วันศุกร์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นวันแรม 14 ค่ำเดือน 3
ราหุล ! กระจกเงามีไว้สำหรับทำอะไร ? ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! กระจกเงามีไว้สำหรับส่องดู พระเจ้าข้า ! ราหุล ! กรรมทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่บุคคลควรสอดส่อง พิจารณาดูแล้ว ๆ เล่า ๆ เสียก่อน จึงทำลงไป ทางกาย, ทางวาจา หรือ ทางใจ ฉันเดียวกับกระจกเงานั้นเหมือนกัน. จูฬราหุโลวาทสูตร ม.ม. ๑๓/๑๒๓/๑๒๖ |
เมื่อจับได้ว่าเเฟนนอกใจ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
หากคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุดแสนจะเจ็บปวดใจ เมื่อจับได้ว่า "คนรักกำลังนอกใจ" (ไม่ว่าจะเป็นฐานะแฟนหรือสามีก็ตาม) และไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ก่อนจะคิดว่าควรทำอย่างไร ลองมาดูกันสักนิดถึงสิ่งที่คุณไม่ควรทำกันดีไหม เพราะผู้หญิงหลาย ๆ คนปล่อยให้ความเจ็บช้ำ โมโห โกรธเกรี้ยว เข้าครอบงำ และปล่อยให้ตัวเองทำอะไรแย่ ๆ ลงไปด้วยอารมณ์หุนหันพลันแล่น ซึ่งมักทำให้เหตุการณ์ที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม
และไม่ว่าสุดท้ายการตัดสินใจของคุณจะเป็นการยุติความสัมพันธ์ หรือการพยายามคงความสัมพันธ์เอาไว้ให้ได้เหมือนเดิม การพยายามยับยั้งไม่ให้ตัวเองทำสิ่งที่อาจจะต้องมานั่งนึกเสียใจในภายหลังลงไป ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ถ้าอย่างนั้นมาดูกันค่ะว่า 5 สิ่งที่ผู้หญิงไม่ควรทำ เมื่อรู้ตัวว่าถูกนอกใจ มีอะไรบ้าง …
1. อย่าเพิ่งเลิกกับเขาโดยทันที
การตัดสินใจที่นับเป็นก้าวแรกของการจัดการกับปัญหานี้ ยังไม่ควรเป็นการบอกเลิกหรือแยกทางกับเขา (แม้ที่สุดแล้วมันอาจหนีไม่พ้นการลงเอยเช่นนี้ก็ตาม) ในตอนนี้ให้จับตาสังเกตดูการกระทำของเขาต่อไปก่อน คุณจำเป็นต้องรู้ตื้นลึกหนาบางในความสัมพันธ์ที่มาก้าวก่ายชีวิตคู่ของคุณด้วยพอประมาณ ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะลา
และขอให้ระลึกเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจว่า ตราบเท่าที่เขายังอยู่กับคุณ โอกาสที่จะปรับปรุงแก้ไขให้มันเป็นไปในทางที่ดีขึ้นก็มีมากกว่า รวมทั้งการจับตาสังเกตดูก็จะทำได้ง่ายกว่ายามที่คุณสองคนยังอยู่ด้วยกัน หากสามารถจดบันทึกลงไปถึงวันที่พวกเขานัดเจอกัน ความถี่บ่อยในการติดต่อกันได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณในอนาคตอันใกล้เป็นอย่างมาก
2. อย่าเที่ยวบอกให้ใคร ๆ รู้ว่าเขานอกใจคุณ
เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณอยากจะระบายเรื่องคับข้องใจ อย่างการรู้สึกว่าโดนนอกใจนี้ให้ใครฟัง แต่ขอให้พึงระวังถึงคนที่คุณจะนำเรื่องราวไปพูดถึงด้วย หากเป็นเพื่อนสาว ดีไม่ดีเพื่อนสาวคนนี้อาจกลายเป็นคนที่เป็นกิ๊กกับแฟนคุณก็ได้ หากปรึกษาเพื่อนชาย ก็มีผู้ชายบางประเภทที่ถือโอกาสที่ผู้หญิงกำลังอ่อนไหวเช่นนี้ มาเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง หรือถ้าเป็นเพื่อนหรือครอบครัวของฝ่ายชาย เขาอาจเข้าข้างฝ่ายนั้น แก้ตัวแทน หรือบอกฝ่ายชายรู้ตัวและเตือนให้ทำตัวมิดชิดขึ้นก็เป็นได้
