำในระยะไม่เกิน 7 วันลังคลอด โดยการบูรป่าลิบขนบริเวณหางที่ต้องการตัดออกให้ถึงผิวหนังแล้วทำความสะอาดด้วยการใช้แอลกอฮอล์ หรือทิงเจอร์ไอโอดีน ทาให้ทั่ว ต่อจากนั้นก็รูดผิวหนังขึ้นมาทางโคนหางแล้วใช้เชือกหรือยางรัดไว้ให้แน่นตรงข้อที่ 2 ของกระดูกโคนหาง ใช้กรรไกรที่ฆ่าเชื้อแล้วตัดตรงระหว่างข้อของกระดูกที่จะตัด แล้วแต้มด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน ทิ้งไว้ 4-5 ชั่วโมง จึงค่อยเอาเชือกหรือยางรัดออกปล่อยให้แผลหาย โดยมากผิวหนังของหางที่รูดขึ้นไปก็จะรูดลงมาเอง หรืออาจจะเย็บปิดก็ได้ถ้าต้องการ
การตัดหู
สุนัขบางพันธุ์นิยมตัดหู เช่น บ็อกเซอร์, โดเบอร์แมน, มินิเจอร์ พินเซอร์ และเกรท เดน ซึ่งก็ควรทำการตัดหูเมื่อลูกสุนัขอายุระหว่าง 12-14 สัปดาห์ เพราะขนาดโตพอที่จะทำการผาตัดได้ง่าย ทนต่อการวางยาสลบหลังจากตัดแล้วหมอจะต้องดามหูไว้จนกว่าหูจะตั้งตรงตามต้องการ ซึ่งกินเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ระหว่างนี้เจ้าของจะต้องคอยดูและอยู่ให้สุนัขเกาแผลจนไหมที่เย็บหลุด หรือแผลสกปรก เพราะจะทำให้รูปทรงของหูไม่เป็นไปตามต้องการ
การอาบน้ำ
สุนัขก็เหมือนคนที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดและตกแต่งให้ดูสวย น่ารักอยู่เสมอ เนื่องมาจากมันไม่สามารถจะทำความสะอาดและเสริมสวยให้ กับตนเองได้ ผู้เลี้ยงจึงจะต้องทำหน้าที่ สนใจในตัวของมันเสมือนหนึ่งเป็นตัวของมันเองเลยทีเดียวการอาบน้ำต้องใช้แชมพู และสบู่ควบคู่ไปด้วย ควรเลือกซื้อแชมพูหรือไม่ก็สบู่ที่ผลิตขึ้น
สำหรับใช้กับสุนัขเท่านั้น อย่านำแชมพูหรือสบู่ของคนมาใช้กับสุนัขโดยเด็ดขาด เพราะผิวหนังของสุนัขบางชนิดบอบบางมาก หากอาบน้ำด้วยแชมพูหรือสบู่ของคน จะทำให้มีปัญหาเรื่องขนแห้ง หยาบ และมีสะเก็ดรังแคขึ้นบนผิวหนัง บางตัวเป็นหนักถึงอาจจะขนร่วงไปเลยก็มี
ปัจจุบันแชมพูสุนัขมีให้เลือกหลายสูตร มีทั้งแบบผสมครีมในตัว ประเภททูอินวัน หรือทรีอินวัน ชนิดที่มีสารฆ่าเห็บ ฆ่าหมัด เยอะแยะมากมายไปหมด ก่อนซื้อควรอ่านดูฉลากข้างขวดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอะไรบ้าง บรรจุเท่าใด หมดอายุวันไหน แล้วจึงเลือกซื้อมาใช้ให้ถูกกับลูกสุนัขของเรา
วิธีอาบน้ำให้สุนัข
อุปกรณ์ต้องเตรียม คือ แชมพูสำหรับสุนัข ผ้าเช็ดตัว อ่างน้ำ หรือสายยาง ที่ต่อจากก๊อกน้ำ เครื่องเป่าผม
ขั้นตอนการอาบน้ำให้สุนัขทำได้ดังนี้ คือ
จับสุนัขให้อยู่ในอ่างนิ่งๆ โดยการจับที่ปลอกคอ เป็นไปได้ควรอุดหูทั้งสองข้าง ของสุนัขด้วยสำลีเพื่อป้องกันมิให้น้ำเข้าหู แล้วจึงค่อยเทน้ำลงบนตัวสุนัขให้ทั่วทั้งตัว
