Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

หลุมดำเเห่งการเวลา

ArjanPong | 09-02-2557 | เปิดดู 2531 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 

 

         โปรเจคลับ "ฟิลลาเดเฟีย" การเดินทางข้ามเวลา

  

 

 

 

การเดินทางข้ามเวลา เป็นเรื่องที่เรามักจะอ่านพบในนิยายวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง อันที่จริงแล้วการเดินทางข้ามเวลา ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันในนิยายเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริงแล้วได้มีการเดินทางข้ามเวลาเกิดขึ้นจริงๆ!เพียงแต่ว่าการเดินทางข้ามเวลาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเหตุบังเอิญที่เกิดจากการทดลองโครงการลับที่ใช้ในทางทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

โครงการ "เรนโบว์"

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเรือสหรัฐ ได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางการทหาร เพื่อนำไปใช้ในการสงคราม หนึ่งในการทดลองนั้นคือ การพยายามทำให้เรือพิฆาตไม่ปรากฏบนจอเรดาร์ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นการทดลองเทคโนโลยีล่องหนครั้งแรกของโลก

โครงการ "เรนโบว์" (Project Rainbow) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment) ได้ทำการทดลองขึ้นที่ฐานทัพเรือสหรัฐในฟิลาเดเฟีย ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1943 โดยการใช้เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ติดตั้งบนเรือรบ

สนามแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นจะทำการเบี่ยงเบนคลื่นเรดาร์ ทำให้คลื่นเรดาร์ไม่กระทบลำเรือและสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ ข้าศึกจึงไม่สามารถใช้เรดาร์ในการตรวจจับเรือรบดังกล่าวได้ ไม่เพียงแต่เท่านั้นสนามแม่เหล็กยังได้หักเหการเดินทางของแสง ทำให้เรามองไม่เห็นมันอีกด้วย ซึ่งหลักการดังกล่าวเหมือนกับการที่เราเห็นภาพลวงตาบนท้องถนนในวันที่แดดแรง (Mirage)



 
เปิดตำนาน

เช้าวันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1943 เวลา 9:00 น. การทดลองที่นำไปสู่การเดินทางข้ามเวลาได้เริ่มขึ้น บนเรือพิฆาต เอลดริจ หรือ ดีอี173 (USS Eldridge - DE-173) เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กเริ่มทำงานมันสร้างหมอกควันสีเขียวขึ้นทีละน้อยรอบๆ ลำเรือ และเมื่อหมอกควันสีเขียว เริ่มจางลง เรือเอลดริจ ก็หายไปจากจอเรดาร์ และจากสายตาผู้คนที่เฝ้าดูการทดลองครั้งนั้น


 
USS Eldridge - DE-173

ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีคำสั่งให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก หมอกควันสีเขียวเริ่มก่อตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์!

บรรดาลูกเรือทั้งหมดที่อยู่บนกราบเรือ มีอาการคลื่นเ...ยน อาเจียน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กองทัพเรือมีคำสั่ง ให้เปลี่ยนลูกเรือชุดใหม่ เพื่อทำการทดลองต่อไป แต่ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน (Dr. John von Neumann) นักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบการทดลองครั้งนี้ ได้คัดค้านขอให้ยุติการทดลองไว้ชั่วคราว เพื่อขอเวลาในการตรวจหาสาเหตุและทำการแก้ไขเสียก่อน



ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน ผู้รับผิดชอบการทดลอง

กองทัพเรือขีดเส้นตายให้กับ ดร. จอห์น ไว้แค่วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 หรือเพียงไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น โดยไม่ได้ให้เหตุผลเลยว่าทำไมการทดลองจึงต้องมีขึ้นภายในวันที่ 12 สิงหาคม นอกเสียจากบอกกับ ดร. จอห์น ว่า พวกเขายังไม่ต้องการให้เรือรบหายไปจริงๆ จากสายตา พวกเขาต้องการเพียงแค่ให้เรือรบไม่ปรากฏบนจอเรดาร์เท่านั้น

การทดลองครั้งประวัติศาสตร์

หลังจากที่ ดร.จอห์น ได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว การทดลองเรือรบล่องหน ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันเส้นตายที่กองทัพเรือกำหนดไว้ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ลูกเรือชุดใหม่ได้ขึ้นประจำการบน เรือพิฆาตเอลดริจ เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กเริ่มทำงาน เวลาผ่านไปราว 60 วินาที ทุกอย่างดูไปได้สวย เรือพิฆาตเอลดริจ เริ่มหายไปจากจอเรดาร์ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเป็นรูป โครงเรือลางๆ ได้ด้วยตา แต่ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างสีฟ้าวาบขึ้น!



เรือพิฆาตเอลดริจ ได้หายไปจากน่านน้ำ!

ดร. จอห์น เริ่มมีอาการระส่ำระสาย เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว แต่ทำไมเหตุการณ์เดิมยังเกิดขึ้น พวกเขาพยายามส่งวิทยุติดต่อกับเรือพิฆาตเอลดริจ แต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด

ราว 4 ชั่วโมงต่อมา เรือพิฆาตเอลดริจก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่เดิม เสาอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ รับ-ส่งคลื่นวิทยุหักโค่นลง เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็รีบรุดไปที่เรือพิฆาตเอลดริจทันที เมื่อไปถึงเรือพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พบร่างของลูกเรือ 2 คน ถูกดูดจนตัวติดกับพื้นเรือ เหมือนประหนึ่งว่าร่างกายของเขาเป็นโลหะชิ้นหนึ่ง เช่นเดียวกับ ลูกเรืออีก 2 คน ที่ถูกผนังเรือดูดเข้าไปจนติดเป็นส่วนหนึ่งของผนัง ส่วนลูกเรือคนที่ 5 นับว่าโชคดีหน่อยที่เพียงแค่ แขนข้างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่ติดอยู่กับผนังเรือ เขายังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ว่าต้องตัดแขนเขาเพื่อแยกตัวเขาออกจากผนังเรือ

ลูกเรือหลายคนถูกไฟไหม้ตามร่างกาย และทุกคนมีอาการสติแตก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จะมีก็แต่ลูกเรือที่ประจำการ อยู่ในห้องด้านล่างของตัวเรือเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย และหนึ่งในนั้นก็คือ อัลเฟรด เบเลก (Alfred Bielek)

ผู้ที่เปิดเผยเรื่องราวการทดลองครั้งนี้

ใครคือ "อัลเฟรด เบเลก" ?