ส่วนการบอกคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทของตัวเอง อาจเป็นไปได้ว่าในที่สุดแล้วความเจ็บช้ำที่คุณไม่อยากจำนี้ก็กลับมาหลอกหลอนซ้ำอีก หากคุณตกลงกลับไปคืนดีกับแฟนได้ในที่สุด ครอบครัวหรือเพื่อนทางฝ่ายของคุณก็อาจมีทัศนคติในแง่ลบ และทำตัวไม่เป็นมิตรกับแฟนของคุณไปแล้วก็ได้ แถมยังอาจถูกตอกย้ำซ้ำ ๆ ว่าไม่น่ากลับไปคบกันอีกเลย (แม้ว่าเหตุการณ์จะดีขึ้นมากแล้วก็ตาม) เพราะฉะนั้น ขอให้คิดให้หนักก่อนที่จะเอ่ยปากปรึกษาหรือเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ใครฟัง ขอให้เป็นคนที่คุณมั่นใจว่ามีความเป็นกลาง มีวุฒิภาวะมากพอ และเป็นคนที่รู้ความเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งคู่อย่างดีในระดับหนึ่ง
3. อย่าพยายามไม่รับรู้หรือทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การทำเป็นนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดนั้น ไม่ใช่เรื่องดี มีแต่จะยิ่งทำให้สถานการณย่ำแย่ลง ทำให้เขายังคงเดินหน้ากับมือที่สามต่อไป คิดว่าคุณยังจับไม่ได้ หรืออาจตีความว่าการนิ่งเงียบนั้นเท่ากับว่าคุณโอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทางที่ดีคุณควรทำให้เขารู้ตัวว่าคุณรู้เรื่องนอกใจที่เขากำลังทำอยู่ให้เร็วที่สุด หากปล่อยนานไปความสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้หญิงอีกคนนั้นอาจยิ่งซับซ้อนจนเกินแก้ และจะกลายเป็นคุณเสียเองที่ตกที่นั่งลำบาก เพราะจะกู้ความสัมพันธ์ให้กลับมาดังเดิมได้ยากมากขึ้นไปอีก
4. อย่ากล่าวหาเขาเรื่องนอกใจ หากไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอ
เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับเขา เพื่อพูดถึงเรื่องที่เขานอกใจนี้แล้ว เริ่มจากการเตรียมหลักฐานที่ทำให้คุณมั่นใจว่าเขานอกลู่นอกทางไปจากคุณแน่ ๆ อย่าง ชื่อของฝ่ายตรงข้าม วัน-เวลา สถานที่ที่ไปนัดพบกัน ประวัติการใช้โทรศัพท์ ฯลฯ เตรียมสถานที่ที่สามารถให้คุณกับเขาคุยเรื่องนี้ได้โดยไม่ถูกขัดจังหวะ และอย่าเพิ่งเปิดบทสนทนาด้วยการกล่าวหาว่าเขานอกใจ เพราะแทบ 100% ของผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิเสธ และเริ่มโกหกในคำต่อมา
ให้แสดงหลักฐานที่คุณมี พร้อมกับถามคำถามสั้น ๆ แต่กระชับเพียงพอที่จะให้เขาบอกความจริงออกมา อย่างถามว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้, มันเริ่มต้นขึ้นอย่างไร, เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว และเขาตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อคุณเองก็จับได้เช่นนี้ ตั้งใจดูปฏิกิริยาตอบสนอง รวมทั้งการตอบคำถามของเขา ซึ่งจะช่วยให้คุณประเมินได้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ควรให้เรื่องนี้จบลงอย่างไร จำไว้ว่าอย่ากล่าวหาเขาโดยไม่มีหลักฐาน เพราะจะกลายเป็นเสียเวลาเปล่า ๆ ทั้งยังทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้นด้วย
5. อย่าระรานก้าวก่ายกับผู้หญิงอีกฝ่าย