ใช้แชมพูสุนัขเทลงบนตัวสุนัข แล้วจึงใช้มือถูนวดแชมพูให้ทั่วในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยังจับปลอกคอสุนัขอยู่เพื่อจะให้มันอยู่นิ่งๆ
ล้างแชมพูที่ส่วนหัวของลูกสุนัขก่อน จากนั้นจึงล้างแชมพูที่ลำตัวให้สะอาด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งทั้งตัว
เอาสำลีที่อุดหูออก แล้วเป่าขนให้แห้ง พร้อมกับแปรงขนให้ได้รูป
ทรงตามที่ต้องการ
การแปรงและหวีขน
สุนัขทุกพันธุ์ต้องการแปรงขนเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าสุนัขตัวนั้นจะ ต้องมีขนยาวเพียงเท่านั้น การแปรงหวีขน ของสุนัขบ่อยๆ นอกจากจะ ทำ ให้ขนสวย ขนไม่พันกันแล้ว ยังจะเป็นการทำความสะอาดตัวของสุนัขได้
เพราะเวลาเราแปรงขน สิ่งสกปรกจะถูกกำจัดออกมารวมทั้งบรรดาขนเก่า ที่หลุดออกมา นอกจากนั้นผิวหนังที่ได้รับการ กระตุ้นจากการ หวีหรือแปรงก็จะขับน้ำมันมาเคลือบขนสุนัขทำให้ขนนุ่ม และเป็นเงางาม โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเสริมมาให้มันกินให้สิ้นเปลืองเปล่า ๆ
ควรฝึกหวี และแปรงขนสุนัขแต่เล็ก ๆ เพื่อจะได้เคยชินและยอมให้เรา เสริมสวยแต่โดยดี
เทคนิคการหวีและแปรงขนสุนัข
การแปรงขนสุนัขทุกวันจะทำให้สุนัขมีสุขภาพดี ขนเป็นเงางาม ไม่มีสิ่งสกปรกหมักหมอยู่ ในขนสุนัข พันธุ์ขนยาว เช่น อาฟกัน ฮาวด์ ชิสุ ควรหวี ทุกวัน ส่วนสุนัขพันธุ์ขนสั้น เช่น บลูด็อก เกรดเดน แปรงขนเพียง
2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ก็พอ ส่วนสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลต้องใช้การตัดแต่งขน จะหวีให้ตรงแบบสุนัขพันธุ์อื่นไม่ได้
การหวีขนสุนัขพันธุ์ขนสั้น
อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงบิสเทิล แปรงหวีสลิดเกอร์ หวีตรง ขั้นตอนการหวี มีดังนี้
- ใช้หวีแปรงสลิดเกอร์หวีก่อน เพื่อจำกัดเอาขนที่พันออกไม่ให้เกิดก้อน สังกะตัง ออกแรงหวีเพียงเบาๆนุ่มๆ หวียาวๆ จากคอถึงลำตัวทำเช่นนี้ทั่วตัว
- ใช้หวีบิสเทิลแปรง เพื่อเอาขนที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากขนของสุนัขทั้งตัว
- ใช้หวีตรง หวีบริเวณที่ยาว เช่น ส่วนของหาง เท้า ขา ถ้าพบว่าขนพันกันให้ใช้กรรไกรตัดออกสุนัขจะได้ไม่เจ็บ
การหวีขนสุนัขที่สั้นเกรียน
อุปกรณ์ที่ใช้มี แปรงรับเบอร์ หนังชามัวร์ แปรงบิสเทิล
- ใช้แปรงรับเบอร์ เพื่อแปรงย้อนขนสุนัขจะทำให้ขนตาย และสะเก็ด ผิวหนัง สิ่งสกปรกหลุดออกโดยง่าย
- ใช้แปรงบิสเทิล แปรงขนตัวสุนัขอีกครั้งให้ทั่วทั้งตัว เพื่อเอาขนที่ตายและสะเก็ดออก
- เช็คขนสุนัขด้วยหนังชามัวร์ เพื่อให้ขนเป็นมันเงางาม
การหวีขนสุนัขที่ขนตรงยาว
อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงสลิดเกอร์ แปรงบิสเทิล หวีตรง กรรไกร
- ใช้แปรงสลิดเกอร์หวีขนก่อน เพื่อทำให้ขนที่พันกันอยู่คลายตัวออก
- ใช้แปรงบิสเทิลหวีตามอีกครั้ง เพื่อทำให้ขนมันเงา และหวีง่ายขี้นไปอีก
- ใช้หวีตรง หวีจัดให้ขนของสุนัขตกลงไปข้างลำตัว ด้านซ้ายและด้านขวาตามแนวขน
- ใช้กรรไกรตัดแต่งบริเวณเท้าและหู เพื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดูสวยงาม
การดูแลหู
หูมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง สุนัขที่มีหูปกติจะต้องมีสีชมพูเรื่อๆ สะอาด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ หูควรสะอาดไม่มีขี้หูมากจนเกินไป ไม่มีเห็บ หรือหมัด ไม่เป็นแผล หนอง สุนัขบางพันธุ์รวมทั้งพวกพุดเดิ้ล มักมีขนขึ้นที่บริเวณช่องหู ขนเหล่านี้จะเป็นตัวเพาะเชื้อโรค และหมักหมส่งสกปรกทั้งหลายได้เป็นอย่างดี พวกหูยานก็เก็บสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ง่ายจึงต้องหมั่นเอาใจใส่เช็ดถูสิ่งสกปรกในช่องหูออกให้หมด พวกหูตั้งนี้รักษาง่าย เพราะช่องหูสามารถถ่ายเทกับอากาศภายนอกได้โดยธรรมชาติ ฉะนั้นสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงไม่สามารถหมักหมจนเกิดโรคได้มากนัก ถ้าหูสุนัขสกปรกมากก็ควรใช้สำลีหรือผ้านุ่มๆ เช็ดบริเวณใบหูและรูหูส่วนนอก ๆ เป็นประจำทางที่ดีหลังการอาบน้ำ เพราะสามารถตรวจสอบว่ามีน้ำหลงเหลือเข้าไปในรูหูหรือไม่ ถ้ามีจะได้เช็ดออกให้แห้ง เป็นการป้องกันหูอักเสบได้ด้วย แต่อย่าได้พยายามทำความสะอาดลึกเข้าไปในรูหูเป็นอันขาด บริเวณอ่อนไหวดังกล่าวควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์
การดูแลตา
ตาของสุนัขที่มีสุขภาพดีจะมีแววตาแจ่มใส ไม่ขุ่นมัวหรือมีสีแดง หรือมีขี้ตา รวมทั้งน้ำตาไหลเป็นคราบอยู่เสมอก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติเข้าตา ถ้าเป็นโรคตาอักเสบธรรมดาเพราะผงเข้าตา ก็ควรใช้น้ำยาล้างตา 4-5 หยด ใส่เพื่อให้สิ่งสกปรกออกก่อน แล้วใช้ผ้าที่สะอาดเช็ดเบา ๆ รอบ ๆ ขอบตาออกได้ ถ้าเป็นมากกว่านี้ควรจะนำไปพบสัตวแพทย์สุนัขบางพันธุ์ เช่น พวกพุดเดิ้ล มักมีรอยด่างสีน้ำตาลที่ขนใต้ตาเสมอ ที่เป็นเช่นนี้เพราะขนบริเวณนั้นเปียกแฉะเนื่องจากหยาดน้ำตาของสุนัข คราบน้ำตานี้จะติดแน่นที่หัวตาย้อยลงมา การกำจัดรอยด่างนี้ทำได้โดยการหมั่นเช็ดถูให้บ่อยๆครั้งทุกวัน เพื่อให้ขนที่ติดคราบน้ำตานี้ค่อย ๆหลุดร่วงหมดไปสุนัขบางตัวตาแฉะ อาจจะเป็นเพราะขนตาขึ้นผิดปกติ แยงเข้าไปในลูกตา การรักษาอาการนี้ควรเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์
การดูแลฟัน
