คาถาพระฤาษี คาถาปู่ฤาษี คาถาพ่อแก่
ในหนังสือบทละครเรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ กล่าว ไว้ตอนท้าวไกรสุทรับสั่งให้สังฆการีออกไปนิมนต์ฤาษีนารอท มาเข้าพิธีอภิเษกสมรสพระอุณรุทกับนางศรีสุดา มีความว่า
"เมื่อนั้น พระนารอททรงญาณฌานกล้า ได้แจ้งไม่แคลงวิญญา ก็บอกหมู่สิทธาพร้อมกัน ต่างผลัดเปลือกไม้คากรอง ครองหนังเสือสอดจำมขัน กรกุมไม้เท้างกงัน พากันรีบมายังธานี"
ดังนี้แสดงว่าเวลาอยู่ป่านุ่งเปลือกไม้คากรอง ออกนอกอาศรมเข้าเมือง ก็เปลี่ยนเป็นเครื่องหนัง และที่กล่าวมานี้ที่จะเป็นฤาษีแบบไทยๆ ที่มีระเบียบวัฒนธรรมแล้วหรืออย่างไรไม่ทราบ ฤาษีของอินเดียก็ว่านุ่งห่มสีขาว ทีจะเป็นฤาษีเมื่อบ้านเมืองเจริญแล้ว ดึกดำบรรพ์ก่อนโน้นจะมีนุ่งหนังเสือบ้างกระมัง
ตามภาพเขียนสมัยโบราณ ถ้ามีภาพป่าหิมพานต์ มีรูปต้นมักกะลีผล จะเห็นพวกวิทยาธรและพวกที่แต่งตัวคล้ายๆ ฤาษีเหาะขึ้น ไปเชยชมสาวมักกะลีผลกันเป็นกลุ่มๆ ความจริงไม่ใช่ฤาษีแท้ เป็น พวกนักสิทธ นี่ว่าตามคติอินเดียที่เขาถือว่า นักสิทธไม่ใช่ฤาษี เป็นแต่ผู้สำเร็จจำพวกหนึ่งเท่านั้น ทำนองเดียวกับพวกวิทยาธรหรือพิทยาธร ในหนังสือวรรณคดีไทยเรียกว่า ฤาสิทธ ก็มี มักเรียกรวมๆ กันว่า ฤาษีฤาสิทธ หรือ ฤาษีสิทธวิทยาธร
ในวรรณคดีอินเดียกำหนดจำนวนพวกนักสิทธไว้ตายตัว มีจำนวน ๘๘,๐๐๐ ทางไทยเราดูจะนับนักสิทธเป็นฤาษีไปด้วย
ในเอกสารที่เก่าที่สุดของไทยคือ ไตรภูมิพระร่วง ของ พระญาลิไท ก็เรียกฤาสิทธว่าเป็นอย่างเดียวกับฤาษี ดังความตอนหนึ่งว่า
"ครั้นว่านางสิ้นอายุศม์แล้วจึงลงมาเกิดที่ในดอกบัวหลวงดอก ๑ อัน มีอยู่ในสระๆ หนึ่ง มีอยู่แทบตีนเขาพระหิมวันต์ฯ เมื่อนั้นยังมีฤาษีสิทธองค์ ๑ ธ นั้นอยู่ในป่าพระหิมพานต์ ธ ย่อมลงมาอาบน้ำในสระนั้นทุกวัน ธ เห็นดอกบัวทั้งปวงนั้นบานสิ้นแล้วทุกดอก ๆ แลว่ายังแต่ดอกเดียวนี้บมิบานแล ดุจอยู่ดังนี้บมิบานด้วยทั้งหลายได้ ๗ วัน ฯ พระมหาฤาษีนั้น ธ ก็ดลยมหัศจรรย์นักหนา ธ จึงหันเอาดอกบัวดอกนั้นมา ธ จึงเห็นลูกอ่อนอยู่ในดอกบัวนั้นแล เป็นกุมารีมีพรรณงามดั่งทองเนื้อสุก พระมหาฤาษีนั้น ธ มีใจรักนักหนา จึงเอามาเลี้ยงไว้เป็นพระปิยบุตรบุญธรรม แลฤาษีเอาแม่มือให้ผู้น้อยดูดกินนม แลเป็นน้ำนมไหลออก แต่แม่มือมหาฤาษีนั้นด้วยอำนาจบุญพระฤาษี"
ดังนี้จะเห็นว่า ใช้คำ ฤาสิทธ ในความหมายเดียวกับ ฤาษี และนิยายทำนองนี้ดูจะแพร่หลายมาก ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง มีเรื่องฤาษีเก็บเด็ก จากดอกบัวมาเลี้ยงแทรกอยู่เสมอ
ลักษณะความเป็นอยู่ของฤาษีเท่าที่เราเข้าใจกัน โดยทั่วๆ ไปนั้น ก็ว่ากินเผือกมันเป็นอาหาร เพราะไม่มีการทำไร่ไถนา บางคัมภีร์มีข้อห้ามพวกฤาษีไม่ให้เข้าหมู่บ้าน ไม่ให้ย่างเหยียบเข้าไปในเขตพื้นดิน ที่เขาไถแล้ว แต่ในที่บางแห่งกล่าวว่า ฤาษีนั้นแบ่งออกเป็น ๘ จำพวกด้วยกันคือ
๑.สปุตตภริยา คือฤาษีที่รวบรวมทรัพย์ไว้บริโภคเหมือนมีครอบครัว
๒.อุญฉาจริยา คือฤาษีที่เที่ยวรวบรวมข้าวเปลือกและถั่วงาเป็นต้นไว้หุงต้มกิน
๓.อนัคคิปักกิกา คือฤาษีที่รับเฉพาะข้าวสารไว้หุงต้มกิน
๔.อสามปักกา คือฤาษีที่รับเฉพาะอาหารสำเร็จ (ไม่หุงต้มกินเอง)
๕.อัสมุฏฐิกา คือฤาษีที่ใช้ก้อนหินทุบเปลือกไม้บริโภค
๖.ทันตวักกลิกา คือฤาษีที่ใช้ฟันแทะเปลือกไม้บริโภค