อีกหนึ่งสิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณไม่ควรทำเมื่อรู้ว่าถูกนอกใจ คือการไประรานผู้หญิงคนที่คบกันกับแฟนหรือสามีของคุณ มันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในเรื่องราวของเธอ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่คุ้มกับเวลาและพลังงานของคุณเลย การไปเผชิญหน้าขอให้เธอเลิกกับฝ่ายชายของคุณ การประจาน การข่มขู่ หรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอายขายหน้า จะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวคุณเองในทางกฎหมาย แถมยังทำให้ทางคนรักของคุณรู้สึกเห็นใจ สงสาร และปกป้อง เข้าข้างเธอไปเสียอีก
ทั้งคุณเองก็รู้สึกอับอายขายหน้าด้วยที่ตามไประรานผู้หญิงคนอื่นเพื่อแย่งชิงคนรักคืน แทนที่จะให้ความสำคัญระหว่างเขากับเธอ หรือสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเธอบ้าง อันเป็นเรื่องที่คุณจัดการไม่ได้ เปลี่ยนเป็นการโฟกัสที่สิ่งที่จะทำได้ระหว่างคุณกับเขา และหนทางที่จะแก้ไขหรือทำให้สิ่งที่เป็นอยู่ดีขึ้นจะดีกว่า
การนอกใจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยมีใครคิดอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ขอให้คุณเข้มแข็ง และจัดการกับมันอย่างมีสติ ไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร ผู้ชายของคุณจะกลับมารักคุณดังเดิมหรือไม่ ขอให้รักตัวเองเอาไว้ให้มาก ๆ ก่อนเสมอ และระลึกไว้ว่าคุณก็ยังมีเพื่อน ๆ พี่น้อง และพ่อแม่ที่ยังรักคุณอยู่เสมอนะคะ
เปิดฟ้าส่องโลก คุณนิติ นรรัตน์
อ่านเรื่องการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงของสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วก็หลับตา จินตนาการ ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่มีแม่น้ำโขงไหลผ่านต่อจากจีน ต่อไปเมื่อเกิดวิกฤติน้ำจืดขาดแคลน รับรองเลยครับ ว่าถ้าเป็นหน้าแล้ง น้ำแทบจะไม่เหลือติดก้นแม่น้ำโขง แต่พอถึงในห้วงช่วงฤดูน้ำหลาก จะเกิดน้ำท่วมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อันนี้เหมือนเมื่อตอนที่อินเดียสร้างเขื่อน 2 เขื่อน เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำคงคาซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านทั้งอินเดียและบังกลาเทศ
เขื่อนแรกสร้างที่เมืองหริทวาร อีกเขื่อนหนึ่งสร้างที่เมืองฟารักกะ ใกล้เส้นทางที่น้ำจะผ่านเข้าไปยังบังกลาเทศ ก่อนสร้างผู้คนก็กระดี๊กระด๊าดีอกดีใจไปตามคำโฆษณาของอินเดีย แต่พอสร้างเสร็จแล้ว อินเดียชาติใหญ่ก็กักน้ำไว้ใช้เพียงประเทศเดียว ในหน้าแล้ง ผู้คนในบังกลาเทศแล้งแทบจะไม่มีน้ำใช้สักหยด ส่วนพอหน้าน้ำหลาก อินเดียนึกอยากจะปล่อยน้ำก็ปล่อย เหมือนกับก่อนหน้าที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเข้ามาเป็นรัฐบาลนั่นแหละครับ มีพวกปล่อยน้ำลงจนเกิดน้ำท่วมอ่วมไปทั้งภาคกลางและกรุงเทพฯ
ส่วนใหญ่ของพื้นที่ของบังกลาเทศราบเรียบ จุดสูงสุดของประเทศก็สูงแค่ 200 เมตร พื้นที่แสนกว่าตารางกิโลเมตรเป็นที่ราบลุ่มน้ำ มีแม่น้ำลำธารไหลผ่านเป็นจำนวนมาก ทั้งแม่น้ำคงคา แม่น้ำพรหมบุตร พออินเดียปล่อยน้ำเท่านั้นเองครับ น้ำท่วมบังกลาเทศใหญ่โตโอฬารทันทีแทบทุกปี บางปีมีคนตายหลายหมื่น จนบัดนี้ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ รัฐบาลและประชาชนคนบังกลาเทศร้องไปที่อินเดีย ทว่า อินเดียเป็นประเทศใหญ่ ประชากรพันกว่าล้าน บังกลาเทศเป็นชาติเล็ก ผู้คนเพียงร้อยกว่าล้าน ร้องแรกแหกกระเชอยังไง อินเดียก็ไม่ฟัง