อัลเฟรด เบเลก เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ที่รัฐนิวยอร์ก เดิมทีนั้นเขาชื่อ เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน (Edward A. Cameron) เป็นบุตรชายของ อเล็กซานเดอร์ ดันแคน คาเมรอน ซีเนียร์ (Alexander Duncan Cameron, Sr) จบการศึกษา ระดับปริญญาเอก สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1939

ไม่เพียงแต่เท่านั้น อัลเฟรด ยังจบปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยพรินสตัน และกำลังจะศึกษาต่อปริญญาเอก ที่ฮาร์วาร์ด อาจเป็นเพราะบิดาของเขาเคยรับราชการในราชนาวีสหรัฐ จึงทำให้ อัลเฟรด และน้องชายของเขาเข้ารับราชการในราชนาวีสหรัฐเช่นกัน


 
เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน หรือ "อัลเฟรด เบเลก

4 ชั่วโมงที่หายไป

เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงานเต็มที่ เหล่าลูกเรือก็พบว่าเรือพิฆาตเอลดริจ ได้ปรากฏตัวบนฝั่งแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงได้ลงจากเรือเพื่อมาสำรวจพื้นที่ พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และสุนัขตรวจตราลาดตระเวณอยู่เต็มไปทั่วบริเวณเมื่อมองไปบนท้องฟ้าพวกเขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ ฉายไฟสปอตไลท์มาที่พวกเขา แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้จักเฮลิคอปเตอร์

ครู่เดียวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็กรูกันมาที่พวกเขาแล้วพาพวกเขาลงไปยังห้องใต้ดินพวกเขาพบกับชายสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งได้แนะนำตัวเองว่าเขาคือ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน

อัล เฟรด ถึงกับช็อค เพราะเขาเพิ่งจะจากกับ ดร.จอห์น เมื่อสักครู่นี้เอง และเขาก็หนุ่มกว่านี้มาก ดร.จอห์น อธิบายให้ฟังว่าสถานที่นี้คือสถานที่ทดลอง โครงการฟินิกส์ (Phoenix Project) ตั้งอยู่ที่มอนทอก เมืองลองไอส์แลนด์ (Montauk, Long Island)

และ วันนี้คือวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1983 !!

ดร. จอห์น เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "การทดลองฟิลาเดเฟีย" ในปี ค.ศ. 1943 จากนั้นก็สั่งให้ทุกคนกลับไปที่เรือ และให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กโดยเร็ว การทดลองฟิลาเดเฟีย ในปี ค.ศ. 1943 และการทดลองฟินิกส์ ในปี ค.ศ. 1983 ได้ก่อให้เกิด "ช่องว่าง" ของเวลาและได้ดูดเอาเรือพิฆาตเอลดริจ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งมีเวลาห่างกัน 40 ปี

ดร. จอห์น สั่งให้ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ที่จะหยุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก ไม่เช่นนั้นสนามแม่เหล็กจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อโลก

เมื่อพวกเขากลับไปที่เรือ ก็ช่วยกันหยิบขวานขึ้นมาทุบไปบนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แผงควบคุม และอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กก็หยุดทำงาน และเรือพิฆาตเอลดริจ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิม ในปี ค.ศ. 1943 อีกครั้ง

ลูกเรือทุกคนที่รอดชีวิตกลับมาได้จากการทดลองครั้งนั้น ได้ถูกรัฐบาลจัดการล้างสมอง ลบความจำจนหมดสิ้น และได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ พร้อมทั้งสร้างข้อมูลชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา และนี่คือเหตุผลที่ เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน ได้หายไปจากโลก และมี อัลเฟรด เบเลก ขึ้นมาแทน

ฟื้นความทรงจำ

อย่างที่กล่าวไว้แหละครับ เดิมที อัลเฟรด ได้ถูกรัฐบาล จับไปล้างสมองและลบความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้ว เขาใช้ชีวิตในชื่อของ อัลเฟรด เบเลก ตลอดมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1983 บริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ "อี เอ็ม ไอ ตรอน คอร์เปอเรชั่น (EMI Thron Corp.)" ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment)

ภาพยนตร์เรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองที่ อัลเฟรด ได้ประสบมา อีเอ็มไอ ได้กำหนดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1984 แต่เมื่อก่อนจะถึงกำหนดฉายเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายจากรัฐบาลสหรัฐ มีข้อความว่าพวกเขาไม่ประสงค์ให้มีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ

อีเอ็มไอ ได้ลงทุนทำการประชาสัมพันธ์และออกกำหนดการ การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อีกทั้งเขาก็เพิ่งจะได้รับจดหมายห้ามจากสหรัฐเพียงแค่ 3 วันก่อนวันฉาย อีเอ็มไอ จึงได้ตัดสินใจฉายภาพยนตร์ในสหรัฐ ตามกำหนดการเดิม โดยเสแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่ได้รับจดหมายห้ามจากรัฐบาลสหรัฐ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐ เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉาย ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายเตือนฉบับที่ 2 จากสหรัฐอีก แต่คราวนี้ อีเอ็มไอ ไม่สามารถแกล้งโง่ได้อีก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมหยุดฉายภาพยนตร์ทันทีทันใด แถมยังได้ส่งจดหมายกลับไปว่า อีเอ็มไอ จะหยุดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งห้ามเป็นคำพิพากษาจากศาลเท่านั้น

แน่นอนว่าเรื่องจ้อยๆ แค่นี้ ทำได้ไม่ยากหรอกครับ เพียงแค่ 2 สัปดาห์ต่อมาก็มีคำสั่งจากศาล ให้หยุดการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็หายไปจากประเทศสหรัฐถึง 2 ปีเต็มๆ ในระหว่างนั้น อีเอ็มไอ ได้พยายามหาหนทางที่จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเข้าไปในประเทศสหรัฐ จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไปพวกเขาก็ประสบความสำเร็จโดยผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของวิดิโอเทป และส่งเข้าไปขายในสหรัฐ


 
หนังที่บริษัท อีเอ็มไอ ผลิตออกมา

เมื่อ อัลเฟรด ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ความจำของเขาก็เริ่มกลับมา อัลเฟรด กล่าวว่าในช่วงต้นเรื่องภาพยนตร์สร้างออกมาได้ใกล้เคียงความจริงมาก ส่วนช่วงหลังของภาพยนตร์นั้นมีการเสริมแต่งเรื่องเพื่อให้ภาพยนตร์เป็นที่ประทับใจ

อัลเฟรด ได้พยายามสืบหาผู้ที่รอดชีวิตจากการทดลองครั้งนั้น ในที่สุดเขาก็พบกับ นาวาตรี อลัน แบชเลอร์ (Lt. Commander Alan Batchelor) ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าลูกเรือในการทดลองฟิลาเดเฟีย อลัน จำ อัลเฟรดได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในลูกเรือเอลดริจ และยังบอกกับเขาด้วยว่า เขาไม่ได้ชื่อ อัลเฟรด เบเลก

อลัน ได้สูญเสียความจำบางส่วนไป แต่อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่า อัลเฟรด ประจำการอยู่บนเรือร่วมกับน้องชายและยังพอจะจำเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นได้

มาถึงตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของอัลเฟรดเขาหายไปไหน? ผมขอย้อนกลับไปที่เหตุการณ์บนเรือเอลดริจตอนที่หลุดเข้าไปในประตูมิติเวลา ระหว่างที่เหล่าลูกเรือกำลังช่วยกันทำลายเครื่องสร้างสนามพลังอยู่นั้น น้องชายของ อัลเฟรด ได้ตัดสินใจกระโดดลงจากเรือ ครับเขาอยู่ในปี ค.ศ. 1983 ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นกลับมาในปี ค.ศ. 1943

การทดลองครั้งสุดท้าย

หลังจากที่เกิดการผิดพลาดในการทดลองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ราชนาวีสหรัฐ ได้สั่งให้สร้างเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาใหม่และกำหนดให้มีการทดลองอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ลูกเรือ

ราวปลายเดือนตุลาคม เวลาประมาณ 22:00 น. การทดลองได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พวกเขาได้ใช้สายเคเบิลยาวประมาณ 1,000 ฟุต ผูกติดกับคันบังคับปิด-เปิด เครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก เพื่อใช้เป็นรีโมท (ไม่รู้ว่าจะถือว่าเป็นต้นกำเนิดรีโมทคอนโทรลได้หรือเปล่า?)

เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงาน เรือเอลดริจก็ได้หายไปจากน่านน้ำในฟิลาเดเฟีย มีพยานจำนวนมากเห็นมันไปปรากฏตัวที่ท่าเรือใน นอร์ฟอล์ก รัฐเวอร์จิเนีย นานเป็นเวลาประมาณ 15 นาที แล้วจู่ๆ มันก็หายตัวไป

เรือเอลดริจ กลับมาปรากฏตัวที่ฟิลาเดเฟียอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครปิดเครื่อง แต่เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กได้หยุดทำงานด้วยตัวมันเอง

เมื่อเจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนเรือ พวกเขาพบว่าอุปกรณ์จำนวนมากกว่าครึ่งหายไป ห้องควบคุมมีกลุ่มควันเต็มไปหมด พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือเอลดริจ รู้ก็แต่เพียงว่าต้องมีอะไรผิดปรกติอย่างแน่นอน ในที่สุดราชนาวีสหรัฐ ก็ตัดสินใจระงับโครงการเรนโบว์นี้

เรือเอลดริจ ได้ถูกนำมาประกอบอุปกรณ์มาตรฐานของเรือพิฆาตอีกครั้ง เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ใข้ในการทดลองฟิลาเดเฟียถูกยกออก และส่งมันกลับเข้าประจำการตามปรกติ จนกระทั่งปลดประจำการณ์ในปี ค.ศ. 1950

สหรัฐได้บริจาคเรือลำนี้ให้กับประเทศกรีซ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือไลออน โดยที่กฏหมายการเดินเรือสากลนั้น ปูมเรือจะต้องติดไปกับเรือด้วยทุกครั้ง ใช่ครับ ปูมเรือเอลดริจก็ติดไปกับเรือด้วย เพียงแต่ว่ามันเริ่ม วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1944 ไม่มีใครทราบว่าปูมเรือก่อนหน้านั้นหายไปไหน ?

ที่มา: Pantip (เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วน)  และ http://board.postjung.com/647486.html

      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

     ชูวิทย์"เผยจุดที่ม็อบไม่ยอมไปปิด

 

 



 

 

 

 

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์การเมืองล่าสุดว่า

ที่ม็อบไม่ยอมไปปิด

กลยุทธ์ปิดล้อมของม็อบ กปปส. เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ นึกอยากจะไปปิดที่ไหนก็ไป โดยไม่มีแผนการณ์รองรับและต่อเนื่อง วันก่อนไปปิด "กรมชลประทาน" สั่งให้ข้าราชการทุกคนออกมาจากตึก แล้วคล้องโซ่ปิดประตู ไม่ยอมให้ใครทำงาน

แล้วบรรดาเกษตรกรชาวนาจะไปเอาน้ำที่ไหน? ใครจะเป็นคนวางแผนให้? เพราะกรมชลประทานมีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมวางแผนจัดสรรน้ำให้กับเกษตรกรทั้งประเทศ คุณคิดว่าทำอย่างนี้ฉลาดหรือโง่? เท่ากับทำร้ายเกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไหนบอกว่าเห็นใจชาวนา อย่างนี้เท่ากับไปฆ่าชาวนาชัดๆ

แกนนำประกาศทุกวี่ทุกวัน “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” แต่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที เพราะไปปิดสารพัดที่ ไม่ว่ากระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ เลยเถิดไปถึงกรมการกงสุล สถานที่ทำพาสปอร์ต ไปทำร้ายประชาชนให้เดือดร้อนเข้าไปอีก

ไม่เห็นรัฐบาลจะ “เดือดเนื้อร้อนใจ” ตรงไหน แต่เกษตรกรยันประชาชนเขาเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า

สถานที่เดียว ที่ม็อบไม่เคยไปแตะต้อง อันเป็นหัวใจของการชัตดาวน์กรุงเทพฯคือ “ศาลาว่าการกทม.” ที่เสาชิงช้า อู่ข้าวอู่น้ำของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นที่ที่คุณสุขุมพันธ์พรรคประชาธิปัตย์ ดำรงค์ตำแหน่งผู้ว่าฯอยู่ ไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทย จึงไม่เคยไปปิด สั่งให้ราชการออก เอาโซ่ไปคล้อง เป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง เล่นการเมืองแบ่งพรรคแบ่งพวก ฝั่งไหนเป็นประโยชน์กับพรรคตัวเองไม่แตะต้อง ฝั่งไหนเป็นของพรรคตรงข้ามก็ตามย่ำยี

ปากบอกจะหานายกฯคนกลางมาปฏิรูป ทำแบบนี้จะปฏิรูปไหวหรือ? เห็นชัดๆว่าปกป้องแต่ผลประโยชน์ของพรรคตัวเอง คนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ดูหมากการเมืองไม่ออก ต้องให้ชูวิทย์มาบอก

ส่วนที่ม็อบประกาศให้ตำรวจเร่งจับคนยิง ปาระเบิดทำร้ายม็อบ แต่ระเบิดที่ "บรรทัดทอง" ผู้ชุมนุมตายไปหนึ่ง นายประคอง ชูจันทร์ กลับทำเฉย แรกๆตรวจพบห้องพักในตึกร้าง บอกว่าเป็นคลังอาวุธ แต่ดันเป็นเจ้าหน้าที่เทศกิจ เลยปล่อยจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย เพราะเกี่ยวข้องกับ กทม. เลยเว้นวรรคให้ ไม่สนใจติดตามเพราะกลัวจะเข้าตัว

แล้วยังมีเรื่อง "ถุงทราย" ที่กทม.อ้างว่าเอาไว้ป้องกันน้ำท่วม ทำไปทำมา กลายเป็นว่าเอาไปให้ม็อบ คปท. ใช้ล้อมทำเนียบรัฐบาล ให้มันได้แบบนี้สิครับ ม็อบ กปปส. หรือ ม็อบ คปท. ควรจะเรียกว่า ม็อบ กทม. สนับสนุนกันชัดๆไปเลย ไม่ต้องปากว่าตาขยิบ

มันเป็นเรื่องของการแย่งชิง "อำนาจการเมือง" ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ปากเป่านกหวีด ตาลอยละห้อย เหมือนต้องมนต์หมอผีพ่นคาถา เป่ากระหม่อมทุกค่ำคืน โดยไม่สนว่าประชาชนที่ไหนจะเดือดร้อน

ธาตุแท้ของนักการเมืองที่ลาออกเฉพาะชื่อ แต่ในใจยังสิงสถิตย์ทำประโยชน์ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ อะไรที่เป็นประโยชน์ ยินยอมพร้อมใจถวายหัวทำให้ ส่วนอะไรที่เป็นของพรรคตรงข้าม ต้องทำลายกันเสียให้ยับเยินป่นปี้

