Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ฝรั่งใจคด

ArjanPong | 01-03-2557 | เปิดดู 3425 | ความคิดเห็น 0

 

 

          
             วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2557 เป็นวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4

 

 

 

         วันพระ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

 

 

 

 

 

 

            พระธรรมเทศนา โดย พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนเเก้ว จ.นนทบุรี

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

  

 

 

 

  

 

 

 

 
 

 

                                    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                     ฝรั่งใจคด..

 

 

 


 

 

 

วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 หรือเหตุการณ์ใน พ.ศ.2436 ที่ฝรั่งเศสหาทางเขมือบสยาม ด้วยการส่งเรือรบเข้ามาปิดปากอ่าวไทยเพื่อเปิดเกมหาเรื่อง จากนั้นหมายจะกลืนกินสยามไปเป็นรัฐในอาณานิคมเช่นประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้สยามรอดพ้นหายนภัยมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

เมฆหมอกภัยสยาม เริ่มตั้งเค้าชัดเจนเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2436 รัฐบาลไทยได้รับคำเตือนจากฝรั่งเศสว่า ได้สั่งให้กองทัพเรือเดินทางจากไซ่ง่อน ประเทศเวียดนามแล้ว ถ้าเหตุการณ์ถึงคราวจำเป็น จะส่งเรือรบเข้าประชิดกรุงเทพมหานคร

ครั้น รัชกาลที่ 5 ทรงทราบ พระองค์เสด็จฯปากน้ำเจ้าพระยาโดยรถไฟขบวนพิเศษ ทอดพระเนตรป้อมปืนเสือซ่อนเล็บ ก่อนเสด็จฯ ทอดพระเนตรป้อมพระจุลจอมเกล้า สำรวจความพร้อมทหารเรือ ท่ามกลางความหวั่นวิตกของชาวกรุงเทพมหานคร เย็นวันที่ 13 กรกฎาคม 2436 เรือรบฝรั่งเศสก็เผยโฉมที่ปากน้ำเจ้าพระยา ป้อมปืนแต่ละป้อมเตรียมพร้อม ทหารเรือทุกนายพร้อมเปิดศึกไล่นักล่าอาณานิคมพ้นจากแผ่นดิน

เวลาเข้าไต้เข้าไฟประมาณ 18.05 น. วันเดียวกัน เรือรบฝรั่งเศสผ่านเข้ามาในปากน้ำเจ้าพระยา โดยมีเรือนำเข้ามาก่อน 1 ลำ ตามด้วยเรือรบ แองกองสตอง และเรือโกแมต เรียงเป็นขบวนเข้ามา แม้จะเป็นเรือรบขนาดใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยอาวุธทันสมัย แต่หาได้ข่มขวัญทหารเรือสยามไม่ ทหารเรือสยามภายใต้การนำของพระยาชลยุทธโยธินทร์ ได้รับคำสั่งให้ยิงด้วยกระสุนนัดดินเปล่าเตือน แม้จะยิงไป 4 นัด ก็หาได้เป็นผลไม่ ตรงกันข้ามเรือรบฝรั่งกลับยิงโต้ตอบกลับมาที่ป้อมพระจุล ทำให้สยามต้องสาดกระสุนกลับไป เท่ากับเปิดยุทธนาวีท่ามกลางน่านน้ำสยาม

ด้วยแสนยานุภาพของเรือรบและอาวุธที่ทันสมัย ทำให้เรือรบฝรั่งเศสแล่นผ่านป้อมปืนได้ การแก้สถานการณ์คับขันของสยามช่วง นี้ ไกรฤกษ์ นานา ผู้ศึกษาเหตุการณ์เล่าว่า “พระยาชลยุทธฯ ติดตามเรือรบฝรั่งเศสเข้าไปในกรุงเทพฯ โดยท่านหวังจะใช้ยุทธวิธีแบบโบราณคือ แล่นเรือเข้าชนข้าศึกให้จมในเวลาค่ำมืด และเรือที่คิดจะใช้นั้นคือ เรือพระที่นั่งจักรี หากแต่ได้รับการทัดทานจากสมเด็จพระปิยมหาราชเสียก่อน การรบจึงสงบลงในชั้นแรก”

ส่วนเรือรบฝรั่งเศสนั้น แล่นเข้าไปทอดสมออยู่บริเวณหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมโอเรียนเต็ลในปัจจุบัน
สิ้นการสู้รบ แต่ไม่สิ้นการเยียวยา ฝรั่งเศสใช้อำนาจบาตรใหญ่ บังคับให้สยามชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งๆที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายบุกรุก กระนั้นสยามก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องกัดฟันจ่ายเงินชดใช้ด้วยหยาดน้ำตาแห่งความขมขื่น

ฝรั่งเศสยื่นเงื่อนไขให้สยามถอนทหารสยามที่ตั้งมั่นอยู่บนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกิน 1 เดือน และให้จ่ายเงิน 3 ล้านฟรังก์ โดยชำระเป็นเงินเหรียญโดยทันที เพื่อเป็นค่าสินไหมค่าปรับสงคราม และยังให้รัฐบาลสยามตอบภายใน 48 ชั่วโมง ว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่