แม่น้ำนานาชาติที่เราใช้ร่วมกันคือแม่น้ำโขง ส่วนแม่น้ำที่อินเดียกับบังกลาเทศใช้ร่วมกันคือแม่น้ำคงคา ที่เกิดจากธารน้ำแข็งคงโคตรีที่เชิงเขาหิมาลัย ตอนเหนือของรัฐอุตตรประเทศ ธารน้ำแข็งหรือกลาเซียร์คงโคตรีละลายระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน เมื่อน้ำแข็งละลาย หิมะละลายก็กลายเป็นสายน้ำเล็กๆ ไหลรวมกันเป็นแคว มีแควโน้น แควนี้ บั้นปลายท้ายที่สุด ก็ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำคงคา
น้ำในแม่น้ำคงคานอกจากจะมาจากการละลายของหิมะในเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนแล้ว ยังมาจากน้ำฝน ผู้อ่านท่านคงทราบนะครับ ว่าฤดูมรสุมอยู่ในห้วงช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม น้ำฟ้าเทลงมาโปรยปรายไปทั้งแผ่นดิน น้ำที่ไม่ได้รับการดูดซับไว้ก็ไหลไปลงแควภาคีรถี อลักนันทะ มันทากินี เธาลีคงคา และปินทาร์ แควพวกนี้ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำคงคา
แม่น้ำคงคาอยู่ระหว่างต้นน้ำของแม่น้ำสินธุทางตะวันตกกับต้นน้ำของแม่น้ำพรหมบุตรทางตะวันออก แม่น้ำพรหมบุตรไหลผ่านรัฐอัสสัม แล้วย้อนกลับเข้ามาเชื่อมกับแม่น้ำคงคาใกล้กรุงธากาของบังกลาเทศ บางท่านไปดูแผนที่ที่บังกลาเทศแล้วก็ไม่เจอแม่น้ำคงคา ขอเรียนว่า แม่น้ำสายนี้ที่บังกลาเทศเรียกแม่น้ำปัทมาครับ หากดูในแผนที่ ท่านก็ต้องลากสายตาไปที่คำ Padama และสุดท้ายแม่น้ำคงคาไหลสู่อ่าวเบงกอลที่นครโกลกาตาครับ
คนบังกลาเทศส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่มีพิธีกรรมและความเชื่ออะไรเกี่ยวกับแม่น้ำคงคา ทว่าที่อินเดียเชื่อกันอยู่ในสายเลือด ว่าคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ผู้อ่านท่านที่ไปท่องเที่ยวอินเดีย ให้ไกด์พาไปดูฆาตซีครับ ภาษาอังกฤษคือ ghat ฆาตก็คือท่าน้ำที่มีบันไดหรือทางลาดลงไปในแม่น้ำ แม่น้ำคงคาน่าจะมีฆาตมากที่สุดในโลก คนอินเดียชอบนำศพมาเผาใกล้ฆาต มนุษย์พวกนี้มีศรัทธาแก่กล้าในศาสนาฮินดูที่มีความเชื่อว่า ถ้านำเถ้าถ่านจากพิธีเผาศพของตนทิ้งลงไปในแม่น้ำคงคา วิญญาณจะไปสู่สวรรค์
คนรวยที่บ้านอยู่ไกลจากแม่น้ำคงคา เมื่อเฒ่าชะแรแก่ชรา หรือป่วยใกล้จะตายกลายเป็นผี จึงมักจะมาเช่าห้อง หรือเช่าบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำคงคา เพื่อสะดวกต่อการทำนำศพของตนไปเผา ใครไปอินเดีย ถ้ากลัวผีอย่าไปเช่าบ้านอยู่ริมแม่น้ำคงคาครับ นอกจากแพงมากแล้วยังมีคนเล่ากันว่า อ้า มีผีเยอะ
ครอบครัวผมไปอินเดียกันบ่อย มีหลายครั้งที่ไปนั่งอยู่ริมแม่น้ำคงคา เห็นชิ้นส่วนของศพที่ไหม้ไม่หมดลอยมากับน้ำ ในเวลานาทีเดียวกัน ก็มีผู้คนลงไปดำผลุบดำโผล่ และดื่มน้ำในแม่น้ำคงคาด้วยหน้าตาที่อิ่มบุญ ไม่รังเกียจเถ้าซากศพ เพราะเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ สามารถชำระบาปและรักษาโรคได้.
นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯได้เก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำคงคา ช่วงที่ไหลผ่านเมืองหริวอร์, กันปุระ, พาราณสี, ปัตนา และกัลกัตตาไปศึกษาที่ห้องปฏิบัติการในอเมริกา และได้นำมารายงานในที่ประชุมนักวิทยาศาสตร์ที่เมืองปัตนาว่า "มันเป็นเครื่องแสดงว่า แม่น้ำคงคามีปัญหาสุขภาพของสิ่งแวดล้อม และถ้าหากแพลงก์ตอนต้องตายเกลี้ยง ในแม่น้ำก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย" และกล่าวเสริมว่า "เป็นเพราะการทิ้งขยะมูลฝอยลงแม่น้ำ ไปเลี้ยงให้พวกแบคทีเรียเจริญเติบโต"
เคยมีการประมาณว่า นับแม่น้ำคงคาช่วงตั้งแต่เมืองกอมุก ไปจนไหลลงสู่อ่าวเบงกอล ระยะทาง 2,510 กม.ได้มีการปล่อยน้ำโสโครกทิ้งลงสู่แม่น้ำเป็นปริมาณเกือบ 1 พันล้านลิตร
คนอินเดียออกเสียงชื่อแม่น้ำนี้ว่า กังกา
คุณอรุณ เฉตตีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อินเดีย แผ่นดินถิ่นมหัศจรรย์ ซึ่งจัดพิมพ์โดยศูนย์อินเดียศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า น้ำในแม่น้ำคงคานั้นแม้จะขุ่นและดูสกปรก แต่เมื่อตักใส่ภาชนะทิ้งไว้นานเท่าใดก็ตาม จะไม่มีตะกอนนอนก้นแม้แต่น้อย และไม่ว่าจะเก็บไว้ที่อุณหภูมิใดก็ตาม ก็จะไม่มีการเน่าเสีย
นักวิทยาศาสตร์จากส่วนต่างๆ ของโลกได้เดินทางมาตรวจสอบเรื่องนี้ และลงความเห็นว่า น้ำในแม่น้ำคงคาเกิดจากการละลายของหิมะไหลเซาะแก่งหิน แร่ธาตุ สมุนไพร มีอุณหภูมิที่ปรับตัวเองอยู่ตลอดเส้นทางตามฤดูกาลที่ไหลผ่าน ก็อาจแปรสภาพเป็นน้ำที่มีตัวยาเจือปนโดยอัตโนมัติได้
ส่วนจากหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเราได้อ่านในอินเดีย เขาอ้างไว้ว่าในแม่น้ำคงคามีจุลินทรีย์อยู่ชนิดหนึ่ง ซึ่ง mutate เป็นสายพันธุ์เฉพาะที่มีอยู่ในแม่น้ำคงคา และมีอยู่หนาแน่นในบริเวณท่าน้ำที่มีการทิ้งศพกันมากๆ จุลินทรีย์ชนิดนี้จะขจัดเชื้อโรคและแบคทีเรียอื่นๆ ทำให้น้ำในแม่น้ำคงคาไม่มีเชื้อโรคแม้จะมีศพลอยอยู่ทั่วไป ก็มีพวกฤาษีโยคีลงไปอาบน้ำอยู่ใกล้กับท่าน้ำที่มีศพลอยอยู่นั้นโดยไม่ได้รับเชื้อโรคใดๆ เช่นกัน
จุลินทรีย์ดังกล่าว ยังเป็นคำตอบด้วยว่าทำไมน้ำในแม่น้ำคงคาจึงไม่เน่าเสีย และเหตุใดจึงมีความเชื่อสืบต่อกันมานานนับพันปีว่า การไปอาบน้ำในแม่น้ำดังกล่าวสามารถรักษาโรคได้
มันกลายเป็นแหล่งหมักจุลินทรีย์อย่างเยาะครับ พวกเชื้อโรคมันก็มีทั้งดีไม่ดี
ไปหมักกันไปกันมา พวกตัวร้าย ก็ตายหมด คนก็ดันคิดว่าแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
แต่จริง ๆ มันสกปรกมาก ส่วนคนที่นั้นอาบมาตั้งแต่เด็ก เลยมีภูมิสะสมครับ
ลองเป็นคนบ้านเราไปอาบเล่น ขึ้นมาผื่นขึ้น รับเชื้อประหลาด ๆ เต็มแน่ครับ
พอดีเห็นป้าเช็งทำน้ำหมักขยะมาเป็นยารักษาโรค ผมคิดว่าแม่น้ำคงคาก็อาจเป็น
แหล่งหมักชีวภาพขนาดใหญ่ก็ได้ ข้อดีคือคนตายจะได้ไม่ต้องมีงานศพ ทิ้งลงแม่น้ำนี่แหละ
