โปรเจคลับ "ฟิลลาเดเฟีย" การเดินทางข้ามเวลา
ชูวิทย์"เผยจุดที่ม็อบไม่ยอมไปปิด
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์การเมืองล่าสุดว่า
ที่ม็อบไม่ยอมไปปิด
กลยุทธ์ปิดล้อมของม็อบ กปปส. เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ นึกอยากจะไปปิดที่ไหนก็ไป โดยไม่มีแผนการณ์รองรับและต่อเนื่อง วันก่อนไปปิด "กรมชลประทาน" สั่งให้ข้าราชการทุกคนออกมาจากตึก แล้วคล้องโซ่ปิดประตู ไม่ยอมให้ใครทำงาน
แล้วบรรดาเกษตรกรชาวนาจะไปเอาน้ำที่ไหน? ใครจะเป็นคนวางแผนให้? เพราะกรมชลประทานมีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมวางแผนจัดสรรน้ำให้กับเกษตรกรทั้งประเทศ คุณคิดว่าทำอย่างนี้ฉลาดหรือโง่? เท่ากับทำร้ายเกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไหนบอกว่าเห็นใจชาวนา อย่างนี้เท่ากับไปฆ่าชาวนาชัดๆ
แกนนำประกาศทุกวี่ทุกวัน “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” แต่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที เพราะไปปิดสารพัดที่ ไม่ว่ากระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ เลยเถิดไปถึงกรมการกงสุล สถานที่ทำพาสปอร์ต ไปทำร้ายประชาชนให้เดือดร้อนเข้าไปอีก
ไม่เห็นรัฐบาลจะ “เดือดเนื้อร้อนใจ” ตรงไหน แต่เกษตรกรยันประชาชนเขาเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า
สถานที่เดียว ที่ม็อบไม่เคยไปแตะต้อง อันเป็นหัวใจของการชัตดาวน์กรุงเทพฯคือ “ศาลาว่าการกทม.” ที่เสาชิงช้า อู่ข้าวอู่น้ำของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นที่ที่คุณสุขุมพันธ์พรรคประชาธิปัตย์ ดำรงค์ตำแหน่งผู้ว่าฯอยู่ ไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทย จึงไม่เคยไปปิด สั่งให้ราชการออก เอาโซ่ไปคล้อง เป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง เล่นการเมืองแบ่งพรรคแบ่งพวก ฝั่งไหนเป็นประโยชน์กับพรรคตัวเองไม่แตะต้อง ฝั่งไหนเป็นของพรรคตรงข้ามก็ตามย่ำยี
ปากบอกจะหานายกฯคนกลางมาปฏิรูป ทำแบบนี้จะปฏิรูปไหวหรือ? เห็นชัดๆว่าปกป้องแต่ผลประโยชน์ของพรรคตัวเอง คนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ดูหมากการเมืองไม่ออก ต้องให้ชูวิทย์มาบอก
ส่วนที่ม็อบประกาศให้ตำรวจเร่งจับคนยิง ปาระเบิดทำร้ายม็อบ แต่ระเบิดที่ "บรรทัดทอง" ผู้ชุมนุมตายไปหนึ่ง นายประคอง ชูจันทร์ กลับทำเฉย แรกๆตรวจพบห้องพักในตึกร้าง บอกว่าเป็นคลังอาวุธ แต่ดันเป็นเจ้าหน้าที่เทศกิจ เลยปล่อยจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย เพราะเกี่ยวข้องกับ กทม. เลยเว้นวรรคให้ ไม่สนใจติดตามเพราะกลัวจะเข้าตัว
แล้วยังมีเรื่อง "ถุงทราย" ที่กทม.อ้างว่าเอาไว้ป้องกันน้ำท่วม ทำไปทำมา กลายเป็นว่าเอาไปให้ม็อบ คปท. ใช้ล้อมทำเนียบรัฐบาล ให้มันได้แบบนี้สิครับ ม็อบ กปปส. หรือ ม็อบ คปท. ควรจะเรียกว่า ม็อบ กทม. สนับสนุนกันชัดๆไปเลย ไม่ต้องปากว่าตาขยิบ