เพื่อรักษาเอกราช ชีวิตและเลือดเนื้อประชาชนไว้ แม้สยามจะดำเนินการทูตเพื่อยืดเวลามาได้กว่า 2 เดือน ก็ต้องยอมสงบศึกกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 ปัญหาต้องแก้ไขต่อมาคือ เงินค่าสินไหมสยามจะเอาจากไหนมาชดใช้ แค่เงินสยามยังพอทำเนา แต่ฝรั่งเศสใช้วิธีพาลให้ชดใช้ด้วยเงินเหรียญเท่านั้น โชคดีที่สยามมีบุญเก่าอยู่ เพราะสมัยรัชกาลที่ 3 พระองค์ได้ค้าขายกับต่างชาติ และมีเงินเก็บไว้

การทำมาค้าขายกับนานาชาตินั้น สยามใช้เงินเหรียญเม็กซิโก หรือเงินเหรียญนก เป็นสื่อกลาง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีรับสั่งด้วยว่า ให้เก็บเงินเหรียญเม็กซิโกใส่ถุงแดงไว้เป็นเงินทุนสำรอง เรื่องนี้มีวรรณกรรมกระซิบด้วยว่า มีเจ้านายบางองค์กราบทูลถามว่า จะเก็บเอาไว้ทำการสิ่งใด รัชกาลที่ 3 มีพระราชดำรัสตอบเป็นทีเล่นทีจริงว่า จะเก็บไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง

เงินถุงแดงทั้งหมดมี 3 หมื่นชั่ง เทียบกับเงินฟรังก์แล้วได้ประมาณ 2,400,000 ฟรังก์ ยังขาดอยู่อีก 600,000 ฟรังก์ จะเอาจากที่ใด กลายเป็นปัญหาขึ้นมาอีก แต่ด้วยพระบารมี รัชกาลที่ 5 ทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์และรวบรวมเงินจาก พระบรมวงศานุวงศ์จนได้ครบจำนวน

ภาพการขนเงินออกจากพระบรมมหาราชวัง กลายเป็นความจริงอันเจ็บปวดของชนสยาม

ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์

 

 

 

 

 

 

            

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันนี้(4 มี.ค.) เฟซบุ๊ค ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม กระทรวงคมนาคม รายงานเหตุ ยาม

ถูก การ์ดกปปส.ทำร้ายแล้วนำมาทิ้งแม่น้ำบางปะกง โดยเผยว่า ผู้เสียหาย

ชื่อนายยืม วิลล่า อายุ33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96 ม.4 ต.ท่าแฝก อ.ท่าปลา

จ.อุตรดิตร์ ทำงานเป็นยามอยู่ที่ บ.โลหะกิจกลการ ถ.ลูกหลวง กรุงเทพ

 

 

ผู้เสียหายให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ในวันที่ 24 ก.พ.57 หลังเลิกงานเวลาประมาณ 09.00 น.

ตนได้เข้าไปนั่งพักผ่อนที่สวนลุมพินีบริเวณโต๊ะหินใต้ต้นไม้ห่างจากเต้นท์การ์ด กปปส.

ประมาณ10เมตร และห่างเวที กปปส.สวนลุมประมาณ100เมตร ในระหว่างนั่งอยู่

ได้มีการ์ด กปปส.2คน เข้ามาค้นตัวพบบัตรสมาชิก นปช.ออกเมื่อปี53 จึงได้ควบคุม

ตัวไปที่เวที กปปส.สวนลุมให้นายอิสระ สมชัย แกนนำ กปปส.ทำการซักถามสอบสวน

มีการทำร้ายร่างกาย หลังจากนั้นก็นำไปมัดไว้ในเต๊นท์การ์ด

 

จนกระทั่งถึงวันที่ 1 มี.ค.57 หลังเคารพธงชาติช่วงเย็น ตนถูก การ์ด กปปส.มัดมือ มัดเท้า

และเอาผ้าปิดตา นำขึ้นรถออกเดินทางมาถึงบนสะพานทราบภายหลังว่าเวลาประมาณ 20.30 น.

และเป็นสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ถ.บางนา-ตราด ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา

 

 

 

ในขณะที่ถูกมัดมือมัดเท้าและปิดตา การ์ด กปปส.ได้นำตนโยนทิ้งล่งสู่แม่น้ำบางปะกง

เนื่องจากเป็นเวลาน้ำขึ้นจึงยังไม่เสียชีวิตในขณะที่ตะเกียกตะกายจะจมน้ำได้มีพยาน

ขับเรือผ่านมาพบได้เข้าช่วยเหลือแล้วแจ้ง จนท.อาสากู้ภัยนำตัวส่ง รพ.บางปะกง

ขณะนี้มีอาการปอดฉีก ร่างกายมีร่องรอยถูกทำร้าย นอนพักรักษาตัวที่ รพ.บางปะกง

โดยมี พ.ต.ต.สถาพร ฯ พงส.สภ.บางปะกง เป็นเจ้าของคดี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 AV2sv9.jpg [339x476px] ฝากรูป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พรรคประชาธิปัตย์เติบโตมาเพราะ วาทกรรมเหล่านี้
พรรคประชาธิปัตย์เติบโตมาเพราะ วาทกรรมเหล่านี้

 

 

 

 

 

 

 นายกฯ เยี่ยม โอทอป สกลนคร 6 มี.ค 57

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ..................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

?สลด!ป้าโรครุมเร้าแต่งตัวแต่งหน้าก่อนช็อตตัวเอง?