ม็อบนอนกันข้างถนน กินข้าวกล่อง ส่วนบรรดาแกนนำนอนอินเตอร์คอนฯ กับ ดุสิตธานี กินบุฟเฟ่ต์หลากชนิด

หากยังไม่รู้ก็รู้ไว้เสียด้วย บรรดาหมอ วิศวะ ดารา ประชาชน ทั้งนายทุนท่อน้ำเลี้ยง ช่วยตื่นจากภวังค์ เอานกหวีดออกจากปาก แล้วจะรู้ว่าถูกนักการเมืองหลอกใช้ มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาการเมือง ผลประโยชน์ของพรรคตัวเองแท้ๆ

 

 

 

 

 

 

การ์ด กปปส.-กปค.′ ทะเลาะวุ่น ถึงขั้นวางมวย ต้องหย่าศึกโกลาหล เสวนาปฏิรูปพลังงานหวิดล่ม

 

 

 

 

เสวนาปฏิรูปพลังงาน กปปส.หวิดล่ม หลัง ′กปค.′ ขอร่วมวงด้วยแต่การ์ดไม่อนุญาตอ้างต้องมีรายชื่อเท่านั้น ปั่นป่วนจนถึงขั้นลงมือชกต่อยกัน

 
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมชั้น 5  หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กปปส.ได้จัดเสวนาสานพลังสู่การปฏิรูปในหัวข้อ “การปฏิรูปด้านพลังงาน โดยเชิญนักวิชาการด้านพลังงานเข้าร่วม อาทิ  นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายสรรเสริญ สมะลาภา น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ นางอาณิก อัมระนันท์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา พร้อมด้วย นพ.ระวีมาศ ฉมาดล และตัวแทนกองทัพประชาชนและเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.) ซึ่งชุมนุมที่บริเวณหน้ากระทรวงพลังงาน จำนวนกว่า 50 คน ได้เดินมาร่วมการเสวนาด้วย

 

แต่ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นที่หน้าห้องประชุม มีการประทะกันระหว่างการ์ด กปปส. กับกลุ่ม กคป. เนื่องจากตัวแทน กปค.จะขอเข้าร่วมฟังการเสวนาด้วย แต่การ์ด กปปส.ไม่อนุญาตโดยอ้างว่าจะให้เฉพาะผู้ที่มีรายชื่อรับเชิญเท่านั้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ กลุ่ม กคป.ที่ระบุว่าพวกตนก็มีข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานต้องการนำเสนอด้วย พยายามดึงดันจะเข้าห้องประชุม แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ผู้ชุมนุมโวยวายเป็นการปิดกั้นประชาชน ถ้าทำแบบนี้ก็ปฏิรูปด้านอื่นไม่ได้ ขอให้ไปเรียกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ มาคุยกัน

 

จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการโต้เถียงผลักดันกันอย่างมีอารมณ์ ถึงขั้นชกต่อยกันนานกว่า 5 นาที ทำให้หลายคนได้ห้ามปรามจนในที่สุดห้องเสวนาต้องยุติลง และต้องเปิดห้องประชุมใหญ่เพื่อให้กลุ่ม กคป.ได้เข้าร่วมประชุมด้วยทุกคนโดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังด้วย

 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่บรรยากาศการชุมนุมกปปส.ที่แยกปทุมวัน ตั้งแต่ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ กทม.ได้มาทำความสะอาดรอบพื้นที่การชุมนุมเพื่อสุขอนามัยของกลุ่มผู้ชุมนุม ส่วนบนเวทีปราศรัยแนวร่วมยังคงสลับกันขึ้นปราศรัยขับไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องสลับกับการแสดงดนตรี  สำหรับความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิกาาร กปปส. ช่วงเช้าได้ร่วมประชุมกับแกนนำเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยสมทบทุนการเคลื่อนไหวของชาวนาและการประกันตัวนายสนธิญาณชื่นฤทัยในธรรม แกนนำ กปปส.ถูกควบคุมตัวตามหมายจับฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
 
 
 
 

                   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       ขอทานให้ชาวนา ได้วันละ 10 กว่าล้าน จริงหรือ ??



วันละ 10 กว่าล้านนี่มันต้องเดินรับเงินกันแค่ไหนหว่า
กรรมกรคนจนแบบผมชักงง.
เงิน 10 ล้านนี่ ถ้าเป็นแบงค์ 1000 ทั้งหมด ก็คือหนัก 10 กิโลหล่ะครับ
แต่ถ้ามีทั้งแบงค์ 20 แบงค์ 100 แบงค์ 500 บาทด้วยมันก้อคงเบ้อเร่อเท่า

มาดูกรรมวิธีการรับเงินของ ขอทานจอมตรอแหลคนนี้กันดูครับ
หากเดินรับกันแบบนี้ 10 ล้านบาทคือแบงค์พันล้วน ๆ หมื่นใบ
หากเอามาเชื่อมต่อกัน โดยแบงค์พัน 1 ใบจะยาวราว ๆ 16.5 cm
จะได้ระยะทาง ทั้งสิ้น 1,650 เมตรครับ แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบงค์พันลวน ๆ และไม่ได้เชื่อมต่อกันแบบนี้

ถ้าเราลองอิมเมจตามความเป็นจริงจากภาพที่เราเห็น
กับภาพที่สร้างไว้ ถ้าตีตัวเลขกลม ๆ โดยการประมาณการว่า

ให้ราคาแบบเทพ ๆ เลนว่า เดิน 1 นาที ได้เงินบริจาก 1000 บาท
และเช่นเดิม สมมุติได้แบงค์ 1000 มาล้วน ๆ
ดังนั้น 10 ล้านบาท จะต้องได้แบงค์ 1000 บาท มา 1 หมื่นใบครับ

คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 1 หมื่น นาทีในการเดินรับตังส์
คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 167 ชั่วโมงในการเดินรับตังส์
คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 6.9 วันในการเดินรับตังส์แบบ มาราทอนไม่ต้องหลับต้องนอน 555++


เอาไงดีล่ะ ใครหลอกใครล่ะเนี่ย 555+


เครดิต http://thaienews.blogspot.com/

 

 

 

 

 

          ′อนุสรณ์′ถามม็อบชาวนา 15 ข้อ ก่อนยกระดับปิดคลังข้าว

 

 

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษก พท. แถลงถึงกรณี นายระวี รุ่งเรือง ประธานศูนย์ข้าวชุมชนภาคตะวันตก ระบุว่าวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ม็อบชาวนาจะยกระดับการชุมนุมปิดคลังข้าวว่า การประกาศยกระดับการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลไม่เป็นผลดีต่อชาวนาในภาพรวมที่เดือดร้อ​นจริงๆ ดังนั้นจึงขอนำเสนอ 15 คำถามที่ม็อบชาวนาควรตอบ ก่อนยกระดับการชุมนุมเพราะอาจส่งผลกระทบต่อชาวนาตัวจริงที่เดือดร้อนจริง

1.การที่ม็อบชาวนาต้องการให้นายกฯและ ครม.ลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการนั้น ทำไม่ได้ด้วยข้อกฎหมาย แล้วการที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลาออกจะทำให้เกิดการจ่ายเงินค่าจำนำข้าวรวดเร็วได้อย่างไร อีกทั้งมีอะไรเป็นหลักประกันว่าการจ่ายเงินจำนำข้าวจะเกิดขึ้นจากกลุ่มคนตรงกันข้ามก​ับรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการจำนำข้าวตั้งแต่ต้น

