ผงะ! สุ่มตรวจตลาดนัดที่นครสวรรค์ พบใช้น้ำยาดองศพ
แม่ค้ามักง่ายใช้ “น้ำยาดองศพ” ใส่ในเห็ดฟาง-นางฟ้า-เห็ดหอมสด-ผัก-ขิงซอย-กระชาย ตรวจพบที่ตลาดสด ตลาดนัด รวม 5 แห่ง ในนครสวรรค์ เฉลี่ยพบสูงเกือบร้อยละ 25 บางแห่งตรวจพบเกือบร้อยละ 60 สธ.ชี้ภัยน้ำยานี้อันตรายทั้งพ่อค้าแม่ค้า ประชาชน ถึงขั้นเสียชีวิต แถมเป็นสารก่อมะเร็ง กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจต่อเนื่อง หากพบให้ลงโทษเด็ดขาด สั่งสาวถึงแหล่งผลิตต้นตอ
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปี 2557 นี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีนโยบายควบคุมความปลอดภัยอาหารบริโภค ซึ่งอาหารเป็นปัจจัยสี่จำเป็นของการสร้างสุขภาพดี และทำลายสุขภาพประชาชนไปพร้อมๆ กัน หากมีสารอันตรายหรือมีเชื้อโรคปนเปื้อน เนื่องจากขณะนี้พบว่าประชาชนป่วยและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากเป็นอันดับ 1 ซึ่งสาเหตุของโรคดังกล่าวเกิดมาจากการบริโภคอาหารด้วย การเสียชีวิตยังไม่มีวี่แววจะลดลง และโรคนี้ใช้เวลาก่อตัวนานหลายปี กว่าจะปรากฏอาการ ผู้ที่เป็นมักไม่ค่อยรู้ตัว โดยกระทรวงจะดูแลทั้งอาหารนำเข้า อาหารที่ผลิต และจำหน่ายในประเทศ ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ สุ่มตรวจเฝ้าระวังอาหารอย่างต่อเนื่อง เน้นสารอันตรายที่เป็นปัญหา มักมีการลักลอบใส่ในอาหารสด 6 ชนิด ได้แก่ สารบอแรกซ์ สารฟอกขาว สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง สารกันรา สารฟอร์มาลิน (Formalin) และสารเร่งเนื้อแดง และให้ควบคุมมาตรฐานความสะอาดแหล่งจำหน่ายอาหารทั้งตลาดสด ตลาดนัด ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารแผงลอย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชน
นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า ได้รับรายงานผลการสุ่มตรวจประเมินอาหารปลอดภัยของกรมอนามัยในช่วงปลายเดือนมกราคม 2557 ในตลาดที่จังหวัดนครสวรรค์ 5 แห่ง ที่อำเภอเมือง อำเภอท่าตะโก อำเภอชุมแสง ประกอบด้วย ตลาดสด 2 แห่ง และตลาดนัด 3 แห่ง โดยเก็บอาหารตรวจทั้งหมด 275 ตัวอย่าง ผลการตรวจไม่พบมีการปนเปื้อนสารบอแรกซ์ และสารฟอกขาว
แต่ที่น่าตกใจก็คือพบการใช้สารฟอร์มาลิน หรือน้ำยาฉีดศพ น้ำยาดองศพ มาใช้กับอาหารสด เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย โดย 5 ตลาด ตรวจพบ 102 ตัวอย่าง เฉลี่ยร้อยละ 25 บางแห่งเช่นในตลาดสดขนาดใหญ่ในเมือง พบร้อยละ 59 อาหารที่ตรวจพบ ได้แก่ กุ้ง ปลาหมึก ปลาหมึกกรอบ ขิงหั่นฝอย กระชายหั่นฝอย เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด ถั่วฝักยาว สไบนาง จึงถือว่าเป็นเรื่องที่มีอันตรายมาก เป็นการใช้สารฟอร์มาลินผิดวัตถุประสงค์ และห้ามใช้ในอาหารอย่างเด็ดขาด เนื่องจากสารชนิดนี้มีอันตรายสูง เป็นสารก่อมะเร็ง สารชนิดนี้เป็นอันตรายทั้งคนใช้ แม่ค้า และผู้บริโภค จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มงวดจริงจัง และให้สาวถึงแหล่งต้นตอให้ได้ เพื่อลงโทษให้เด็ดขาด
ด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารกลุ่มที่ตรวจพบใส่ฟอร์มาลินที่กล่าวมานี้ ที่ผ่านมามักจะตรวจพบสารฟอกขาว การพบสารฟอร์มาลินสูงขึ้นอาจเป็นเพราะพ่อค้า-แม่ค้า อาจจะเปลี่ยนจากการใช้สารฟอกขาวใส่อาหารเพื่อให้คงสภาพสด ไม่หมองคล้ำ หรือไม่เน่าเสีย มาเป็นการใช้สารฟอร์มาลินแทน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร หากทานเข้าไปจะก่อให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออก กดประสาทส่วนกลางทำให้หมดสติได้ กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ ฉบับ 93 พ.ศ. 2528 ห้ามใช้ในอาหาร ผู้ใดละเมิดใส่ในอาหารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับฐานผลิตอาหารที่ไม่บริสุทธิ์
ดร.นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า ต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการตลาดสด ตลาดนัด ให้เข้มงวดความปลอดภัยอาหารที่จำหน่ายในตลาด เพื่อร่วมกันคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ควรจะมีการสอบย้อนไปจนถึงแหล่งค้าส่งและแหล่งปลูกว่า จะมีการนำสารฟอร์มาลินมาใส่ในขั้นตอนไหน โดยต้องทำงานแบบประสานกันทุกหน่วย ทั้งหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานด้านการเกษตร เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน สิ่งสำคัญคือ การสื่อสารความรู้ อันตราย และสถานการณ์การปนเปื้อนให้แก่ผู้ค้าขาย รวมถึงประชาชนผู้บริโภค เพื่อสร้างความตระหนัก ความรับผิดชอบ และความร่วมมือในการเฝ้าระวังสารปนเปื้อน
สำหรับสารฟอร์มาลิน หรือฟอร์มัลดีไฮด์ มีลักษณะเป็นน้ำใส กลิ่นฉุน ระเหยง่าย หากได้รับในปริมาณที่สูง หรือมีความเข้มข้นมาก สารชนิดนี้จะเปลี่ยนเป็นกรด มีฤทธิ์ทำลายเซลล์ในร่างกาย ทำให้เซลล์ตายได้ โดยฟอร์มัลดีไฮด์ มีพิษต่อระบบต่างๆ เกือบทั่วทั้งร่างกาย คือต่อระบบทางเดินหายใจ หากได้รับรูปของไอระเหย แม้จะปริมาณต่ำๆ ถ้าถูกตาจะระคายเคืองตามาก ทำให้เป็นแผล ถ้าสูดดมเข้าไปจะทำให้หลอดลมบวม แสบจมูก เจ็บคอ ไอ หายใจไม่ออก ปอดอักเสบ น้ำท่วมปอด ถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นแม่ค้าพ่อค้าที่จำหน่ายอาหารที่แช่ฟอร์มาลิน ก็จะมีสิทธิ์สูดดมไอระเหยของฟอร์มาลินออกจากน้ำที่แช่ได้ตลอดเวลา และสูดเข้าโดยตรงด้วย เป็นอันตรายต่อตัวเองหากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนฟอร์มัลดีไฮด์ในปริมาณมาก จะทำให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก ปากและคอแห้ง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้องอย่างรุนแรง กระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผล และยังพบว่าสารชนิดนี้เป็นสารก่อมะเร็งด้วย นอกจากนี้ยังมีผลต่อผิวหนัง เมื่อสัมผัสจะเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นคัน เป็นผื่นแดงเหมือนลมพิษ จนถึงผิวหนังไหม้เป็นสีขาวได้หากสัมผัสโดยตรง
"วิธีสังเกตว่าผักที่ซื้อมามีฟอร์มาลินหรือไม่นั้น ควรดมที่ใบหรือหักก้านดม ถ้ามีกลิ่นฉุนแสบจมูกก็ไม่ควรซื้อ หรือสังเกตดูผักที่วางขายว่าสด ใบงาม เกินความเป็นจริง ไม่มีรูพรุนจากการกัดของแมลงเลย ตั้งขายไว้เป็นวันๆ ยังไม่เหี่ยว ก็ไม่ควรเลือกซื้อ เพราะอาจมีฟอร์มาลินและสารพิษฆ่าแมลงซึ่งยังไม่หมดฤทธิ์ สะสมอยู่ด้วย ในกรณีที่ซื้อมาแล้วยังไม่แน่ในว่าอาจมีฟอร์มาลินติดมาอีก ก็ควรนำผักมาล้างน้ำไหล 5-10 นาที หรือแช่น้ำนิ่งราว 1 ชั่วโมง ซึ่งมีรายงานว่า ฟอร์มาลินส่วนมากจะถูกชะล้างออกไปหมด ส่วนการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ตลอดจนปลา ต้องสังเกตว่าลักษณะเนื้อนั้นสดผิดปกติหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเนื้อที่ไม่แช่ฟอร์มาลินวางขายในตลาดสด ถ้าถูกแดดถูกลมนานๆ เนื้อแดงๆ นั้นจะเหี่ยว หรือถ้ามีกลิ่นฉุนๆ แปลกๆ แสบจมูก ก็ไม่ควรจะซื้อมาบริโภค และในการบริโภคทุกครั้ง ต้องทำอาหารทุกชนิดให้สุกด้วยความร้อน เนื่องจากความร้อน จะทำลายฟอร์มาลินได้” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว
ทำแบบนี้จะได้ประกาศกฎอัยการศึกใช่ไหม
16.45น. ระเบิดลงที่หน้าเวที่ รปส. 2ลูก มีคนบาดเจ็บ6-7คน
ระเบิดเริ่มถี่
เขาคงต้องการเร่งเกม
ก่อนที่เสื้อแดงและพลเอกพัลลภจะมาเต็มตัว
กปปส และแนวร่วมร้อยชื่อ
เร่งกันใหญ่ สร้างสถานะการณ์
ยิงและขว้างระเบิดที่ตราด เด็กตาย
ยิงศาล เพื่ออะไร
ระเบิดราชประสงค์เด็กตาย
ตอนนี้ พธม ที่สะพานชมัย
กำลังดราม่า เรียกร้องให้ประยุทธออกมาด่วน
แถมมีการโหนและดราม่าน้ำตาไหลน้ำตาเหล็ด
ปลุกปั่นเรื่องกองกำลังเขมรอีกมากมาย
เพื่อให้สอดคล้องกับ ทหารรับจ้างโจร ที่กุข่าวนี้มาเล่น
เห็นชัดเจนว่ามันกำลังจะทำอะไร
แผนเน่าๆ แนวเรื่องเก่าๆ
แต่ยังจะเอามาใช้อีก
น่าเบื่อ.........