โดยปกติแล้วสุนัขฟันผุได้ยากมาก แต่ที่เห็นบ่อยคือ เหงือกอักเสบ เกิดจากฟันสุนัขไม่สะอาด ขี้ฟันหมักหมมจนจับเป็นคราบสีเหลืองเกาะติดที่ผิวฟัน คือ หินปูนนั่นเอง บางทีหินปูนมีมากและลุกลามไปจนถึงเงือก ทำให้เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก จนกระทั่งฟันหลุดไปในที่สุดวิธีป้องกันการจับตัวของหินปูน ควรให้สุนัขกินอาหารสำเร็จรูปที่เป็นเม็ดแห้ง หรือให้แทะกระดูกเสียบ้างเพื่อขัดฟัน แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ควรให้สัตวแพทย์ตรวจฟันทุกปี สุนัขบางพันธุ์ก็มีการจัดเรียงตัวของฟันที่แย่มาก มีเหงือกเป็นหนองและฟันหลุดเสมอการให้แทะกระดูกไม่อาจช่วยได้เลย พวกนี้ต้องตรวจฟัน และทำความสะอาดเสมอโดยสัตวแพทย์
การดูแลเล็บ
เล็บสุนัขจะงอกจิกลงดิน มันจะสึกไปเองโดยธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นสุนัขที่เลี้ยงบนพื้นไม้หรือพื้นซีเมนต์ มักจะพบปัญหาเล็บไม่สึก มีเล็บยาวเร็วกว่าปกติทำให้เดินไม่สะดวก และเมื่อทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้นิ้วคด หรือแยกห่างออกจากกัน บางทีก็ถอนหรือฉีกแตกจนเกิดหนองได้ จะทำให้สุนัขเจ็บปวดมากเวลาเดิน ฉะนั้นจึงต้องหมั่นตรวจดูแลตัดเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอการตัดเล็บสุนัขควรใช้กรรไกรสำหรับการตัดโดยเฉพาะ จะทำได้โดยง่ายและปลอดภัย ได้รอยตัดที่กลมโค้ง การตัดควรตัดที่ปลายเพียงเล็กน้อย ระวังอย่าตัดให้ถูกปลายประสาทสีชมพูในเล๋บได้สุนัขที่มีเล็บดำไม่สามารถมองเห็นปลายประสาทนี้ได้ ฉะนั้นตัดเล็บจึงทำได้แค่คลิบปลายเพียงเล็กน้อย หรือตัดตรงตำแหน่งต่ำจากบริเวณที่มีเลือดมาเลี้ยงสัก 3มิลลิเมตร การตัดเล็บควรทำทุกเดือน โดยหลังการอาบน้ำ เพราะเล็บที่เปียกน้ำจะอ่อนตัดง่ายกว่าธรรมดา
-------------------------------------------
วิธีดูแลสุขภาพสุนัขในช่วงอายุต่างๆ
1.การดูแลสุนัขแรกคลอด
ลูกสุนัขเกิดใหม่จะมีอุณหภูมิร่างการค่อนข้างต่ำ จึงควรกกไฟเพื่อเพิ่มความร้อนให้แก่ร่างกาย
ให้ลูกสุนัขได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่ภายใน 24 ชั่วโมง
สังเกตอยู่เสมอว่าแม่สุนัขมีน้ำนมให้ลูก
สุนัขจะเริ่มลืมตาหรือได้ยินเสียงต่างๆ เมื่ออายุประมาณ 2 สัปดาห์
หากลูกสุนัขไม่ดูดนมแม่หรือแม่มีน้ำนมไม่พอควรให้นมผงสำหรับสุนัขโดยใช้ syringe ค่อยๆหยอดเข้าปาก ไม่ควรให้นมโคลูกสุนัข เพราะจะทำให้ท้องเสีย
ปริมาณแคลลอรี่ที่ลูกสุนัขต้องการคือ 22-26 Rcal/100 gm. ของน้ำหนักตัว
ในช่วงอายุ 2-3 สัปดาห์ น้ำหนักควรเพิ่ม 10-15 % ต่อวัน
2. การดูแลสุนัขช่วงวัยเด็ก วัยเจริญพันธุ์
การดูแลผิวหนังและขน
สุนัขที่มีสุขภาพดี ขนจะเป็นเงางาม ไม่แห้งและมันจนเกินไป