มันเป็นเรื่องของการแย่งชิง "อำนาจการเมือง" ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ปากเป่านกหวีด ตาลอยละห้อย เหมือนต้องมนต์หมอผีพ่นคาถา เป่ากระหม่อมทุกค่ำคืน โดยไม่สนว่าประชาชนที่ไหนจะเดือดร้อน
ธาตุแท้ของนักการเมืองที่ลาออกเฉพาะชื่อ แต่ในใจยังสิงสถิตย์ทำประโยชน์ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ อะไรที่เป็นประโยชน์ ยินยอมพร้อมใจถวายหัวทำให้ ส่วนอะไรที่เป็นของพรรคตรงข้าม ต้องทำลายกันเสียให้ยับเยินป่นปี้
ม็อบนอนกันข้างถนน กินข้าวกล่อง ส่วนบรรดาแกนนำนอนอินเตอร์คอนฯ กับ ดุสิตธานี กินบุฟเฟ่ต์หลากชนิด
หากยังไม่รู้ก็รู้ไว้เสียด้วย บรรดาหมอ วิศวะ ดารา ประชาชน ทั้งนายทุนท่อน้ำเลี้ยง ช่วยตื่นจากภวังค์ เอานกหวีดออกจากปาก แล้วจะรู้ว่าถูกนักการเมืองหลอกใช้ มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาการเมือง ผลประโยชน์ของพรรคตัวเองแท้ๆ
′การ์ด กปปส.-กปค.′ ทะเลาะวุ่น ถึงขั้นวางมวย ต้องหย่าศึกโกลาหล เสวนาปฏิรูปพลังงานหวิดล่ม
เสวนาปฏิรูปพลังงาน กปปส.หวิดล่ม หลัง ′กปค.′ ขอร่วมวงด้วยแต่การ์ดไม่อนุญาตอ้างต้องมีรายชื่อเท่านั้น ปั่นป่วนจนถึงขั้นลงมือชกต่อยกัน
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กปปส.ได้จัดเสวนาสานพลังสู่การปฏิรูปในหัวข้อ “การปฏิรูปด้านพลังงาน โดยเชิญนักวิชาการด้านพลังงานเข้าร่วม อาทิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายสรรเสริญ สมะลาภา น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ นางอาณิก อัมระนันท์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา พร้อมด้วย นพ.ระวีมาศ ฉมาดล และตัวแทนกองทัพประชาชนและเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.) ซึ่งชุมนุมที่บริเวณหน้ากระทรวงพลังงาน จำนวนกว่า 50 คน ได้เดินมาร่วมการเสวนาด้วย
แต่ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นที่หน้าห้องประชุม มีการประทะกันระหว่างการ์ด กปปส. กับกลุ่ม กคป. เนื่องจากตัวแทน กปค.จะขอเข้าร่วมฟังการเสวนาด้วย แต่การ์ด กปปส.ไม่อนุญาตโดยอ้างว่าจะให้เฉพาะผู้ที่มีรายชื่อรับเชิญเท่านั้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ กลุ่ม กคป.ที่ระบุว่าพวกตนก็มีข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานต้องการนำเสนอด้วย พยายามดึงดันจะเข้าห้องประชุม แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ผู้ชุมนุมโวยวายเป็นการปิดกั้นประชาชน ถ้าทำแบบนี้ก็ปฏิรูปด้านอื่นไม่ได้ ขอให้ไปเรียกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ มาคุยกัน
จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการโต้เถียงผลักดันกันอย่างมีอารมณ์ ถึงขั้นชกต่อยกันนานกว่า 5 นาที ทำให้หลายคนได้ห้ามปรามจนในที่สุดห้องเสวนาต้องยุติลง และต้องเปิดห้องประชุมใหญ่เพื่อให้กลุ่ม กคป.ได้เข้าร่วมประชุมด้วยทุกคนโดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังด้วย
ขอทานให้ชาวนา ได้วันละ 10 กว่าล้าน จริงหรือ ??