2.แปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ที่ปกติไม่มีเจ้าหนี้คนไหน อยากให้ลูกหนี้หนีหายหรือตายจาก ตราบที่ยังไม่ได้เงินใช้หนี้คืน จะอย่างไรลูกหนี้ก็ต้องรับผิดชอบหามาคืนให้ได้ แต่ม็อบชาวนากลับผลักไสให้รัฐบาลที่เป็นลูกหนี้ให้พ้นไป สุ่มเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นการนำทุกข์ชาวนาตัวจริงมาต่อรองในเกมการเมืองเพื่อเป้​าหมายขับไล่รัฐบาลหรือไม่

3.การที่ม็อบชาวนาต้องการให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง ที่แกนนำอยากได้มาทำหน้าที่ ก็ไม่สามารถกู้เงินได้อยู่ดีเพราะติดขัดข้อกฎหมาย ดังนั้น วิธีที่จะช่วยชาวนาได้รวดเร็วที่สุดคือต้องสนับสนุนหรือสร้างบรรยากาศให้สถาบันการเง​ินปล่อยกู้โดยเร็ว

4.ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันหาวิธีให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พยายามจัดการเลือกตั้งในเขตที่ยังเลือกตั้งไม่สำเร็จแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ให้ได้โดยเร็​ว ก็จะสามารถกู้เงินมาชำระหนี้ให้ชาวนาได้อย่างมั่นคง เพราะสถานะรัฐบาลรักษาการอาจมีความสุ่มเสี่ยงและถูกตั้งแง่ด้านข้อกฎหมาย

5.ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าไม่มีการชุมนุมของ กปปส. ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่ลาออกยกพรรค รัฐบาลก็ไม่มีเหตุต้องยุบสภา การกู้เงินมาจ่ายค่าจำนำข้าวกับชาวนาก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร

6.ท่านคิดว่ารัฐบาล พท. เพื่อชาวนา จะกล้าโกงชาวนา แล้วเงินในโครงการจำนำข้าวกว่า 7 แสนล้านบาท จาก 4 ฤดูการผลิตที่จ่ายตรงถึงมือชาวนา ไม่มีผลต่อความผูกพันใดๆ ระหว่างชาวนา ซึ่งเป็นเจ้าของรัฐบาล กับพรรคเพื่อไทย เพื่อชาวนาเลยหรือ

7.ท่านทราบหรือไม่ ขณะนี้แกนนำม็อบที่ใกล้ชิดและเชื่อมโยงกับเครือข่ายกับม็อบ กปปส.กำลังทำให้ปัญหาเงินจำนำข้าวเป็นปัญหาการเมือง จนแยกกันไม่ออก เพราะเป้าหมายของแกนนำคือการให้นายกรัฐมนตรีและ ครม.ลาออก การเคลื่อนไหวแทบทุกครั้งมีการใช้ทรัพยากรของ กปปส.และกรุงเทพมหานคร

8.ท่านทราบหรือไม่ที่มีหลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ วิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหว ว่าม็อบชาวนารอบนี้ มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกับม็อบยางพาราที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ฐานที่มั่นของพรรคการ​เมืองบางพรรค ทั้งการปิดถนน มุ่งไปสู่การสร้างสถานการณ์ตึงเครียด ทำลายระบบเศรษฐกิจ พุ่งเป้าไปสู่การโค่นล้มรัฐบาล

9.ท่านทราบหรือไม่ แกนนำบางส่วนกำลังทำให้ชาวนาที่เดือดร้อนจริงๆ เผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งปลุกระดมกันออกมามากเท่าไหร่ ก็เท่ากับกดดันสถาบันการเงิน กดดันสหภาพ กดดันลูกค้าที่ฝากเงิน โอกาสที่จะปล่อยกู้ ดังนั้นโอกาสจะได้เงินจึงลดลงเป็นการผลักโอกาสในการได้เงิน ให้ห่างไกลออกไป

10.ท่านพึงพอใจ มั่นใจและมีความสุขดีกับการสร้างภาพ เดินรับเงินบริจาคช่วยเหลือลมๆ แล้งๆ 10 ล้านบาท เพื่อใช้ในการฟ้องร้องรัฐบาลให้รัฐบาลเพื่อไทย เพื่อชาวนา พ้นไปจริงๆ หรือ

11.ท่านรู้หรือไม่ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เป็นต้นตอของปัญหาโครงการจำนำข้าวนี้ในหลายขั้นตอน ตั้งแต่เดินสายวางงานเป็นปีๆ เปิดเวทีผ่าความจริงที่หวังผลในการโค่นล้มรัฐบาล และเป็นตัวการสำคัญในการขัดขวางเงินกู้ 130,000 ล้านบาท โดยการสร้างภาพ หาเงินมาช่วย 10 ล้าน ท่านว่าทดแทนกันได้หรือ

12.ท่านรู้หรือไม่ ถ้าท่านต้องการชุมนุมแสดงพลังที่ตรงจุด ถูกฝา ถูกตัว ท่านควรจะต้องไปชุมนุมที่หน้าพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่เป็นปฐมบทกระบวนการทำลายโครงการจำนำข้าว ถือเป็นการทำลายข้าวไทยของจริง ทั้งการโพนทะนาว่าข้าวไทยในสต๊อกมีอยู่จำนวนมาก ข้าวเน่า เสื่อมประสิทธิภาพ มีสารปนเปื้อนรับประทานแล้วตาย มีการทุจริต มีการสวมสิทธิจากเพื่อนบ้าน ถ้าท่านเป็นรัฐบาลในต่างประเทศ ท่านจะกล้าสั่งซื้อข้าวไทยหรือไม่ นี่จึงเป็นเหตุให้ไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวในที่สุด

13.ท่านคิดว่าการทุจริตหากมีเกิดขึ้น มันมีเฉพาะในโครงการจำนำข้าวเท่านั้นหรือ โครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร ในรัฐบาลก่อนไม่มีปัญหาการทุจริตเลยหรือ แล้วทำไมส่วนไหนที่มีปัญหาเราไม่แก้ส่วนนั้น หลังคารั่ว เราต้องเผาบ้านทั้งหลังทิ้งหรือ

14.ท่านรังเกียจหรือไม่พึงพอใจโครงการจำนำข้าว ที่ทำให้ท่านมีรายได้มากกว่าโครงการรับประกันข้าวถึง 3 เท่า ได้ช่วยชาวนาให้มีรายได้กว่า 3.26 ล้านครอบครัวคุณภาพชีวิตดีขึ้น จริงๆ หรือ

15.ท่านต้องการให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยกเลิกโครงการจำนำข้าวจริงๆ หรือ หรือทุกรัฐบาลจากนี้ไป ห้ามทำโครงการจำนำข้าว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา หรือโครงการในลักษณะแบบนี้อีกต่อไป