ผิวหนังไม่หยาบแห้ง ไม่มีรังแคและปรสิตภายนอก
สุนัขที่มีความผิดปรกติที่ผิวหนังจะมีอาการคัน ขนร่วงบางตำแหน่ง หรือร่วงเป็นบริเวณกว้าง ผิวหนังเป็นตุ่มหนองหรือเป็นผื่นแดง
สุนัขที่มีหูปรกควรเช็ดหูอย่างสม่ำเสมอ
สุนัขที่มีขนสั้นหรือเรียบติดผิวหนัง ควรแปรงขนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
สุนัขที่มีขนยาว ควรแปรงขน 1-2 วัน/ครั้ง และควรเล็มขนที่เท้า นิ้วเท้า และหูออกอย่างสม่ำเสมอ
ขนที่ยาวเหนือตาควรเล็มออก หรือรวบด้วยริ้บบิ้นหรือโบว์
การอาบน้ำ
ระหว่างการอาบน้ำควรใส่ปลอกคอให้สุนัขเพื่อใช้จับและป้องกันการกระโดดของสุนัข
หลังจากแปรงขนแล้วให้ใช้ก้อนสำลีอุดหูสุนัขแล้วใช้น้ำสะอาดราดตัวสุนัข
ใช้แชมพูสำหรับสุนัขฟอกให้ทั่ว ยกเว้นบริเวณหัว
ถูนวดย้อนขนจนแชมพูเกิดฟอง
บริเวณหัวใช้แชมพูที่ไม่ระคายเคืองตาเทลงมือแล้วนวดขนสุนัข
ระวังอย่าให้ฟองแชมพูกระเด็นเข้าตาและปากสุนัข
ล้างแชมพูบริเวณหัวออกและเช็ดให้แห้งก่อน แล้วจึงล้างแชมพูบริเวณลำตัวออก วิธีนี้จะป้องกันสุนัขสะบัดน้ำกระจายไปทั่ว
บีบไล่น้ำที่ติดค้างตามขนออกให้มากที่สุด แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดตัวให้แห้ง
ใช้เครื่องเป่าผมเป่าขนให้แห้ง และแปรงขนไปในทิศทางออกจากตัว
ไม่ใช้เครื่องเป่าผมกับสุนัขที่มีปัญหาโรคผิวหนัง
การตัดเล็บ
จับนิ้วสุนัขให้แยกออกจากกัน และตรวจผิวหนังระหว่างนิ้ว
เช็ดสิ่งสกปรกระหว่างนิ้วออกด้วยสำลีชุบน้ำ
ตัดเล็บในบริเวณที่มีสีเล็บเป็นสีขาว
บริเวณสีชมพูเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทและเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมาก
ตะไบปลายเล็บให้เรียบ หากสุนัขมีนิ้วติ่งให้ตัดเล็บที่นิ้วติ่งออกด้วย
การทำโปรแกรมวัคซีน
วัคซีนรวม 5 โรค เข็มแรก ตอนอายุ 2 เดือน เข็มที่สอง ตอนอายุ 2 เดือนครึ่ง
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เข็มแรก ตอนอายุ 3 เดือน เข็มที่สอง ตอนอายุ 6 เดือน
วัคซีนทุกชนิดกระตุ้นซ้ำปีละครั้ง
ฉีดยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ เริ่มตอนอายุ 3 เดือน และฉีดป้องกันทุกๆ 2 เดือน (ยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ ไม่ใช่วัคซีน)
การดูแลสุนัขตั้งท้องและก่อนคลอด
สุนัขเป็นสัด ( heat) ปีละประมาณ 2 ครั้ง
วงรอบการเป็นสัดแบ่งเป็น 4 ระยะ
- Proestrus (9 วัน) อวัยวะเพศบวมขยายใหญ่ มีเลือดหยดออกมา
- Estrus (9 วัน) ยอมให้ตัวผู้ผสม ไม่มีเลือดหยดออกมาแล้ว
- Diestrus (60 วัน) เป็นช่วงที่สุนัขตัวผู้ไม่สนใจอีกแล้ว หากผสมติดจะเกิดการตั้งท้องนานประมาณ 63 วัน (บวก ลบ 1 วัน)