เหตุการณ์ที่ตราด ไม่ใช่ฝีมือ รัฐบาล นปช และ ตำรวจแน่นอน
ตราด ไม่ใช่ถิ่นเสื้อแดง
สส ก็ เป็น ปชป ผูกขาดมาทุกสมัย คงรู้ว่า หัวคะแนน มือปืน นักเลง ก็ต้องเป็น คนของ ปชป
ตราดเป็นจังหวัดเล็กๆมี สส แค่คนเดียวมาตลอด ติดชายแดน เข้าออกยาก ใครทำอะไรรู้หมด
ตราด อยู่ในการดูแล ของ กองกำลัง จันทบุรีตราด ของ ทร.
มือปืนที่มา เป็นรถกระบะ สองคัน ทำอย่างใจเย็นไม่รีบร้อน เน้นคุณภาพ แสดงว่ามีคนดังในตราดหนุนหลัง และเป็นคนในพื้นที่ชำนาญทาง รู้ทางหนีทีไล่ดี
ที่สำคัญ ยิงใส่แต่ประชาชน ไม่ยิงใส่แกนนำบนเวที
เมื่อคืน ผมคุยกับพี่น้องเสื้อแดง ที่ใกล้ชิด แดงใต้ดิน เขาบอก แดงใต้ดินมีจริง มีเยอะด้วย และที่ตราด ไม่ใช่ ฝีมือแดงใต้ดิน
***ป๊อปคอร์น สร้างสถานการณ์1000%***
ทำไมต้องเลือกสร้าง สถานการณ์ที่นี่?
ตอบ เพราะตราด อยู่ติดเขมรแต่เป็นถิ่น ปชป. จะได้ป้ายสีว่า เป็นผลงาน ทหารเขมร ตามที่ พลเรือตรี วินัย หัวหน้าหน่วยsealเคยพูดไว้
ถ้ารัฐบาลอยู่เบื้องหลังการปาระเบิดผู้ที่มาชุมนุมจริง รัฐบาลจะได้ประโยชน์อะไร
มีแต่จะเติมเชื้อไฟให้ลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น ถ้ารัฐบาลทำจริงทำแต่เฉพาะพวกแกนนำไม่ดีกว่าหรอ
ชัดๆ ที่บรรทัดทอง....
คนขับรถของ สส. ปชป. เป็น คนโยนระเบิด เอง.....
ที่อื่นๆ ยังไม่แน่ว่าใคร..
"นปช.ลั่นกลองรบ" ประชุม 5,000 แกนนำภูมิภาค-ท้องถิ่นทั่วประเทศ พร้อมยกระดับการต่อสู้_ทุกภาคส่วนย้ำ ได้เวลาโต้กลับแล้ว!
ขบวนการ ขวางช่วยชาวนาโผล่มาอีกแล้ว
".....ทำไมการที่รัฐบาลเข้าไปช่วยให้ชาวนาได้ขายข้าวในราคาที่สูงกว่าเดิม......โดยให้พ่อค้าคนกลางต้องเพ่ิ่มต้นทุนในการซื้อเพื่อการขายหรือส่งออก.....แทนที่จะให้พ่อค้าไปกดหัวชาวนาและเป็นผู้กำหนดราคาซื้อกับชาวนาเองเหมือนที่เคยทำมา.....มันทำให้พ่อค้าคนกลางขาดทุนมากมายจนจะฉิบหายขายตัวที่ต้อง"ขาดทุนกำไร"เพราะงานนี้ จนพวกศักดินาอย่างปรีดิยาธรต้องออกมาปกป้องพ่อค้าคนกลางด้วยการเหยียบหัวชาวนา แบบไม่ต้องอับต้องอายเชียวหรือ
สมัยอภิสิทธิ์ รัฐประกันราคาข้าว มันก็เท่ากับรัฐบาลเข้าไปออกทุนส่วนหนึ่งให้กับพ่อค้าคนกลาง ตันละ 2,500.-บาท.....เงินส่วนนี้กลายเป็นกำไรงาม ๆ ของพ่อค้าคนกลางเพราะไม่ต้องจ่ายต้นทุนส่วนนี้......แถมชาวนาที่เช่านาทำกลับไม่ได้รับเงินเพราะเจ้าของนารับไป.....แบบนี้หรือที่ทำให้เศรษฐกิจดี
เศรษฐกิจจะดีได้ รัฐบาลต้องคล่องตัวในการทำโครงการใหญ่ต่าง ๆ ......แต่"ลูกอีช่างฟ้อง" มันนั่งขัดขารัฐบาลทุกย่างก้าว ขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่จะหายใจ.....แล้วจะเอาเศรษฐกิจดีมาจากไหน.....บวกกับแม่งงงงก่อม๊อบมากี่เดือนแล้ว ลองมาเป็๋นรัฐบาลที่โดนแบบรัฐบาลชุดนี้เขาโดนบ้าง...เอาไหม....อยากเห็นนักไอ้ที่ว่าเก่งนักเก่งหนาน่ะ จะง่อยรัปทานหรือเปล่า..........คงอยากเป็นนายกคนกลาง เป็นหัวหน้าพรรค ปชป หรือเป็นสภาประชาชนมั้ง........................."
(โดย คุณ ชาติอนุรักษ์)
ในที่สุด...ก็เผยออกมา...
