Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

อำเภอผักไห่ สมัยขอมเรืองอำนาจ

ArjanPong | 13-02-2557 | เปิดดู 3532 | ความคิดเห็น 0

 

 

                                       

 

 

 

                อำเภอผักไห่ สมัยขอมเรืองอำนาจ  

 

 

 

 

ประวัติความเป็นมา

       สมัยขอมเรืองอำนาจ บริเวณพื้นที่อำเภอผักไห่นี้อยู่ในอาณาเขตเมือง "เสนาราชนคร" หรือเมือง "อโยธยา" ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านแห่งอาณาจักรทวาราวดีของขอม โดยขอมสร้างเมืองลพบุรี (ละโว้) เป็นเมืองอุปราช สร้างเมืองอโยธยาเป็นเมืองหน้าด่าน (ต่อมาเมืองอโยธยาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเสนาราชนคร)

       เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง สมัยพระเจ้าอู่ทองได้สร้างเมืองใหม่ในอาณาเขตเก่าของเมืองเสนาราชนคร ขนานนามว่า "กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา" มีอาณาเขตรวมบริเวณพื้นที่อำเภอผักไห่ด้วย โดยบริเวณนี้อยู่ระหว่างสุพรรณบุรีกับกรุงศรี-อยุธยา จึงเป็นเส้นทางเดินทัพหรือเป็นบริเวณที่ไทยรบกับพม่าในบางครั้ง เช่นตามประวัติศาสตร์ไทยรบพม่าครั้งที่ 24พระยาเสนารับอาสามารบพม่าที่มีมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ รบกันที่บริเวณนี้ (บ้านจักราช ตำบลจักราช) รวมทั้งหลังจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสร็จศึกยุทธหัตถีที่ดอนเจดีย์ ก็เสด็จผ่านนำช้างมาอาบน้ำกินไหลบัวในบริเวณบ้านจักราชแล้วจึงเสด็จไปทางบ้านตาลานกลับกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ 417 ปี ก็เสียเมืองให้แก่พม่า เมื่อกู้เอกราชได้ เมืองหลวงย้ายไปตั้งที่กรุงธนบุรี และเรียกบริเวณเมืองกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ว่าเมือง "กรุงเก่า"

       สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้แบ่งเขตการปกครองของพระนครศรีอยุธยา(กรุงเก่า) ออกเป็น 4 แขวง ได้แก่ แขวงนครใน แขวงอุทัย แขวงรอบกรุง และแขวงเสนา โดยพื้นที่อำเภอผักไห่นี้อยู่ในแขวงเสนา มีอาณาเขตรวมผักไห่ เสนา บางบาล และบางไทรทั้งหมด ครั้นสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3ทรงเห็นว่าแขวงเสนา ประชาชนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น และมีอาณาเขตกว้างขวางมาก ยากแก่การปกครอง จึงแบ่งแยกพื้นที่ เขตเสนาตอนเหนือเป็น "แขวงเสนาใหญ่" และพื้นที่เขตเสนาตอนใต้เป็น "แขวงเสนาน้อย" (ที่ตั้งของที่ว่าการแขวงเสนาใหญ่ อยู่ในเขตอำเภอผักไห่ในปัจจุบัน)

       ต่อมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2438 ได้ทรงเริ่มการปกครองตามระบบมณฑล-เทศาภิบาล มีสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้แบ่งเขตเสนาใหญ่ออกเป็น 2 ตอนตอนบนให้เป็นแขวงเสนาใหญ่ (อำเภอผักไห่) ตอนใต้เป็นแขวงเสนากลาง (อำเภอเสนา)  และแบ่งเขตเสนาน้อยออกไปอีก 2 แขวง คือแขวงเสนาใน (อำเภอบางบาล) และแขวงเสนาน้อย (อำเภอบางไทร) จึงกล่าวได้ว่าอำเภอผักไห่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2438 แต่ตอนนั้นใช้ชื่อว่าเสนาใหญ่

       เมื่อได้แบ่งเขตเสนาตอนบนออกเป็นแขวงเสนาใหญ่และแขวงเสนากลางแล้ว ที่ว่าการแขวงเสนาใหญ่ ครั้งแรกตั้งอยู่ที่บ้านตึกของหลวงวารีโยธารักษ์ (อ่วม) ตำบลอมฤต หมู่ที่ 3 เหนือปากคลองบางทองในขณะนี้ โดยหลวงวารีโยธารักษ์เป็นนายอำเภอ คนแรก   ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2440 ได้ย้ายที่ว่าการแขวงเสนาใหญ่ไปตั้งชั่วคราวที่ศาลาท่าน้ำวัดตาลานเหนือ ตำบลตาลาน อยู่ได้ประมาณปีเศษก็ย้ายมาตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 ตำบลผักไห่ในปัจจุบัน   ใน พ.ศ.2450-2471 พระเสนากิจพิทักษ์ เป็นนายอำเภอ ได้โอนตำบลบางหลวงโดด ตำบลบางหลวงเอียง ตำบลบางหลวงเมือง ตำบลบางหัก ตำบลทางช้าง และตำบลวัดตะกู ไปขึ้นกับอำเภอบางบาล โดยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2460 เปลี่ยนชื่อจากอำเภอเสนาใหญ่มาเป็นอำเภอผักไห่ตามชื่อตำบลที่ตั้ง

      ชื่อตำบลผักไห่นี้ สันนิษฐานว่าคำว่า"ผักไห่" เพี้ยนมาจากคำว่า "ปากไห่" หรือ "ปากไห้" ซึ่งมีหลักฐานจากการเขียนนิราศของนายมีศิษย์สุนทรภู่ เมื่อตามเสด็จพระปิยมหาราชเสด็จประพาสต้นอำเภอผักไห่ เมื่อ พ.ศ.2414 ก็เขียนคำว่า "ปากไห่"

      "จวนเวลาสิ้นแสงสุรีย์ฉัน ถึงป่าโมกเรือมาพร้อมหน้ากัน เรือหลวงนายสิทธิ์นั้นคอยละห้อยใจ โปรดเกล้าเข้าผูกกับท้ายพระที่นั่ง คงคาหลั่งแลเชี่ยวเป็นเกลียวไหล เข้าคลองเอกราชเร็วครรไล ตามน้ำไหลออกคลองลาดน้ำเค็ม พวกขุนนางต่างตามหลามข้างหลัง ไม่รอรั้งแจวหน่วงจ้วงเต็มเล่ม ระยะทางไกลทายาทลาดน้ำเค็ม ฝีพายเต็มเหนื่อยอ่อนไม่ผ่อนพักพอยามหนึ่งถึงสถานย่านปากไห่ เห็นโคมไฟตามแดงแจ้งประจักษ์ เขาตั้งเครื่องบูชาดูหน้ารัก เสด็จพักพลับพลาในสาครวัดชีตาเห็นเป็นแต่เขาเล่ากันว่า ท้าวอู่ทองหนีห่าเที่ยวหลบซ่อน หยุดที่นี่สร้างเจดีย์ริมทางจร ยอพระกรเสี่ยงด้วยพระบารมี..."

       " ?จนรุ่งแจ้งแสงสางสว่างฟ้า ดูคูหาถิ่นฐานบ้านปากไห่ เรือนสะพรั่งสองฝั่งคงคาลัย ลำน้ำไหลแพรายขายสินค้าพอเสียงแตรแซ่ก้องในท้องน้ำ เดือนอ้ายขึ้นเก้าค่ำจำมาสา พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงทรงนาวา จนถึงลาดชะโดดูเห็นบ้านชลธารมากท่วมถึงเคหา แล้วเสด็จเสร็จกลับมาพลับพลา ดูคะเนเวลาห้าโมงตี "


       ในนิราศสุพรรณบุรี ซึ่งนายมีเขียนเมื่อปีมะโรงฉอศก ก็ได้เขียนว่า "ปากไห่" เช่นกัน ดังนี้

       " แต่เที่ยวลัดทุ่งท่าเหมือนหน้าน้ำ ทั้งสองลำล่องเลื่อนจนเฟือนหลง ไปถึงบ้านปากไห่เหมือนใจจง แล้ววกวงออกทุ่งเที่ยวมุ่งมอง เห็นบัวหลวงบัวขมน่าชมดอก ช่างงามงอกนับแสนดูแน่นหนอง เห็นบัวขาวขาวล้วนนวลละออง"

       คำว่า "ปากไห่" นี้ ก็เพี้ยนมาจากคำว่า "ปักให้" อีกทีหนึ่ง โดยมีเกร็ดที่มา เล่ากันว่า มีตากับหลานปลูกบ้านอยู่ทางตอนเหนือของบ้านเศรษฐี เศรษฐีปลูกบ้านใหญ่โตมาก คนสมัยนั้นเรียกว่า "บ้านใหญ่" (ตำบลบ้านใหญ่ในปัจจุบัน)  และเรียกบ้านตากับหลานว่า "บ้านตาหลาน" (เพี้ยนเป็นตำบลตาลานในปัจจุบัน) เศรษฐีเป็นหลานเขยของตา ส่วนตาเป็นชนชั้นผู้ปกครอง (กำนัน)  โดยทุ่งผักไห่อยู่ทางเหนือบ้านตาหลาน

       บ้างก็ว่าเดิมที่ตอนเหนือบ้านตาหลานเป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่มีชื่อ ตาซึ่งเป็นชนชั้นผู้ปกครองจึงช่วยกันกับหลานปักเขตกำหนดขนาดที่ให้ชาวบ้านจับจองไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละครอบครัว ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกบริเวณที่ ตาหลานปักเขตให้นี้ว่า "ทุ่งตาหลานปักให้" และเพี้ยนเป็น "ตาหลานปากไห่" จนถึง "ตาลานผักไห่" ในปัจจุบัน

       บ้างก็ว่า ที่ดินเหนือบ้านตาหลานนี้ เป็นที่ดินของเศรษฐีบ้านใหญ่ และเศรษฐียกให้ตาหลานไว้ทำมาหากิน โดยเศรษฐีปักเขตให้ตาหลานไว้เป็นกรรมสิทธิ์ ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ทุ่งปักให้ตาหลาน" และเพี้ยนเป็น "ผักไห่ตาลาน" ในปัจจุบัน

       คำว่า "ผักไห่" นี้ มีผู้รู้บางท่านได้เล่าไปอีกอย่างว่า เป็นชื่อหญ้าชนิดหนึ่ง ใช้เป็นสมุนไพรมีใบคล้ายใบไผ่ เลื้อยแผ่ไปตามดิน ลอยขึ้นในน้ำขังหรือในที่ลุ่มชื้นแฉะ ลักษณะคล้ายผักปราบ (บ้างก็ว่าต้นผักไห่ก็คือต้นผักปราบ) มีอยู่มากในสมัยนั้นจึงเรียกว่าทุ่งผักไห่ และต่อมาเป็นตำบลผักไห่ ปัจจุบันหญ้าชนิดนี้หาได้ยากมาก เนื่องจากราษฎรใช้พื้นที่ทำการเกษตรกันโดยทั่วไป

       นอกจากนี้คำว่าผักไห่ยังเป็นชื่อหนึ่งของมะระขี้นก (ภาคใต้ ภาคเหนือ และจังหวัดนครราชสีมา เรียกมะระขี้นกว่าผักไห่)ซึ่งอาจเคยมีอยู่มากที่ตำบลผักไห่

       อีกพวกหนึ่งว่า คำว่า"ปากไห่" มาจากคำว่า ปากไห หมายถึงภาษีปากไห (ไหผักดอง ไหปลาร้า) แต่บางคนว่าสมัยก่อนมีการเก็บภาษีปากเรือ ไม่เห็นว่ามีการเก็บภาษีปากไห

       ถึงจะไม่สามารถสรุปได้มั่นคงว่าคำว่าผักไห่หมายถึงสิ่งใด แต่ที่เชื่อถือได้เพราะมีเอกสารอ้างอิงคือ ในปี พ.ศ. 2414 เรียกที่นี่ว่าปากไห่  และเปลี่ยนเป็นเรียกว่าผักไห่มาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2460 (เป็นชื่อตำบลมาก่อนจะเป็นชื่ออำเภอ) เมื่อ "ผักไห่" เพี้ยนมาจากคำว่า "ปากไห่"  ฉะนั้น ผักไห่ จึงไม่ใช่ชื่อ "ผัก" ส่วนคำว่า ปากไห่ จะมีความหมายว่าอย่างไร หรือเพี้ยนมาจากคำใดอีกต่อหนึ่งนั้น ไม่ชัดเจน

 

ที่มา :  phakhai.ayutthaya.police.go.th

 

 

 

 

 

                 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

              รูปภาพ : Likeสาระ @loving_friday  </p><p>#อย่าปล่อยให้คนโกงมีที่ยืนในสังคม #ของเข้าตัว #ที่นี่ตอแหลแลนด์ #กรั๊กกกๆๆๆ

 

 

 

 

 

ตะลึง “บริษัท”ประธานต้านคอรัปชั่น จ่อ “โกง”ซะเอง! เอกสารศุลากรมัด “โตโยต้าไทย”

 ที่ “ประมนต์ สุธีวงศ์”เป็นประธาน ส่อเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์พรีอุส 1.1หมื่นล้าน!!