 

 

   สลด!ป้าโรครุมเร้าแต่งตัวแต่งหน้าก่อนช็อตตัวเอง

 

 

เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ร.ต.ท.กิตติคุณ มีศรีแก้ว ร้อยเวร สภ.เมืองนครนายกได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนใช้สายไฟฟ้าช๊อตฆ่าตัวตายอยู่ภายในบ้านหลังหนึ่งใน ต.บ้านใหญ่อ.เมืองนครนายก จึงได้รุดไปยังที่เกิดเหตุพร้อมด้วยแพทย์เวรรพ.นครนายก และหน่วยกู้ภัยสว่างอาริยธรรมสถาน ในที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียวบริเวณในครัวพบศพ นางพรทิพย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 61 ปี เจ้าของบ้าน ลักษณะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมและแต่งหน้าทาปากสวยงามนอนหงายเสียชีวิตอยู่ สภาพมีสายไฟฟ้าที่ถูกปอกเปลือกไว้เหลือแต่ขดลวดพันติดอยู่กับข้อเท้าซ้าย ขณะที่ปลายสายไฟอีกฝั่งก็ถูกเสียบไว้กับปลั๊กไฟ แพทย์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ชม.

 

 

 โดย นายปรีดา บุญทาสิน ผู้ใหญ่บ้าน ต.บ้านใหญ่ ให้การว่าผู้ตายนั้นเป็นลูกบ้านของตนไม่มีอาชีพอะไรเพราะอายุมากแล้ว โดยมีลูก 2 คน แต่ก็แต่งงานไปมีครอบครัวหมดแล้ว ผู้ตายจึงอยู่คนเดียว อีกทั้งผู้ตายมีโรคประจำตัวหลายโรคด้วย เช่น พาร์กินสัน ความดัน และอัมพฤกษ์ คาดว่าน่าจะเกิดจากความเครียดจึงคิดสั้นด้วยการใส่เสื้อผ้าใหม่เอี่ยมและแต่งหน้าทาปากสวยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนำขดลวดสายไฟที่ปอกสายหุ้มแล้วมาพันที่ข้อเท้า จากนั้นก็เสียบปลั๊กเพื่อให้ไฟฟ้าไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายดังกล่าว ซึ่งจะประสานลูกหลานนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนาต่อไป.

 

 

 

โดย : ศาสนาจารย์ ดร. วิชาญ ฤทธิ์นิมิต

        ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้  วันที่ 13 เมษายนของทุกปีเป็น  "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ"  โดยได้เล็งเห็นชอบให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในโอกาสดังกล่าว  มาตั้งแต่ปี 2526   และในปีนี้ได้กำหนดให้เดือนเมษายน เป็นเดือนแห่งการจัดงานแห่งวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 2551 โดยกำหนดหัวข้อการจัดงาน "เตรียมความพร้อมไม่ต้องเดี๋ยว เผลอแป๊ปเดียวก็สูงวัย"เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันจัดกิจกรรม  โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักในคุณค่าของผู้สูงอายุ  และการเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ  นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุแสดงบทบาท  สูงวัยอย่างมีพลัง (Active ageing) อีกด้วย

       สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ  จึงได้ส่งเสริมสนับสนุนและเผยแพร่ให้ข้าราชการและพนักงานในสังกัด ตลอดจนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมได้เห็นถึงความสำคัญและใส่ใจดูแลผู้สูงอายุให้มากขึ้น เนื่องจาก "ผู้สูงอายุ"  จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย สมอง อารมณ์ และสังคม ดังนั้น  หากบุตรหลานและผู้ใกล้ชิดเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเอาใจใส่ดูแลให้มากขึ้น  ก็จะช่วยให้ผู้สูงอายุปรับตัวเข้าสู่วัยสูงอายุได้อย่างมีความสุข

       "ผู้สูงอายุ" คำนิยามในทางการแพทย์และสาธารณสุข คือ ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งโดยปกติร่างกายของสิ่งมีชีวิต จะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไปในทางที่เสื่อมลง ตั้งแต่อยู่ในวัยกลางคน แต่จะเห็นเป็นลักษณะของความเสื่อมอย่างชัดเจน ตั้งแต่อายุประมาณ 40 กว่าปีเป็นต้นไป

       ผู้สูงอายุ จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกาย เนื่องจากความสูงอายุ ซึ่งแต่ละคน จะมีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสุขภาพและการใช้ชีวิตในวัยที่ผ่านมา  ร่วมกับผู้สูงอายุบางคนมีโรคประจำตัว ซึ่งทำให้สมรรถภาพของร่างกายเสื่อมถอยลงไป จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการดูแลผู้สูงอายุคือ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้สามารถใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข มีอิสระที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามที่ตนต้องการ ถึงแม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอยไป  และมีโรคเรื้อรังต่าง ๆ อยู่ก็ตาม เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวนี้ การดูแลผู้สูงอายุจะต้องเน้นที่จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ร่วมกับส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ตามที่สภาพร่างกาย จิตใจ และเวลาเอื้ออำนวย โดยยึดหลัก 11 อ.เพื่อสุขภาพกายใจที่ดี ดังนี้