๗.ปวัตตผลโภชนา คือฤาษีที่บริโภคผลไม้
๘.ปัณฑุปลาสิก คือฤาษีที่บริโภคผลไม้หรือใบไม้เหลืองที่หล่นเอง
ในหนังสือ ลัทธิของเพื่อน โดย เสฐียรโกเศศ นาคประทีป ได้กล่าวถึงพวกฤาษีไว้ตอนหนึ่งว่า
"เกิดมีพวกนักพรตประพฤติเนกขัมม์ขึ้น พวกนี้มักอาศัยอยู่ ในดงเรียกว่า วานปรัสถ์ (ผู้อยู่ป่า) หรือเรียกว่า ฤาษี (ผู้แสวง) ปลูกเป็นกระท่อมไม้หรือมุงกั้นด้วยใบไม้ (บรรณศาลา) เป็นที่อาศัย"
กระท่อมชนิดนี้ถ้าอยู่รวมกันได้หลายคนเรียกว่า อาศรม พวกฤาษีใช้เปลือกไม้หรือหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม และขมวดผมมวย ให้เป็นกลุ่มสูงเรียกวา ชฎา อาศัยเลี้ยงชีพด้วยมูลผลาหารของป่า
ลัทธิที่ประพฤติมีการบำเพ็ญตบะทรมานกายอย่างเคร่งเคร ียด เพียรพยายามทนความหนาวร้อน อดอาหาร และทรมานด้วยวิธีต่างๆ
ความมุ่งหมายที่บำเพ็ญตบะ ยังคงหวังให้มีฤทธิเดช อย่างความคิดในชั้นเดิมอยู่ แต่ว่าเริ่มจะมุ่งทางธรรมแทรกขึ้นอีกชั้นหนึ่งด้วย กล่าวคือการบำเพ็ญตบะ เป็นทางที่จะซักฟอกวิญญาณให้บริสุทธิ์สะอาด เข้าถึงพรหม และเกิดฤทธิเดชเหนือเทวดามนุษย์
ในอีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ผู้ที่อยากเป็นฤาษีเขามีตำราเรียนเรียกว่า คัมภีร์อารัญยกะ แปลว่า เนื่องหรือเกี่ยวกับป่า ชายหนุ่มที่ไปบวชเรียน เป็นฤาษีจะต้องเรียนและปฏิบัติที่มีกำหนดไว้ในคัมภีร ์ อะไรเป็นปัจจัย ให้ต้องประพฤติตนเป็นฤาษี ตอบได้ไม่ยากนักคือ เขาเห็นว่า ความประพฤติของ ชาวกรุงชาวเมืองในมัธยมประเทศสมัยโน้น เลอะเทอะเต็มที มักชอบประพฤติ แต่เรื่องสุรุ่ยสุร่ายเอ้อเฟ้อ อยู่ด้วยกามคุณ ต้องการจะมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เหมือนบรรพบุรุษครั้งดึกดำบรรพ์ ครั้งไกลโน้นประพฤติกันอยู่ ชะรอยบรรพบุรุษของชาวอริยกะครั้งกระโน้น จะไม่ใช่เป็นคนเพาะปลูก และใช้เปลือกไม้และหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม เห็นที่จะเอาอย่างบรรพบุรุษ ครั้งดึกดำบรรพ์ ซึ่งยังไม่รู้จักหว่านไถและยังไม่รู้จักทอผ้า คงจะสร้างทับ กระท่อมกันอยู่ในป่า ไว้ผมสูงรกรุงรัง พวกฤาษีจึงได้เอาอย่าง"
เท่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นคือลักษณะและความเป็นอยู่ข องฤาษีโดยทั่วๆ ไป แต่ยังมีอีกลักษณะหนึ่งซึ่งไม่ได้กล่าวถึง คือ การมีบุตรและภรรยา
ฤาษีประเภทนี้มีมากจนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ฤาษีมีเมียได้ ซึ่งจะได้เล่าถึงในประวัติของฤาษีต่างๆ ต่อไปข้างหน้า
ดังได้กล่าวแล้วว่าฤาษีต้องเพียรบำเพ็ญตบะกันอย่างหนัก ฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจึงมีแตกต่างกันไปตามความเพียรพยายาม ใครปฏิบัติได้มากก็ได้รับการยกย่องให้เป็นฤาษีอันดับสูง เท่าที่ทราบเขาจัดฤาษีไว้ ๔ ชั้นดังนี้
๑.ราชรรษี (เจ้าฤาษี)
๒.พราหมณรรษี (พราหมณฤาษี)
๓.เทวรรษี (เทพฤาษี)
๔.มหรรษี (มหาฤาษี)
ใบเหลือง สุขุมพ้ันธ์ ก็เำพราะภาพนี้ (เเค่เกมส์เบี้ยเเลกขุน)
คนแห่ขอยา "เบญจอำมฤตย์" รักษามะเร็งฟรี ยอดพุ่ง 30 เท่า
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ เผย "ยาเบญจอำมฤตย์" ได้รับความนิยมหลังทำประชาสัมพันธ์ ทำผู้ป่วยมะเร็งแห่มาขอรับเพิ่มขึ้นวันละ 30 เท่า มั่นใจมีเพียงพอในการแจกจ่าย...