- Anestrus (ประมาณ 4.5 เดือน) อวัยวะเพศเป็นปรกติ
ในช่วงกลางของการตั้งท้องควรเพิ่มปริมาณอาหารขี้น 10 %
ก่อนครบกำหนดคลอด 2-3 วัน แม่สุนัขจะนอนพักเพื่อสงวนพลังงาน จึงไม่ควรให้ออกกำลังกาย
ควรให้แม่สุนัขคุ้นเคยกับสถานที่ที่จัดไว้ให้คลอด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนคลอด
สถานที่คลอดควรเงียบสงบ อาจใช้กล่องไม้เรียบหรือกล่องกระดาษขนาดใหญ่ก็ได้
แม่สุนัขจะเบื่ออาหาร 1-2 วันก่อนคลอด และจะกระวนกระวายชัดเจน
การสังเกตภาวะคลอดยาก
ตั้งท้องนานผิดปรกติ พิจารณาจากตั้งท้องนานเกิน 65 วัน
ตรวจพบจำนวนลูกในครรภ์น้อยเกินไป เช่น มีเพียง 1-2 ตัว
แม่สุนัขได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในช่วงการตั้งท้อง โดยเฉพาะแม่สุนัขที่มีลูกดก
แม่สุนัขมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง นอนร้องครวญคราง ช่องท้องการขยายใหญ่ขึ้น แสดงถึงการเกิดมดลูกบิด หรือฉีกขาด
แม่สุนัขแสดงอาการเบ่งอย่างรุนแรงติดต่อกันเกิน 30 นาที แต่ไม่พบลูกสุนัขออกมา
แม่สุนัขเบ่งคลอดเป็นระยะๆ นานถึง 4 ชั่วโมงแล้วแต่ไม่พบลูกสุนัขออกมา
ลูกสุนัขแต่ละตัวคลอดห่างกันเกิน 2 ชั่วโมง
เมื่อพบน้ำคร่ำ (สีเขียวดำ) ออกมาแล้ว ปรกติลูกตัวแรกจะออกภายใน 1-2 ชั่วโมง หากไม่มีลูกสุนัขออกมาภายใน 24 ชั่วโมง ให้รีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที
3. การดูแลสุนัขชรา
ลักษณะของสุนัขชรา
มีขนหงอกสีขาวแซมมากขึ้น ฟันหลุด ประสาทสัมผัสและการตอบสนองช้าลง
ขนหลุดร่วง และแห้งลง
กล้ามเนื้อลีบลงและไม่แข็งแรง
น้ำในข้อต่อลดลง ทำให้ข้ออักเสบและเคลื่อนไหวลำบาก
ดวงตาขุ่นมัว
ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เครื่องในสัตว์
ควรจำกัดอาหารที่มีปริมาณเกลือแร่มาก เช่น กระดูกไก่ , การเพิ่มซอสปรุงรสในอาหาร เป็นต้น
ให้อาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม หมูสับ เป็นต้น
เลือกอาหารสำเร็จรูปสูตรสำหรับสุนัขชราโดยเฉพาะ
ควรเช็ดขี้ตาและขี้หูอยู่อย่างสม่ำเสมอ
หากไม่มีโอกาสพาสุนัขออกกำลังกายควรช่วยนวดกล้ามเนื้อ และขยับข้อต่อโดยการพับขางอขึ้นลง
---------------------------------------------------------------
9สัญญาณบอกเหตว่าน้องหมาป่วย