1. อาหาร
       ความต้องการพลังงานลดลง แต่ความต้องการสารอาหารต่าง ๆ ยังใกล้เคียงกับวัยผู้ใหญ่  ผู้สูงอายุควรลดอาหารประเภทไขมัน (น้ำมันจากสัตว์ และพืช  ไข่แดง เนย) และประเภทคาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง  และน้ำตาล)ผู้สูงอายุควรได้รับอาหารโปรตีน หรือกลุ่มเนื้อสัตว์ ประมาณ 50-60 กรัมต่อวัน หรือประมาณมื้อละ 2 ช้อนโต๊ะ ควรเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย พวกปลาจะดีที่สุด ผู้สูงอายุกินไข่ขาวได้ไม่จำกัด แต่ควรกินไข่แดงไม่เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์  ผู้สูงอายุควรกินผักมาก ๆ ทั้งผักที่ใช้ใบ หัว และถั่วต่าง ๆ ผลไม้รับประทานได้มากเช่นกัน  แต่ควรเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัด ผลไม้ที่หวานจัดเช่น กล้วยสุก มะม่วงสุก ทุเรียน ลำไย ควรรับประทานแต่น้อย  เพราะถ้ารับประทานมาก  อาจจะทำให้เกิดโรคตามมาได้ เช่น
เบาหวาน เป็นต้น

2. ออกกำลังกาย
      
ผู้สูงอายุควรออกกำลังกายประมาณสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายมีความคล่องตัว แข็งแรง  ซึ่งจะทำให้การทรงตัว และการเคลื่อนไหวดีขึ้น ไม่หกล้มง่าย

3. อนามัย
      
คือ การดูแลตนเองโดยเฉพาะให้พยายาม ลด ละ เลิก สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่ เหล้า และพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ  รวมทั้งสังเกตการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย  การขับถ่าย เป็นต้น  และควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่อายุประมาณ 65 ปี เป็นต้นไป

4. อุจจาระ ปัสสาวะ
       
จะต้องให้ความสนใจการขับถ่ายของผู้สูงอายุด้วยว่ามีปัญหาหรือไม่ บางรายอาจจะเกิดปัญหาถ่ายยาก ถ่ายลำบากอีกส่วนหนึ่งอาจมีปัญหาเรื่องกลั้นการขับถ่ายไม่ได้ ซึ่งแต่ละปัญหาจะต้องให้การดูแลแก้ไขไปตามสาเหตุ

5. อากาศ และแสงอาทิตย์
      
จะเน้นให้อยู่ในสถานที่ ๆ มีสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่เหมาะสม

6. อารมย์ อดิเรก อนาคต และอบอุ่น
       เป็น 4 อ. ที่เน้นทางด้านความรู้สึกนึกคิด และจิตใจของผู้สูงอายุ เพื่อช่วยให้การมีชีวิตอยู่แต่ละวันมีความสุข มีความรื่นรมย์กับการมีชีวิตอยู่   และมีคุณภาพชีวิตที่ดี   ควรเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ   และปรับความรู้สึกนึกคิดไปตามนั้น ไม่ยึดแต่ลักษณะเก่า ๆ ดั้งเดิมที่เคยเป็นมา ควรมีงานอดิเรกที่น่าสนใจ แต่ไม่ควรเป็นสิ่งที่เป็นภาระมากนัก เช่น ถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ควรเลี้ยงสัตว์จำนวนมาก   เพราะจะเป็นภาระในการซื้อหา และให้อาหาร  และถ้าสัตว์เจ็บป่วย  เสียชีวิต ก็จะเกิดความสลดหดหู่ และจิตใจเศร้าหมองได้   ผู้สูงอายุควรคิดถึงอนาคตด้วย   และควรพยายามเข้าร่วมในสังคมกลุ่มต่าง ๆ  ตามสมควร การมีเพื่อนรุ่นเดียวกัน หรือต่างรุ่น จะทำให้มีความอบอุ่น และรู้สึกถึงคุณค่าของตน

7. อุบัติเหตุ
      
เกิดขึ้นได้ทุกขณะ และอาจทำให้เกิดความบาดเจ็บ และความพิการต่างๆ ได้ ควรพยายามดูแลสภาพบ้านเรือนให้ปลอดภัย มีแสงสว่างพอเหมาะ พื้นไม่ลื่น หรือควรมีราวจับในบางแห่งที่เกิดอุบัติเหตุได้บ่อย ๆ เช่น ห้องน้ำ เป็นต้น

       ทั้งหมดนี้เป็นหลักการเบื้องต้น ในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งแต่ละคนจะมีปัญหาแตกต่างกันไป ดังนั้น จะต้องปรับการดูแลให้เหมาะสม หลักสำคัญก็คือ ต้องให้ท่านเหล่านั้นสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง โดยพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุด และมีความสุขกายสบายใจในบั้นปลายของชีวิต ดังคำที่ว่า "เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน"

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.elip-online.com

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    ชี้ต้านรัฐบาลปลุกไม่ขึ้น กองทัพหวั่นพังทั้งแผง

 

 

 

 

 

 

 

 อีโคโนมิสต์วิเคราะห์กลุ่มต่อต้านรัฐบาลชัตดาวน์แผนปิดกรุงเทพ เหตุปลุกกระแสไม่ขึ้น ขณะกองทัพโบ้ยทำรัฐประหาร เพราะกลัวแผงอำนาจเก่าถูกตีโต้ แพ้ทั้งกระดาน

ในวันอาทิตย์ เว็บไซต์นิตยสาร The Economist เผยแพร่บทวิเคราะห์วิกฤตการเมืองไทย เรื่อง "ชัตดาวน์แผนปิดกรุงเทพ" ชี้ว่า กลุ่มต่อต้านรัฐบาลถูกกดดันให้ยุติการปิดกรุงเทพ ล่าถอยเข้าไปปักหลักประท้วงในสวนลุม เพราะกองทัพปฏิเสธที่จะเข้ายึดอำนาจ ขณะยังไม่แน่ชัดว่าองค์กรอิสระจะชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในโครงการรับจำนำข้าว หรือไม่