นายแพทย์ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้ากรณีที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ แจกยาสมุนไพรโบราณ สูตรเบญจอำมฤตย์ เป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ให้ใช้รักษาร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งสูตรยาดังกล่าว ประกอบด้วย สูตรยาในคัมภีร์แพทยศาสตร์สงเคราะห์ 9 ตัว ได้แก่ มหาหิงค์ ยาดำบริสุทธิ์ รงทอง มะกรูด ขิงแห้ง ดีปลี พริกไทย รากทนดี และดีเกลือ ว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยมาขอรับยาเบญจอำมฤตย์ มากกว่าเดิมประมาณ 30 เท่า คือ จากเดิมจะมีผู้ป่วยมาตรวจและรับยาประมาณวันละ 2-3 ราย แต่ภายหลังจากมีการเผยแพร่ข้อมูลออกไป ก็มีผู้ป่วยไปตรวจและขอรับยาสูตรดังกล่าวประมาณวันละ 60-70 ราย
นอกจากนี้ ยังมีการโทรศัพท์เข้ามาขอรับยาอีกวันละประมาณ 100 ราย แต่โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยยศเส ไม่สามารถจ่ายยาให้ได้ เนื่องจากผู้ป่วยที่จะได้รับยาต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แผนไทยที่โรงพยาบาลก่อน จึงจะรับยาได้ และต้องมีการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้มาขอรับยามากขึ้น แต่โรงพยาบาลก็ยังมีการสำรองยาเก็บไว้ในปริมาณที่มากพอสมควร เพื่อให้ครอบคลุมกับผู้ป่วยทุกคนที่อยู่ในโครงการของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ และในเรื่องของวัตถุดิบก็ยังคงมีเพียงพอ แต่จะติดขัดอยู่บ้าง ที่การผลิตอาจจะไม่ทัน แต่ก็จะพยายามให้ทำการผลิตให้เต็มที่ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายเวลามีน้อย รอไม่ได้
"อยากทำความเข้าใจ และขอย้ำว่า การให้ญาติไปขอรับยา โดยไม่นำผู้ป่วยไปด้วยนั้น โรงพยาบาลจะไม่สามารถให้ยาได้ เนื่องจากยาดังกล่าวยังต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ และเพื่อป้องกันการนำยาไปแจกจ่ายให้กับผู้อื่นต่อและใช้อย่างไม่เหมาะสม"
ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการผลิตนั้น ถือว่ายังอยู่ในปริมาณที่สามารถแจกจ่ายฟรีให้กับผู้ป่วยได้เหมือนเดิม เพราะต้นทุนไม่สูงมากนัก เฉลี่ยราคาโดยรวมอยู่ที่ประมาณเม็ดละ 10 บาท ส่วนแหล่งผลิตก็จะอยู่ในประเทศไทย โดยขณะนี้ผลิตอยู่ที่โรงพยาบาลอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี.
ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวภายหลังเป็นประธานมอบนโยบายทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แก่ผู้บริหารและผู้รับผิดชอบงานแพทย์แผนไทยกว่า 600 คนว่า หลังจากกรมฯเปิดตัวสูตรยาตำรับยาเบญจอำมฤตย์" ซึ่งเป็นสูตรยาในตำรับแพทยศาสตร์สงเคราะห์
ประกอบด้วย รงทอง มหาหิงค์ ยาดำ ตองแตก (ทนดี) พริกไทย ดีปลี ดีเกลือฝรั่ง มะกรูด และขิง ในการบำบัดผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย โดยได้ดำเนินการแจกฟรีให้แก่ผู้ป่วยที่มารักษาในโรงพยาบาลการแพทย์ผสมผสานที่ยศเส ซึ่งผ่านการศึกษาวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าสามารถลดเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลองได้อย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งตับ จึงนำมาสู่การทดลองในระดับอาสาสมัคร คือ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย ที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ทั้งฉายแสง คีโม จึงเปิดโอกาสให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายได้รับยาดังกล่าวที่รพ.การแพทย์ผสมผสานที่ยศเส