 
 
 
 
 
 
 
 

                    ตะลึง “บริษัท”ประธานต้านคอรัปชั่น จ่อ “โกง”ซะเอง! เอกสารศุลากรมัด “โตโยต้าไทย”ที่ “ประมนต์ สุธีวงศ์”เป็นประธาน ส่อเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์พรีอุส 1.1หมื่นล้าน!!

 

 

 

“สังคมไทย” อยู่ยากขึ้นทุกวัน … บางคน “รู้หน้า” ก็ “ไม่รู้ใจ”… บางคน “ข้างนอกสุกใน” แต่ “ข้างในกลับเป็นโพรง” … ซ้ำร้าย “บางคน” ป่าวประกาศว่า “ต่อต้านกระบวนการโกง”  … บางครั้งบางที “ตัวตน” ที่แท้จริงอาจจะ “สวนทาง” กับ “ภาพภายนอก” ชนิด “หน้ามือกับหลังเท้า” ก็เป็นได้ !!!



ทีมงานพระนครสาส์น ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการรถยนต์จำนวนมากมาระยะหนึ่งว่า ผู้ประกอบการรถยนต์รายใหญ่บางรายได้ ดำเนินการทางธุรกิจด้วยการเอาเปรียบสังคมและประชาชนอย่างรุนแรง ด้วยการพยายามที่จะหลบเลี่ยงการจะต้องเสียภาษีบางประเภทในอัตราที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในการประกอบธุรกิจเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทของตัวเอง  จึงได้พยายามตรวจสอบอย่างหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

 

ล่าสุดตรวจสอบพบว่า สำนักงานศุลากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้ดำเนินการตรวจสอบและสอบสวน กรณี “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” นำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ TOYOTA รุ่น Prius จำนวนมากจากการนำเข้าสินค้าต่างล็อต-ต่างครั้ง ซึ่งพบว่ามีปริมาณและส่วนส่วน ที่นำมาประกอบเข้ากันเป็นรถยนต์สำเร็จรูปได้จำนวนมาก โดยในการนำเข้านั้นเป็นการแยกสำแดงชนิดสินค้าและประเภทพิกัดตามของนั้นๆและใช้สิทธิยกเว้นอากรและลดอัตราอากรตามมาตรา 12 และยกเว้นอากรและลดอัตราอากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากญี่ปุ่นนั้นไม่ถูกต้อง


โดยพบว่า ในช่วงเดือนมิถุนายน 2555 “ฝ่ายปฏิบัติการตรวจสอบ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแฉลมฉบัง” ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติดังกล่าวและได้จัดทำ “ใบทักท้วงการตรวจสอบอากร” ระบุว่า สินค้าที่นำเข้าโดย “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าโดยแยกเป็นสิ้นส่วนต่างๆ ในลักษณะ CKD (COMPLETE KNOCK DOWN) และมีปริมาณสอดคล้องต้องกัน เพื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วสามารถประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูปได้เป็นจำนวนมาก  โดยกรณีดังกล่าวไม่สามารถแยกชำระอากรตามรายชนิดสินค้าได้ 

 

เมื่อตรวจสอบข้อมูลในส่วนของเครื่องยนต์พบว่ารหัสเครื่องยนต์ขึ้นต้นด้วย 2ZR นั้นเป็นรหัสเครื่องยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบ 1,797 ลบ.ซม. ของรถยนต์ TOYOTA รุ่น Prius ดังนั้น จึงเห็นควรให้สินค้าตั้งแต่รายการที่ ( …เลขที่รายการสินค้า… ) จัดเข้าประเภทพิกัด 8703.23.41 อัตรา 80% ในฐานะรถยนต์ ที่เป็นชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ที่ความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,800 ลบ.ซม. ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ

 

หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว และให้หมายรวมถึงของที่ครบสมบูรณ์ หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกัน หรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน

 

 

pr1

( ตัวอย่าง “ใบทักท้วงการตรวจสอบอากร” 2 ใน 240 ใบทักท้วงฯ สินค้า 240 ครั้ง ครั้งละนับพันรายการแตกต่างกันไป) 

pr2

 

 

โดยมีการประเมินมูลค่าในจำนวนที่ชำระไม่ถูกต้องและเรียกเก็บ “ค่าอากรขาเข้า,ค่าภาษีสรรพสามิต,ค่าภาษีเพื่อมหาดไทย และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม” ตามจำนวนที่ขาดไปทั้งหมด


จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติของสินค้าที่นำเข้าในลักษณะข้างต้นจำนวนมากกว่า 240 ครั้งและมีนำเข้าครั้งละนับพันรายการ!!!


จากนั้น “สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง” ได้ดำเนินการตรวจสอบตามการ “ทักท้วง” ดังกล่าวเพื่อประเมินมูลค่าความเสียหายและเรียกเก็บอัตราภาษีต่างๆที่ขาดไป ซึ่งต่อมาในเดือน “พฤศจิกายน 2555″ ได้มีการออก “แบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออกภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆ” เพื่อแจ้งกับ “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” จำนวนกว่า 240 ฉบับ ตามจำนวนสินค้าที่ได้มีการนำเข้าและเสียภาษีไม่ถูกต้อง

 

 

prh

( ตัวอย่าง”ใบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรฯ” 1ใน240 ใบแจ้งฯ ตามจำนวนการนำเข้า )

โดยแบ่งเป็น “อากรขาเข้า” ที่ขาดไป จำนวน 7,411,906,701.31 บาท (เจ็ดพันสี่ร้อยสิบเอ็ดล้านเก้าแสนหกพันเจ็ดร้อยหนึ่งบาทสามสิบเอ็ดสตางค์)


เป็น “ค่าภาษีสรรพสามิต” ที่ขาดไป จำนวน 2,685,234,718.87 บาท (สองพันหกร้อยแปดสิบห้าล้านสองแสนสามหมื่นสี่พันเจ็ดร้อนสิบแปดบาทแปดสิบเจ็ดสตางค์)


เป็น “ค่าภาษีเพื่อมหาดไทย” ที่ขาดไป จำนวน 211,930,500.39 บาท (สองร้อยสิบเอ็ดล้านเก้าแสนสามหมื่นห้าร้อยบาทสามสิบเก้าสตางค์)


และเป็น “ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม” ที่ขาดไป จำนวน 1,386,459,717.96 บาท (หนึ่งพันสามร้อยแปดสิบหกล้านสี่แสนห้าหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยสิบเจ็ดบาทเก้าสิบหกสตางค์)


ซึ่งเท่ากับว่า   “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ในการนำเข้าสินค้าและเสียภาษีไม่ถูกต้องครั้งนี้จำนวนมากถึง 11,695,531,638.53 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหกร้อยเก้าสิบห้าล้านห้าแสนสามหมื่นหนึ่งพันหกร้อยสามสิบแปดบาทห้าสิบสามสตางค์)


จากการตรวจสอบพบว่า “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ไทยแลนด์ จำกัด” นั้นมี “นายประมนต์ สุธีวงศ์” ประธานองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย) เป็น “ประธานคณะกรรมการบริษัทฯ”


“องค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย)” เจ้าของ สปอตโฆษณาต่อต้านคอรัปชั่น “อย่าให้คนโกงมีที่ยื่น” อันลือลั่น !!


“บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย” ที่มี “ประมนต์ สุธีวงศ์” เป็น “ประธานคณะกรรมการบริษัท” กลับ “ถูกเรียกเก็บภาษี” จากการกระทำที่อาจจะเข้าข่ายหลบเลี่ยงภาษีและชำระภาษีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท !!!
กรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น “ประมนต์ สุธีวงศ์” …ระวัง !!!
ระวัง…ไม่มีที่ยืน !!!!!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 โดย คุณทรงวิทย์.......

 

 

 

             

 

 

   

 

 

       

 

 

 

 

      แพทย์ไทยสุดเจ๋งรักษา'เอดส์'หายขาด

 

ทั่วโลกตะลึงแพทย์ไทยโชว์ผลงานวิจัยเด็ดรักษา"เอดส์"หายขาดหากตรวจDNAหลังมีเซ็กส์เสี่ยงไม่เกิน 1 อาทิตย์ ยันกินยาติดต่อกันไม่เกิน 5 ปี ควบคุมเชื้อได้ทันที

 

          ภายหลังการประชุมแพทย์และนักวิจัยเกี่ยวกับโรคเอดส์และโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระดับโลก หรือ "CROI 2013" (The Conference on Retroviruses and Opportunistic Infections) ณ เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3-6 มีนาคม ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่า นักวิจัยจากประเทศไทยได้เผยแพร่ผลงานสร้างความฮือฮาให้แก่สมาชิกในที่ประชุมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรกให้มีโอกาสหายขาดได้
 
          ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลว่า การประชุมครั้งนี้มีการเสนองานวิจัยใหม่ๆ จากทั่วโลก แต่ที่ได้รับความสนใจมีผู้สอบถามข้อมูลมากสุด คือ งานวิจัยของแพทย์หญิงไทยเกี่ยวกับการทดลองกับอาสาสมัครของคลินิกนิรนาม ที่มาตรวจเชื้อเอชไอวีแล้วพบในระยะเริ่มแรกไม่เกิน 1 อาทิตย์ หลังจากรับเชื้อแล้วให้กินยาสูตรเบื้องต้นทันที หลังเฝ้าติดตามผลปรากฏว่าแทบจะไม่พบเชื้อหลงเหลืออยู่ในร่างกายหรือพบบางส่วนที่น้อยมาก ทำให้แพทย์ทั่วโลกอยากได้ข้อมูลเรื่องนี้เพิ่มเติม ถือเป็นงานวิจัยเรื่องเอดส์ของไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลก หากในอนาคตสามารถยืนยันการรักษาเอดส์ได้หายขาดจริง ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีของผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่
 