คนพวกนั้นมันย่ามใจ
เคยกดขี่ข่มเหงประชาชน...ด้วยการแย่งชิงอำนาจของประชาชน
เอาไปแบ่งสรรปันส่วนกันเฉพาะพวกพ้อง...ได้ตำแหน่ง อำนาจ เงินเดือน
แล้วใช้อำนาจที่ช่วงชิงไป...ย้อนกลับมากดขี่ ข่มเหงประชาชนต่อไปอีก
ถามประชาชนว่า...มาถึงวันนี้แล้วยังจะยอมให้เขาเหยียบหัวซ้ำซากอีกรึเปล่า
ในงาน เสวนาเรื่อง เปลี่ยนรถไปใช้แก๊ส : ภยันตรายใกล้ตัว? เตือนผู้ติดตั้งแก๊สราคาถูกระวังรถระเบิด ชี้บึ้มทีเดียวมีสิทธิ์ตายสูง ถังไม่ได้คุณภาพเหมือนเก็บระเบิดไว้ในรถ
วันที่ 6 สิงหาคม ที่โรงพยาบาลราชวิถี ในการประชุมวิชาการกรมแพทย์ ประจำปี 2551 มีการเสวนาเรื่อง เปลี่ยนรถไปใช้แก๊ส : ภยันตรายใกล้ตัว? นพ.ประวิทย์ ลิ้มควรสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน กล่าวว่า เนื่องจากภาวะน้ำมันแพง ทำให้คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว หันมาใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยการติดตั้งแก๊สแอลพีจี หรือเอ็นจีวี ซึ่งหากวิธีการติดตั้ง ถังก๊าซไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ทางการแพทย์ถือว่ามีความเสี่ยงอันตราย
โดยอุบัติเหตุที่เกิดจากการติดตั้งแก๊ส เกิดขึ้นได้ 3 ประเภท คือ
1. แก๊สรั่วโดยไม่ระเบิด ซึ่งหากมีการรั่วของแก๊สเกิดขึ้นก็จะได้กลิ่น แม้แก๊สไม่มีพิษทำลายประสาท แต่จะเกิดการสะสมเป็นอันตราย และยังแย่งอากาศในการหายใจขณะที่อยู่ในรถด้วย
2. การติดไฟ ซึ่งแอลพีจี มีขีดจำกัดในการติดไฟได้ 2-9% ขณะที่เอ็นจีวี อยู่ที่ 5-15% ส่วนอุณหภูมิการติดไฟ แอลพีจี 480 องศา เอ็นจีวี องศา ในแง่ความปลอดภัยการติดไฟของแอลพีจีง่ายกว่า
3. การระเบิด ซึ่งเกิดจากสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่มีความร้อน จนเกิดประกายไฟ ทำให้มีพลังงานดันออกมามหาศาล
"รถที่ปรับแต่งติดแก๊ส เปรียบได้กับนั่งอยู่กับระเบิด ซึ่งหากติดเอ็นจีวีก็เท่ากับมีลูกระเบิด ที่มีความดันถึง 3,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ส่วนแอลพีจีมีความดันอยู่ที่ 120 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ซึ่งในทางการแพทย์ หากเกิดระเบิด มีความดันเพียง 58-80 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ส่งผลให้เสียชีวิตถึง 95% แรงระเบิด ช็อคเวฟ จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายในส่วนที่เป็นลม คือ ซึ่งจะทำให้เยื้อแก้วหูทะลุ ปอด ลำไส้แตก ส่วนแรงประทะโดยตรงจากเศษวัสดุจากตัวรถที่มากระแทก ก็จะทำให้เกิดการฉีกขาดของร่างกายภายนอก เหมือนโดนยิงทะลุทะลวง" นพ.ประวิทย์กล่าว
ดร. อธิคม บางวิวัฒน์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า แก๊สทั้ง 2 ประเภทมีอันตรายหรือไม่ขึ้นอยู่กับมาตรฐานความปลอดภัยของอุปกรณ์ที่นำมาติดตั้ง ซึ่งทั้งแอลพีจีและเอ็นจีวี ต่างก็มีอุปกรณ์ที่ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัย ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) เป็นมาตรฐานสากลอยู่แล้ว ซึ่งผ่านการทดสอบโดยการเผาไฟ ใช้แรงกระแทก ยิงปืนใส่ ก็จะไม่ระเบิด
"สิ่งสำคัญคือ หากตัดสินใจจะติดตั้งแก๊สที่สำคัญคืออย่าขี้เหนียว หรืออยากได้ของถูก อุปกรณ์ หรือถังทั้งแอลพีจี และเอ็นจีวี ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด มีราคาแพงอยู่แล้ว ดังนั้น ของที่มีราคาถูกจึงไม่มี และอาจถูกหลอกได้อุปกรณ์ ติดตั้ง และถังแก๊สที่ไม่มีคุณภาพ และเด็กปัญหาเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ และควรจะติดตั้งถังแก๊สในศูนย์ที่ได้รับการรับรองจากกรมขนส่งทางบก ซึ่งมี138 แห่ง และมีศูนย์ติดตั้งยอดเยี่ยม 22 แห่ง การตรวจคุณภาพทุก 1 ปี แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ปัจจุบันมี ผู้ตรวจสอบด้านคุณภาพความปลอดภัยน้อย เอ็นจีวีมีเพียง 49 แห่ง มีศูนย์ตรวจสอบตัวถังเพียง 7 แห่ง เท่านั้น" ดร.อธิคมกล่าว
เผยโฉมหัวหน้าการ์ดกบฏเมือก
|
สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานีหลายสมัย เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการหลายกระทรวง
สุเทพ เทือกสุบรรณ มีชื่อเรียกเล่น ๆ จากสื่อมวลชนโดยทั่วไปว่า "เทพเทือก" (มาจากการย่อ ชื่อและนามสกุล "สุเทพ เทือกสุบรรณ")
ในวัยหนุ่มสุเทพเคยดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านตำบลท่าสะท้อนอำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา ทำให้จนถึงขณะนี้ บางครั้งยังมีคนเรียกว่า "กำนันสุเทพ"
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ประกาศจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเงาขึ้น สุเทพ เทือกสุบรรณได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรค ให้ทำหน้าที่ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเงา" ปลายปี พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคพรรคพลังประชาชน ส่งผลให้รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สิ้นสุดลง สุเทพ มีบทบาทสำคัญในการประสานงานให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ทำให้อดีตพรรคร่วมรัฐบาลสมชาย รวมถึง สส.กลุ่มเพื่อนเนวิน เปลี่ยนขั้วมาสนับสนุนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[ต้องการอ้างอิง] และสุเทพได้ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง[1] ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552 ขณะที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชลบุรี สุเทพได้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบ พนักงานเจ้าหน้าที่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติ งานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มี ความร้ายแรงในท้องที่เมืองพัทยาและจังหวัดชลบุรี [2] ในช่วงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปี พ.ศ. 2553 ได้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการ
ปัจจุบัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองและพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นผู้นำการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปี 2556
สุเทพ เทือกสุบรรณเกิดวันที่ 7 กรกฎาคมพ.ศ. 2492 เป็นบุตรจรัส เทือกสุบรรณ กำนันตำบลท่าสะท้อนอำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎร์ธานี และละม้าย เทือกสุบรรณ มีพี่น้องท้องเดียวกัน 6 คนคือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ศิริรัตน์กับนางรัชนี (เป็นคู่แฝด) เชน เทือกสุบรรณ จิราภรณ์ เทือกสุบรรณ ธานี เทือกสุบรรณ และกิ่งกาญจน์ เทือกสุบรรณ
สุเทพสำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์) จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2515 และสำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาโท M.A. Political Sciences จาก Middle Tennesse State University ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2518 หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทกลับมา สุเทพได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น กำนันตำบลท่าสะท้อน ต่อจากผู้เป็นบิดา และชนะเลือกตั้ง ทำให้ได้เป็นกำนันขณะมีอายุได้ 26 ปี โดยมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทจากต่างประเทศ
ปัจจุบัน สุเทพ เทือกสุบรรณ สมรสกับศรีสกุล พร้อมพันธุ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา มีบุตรชาย 1 คน บุตรสาว 2 คน คือ แทน เทือกสุบรรณ, น้ำตาล เทือกสุบรรณ และน้ำทิพย์ เทือกสุบรรณ [3]
สุเทพ เข้าสู่วงการเมืองระดับประเทศ ได้เป็น ส.ส.จังหวัดสุราษฎร์ธานี สมัยแรกเมื่อปี พ.ศ. 2522 และหลังจากนั้นสามารถชนะเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส. อย่างต่อเนื่องถึง 10 สมัย[ต้องการอ้างอิง] และดำรงตำแหน่งสำคัญระดับรัฐมนตรี คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 สมัย และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
สมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สุเทพถูกพรรคฝ่ายค้านคือ พรรคชาติไทย ที่มีบรรหาร ศิลปอาชาเป็นหัวหน้าพรรค เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ กรณีเกิดการทุจริตในการแจกที่ดินทำกินแก่เกษตรกร หรือที่เรียกกันว่า ส.ป.ก.4-01 โดยในครั้งนั้นพรรคชาติไทยมี เนวิน ชิดชอบ เป็นกำลังสำคัญนำอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลให้ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติ และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2538
หลังการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548พรรคประชาธิปัตย์ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารพรรคครั้งใหญ่ สุเทพได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค และพอดีกับมีบทบาทอย่างมากในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 โดยเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นฟ้องพรรคไทยรักไทย[ต้องการอ้างอิง] และต่อมาพรรคไทยรักไทยถูกวินิจฉัยให้ยุบพรรค
ในการจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งสุเทพเป็นผู้ที่มีบทบาทในการประสานงานจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนั้น จนได้รับการขนานนามว่า "ผู้จัดการรัฐบาล"[ต้องการอ้างอิง] และได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 สุเทพ ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากติดปัญหาการถือครองหุ้น[ต้องการอ้างอิง] แต่ยังคงดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเช่นเดิม
ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 สุเทพ ได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี[4] เพื่อกลับไปลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกครั้งแทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งการเลือกตั้งดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นที่มาของการถูกมองว่าสุเทพ ต้องการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเตรียมตัวเป็นนายกรัฐมนตรีสำรอง ในกรณีที่ถูกยุบพรรค[ต้องการอ้างอิง] ภายหลังได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จึงได้กลับเข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง[5]
สุเทพเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างปี พ.ศ. 2542-2546 กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2546-2548 และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-2554
โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจทดแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 396 แห่ง มูลค่า 5,848 ล้านบาท เข้าข่ายการฮั้วประมูล เพราะมีการรวบสัญญาการดำเนินการมาเป็นสัญญาเดียว จากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอให้มีการทำเป็นหลายสัญญา
เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุการอนุมัติโครงการดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 ต่อมา สุเทพยกเลิกแนวทางการจัดจ้างเป็นรายภาค ให้จัดจ้างรวมกันทั้งหมดแทน เมื่อ 11 ต.ค.2553 เลยทำให้มีบริษัทเดียวที่ชนะการประมูลการก่อสร้างในครั้งนี้ไป
ในขณะนี้ สุเทพได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทต่อนาย ธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ศาลาอาญาต่อกรณีนี้ด้วยเห็นว่า ตนได้ดำเนินการไปตามความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศาลอาญา รัชดา มีคำสั่งประทับรับฟ้องแล้ว [6]
ศาลอาญาอนุมัติหมายจับสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวก ในข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ และอนุมัติหมายจับแกนนำ คปท.กรณีบุกกระทรวงการต่างประเทศด้วย
หลังจากที่พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุมัติหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. ในข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ, กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ มิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด่างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็นว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแต่ไม่เลิก ซึ่งล่าสุดศาลได้อนุมัติหมายจับดังกล่าวแล้ว
นอกจากนี้ ศาลอาญายังได้อนุมัติหมายจับนายนิติธร ล้ำเหลือ, นายอุทัย ยอดมณี, นายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี และ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ในข้อหาร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และทำให้เสียทรัพย์กรณีบุกรุกกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นเหตุให้ประตูเลื่อนไฟฟ้าเสียหาย 4 บาน ซึ่งศาลได้ไต่สวนพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวม 7 ปาก ขณะที่นางสาวพวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความกลุ่ม คปท.ที่ยื่นคำร้องคัดค้านหมายจับ นำพยานเข้าเบิกความจำนวน 2 ปาก
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้ร้องมีหลักฐานพอสมควรว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 คน กระทำความผิดอาญาและมีโทษจำคุก 3 ปีขึ้นไป จึงมีคำสั่งอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน
ขณะเดียวกันวันที่ 26 พฤศจิกายนพ.ศ. 2556 เวลา 15.00 นาฬิกา ศาลได้มีคำสั่งให้เพิกถอนหมายจับ นายสุเทพ ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 และความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ และมาตรา 216 ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 กรณีนำมวลชนเข้าปิดล้อม ขับไล่ข้าราชการ บุกยึดสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เป็นที่ชุมนุม ด้วย
เนื่องจากศาลเห็นว่า นายสุเทพ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ในข้อหาร่วมกันกบฏ ซึ่งมีอัตราโทษที่สูงกว่า และมีอายุความถึง 20 ปี จึงให้บังคับใช้หมายจับฉบับนี้แทนฉบับเดิม[7]
.............................................................
กรุ๊ปทัวร์จีนขนลุก ถ่ายคลิปติดภาพวิญญาณของเจ้าหญิงไดอาน่าบนซุ้มหน้าต่างกระจกสี ของโบสถ์คริสต์ ที่สกอตแลนด์
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า (23 ม.ค.) ในเว็บไซต์ชื่อดังยูทูปได้มีการนำภาพบันทึกวิดีโอโพสต์ลงเผยแพร่ ซึ่งเป็นภาพวิญญาณของเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งราชวงศ์อังกฤษผู้ล่วงลับ ปรากฏบนซุ้มหน้าต่างกระจกสี ของโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่ง ในเมืองกลาสโกว์ แคว้นสกอตแลนด์ ที่กรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นใหญ่บันทึกไว้แต่ก็ไม่ได้สังเกตความผิดปรกติใดๆ จนกระทั่งไปดูที่บ้านจึงเห็นภาพดังกล่าว
ด้านนายไมเคิล โคเฮน นักเขียนเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติแห่งออสเตรเลีย ที่กำลังทำการพิสูจน์ภาพบันทึกวิดีโอชุดนี้ รวมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า สิ่งที่เห็นอาจเป็นไปได้ทั้งภาพลวงตา จากการหักเหของมุมแสงกับกระจก หรือเป็นดวงวิญญาณของเจ้าหญิงไดอาน่าจริงๆ ซึ่งกรณีนี้พระองค์อาจมีความผูกพันกับสกอตแลนด์ เนื่องจากพระมารดาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในสกอตแลนด์ ก่อนจะสิ้นชีพิตักษัยในปี 2547
7 ทักษะที่เด็กนักเรียนยุคไอทีขาดหายไป
เด็กยุคนี้เติบโตขึ้นมาค่อนข้างมีความสะดวกสบายมากกว่ายุคก่อนมาก
หลายสิ่งอย่างในชีวิตได้มาง่ายเพราะพ่อแม่จัดหาให้ทุกอย่าง ยามหิวเมื่อไรก็ได้กินเมื่อนั้น หนำซ้ำสามารถสั่งมากินที่บ้านก็ได้ อยากได้อะไรก็ได้ ยิ่งมีเครื่องมืออิเลคทรอนิกส์ ก็ยิ่งเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นไปอีก
พอเข้าสังคมโรงเรียนก็เลยมีนิสัยรักสบายติดตัว และกลายเป็นปัญหาของเด็กนักเรียนจำนวนมากที่คนเป็นคุณครูถึงกับต้องกุมขมับ เพราะการเรียนรู้ของเด็กนักเรียนยุคนี้ทำให้เกิดปัญหามากมาย ยกตัวอย่างเรื่องการบ้าน ที่คุณครูพบว่า เดี๋ยวนี้การบ้านของเด็กไม่ใช่ของเด็กอีกต่อไป เพราะมีตัวช่วยมากมาย ตั้งแต่ผู้เป็นพ่อแม่ และเครื่องมืออิเลคทรอนิคส์ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการทำงาน
ถ้าเป็นเพียงการอ่านประกอบ หรือช่วยค้นหาบางเรื่องก็ยังพอทำเนา แต่ปัจจุบัน เด็กส่วนใหญ่ใช้วิธีลอกการบ้านผ่านอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการทำรายงาน ก็ใช้วิธีเดียวกัน ซึ่งบางวิชาคุณครูก็รู้เท่าทัน บางวิชาก็รู้ไม่เท่าทัน
ในขณะที่เด็กนักเรียนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการทำการบ้าน ทำรายงาน ต้องมีการค้นคว้าหาข้อมูลในห้องสมุด ต้องขวนขวาย ดิ้นรนที่จะต้องไปเสาะแสวงหาข้อมูล ถ้าทำงานเป็นกลุ่มก็ต้องมีการแบ่งงาน มีการคิดก่อนลงมือทำ ในขณะที่ปัจจุบันใช้อินเทอร์เน็ต แค่ปลายนิ้วก็สามารถได้ข้อมูลเพียบ บางคนใช้วิธีคัดลอก ตัด แปะ อีกต่างหาก
และเจ้าสิ่งต่างๆ ที่สะดวกสบายมากขึ้น จึงเป็นต้นเหตุทำให้เด็กนักเรียนรุ่นใหม่ขาดทักษะชีวิตในหลายด้านทีเดียว
อะไรบ้าง ?