บทวิเคราะห์ บอกว่า การปฏิวัติประชาชน ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ล้มเหลวลงแล้ว และคงไม่สามารถฟื้นกระแสกลับมาได้อีก หลังพยายามกำจัดอิทธิพลของตระกูลชินวัตรมานานสี่เดือน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 490,000 ล้านบาท

รายงานบอกว่า ก่อนหน้านายสุเทพล่าถอยไม่กี่วัน ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาเตือนนายสุเทพ และกลุ่มพลังที่สนับสนุนเขา ทั้งในกองทัพ, ระบบราชการ, ศาล และสถาบันชั้นสูง ว่า กองทัพจะไม่ทำรัฐประหาร นั่นเป็นเพราะกองทัพกลัวการตอบโต้จากคนเสื้อแดงในปีกฮาร์ดคอร์

อีโคโนมิสต์ระบุว่า ความรู้สึกในหมู่คนเสื้อแดงได้เปลี่ยนไปอย่างน่าตระหนกนับแต่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ว่า การประท้วงของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเป็นไปอย่าง "สันติ" และมีคำสั่งห้ามตำรวจใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม สร้างความคับแค้นแก่คนเสื้อแดง และส่งสัญญาณไปยังปีกฮาร์ดคอร์ว่า พวกเขาอาจต้องจับอาวุธแบบเดียวกันบ้าง และหากเกิดการรัฐประหาร ไม่ว่าโดยกองทัพหรือโดยศาล เป็นต้องเห็นดีกัน



เวลานี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะไต่สวนนางสาวยิ่งลักษณ์ในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว หากถูกชี้มูลความผิด ตัวเธอและแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนอาจถูกถอดถอนพ้นตำแหน่ง และตัดสิทธิ์ทางการเมืองนาน 5 ปี คดีนี้ยังเป็นคำถามปลายเปิด ยังไม่แน่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

นิตยสารวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศฉบับนี้ บอกอีกว่า การพูดว่าการปฏิวัติของนายสุเทพเป็นการตอบสนองเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการเห็นการปกครองที่ดีกว่า นับเป็นความคิดที่พิลึกพิลั่น ไม่อาจเข้าใจได้ ความคิดแบบนี้สะท้อนให้เห็นบนป้ายหน้าเต้นท์ในสวนลุม กองบัญชาการปฏิวัติแห่งใหม่ โดยมีข้อความว่า "พวกฝรั่งโปรดเข้าใจว่า เรากำลังปฏิรูปประชาธิปไตย พวกคุณมีประชาธิปไตยในแบบของคุณ ขอให้เรามีประชาธิปไตยในแบบของเรา"

บทวิเคราะห์ระบุว่า ถ้าการปฏิวัติของนายสุเทพสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาเอาชนะได้ นั่นจะเป็นเรื่องน่าตระหนก แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ การตอบโต้ต่อขบวนการของเขา นายสุเทพอ้างตัวเป็นผู้ปกป้องประเทศชาติและราชบัลลังก์ แต่อีกมุมมองหนึ่งมองว่า เขากำลังพยายามปกป้องอำนาจของชนชั้นนำตามจารีต ที่จะควบคุมทรัพยากรของประเทศ ต่างหาก เป็นความมุ่งหมายที่จะรักษาสถานะเดิมที่การอภิวัตน์ พ.ศ.2475 เคยพยายามจะเอาชนะมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

"ดูเหมือนกองทัพเริ่มตระหนักแล้วว่า ความพยายามของนายสุเทพที่จะรักษาบทบาทของพลังอำนาจเก่า อาจถูกตอบโต้ ดังนั้น เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่รอดได้ การก่อกบฏของเขาควรหดตัวเข้าไปอยู่ในสวนสาธารณะ" บทวิเคราะห์กล่าวสรุป.


Source : The Economist  และ http://news.voicetv.co.th/thailand/98824.html
                3 มีนาคม 2557

 

 

"หดตัวเข้าไปอยู่ในสวนสาธารณะ นี่เค้าเปรียบเป็นตัวอะไรคับเนี่ย ............."

     

 

                  

 

 

 

 

                 ปลดเเอกสตรี

 

 

 

 

                                              

 

 

 

    คุณเคยลองนึกบ้างไหมว่ ผู้ที่จะใช้คำว่า "เด็กชาย" หรือ "เด็กหญิง" นำหน้าจะต้องมีอายุตั้งแต่เท่าใดถึงเท่าใด และผู้ที่จะใช้คำว่า "นาย" และ "นางสาว" นำหน้าจะต้องมีอายุตั้งแต่เท่าใดขึ้นไป

        แน่นอน...ไม่ต้องกังวลเลยเพราะบทนิยามต่างๆต่อไปนี้ จะทำให้คุณหายส งสัยได้อย่างปลิดทิ้ง

 

        บทนิยามความหมายของคำว่า "เด็กชาย" และ "เด็กหญิง" ได้มาจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ ซึ่งได้ให้บทนิยามของคำว่า "เด็ก" "เยาวชน" และ "ผู้ใหญ่" ไว้ดังนี้

        "เด็ก" หมายความว่า "บุคคลอายุเกินกว่าเจ็ดปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกินกว่าสิบสี่ปีบริบูรณ์."

        "เยาวชน" หมายความว่า "บุคคลอายุเกินกว่าสิบสี่ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่ได้หมายถึงบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะแล้วด้วยการสมรส".