"พท.ขออภัยพี่น้องชาวนาตัวจริงที่เดือดร้อนในครั้งนี้ และยืนยันว่าโครงการจำนำข้าวเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชาวนามากกว่าโครงการประกั​นราคาของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แต่เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลเป็นรัฐบาลรักษาการ จึงอาจมีอุปสรรคในการหาเงินมาชำระชาวนา แต่รัฐบาลได้พยายามหาเงินมาชำระให้โดยเร็วที่สุด จึงอยากขอโอกาสและความเห็นใจจากพี่น้องชาวนาทุกท่าน" นายอนุสรณ์กล่าว


ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid=
 
 
 
 
 
 
 
   จาก FB หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)
 


.....ตอนนี้ได้มีขบวนการใส่ร้ายป้ายสีปล่อยข่าวโจมตีมาว่า หลวงปู่กว้านซื้อภูเขา ที่ดินปลูกบ้านหรู บุกรุกป่า ที่เชียงใหม่ ก็ขอชี้แจงให้ทุกท่านทราบกันไปเลยว่าซื้อที่ดินไปทำไม

เนื่องจากหลวงปู่ได้ทำโครงการ "ลูกช่วยพ่อปลูกป่า" โดยการปลูกพันธ์ไม้ยืนต้นตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ เพราะป่าไม้เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญและมีคุณค่าต่อมนุษย์ และต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอเนกอนันต์ และเป็นที่ทราบกันว่า ในปัจจุบันนี้ ป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก ท่านจึงให้มูลนิธิธรรมะอิสระไปสำรวจพื้นที่หาซื้อที่ดินเสื่อมโทรม ที่ถูกบุกรุกทำลายจากกลุ่มนายทุน (ในนามมูลนิธิธรรมอิสระ) เพื่อที่จะปลูกป่าและดูแลรักษา สุดท้ายก็คืนผืนป่ากลับสู่แผ่นดิน.....

 
 
ที่มา http://thaienews.blogspot.com/2014/02/bl..._8229.html
 
 
 


[Image: 15121_1456662357881359_773928058_n.jpg]

[Image: 7778_566015326828554_1770388233_n.jpg]

[Image: Picture111.png]

[Image: Picture112.png]

[Image: Picture113.png]

[Image: Picture114.png]

[Image: Picture116.png]

ที่มา http://www.go6tv.com/2014/02/3_7870.html

[Image: 1920481_826154884064836_1263367525_n.jpg] 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ปลูกป่า ต้อง "ตัดต้นเก่า" ออกก่อนด้วยหรือ
ปลูกป่า ต้อง "ไถพรวน" หน้าดินก่อนด้วยหรือ
ปลูกป่า ต้อง "เผาป่าเก่า" ก่อนด้วยหรือ

จริงๆถ้าจะ "สร้างป่า" แค่  ปล่อยให้ต้นเก่ามันโตแข่งกัน เดี๋ยวเดียวก็ แน่นแล้ว
อย่ามาแถ "สร้างภาพ" นักบุญเลย
 
 ถ้าจะช่วยปลูกป่าจริงๆ เขาจะใช้วิธีเช่าป่าจากกรมป่าไม้เอานะครับ เห็นหลายองค์กรทำกันเพื่อพัฒนาป่า.......................
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 


แดน บีช แบรดลีย์



            วิธีการรักษาคนไข้ที่แพทย์ใช้รักษานั้นมีหลากหลายวิธี  เริ่มจากการใช้สมุนไพร  ยารักษาโรค  การฉีดวัคซีนป้องกัน  หรือแม้กระทั่งใช้วิธี "การผ่าตัด"  หรือที่เรียกกันว่าการแพทย์ด้าน "ศัลยศาสตร์"   ซึ่งเป็นการแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือการผ่าตัดเข้าในร่างกายของผู้ป่วย  เพื่อค้นหาอาการหรือรักษาความผิดปกติของโรคหรืออาการบาดเจ็บ

            การผ่าตัด  นับเป็นวิธีการที่แพทย์ใช้รักษาคนไข้ซึ่งมีวิวัฒนาการมายาวนาน   รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว  มนุษย์รู้จักการผ่าตัดมานานกว่า 6500 ปีแล้ว  โดยมีการค้นพบหลักฐานการใช้เครื่องมือโบราณเพื่อเจาะกระโหลกศีรษะทั้งสองข้างให้เป็นรู  เรียกวิธีการนี้ว่า ทรีแพนนิ่ง (Trepanning)   ซึ่งเชื่อว่าสามารถรักษาโรคทางสมอง เช่น โรคลมชัก ปวดศีรษะ ไมเกรน  และโรคทางจิตเวชได้  โดยมีการขุดพบโครงกระดูกโบราณที่มีการเจาะกระโหลก ทั้งในยุโรป เอเชีย และชาวอินเดียนแดง

            แต่สำหรับประเทศไทยนั้น  เริ่มมีการผ่าตัดทางการแพทย์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 3  โดย หมอบรัดเลย์  แพทย์ชาวอเมริกัน  ซึ่งเรารู้จักกันกันดีในฐานะที่เป็นผู้เริ่มต้นการพิมพ์อักษรไทยในประเทศไทยเป็นครั้งแรก  ซึ่งนอกเหนือจากนี้แล้วหมอบรัดเลย์ยังเป็นผู้เริ่มต้นการผ่าตัดเป็นครั้งแรกขึ้นในประเทศไทยอีกด้วย

            โดยเมื่อ วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2378  หมอบรัดเลย์ได้ทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกที่หน้าผากของผู้ป่วยรายหนึ่งออก  และทีสำคัญคือในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้ยาสลบ  ซึ่งเป็นการผ่าตัดก่อนหน้าที่จะมีการนำเอาอีเทอร์มาใช้เป็นยาสลบในประเทศไทยถึง 13 ปี

             แม้การผ่าตัดในครั้งนั้นจะประสบความสำเร็จและเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในประเทศไทยก็จริง  แต่การผ่าตัดครั้งนั้นนับว่าไม่ได้เป็นที่รู้จักกันมากนัก  เพราการผ่าตัดครั้งสำคัญที่ทำให้คนไทยได้รู้จักกับการแพทย์แผนปัจจุบันนั่นก็คือ  อุบัติเหตุในงานเฉลิมฉลองวัดประยูรวงศ์ศาวาส   ซึ่งเป็นงานใหญ่จึงได้มีการยืมเอาปืนใหญ่มาใช้เพื่อจุดไฟพะเนียง  โดยการเอาโคนกระบอกฝังลงดิน ให้ปลายชี้ขึ้น และอัดดินปืนเข้าไปให้แน่น  เพื่อจะได้กลายเป็นไปพะเนียงที่ยิ่งใหญ่  แต่แล้วพอจุดไฟ ปืนใหญ่ก็แตกออก เพราะอัดดินปืนไว้แน่น สะเก็ดกระบอกปืนปลิวว่อน  ทำให้คนที่อยู่ใกล้ตายทันที 8 คน และมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

            หมอบรัดเลย์และคณะแพทย์มิชชันนารีจึงเดินทางมาเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บ  ซึ่งในเหตุการณ์นั้นได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้รับบาดแผลฉกรรจ์  หมอบรัดเลย์จึงคิดเห็นว่าต้องตัดแขนและขาทิ้ง  ซึ่งคนไทยในสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน  จึงมีความเชื่อว่าหากถูกตัดอวัยวะแขนและขาทิ้งจะทำให้เสียชีวิต