หนึ่ง ทักษะการคิด
ส่วนใหญ่พ่อแม่จะคิดให้หรือคิดแทน และบางคนถึงขั้นทำให้ลูกหมดทุกอย่าง ไม่ค่อยได้ปล่อยโอกาสให้ลูกได้ฝึกคิด หรือพอปล่อยให้ลูกคิดเอง พ่อแม่มักจบลงที่ความคิดของลูกไม่ได้เรื่อง สุดท้ายก็จะทำให้ลูกไม่อยากคิด เพราะคิดทีไร พ่อแม่ก็ไม่สนใจอยู่แล้ว หรือคิดว่าความคิดของตัวเองไม่เข้าท่า ฉะนั้นก็เลยไม่ชอบคิด และเมื่อเข้าสู่รั้วโรงเรียนก็มักจะเชื่อฟังคุณครู และมักจะไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง
สอง ทักษะค้นคว้า หาข้อมูล
ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทางอิเลคทรอนิคส์ จึงทำให้เด็กรุ่นนี้ มักค้นหาข้อมูลผ่านทางโลกออนไลน์มากกว่าจะไปค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือ และมักจะทำการลอกข้อความต่อกันมาเป็นทอดๆ คุณครูบางคนถึงกับต้องปวดหัว เพราะการบ้านของเด็กบางครั้งคัดลอกมาเหมือนกันหมด แม้แต่คำผิดก็ยังผิดเหมือนกัน เด็กจึงขาดการเรียนรู้ถึงการค้นคว้า การจะหาข้อมูลว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ต้องค้นคว้าในหมวดหมู่อะไร และเคยชินกับการลอกข้อมูลมากกว่าจะไปเสาะแสวงหาความจริงจากข้อมูล
ศาลแพ่งไม่ยกเลิก พรก แต่ห้ามสลายม๊อบ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย โพสต์โดยคุณ WOODYTALK CH สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ นอสตราดามุสเมืองไทย กับคำทำนายภัยพิบัติประเทศไทยปีนี้ ในวู้ดดี้เกิดมาคุย
เคยสร้างความประหลาดใจให้ใครหลายคนมาแล้ว เกี่ยวกับคำทำนายของ "ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ" ในเรื่องภัยพิบัติ ตั้งแต่ครั้งเหตุการณ์ตึกเวิล์ดเทรดถล่ม เหตุการณ์สึนามิ เมื่อปี 2547 และเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศไทยเมื่อปี 2554 จนได้รับฉายานามว่า.. "นอสตราดามุสเมืองไทย" ล่าสุดรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยจึงไม่รอช้าเชิญ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ มาพูดคุยทำนายภัยพิบัติประเทศไทยปีนี้ เมื่อค่ำคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557
โดย ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ 11 กันยาที่สหรัฐฯ ให้ฟังว่า ครั้งแรกตนยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์เกิดที่ไหน คือเห็นตึกสูงมากแล้วมีอะไรมาชนจนระเบิด จนกระทั่งตนเปิดหนังสือฉบับภาษาอังกฤษแล้วพบตึกเวิลด์เทรดซึ่งเป็นตึกที่ตนเห็น ตนจึงบอกผู้ใหญ่ในวงการทหาร รวมถึงวันที่จะเกิดเหตุด้วยว่าเป็นวันที่ 11 กันยายน แต่ผู้ใหญ่ก็ตอบว่า มันจะเป็นไปได้เหรอ
และทุกครั้งที่ตนเตือนจะต้องบอกวันเสมอ อย่างเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ตนบอกทุกคนที่ได้ไปบรรยายให้ฟัง ตอนเห็นภาพนี้เห็นที่กรุงเทพฯ แต่ไปทำพิธีที่ท้ายเหมือง เพราะตนมั่นใจว่าจะต้องเกิดที่ภูเก็ต ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ตนถูกนักวิทยาศาสตร์ รวมถึง ดร.สมิธ ออกมาว่าเยอะ ว่าตนไม่รู้จริง สึนามิไม่เคยเกิดในไทย แต่ตนก็บอกว่า ไม่ใช่ไม่เคยมี แต่คุณเกิดไม่ทัน มันเคยเกิดเมื่อ 4,000-5,000 ปีที่แล้ว จนกระทั่งศูนย์กลางและเมืองใหญ่กลางมหาสมุทรอินเดียล่มหายไป
ส่วนที่รู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดที่ภูเก็ตนั้น ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ กล่าวว่า ตนตั้งคำถามในใจ ส่วนคนที่ตอบซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เชื่อมต่อกันด้วยคลื่นบางอย่าง เขาตอบมาว่าอันดามัน ซึ่งในวันที่ 25 ธันวาคมก่อนเกิดเหตุ ตนและเพื่อน ๆ ได้ไปที่ปากช่อง
เมื่อถามว่าทำไมจึงไม่เตือนหน่วยราชการนั้น ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ กล่าวว่า ถ้าไม่เตือน อาจารย์จะพิมพ์บทสวดมนต์เป็นแสน ๆ ใบเหรอ ตนเตือนมาตลอดบอกให้ช่วยกันสวดมนต์ ซึ่งมีลูกศิษย์ตน 7 คนที่รอดชีวิต ตนได้ให้บทสวดและเตือนเขาไป ปรากฏว่าตอนเช้าลูกศิษย์โทรมาร้องไห้บอกว่า ที่ตนเตือนเกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว และที่ตนไปเขาใหญ่ในวันก่อนเกิดเหตุนั้นเพราะที่นั่นเป็นเขาสูง และมีเสาวิทยุเยอะ ที่เราสามารถเชื่อมพลังงานเพื่อยิงสัญญาณได้
ทั้งนี้ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ เล่าด้วยว่า การที่หยั่งรู้อนาคตนั้น เรียกว่า ญาณวิถี คนทรงญาณ การที่จิตสงบ เป็นสมาธิระดับสูง เกิดจากการที่เรามีอยู่แล้วตั้งแต่อดีตชาติและฝึกด้วย ตนไม่ใช่หมอดู หรือนักพยากรณ์ แต่สิ่งที่ตนเห็นยังไม่มีอะไรที่ไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่เห็นเกิดขึ้นหมด ครั้งแรกที่เห็นคือ 4-5 ขวบ ตนเห็นขโมยขึ้นบ้านและถูกตีอยู่ที่ระเบียง ตนจึงบอกผู้ใหญ่ในบ้าน ซึ่งเขาก็เชื่อ หลังจากนั้นไม่เกิน 7 วันก็มีขโมยขึ้นบ้านจริง ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นตนยืนยันได้ว่าไม่ใช่จินตนาการเพราะตนใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเอง 15-18 ปี
และเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ กล่าวว่า ตนได้คุยกับ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จึงเริ่มศึกษาเรื่องฟิสิกส์ คลื่นพลังงานแม่เหล็กต่าง ๆ จนเริ่มเข้าใจว่า ถ้าสมาธิ จิตเราดี เคิร์ฟในสมองจะมีความถี่ห่าง ซึ่งสามารถจับจูนคลื่นพลังงานต่าง ๆ ที่มีรอบตัว นอกจากนี้ตนยังได้สอนน้อง ๆ ให้ฝึกสร้างพลังงานขึ้นมาเอง เพื่อให้ได้สัมผัสพลังงานจริง ๆ โดยการถูมือและเคาะนิ้ว ซึ่งจะช่วยการสร้างสเต็มเซลล์ เพราะหลังเดือนพฤษภาคมปีนี้ โลกจะเริ่มเปลี่ยนแปลง และมนุษย์จะเริ่มกลายพันธุ์ !