          "เงื่อนไขสำคัญคือ คนที่จะรักษาหายได้ หมายถึงต้องเริ่มกินยาตั้งแต่ติดเชื้อมาใหม่ๆ เพราะเชื้อเอชไอวียังไม่แพร่กระจายออกไป แต่ก่อนแพทย์มีความเชื่อว่าต้องให้ภูมิคุ้มกันลดลง จึงจะให้เริ่มกินยา แต่งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า หากผู้ใดสงสัยว่าไปมีเซ็กส์เสี่ยงหรืออาจได้รับเชื้อเอดส์เข้าร่างกายด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม ให้รีบมาตรวจ ถ้าพบเร็วแล้วให้กินยาทันทีจะมีโอกาสรักษาหายได้มากกว่า คำว่ารักษาหายหมายถึงร่างกายควบคุมไม่ให้เชื้อเอชไอวีทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกายได้เองโดยไม่ต้องกินยาทุกวันทั้งชีวิตเหมือนผู้ป่วยเอดส์ทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมดสิ้น 100 เปอร์เซ็นต์ อยากขอร้องให้ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงรีบมาตรวจหาเชื้อทันทีที่สงสัยหรือรู้ตัวแล้ว อย่าปล่อยไว้นาน เพราะถ้าติดเชื้อนานจะรักษาหายขาดไม่ได้ ขอให้มาตรวจฟรีได้ที่คลินิกนิรนาม" ศ.นพ.ประพันธ์ แนะนำ
 
          ด้าน รศ.พญ.จินตนาถ อนันต์วรณิชย์ นักวิจัยโรคเอดส์ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์สภากาชาดไทย หัวหน้าโครงการวิจัยการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีระยะเฉียบพลัน เล่าถึงความเป็นมาว่า ในแต่ละปีมีผู้มาตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่คลินิกนิรนามจำนวนมาก โดยใช้วิธีตรวจหาเชื้อในเลือดแบบปกติทั่วไป หรือตรวจแอนติบอดี หรือตรวจหาจากการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อของร่างกาย หมายความว่า ร่างกายต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ขึ้นไปในการตรวจพบเชื้อไวรัส ทำให้การรักษาเริ่มได้ช้า แต่งานวิจัยนี้ใช้ระบบแน็ต (NAT: Nucleic Acid Amplification Testing) เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ปลอดภัยและแม่นยำ เพราะตรวจจากสารพันธุกรรม เพียงแค่สงสัยว่ารับเชื้อเอดส์มา 5 วันขึ้นไปก็ตรวจพบได้แล้ว ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน เมื่อรู้ผลเร็วและรีบกินยาทันทีจะช่วยหยุดการแพร่เชื้อไปอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย
 
          "การวิจัยนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 โชคดีที่อาสาสมัครให้ความร่วมมือเต็มที่ เพราะต้องตัดสินใจเร็วมาก จากวันที่ยืนยันผลแน่ชัดและเริ่มกินยาใช้เวลาไม่เกิน 5 วัน ในปีแรกมีอาสาสมัคร 10 คน ตอนนี้มีอาสาสมัครในงานวิจัย 95 คน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผลปรากฏว่าหลังกินยาต้านเอชไอวีเต็มสูตรทันทีทุกวันก็ไม่พบเชื้อแอบหลบซ่อนในเลือดหรือในเม็ดเลือดขาว อย่างไรก็ตาม ก็มีตรวจพบในบางคน แต่เป็นจำนวนเชื้อที่น้อยมากๆ คาดว่ากินยาต่อเนื่องไม่เกิน 5 ปี ร่างกายอาจควบคุมเชื้อได้เอง ไม่ต้องกินยาทั้งชีวิตอีกต่อไป ตอนนี้คงต้องคอยดูผลที่แน่ชัดจากอาสาสมัครปีแรก หากหยุดกินยาแล้วเชื้อไม่แพร่กระจายก็ถือว่าประสบความสำเร็จ" รศ.พญ.จินตนาถ กล่าว
 
          รศ.พญ.จินตนาถ ยอมรับว่า เป็นงานวิจัยที่ทำได้ยาก เนื่องจากต้องหาคนไข้ให้เร็วและให้กินยาทันที ทำให้นักวิจัยในต่างประเทศทำไม่ค่อยได้ เพราะหลายปัจจัย เช่น ต้องมีจำนวนคนติดเชื้อเอชไอวีมากพอ มีเทคโนโลยีสูง ใช้เจ้าหน้าที่วิจัยจำนวนมาก อาสาสมัครมีส่วนสำคัญที่สุด อาสาสมัครไทยมีจิตอาสาในการเข้าร่วมโครงการ ยิ่งไปกว่านั้น การตรวจหาผู้ติดเชื้อเอชไอวีเริ่มต้นที่ร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน แม้แต่คลินิกนิรนามมีผู้มาตรวจ 6 หมื่นคน พบว่าติดเชื้อเอชไอวี 5,000 คน แต่เป็นผู้ติดเชื้อเริ่มแรกแค่ไม่ถึง 100 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายรักชาย
 
          เนื่องจากเป็นงานวิจัยที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก เงินทุนเริ่มต้นได้มาจากกรมแพทย์ทหารบกสหรัฐ เพื่อให้อาสาสมัครไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านยาและการตรวจหาเชื้ออย่างต่อเนื่อง รศ.พญ.จินตนาถจึงตั้งใจว่าจะเขียนเป็นบทความทางวิชาการเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารนานาชาติ เมื่องานวิจัยข้างต้นได้เผยแพร่ออกไปทั่วโลก อาจช่วยให้ขอทุนจากแหล่งวิจัยได้ ซึ่งจะทำให้งานวิจัยสามารถพัฒนาต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงัก  
 
          นายบริพัตร ดอนมอญ ตัวแทนเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี กล่าวว่า รู้สึกดีใจหากค้นพบวิธีรักษาผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยไม่ต้องกินยาตลอดชีวิต กว่าสิบปีแล้วที่ต้องกินยาทุกวัน เช่นเดียวกับผู้ป่วยอีกประมาณ 2 แสนคนทั่วประเทศไทย จึงอยากขอร้องให้รัฐบาลช่วยดูแลเรื่องสูตรยาต้านไวรัสด้วย โดยเฉพาะเรื่องสิทธิบัตรยาไม่ควรทำตามเงื่อนไขของกลุ่มประเทศยุโรปที่เป็นตัวแทนบริษัทยายักษ์ใหญ่ 
 
          ทั้งนี้ สถิติจากยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS) ระบุว่า ปี 2554 พบทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 34 ล้านคน เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2.5 ล้านคน เฉลี่ยเพิ่มนาทีละ 5 คน ประเทศไทยคาดการณ์ว่า ในปี 2555 มีผู้ติดเชื้อเอดส์ประมาณ 5 แสนราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละ 9,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 คน และร้อยละ 80 เปอร์เซ็นต์ติดเชื้อจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

 

 

 

 

( จาก คุณหมอเหยเป่ย)

 

 ...คนใกล้ตัวเหยเป่ยอย่างคนงานที่บ้านก็เช่นกันจ่ะ ไม่พบเชื้อเช่นกัน ตอนที่เป็นใหม่ๆผอมแห้งแรงน้อย ไปตรวจ CD4 ไม่ถึง 200 จ่ะ อันตรายมาก ทางบ้านเหยเป่ยเลยรับช่วยออกค่าดูแลรักษา พาไปที่ รพ.รามา ตอนแรกไปทุกๆ 15 วัน หลังจากนั้นทุกๆ 1 เดือน ทุกๆ 2 เดือน ตอนนี้กลายเป็นทุกๆ 6 เดือน แต่ต้องมีระเบียบวินัยในการทานยานะจ๊ะ เพราะเหยเป่ยเคยพาเขาไปนั่งฟังคุณหมออธิบาย ท่านบอกว่าเชื้อ HIV เหมือนสปริงเราทานยาทุกวันจะกดเชื้อให้หายหรือหมดไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหากเรางดหรือหย่อนยานเรื่องระเบียบการดูแลตัวเอง เชื้อก็จะกลับมามีเหมือนเดิมได้เร็วมากๆ และล่าสุดเขาไปตรวจไม่พบเชื้อแล้วจ่ะ และเป็นอย่างนี้มา 3 ครั้งหลังที่ตรวจก็ไม่พบ สุข���าพสมบูรณ์แขงแรงดี...

 

 

(จากคุณหมอเย็นฤดี)

 

ข่าวดีตอนนี้ึคือ มีการรายงานอย่างชัดเจนแล้วว่า สามารถรักษาคนไข้ชาวเยอรมันได้สำเร็จเป็นคนแรก
โดยการใช้องค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
1.คนที่ไม่เป็น HIV
2.มีกลุ่มเม็ดเลือดขาวที่ตรงกัน
3.CCR5 ผิดปกติ (มีแนวโน้มต่อต้านเชื้อ HIV)

วิธีการรักษาของกรณีนี้คือ การใช้ stem cell ของคนที่มีองค์ประกอบสามอย่างข้างต้นมาถ่ายให้แก่คนที่เป็นโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวที่สร้างมาใหม่ก็จะอยู่ในรูปแบบที่เชื้อทำลายและแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนไม่ได้ ซึ่งนั้นเมื่ออาศัยร่วมกับการทานยาควบคุมระดับเชื้อ ก็จะทำให้เชื้อลดน้อยลงจนหมดไปในที่สุด

โดยในคนไข้ที่ทำได้นั้น ในสองปีของการรักษาพบว่าไม่มีเชื้อ HIV อยู่เลย ซึ่งยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะให้ผลตลอดไปหรือไม่ (แต่ก็นับว่าน่ายินดีแล้ว)ซึ่งถึงแม้ว่าการที่จะหาองค์ประกอบข้างต้นให้ครบเป็นเรื่องยาก เพราะ ในคนเอเชียมี CCR5 ที่ผิดปกติน้อยยยยมากมาก มีมากในกลุ่มชาวยุโรป แต่ปัจจุบันความก้าวหน้าทาง bioinformation มีค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้นการนำเซลล์ของผู้ติดเชื้อ มาเหนี่ยวนำให้เกิดการกลายพันธุ์ของ CCR5 แล้วเปลี่ยนเป็น stem cell ฉีดเข้าไขสันหลัง ก็อาจไม่ใช่สิ่งเกินตัวในอนาคตอันใกล้ รับรองว่าวิธีการนี้จะถูกนำมาพัฒนาปรับปรุงใช้ในการรักษาอย่างแน่นอน ผู้ติดเชื้อมีหวังแน่ๆๆครับ

นอกจากนี้เท่าที่ผมทราบมา พบว่า มีหลายกรณีแล้วนะครับที่รักษาให้หายได้โดยไม่ใช้ยาต้าน ซึ่งไม่สามารถรายงานออกมาได้ อันเนื่องมาจากอำนาจเงินของบรรดาบริษัทยา ที่สำคัญที่สุดโรคนี้ไม่ได้น่ากลัวครับ วงการแพทย์ในหลายประเทศยอมรับแล้วนะครับว่า คนไข้ที่ป่วยเป็น HIV สามารถมีชีวิตเป็นปกติจนแก่ตายได้
สำหรับผมโรคเบาหวาน มะเร็ง และอีกสารพัดยังน่ากลัวมากกว่าโรคนี้เลย (แต่ก่อนผมก็กลัว จนเมื่อได้เรียนลึกๆๆเข้าก็พบว่า มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย)
เป็นกำลังใจให้คนที่ติดเชื้อทุกคนครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

                              

 

 

 

 

 

       ******* ก็แค่อยากจะเล่าให้ฟัง เฉยๆ *******

 
 
 
 
 
 


โอ้ หละหนอ ประเทศไทย

 

 

 

 

 

 

                              
            

 

 

 

        

 

 

แนะนำให้แกนนำ กปปส มอบตัวเถอะครับ เดี๋ยวก็ได้ประกันตัวแล้ว

 
 
 
ไม่เกิน 10 วันหรอกครับ เดินไปเดินมาในคุกเดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว อย่าไปคิดว่าจะเหมือนเสื้อแดง ไม่เหมือนหรอกครับ รายนั้น เขาห้ามประกันตัว ขังลืม ถึงแม้จะใช้กฎหมาย พรก ฉุกเฉิน ฉบับเดียวกันก็ตาม นี้เป็นวิธีการหาทางลงที่ดีที่สุด ได้ใจสาวกด้วย ใจกล้า สมกับเป็นผู้กล้า มีตัวช่วยขนาดนี้แล้ว ยังมองไม่เห็นทางลงอีกหรือครับ  

ปล.
 