        "ผู้ใหญ่" หมายความว่า "บุคคลอายุสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว".


        เพราะฉะนั้น "เด็กชาย" และ "เด็กหญิง" ถ้าหากกำหนดอายุไว้ว่า จะต้องมีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปีบริบูรณ์ลงมา ปัญหาเรื่อง "ช่องว่าง" ระหว่าง "เด็กชาย" "เด็กหญิง" กับ "นาย" "นางสาว" ก็คงจะหมดไปและใช้คำนำหน้าที่สมวัยได้ดังนี้

        "เด็กชาย น. คำนำหน้าชื่อเด็กผู้ชายที่มีอายุไม่ถึง ๑๕ ปีบริบูรณ์."
        "เด็กหญิง น. คำนำหน้าชื่อเด็กผู้หญิงที่มีอายุไม่ถึง ๑๕ ปีบริบูรณ์."
        "นางสาว น. คำนำหน้าชื่อหญิงที่มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและยังไม่มีสามี."
        "นาง น. ...; คำนำหน้าชื่อหญิงผู้มีสามีแล้ว."
        "นาย น. คำนำหน้าชื่อชายที่มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป.

 

 

ความเป็นมา


เดิมการใช้คำนำหน้านามของหญิงไทย ถือปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาให้ใช้
คำนำหน้านามสตรี พ.ศ. 2460 โดยผู้หญิงถ้ายังไม่มีสามีให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว” และหากมีสามีแล้วให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” ตลอดไปทำให้เกิดปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องการประกอบอาชีพ การหางานทำ ผู้ที่ใช้คำนำหน้าว่า “นาง” มักจะถูกปฏิเสธการจ้างงาน เนื่องจากมีสามีมาแล้ว เรื่องการทำนิติกรรมต่างๆ ต้องได้รับความยินยอมจากสามี ในขณะที่สามีไม่ต้องรับความยินยอมจากภรรยา

 

หรือในเรื่องการศึกษาของบุตร เป็นต้น ซึ่งขัดกับหลักการสิทธิมนุษยชน หรืออนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคี และต้องถือปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ หรือแม้กระทั่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติรับรองว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศกระทำมิได้ ก็ตาม

 

ในปี 2550 ได้มีการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง
พ.ศ. ... เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเสนอโดยรองศาสตราจารย์จุรี วิจิตรวาทการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับคณะและได้ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551 จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (วันที่ 4 มิถุนายน 2551)

 

  • วัตถุประสงค์
    1. เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญ
    2. และเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและความเสมอภาคระหว่างหญิงและชาย

  • สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ สรุปได้ดังนี้
    1. เป็นกฎหมายที่ให้ทางเลือกกับผู้หญิงที่สมรส ในการเลือกใช้คำนำหน้านาม ตามความสมัครใจ ซึ่งจะสอดคล้องกับการเลือกใช้นามสกุลตามกฎหมายว่าด้วยชื่อบุคคล

    2. หญิงที่อายุ 15 ปีขึ้นไป และยังไม่ได้สมรส ให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว”
    3. หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้วจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
    4. หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว ต่อมาการสมรสสิ้นสุดลงจะใช้คำนำหน้านาม
    ว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจโดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติฯ

 

 

 นาง นางสาว สำคัญต่อหญิงไทยอย่างไร

 

โดยนายสุริยะ วิริยะสวัสดิ์ รองอธิการวิทยาลัยการปกครอง

           

 

 

   - คำว่า นาง นางสาว ตามกฎหมายเรียกว่า คำนำหน้านามสตรี

              - คำนำหน้านามของไทยจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภท

                   - คำนำหน้านามบุรุษ

                   - คำนำหน้านามสตรี

                   - คำนำหน้านามเด็ก

                   - คำนำหน้านามตามยศ ชั้นบรรดาศักดิ์

                       ทั้ง 4 ประเภทจะต้องมีบันทึกลงในทะเบียนบ้าน

 

              - ในที่นี้จะกล่าวถึง คำนำหน้านามสตรีในชนชั้นทั่วไป เพราะมีความเป็นมาและเกี่ยวข้องกับบริบทการเมืองและวัฒนธรรมของประเทศมาโดยตลอด

              - ก่อนสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จะมีคำนำหน้านามของสตรีว่า อี ซึ่งคำ ๆ นี้ในสมัยก่อนไม่ใช่คำหยาบ และบางครั้งสำหรับสตรีที่อายุยังไม่มากจะเรียกว่า อำแดง เช่น อำแดงเหมือน อำแดงเขียว เป็นต้น

 

              - ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ปี พ.ศ.2460 เห็นว่าการมีคำนำหน้านามสตรีอย่างนั้น ดูจะสับสนไม่เป็นระเบียบ และเป็นการยกย่องฐานะของความเป็นครอบครัว พระองค์ท่านจึงทรงให้มีการวางระเบียบ คำนำหน้านามสตรีให้ชัดเจน สำหรับหญิงทั่วไป เว้นแต่ผู้อยู่ในราชตระกูลหรือได้รับบรรดาศักดิ์ราชทินนาม

 

              - ถ้ายังไม่มีสามีใช้คำว่า นางสาว เป็นคำนำหน้านามชื่อ ตัวอย่างเช่น นางสาวอบ เอกะวัตเป็นต้น

 

              - ถ้าเป็นผู้ที่มีสามีแล้วโดยสามีไม่มีหรือมีบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าพระยาลงมาใช้คำว่า นาง