โดยโครงสร้างดีเอ็นเอเราจะผิดปกติ เพราะความไม่สมดุลของยีนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก เกิดจากสิ่งที่ร่างกายสะสม มลพิษสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงปัจจัยทางสมอง ทุกวันนี้มนุษย์อยู่กับสนามพลังงานแม่เหล็กซึ่งพร้อมที่จะเปลี่ยนกระบวนการเซลล์ของเราให้ผิดปกติ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมปัจจุบันคนเราถึงเป็นมะเร็งกันเยอะมาก โดยภาพเหล่านี้ตนเห็นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน มนุษย์มีหนอกที่หลัง แขนและมือสั้นกว่าปกติ แต่หนาใหญ่ เท้าขาผิดปกติ จะว่าเหมือนมนุษย์โบราณก็ไม่ใช่เพราะอันนั้นดูแข็งแรง แต่อันนี้ดูปวกเปียก เป็นภาวะที่ไม่สมดุลเลย ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ ถ้าพื้นที่ไหนไม่มีเทคโนโลยี และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กมากก็อาจจะไม่เป็นมาก
ส่วนที่หลาย ๆ คนมักจะสงสัยว่าเรื่องที่ตนเตือนจริงหรือเปล่า อยากดังหรือเปล่า ทำไมจึงตั้งฉายานอสตราดามุส ตนไม่ได้ตั้งเอง สื่อเป็นผู้ตั้งให้ เพราะเราไม่ได้อยากดัง และไม่ได้คิดที่จะเอาความรู้หรือความสามารถพิเศษมาทำมาหากินหรือทำให้ตัวเองโด่งดัง ซึ่งพระ ซินแส บอกว่า ตนเป็น 1 ในสิบล้านคน และเป็นหน้าที่ที่ตนจะต้องลงมาทำบางอย่าง ตนเป็นพรหม คือผู้ที่สำเร็จแล้ว ปฏิบัติแล้ว และไม่มาเกิดก็ได้ จะเกิดก็ได้
ส่วนที่คนไทยนับถือพระสยามเทวาธิราชนั้น ท่านเสด็จกลับข้างบนแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2523 เพราะหมดวาระของท่านแล้ว กรุงเทพฯ สร้างมา 200 กว่าปีแล้ว ทุกอย่างมีกำหนดอายุขัยทั้งนั้น เทวดาที่รักษาเมืองก็มีอายุขัยเช่นกัน โดยพระสยามเทวาธิราชสร้างในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 และสมเด็จพระพุฒาจารย์โตอัญเชิญจิตวิญญาณของเทวดามาพิทักษ์รักษา แต่ ณ ปัจจุบันพระสยามเทวาธิราชกลับไปแล้ว ส่วนพรหมที่ดูแลประเทศไทยอยู่ตอนนี้คือพระอัสดายุ ซึ่งมนุษย์จะไม่สามารถเห็นได้เลยถ้าตนไม่ได้เปิดมิติของสวรรค์
และเหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้นั้น ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ กล่าวว่า หลังวันที่ 13-18 กุมภาพันธ์ จะมีเรื่องน่าตื่นเต้นตกใจเกิดขึ้น มีแผ่นดินทรุดตัวและแยกยุบในพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง กทม. และปริมณฑล คล้ายธรณีพิโรธ เห็นสายฟ้าฟาด ฟ้าผ่าลงมาที่สถานีไฟฟ้าย่อย ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง จะมีไฟไหม้ขนาดรถกระเช้าขึ้นไม่ถึง เห็นตึกสูงถล่ม ถึงเวลาฟ้าดินจะชำระล้าง ส่วนทางออกนั้น หากเชื่อในกรรมดี มีสติอยู่กับลมหายใจ สร้างแต่กรรมดี ไม่สร้างอกุศลกรรม พลังงานบวก คิดบวก สิ่งต่าง ๆ จะเชื่อมโยงกับพลังงานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ และหมั่นสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ที่สหรัฐอเมริกาจะมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง แถวแคลิฟอเนียร์ จอร์เจีย
และหลังพฤษภาคม สนามพลังงานแม่เหล็กโลกจะเคลื่อน คนจะเดินไม่ได้ เสียการทรงตัว ต้องคลานกันทั้งโลก เพราะเกิดการสวิงตัวของสนามแม่เหล็ก ซึ่งเราต้องรักษาร่างกายให้สมบูรณ์ หายใจให้เป็น หายใจให้ลึก อย่าให้ท้องผูก ออกกำลังกาย ทำยังไงก็ได้ให้เราแข็งแรง
ขณะที่ทางด้าน ดร.สมิธ กล่าวถึงคำทำนายของ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ ว่า คำว่าธรณีพิโรธมีจริง แต่ไม่เคยเกิดขึ้นในไทย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อแผ่นดินไหวรุนแรงเกิดขึ้นห่างกรุงเทพฯ 300-350 กม. ถ้าคลื่นแผ่นดินไหวผ่านพื้นดินอ่อน มันจะขยายอัตรากำลังพลังงานขึ้นอีก 2 เท่าครึ่ง กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนดินเลน ถ้ามีคลื่นแผ่นดินไหวขนาดกลางหรือใหญ่ผ่านมา อัตราการขยายพลังงานจะเพิ่มขึ้น ถ้าเข้ามาจริง ๆ กรุงเทพฯ ก็จะเป็นอย่างที่ ดร.กัญจิรา บอก มีตึกถล่มแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นที่เม็กซิโกมาแล้ว
ส่วนเรื่องการสวิงตัวของสนามแม่เหล็กนั้นอาจเกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานออกมา มันจะกระทบต่ออากาศ แผ่นดินไหว ซึ่งเว็บไซต์องค์การนาซาจะมีบอกไว้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ บอกอาจจะเกิดได้แน่ใน 200-300 ปี เพราะพลังงานสะสมในใจกลางโลกต้องปลดปล่อยออกมา ทำให้พื้นผิวโลกมีการเคลื่อนตัว
ชื่อของ “ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ” เคยถูกกล่าวขวัญถึงอย่างมากหลังจากทำนายเกี่ยวกับ “ภัยพิบัติใหญ่” แล้วมีคนนำออกมาเผยแพร่ ซึ่งภายหลังบุคคลผู้นี้ก็ออกมายืนยันว่าเป็นคำทำนายของตนเองจริง แต่ข้อมูลที่เผยแพร่มีความผิดเพี้ยนไป อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์หลายครั้งก็ทำให้มีหลายคนติดตามดูผลคำทำนายว่า...แม่น-ไม่แม่น ?? เธอผู้นี้เป็นใคร-อย่างไร ?? วันนี้ทีม “วิถีชีวิต” จะพาไปทำความรู้จัก.....
@@@@@
ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ เล่าว่า ในอดีตเป็นกลุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ณ วันนี้มีอาชีพเป็น “นักวิทยาศาสตร์การแพทย์” เรียน จบจากต่างประเทศ จบปริญญาโทด้านชีวเคมีและพันธุกรรมจากออสเตร เลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งปัจจุบันให้ความสนใจการนั่งสมาธิและการ “ค้นคว้าทางจิต” โดยเป็นประธานชมรมวิถีธรรม-วิถีไท ทั้งนี้ กับ “สัมผัสพิเศษ” หรือ “ซิกซ์เซนส์” ดร.กัญจีราบอกว่าเกิดกับตัวตั้งแต่เด็ก
ครั้งหนึ่งได้บอกคนรู้จักว่าอีกไม่กี่วันจะมีอุบัติเหตุมีฝรั่งตายหลายคน แล้วก็มีรถทหารจัสแม็กซ์คว่ำตายจริง ๆ และเมื่อตอนลงไปทำงานในพื้นที่ภาคใต้ก็เห็นภาพโจรก่อการร้ายจะซุ่มโจมตีก่อนล่วงหน้าจึงเล่าให้หัวหน้าฟัง ซึ่งก็เกิดขึ้นจริง หรือการปฏิวัติยุค รสช. ก็บอกผู้ใหญ่ไปไม่ถึง 1 สัปดาห์ก็เกิดขึ้น ทั้งยังเคยทำนายว่าคนไทยจะมีนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อทิศใต้ซึ่งขณะนั้นไม่มีใครคาดคิด แต่ผลก็ออกมาตามนั้น และยังมีอีกหลายคำทำนายที่ตอนแรกฟังแล้วอาจจะดูไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง อาทิ สงครามอิรัก วิกฤติค่าเงินบาท เหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด จนทำให้เจ้าตัวถูกเรียกว่าเป็น “นอสตราดามุสหญิง...เมืองไทย”
“คนมักถามว่ารู้ได้อย่างไร เราก็บอกว่าคำตอบมีอยู่แล้ว เพียงแต่จะเจอคำตอบเมื่อไหร่ เหมือนนักวิจัยเก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งก็มีคำตอบให้ บางคนมองว่างมงาย แต่เราคิดว่าเรื่องจิตสามารถอธิบายให้เป็นรูปธรรมในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ จึงตั้งใจค้นคว้าเพื่อหาคำตอบ”
ในช่วงเริ่มต้นค้นคว้านั้น ดร.กัญจีรา บอกว่า เกิดเหตุประหลาดหลายครั้ง เช่นมีโอกาสเจอ “อ.ภาวาด บุนนาค” ซึ่งไม่เคยเจอตัวจริงกันเลย แต่พบกันในนิมิต 5 ครั้ง ได้กล่าวอะไรหลายอย่าง ทำให้เกิดความต้องการรู้ อยากศึกษาค้นคว้าพิสูจน์ แต่กว่าจะตามหาเจอท่านก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็ได้คุยกับคนสนิทของท่านว่าสิ่งที่ท่านบอกนั้นจริงหรือไม่ ปรากฏว่าจริง เรื่องการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ตรงนี้ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจ
ช่วงปี 2531-2532 เริ่มจริงจัง ทุ่มเท นั่งสมาธิ สวดมนต์ จากนั้นก็ฝึกสมาธิบำบัดซึ่งเป็นศาสตร์หนึ่งที่เอาสมาธิมาผนวกกับการเคลื่อนไหวที่ได้ประโยชน์กับร่างกาย แล้วให้จิตเฝ้าระวังดูการเคลื่อนไหวของเรา
“ส่วนการทำนาย ทุกครั้งก็ไม่ได้พูดส่งเดช แต่มีหลักความเป็นไปได้ ส่วนใหญ่จะมองจะวิเคราะห์เป็นรายปี ถามว่าเคยพลาดไหม ตรงนี้แหละที่แปลก อย่างเหตุการณ์พายุนาร์กีสที่พม่า แผ่นดินไหวที่จีน ก็เคยเตือนไว้ตอนปี 2548-2549 ว่ามันจะเกิด มันก็เกิดขึ้นในปี 2551 จริง ๆ”
ปลายปี 2550 เตือนย้ำเรื่องพม่า จีน และต่อที่อินโดนีเซีย เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และกระทบถึง ศรีลังกากับอินเดีย ต่อเนื่องมาที่ลาว ซึ่งถ้าลาวแผ่นดินไหวไทยก็ต้องเจอ แต่ไม่รู้ว่าวงจรนี้จะเกิดเมื่อใด ?