ต้องไปสืบดูประวัติศาสตร์ครับ ว่าทำไมคนแถวนั้นให้ทิ้งศพในแม่น้ำ อาจมักง่าย
แล้วเลยสร้างเป็นความเชื่อขึ้นมาทีหลัง
ส่วนใหญ่ความเชื่อมันซ่อนเหตุผลเบื้องหลังแล้วสืบต่อเป็นวัฒนธรรมครับ ที่พวกอินเดีย
มีระบบวรรณะ ก็เพราะพวกแขกขาว อยากรักษาเผ่าพันธ์จากคนพื้นเมืองเท่านั้นเอง
หรือคนเยอรมันชอบกินเบียร์ เพราะมีช่วงสงครามที่ศัตรูปล่อยยาพิษในแม่น้ำไรน์
เลยทำให้กินน้ำตามแหล่งธรรมชาติไม่ได้ ก็กินเบียร์แทน
จุฬาตรีคูณ อาจหมายถึง
น้ำจากคงคานั้นถือว่าเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ ซึ่งแม่น้ำที่ใช้ชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่สองสายคือ
* แม่น้ำคงคาตลอดสาย
* แม่น้ำยมนา
บริเวณ ต้นน้ำที่เขายาดาคีรีของ ท่านฤาษียาดาชี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ลักษมีนาราซิมฮา แม่น้ำคงคานี้เมื่อจะประกอบพิธีต่างๆ จะต้องนำน้ำจากพระคงคานี้ไปร่วมในพิธีด้วย
โดย ปกติแล้วบรรดาฤาษีในอินเดียจะมีหม้อน้ำติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะบรรจุน้ำจากแม่น้ำคงคา บริเวณที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ "ตริเวนี" หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งมีแม่น้ำคงคาและยมนาใหลมาบรรจบกัน และเชื่อว่ามีแม่น้ำสรัสวตีไหลมาจากใต้ดินมาบรรจบกันที่นี่ด้วย ชาวฮินดูนิยมที่จะตักน้ำจากแม่น้ำคงคาไปใช้ในการสรงน้ำเทวรูปและอาบกิน
. และ ทีวี)
หนูทดลอง
รู้ไปโม้ด
โดย...น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
เรื่องของหนูกับวิทยา ศาสตร์ เข้าเว็บไซต์วิชาการดอทคอมมีคำอธิบายว่า นิยามของสัตว์ทดลองไม่ได้จำกัดอยู่แค่กระต่ายหรือหนูตะเภาเท่านั้น แต่รวมถึงสัตว์ทุกประเภทที่นำมาใช้ทดลอง ไม่ว่าจะเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย หรือลิงชิมแปนซี
แต่เหตุผลสำคัญที่หนูกลายเป็นสัตว์ทดลองอันดับต้นๆ เพราะหนูเป็นสัตว์ที่มีประสาทสัมผัสไว อย่างในสมัยก่อนที่ชาวเรือมักจะใช้หนูเป็นสัญญาณเตือนภัย จากที่หนูจะสละเรือก่อนเรือล่มเสมอ นอกจากนี้ประสาทสัมผัสของหนูก็ไวกว่ามนุษย์หลายเท่านัก ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวจะเห็นหนูวิ่งกันพล่าน
ความเหมือนของหนูกับมนุษย์อีกอย่างคือหนูมีจำนวนยีนพอๆ กับมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าวิวัฒนาการของมนุษย์กับหนูแยกกันเมื่อประมาณ 80 ล้านปีก่อนนักวิทยาศาสตร์รวมทั้งนักเรียนนักศึกษาถือกันว่าสัตว์ทดลองเป็นอาจารย์ใหญ่
หากไม่มีหนูเหล่านั้นวิทยาการของมนุษย์อาจจะล้าหลังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรก็เป็นได้ เพราะการนำยา หรือนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้กับมนุษย์โดยตรงออกจะดูเป็นการสุ่มเสี่ยงถึงผล กระทบที่อาจตามมา