"หลังเปิดตัวมา 20 วันได้รับความสนใจจากผู้ป่วยจำนวนมากเฉลี่ยวันละ 80-150 คน โดยรวมยอดถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 มีผู้ป่วยเข้ามาแล้วกว่า2,000 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่สมัครใจเข้ารับการรักษาแบบให้ติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีมีจำนวน 50 ราย เป็นผู้ชาย 35 ราย ผู้หญิง 15 ราย จากการติดตามอาการเบื้องต้นพบว่า อาการดีขึ้น ลดอาการแน่นท้อง ท้องอืดได้ และยังลดภาวะท้องมานลงได้ด้วย ซึ่งในอนาคตจะติดตามว่าเซลล์มะเร็งลดลงด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ ในโครงการยังเปิดรับสมัครอีก 50 ราย เพื่อให้ได้ผลการติดตามอาการอย่างเป็นทางการ" นพ.ธวัชชัย กล่าว
นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า จากการตอบรับดังกล่าว ทำให้สูตรยาเบญจอำมฤตย์ได้รับความสนใจมาก ปัญหาคือ ประชาชนแห่กันไปซื้อวัตถุดิบและนำมาผสมกันกินแก้โรคเอง ซึ่งอันตรายมาก เพราะปริมาณที่ลดเซลล์มะเร็งตับในการทดลองนั้น พบว่าต้องใช้สูตรยาเพียง 0.22 ไมโครกรัมต่อซีซี แต่ประชาชนนำไปใช้เองย่อมไม่ทราบ จึงถือว่าอันตราย ส่งผลต่อตับและไต ได้โดยตรง และอาจทำลายเซลล์อวัยวะดีส่วนอื่นๆ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม จากจุดนี้ทำให้พ่อค้า แม่ค้าหัวใสขึ้นราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะรงทอง จากเดิมราคา 300บาทต่อกิโลกรัม เป็น 800 บาทต่อกิโลกรัม ยาดำ จากเดิม 400 -500 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 600-800 บาทต่อกิโลกรัม มหาหิงค์จากเดิม 350-450 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 550 บาทต่อกิโลกรัม
ภญ.ดลิชา ชั่งสิริพร หัวหน้างานแพทย์แผนไทย รพ.อู่ทอง กล่าวว่า ขณะนี้รพ.อู่ทองเป็นแหล่งผลิตในภาคกลางที่มีสต๊อกวัตถุดิบ สามารถผลิตได้ประมาณ 200,000 เม็ด ราคาตกเม็ดละ 5 บาท ซึ่งโดยรวมแล้วผู้ป่วยจะทานวันละ3-5 เม็ดต่อหม้อ โดยทานวันละ 2 มื้อ ดังนั้น จะมีราคาไม่เกินวันละ 50 บาท แม้ราคาไม่แพง แต่หากวัตถุดิบยังขึ้นราคา ที่สำคัญปัจจุบันต้องนำเข้าในตัวรงทองจากประเทศกัมพูชา ยาดำจากประเทศแอฟริกา และมหาหิงค์จากอินเดีย ก็จะทำให้วัตถุดิบยิ่งหายาก และสุดท้ายก็จะขาดตลาด ส่งผลต่อผู้ป่วยไม่มียารับประทาน จึงอยากขอให้ผู้ขายเห็นใจ อย่าขึ้นราคา เพราะโครงการนี้ทำเพื่อผู้ป่วย ในส่วนเกษตรกรอยากให้หันมาปลูกพืชสมุนไพร อย่างรงทอง ก็สามารถปลูกได้ในไทย โดยเฉพาะจ.จันทบุรี มีสภาพภูมิประเทศที่ปลูกได้ หากปลูกได้ในประเทศก็จะลดปัญหาวัตถุดิบได้ด้วย
" ดู๊...ทำเป็นมองเข้า........"
อ่านสัญญาณไฟจากรถบรรทุก ในถนนหลวงไทย
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเวลาขับรถแซงหรือสวนรถบรรทุกทั้งหลาย ทางรถบรรทุกมักจะส่งสัญญาณไฟเลี้ยวแปลก ที่เราไม่เข้าใจ วันนี้เรามาดูกันครับว่าสัญญาณไฟเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร
1. เปิดไฟเลี้ยวซ้ายทีขวาทีสลับกัน หมายความว่าให้ระวัง อาจเพราะเขาจะเบรก หรือทางข้างหน้ามีปัญหาเช่น มีด่าน มีอุบัติเหตุ รถคันข้างหน้าเบรกกะทันหัน เป็นต้น เอาเป็นว่าเจอรถบรรทุกทำแบบนี้ตามไปก่อนละกันครับอย่าเพิ่งแซง
2. เปิดไฟเลี้ยวซ้ายอย่างเดียว หมายความว่าเขายินดีให้เราแซงขึ้นไปได้ครับ และในกรณีเลนสวนทางกัน ก็สามารถหมายถึงข้างหน้าไม่มีรถสวนมา ให้เราแซงได้โดยปลอดภัยครับ
3. เปิดไฟเลี้ยวขวาค้างไว้หรือเปิดเป็นจังหวะ เจอแบบนี้ห้ามแซงครับ เขาหมายถึงเขาไม่อยากให้เราแซง โดยส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจาก เขากำลังแซงคันข้างหน้า กำลังจะเลี้ยวขวา หรือ อาจจะมีรถสวนมาเป็นต้น เอาเป็นว่าเจอรถบรรทุกเปิดไฟเลี้ยวขวาข้างไว้ อย่าแซงครับ