            แต่พระภิกษุรูปนั้นได้ตัดสินใจให้หมอบรัดเลย์ทำการผ่าตัดแขนของตนทิ้ง  ทั้งที่ยังไม่มีการใช้ยาสลบและยาชา  ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้ได้มีผู้คนมาดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นตกใจเป็นจำนวนมาก  ทางด้านหมอบรัดเลย์และคณะมิชชันนารีจึงต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากในการผ่าตัด  เพราะหากทำการผ่าตัดแล้วพระภิกษุเกิดเสียชีวิต  ก็จะทำให้ชาวบ้านหมดศรัทธาและไม่เชื่อถือในการแพทย์แผนปัจจุบัน

            แต่แล้วการผ่าตัดนั้นก็สำเร็จไปได้ด้วยดี  พระภิกษุรูปนั้นมีชีวิตรอดแม้จะต้องเสียแขนข้างหนึ่งไป  ทำให้หมอบรัดเลย์และคณะมิชชันนารีได้รับความยกย่องและนับถือจากคนไทยเป็นจำนวนมาก

            แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีจะวิวัฒนาการก้าวหน้าไปมาก  ทำให้การผ่าตัดในวงการแพทย์สามารถทำได้อย่างสะดวกและปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น  แต่เรายังคงต้องขอบคุณหมอบรัดเลย์  แพทย์ชาวอเมริกันคนนี้ที่นำเทคโนโลยีการผ่าตัดเข้ามาใช้เป็นคนแรกของประเทศไทย  ทำให้คนไทยรู้จักการผ่าตัดและการแพทย์แผนปัจจุบันมากยิ่งขึ้


ที่มา :
http://vcharkarn.com/varticle/57358

 

 

 

 

 

 

                    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ?โรค‘เซลฟี่’โจ๋ไทยเสพติด โพสต์รูปแลกกดไลค์ แฉขาดความมั่นใจ?

 

 

 

   โรค‘เซลฟี่’โจ๋ไทยเสพติด โพสต์รูปแลกกดไลค์ แฉขาดความมั่นใจ

 

 

จาก น.ส.พ เดลินิวส์ 10/2/57

 

ถ่ายรูปตัวเองโพสต์แลกกดไลค์ แสดงความคิดเห็น จิตแพทย์ระบุควรทำแค่บางโอกาส มากไปเป็นสัญญาณเตือนถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง อาจส่งผลถึงอนาคตกลายเป็นคนโลเล ชอบจับผิดคนอื่น ขี้อิจฉา

 

 

วานนี้ (9ก.พ.) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้คนทั่วโลกนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำรวจการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในปี 2556 พบว่า ทั่วโลกมีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ใช้งานอินสตาแกรมมากกว่า 1 ร้อยล้านคนต่อเดือน ส่วนในประเทศไทยพบว่ามีประชาชน ใช้เฟซบุ๊กถึง 19 ล้านคน ใช้อินสตาแกรม ถึง 8 แสนคนต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นเดือนละ 10 ล้านคน

 

พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า เรื่องที่น่าห่วงขณะนี้ พบว่าประชาชนทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะวัยรุ่นนักเรียน นักศึกษา นิยมพฤติกรรมที่เรียกว่า เซลฟี่ (selfie) กันมาก คือถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ แล้วนำไปเผยแพร่บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน หรือกินอะไร เพื่อให้เพื่อนในสังคมออนไลน์ทั้งที่รู้จักจริง และรู้จักในสังคมออนไลน์ได้รับรู้มากดไลค์ (Like) ถูกใจในรูปภาพ พฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และส่งผลต่ออนาคต การงาน และการพัฒนาประเทศอย่างคาดไม่ถึง

 

“เซลฟี่ จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การลงรูปเพราะอยากได้การตอบรับจากสังคม และการได้ยอดกดไลค์ ถือว่าเป็นรางวัล ซึ่งเป็นหลักปกติของมนุษย์ทั่วไป ถ้าอะไรที่ทำแล้วได้รางวัลก็จะทำซ้ำแต่ว่ารางวัลของแต่ละบุคคลมีผลกระทบต่อความรู้สึกไม่เท่ากันบางคนลงรูปไปแล้วได้แค่สองไลค์เขาก็มีความสุขแล้วเพราะถือว่าพอแล้ว แต่บางคนต้องให้มียอดคนกดไลค์มาก ๆ พอมากแล้วก็ยิ่งติดเพราะถือว่าเป็นรางวัล ในทางตรงกันข้ามหากได้รับการตอบรับน้อยไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ ทำใหม่แล้วก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจะส่งผลต่อความคิดของตัวเอง บุคคลนั้นสูญเสียความมั่นใจและส่งผลต่อทัศนคติด้านลบของตัวเองได้ เช่น ไม่ชอบตัวเอง ไม่พอใจรูปลักษณ์ตัวเอง แต่หากบุคคลนั้นสามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้เป็นปกติได้ เซลฟี่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต” พญ.พรรณพิมล กล่าว

 

พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า นักจิตวิทยาในสหรัฐอเมริกาได้ให้ข้อคิดว่า เซลฟี่ สามารถกัดกร่อนความมั่นใจความภาคภูมิใจในตัวเองได้ หากถ่ายรูปตัวเองเผยแพร่บนโลกออนไลน์เป็นบางโอกาส ถือเป็นการมีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์ แต่หากมากไปและคาดหวังจดจ่อว่าจะมีใครเข้าดู เข้ามาแสดงความคิดเห็น แสดงว่าเซลฟี่กำลังสร้างปัญหา และเป็นสัญญาณหนึ่งบอกถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง ล่าสุดสาธารณสุขประเทศอังกฤษได้ออกมาประกาศว่า อาการเสพติดโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง ในแต่ละปีมีชาวอังกฤษเข้ารับการบำบัดมาก กว่า 100 ราย

 

พญ.พรรณพิมล กล่าวอีกว่า ความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคน เพราะจะทำให้คนพอใจในตัวเอง มีความสุข มีสมาธิ ไม่กังวล ไม่โหยหาความรักและความสนใจจากคนอื่น ๆ กล้าทำในสิ่งใหม่ที่เหมาะสม มีความเป็นผู้นำกล้าเผชิญความจริง มีบุคลิกภาพดีเป็นมิตรกับคนทุกคน หากขาดความมั่นใจในตนเองแล้วจะเกิดความกังวล ลังเล ชีวิตไม่มีความสุข เมื่อมีความคิดสะสมไปเรื่อย ๆ อาจมีความผิดปกติทางจิตใจอารมณ์ได้ง่าย เช่น หวาดกลัวหวาดระแวง เครียดอิจฉา ชอบจับผิดคนอื่น ซึมเศร้า อาจทำพฤติกรรมแปลก ๆ มีลักษณะตรงข้ามกับความมั่นใจตัวเอง เช่น การแต่งกาย การใช้คำพูด หรือประชดชีวิต เช่น ดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด เป็นต้น

 

รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวด้วยว่าหากเยาวชนไทยเป็นผู้ที่ขาดความมั่นใจ จะทำให้ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ในชีวิต มักทำตามคนอื่น เป็นผู้ลอกเลียนแบบ หรือทำซ้ำ ๆ ในสิ่งที่ทำมาแล้ว พัฒนาตนเองยาก มีผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ทำให้จำนวนผู้นำน้อยลง ครอบครัวขาดเสาหลักที่มั่นคง โอกาสการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เป็นไปได้ยากขึ้น ส่วนวิธีป้องกันการเสพติดเซลฟี่ และการสร้างความมั่นใจตัวเองบนโลกความเป็นจริง ต้องให้ความสำคัญกับคนรอบข้างที่เป็นสิ่งแวดล้อมจริงในชีวิตประจำวัน หากิจกรรมยามว่างทำกับคนในครอบครัว เพื่อน ๆ เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง และข้อสำคัญให้ยอมรับในความแตกต่างของคน ที่ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน และที่สำคัญต้องฝึกความอดทนให้กับตัวเอง เพราะการถ่ายเซลฟี่ไม่สามารถที่จะทำได้ตลอดเวลา ครั้งไหนที่ทำไม่ได้ต้องยอมฝืนใจที่จะไม่ทำ หากผ่านจุดนั้นไปได้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ก็จะสามารถควบคุมพฤติกรรมการถ่ายเซลฟี่ได้เช่นกัน.