วันละ 10 กว่าล้านนี่มันต้องเดินรับเงินกันแค่ไหนหว่า
กรรมกรคนจนแบบผมชักงง.
เงิน 10 ล้านนี่ ถ้าเป็นแบงค์ 1000 ทั้งหมด ก็คือหนัก 10 กิโลหล่ะครับ
แต่ถ้ามีทั้งแบงค์ 20 แบงค์ 100 แบงค์ 500 บาทด้วยมันก้อคงเบ้อเร่อเท่า
มาดูกรรมวิธีการรับเงินของ ขอทานจอมตรอแหลคนนี้กันดูครับ
หากเดินรับกันแบบนี้ 10 ล้านบาทคือแบงค์พันล้วน ๆ หมื่นใบ
หากเอามาเชื่อมต่อกัน โดยแบงค์พัน 1 ใบจะยาวราว ๆ 16.5 cm
จะได้ระยะทาง ทั้งสิ้น 1,650 เมตรครับ แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบงค์พันลวน ๆ และไม่ได้เชื่อมต่อกันแบบนี้
ถ้าเราลองอิมเมจตามความเป็นจริงจากภาพที่เราเห็น
กับภาพที่สร้างไว้ ถ้าตีตัวเลขกลม ๆ โดยการประมาณการว่า
ให้ราคาแบบเทพ ๆ เลนว่า เดิน 1 นาที ได้เงินบริจาก 1000 บาท
และเช่นเดิม สมมุติได้แบงค์ 1000 มาล้วน ๆ
ดังนั้น 10 ล้านบาท จะต้องได้แบงค์ 1000 บาท มา 1 หมื่นใบครับ
คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 1 หมื่น นาทีในการเดินรับตังส์
คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 167 ชั่วโมงในการเดินรับตังส์
คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 6.9 วันในการเดินรับตังส์แบบ มาราทอนไม่ต้องหลับต้องนอน 555++
เอาไงดีล่ะ ใครหลอกใครล่ะเนี่ย 555+
เครดิต http://thaienews.blogspot.com/
′อนุสรณ์′ถามม็อบชาวนา 15 ข้อ ก่อนยกระดับปิดคลังข้าว
วิธีการรักษาคนไข้ที่แพทย์ใช้รักษานั้นมีหลากหลายวิธี เริ่มจากการใช้สมุนไพร ยารักษาโรค การฉีดวัคซีนป้องกัน หรือแม้กระทั่งใช้วิธี "การผ่าตัด" หรือที่เรียกกันว่าการแพทย์ด้าน "ศัลยศาสตร์" ซึ่งเป็นการแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือการผ่าตัดเข้าในร่างกายของผู้ป่วย เพื่อค้นหาอาการหรือรักษาความผิดปกติของโรคหรืออาการบาดเจ็บ
การผ่าตัด นับเป็นวิธีการที่แพทย์ใช้รักษาคนไข้ซึ่งมีวิวัฒนาการมายาวนาน รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว มนุษย์รู้จักการผ่าตัดมานานกว่า 6500 ปีแล้ว โดยมีการค้นพบหลักฐานการใช้เครื่องมือโบราณเพื่อเจาะกระโหลกศีรษะทั้งสองข้างให้เป็นรู เรียกวิธีการนี้ว่า ทรีแพนนิ่ง (Trepanning) ซึ่งเชื่อว่าสามารถรักษาโรคทางสมอง เช่น โรคลมชัก ปวดศีรษะ ไมเกรน และโรคทางจิตเวชได้ โดยมีการขุดพบโครงกระดูกโบราณที่มีการเจาะกระโหลก ทั้งในยุโรป เอเชีย และชาวอินเดียนแดง
แต่สำหรับประเทศไทยนั้น เริ่มมีการผ่าตัดทางการแพทย์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 3 โดย หมอบรัดเลย์ แพทย์ชาวอเมริกัน ซึ่งเรารู้จักกันกันดีในฐานะที่เป็นผู้เริ่มต้นการพิมพ์อักษรไทยในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งนอกเหนือจากนี้แล้วหมอบรัดเลย์ยังเป็นผู้เริ่มต้นการผ่าตัดเป็นครั้งแรกขึ้นในประเทศไทยอีกด้วย
โดยเมื่อ วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2378 หมอบรัดเลย์ได้ทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกที่หน้าผากของผู้ป่วยรายหนึ่งออก และทีสำคัญคือในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้ยาสลบ ซึ่งเป็นการผ่าตัดก่อนหน้าที่จะมีการนำเอาอีเทอร์มาใช้เป็นยาสลบในประเทศไทยถึง 13 ปี