1.กินอาหารได้น้อยลง อาการไม่อยากอาหาร หรือกินอาหารไม่อร่อยนี้ เรียกได้ว่า เป็นสัญญาณพื้นฐานของโรคต่างๆ เลยก็ว่าได้ เมื่อลองสังเกตดูแล้ว พบว่าไม่ได้มาจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่ทำให้เจ้าตูบไม่อยากกินอาหาร เช่น อากาศร้อนจัด หรือมีสิ่งล่อใจอื่นที่ทำให้น่าสนใจมากกว่าอาหารตรงหน้า สิ่งเหล่านี้ก็อาจทำให้สุนัขไม่กินอาหารได้ ซึ่งก็ถือว่า ไม่ได้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ กรณีนี้ก็เพียงปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมขึ้น แต่ถ้าการไม่กินอาหารของเขา ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กล่าวมา ก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เขาต้องป่วยเป็นอะไรสักอย่างแน่นอน เราควรพาไปพบสัตวแพทบย์เพื่อวินิจฉัยโรคให้แน่นอนอีกครั้ง
2.กระฉับกระเฉงน้อยลง สุนัขที่รู้สึกไม่สบายตัวจะลดความกระฉับกระเฉงลง บางครั้งก็เป็นการสับสนระหว่างอาการป่วย กับชราลงตามวัยด้วยเหมือนกัน กรณีนี้คนที่จะสังเกตและรับรู้ได้ดีที่สุด คงจะเป็นตัวเจ้าของนั่นเอง และหลายๆ ครั้งที่พบว่าอาการนี้เกิดจากการได้รับการเอาใจใส่จากเจ้าของน้อยลงขาดการทำกิจกรรมร่วมกันซึ่งก็เป็ผลพวงจากจิตใจของสัตว์เลี้ยงนั่นเอง
3. ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน / เฉื่อยชา อาการนี้เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าสุนัขตัดขาดความสนอกสนใจจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปหมด ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ในการนอนนับเป็นสัญญาณที่มักจะเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนและหลังของอาการป่วย
ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วยนั้นๆ อีกต่างหาก ดังนั้น สังเกตให้ดี แล้วอย่าละเลย ควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพจะดีกว่า
4.น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว สัญญาณบอกเหตุอันนี้มักจะต่อเนื่องมาจากข้อที่ 1 และจะเป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อสุนัขป่วย แต่บางครั้งสัญญาณบอกเหตุนี้อาจจะสังเกตได้ยาก ถ้าสุนัขมีขนพองฟู หรือน้ำหนักเบาอยู่แล้ว ซึ่งข้อนี้ถือเป็นปัญหาที่เจ้าของต้องสังเกตอย่างใกล้ชิด
5.ดื่มน้ำในปริมาณที่มากขึ้น การที่สุนัขดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกติ มักจะเป็นสัญญาณบอกเหตุของโรคบางชนิด เช่น โรคที่เกี่ยวกับไต และโรคเบาหวาน ดังนั้น เมื่อคุณสังเกตเห็นความผิดปกติในข้อนี้ อย่านิ่งดูดาย ควรรีบพาสุนัขของท่านไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อการรักษาที่ได้ผล ก่อนจะสายเกินแก้นะครับ
6.หายใจขัด ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องคำนึงถึง อาการนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับปอด และหัวใจ สัญญาณเตือนอันนี้ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องพบสัตวแพทย์แบบเร่งด่วนที่สุดทีเดียว