4. ในกรณีขับรถตามกัน หากเราแซงรถบรรทุกขึ้นไปจนพ้น จะสังเกตได้ว่าคนส่วนใหญ่จะทำกันสองอย่างครับ
4.1. ในจังหวะที่รถเรากำลังตีคู่กันรถบรรทุกจะเปิดไฟสูงให้เราเห็นทางข้างหน้าและลดไฟลงต่ำเมื่อเราแซงพ้น บางคันอาจปิดไฟหน้า (ตอนกลางคืน) นั่นหมายความว่าเราแซงพ้นแล้ว ให้เข้ามาในเลนได้ แต่ถ้าเป็นกลางวันเขาจะกระพริบไฟ 1 ทีครับ
4.2. เขาอาจบีบแตรเบาๆเป็นสัญญาณให้ 1 ทีก็ได้ครับ แต่หลักที่นิยมทำกันคือเมื่อเขาเปิดทาง และเราแซงขึ้นไป เมื่อเราตีคู่ในระดับเดียวกับรถบรรทุกเราจะบีบแตรสั้น 1 ครั้งเป็นการขอบคุณ และทางรถบรรทุกมักจะบีบตอบสั้นๆ 1 ครั้งเช่นกัน
5. ขับสวนกันแล้วดับไฟหน้าแล้วเปิด หมายความว่าข้างหน้ามีด่านหรือมีอุบัติเหตุร้ายแรง ให้ระวังไว้ครับ
6. ขับสวนกันแล้วกระพริบไฟหน้าและเปิดไฟเลี้ยว 1 ที แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเตือนเรื่องด่านครับ ต้องมองดูดีๆที่ไฟเลี้ยวด้วยนะครับ เพราะกระพริบไฟหน้าและเปิดไฟเลี้ยวข้างที่ชี้มาทางเรา หมายความว่าด่านอยู่ทางเราครับ แต่ถ้าเปิดไฟเลี้ยวด้านฝั่งเขา แสดงว่ามีตำรวจอยู่ฝั่งนู้นครับ
7. ขับสวนกันแล้วกระพริบไฟหน้า บางทีอาจไม่มีอะไรครับ อาจจะแค่การทักทาย การเช็คว่าเราหลับในรึเปล่า ใช้ไฟสูงอยู่ไหม หรือเป็นการถามว่าทางที่เราผ่านมามีด่านหรือไม่
8. ขับสวนกันแล้วมีขบวนรถบรรทุกขับสวนขึ้นมา สถานการณ์นี้ให้มองรถบรรทุกลำดับที่ 2 ในแถวไว้ให้ดีนะครับ หากรถคันที่ 2 หรือคันต่อๆไปในแถวที่สวนมากระพริบไฟหรือเบี่ยงหัวออกมาทางเลนเรานิดหนึ่งและกระพริบไฟ นั่นแสดงว่ารถคันแรกในขบวนช้า เขากำลังจะแซงออกมาแล้วครับ เตรียมชะลอความเร็วแล้วเข้าไหล่ทางนะครับ เปิดทางให้รถบรรทุกหน่อย
อย่าไปอวดดีเด็ดขาดนะครับ รถบรรทุกพวกนี้พอออกมาแล้วไม่กลับแน่นอนครับ ถ้าคุณไม่หลบ คุณก็แหลกครับ รถใหญ่บนทางหลวงเขาไม่ลงไหล่ทางแน่นอนครับเพราะว่ารถมันหนัก ถ้าลงไหล่ มันจะเอาไม่อยู่และพลิกคว่ำทันทีครับ เพราะฉะนั้นหลบได้ก็หลบเถิด
และอีกอย่างหนึ่งรถใหญ่หนัก เขาจะไม่ค่อยเบรกกัน เมื่อเขาได้รอบได้จังหวะ เขาจะออกมาทันที เราต้องเป็นฝ่ายหลบนะครับ อาจจะดูเหมือนทางเขาผิด แต่ต้องเข้าใจเขานะครับว่ารถใหญ่และหนักกว่าจะแซงได้มันลำบาก หลบๆไปก่อนเถอะครับ
cr http://www.thaimocyc.com/ #แอดมินสาระดี
ยูโรคอปเตอร์ EC 225 ของบริษัทอากาศยานภาคใต้ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงกลาโหม ทางการเวียดนามกล่าวว่าได้สั่งให้หน่วยค้นหากู้ภัยทุกจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านค้นหาในอาณาบริเวณเครื่องบินสายการบินมาเลเซียพร้อมผู้
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- สื่อของทางการเวียดนามได้แสดงแผนที่จำลองแสดงจุดเครื่องบินโดยสารสายการบินมาเลเเชียแอร์ไลน์สพร้อมผู้โดยสารกับลูกเรือ 239 คนตกในอาณาบริเวณตอนล่างของทะเลอ่าวไทยซึ่งอยู่ในเขตรอยต่อน่านน้ำเวียดนาม-มาเลเซีย โดยระบุว่าเป็นการแสดงความเป็นไปได้โดยใช้จากข้อมูลจากเรดาร์ของกองทัพเรือ แม้ว่าทางการมาเลเซียจะออกแถลงยังไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ตาม
การจัดทำแผนที่ดังกล่าวยังมีขึ้นหลังจากเครื่องโบอิ้ง 777-200ER ขาดการติดต่อไปเป็นเวลาเกือบ 13 ชั่วโมงในวันเสาร์ 87 มี.ค.นี้ และมีขึ้นหลังจากนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือภาค 5 เวียดนามให้สัมภาษณ์ว่า เที่ยวบิน MH370 ตกลงในทะเลอ่าวไทยห่างจากเกาะฟุก๊วกลงไปทางใต้ราว 300 กิโลเมตร ในรอยต่อน่านน้ำของสองประเทศ ซึ่งนายทหารเรือเวียดนามกล่าวว่าเป็นการง่ายกว่าหากการค้นหาจะเริ่มจากมาเลเซียหรือประเทศไทย เนื่องจากอยู่ใกล้กับจุดตกมากกว่า หนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋รายงานเรื่องนี้ในเว็บไซต์ข่าวยอดนิยมภาษาเวียดนาม