เมื่อมีการนำสัตว์มาทดลองมากขึ้น คำถามของสังคมที่ตามมาคือ การกระทำเหล่านี้เป็นการทรมานสัตว์หรือไม่ เพราะเมื่อนำสัตว์มาทดลองแล้วเกิดผลกระทบโรคร้ายเหล่านั้นย่อมเกิดแก่สัตว์ทดลองโดยตรง เป็นชีวิตที่โดนบังคับให้สละด้วยความไม่เต็มใจ แม้จะก่อให้เกิดประโยชน์ในสังคมมากมายเพียงใด
นักวิทยาศาสตร์หรือผู้ทดลองก็ตระหนักเห็นถึงโทษภัยในข้อนี้ ดังนั้น จึงพยายามใช้สัตว์ทดลองเท่าที่จำเป็น โดยในปี 2528 ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ สภาองค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดการประชุมระหว่างผู้ใช้สัตว์ทดลองและกลุ่มผู้คัดค้าน ก่อนจะได้ผลสรุปเป็นแนวทางปฏิบัติในการใช้สัตว์เพื่อในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์
ตามหลักฐานพบว่า มีการนำหนูมาใช้ในการทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ.2164 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี คือ ธีโอฟิลุส มุลเลอร์ และ โยฮันส์ เฟเบอร์ โดยผ่าตัดหนูเพื่อศึกษาถึงอวัยวะภายใน
จากนั้นหนูก็ถูกนำมาใช้ในการทดลองบ่อยขึ้น เช่น นำหนูไปเลี้ยงในห้องทดลอง เพื่อศึกษาอิทธิพลของการขาดอาหารและออกซิเจนต่อคุณภาพชีวิตของหนู หรือนำไข่ของพยาธิตัวตืดมาให้หนูกิน พบว่าหนูเป็นมะเร็งตับภายในเวลา 6 เดือน เป็นต้น
คุณประโยชน์ที่ได้จากการทดลองจากหนูเกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นศึกษาสาเหตุและการรักษาโรคความดัน การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคผิวหนัง โรคกระเพาะ โรคตับ และโรคไขกระดูก
สำหรับประเทศไทยมีบันทึกว่า มีการใช้สัตว์ทดลองครั้งแรกที่โรงพยาบาลศิริราช ในปีพ.ศ.2432 ก่อนเริ่มใช้ที่สถานเสาวภาใน พ.ศ.2460 จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าสัตว์ทดลองเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานทดลองของนักวิทยาศาสตร์ไทยมากว่า 120 ปีมาแล้ว
การตื่นตัวเกี่ยวกับสัตว์ทดลองในไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในปี พ.ศ.2514 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องศูนย์เลี้ยงสัตว์ทดลองระหว่าง 3 สถาบัน มอบหมายให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้ดำเนินการ ใช้สถานที่ที่วิทยาเขตศาลายาเป็นที่ก่อตั้งศูนย์เลี้ยงสัตว์ทดลอง
ต่อมาคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้จัดตั้งโครงการศูนย์สัตว์ทดลองในปี 2517 และได้รับความเห็นชอบจากทบวงมหาวิทยาลัยให้เป็นสำนักสัตว์ทดลองแห่งชาติในปี 2530 ซึ่งเป็นส่วนราชการที่อยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยมหิดล
จำเป็นต้องทำพิธีขอขมาด้วยเหรอ ไหนว่าเป็นอรหันต์ ก็ไม่ควรจะมาสนใจว่าใครจะออกข่าวว่ายังงัยนี่ ขันธ์5เนี่ยละทิ้งได้แล้วสำหรับอรหันต์น่ะ อนาถแท้ๆวงการศาสนาเสื่อมหมด แล้วเถรสมาคมทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ??