                            
 
 

เมือปี 53 ในรัฐบาลไอ้ร์ค เสื้อแดงถูกจับล่ามโซ่ขณะรักษาตัวในรพ.กรณีข้อหาฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน ศาลไม่ให้ประกัน!!!

แต่..กฎหมายเดียวกัน ปีนี้"ศาล"ใจดีสั่งปล่อย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ด้วยเหตุผลที่สุดยอดมาก!!!"ชี้กักขังนานเกินความจำเป็น(4 วัน) ส่วนประเด็นจะไปปลุกปั่นม็อบนั้นเป็นเรื่องของอนาคต" โดยไม่มีข้อห้ามใดๆ

    

 

                      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                       พญามังกรเอาเเต่ได้

 

 

 

แผนการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำลานซางในประเทศจีนที่เป็นรูปธรรมแล้วในขณะนี้มีอยู่ 8 เขื่อน สร้างเสร็จแล้วสองเขื่อน คือ เขื่อนม่านวาน (Manwan) เริ่มปั่นกระแสไฟฟ้าได้เมื่อปี 2539 และเขื่อนต้าเฉาซาน (Dachaoshan) สร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว และในขณะนี้กำลังก่อสร้างเขื่อนเซียววาน (Xiaowan) ซึ่งมีความสูงถึง 300 เมตร เท่ากับตึกระฟ้า 100 ชั้น นอกจากนี้ยังเดินหน้าก่อสร้างเขื่อนจิงฮง โดยจีนประเมินว่าเขื่อนทั้ง 8 ที่เรียงรายอยู่บนแม่น้ำโขงตอนบน (อีกสี่เขื่อนคือ เขื่อนนัวจาตู้ (Nuozhadu) เขื่อนกงกว่อเฉียว (Gongguoqiao) เขื่อนกันลันปา (Ganlanba) และเขื่อนเมงซอง (Mengsong)) จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 15,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะป้อนให้กับเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ทางชายฝั่งตะวันออกของจีน และบางส่วนมีแผนจะขายไฟฟ้าให้กับประเทศไทยด้วย

 

 

สถานะภาพของเขื่อนต่างๆ ของจีน

 

เขื่อน

 

ความสูง (เมตร)

 

กำลังการ ผลิตไฟฟ้า (เมกกะวัต์)

 

จำนวนประชาชน ที่จะถูกอพยพ

 

สถานภาพ ปัจจุบัน

 

ปี่ที่แล้วเสร็จ

 

มันวาน

 

126

 

1,500

 

3,513

 

แล้วเสร็จ

 

1996

 

ดาเฉาฉาน

 

110

 

1,350

 

6,054

 

กำลังก่อสร้าง

 

2003

 

เซียววาน

 

300

 

4,200

 

32,737

 

กำลังก่อสร้าง

 

2012

 

จิงฮง

 

118

 

1,500

 

2,264

 

ช่วงการศึกษา ความเป็นไปได้

 

2010

 

เนาซาดู

 

254

 

5,000

 

23,826

 

ช่วงการศึกษา ความเป็นไปได้

 

2017

 

กอนเกาเคียว

 

130

 

750

 

-

 

-

 

-

 

กันลันบา

 

-

 

150

 

-

 

-

 

-

 

เมงซอง

 

-

 

600

 

-

 

-

 

-

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

 

โครงการเขื่อนในประเทศจีน

 

จีนยังเดินหน้าสร้างเขื่อนใหญ่


- ในขณะที่ประเด็นการสร้างเขื่อนใหญ่เป็นประเด็นถกเถียงไปทั่วโลก และมีการยอมรับกันว่า ในอดีตที่ผ่านมา เขื่อนขนาดใหญ่เป็นนวัตกรรมที่สร้างความหายนะให้กับมนุษยชาติในระยะยาวมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะในแง่ของการเปลี่ยนวิถีชีวิตของแม่น้ำ และของผู้คนที่มีชีวิตโดยอาศัยแม่น้ำในการดำรงชีวิต


- อย่างไรก็ตาม ประเทศจีน เป็นประเทศหนึ่งที่ยังมุ่งหน้าสร้างเขื่อน ด้วยเหตุผลทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม


- ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์และบทเรียนในประเด็นรับผลกระทบจากเขื่อนมาไม่น้อย การเคลื่อนไหวในประเด็นเขื่อนใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดี การเคลื่อนไหวในระยะหลังจากการเปิดประเทศ และปรับระบบเป็นการค้าแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในช่วงก่อนการปราบปรามนักศึกษา ประชาชนในปี 2532 ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน คือการเคลื่อนไหวในกรณีเขื่อนทรีกอดจ์ (Three Gorges) บนแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งซึ่งเป็นแม่น้ำสายที่ยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก


- เขื่อน Three Gorges เริ่มสร้างเมื่อปี 1986 และคาดหวังว่าจะใช้เวลา 18 ปีในการสร้าง หากสร้าง เสร็จ จะกลายเป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือจะผลิตไฟฟ้าจำนวน 20,000 เมกกะวัตต์ เขื่อนแห่งนี้จะเปลี่ยนสภาพแม่น้ำนี้ให้เป็นเส้นทางเดินเรือลงทะเล และรัฐบาลจีนประกาศว่าเขื่อนนี้จะป้องกันปัญหาน้ำท่วมให้คนหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ในเขตตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำ


- อย่างไรก็ตาม การสร้างเขื่อน Three Gorges จะทำให้คน 1.2 ล้านคนต้องอพยพโยกย้าย พื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่เกษตรที่สมบูรณ์จำนวนจำนวน 2 แสนไร่จะหายไปในพื้นที่อ่างน้ำของเขื่อนที่มีความยาวถึง 600 กิโลเมตร เขื่อน Three Goreges จึงสร้างความหวาดวิตกให้กับประชาชนและรัฐบาลท้องถิ่น นักวิชาการและผู้ที่คัดค้านการสร้างเขื่อนนี้ พยายามเสนอประเด็นคัดค้านว่า ความเสียหายที่แน่ชัดเสียหายต่อการใช้แม่น้ำในพื้นที่ที่ครอบคลุมไปถึง 14 ตัวเมือง จะไม่สามารถประเมินได้ และเขื่อนจะไม่สามารถบรรลุการป้องกันน้ำท่วมในเขตตอนกลางและตอนล่างได้ แต่กลับจะสร้างมีปัญหาน้ำท่วมที่ร้ายแรงในเขตตอนบนของแม่น้ำ ทำให้ทั้งพื้นที่เกษตร หมู่บ้าน และสถานที่ทางประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาลสูญเสียไป


- หลังจากการปราบปรามที่จตุรัสเทียนอันเหมิน กระบวนการต่อสู้เรื่องเขื่อนเรื่องเขื่อนภายในประเทศจีน มีความยากลำบากอย่างยิ่ง ผู้นำการเคลื่อนไหวถูกจับกุมคุมขังและถูกเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม กระบวนการเรียกร้องยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในประเทศที่ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในการสร้าง เช่นในประเทศแคนาดา ที่ภาคประชาสังคม เรียกร้องความรับผิดชอบต่อรัฐบาลของตน ซึ่งเป็นผุ้จ่ายเงินภาษีของประเทศถึง 14 ล้านเหรียญ สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้าง โดยมีธนาคารโลกให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

 

เขื่อนในเขตแม่น้ำโขงตอนบน (แม่น้ำลานซาง)


- ประเทศจีนมีแผนสร้างเขื่อนจำนวน 8 เขื่อนในทางตอนบนของแม่น้ำโขง เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เขื่อนแมนวาน (Manwan) สร้างเสร็จเป็นเขื่อนแรกเมื่อปี 2539 ในปีเดียวกันนั้น ได้เริ่มสร้างเขื่อนดาเชาชาน (Dachaochan) ถัดมาในปี 2544 รัฐบาลยูนนานสร้างเขื่อนเซียววาน (Xiaowan) สำหรับเขื่อนอื่นๆ อยู่ในระหว่างการวางแผนเช่นเขื่อนจิงฮอง (Jinghong) เขื่อนนัวซาดู (Nuozhadu) เขื่อนกองกัวเคียว (Gongguoqiao) เขื่อนกันลันบา (Ganlanba) และเขื่อนเมงซอง (Mengsong)

 

บทบาทประเทศไทยและผุ้สนับสนุนการสร้างเขื่อน


- แม้ว่ารัฐบาลจีน โดยธนาคารพัฒนาจีน (China Development Bank: CDB) จะดำเนินการหาเงินเพื่อสร้างเขื่อน แต่ก้ได้รับการสนับสนุนในหลายด้านจากหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย


- รัฐบาลไทยและจีนทำสัญญาร่วมกันในการสร้างเขื่อนจิงฮองขนาด 1,500 เมกกะวัตต์ และกำลังต่อรองกันเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนนัวซาดู


- บริษัทต่างประเทศ เข้าไปมีส่วนในการระดมทุนในการสร้างเขื่อน เช่นบริษัทจากอเมริกา

- ธนาคารพัฒนาเอเชีย ให้เงินกู้เพื่อสร้างสายส่งไฟฟ้าของเขื่อนนาเชาชาน

 

ปัญหาในกระบวนการสร้างเขื่อนของจีน


- การดำเนินการไม่โปร่งใส เนื่องจากไม่มีการปรึกษาหารือกับประเทศทางตอนล่าง โดยเฉพาะประชาชน ผู้ใช้แม่น้ำโขงโดยตรงทำให้ไม่มีการตั้งคำถาม หรือตรวจสอบกระบวนการสร้างเขื่อน การที่จีนไม่ใช่สมาชิกคณะกรรมการแม่น้ำโขง ยิ่งช่วยให้จีนสามารถใช้ความเป็นเอกเทศดำเนินการต่างๆ โดยลำพัง


- การศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเขื่อนในเขตจีน ไม่ปรากฏว่ามีการศึกษาความเป็นไปได้ และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมของประเทศทางตอนล่าง

 

ปัญหาสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมจากการสร้างเขื่อน


- เปลี่ยนวงจรการไหลของน้ำ กระแสน้ำและปิดกั้นการพัดพาของตะกอนในแม่น้ำ เป็นการเปลี่ยนสภาพทางนิเวศน์วิทยาของแม่น้ำอย่างสุดโต่ง และจะมีผลกระทบโดยตรงกับการใช้แม่น้ำของประชาชนในประเทศจีนเอง และต่อประเทศในตอนล่าง คือพม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียตนาม


- การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด จะมาจากการเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำ และวงจรการขึ้นลงของกระแสน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเกษตร และการประมง ที่เป็นหัวใจสำคัญของการใช้แม่น้ำโขง