หนังสือพิมพ์ของสันนิยาติยุวชนคอมมิวสนิสต์โฮจิมินห์ยังระบุด้วยว่า กองทัพเรือกับหน่วยตรวจชายฝั่งเวียดนามได้จัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ค้นหากกู้ภัยทางทะเลพร้อมจะเข้าช่วยเหลือการค้นหาผู้โดยสารที่อาจจะยังรอดชีวิตถ้าหากประเทศเพื่อนบ้านต้องการ แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้รับติดต่อขอร้องใดๆ จากทางการมาเลเซีย นอกจากนั้นยังพร้อมที่จะให้อากาศยานค้นหากู้ภัยของมาเลเซียเข้าร่วมค้นหาในน่านน้ำเวียดนามอีกด้วยหากได้รับการติดต่อประสานงาน
พล.ร.ต.โงวันฟ้าต (Ngo Van Phat) นายทหารหัวหน้าฝ่ายการเมืองกองทัพเรือภาค 5 ที่้เกาะฟุก๊วกเปิดเผยเมื่อเวลาประมาณ 11 น.วันเสาร์นี้ว่า เครื่องบินโดยสารของมาเลเซียแอร์ไลน์สตกลงในทะเล ในอาณาบริเวณที่อยู่ห่างจากเกาะโถ๋จู (Tho Chu) ในหมู่เกาะฟุก๊วก (Phu Quoc) จ.เกียนซยางของเวียดนามไปทางทิศใต้ราว 153 ไมล์ทะเล
สำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรสรายงานเรื่องนี้ว่า การจัดทำแผนที่จำลองนั้นทำขึ้นจากข้อมูลเรดาร์ของกองทัพเรือเวียดนาม ในขณะที่นายฝ่ามเถเฮียน (Pham The Hien) ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานการค้นหาและกู้ภัยทางทะเลภาค 3 เปิดเผยว่า โดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับเวลาขึ้นบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ของเที่ยวบิน MH370 และข้อมูลการติดต่อสื่อสารครั้งสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะหายไป เมื่อคิดคำนวณเข้ากับความเร็วในการบินปรกติของเครื่องบินโดยสารลำดังกล่าวแล้วจะพบว่า จุดเครื่องบืนตกอาจจะเป็นจุดตัดเส้นรุ้งที่ 6 องศา 56 ลิบดาเหนือกับเส้นแวงที่ 103 องศา 35 ลิบดาตะวันออก ห่างจากแหลมก่ามาว (Ca Mau) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 230 กม.
"เราพร้อมส่งเรือกู้ภัยจากศูนย์ฯ ที่เกาะฟุก๊วกเพื่อร่วมค้นหาจุดเครื่องบินตก" นายเฮียนกล่าว
โทรทัศน์จีนรายงานก่อนหน้านั้นว่า ฝ่ายจีนได้ส่งเรือค้นหากู้ภัยทางทะเลเข้าทะเลจีนใต้แล้ว สื่อในฟิลิปปินส์รายงานว่าหน่วยชายฝั่งของฟิลิปปินส์ได้ส่งเรือตรวจการณ์กับเครื่องบินลาดตระเวณออกสำรวจในน่านน้ำของตนเพื่อช่วยค้นหาในอาณาบริเวณน่าสงสัย และมาเลเซียได้ส่งเครื่องบิน 1 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ กับเรือกู้ภัยอีก 4 ลำออกค้นหาตั้งแต่เช้า ถึงแม้กระทรวงคมนาคมในกรุงกัวลาลัมเปอร์จะประกาศว่ายังไม่พบหลักฐานใดๆ ยืนยันว่าเครื่องบินตกลงในทะเลอ่าวไทยก็ตาม และเที่ยวบิน MH370 ยังอยู่ในสถานะ "สูญหาย"
เวียดนามเอ็กซ์เพรสยังรายงานอ้างการสัมภาษณ์นายดีงลาถัง (Dinh La Thang) ในเช้าวันเสาร์ซึ่งระบุว่าเครื่องบินโดยสารของมาเลเซียได้ขาดการติดต่อก่อนจะบินเข้าเขตข้อมูลการบิน (Flight Information Region) นครโฮจิมินห์ราว 1 นาที ก่อนจะหายไปจากจอเรดาร์และการติดต่อทางวิทยุขาดหายไปตั้งแต่นั้น
สำนักข่าวและหนังสือพิมพ์ออนไลน์ภาษาเวียดนามได้จัดทำแผนที่จำลองแสดงจุดตกลงเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง หนังสือพิมพ์ของทางการระบุว่าใ "พล็อต" จากข้อมูลเรดาร์ของกองทัพเรือ ขณะที่ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานการค้นหาแและกู้ภัยทางทะเลกล่าวว่าคิดคำนวนจากข้อมูลต่างๆรวมทั้งจุดสุดท้ายที่เครื่องบินขาดการติดต่อ หน่วยงานนี้ระบุเส้นรุ้ง-เส้นแวงอย่างชัดเจน.