สำหรับคำทำนายที่เกี่ยวกับไทย ดร.กัญจีรา บอกว่า “สัญญาณอันตรายจะเกิดขึ้นด้วยคลื่นความถี่ ภาพภัยพิบัติล่าสุดที่เห็นคือ ภูเขาไฟในอินโดนีเซียปะทุและระเบิด เกิดคลื่นยักษ์ในอ่าวไทย ไม่ใช่สึนามิ แต่จะเป็นคลื่นที่ระลอกแล้วระลอกเล่าถาโถมเข้ามาพร้อม กับพายุที่มีความรุนแรงกว่าปกติ คนที่อยู่แถวริมทะเลจะได้รับผลกระทบ อาทิ เพชรบุรี สมุทร ปราการ”
ดร.กัญจีรา อธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่า จากภาพที่เห็นตั้งสมมุติฐานว่าบริเวณอ่าวไทย เลียบชายฝั่งเป็นดินใหม่ที่มีโคลน เมื่อมีการขยับตัวของแผ่นดินเกาะสุมาตราก็จะมี ลักษณะเหมือนโดมิโน เมื่อตรงนี้ขยับตรงโน้นก็ขยับต่อทีละนิดไปเรื่อย ๆ ในอ่าวไทยมีหลุมใหญ่จากการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ สูบน้ำมันมานาน 20-30 ปี ของเหลวถูกสูบขึ้นมา ความสมดุลของโลกก็สูญเสียไป ฉะนั้นแผ่นดินต้องเลื่อนลงไปทดแทน พื้นทรายทรุดตัวลงช้า ๆ สิ่งที่เข้าไปแทนที่คือ ทราย ฟองอากาศ พื้นดินจะขยับไปเรื่อย ๆ ซึ่งต้องมีผลกระทบ
“ภายใน 3-6 เดือนข้างหน้านี้ ไทยจะพบภัยพิบัติธรรมชาติรุนแรง จะเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก แผ่นดินทรุด กรุงเทพฯ น้ำจะท่วมแผ่นดินไหวมีตึกสูงถล่ม ภาคใต้จะเกิดคลื่นพายุหนัก โดยภัยธรรม ชาติจะเกิดขึ้น 3 ช่วงคือ 1.วันที่ 26-27 ก.ค., 2.วันที่ 17-18 ส.ค., 3.ช่วงรอยต่อของวันที่ 23 ต.ค.-7 พ.ย. ซึ่งจะเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดที่กระทูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรม ราช แต่ครั้งนี้เกิดขึ้นที่ภาคเหนือ จะมีน้ำป่าไหลหลากรุนแรง ภูเขาเกิดแตก โดยเฉพาะที่ น่าน แพร่ และที่ อ.เถิน จ.ลำปาง เพราะมีการขุดเจาะภูเขาทำเหมืองกันมาก”
นักวิทยาศาสตร์ผู้สนใจค้นคว้าทางจิตบอกต่อไปว่า... ถนนบ้านเราสร้างตามใจนักการเมือง ไม่ใช่ผังเมือง ทำให้ถนนหลายสายเหมือนกับเขื่อนกั้นน้ำจากภาคเหนือสู่ภาคใต้ ทำให้มีน้ำท่วมขังหลายพื้นที่ และเคยดูไว้เมื่อปี 2549 ว่าปี 2551 นี้น้ำฝนจะมากกว่าปกติ เพราะร่องความกดอากาศเคลื่อนที่สู่ภาคเหนือ แล้วนำลมมรสุมมาตก ทำให้ปริมาณน้ำในภาคเหนือเกิดการสะสม พอมากเข้าก็ไหลลงใต้ มีน้ำทะเลหนุน ทำให้ภาคกลางที่เป็นพื้นที่ลุ่มหรือทำให้กรุงเทพฯ ต้องเจอน้ำท่วมใหญ่แน่นอน “ไม่ถึงขนาดกับมิดหัว ประมาณเอวถึงอก” แม้จะมีการสร้างเขื่อนเพื่อแก้ไข แต่ก็คงแก้ไม่ได้ เพราะไม่ทันแล้วกับวิกฤติต่าง ๆ ที่รุนแรงที่จะเกิดขึ้น
ดร.กัญจีรายังบอกด้วยว่า สิ่งที่เห็นไม่ใช่ญาณ ไม่ใช่นิมิต แต่เป็นคลื่นที่มีการเก็บข้อมูลไว้แล้วส่งเข้ามา โดยที่สามารถรับคลื่นตรงนั้นได้ ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ทุกคนมีพลังงาน “คลื่นแม่เหล็ก” ที่ออกมารอบตัว แต่ตนเองมีคลื่นละเอียดกว่าจึงสัมผัสเข้าถึงได้ดีกว่า และแปรผลออกมาเป็นภาพ และเมื่อคลื่นจิตในสมองสงบก็สามารถ จูนคลื่นในอากาศได้ ทำให้รับรู้หรือเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ทั้งที่เคยเกิดและยังไม่เกิดขึ้น
“วิกฤติต่าง ๆ ที่รุนแรงจะเกิดขึ้นใน 2 ปีนี้” เป็นอีกคำทำนายระทึกขวัญที่ “ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ” ระบุ และกำลังรอการพิสูจน์ความแม่น ของ “นอสตราดามุสหญิง...เมืองไทย” คนนี้ !!.
'ความจริง...ที่รอการพิสูจน์ ?'
ดร.กัญจีราบอกว่า ตามวงจรโลกทุก 500 ปีโลกจะสวิงกลับ เช่นเมื่อ 1,000 ปีที่แล้วจีนเจริญรุ่งเรืองมาก แล้วถดถอย ตะวันตกเจริญพัฒนาขึ้น และช่วงนี้ตะวันตกถดถอยลง ตะวันออกก็จะกลับมาเฟื่องฟูอีก จะสวิงไปมาแบบนี้ ซึ่งคิดตามหลักวิทยาศาสตร์อาจเป็นผลจากพลังงานแม่เหล็กโลกที่เคลื่อนที่ตลอดเวลา ที่สำคัญทุก 3,000 ปีโลกจะเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศวิทยาทุกครั้ง จะเกิดขึ้นเพราะวงจรของโลก จากคลื่นพลังงานที่หมุนรอบโลก หรือแม้แต่สสารที่อยู่ในโลกก็มีการเคลื่อนย้ายหมุนเวียน ซึ่งวงจรพลังงานที่เคลื่อนที่มีผลต่อสสาร เมื่อสสารข้างในเคลื่อนที่ มันก็มีผลต่อเปลือกโลก ผลกระทบก็จะเกิดกับมนุษย์และธรรมชาติที่อยู่บนพื้นพิภพ
ก่อนหน้านี้ ดร.กัญจีราจะเก็บตัว เพิ่งจะยอมเปิดให้สัมภาษณ์กับทีมวิถีชีวิต ซึ่ง ดร.กัญจีราบอกว่า ที่ให้สัมภาษณ์เพราะอยากเตือนสติคน อยากให้คนไทยตระหนักรู้ โดยช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก ซึ่งได้เคยทำนายเตือนมาตั้งแต่ปี 2545 ว่าในช่วงปี 2551-2552 จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“ภัยที่เกิดขึ้นนอกจากรับรู้ด้วยโสตประสาทและตาที่สามแล้ว ยังได้ศึกษาข้อมูลวิทยาศาสตร์ แผนที่โลก ภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา เพราะสิ่งที่พูดต้องชัดเจนและตรวจสอบได้ ที่ออกมาพูดวันนี้เพื่อให้เกิดสติ ตระหนักรู้ ไม่ประมาทกับชีวิต พร้อมทั้งเตือนหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เตรียมรับมือปัญหา เพื่อจะได้แก้ไขทัน คนเราวันหนึ่งต้องตาย เมื่อมีชีวิตอยู่อย่าหายใจทิ้งไปวัน ๆ เร่งสร้างกุศลบารมี และความดี สิ่งนี้เท่านั้นที่จะติดตัวเราไปได้ ไม่ได้ต้องการอวดอ้างตัวหรืออยากดัง ไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่นักโหราศาสตร์ นักพยากรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดคือความจริง ที่รอการพิสูจน์” ดร.กัญจีรากล่าว.
ขอขอบคุณ
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ วันที่ 13 กรกฎาคม 2551
การแถลงการของนายกวันนี้พูดได้ดีมาก ตรงๆ
อาการ เดจาวู : รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า?