- หากมีการสร้างเขื่อนจำนวนมากในจีน จะมีปัญหารุนแรงเกิดขึ้นจากเขื่อนอื่นๆ กับประเทศทางตอนล่างของแม่น้ำโขงอย่างแน่นอน การเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนของเขื่อนต่างๆ จะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดน้อยลง มีผลกระทบกับการเดินทาง และการวางไข่ของปลา ในขณะเดียวกัน การปล่อยน้ำออกจากเขื่อนในฤดูแล้ง จะเพิ่มระดับน้ำในแม่น้ำให้มากกว่าธรรมชาติ การทำการเกษตรริมฝั่งและเขตพื้นที่น้ำท่วมถึงของประเทศทางตอนล่าง ซึ่งมีความหลากหลาย และพึ่งพาระบบน้ำท่วมตามธรรมชาติ ก็จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง นอกจากนั้น เขื่อนยังจะเก็บกักตะกอนของแม่น้ำซึ่งทำให้พื้นที่เกษตรอุดมสมบูรณ์ และเป็นประโยชน์กับปลา ไม่ให้ไหลลงไปยังประเทศทางตอนล่างตามธรรมชาติ แต่จะทับถมอยู่ในเขื่อนต่างๆ แทน


- ถึงแม้ว่าประชาชนจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนในจีน แต่ในช่วงเดียวกันกับที่เขื่อนแมนวานสร้างเสร็จและเริ่มเก็บกักน้ำ ประชาชนในเขตอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ตั้งข้อสังเกตว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดต่ำลง น้ำขุ่น และการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงไป ความเสียหายที่เห็นได้ชัด และมีผลกระทบโดยตรงกับรายได้ของชาวบ้านคือการที่สาหร่ายน้ำจืด หรือไก ซึ่งเป็นพืชที่ชาวบ้านเก็บขายน้อยลงมาก เนื่องจากไกต้องการน้ำสะอาด และไหลอย่างสม่ำเสมอ


- ดร. ไทสัน โรเบิร์ต จากสถาบันวิจัยเขตร้อนสมิธโซเนียน สหรัฐอเมริกา กล่าวว่าการสร้างเขื่อนในจีน จะทำให้ระบบการอุทกศาสตร์ของทะเลสาปเขมร “เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง” เนื่องจาก ในหน้าฝน น้ำจากแม่น้ำโขงจะหนุนให้ระดับน้ำในทะเลสาปเขมรสูงขึ้น และท่วมเป็นบริเวณกว้าง กลายเป็นแหล่งจับปลาน้ำจืดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และในฤดูแล้ง น้ำจากทะเลสาปเขมรจะไหลลง กลับสู่สายน้ำโขง การสร้างเขื่อนจะทำให้กระแสน้ำไม่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่กลับมีปริมาณการท่วมแช่ขังอยู่ตลอดปี

 

โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ (Project for Ecological Recovery : PER) และโครงการฟื้นฟูนิเวศวิทยาในภูมิภาคอินโดจีนและพม่า (Towards Ecological Recovery and Regional Alliance : TERRA)

 

 

 

‘วอชิงตัน’ ไม่ยอมรับ ‘แผนที่เส้นประ 9 เส้น’ อ้างกรรมสิทธิ์ทะเลจีนใต้ของ ‘ปักกิ่ง’
 
       (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
       
       US rejects China's nine-dash line
       By Parameswaran Ponnudurai
       10/02/2014
       
       เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ สหรัฐฯออกมาแถลงอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้นเรียงรายเป็นรูปตัวยู ซึ่งจีนใช้เป็นหลักฐานยืนยันอำนาจอธิปไตยของตนเหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายราย ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ของสหรัฐฯย่อมช่วยเสริมส่งชาติผู้อ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนในทะเลจีนใต้รายอื่นๆ ให้อยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังกำลังกลายเป็นการจัดเตรียมเวทีสำหรับการที่นานาชาติจะจับมือกันออกมาประจันหน้าในทางกฎหมายกับปักกิ่ง
       
       เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ สหรัฐฯออกมาแถลงอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้นเรียงรายเป็นรูปตัวยู (U-shaped, nine-dash line) ซึ่งจีนใช้เป็นหลักฐานยืนยันอำนาจอธิปไตยของตนเหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายราย ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ของสหรัฐฯย่อมช่วยเสริมส่งชาติผู้อ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนในทะเลจีนใต้รายอื่นๆ ให้อยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังกำลังกลายเป็นการจัดเตรียมเวทีสำหรับการที่นานาชาติจะจับมือกันออกมาประจันหน้าในทางกฎหมายกับปักกิ่งอีกด้วย
       
       ก่อนหน้านี้ วอชิงตันพูดอยู่เสมอว่าตนเองไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่กำลังแข่งขันกันประกาศอ้างอธิปไตยเหนือดินแดนในทะเลจีนใต้ ไม่ว่าจะเป็นจีน, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, มาเลเซีย, ไต้หวัน, หรือบรูไน รวมทั้งบอกว่าคัดค้านการใช้กำลังใดๆ ก็ตามเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาดังกล่าวนี้
       
       ทว่า พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สิ่งที่ แดเนียล รัสเซล (Daniel Russel) ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (U.S. Assistant Secretary of State for East Asian and Pacific Affairs) ไปแถลงต่อคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรอเมริกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ทำให้ความกำกวมคลุมเครือเช่นนี้หมดสิ้นลงในทางเป็นจริง
       
       รัสเซลบอกว่าตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การอ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนทางทะเลในทะเลจีนใต้นั้น “ต้องมีต้นตอที่มาจากสภาพลักษณะของผืนแผ่นดิน” และดังนั้นการที่จีนใช้แผนที่เส้นประ 9 เส้นเป็นหลักฐานสนับสนุนการประกาศกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนทางทะเล โดยที่ไม่ได้อ้างอิงอยู่กับลักษณะพื้นที่ภาคพื้นดินซึ่งตนเองได้ทำการอ้างกรรมสิทธิ์เอาไว้อยู่แล้ว “จึงไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ”
       
       เขากล่าวต่อไปว่า ประชาคมระหว่างประเทศย่อมยินดีต้อนรับ ถ้าหากจีนจะอธิบายขยายความหรือปรับเปลี่ยนข้ออ้างตามเส้นประ 9 เส้นของตนเสียใหม่ เพื่อทำให้มันสอดคล้องลงรอยกับกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ
       
       “ผมคิดว่ามีความจำเป็นที่เราจะต้องทำให้ชัดเจนว่า ต้องการหมายความว่าอะไรกันแน่ เมื่อสหรัฐฯพูดว่าเราไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่กำลังแข่งขันกันอ้างกรรมสิทธิ์อ้างอธิปไตย เหนือลักษณะพื้นที่ภาคพื้นดินที่พิพาทกันอยู่” ในภูมิภาคนี้ รัสเซลบอก
       
       **แผนที่ประวัติศาสตร์**
       
       จีนนั้นแตกต่างจากประเทศอื่นๆ การกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนืออาณาบริเวณประมาณ 90% ของทะเลจีนใต้ของปักกิ่ง ไม่ได้อิงอยู่กับข้อกล่าวอ้างในเรื่องหมู่เกาะเฉพาะเจาะจงใดๆ หรือลักษณะของพื้นที่ภาคพื้นดินใดๆ หากแต่อิงอาศัยแผนที่ประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่ง ซึ่งจีนยื่นแสดงต่อสหประชาชาติอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2009
       
       แผนที่ดังกล่าวประกอบด้วยขีดเส้นประรวมทั้งสิ้น 9 เส้นเรียงรายเป็นรูปตัว “ยู” (U) ไล่ตั้งแต่ชายฝั่งด้านตะวันออกของเวียดนาม ลงมาจนถึงใกล้ๆ ตอนเหนือของอินโดนีเซีย จากนั้นก็กลับขึ้นเหนือไปอีกจนกระทั่งถึงชายฝั่งด้านตะวันตกของฟิลิปปินส์
       
       เส้นประ 9 เส้นนี้ พวกผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากลงความเห็นว่าไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (United Nations Convention on the Law of the Sea ใช้อักษรย่อว่า UNCLOS) ปี 1982 โดยที่ในเนื้อหาของอนุสัญญาฉบับนี้ ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับการอ้างกรรมสิทธิ์ชนิดที่อ้างอิงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
       
       เจฟฟรีย์ แบเดอร์ (Jeffrey Bader) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาในเรื่องจีนของประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ ได้หยิกยกอ้างอิงคำแถลงของรัสเซลนี้ และบอกว่า “ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯออกมากล่าวต่อสาธารณชนด้วยคำแถลงอันเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่เรียกกันว่า ‘เส้นประ 9 เส้น’ … เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศ”
       
       “จากการปฏิเสธไม่ยอมรับเส้นประ 9 เส้นนี้อย่างเปิดเผย ผู้ช่วยรัฐมนตรีรัสเซล และคณะรัฐบาลโอบามา ก็ได้ลากเส้นแบ่งของเราเองออกมา ณ จุดที่ถูกต้องชัดเจนมาก” แบเดอร์ ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของสถาบันบรูคกิ้งส์ (Brookings Institution) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงวอชิงตัน ระบุเอาไว้เช่นนี้ในรายงานชิ้นหนึ่ง
       
       วอชิงตันได้ทำให้เป็นที่ชัดเจนว่า ข้อคัดค้านของตนนั้นเป็นข้อคัดค้านที่ “ยืนอยู่บนหลักการ อิงอยู่กับกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่เป็นแค่ออกมาคัดค้านการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ เพียงเพราะการกล่าวอ้างดังกล่าวคือการอ้างสิทธิ์ของฝ่ายจีนเท่านั้น” เขาอธิบาย
       
       อย่างไรก็ดี คำแถลงของรัสเซล ได้ถูกมองเมินไม่ยอมรับในทันทีจากฝ่ายปักกิ่ง ทั้งนี้แดนมังกรกำลังมีท่าทีก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ในการยืนกรานผลักดันการกล่าวอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนในภูมิภาคของตน จนกำลังกลายเป็นการเติมเชื้อโหมเพลิงให้แก่ความตึงเครียดต่างๆ ในน่านน้ำซึ่งทรงความสำคัญทั้งทางด้านการประมง, การเดินเรือ, และการสำรวจขุดเจาะน้ำมันแห่งนี้
       
       “มีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯบางคนกำลังตั้งข้อหาต่อจีนอย่างไม่มีมูล” หง เหล่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าว
       
       โฆษกผู้นี้บอกด้วยว่า แผนที่เส้นประ 9 เส้นนั้น เกิดขึ้นมาเมื่อปี 1948 หรือ 1 ปีก่อนหน้าการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยซ้ำ อีกทั้ง “ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนที่สืบทอดอำนาจกันเรื่อยๆ มา”
       
       **เรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล็ก**
       
       การที่วอชิงตันออกมาปฏิเสธอย่างเปิดเผยว่าไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้น “ต้องถือเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ทีเดียว” จูเลียน คู (Julian Ku) อาจารย์ด้านนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา (Hofstra University) ที่ตั้งอยู่ในนิวยอร์กให้ความเห็น
       
       มัน “แสดงให้เห็นแนวทางที่สหรัฐฯกำลังจะใช้กฎหมายระหว่างประเทศมาเป็นดาบ ในการท้าทายพฤติการณ์ของจีนในภูมิภาคนี้” เขาพูดเอาไว้เช่นนี้บน “โอปินิโอ จูริส” (Opinio Juris) เวทีออนไลน์สำหรับการอภิปรายกันอย่างมีข้อมูลความรู้และการถกเถียงกันอย่างมีชีวิตชีวาในประเด็นทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
       