แม้การผ่าตัดในครั้งนั้นจะประสบความสำเร็จและเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในประเทศไทยก็จริง แต่การผ่าตัดครั้งนั้นนับว่าไม่ได้เป็นที่รู้จักกันมากนัก เพราการผ่าตัดครั้งสำคัญที่ทำให้คนไทยได้รู้จักกับการแพทย์แผนปัจจุบันนั่นก็คือ อุบัติเหตุในงานเฉลิมฉลองวัดประยูรวงศ์ศาวาส ซึ่งเป็นงานใหญ่จึงได้มีการยืมเอาปืนใหญ่มาใช้เพื่อจุดไฟพะเนียง โดยการเอาโคนกระบอกฝังลงดิน ให้ปลายชี้ขึ้น และอัดดินปืนเข้าไปให้แน่น เพื่อจะได้กลายเป็นไปพะเนียงที่ยิ่งใหญ่ แต่แล้วพอจุดไฟ ปืนใหญ่ก็แตกออก เพราะอัดดินปืนไว้แน่น สะเก็ดกระบอกปืนปลิวว่อน ทำให้คนที่อยู่ใกล้ตายทันที 8 คน และมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
หมอบรัดเลย์และคณะแพทย์มิชชันนารีจึงเดินทางมาเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บ ซึ่งในเหตุการณ์นั้นได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้รับบาดแผลฉกรรจ์ หมอบรัดเลย์จึงคิดเห็นว่าต้องตัดแขนและขาทิ้ง ซึ่งคนไทยในสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน จึงมีความเชื่อว่าหากถูกตัดอวัยวะแขนและขาทิ้งจะทำให้เสียชีวิต
แต่พระภิกษุรูปนั้นได้ตัดสินใจให้หมอบรัดเลย์ทำการผ่าตัดแขนของตนทิ้ง ทั้งที่ยังไม่มีการใช้ยาสลบและยาชา ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้ได้มีผู้คนมาดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นตกใจเป็นจำนวนมาก ทางด้านหมอบรัดเลย์และคณะมิชชันนารีจึงต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากในการผ่าตัด เพราะหากทำการผ่าตัดแล้วพระภิกษุเกิดเสียชีวิต ก็จะทำให้ชาวบ้านหมดศรัทธาและไม่เชื่อถือในการแพทย์แผนปัจจุบัน
แต่แล้วการผ่าตัดนั้นก็สำเร็จไปได้ด้วยดี พระภิกษุรูปนั้นมีชีวิตรอดแม้จะต้องเสียแขนข้างหนึ่งไป ทำให้หมอบรัดเลย์และคณะมิชชันนารีได้รับความยกย่องและนับถือจากคนไทยเป็นจำนวนมาก
แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีจะวิวัฒนาการก้าวหน้าไปมาก ทำให้การผ่าตัดในวงการแพทย์สามารถทำได้อย่างสะดวกและปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น แต่เรายังคงต้องขอบคุณหมอบรัดเลย์ แพทย์ชาวอเมริกันคนนี้ที่นำเทคโนโลยีการผ่าตัดเข้ามาใช้เป็นคนแรกของประเทศไทย ทำให้คนไทยรู้จักการผ่าตัดและการแพทย์แผนปัจจุบันมากยิ่งขึ้
ที่มา : http://vcharkarn.com/varticle/57358
จาก น.ส.พ เดลินิวส์ 10/2/57
ถ่ายรูปตัวเองโพสต์แลกกดไลค์ แสดงความคิดเห็น จิตแพทย์ระบุควรทำแค่บางโอกาส มากไปเป็นสัญญาณเตือนถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง อาจส่งผลถึงอนาคตกลายเป็นคนโลเล ชอบจับผิดคนอื่น ขี้อิจฉา
วานนี้ (9ก.พ.) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้คนทั่วโลกนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำรวจการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในปี 2556 พบว่า ทั่วโลกมีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ใช้งานอินสตาแกรมมากกว่า 1 ร้อยล้านคนต่อเดือน ส่วนในประเทศไทยพบว่ามีประชาชน ใช้เฟซบุ๊กถึง 19 ล้านคน ใช้อินสตาแกรม ถึง 8 แสนคนต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นเดือนละ 10 ล้านคน