เคยเกิดอาการแปลกๆ บ้างไหม
อาการที่เหมือนกับตัวเองฝันไป แล้วฝันก็เป็นจริง
อาการที่เห็นภาพและอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา แล้วก็เป็นจริง
อาการเหมือนคนมาเตือนให้ระวังภัยและเตือนภัยแล้วก็เกิดขึ้น
อาการเหมือนตกหลุมรักโดยฉับพลัน...คนนี้ใช่เลย
อาการที่คล้ายกับเคยพบเห็น เคยอยู่ในสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อน
นั่นแหละครับ เรียกว่าอาการ เดจาวู
ตัวอย่างเหตุการณ์
อับบราฮับ ลินคอร์น ก็เคยเห็นเดจาวู เขาเห็นว่าตนจะโดนลอบสังหารและไม่มีใครหยุดได้ ก่อนนอนเขาได้กล่าวอำลากับทหารที่รักษาการนอกห้องประธานาธิบดีว่า ลาก่อนเราคงไม่ได้เจอคุณอีกแล้ว หลังจากนั้น เขาก็โดนลอบยิงเข้าที่หน้าอกเสียชีวิตทันที
บางคนรู้สึกว่าตนนั่งรถทัวร์กลับต่างจังหวัดตอนดึก ระหว่างทางเห็นอุบัติเหตุข้างทาง แล้วก็ผ่านไป สักพักก็เห็นอีก เห็นอยู่เรื่อย ที่สำคัญเป็นรถคันเดิม คนเดิม บางทีกำลังหันมามองเขาด้วย โดนที่ไม่ใช่ฝันแน่นอน พอรู้สึกตัวอีกที รถจอด ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเหมือนที่เคยเห็น
มนุษย์ในบางครั้งมีความรู้สึกว่า ตนเองเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าในฝันหรือในอดีต เช่น ไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อน เดินไปยืนที่ระเบียงแล้วรู้สึก ตนเองคุ้นกับระเบียงนี้ มุมนี้ และการยืนแบบนี้..
เมื่อได้พบใครเป็นครั้งแรกแล้วเกิดอาการ ?ปิ๊ง? ขึ้นมาทันที...ใช่เลย เขาคนนี้แหละที่เคยปรากฏในจินตนาการของเรา
บางคนที่เคยเขียนภาพทิวทัศน์จากจินตนาการ แล้วก็ได้ไปพบทัศนียภาพนั้นตรงกับที่เขียนไว้เป๊ะๆ... เนินตรงนั้น...ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น...วัวกำลังยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ตรงนั้น
เดจาวู ทางการแพทย์เขาเรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้า ในสมองเกิดการผิดปกติครับ คือ ไหลไปยังไงไม่รู้ทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้
แต่โดยความเชื่อของเราเองแล้วนั้น ที่เรียกว่าเดจาวู นี่เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา คือมันเป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล ( ชาติก่อนๆโน้น ) คล้ายๆกับ ทฦษฎีสัมพันธภาพ ของไอน์สไตน์ล่ะครับ คือสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซ้ำ อีกเหมือนกับการที่ เรากลับชาติมาหลายๆชาติ นั่นแหละครับ
ทฤษฏีของเดจาวู
เดจาวู (ฝรั่งเศส:ทฤษฏีของเดจาวู D?j? vu เดชาวู แปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว) คำว่าเดจาวูได้บันทึกขึ้นมาจากนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส Emile Boirac (1851?1917) ในหนังสือ L'Avenir des sciences psychiques (แปลว่า อนาคตของวิทยาศาสตร์จิตวิทยา)
อาการเดจาวูคือรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นเคยพบมาแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งพบครั้งแรก โดยเราอาจจะคิดว่าเราเพ้อฝันไป
เดจาวู เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคน และทุกเวลา อาจเป็นอดีตชาติ อาจเป็นโลกคู่ขนาน อาจเป็นพลังจิต หรืออาจเป็นแค่ภาพลวงตาทางสมอง
ทฤษฎีแรก อดีต
สิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน
เดจาวู เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ.. ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เดจาวู มันเกิดจากการที่ขณะหลับ จะมีการหลับอยู่หลายขั้น (ประมาณ 5 ขั้น) ถ้าเห็นอนาคตที่เคยทำ ก็จะอยู่ประมาณขั้นที่ 3 ยิ่งขั้นมากขึ้น ความสัมพันธ์กับร่างกายและวิญญาณ จะยิ่งห่างไกลกันออกไป ถ้าหลับลึกถึงขั้นที่ 5 ก่อนหลับจะรู้สึกชาตามร่างกายทั้งตัว ขยับตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ (ลักษณะที่คนทั่วไปเรียกว่าถูกผีอำ) ถ้าหลับในสภาพนี้ อัตราค่าซิงโครกับร่างกายจะลดต่ำ ลงจนเหลือ 0 แล้ววิญญาณก็จะหลุดออกจากร่างกาย
ทฤษฎีที่สอง พลังจิต
บ้างก็ว่า เดจาวู เป็นพลังจิตรูปหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นทิพจักขุญาณ (ความรู้คล้ายตาทิพย์) ซึ่งได้มาจากการเจริญสมถะภาวนาในหมวดของกสิณ 3 กองคือ เตโชกสิณ (กสิณไฟ), โอทากสิณ (กสิณสีขาว) และ อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง) จากทั้งหมด 10 กอง
เราทุกคนมีพลังจิต เพียงแต่จะอ่อนจะเข้ม บางทีเพราะเราไม่ได้ฝึก จะเก็บกดไว้ภายใน วันดีคืนดีก็ล้นออกมา ตามตำรา ถ้าได้ฝึก เราสามารถควบคุมได้
มีนักพยากรณ์หลายคน พยากรณ์ได้จากการเพ่ง ว่ากันว่า มีผู้หนึ่งมีเดจาวูแรงกล้ามาก หาใครเปรียบได้ไม่ เขาชื่อ นอสตราดามุส
ทฤษฎีที่สาม จักรวาลคู่ขนาน
อธิบายเกี่ยวกับ โลกคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนานก่อน หมายถึง จักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมกับจักรวาลที่เราอยู่นี้ ทฤษฎีนี้นักฟิสิกส์ริเริ่มคิดขึ้นมา มีเหตุการณ์ที่เราลังเลอยู่ 2 ทาง แต่เราก็ตัดสินใจไปทางหนึ่ง แล้วคิดไหมว่า ถ้า ณ วันนั้นเราตัดสินใจเป็นอย่างอื่น อะไรจะเกิดขึ้น
ในโลกนี้ที่เรามีตัวตนอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันก็มีเราอีกคนหนึ่งในอีกโลกหนึ่ง และมีโลกคู่ขนานมากมายนับไม่ถ้วน
ทฤษฎีสุดท้าย คิดไปเอง
ตามแนวคิดของหลักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เกิดจากสมองแปลข้อมูลผิดพลาด พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ได้เห็นมาแล้วหรอก แต่คิดไปว่าเห็นมาแล้ว
ทางการแพทย์เรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองเกิดการผิดปกติ สมองคนเราก็เหมือนเครื่องจักรย่อมเกิดข้อผิดพลาดได้บ้าง ทำให้การกระทำที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้น คลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้
โดย khonsurin
baanmaha.
ร.ต.อ.เฉลิม ยืนยัน ขอคืนทำเนียบพรุ่งนี้ 08.00น. เตรียมพร้อมTVถ่ายสด เริ่มจากการเจรจา ตามหลักสากล
15.08 ร.ต.อ.เฉลิม ประกาศ วันพรุ่งนี้ 18 ก.พ.นี้เวลา 08.00 น.ที่ บชน.ขอให้สื่อมวลชนไปร่วมสังเกตการณ์กับมาตรการขอคืนพื้นที่สถานที่ราชการ 5 จุด คือ
1.ทำเนียบรัฐบาล
2.กระทรวงมหาดไทย
3.กระทรวงพลังงาน
4.สะพานผ่านฟ้า
5.ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยการปฎิบัติการในวันพรุ่งนี้จะแจ้งจุดปฏิบัติการอีกครั้ง เนื่องจากต้องประเมินสถานการณ์ และมั่นใจว่าจะมีวิธีการในการปฏิบัติการ
ทั้งนี้ ศรส.มอบหมายช่อง 11 และช่อง 9 ถ่ายทอดสด การขอคืนสถานที่ราชการและถนน จากม็อบ กปปส. โดยจัดรายการพิเศษ ชื่อ “ภารกิจ คืนความสงบ กทม.” หรือ Peace for Bangkok Mission
วันที่: Fri Nov 15 17:48:45 ICT 2024
|
|
|