       เขาแสดงความประหลาดใจที่ในทางเป็นจริงแล้วรัฐบาลสหรัฐฯยังไม่เคยหยิบยกแถลงเหตุผลโต้แย้งเช่นนี้มาก่อนเลย
       
       คำแถลงของรัสเซล “สอดคล้องเข้ากันได้อย่างสบายกับจุดยืนที่มีนานแล้วของรัฐบาลสหรัฐฯในเรื่องเกี่ยวกับลักษณะที่ควรจะเป็น ในการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนทางทะเล”
       
       เท่าที่ผ่านมา วอชิงตันมักจะไม่ค่อยชัดเจนอยู่บ้างเล็กน้อย ว่ามีจุดยืนที่เป็นกลางต่อแผนที่เส้นประ 9 เส้นหรือไม่ แต่รัสเซลเข้ามายุติความคลุมเครือนี้ให้หมดสิ้นไปแล้ว คูบอก
       
       ทางด้านแบเดอร์ขยายความคิดเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯยังควรที่จะสร้างความกระจ่างชัดเจนต่อเหล่าชาติผู้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในทะเลจีนใต้รายอื่นๆ ตลอดจนต่อพวกประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่น สิงคโปร์ และ ไทย ว่าวอชิงตันนั้นคาดหมายให้พวกเขาออกมาแถลงต่อสาธารณชน ปฏิเสธไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้นโดยใช้เหตุผลเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศเช่นเดียวกัน
       
       “สหรัฐฯควรที่จะทำให้เป็นที่แน่ใจว่า แนวทางการมองปัญหาของตนในเรื่องนี้จะไม่ถูกเห็นไปว่าเป็นการกระทำตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เขาบอก “ความจริงมันก็ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้วละ แต่บางครั้งประเทศอื่นๆ อาจเลือกใช้ท่าทีเงียบเฉยเมื่อในที่สาธารณะ แล้วกลับแสดงความสนับสนุนเมื่อพูดกันเป็นการส่วนตัว”
       
       สำหรับอาจารย์คูมองว่า ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯที่ออกโรงโดยผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศคราวนี้ ยังเป็นการยื่นเสนอ “โรดแมปทางกฎหมาย” ต่อประเทศอื่นๆ ซึ่งมิได้เป็นผู้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในภูมิภาคนี้อีกด้วย
       
       “นี่เป็นจุดยืนทางกฎหมายที่แทบจะไม่ก่อให้เกิดการโต้แย้งอะไรเลย ดังนั้นจึงควรเป็นที่ยอมรับกระทำตามได้อย่างง่ายๆ ทั้งสำหรับอียู, แคนาดา, หรือออสเตรเลีย” ทั้งนี้ถ้าหากพวกเขาไม่กังวลว่ามันจะเป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้แก่จีน คูบอก
       
       **การท้าทายของฟิลิปปินส์**
       
       การกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์โดยอาศัยแผนที่เส้นประ 9 เส้นของจีนนี้ ได้ถูกฟิลิปปินส์ท้าทายอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว ในเวทีของสหประชาชาติ
       
       ทั้งนี้มะนิลาได้หยิบเอาเรื่องนี้ฟ้องร้องต่อศาลพิเศษระหว่างประเทศของ UNCLOS เมื่อ 1 ปีก่อน โดยบอกว่าแผนที่เส้นประ 9 เส้นจะนำเอามาใช้อ้างอิงไม่ได้ตามหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทะเลของยูเอ็น
       
       UNCLOS นั้นระบุว่า รัฐที่อยู่ริมชายฝั่งอย่างเช่นฟิลิปปินส์ สามารถที่จะอ้างสิทธิ์ครอบครองดินแดนทางทะเลในระยะทางห่างจากฝั่ง 12 ไมล์ทะเล และสามารถประกาศอาณาบริเวณห่างจากฝั่ง 200 ไมล์ทะเลว่าเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (economic exclusion zone) ซึ่งตนมีสิทธิที่จะทำการประมงและขุดค้นทรัพยากรใต้ทะเลได้
       
       นับเป็นครั้งแรกที่ปักกิ่งถูกท้าทายโดยอาศัยอนุสัญญาฉบับนี้ ซึ่งมีกว่า 160 ประเทศได้ลงนามพร้อมทั้งให้สัตยาบันแล้ว รวมทั้งจีนและชาติผู้ออกกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในทะเลจีนใต้รายอื่นๆ สำหรับสหรัฐฯนั้นไม่ได้ร่วมลงนามด้วยซ้ำอย่าว่าแต่ให้สัตยาบัน เนื่องจากมีวุฒิสมาชิกบางคนแสดงความกังวลว่าอนุสัญญาฉบับนี้จะจำกัดการค้า อีกทั้งเป็นการยินยอมให้พวกองค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีอำนาจควบคุมเหนือผลประโยชน์ของสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น
       
       ในปี 2012 จีนได้เข้าควบคุมเกาะ “สคาร์โบโร โชล (Scarborough Shoal) ซึ่งเป็นเกาะปะการังในทะเลจีนใต้ซึ่งมีศักยภาพความสำคัญทางยุทธศาสตร์ โดยที่ปักกิ่งกับมะนิลากำลังพิพาทช่วงชิงเกาะนี้กันอยู่ แต่ฟิลิปปินส์เป็นผู้ถืออำนาจในการปกครองเอาไว้
       
       การปฏิเสธไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้นของวอชิงตันคราวนี้ บังเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน ของฟิลิปปินส์ พยายามหาความสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศในการต้านทานการกล่าวอ้างดินแดนของจีน อีกทั้งเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯจะเดินทางมาเยือนเอเชีย ในความพยายามที่จะชดเชยหลังจากที่เขาต้องยกเลิกกำหนดการตระเวนเยี่ยมภูมิภาคนี้ไปเมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ประเทศที่โอบามาจะเยือนแน่ๆ ก็คือ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, และฟิลิปปินส์ (หมายเหตุผู้แปล- ตามประกาศอย่างเป็นทางการของทำเนียบขาวเมื่อวันพุธที่ 12 ก.พ. ชาติเอเชียอีกรายหนึ่งซึ่งโอบามาจะเยือนในเที่ยวนี้ด้วยคือ เกาหลีใต้)
       
       “ถ้าหากในตอนนี้ เราพูดว่าต้องยินยอมให้แก่บางสิ่งบางอย่างซึ่งเราเชื่อว่าผิด แล้วมันจะมีหลักประกันอะไรว่าสิ่งที่ผิดนี้จะไม่ขยายใหญ่โตต่อไปเรื่อยๆ” อากีโนกล่าวเช่นนี้ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ “ต้องรอถึงจุดไหนกันล่ะ คุณจึงจะพูดว่า ‘พอกันที’ ครับ ที่จริงแล้วโลกจะต้องพูดคำนี้ออกมาได้แล้ว”
       
       **เขตป้องกันภัยทางอากาศ**
       
       การที่ปักกิ่งแสดงการยืนกรานแข็งกร้าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการปกป้องการกล่าวอ้างสิทธิ์ทางดินแดนของตนในภูมิภาคนี้ ยังสะท้อนออกให้เห็นในกรณีอื่นๆ อีก เช่น เมื่อเร็วๆ นี้แดนมังกรประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (air defense identification zone ใช้อักษรย่อว่า ADIZ) ในทะเลจีนตะวันออก โดยครอบคลุมไปถึงหมู่เกาะที่ญี่ปุ่นควบคุมอยู่ หรือการที่จีนออกระเบียบกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพื่อจัดระเบียบการทำประมงภายในทะเลจีนใต้ โดยครอบคลุมถึงอาณาบริเวณอันใหญ่โตมหึมา
       
       มีการกะเก็งคาดเดากันสะพัดว่า ปักกิ่งยังจะประกาศใช้เขต ADIZ ในทะเลจีนใต้อีกด้วย ซึ่งทำให้วอชิงตันออกมาเตือนว่าความเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจทำให้กองทัพสหรัฐฯถึงขั้นต้องปรับเปลี่ยนสถานะและตำแหน่งแห่งที่ในภูมิภาคก็ได้
       
       “เราคัดค้านการที่จีนจะจัดตั้งเขต ADIZ ขึ้นในพื้นที่อื่นๆ เป็นต้นว่า ในทะเลจีนใต้” อีแวน เมเดริรอส (Evan Medeiros) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกิจการเอเชีย ณ สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ บอกกับสำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
       
       “เราได้บ่งบอกอย่างชัดเจนมากๆ กับฝ่ายจีนว่า เราจะถือเรื่องนี้ (การจัดตั้งเขต ADIZ ขึ้นมาอีก) ว่าเป็นพัฒนาการที่มีลักษณะยั่วยุและสั่นคลอนเสถียรภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องการปรากฏตัวของเราในภูมิภาคนี้ ตลอดจนในเรื่องสถานะและตำแหน่งแห่งที่ทางการทหารของเราในภูมิภาคนี้” เมเดริออส กล่าว
       
        ข้อเขียนชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง วิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia ใช้อักษรย่อว่า RFA) ทั้งนี้วิทยุเอเชียเสรีก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบัญญัติของรัฐสภาสหรัฐฯ และได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งจากเงินให้เปล่าของรัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจุบัน RFA เป็นผู้ดำเนินการสถานีวิทยุและบริการข่าวสารทางอินเทอร์เน็ต

 

 

 

 

                

 

 

 

 

 

 

    "เจ้าสัวซีพี" ออกโรงเตือนสติปัญหาข้าววันนี้

 

 

 
 
 
 
 
 
"เจ้าสัวซีพี" ออกโรงเตือนสติปัญหาข้าววันนี้ พูดชัด ! ให้เก็บข้าวในสต็อค เพื่อเป็นคลังข้าว ความมั่นคงของคลังอาหารโลก แนะควรเก็บไว้อย่างน้อย 1 รอบการผลิต และให้ขายเมื่อเมื่อราคาข้าวสูง

"..รัฐไม่ต้องเร่งระบายข้าว ส่วนกรณีที่รัฐบาล ต้องแบกสต๊อกข้าวสารในเวลานี้ ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตันจากโครงการรับจำนำข้าว มองว่าไม่น่าห่วง เพราะหากต้องการ ความปลอดภัยทาง ด้านความมั่นคงด้านอาหาร เราต้องเก็บสต๊อกไว้อย่างน้อย 6 ล้านตัน หรือต้องเก็บไว้หนึ่งรอบการผลิต ไม่ใช่ขายจนเกลี้ยง เพราะหากมีข้าวขาดตลาด ชาวบ้านเคยซื้อครั้งละ 5 กิโลกรัม เพิ่มเป็น 10 กิโลกรัม .."

" เราจะทำอย่างไรไม่ให้เสียแสนล้าน ต้องเก็บข้าวเอาไว้ และทำอย่างไร ให้ราคาสูง คุณขายไปก่อน ผมขายทีหลัง ผมขายน้อยได้เงินมาก ที่เกินนั้นได้ฟรี แล้วผมไปหาข้าวประเทศอื่นไปขาย เช่น ซีพีวันนี้ก็เริ่มซื้อข้าวจากกัมพูชาไปขายทั่วโลก เขาก็พอใจเพราะเรา ไปช่วยเขา.."

"..นี่คือธุรกิจสมัยใหม่ ผมจะไม่สู้กับเวียดนาม สู้กับพม่า แต่จะสู้ด้วยการเพิ่มมูลค่า สู้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ และการแปรรูป เขาขายข้าวสาร ผมขายข้าวผัด ขายข้าวสำเร็จรูป ทำไมผมต้องไปแข่งขัน ขายข้าวราคาถูกๆ ซึ่งผู้ที่จะเสียหาย คือชาวนา และรัฐบาล.."