นายถังกล่าวด้วยว่าตอนเช้าวันเสาร์นี้มาเลเซียได้ขออนุญาตส่งเครื่องบินเข้าค้นหาในเขต FIR นครโฮจิมินห์ เพื่อตามหาโบอิ้ง 777-200ER ลำที่สูญหาย ฝ่ายเวียดนามเองได้สั่งให้หน่วยค้นหากู้ภัยในจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเตรียมพร้อมช่วยเหลือฝ่ายมาเลเซียหากได้รับการขอร้อง แต่หนังสือพิมพ์เตือยแจ๋รายงานในเว็บไซต์เวลาต่อมาอ้างแหล่งข่าวว่านายทหารกองทัพเรือภาค 5 ที่ระบุว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือใดๆ จากฝ่ายมาเลเซียในขณะนั้น
"จุดเครื่องบินตกควรให้มาเลเซียเป็นฝ่ายระบุเองเนื่องจากอยู่ในเขตน่านน้ำที่ใกล้มาเลเซียและไทยมากกว่าเวียดนาม หน่วยกู้ภัยของทั้งสองประเทศจะไปถึงที่นั่นได้เร็วกว่าเวียดนาม แต่เราก็พร้อมที่เข้าร่วมมือช่วยเหลือทั้งสองประเทศตามความตกลงที่มีอยู่แล้ว" เจ้าหน้าที่คนเดียวกันกล่าว
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่สำนักงานตัวแทนสายการบินมาเลเซียในกรุงฮานอย บอกกับสำนักข่าวเวียเดนามเอ็กซ์เพรสเมื่อเวลา 13.00 น.ว่า จนถึงขณะนั้นยังไม่สามารถระบุจุดเครื่องบินตกได้
"เรายังคงทำงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความพยายามระหว่างประเทศเพื่อค้นหาเครื่องบิน" เจ้าหน้าที่ของมาเลเซียแอร์ไลน์สในเวียดนามกล่าว
เมื่อเวลา 113.0 น.นายฝ่ามกวี๋ (Pham Quy) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเวียดนามกล่าวกับ VNExpress ว่า ตอนเช้าวันเดียวกันเฮลิคอปเตอร์ค้นหาของมาเลเซียลำหนึ่งได้ออกสำรวจบริเวณรอยต่อติดกับน่านน้ำเวียดนาม ในขณะที่ดาโต๊ะเสรีฮิชามุดดินฮุนเซน รัฐมนตนรีคมนาคมมาเลเซียแถลงในตอนบ่ายว่า ยังคงติดตามข่าวเกี่ยวกับแหล่งเครื่องบินตกอยู่ตอ่ไปและยังไม่ได้รับข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับการพบเครื่องบิน.
อันดับสายการบินที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2013
สายการบินที่อันตรายที่สุดในโลก
สถิติความปลอดภัยการจราจรทางอากาศ ซึ่งจัดทำโดย Aero International
ที่มาจากมติชน http://www.askmedia.co.th/book/webboard_reply.php?id=36583
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน เว็บไซต์อาสก์เมน (www.askmen.com) จัดอันดับสายการบินที่อันตรายที่สุดในโลก 10 อันดับ โดยประเมินจากประวัติการเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในอดีตเทียบกับอัตราส่วนของเที่ยวบิน ผลปรากฎว่า
อันดับ 10 คือสายการบินการูด้าของอินโดนีเซีย บินสำเร็จ 2 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 352 คน
อันดับ 9 คือสายการบินไทย ระบุเหตุผลว่า แม้การบินไทยได้รับรางวัลใหญ่มาแล้วมากมาย เช่น มีลูกเรือดีที่สุด และสายการบินที่ดีที่สุดในโลกเมื่อปี 2549 อีกทั้งได้รับการยกย่องว่ามีสุขลักษณะในห้องโดยสารเป็นเลิศจากองค์การอนามัยโลก แต่นับย้อนไปช่วงทศวรรษที่ 80-90 นับเป็นหนึ่งในสายการบินที่ควรหลีกเลี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2535 เที่ยวบินที่ออกจากกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล มายังกรุงเทพฯประสบอุบัติเหตุตก มีผู้เสียชีวิตไป 113 ราย รวมแล้วการบินไทยมีเที่ยวบินที่ทำการบินสำเร็จ 1.98 ล้านเที่ยว เกิดอุบัติเหตุรุนแรงทำให้ผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 352 คน
อันดับ 8 สายการบินอาเวียงกา ของโคลมเบีย บินสำเร็จ 1.47 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 500 คน
อันดับ 7 ปากีสถาน อินเตอร์ เนชั่นแนล แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 1.43 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 5 ครั้ง ตาย 440 คน
อันดับ 6 อียิปต์แอร์ บินสำเร็จ 1.07 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 402 คน
อันดับ 5 เคนยา แอร์เวย์ส บินสำเร็จ 450,000 เที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 2 ครั้ง ตาย 107 ราย
อันดับ 4 ฟิลิปปินส์ แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 1.18 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุร้ายแรง 6 ครั้ง ตาย 107 ราย
อันดับ 3 อิหร่านแอร์ บินสำเร็จ 970,000 เที่ยว อุบัติเหตุร้ายแรง 5 ครั้ง เสียชีวิต 708 ราย
อันดับ 2 คือ ไชน่า แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 910,000 เที่ยวบิน อุบัติเหตุร้ายแรง 6 ครั้ง เสียชีวิตไป 763 ราย
อันดับ 1 คือสายการบินคิวบานา แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 320,000 เที่ยว เกิดอุบัติเหตุรุนแรง 8 ครั้ง ตาย 404 คน
โดยคุณPitbull 2013
อย่าให้คนโกงมีที่ยืน.......? ? ท่านจรัญ...จะพาเมียออกไปทานข้าวได้หรือเปล่าครับ ???