7.อาเจียน สัญญาณนี้อาจพบเห็นได้ไม่ยาก สำหรับการอาเจียนและขย้อนนี้ มักจะเกิดขึ้นได้แม้สุนัขไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ดังนั้นควรสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่สุนัขอาเจียนบ้าง นาน ๆ ครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้ง หรือน้อยกว่านั้น ก็จะถือว่าไม่เป็นปัญหาอะไร โดยเฉพาะสุนัขที่ยังมีสุขภาพโดยทั่วไปแข็งแรงอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่สุนัขอาเจียนบ่อยๆ เช่น วันละครั้ง และมีน้ำหนักลดลงตามไปด้วย อันนี้จะถือว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องพาไปพบสัตวแพทย์อย่ารอข้าทีเดียวครับ
8.ท้องเสีย ปัญหาท้องเสียถือเป็นสัญญาณเตือนว่าสุนัขป่วยที่จะสังเกตได้ไม่ยาก และปัญหาส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับอาหารการกินและลำไส้ ซึ่งถ้าเกี่ยวกับลำไส้ก็นับว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนอีกกรณีหนึ่งที่ต้องรีบพาไปพบสัตวแพ
ทย์ ซึ่งบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นเมื่อสุนับเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิแพ้หรือการย่อยอาหารได้เช่
นกัน ซึ่งก็ไม่ถือเป็นปัญหาเร่งด่วนนัก แต่การรักษาแต่เนิ่นๆ ก็จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคต จนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
9.อาการไอ สัญญาณเตือนนี้ถือเป็นปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง เมือสุนัขไอต้องสังเกตดูลักษณะของการไอ ซึ่งสามารถเกิดเป็นอาการของโรคร้ายแรงได้หลายๆ โรค โดยเฉพาะโรคพยาธิหัวใจ สุนัขมักจะไอแห้งๆ และไอบ่อยๆ เหมือนพยายามคายอะไรออกมา อาการนี้ไม่ควรปล่อยไว้ ต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยเร็ว
สัญญาณอันตรายที่กล่าวมาทั้ง 9 ข้อนี้ เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของการเกิดโรคต่างๆ ของสุนัขเลยทีเดียว ดังนั้นเจ้าของสุนัขต้องไม่ละเลย ที่จะดูแลสุนัขของตัวเองอย่างใกล้ชิด และทำความเข้าใจข้อที่ใกล้เคียงกันของอาการต่างๆ เหล่านี้ได้ ว่าเป็นอาการหนึ่งของโรคร้ายแรง หรือว่าเป็นเพียงอาการผิดปกติเพียงเล็กน้อย เพื่อที่ว่าขั้นตอนต่อไปในการรักษาจะได้ทันท่วงที ไม่ล่าช้าจนเกินไป แล้วเจ้าตูบก็จะมีชีวิตที่ยืนยาวอยู่กับเราได้นานๆ และก็อยู่อย่างมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์อีกด้วย ดังนั้น อย่ากลัวหรือเบื่อหน่ายกับการพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เลยครับ