ปล.จริงๆหลักการค้าขายแบบนี้พวกพ่อค้ารู้เหมือนกัน
แต่ตอนนี้รัฐบาลไม่มีทางเลือกจากกรณีโดนกดดันเรื่องไม่ให้กู้เงิน
และโดนพวก กปปส ประโคมข่าวว่าข้าวเน่า ข้าวล้นโกดัง
คงรอให้ราคาขึ้นแล้วขายอาจจะไม่ไหว.......................................

 

 

 

 

 

รัฐก็ยังไม่อยากขายแต่ทำไงได้ กู้ไม่ได้ ประโคมข่าวว่าข้าวเน่า ตอนนี้ที่ทำได้ก็คือขายข้าวให้รู้ว่าข้าวไม่เสีย เขาเรียกร้องกันก็ต้องให้แหละ 

 

 

แล้วผมไปหาข้าวประเทศอื่นไปขาย เช่น ซีพีวันนี้ก็เริ่มซื้อข้าวจากกัมพูชาไปขายทั่วโลก"

ฟังประโยคนี้แล้วคิดอย่างไรกันบ้างครับ

 

 

กลัวข้าวไทย ไปดัมพ์ตลาดข้าวที่เจ้าสัวไปซื้อมาจาก กัมพูชา ไปขายไง

ข้าวไทยมาขายปุ๊บ ราคาตก เส้าสัวขาดทุน

ให้มอดกินข้าวไทยไปก่อน จนกว่าเจ้าสัวจะขายหมด

 

 OK ถ้างั้นรัฐ เอาไปจำนำต่อกับ ซีพี จบมะ...นก

 

 

 

 

 

 

 

 

                           พระธรรมเทศนา เรื่อง วันมาฆบูชา

 

พระธรรมเทศนา

เรื่อง วันมาฆบูชา

โดย สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.๙) 

ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ วันที่ ๙ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๒

 **************

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ.

 

 

 

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.๙)

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.๙)

 

ณ บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนาอัปปมาทกถา พรรณนาเรื่องความไม่ประมาท เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนอัปปมาทธรรมสัมมาปฏิบัติของท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ซึ่งได้ประกอบบุรพกิจ คือกิจเบื้องต้น ได้แก่ การบูชาพระ ไหว้พระ ทำวัตรพระ รักษาศีล แล้วตั้งใจสดับพระธรรมเทศนา จนกว่าจะยุติด้วยเวลา

 

เนื่องในวันนี้เป็นวันมาฆบูชาหรือเป็นวันมาฆปุรณมี ดิถีเพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเราท่านทั้งหลายรู้กันว่า เป็นวันมาฆบูชา หรือเป็นวันที่สมเด็จบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์คือหัวใจพระพุทธศาสนา เราท่านทั้งหลายจึงควรไม่ประมาทในคำสอนส่วนนี้ นำมาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดสิริสวัสดิ์แก่ตน ทุกท่านทุกคน โดยเฉพาะวันนี้ซึ่งเรียกกันว่า วันมาฆปุรณมีดิถีเพ็ญเดือน ๓ เป็นวันที่พระสงฆ์องค์อรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมกัน โดยมิได้มีการนัดหมายประการหนึ่ง

 

วันนั้นเป็นวันที่ดาวมาฆฤกษ์หรือดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ เต็มดวง ซึ่งเรียกกันว่า วันดิถีเพ็ญ ประการหนึ่ง ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ บวชเฉพาะพระพักตร์หรือบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือบวชต่อพระพักตร์ หรือรับการอุปสมบทจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง นี้ประการหนึ่ง และท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้ชักชวน ไม่ได้กำหนดว่า วันนี้เราจะมาประชุมกัน เป็นวันที่ท่านมาประชุมกันโดยพร้อมเพรียงกัน จึงเรียกว่า มีความอัศจรรย์ในกาลครั้งนั้น ถือว่าวันนี้เป็นวันอัศจรรย์ที่พระสงฆ์องค์อรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์มาประชุมกัน ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ทุกรูปทุกองค์ บวชเฉพาะพระพักตร์ หรือบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อความพร้อมแห่งอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างนี้ ท่านจึงเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต เป็นอัศจรรย์พิเศษ มีครั้งเดียว พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์คือคำสอนที่เป็นหลักพระพุทธศาสนา เพื่ออนุรูปแก่กาลเวลา จะนำเอาคำสอน เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้กำหนดจดจำ หรือจำง่าย ๆ ว่า คำสอนของพระพุทธศาสนา หรือหลักของพระพุทธศาสนานั้นมีลักษณะหรือมีหลักอย่างนี้

 

สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่กระทำความชั่วทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าความชั่ว จะเป็นความชั่วเล็กน้อยก็ตาม ใหญ่ก็ตาม หรือความเลวร้ายความไม่ดี ทุจริต อกุศลทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ควรกระทำ ไม่กระทำ นี้เป็นคำสอนข้อแรก

 

กุสลสฺสูปสมฺปทา การยังกุศลหรือความดีความชอบ สุจริต จะน้อยก็ตาม มากก็ตาม ให้เกิดขึ้น ให้มีขึ้น ให้ถึงพร้อม นี้เป็นคำสอนข้อที่สอง

 

สจิตฺตปริโยทปนํ การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว หรือการชำระจิตของตนให้สะอาดปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือโลภ โกรธ และหลง นี้เป็นคำสอนข้อที่สาม

 

สามประการนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์  นี่เป็นคาถาเบื้องต้น ต่อจากนั้นก็ประทานต่อไปอีกว่า

 

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ความอดทนคือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างเยี่ยมยอด เป็นความดีอย่างเยี่ยมยอด หรือเป็นความดีให้ถึงความเจริญ ให้ถึงความดับทุกข์ได้อย่างเยี่ยมยอด เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เราก็อาศัยหลักธรรมคำสอนนี้เป็นเครื่องระงับเครื่องดับ ใช้ความอดความทน ไม่แสดงกิริยาอาการผิดแผกหรือให้เสียหายเกิดขึ้น

 

นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กล่าวว่าพระนิพพานเป็นธรรมอันเยี่ยมยอด พระนิพพานนี้เป็นหลักสุดยอดของพระพุทธศาสนา คือเป็นการดับทุกข์ หรือดับเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ดับราคะ โทสะ โมหะ ทั้งสิ้น ผู้ที่ถึงพระนิพพานจะถึงแดนสุขอันแท้จริง ซึ่งไม่ใช่สุขซึ่งมีอามิสเจือปน เป็นสุขสุดยอด พึงเข้าใจว่าพระนิพพานเป็นธรรมเยี่ยมยอดของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ชาวพุทธทั้งหลายทำบุญกุศลส่วนใด จะเป็นทาน ศีล ภาวนา ก็ปรารถนาพระนิพพาน

 

น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต บุคคลที่ฆ่าบุคคลอื่นหรือเบียดเบียนบุคคลอื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ หรือไม่ชื่อว่าเป็นผู้สงบ เพราะฉะนั้น การเบียดเบียนผู้อื่นก็ดี ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะเหตุใด ๆ ก็ดี ทำลายชีวิตหรือฆ่าผู้อื่นนั้น ไม่ชื่อว่า สมณะ

 

ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร การสำรวมในพระปาฏิโมกข์หรือการสำรวมในพระวินัย คือเว้นจากข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่พระองค์ทรงอนุญาต

 

มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค คือรู้จักประมาณในการรับประทาน รับประทานแต่พอเหมาะพอควร ไม่ให้มากจนเกินไป ไม่ให้น้อยจนเกินไป ไม่ให้รับประทานด้วยตัณหาคือความอยาก หรือความโลภ รู้จักความพอเหมาะพอดีในการบริโภค

 

ปนฺตญฺจ สยนาสนํ การนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันพอเหมาะพอควร ไม่นั่งนอนบนที่นอนอันสูงใหญ่เกินประมาณ

 

อธิจิตฺเต จ อาโยโค การประกอบอธิจิตหรือการประกอบสมาธิภาวนา วิปัสสนาภาวนา การทำใจของตนให้บริสุทธิ์ด้วยการเจริญสมถกรรมฐาน หรือวิปัสสนากรรมฐาน

 

ที่กล่าวมานี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เท่าที่อาตมภาพนำมากล่าวโดยย่อหรือแต่หลักคำบาลีพร้อมทั้งคำแปล เพียงเพื่อจะรักษาเวลา ให้ญาติโยมทั้งหลายเข้าใจว่า ในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนไว้อย่างนี้ เหตุที่ทรงสอนอย่างนี้ก็เพื่อจะให้พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์นั้นนำเอาหลักธรรมคำสอนนี้ไปประกาศพระศาสนา เป็นแนวทางของพระพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับพระโอวาทปาฏิโมกข์หรือคำสอนเนื่องในวันมาฆบูชานี้แล้ว ต่างท่านต่างองค์ก็ไปประกาศพระศาสนา สอนให้ประชาชนละบาป บำเพ็ญบุญ และทำใจของตนให้พ้นจากเครื่องเศร้าหมอง คือโลภ โกรธ และหลง

 

ในหลักทางนั้น ผู้สอนหรือผู้ปฏิบัติก็ย่อมจะกระทบกับการตำหนิติเตียนหรือการว่ากล่าว การใส่ร้าย หรืออย่างหนึ่งอย่างใดจะเกิดขึ้น จึงมีคำสอนต่อมาเป็นเครื่องประกอบการพิจารณาว่า ความอดทนความอดกลั้นเป็นตบะเป็นความดีอย่างเยี่ยมยอด พระนิพพานเป็นธรรมะอันสูงสุดของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมะอันเยี่ยมยอด ผู้ที่ฆ่าผู้อื่นเบียดเบียนสัตว์อื่นให้เดือดร้อนนั้นจะเป็นสมณะไม่ได้หรือเป็นผู้สงบไม่ได้ ก็เตือนว่า สมณะจะต้องอยู่ในความสงบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ทำลายชีวิตจิตใจของผู้อื่น เป็นเครื่องเตือนให้ผู้ที่รับคำสั่งคำสอนนั้นมีเมตตากรุณาในผู้อื่นสัตว์อื่น และการบริโภคอาหารแต่พอเหมาะพอควร ทำตนให้เป็นผู้ที่เขาเลี้ยงง่าย หรือให้ผู้อื่นเลี้ยงได้โดยง่าย เพราะชีวิตของสมณะหรือของพระภิกษุนั้นต้องอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ เขาให้อย่างไร พอใจอย่างนั้น มีอย่างไรได้อย่างไร พอใจเช่นนั้น นี้เป็นความพอเหมาะพอควร หรือเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค

 