 

              - แต่ถ้าหากมีสามีที่มีบรรดาศักดิ์ พระยา ขึ้นไปก็จะใช้คำว่า คุณหญิงหรือท่านผู้หญิง ตามลำดับชั้นบรรดาศักดิ์ของสามี

 

              - คำนำหน้านามสตรีคำว่า นาง นางสาว จึงมีใช้มาตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา

 

              - ต่อมาเมื่อสังคมให้ความสำคัญความเท่าเทียมกันทาง เพศ ไม่ว่าเพศหญิง/ชายอย่างในปัจจุบันก็มีการเรียกร้องให้มีการปรับปรุงคำนำหน้าสตรีเพราะบ่งบอกถึงว่า มีสามีหรือไม่มีสามี โดยฝ่ายชายมีแต่ นาย ไม่บอกว่าแต่งงานหรือไม่ ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็น 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐานชายไทยและหญิงไทย

 

 

    - เสียงบางเสียงของสตรีก็เสนอแนะว่า ฝ่ายชาย จะต้องมีคำนำหน้านาม นายหนุ่ม ในกรณีที่ยังไม่แต่งงาน แต่ถ้าแต่งงานแล้วต้องใช้ นาย  มาตรฐานเดียวกันกับผู้หญิง

 

              - จนในที่สุดบทสรุปจบไปเป็นพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 เมื่อเดือนมิถุนายน 2551 โดยหลักของกฎหมายให้สตรีที่ยังไม่แต่งงานใช้ นางสาว และสามารถเลือกใช้คำนำหน้านามว่า นาง หรือ นางสาว ก็ได้ หากแต่งงานแล้ว และหากหย่าร้างหรือหม้าย จากที่ใช้คำนำหน้านามว่า นาง ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ นางสาว ได้เช่นเดิม

 

              - สถิติการขอเปลี่ยนแปลงคำนำหน้านามเมื่อ พ.ร.บ. นี้ใช้ครบ 1 ปี ปรากฏว่า ถ้าไม่นับรวมผู้ขอยื่นเปลี่ยนคำนำหน้านามอื่น ๆ เช่น ยศ แต่เฉพาะของใช้ นาง นางสาว มีผู้ขอยื่นเปลี่ยนแปลงประมาณ 430,000 ราย

 

              - ขอแก้ไขจาก นางสาว มาเป็น นาง  170,000 ราย หรือร้อยละ 40

              - ในขณะที่ขอแก้ไขจาก นาง มาเป็น นางสาว 260,000 ราย หรือร้อยละ 60

              - แสดงให้เห็นความตื่นตัวของสตรีในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานที่สังคมมีความเท่าเทียมกันทางเพศ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

3 มี.ค.57 น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวในรายการ "ช่วยได้ ช่วยกัน" ทาง เอฟเอ็ม 101.0 ถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี อาจต้องหยุดปฏิบัติหน้า หากถูกคณะกรรมกมรป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดจากโครงการรับจำนำข้าว ว่า การหยุดปฏิบัติหน้าที่ คือเขายังไม่พ้นจากหน้าที่ หมายความว่าทำงานไม่ได้ แต่มีรองนายกฯ ที่สามารถทำงานแทนได้ ส่วนนี้ต้องดูตามข้อเท็จจริง แต่ระหว่างที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ป.ป.ช.ก็จะส่งศาลฏีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อลงโทษทางอาญา หรือถอดถอนให้พ้นจากหน้าที่ ซึ่งตรงนี้ถ้าหากตัดสินออกมาให้พ้นหน้าที่ นายกฯ พ้นไปคนเดียว ก็ต้องไปหมดทั้งคณะ เป็นคนละเรื่องกับการหยุดปฏิบัติหน้าที่

 

ทั้งนี้ ช่วงระยะต่อไปภายใน 60 วันต่อไปนี้ อะไรจะเกิดก็ได้ทั้งนั้นในแง่กฏหมาย แต่ถ้าจะพูดถึงเหตุการณ์ข้างนอกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่อาจเกิดเรื่องขึ้นมาก่อนก็ได้ ในการที่จะทำให้นักการเมืองพวกนี้พ้นไป หรือว่ามีปัญหารุนแรงในบ้านเมือง ดังนั้น สถานการณ์ขณะนี้มี 2 เรื่อง ที่ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด คือ เรื่องในแง่กฏหมาย กับเรื่องเหตุการณ์จริง

 

 

 

 

 

                           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                    10 มหาเศรษฐี ระดับโลก ที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย

 

        
เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงนะครับ คำว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น บางครั้งไม่ต้องจบระดับปริญญาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพียงแค่มีโอกาส ความเชื่อ และความพยายาม  ตัวอย่าง 10 คนดัง ต่อไปนี้ที่ก้าวข้ามคำว่าใบปริญญาและประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่ตนเองได้เลือกเอง

1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น

2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel
เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง

3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell
ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC's Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน

4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor
เขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ

5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft
ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 - 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก

6. สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Apple
เรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์

7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์
หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร

8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลก
กว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ "เลดี้ กาก้า" ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง "เรดิโอ กา ก้า"

9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก
เล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี

10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebook
ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก

*จะดีมั้ยถ้าประเทศไทย วัดคุณภาพคนและคุณภาพงาน จากตัวตนและผลงานของคนๆนั้นจริงๆ โดยไม่ดูที่ใบปริญญา?!?