ขันธ์ 5 คืออะไร
สรรพสิ่งทั้งหลายในอนันตจักรวาลนั้น แยกประเภทได้เป็น 3 ส่วน (ดูแผนผังด้านล่างประกอบ) คือ
1.) ส่วนที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ได้แก่ สสารทั้งหลาย แสง สีทั้งหลาย เสียง กลิ่น รส ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง ความหย่อน ความตึง อาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ช่องว่างต่างๆ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม สภาพแห่งความเป็นหญิง เป็นชาย เนื้อสมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเป็นฐานให้จิตเกิด รวมทั้งอาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับไปของวัตถุทั้งหลายด้วย
ซึ่งรวมเรียกว่ารูปขันธ์ (ขันธ์ = กอง หมวด หมู่)
2.) ส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด และความคิดทั้งหลาย รวมเรียกว่านามขันธ์ แยกได้ 4 ชนิดคือ
2.1) เวทนาขันธ์ คือความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โสมนัส(สุขทางใจ) โทมนัส(ทุกข์ทางใจ) อุเบกขาหรืออทุกขมสุขเวทนา(เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์)
2.2) สัญญาขันธ์ คือความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ คือส่วนที่ทำหน้าที่ในการจำนั่นเอง (ไม่ใช่เนื้อสมอง แต่เป็นส่วนของความรู้สึกนึกคิด เนื้อสมองนั้นจัดเป็นรูปขันธ์ เนื้อสมองเป็นเหมือนสำนักงาน ส่วนนามขันธ์ทั้งหลายเหมือนผู้ที่ทำงานในสำนักงานนั้น)
2.3) สังขารขันธ์ คือส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฎของจิตนั่นเอง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละสิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่างๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ปิติ ความยินดีพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง
2.4) วิญญาณขันธ์ หรือจิต คือผู้ที่รับรู้สิ่งทั้งปวง คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ
ตั้งแต่ ข้อ 2.1 จนถึงข้อ 2.3 และเป็นผู้รับรู้ถึงส่วนที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหลายด้วย อันได้แก่เป็นผู้รับรู้สิ่งทั้งหลาย ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง รวมถึงเป็นผู้รับรู้ในสภาวะแห่งนิพพานด้วย
3.) นิพพาน คือสภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง
หรือสภาวะจิตที่พ้นจากความยึดมั่นผูกพันธ์ในสิ่งทั้งปวง รวมถึงไม่ยึดมั่นในนิพพานด้วย
นิพพาน = นิ + วาน (ในภาษาบาลีนั้น ว. กับ พ. ใช้แทนกันได้ วาน จึงเท่ากับ พาน)
นิ = พ้น
วาน = สิ่งที่เกี่ยวโยงไว้ ได้แก่ ตัณหาคือความทะยานอยาก และอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
นิวาน หรือนิพพาน แปลตามตัวจึงหมายถึงความพ้นจากเครื่องเกี่ยวโยง(ตัณหาและอุปาทาน) นั่นเอง
สรุปแล้วขันธ์ 5 ประกอบด้วย
1.) รูปขันธ์
2.) เวทนาขันธ์
3.) สัญญาขันธ์
4.) สังขารขันธ์
5.) วิญญาณขันธ์
วันที่: Fri Nov 15 15:50:39 ICT 2024
|
|
|