ส่วนการนั่งการนอน ก็นอนพอรักษาอิริยาบถให้เป็นไป คือตามธรรมดา จะนั่งอยู่ตลอดก็เป็นไปไม่ได้ จะเดินตลอดหรือยืนตลอดก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีการนั่งการนอนเป็นการพักผ่อนอิริยาบถ รักษาอิริยาบถ แต่ไม่นอนเพื่อความสบาย ไม่นอนอย่างชาวโลกทั้งหลายเขานอน และให้อยู่ในเสนาสนะอันสงัด หมายถึงให้อยู่ในป่า ในเสนาสนะป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่าง เพราะการทำสมาธิจิตนั้นต้องอาศัยป่า เรือนว่าง หรือโคนไม้ ซึ่งเป็นที่สงบสงัด ก็จะบังคับจิตทำจิตให้สงบได้โดยง่าย จึงสอนให้อาศัยเสนาสนะอันสงัด และการประกอบอธิจิตคือการเจริญสมาธิภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนานั้นเป็นเรื่องที่ควรกระทำ เพราะผู้ที่ทำจิตสงบได้หรือทำจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงนั้นมีโอกาสจะเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาล นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงสอนอย่างนี้ จะในอดีตที่ล่วงแล้วก็ดี หรือจะมาในภายหน้าก็ดี จะต้องมีคำสั่งสอนอย่างนี้ จึงเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ขอให้ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายกำหนดนัยแห่งโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่พระสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย และประพฤติปฏิบัติตาม จะได้ชื่อว่าเป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยปฏิบัติบูชา

 

เนื่องในวันมาฆบูชานี้ เราท่านทั้งหลายจะได้ทำศาสนกิจหรือกิจเกี่ยวกับการบูชา อย่างที่เป็นอยู่ มีการให้ทาน มีการรักษาศีล มีการเจริญสมาธิภาวนา และมีการเดินเทียนเวียนทักษิณาวัฏเป็นพุทธบูชา ในวันนี้ วัดชนะสงครามมีกิจพิเศษเกี่ยวกับการก่อสร้าง ซึ่งท่านอาจารย์ สมชาย ท่านถวายพระพุทธบาทจำลองมาไว้ที่หลังพระอุโบสถ อาตมภาพก็อนุญาตให้ญาติโยมสักการะบูชา ก็สักการะบูชามาเป็นเวลานานพอสมควร เห็นว่า วันนี้ มีโอกาสที่จะกระทำมณฑปหรือที่คลุมบังไม่ให้ฝนตกลงไปนองอยู่ในรอยพระพุทธบาท เพื่อญาติโยมจะได้กราบไหว้บูชาได้สะดวก ทำพิธีสร้างมณฑป ที่สร้างนี้สร้างเพื่ออะไร เพื่อให้เป็นพุทธบูชา เสนาสนะถาวรวัตถุที่เราทำ จะเป็นอุโบสถก็ดี หรือศาลาการเปรียญก็ดี สร้างไว้ก็เพื่อบำเพ็ญกุศล ประกอบศาสนกิจกัน แต่มณฑปนี้สร้างเป็นพุทธบูชาเพื่อคลุมพระบาท แล้วให้เกิดศรัทธาปสาทะคือความเชื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้น ให้ตั้งใจว่า เราจะทำเป็นพุทธบูชา บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในปูชากถา ท่านยกตัวอย่างว่า การกระทำบูชาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ดี เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วก็ดี ถ้าเราตั้งจิตตั้งใจเสมอกัน ผลที่ได้รับนั้นก็จะเสมอกัน มีบาลีรับรองว่า

 

ติฏฺฐนฺเต นิพฺพุเต วาปิ          สเม จิตฺเต สมํ ผลํ ฯ

 

พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ดี เสด็จดับขันธปรินิพพาน

แล้วก็ดี เมื่อบุคคลตั้งใจไว้เสมอ ผลที่ได้รับก็ย่อมเสมอกัน ฯ

 

เพราะฉะนั้น ขอให้ญาติโยมตั้งใจบูชาเป็นพุทธบูชา ผลของความตั้งใจหรือกุศลจิตส่วนนี้ก็จะติดตามท่านทั้งหลายไปทั้งปัจจุบันนี้และภายหน้า เพราะฉะนั้น ขอให้ญาติโยมสาธุชนเข้าใจตามนัยนี้

 

เวลานี้ก็เป็นเวลาสมควรที่อาตมภาพจะยุติพระธรรมเทศนา เพื่อจะได้ประกอบการบูชาในกาลต่อไป ในเบื้องต้น ขอแจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า ต่อจากเทศน์จบนี้ก็จะมีการบวงสรวงเทพยเจ้า ตลอดจนสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ผู้สร้างวัดชนะสงคราม และญาติโยมอดีตที่อุปถัมภ์บำรุงวัดชนะสงคราม หรือเจ้าของวัดที่บริจาคสร้างที่ ประกาศให้รู้ว่า วันนี้จะมีการสร้างมณฑปถวายเป็นพุทธบูชา ให้เทพยดาอารักษ์ทั้งหลายได้รับทราบรับรู้ นี้ประการหนึ่ง ซึ่งจะได้ทำพิธีต่อไปหลังจากเทศน์จบนี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายร่วมอนุโมทนาแล้วก็ไปร่วมพิธีทำการบวงสรวงหรือบูชา หลังจากนั้นแล้ว ก็จะมาร่วมกันยกเสามณฑป พิธียกทำเป็น ๔ ต้น ยกทีละต้น ต้นเสาเอก แล้วก็มาเสาโท แล้วก็รองลงมา ๆ ใช้สายสิญจ์เป็นเครื่องผูก แสดงว่าน้ำใจหรือพร้อมกันว่า เราร่วมส่วนกุศลในส่วนนี้

 

ใช้สายสิญจ์เป็นเครื่องยึดถือ แต่ถ้าหากญาติโยมไม่ได้ถือสายสิญจ์ ยืนอยู่ห่าง ไม่สะดวกเพราะเหตุใดก็ตาม ขอให้ส่งใจหรือใช้ใจให้พร้อมที่จะยกอนุโมทนาส่วนกุศลส่วนนี้กับญาติโยม ก็ได้ยกได้ทำ นี้เป็นประการที่สอง หลังจากนั้นแล้ว จะยกเสาที่สอง ที่สาม ที่สี่ เป็นลำดับไป ให้เสร็จในวันนี้ เพราะงานไม่มากนัก ให้ทุกคนตั้งใจทำเป็นพุทธบูชาว่า มณฑปหลังนี้สร้างขึ้นเป็นพุทธบูชา บูชาพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งพระองค์มีพระเมตตา มีพระกรุณาในสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า จนกระทั่งถึงเราท่านทั้งหลาย มีพระปัญญาคุณ คือ รอบรู้ทั้งคดีโลกและคดีธรรม ทรงพระบริสุทธิคุณ คือ ถือพระกำเนิดเกิดในขัตติยราชสกุล แม้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณก็โดยไม่มีครูไม่มีอาจารย์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ถึงความเป็นสัมมาสัมพุทธะก็ด้วยพระองค์เอง เราตั้งใจบูชาพระองค์ ซึ่งเพียบพร้อมด้วยพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณดังกล่าวมา ขอให้ญาติโยมทุกท่านตั้งใจอย่างนี้ อาตมภาพเชื่อว่า กุศลก็จะพึงเกิดมีเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลายทุกคนที่มีความตั้งใจ และจะติดตามส่งผลให้ได้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงตั้งใจทำพุทธบูชาดังกล่าวมา

 

วิสัชนาพระธรรมเทศนาอัปปมาทกถาพอสมควรแก่เวลา ขอยุติพระธรรมเทศนาแต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                   [Image: 10095_665560096820043_1859258695_n.jpg] 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                          ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย

 

 

 

 

 

 

ไม่เข็ดนะ..ทำเป็นมาล้อเล่นกับอำนาจมหาชน..!! เด๋วก็โดนส้นตีนอีกอ่ะ

 

เงื่อนไขของม๊อปกบฏ ที่ลุงของไอ้ขิงนำมาเสนอต่อ นายกฯปูคือไรรู้มั้ย?? กูขำจริงๆ..!!

"..ถ้ารัฐบาล*ยอม*จัดเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด แล้วให้พรรคประชาธิปัตย์ลงเลือกตั้งได้.. ม๊อปทุกกลุ่มจะยุติทันที .."...

ท่านนายกฯฟังแล้วยิ้มกริ่ม..ยิ้มน้อยๆ..แล้วตอบว่า.."..ดิฉันตัดสินใจเองลำพังไม่ได้หรอกคร่ะ ก็เอาเป็นว่า รัฐบาลรับทราบคร่ะ จะนำไปพืจารณานะคะ.."

อยากจะตะโกนบอกนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ จริงๆเลยว่า.. ครั้งที่แล้ว..ปี54 ถูกตีเกือบตายในรถ ที่ ก.มหาดไทย เพราะความ...แบบนี้.. ผ่านมา4ปีแล้ว ยังคิด...ๆอยู่เหมือนเดิม..

นี่แสดงว่าบทเรียนครั้งนั้น ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่มอบให้..ยังไม่เข้าสมองเท่าไรนัก!!

การร่วมชั้นเรียนที่ มิลฟิลด์ กับใครคนหนึ่ง..ไม่ได้ทำให้ท่านนายกฯปูเค้าต้องเกรงใจหรอกนะ..เพราะนี่เรื่องของความถูกต้องตามกฏหมาย และเป็นเรื่องกฏกติกาของชาติ.

.คนหนึ่ง คนนั้นที่ว่า..เค้ากำลังหาทางฟื้นฟูบางสิ่ง และกำลังเร่งทำ IO เค้าไม่ช่วยมึงหรอก..เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนส่วนใหญ่.. ที่เค้าแคร์!!และหวังจะให้เป็นรากฐานในการฟื้นฟูเสาหลักของชาติต่อไปในวันหน้า..!!ดูเพิ่มเติม

 
 

ไม่เข็ดนะ..ทำเป็นมาล้อเล่นกับอำนาจมหาชน..!! เด๋วก็โดนส้นตีนอีกอ่ะ </p><p>เงื่อนไขของม๊อปกบฏ ที่ลุงของไอ้ขิงนำมาเสนอต่อ นายกฯปูคือไรรู้มั้ย?? กูขำจริงๆ..!! </p><p>"..ถ้ารัฐบาล*ยอม*จัดเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด แล้วให้พรรคประชาธิปัตย์ลงเลือกตั้งได้.. ม๊อปทุกกลุ่มจะยุติทันที .."</p><p>ท่านนายกฯฟังแล้วยิ้มกริ่ม..ยิ้มน้อยๆ..แล้วตอบว่า.."..ดิฉันตัดสินใจเองลำพังไม่ได้หรอกคร่ะ ก็เอาเป็นว่า รัฐบาลรับทราบคร่ะ จะนำไปพืจารณานะคะ.."</p><p>อยากจะตะโกนบอกนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ จริงๆเลยว่า.. ครั้งที่แล้ว..ปี54 ถูกตีเกือบตายในรถ ที่ ก.มหาดไทย เพราะความ...แบบนี้.. ผ่านมา4ปีแล้ว ยังคิด...ๆอยู่เหมือนเดิม..</p><p>นี่แสดงว่าบทเรียนครั้งนั้น ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่มอบให้..ยังไม่เข้าสมองเท่าไรนัก!! </p><p>การร่วมชั้นเรียนที่ มิลฟิลด์ กับใครคนหนึ่ง..ไม่ได้ทำให้ท่านนายกฯปูเค้าต้องเกรงใจหรอกนะ..เพราะนี่เรื่องของความถูกต้องตามกฏหมาย และเป็นเรื่องกฏกติกาของชาติ.</p><p>.คนหนึ่ง คนนั้นที่ว่า..เค้ากำลังหาทางฟื้นฟูบางสิ่ง และกำลังเร่งทำ IO เค้าไม่ช่วยมึงหรอก..เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนส่วนใหญ่.. ที่เค้าแคร์!!และหวังจะให้เป็นรากฐานในการฟื้นฟูเสาหลักของชาติต่อไปในวันหน้า..!!

 

เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวsmiley

 

 

                   

 

 

                      ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย

 

 

 

                      ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:57:38 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>