 

 

 

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 [Image: 1616621_830581010300953_137076908_n.jpg?...3fe324c966] 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เรี่ยไรเงินจากม๊อบเพื่อช่วยชาวนา แต่ขัดขวางธนาคารไม่ให้ปล่อยกู้ให้เงินชาวนา เล่นอะไรกันอยู่

 
 
 
 
 
ทีแรกเข้าใจว่ามีเจตนาดี  ที่รวมเงินเพื่อให้ชาวนา

แต่กลับล้อม ธกส กรุงไทย ออมสิน เพื่อให้ไม่มีเงินจ่ายค่าข้าวให้ชาวนา

เล่นอะไรกันครับ เอาความเดือดร้อนของชาวนามาเล่น

อันนี้ไม่สนับสนุนครับ

 

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                           ชาเขียวเย็นอันตราย

 

 

 


 

 

 

 

ชาเขียวร้อนเป็นคุณ ชาเขียวเย็นเป็นโทษ!! คุณเชื่อมั้ย? แม้ว่าการดื่มชาจะไม่ใช่วัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทย แต่ในยุคหลังๆมานี้คนไทยเราเริ่มนิยมจิบชากันมากขึ้น โดยเฉพาะชาเขียวที่ขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเรียกได้ว่าญี่ปุ่นเค้าเป็นเจ้าทางด้านนี้ เพราะรู้จักรสชาติและคุณค่าของชาเขียวมานับ 100 ปี ด้วยญี่ปุ่นเป็นเมืองหนาว เขาก็มักจิบชาเขียวอุ่นๆกันส่วนไทยเราร้อนตับจะแล่บ เลยซดชาเขียวเย็นกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ทว่า...ประโยชน์และโทษที่จะได้รับนั้นมันต่างกันสุดขั้วเลยทีเดียว

ชาเขียว มีคุณสมบัติลดและต้านอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายของคน โดยจะขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่แต่คนไทยส่วนมากด้วยความที่ไม่รู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียว เลยทำให้คิดเอาเองว่าแค่ดื่มชาเขียวก็ได้ประโยชน์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้อนหรือเย็นก็ตาม แต่เห็นทีคราวนี้ต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่แล้วล่ะครับ

ชาเขียวมีประโยชน์มากมายยังไง ก็ย่อมมีโทษเช่นกัน เนื่องจากชาเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่มันร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกัน หากดื่มชาเขียวตอนที่มันเย็นแล้วจะทำให้เกิดโทษ เนื่องจากชาเขียวเย็นไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกาย แล้วยังทำให้สารพิษเกาะตัวกันแน่น อันเป็นสาเหตุของ "มะเร็ง" อีกต่างหาก

อีกทั้ง ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และไปอุดตันตามผนังลำไส้ อันเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้าย เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ เป็นต้น

หากยังไม่เชื่อกันล่ะก็ ลองทดสอบดูก็ได้ค่ะ แค่นำชาเขียวแช่เย็นเทใส่ชามก๊วยเตี๊ยว คุณจะเห็นว่าแป๊บเดียวมีคราบไขมันลอยเด่นบนน้ำก๊วยเตี๊ยว หรือเกาะเป็นคราบที่ชาม เหอๆ แล้วนึกสภาพหากเราดื่มเข้าไปในร่างกายเราล่ะ??!!

 

 

 

                       ระวังกาเเฟลดน้ำหนัก

 

ผู้หญิง กับความสวยงามเป็นของคู่กัน จะด้วยหน้าตาที่สวยงาม หรือรูปร่างที่สมส่วนต่างเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ หากมีคุณสมบัติตามที่กล่าวมาข้างต้นไม่ครบก็ต้องดิ้นรนหาทางเพิ่มเติมในส่วนที่สึกหรอ หรือไม่สมบูรณ์ หรือไม่พึงพอใจ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกวิธีทาน หรือวิธีฉีด ก็จะเลือกตามความพึงพอใจ และจำนวนเงินในกระเป๋า

จากการสอบถามคนใกล้ๆตัว มักให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านิยมวิธีทานกาแฟลดน้ำหนัก เนื่องจากราคาไม่แพง และหากเริ่มมีอาการผิดปกติ ก็เลือกที่จะไม่ทานต่อได้ ที่เห็นเป็นที่นิยมทานกันจนเกร่อในขณะนี้

ทุกวันนี้ ดื่มกันจนนิยมไปทั่วประเทศและลามถึงขั้นส่งไปต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป อีกด้วย แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ กาแฟลดความอ้วนที่ว่านี้ สหภาพยุโรปตรวจพบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นสารต้องห้ามในกาแฟลดความอ้วนที่ส่งไปจากไทยทางพัสดุไปรษณีย์ถึง 9 ครั้ง (ก.ย.? ธ.ค.2555)

ในช่วง 4 เดือน ตรวจพบสารต้องห้ามทั้งหมด 9 ครั้ง เกิดอะไรขึ้น ผู้ผลิตไม่รู้ถึงอันตราย หรือจงใจผสมเข้าไปเพื่อหวังผลในการโฆษณาชวนเชื่อ  ถ้ายังไม่รู้บอกตรงนี้เลยว่า สารไซบูทรามีน (Sibutramine) เป็นสารควบคุมพิเศษที่ห้ามซื้อขายในร้านขายยาโดยไม่มีใบสั่งของแพทย์ อีกทั้งเป็นสารต้องห้ามทั้งในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เม็กซิโก รวมถึงประเทศไทย เพราะจัดว่าเป็นสารอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

วันนี้ ขอเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อผู้ขายง่ายๆ ว่ากาแฟจะช่วยลดความอ้วนได้ เพราะส่วนใหญ่ล้วนใส่สารลดความอ้วน ไซบูทรามีน (Sibutramine) ที่มีผลข้างเคียงสูง เช่น ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็ว แม้จะไม่มากแต่มีผลให้ต้องหยุดบริโภค และอาจมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และเบื่ออาหาร  ทางที่ดีหากต้องการลดน้ำหนัก ควรควบคุมการทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย ร่างกายแข็งแรง และสวยสมส่วน

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/55344.html

 

 

 

 

 

 

 

 

             

 

 

 

 

 

 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:54:32 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>