ที่มา: 
http://board.postjung.com/655852.html

 

                                           ลิงทะโมน

 

 

 

นับเป็นเรื่องที่ดีมาก เรื่องจริงของ คุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ:ดังนี้

       

มีคนเล่าให้ฟังว่า... สมัยก่อน...คุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ...ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต..
> แกอยู่ในป่า...กับเพื่อน 5 - 6 คน...ทุกวันก็จะเปลี่ยนเวรกัน...ล่าสัตว์ป่า...มาทำอาหาร.
> วันหนึ่ง...เป็นเวรของคุณพงษ์เทพ  คว้าปืนยาว...สะพายบ่า.เดินเข้าป่าไป...
> อาหารโปรดของคุณพงษ์เทพ.....คือแกงเนื้อลิง...
> พอเดิน เข้าป่าไปได้สักพัก. เห็นลิงตัวหนึ่ง...นั่งอยู่บนต้นไม้...หันหลังให้..
> แกก็รีบยกปืนประทับบ่า...ยิงเปรี้ยง...ไปที่ตัวลิง..
> เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดขึ้น...
> ปกติ...ลิงพอถูกยิง..จะหล่นตุ๊บ...จาก ต้นไม้ทันที... แต่ลิงตัวนี้...นั่งจับกิ่งไม้เฉย...ไม่หล่นลงมา...
> จะว่ายิงไม่ถูก...ก็ไม่น่าเป็นไปได้...เพราะคุณพงษ์เทพ...แกยิงปืนแม่น...
> ระยะแค่นี้ เป้าใหญ่ขนาดนี้...ไม่พลาดแน่นอน...
> ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น...ลิงตัวที่ถูกยิง...ร้องโหยหวน...เสียงดังมาก.....
> ฝูงลิงที่แยกย้ายกันออกหากินอยู่บริเวณใกล้ ๆ ... วิ่งแห่กันเข้ามาหาลิงตัวที่ถูกยิง
> แล้วร้องโหยหวน...เหมือนกันหมด...
> แกตกใจ...ยืนตกตะลึง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
> สักครู่...ลิงตัวที่ถูกยิง. โยนวัตถุเล็กๆ...สีดำ ๆ..ชิ้นหนึ่ง...ให้กับลิงตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด...
> แล้วก็หล่นตุ๊บ...ลงมาจากต้นไม้...
> คุณพงษ์เทพ...รีบวิ่งไปดู...ลิงถูกยิงเข้าที่หลัง... ทะลุหน้าอก...เลือดแดงฉาน..เต็มตัว...
> คุณพงษ์เทพเห็นแล้ว...ต้องเบือนหน้าหนี...
> ลิงที่ตกลงมาเป็นลิงแม่ลูกอ่อน...ขณะที่ถูกยิง.เธอกำลังให้นม ลูก...
> ลูกตัว น้อย...กำลังดูดนมอย่างมีความสุข...

 

> ทันทีที่ถูกยิง..ถ้าเป็นลิงตัวอื่น... จะหล่นตุ๊บ...ลงจากต้นไม้.....
> แม่ลิงตัวนี้...ยังหล่นไม่ได้...ยังตายไม่ได้..
> เพราะเธอยังมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ...คือ...
> รักษาชีวิตลูกน้อย...ให้พ้นอันตราย...
> เธอกัดฟัน...โหนกิ่งไม้ไว้.แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ...
> มองดูเลือดที่ไหลหยดเป็นทาง ด้วยความตกใจ...
> พยายามรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมี! เหลือทั้งหมด...
> ตะโกนสุดเสียง...ร้องเรียก.ฝูงลิงเข้ามาใกล้ๆ..
> แล้วก็ฝากฝัง...ให้เลี้ยงลูกน้อยแทนเธอ
> หลังจากโยนลูกให้จ่าฝูงแล้ว...มองดูลูก...ถูกพาไป จนลับสายตาแล้ว.. แน่ใจว่า...ลูกปลอดภัยแล้ว...
> จึงหลับตา...แล้วหล่นลงมา.....ตาย.. คุณพงษ์เทพ...ก้มมองหน้าลิง..แล้วร้องไห้...
> เพราะที่เบ้าตาลิง...มีหยดน้ำตาใส ๆ. กำลังไหลริน...
> คุณพงษ์เทพ..รีบเดินกลับที่พัก...เอาปืนไปเผาทิ้ง...ไม่ยอมออกล่าสัตว์อีกเลยตลอดชีวิต..
> และภาพความรักที่ยิ่งใหญ่..ของแม่ลิง...ที่มีต่อลูกน้อย ......
> เป็นแรงบันดาลใจ. ให้พงษ์เทพ...แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง...
> ชื่อว่า... ' ลิงทะโมน... '
> เพื่อยกย่อง...เชิดชู...คุณค่าของความรัก...ที่แม่...มีต่อลูก

 

 

              

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 นี่คือลายมือนายกรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร"


 

 

 

 

 

 

"ภารกิจเร่งด่วน ศาลฎีกา" คือการมาช่วยม็อบเก็บของ????.ฮุก[XXX].!!!

เวทีราชประสงค์ตอน 9.40เห็นมีรถHino ของศาลมาช่วยขนของ ชาวบ้านก็เลยถ่ายรูป เก็บภาพมาแชร์กัน

 

 

 

 

 

 

[Image: 1781988_664718553569355_694560705_n.jpg] 

 

 

 

 

 

 

 

    

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 16:06:18 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>