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า เรื่องที่น่าห่วงขณะนี้ พบว่าประชาชนทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะวัยรุ่นนักเรียน นักศึกษา นิยมพฤติกรรมที่เรียกว่า เซลฟี่ (selfie) กันมาก คือถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ แล้วนำไปเผยแพร่บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน หรือกินอะไร เพื่อให้เพื่อนในสังคมออนไลน์ทั้งที่รู้จักจริง และรู้จักในสังคมออนไลน์ได้รับรู้มากดไลค์ (Like) ถูกใจในรูปภาพ พฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และส่งผลต่ออนาคต การงาน และการพัฒนาประเทศอย่างคาดไม่ถึง
“เซลฟี่ จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การลงรูปเพราะอยากได้การตอบรับจากสังคม และการได้ยอดกดไลค์ ถือว่าเป็นรางวัล ซึ่งเป็นหลักปกติของมนุษย์ทั่วไป ถ้าอะไรที่ทำแล้วได้รางวัลก็จะทำซ้ำแต่ว่ารางวัลของแต่ละบุคคลมีผลกระทบต่อความรู้สึกไม่เท่ากันบางคนลงรูปไปแล้วได้แค่สองไลค์เขาก็มีความสุขแล้วเพราะถือว่าพอแล้ว แต่บางคนต้องให้มียอดคนกดไลค์มาก ๆ พอมากแล้วก็ยิ่งติดเพราะถือว่าเป็นรางวัล ในทางตรงกันข้ามหากได้รับการตอบรับน้อยไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ ทำใหม่แล้วก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจะส่งผลต่อความคิดของตัวเอง บุคคลนั้นสูญเสียความมั่นใจและส่งผลต่อทัศนคติด้านลบของตัวเองได้ เช่น ไม่ชอบตัวเอง ไม่พอใจรูปลักษณ์ตัวเอง แต่หากบุคคลนั้นสามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้เป็นปกติได้ เซลฟี่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต” พญ.พรรณพิมล กล่าว
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า นักจิตวิทยาในสหรัฐอเมริกาได้ให้ข้อคิดว่า เซลฟี่ สามารถกัดกร่อนความมั่นใจความภาคภูมิใจในตัวเองได้ หากถ่ายรูปตัวเองเผยแพร่บนโลกออนไลน์เป็นบางโอกาส ถือเป็นการมีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์ แต่หากมากไปและคาดหวังจดจ่อว่าจะมีใครเข้าดู เข้ามาแสดงความคิดเห็น แสดงว่าเซลฟี่กำลังสร้างปัญหา และเป็นสัญญาณหนึ่งบอกถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง ล่าสุดสาธารณสุขประเทศอังกฤษได้ออกมาประกาศว่า อาการเสพติดโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง ในแต่ละปีมีชาวอังกฤษเข้ารับการบำบัดมาก กว่า 100 ราย
พญ.พรรณพิมล กล่าวอีกว่า ความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคน เพราะจะทำให้คนพอใจในตัวเอง มีความสุข มีสมาธิ ไม่กังวล ไม่โหยหาความรักและความสนใจจากคนอื่น ๆ กล้าทำในสิ่งใหม่ที่เหมาะสม มีความเป็นผู้นำกล้าเผชิญความจริง มีบุคลิกภาพดีเป็นมิตรกับคนทุกคน หากขาดความมั่นใจในตนเองแล้วจะเกิดความกังวล ลังเล ชีวิตไม่มีความสุข เมื่อมีความคิดสะสมไปเรื่อย ๆ อาจมีความผิดปกติทางจิตใจอารมณ์ได้ง่าย เช่น หวาดกลัวหวาดระแวง เครียดอิจฉา ชอบจับผิดคนอื่น ซึมเศร้า อาจทำพฤติกรรมแปลก ๆ มีลักษณะตรงข้ามกับความมั่นใจตัวเอง เช่น การแต่งกาย การใช้คำพูด หรือประชดชีวิต เช่น ดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด เป็นต้น
รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวด้วยว่าหากเยาวชนไทยเป็นผู้ที่ขาดความมั่นใจ จะทำให้ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ในชีวิต มักทำตามคนอื่น เป็นผู้ลอกเลียนแบบ หรือทำซ้ำ ๆ ในสิ่งที่ทำมาแล้ว พัฒนาตนเองยาก มีผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ทำให้จำนวนผู้นำน้อยลง ครอบครัวขาดเสาหลักที่มั่นคง โอกาสการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เป็นไปได้ยากขึ้น ส่วนวิธีป้องกันการเสพติดเซลฟี่ และการสร้างความมั่นใจตัวเองบนโลกความเป็นจริง ต้องให้ความสำคัญกับคนรอบข้างที่เป็นสิ่งแวดล้อมจริงในชีวิตประจำวัน หากิจกรรมยามว่างทำกับคนในครอบครัว เพื่อน ๆ เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง และข้อสำคัญให้ยอมรับในความแตกต่างของคน ที่ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน และที่สำคัญต้องฝึกความอดทนให้กับตัวเอง เพราะการถ่ายเซลฟี่ไม่สามารถที่จะทำได้ตลอดเวลา ครั้งไหนที่ทำไม่ได้ต้องยอมฝืนใจที่จะไม่ทำ หากผ่านจุดนั้นไปได้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ก็จะสามารถควบคุมพฤติกรรมการถ่ายเซลฟี่ได้เช่นกัน.
ชาเขียวเย็นอันตราย
ชาเขียวร้อนเป็นคุณ ชาเขียวเย็นเป็นโทษ!! คุณเชื่อมั้ย? แม้ว่าการดื่มชาจะไม่ใช่วัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทย แต่ในยุคหลังๆมานี้คนไทยเราเริ่มนิยมจิบชากันมากขึ้น โดยเฉพาะชาเขียวที่ขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเรียกได้ว่าญี่ปุ่นเค้าเป็นเจ้าทางด้านนี้ เพราะรู้จักรสชาติและคุณค่าของชาเขียวมานับ 100 ปี ด้วยญี่ปุ่นเป็นเมืองหนาว เขาก็มักจิบชาเขียวอุ่นๆกันส่วนไทยเราร้อนตับจะแล่บ เลยซดชาเขียวเย็นกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ทว่า...ประโยชน์และโทษที่จะได้รับนั้นมันต่างกันสุดขั้วเลยทีเดียว
ชาเขียว มีคุณสมบัติลดและต้านอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายของคน โดยจะขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่แต่คนไทยส่วนมากด้วยความที่ไม่รู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียว เลยทำให้คิดเอาเองว่าแค่ดื่มชาเขียวก็ได้ประโยชน์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้อนหรือเย็นก็ตาม แต่เห็นทีคราวนี้ต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่แล้วล่ะครับ
ชาเขียวมีประโยชน์มากมายยังไง ก็ย่อมมีโทษเช่นกัน เนื่องจากชาเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่มันร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกัน หากดื่มชาเขียวตอนที่มันเย็นแล้วจะทำให้เกิดโทษ เนื่องจากชาเขียวเย็นไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกาย แล้วยังทำให้สารพิษเกาะตัวกันแน่น อันเป็นสาเหตุของ "มะเร็ง" อีกต่างหาก
อีกทั้ง ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และไปอุดตันตามผนังลำไส้ อันเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้าย เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ เป็นต้น
หากยังไม่เชื่อกันล่ะก็ ลองทดสอบดูก็ได้ค่ะ แค่นำชาเขียวแช่เย็นเทใส่ชามก๊วยเตี๊ยว คุณจะเห็นว่าแป๊บเดียวมีคราบไขมันลอยเด่นบนน้ำก๊วยเตี๊ยว หรือเกาะเป็นคราบที่ชาม เหอๆ แล้วนึกสภาพหากเราดื่มเข้าไปในร่างกายเราล่ะ??!!