• คนแห่ขอยา "เบญจอำมฤตย์" รักษามะเร็งฟรี ยอดพุ่ง 30 เท่าต่อวัน
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวภายหลังเป็นประธานมอบนโยบายทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แก่ผู้บริหารและผู้รับผิดชอบงานแพทย์แผนไทยกว่า 600 คนว่า หลังจากกรมฯเปิดตัวสูตรยาตำรับยาเบญจอำมฤตย์" ซึ่งเป็นสูตรยาในตำรับแพทยศาสตร์สงเคราะห์
ประกอบด้วย รงทอง มหาหิงค์ ยาดำ ตองแตก (ทนดี) พริกไทย ดีปลี ดีเกลือฝรั่ง มะกรูด และขิง ในการบำบัดผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย โดยได้ดำเนินการแจกฟรีให้แก่ผู้ป่วยที่มารักษาในโรงพยาบาลการแพทย์ผสมผสานที่ยศเส ซึ่งผ่านการศึกษาวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าสามารถลดเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลองได้อย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งตับ จึงนำมาสู่การทดลองในระดับอาสาสมัคร คือ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย ที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ทั้งฉายแสง คีโม จึงเปิดโอกาสให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายได้รับยาดังกล่าวที่รพ.การแพทย์ผสมผสานที่ยศเส
"หลังเปิดตัวมา 20 วันได้รับความสนใจจากผู้ป่วยจำนวนมากเฉลี่ยวันละ 80-150 คน โดยรวมยอดถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 มีผู้ป่วยเข้ามาแล้วกว่า2,000 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่สมัครใจเข้ารับการรักษาแบบให้ติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีมีจำนวน 50 ราย เป็นผู้ชาย 35 ราย ผู้หญิง 15 ราย จากการติดตามอาการเบื้องต้นพบว่า อาการดีขึ้น ลดอาการแน่นท้อง ท้องอืดได้ และยังลดภาวะท้องมานลงได้ด้วย ซึ่งในอนาคตจะติดตามว่าเซลล์มะเร็งลดลงด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ ในโครงการยังเปิดรับสมัครอีก 50 ราย เพื่อให้ได้ผลการติดตามอาการอย่างเป็นทางการ" นพ.ธวัชชัย กล่าว
นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า จากการตอบรับดังกล่าว ทำให้สูตรยาเบญจอำมฤตย์ได้รับความสนใจมาก ปัญหาคือ ประชาชนแห่กันไปซื้อวัตถุดิบและนำมาผสมกันกินแก้โรคเอง ซึ่งอันตรายมาก เพราะปริมาณที่ลดเซลล์มะเร็งตับในการทดลองนั้น พบว่าต้องใช้สูตรยาเพียง 0.22 ไมโครกรัมต่อซีซี แต่ประชาชนนำไปใช้เองย่อมไม่ทราบ จึงถือว่าอันตราย ส่งผลต่อตับและไต ได้โดยตรง และอาจทำลายเซลล์อวัยวะดีส่วนอื่นๆ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม จากจุดนี้ทำให้พ่อค้า แม่ค้าหัวใสขึ้นราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะรงทอง จากเดิมราคา 300บาทต่อกิโลกรัม เป็น 800 บาทต่อกิโลกรัม ยาดำ จากเดิม 400 -500 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 600-800 บาทต่อกิโลกรัม มหาหิงค์จากเดิม 350-450 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 550 บาทต่อกิโลกรัม
ภญ.ดลิชา ชั่งสิริพร หัวหน้างานแพทย์แผนไทย รพ.อู่ทอง กล่าวว่า ขณะนี้รพ.อู่ทองเป็นแหล่งผลิตในภาคกลางที่มีสต๊อกวัตถุดิบ สามารถผลิตได้ประมาณ 200,000 เม็ด ราคาตกเม็ดละ 5 บาท ซึ่งโดยรวมแล้วผู้ป่วยจะทานวันละ3-5 เม็ดต่อหม้อ โดยทานวันละ 2 มื้อ ดังนั้น จะมีราคาไม่เกินวันละ 50 บาท แม้ราคาไม่แพง แต่หากวัตถุดิบยังขึ้นราคา ที่สำคัญปัจจุบันต้องนำเข้าในตัวรงทองจากประเทศกัมพูชา ยาดำจากประเทศแอฟริกา และมหาหิงค์จากอินเดีย ก็จะทำให้วัตถุดิบยิ่งหายาก และสุดท้ายก็จะขาดตลาด ส่งผลต่อผู้ป่วยไม่มียารับประทาน จึงอยากขอให้ผู้ขายเห็นใจ อย่าขึ้นราคา เพราะโครงการนี้ทำเพื่อผู้ป่วย ในส่วนเกษตรกรอยากให้หันมาปลูกพืชสมุนไพร อย่างรงทอง ก็สามารถปลูกได้ในไทย โดยเฉพาะจ.จันทบุรี มีสภาพภูมิประเทศที่ปลูกได้ หากปลูกได้ในประเทศก็จะลดปัญหาวัตถุดิบได้ด้วย
วันที่: Fri Nov 15 15:27:40 ICT 2024
|
|
|
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2552 รัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งย้าย “พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา” ไปเป็น “ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ” เพื่อตั้ง “ถวิล เปลี่ยนสี” เป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
โดยเป็นการโยกย้ายจากตำแหน่ง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ไปอยู่ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ” ตำแหน่งเดียวกันเด๊ะ... กลับ “ทำได้” ... ไม่เป็น “การกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย”
เพื่อไทย (โดยนายก..ตระกูลชินวัตร) แค่หายใจก็ยังผิด
7 มี.ค.57 ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 635/2555 ระหว่างนายถวิล เปลี่ยนศรี (ผู้ฟ้องคดี) กับนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากการมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 152/2554 ลงวันที่ 7 ก.ย.54 ให้นายถวิลพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ” นั้นเป็น “การกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย” และสั่งให้ “เพิกถอนประกาศสำนักนายกฯ” โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.2554 พร้อมทั้ง “พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายให้นายถวิลได้กลับสู่ตำแหน่งเลขาธิการสมช.ภายใน 45 วัน”
จาก พระนครสาสน์