ระวังกาเเฟลดน้ำหนัก
ผู้หญิง กับความสวยงามเป็นของคู่กัน จะด้วยหน้าตาที่สวยงาม หรือรูปร่างที่สมส่วนต่างเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ หากมีคุณสมบัติตามที่กล่าวมาข้างต้นไม่ครบก็ต้องดิ้นรนหาทางเพิ่มเติมในส่วนที่สึกหรอ หรือไม่สมบูรณ์ หรือไม่พึงพอใจ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกวิธีทาน หรือวิธีฉีด ก็จะเลือกตามความพึงพอใจ และจำนวนเงินในกระเป๋า
จากการสอบถามคนใกล้ๆตัว มักให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านิยมวิธีทานกาแฟลดน้ำหนัก เนื่องจากราคาไม่แพง และหากเริ่มมีอาการผิดปกติ ก็เลือกที่จะไม่ทานต่อได้ ที่เห็นเป็นที่นิยมทานกันจนเกร่อในขณะนี้
ทุกวันนี้ ดื่มกันจนนิยมไปทั่วประเทศและลามถึงขั้นส่งไปต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป อีกด้วย แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ กาแฟลดความอ้วนที่ว่านี้ สหภาพยุโรปตรวจพบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นสารต้องห้ามในกาแฟลดความอ้วนที่ส่งไปจากไทยทางพัสดุไปรษณีย์ถึง 9 ครั้ง (ก.ย.? ธ.ค.2555)
ในช่วง 4 เดือน ตรวจพบสารต้องห้ามทั้งหมด 9 ครั้ง เกิดอะไรขึ้น ผู้ผลิตไม่รู้ถึงอันตราย หรือจงใจผสมเข้าไปเพื่อหวังผลในการโฆษณาชวนเชื่อ ถ้ายังไม่รู้บอกตรงนี้เลยว่า สารไซบูทรามีน (Sibutramine) เป็นสารควบคุมพิเศษที่ห้ามซื้อขายในร้านขายยาโดยไม่มีใบสั่งของแพทย์ อีกทั้งเป็นสารต้องห้ามทั้งในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เม็กซิโก รวมถึงประเทศไทย เพราะจัดว่าเป็นสารอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
วันนี้ ขอเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อผู้ขายง่ายๆ ว่ากาแฟจะช่วยลดความอ้วนได้ เพราะส่วนใหญ่ล้วนใส่สารลดความอ้วน ไซบูทรามีน (Sibutramine) ที่มีผลข้างเคียงสูง เช่น ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็ว แม้จะไม่มากแต่มีผลให้ต้องหยุดบริโภค และอาจมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และเบื่ออาหาร ทางที่ดีหากต้องการลดน้ำหนัก ควรควบคุมการทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย ร่างกายแข็งแรง และสวยสมส่วน
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/55344.html
วันที่: Fri Nov 15 17:54:32 ICT 2024
|
|
|