นครไทย : เมืองประวัติศาสตร์
นครไทยที่คุณต้องรู้จัก....
ถ้าอ่านจบแล้วคุณอาจจะยังไม่เข้าใจว่าจะต้องรู้จักนครไทยไปทำไม ผมบอกก่อนจะอ่านก็แล้วกัน (บางทีคุณอาจจะเผลอผ่านเข้ามา) นครไทยเป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางท่าว เจ้าเมืองบางยาง (นครไทย) ปฐมกษัตริย์ของไทย (รู้จักกันดีในพระนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) ใช้เป็นที่รวบรวมไพร่พลไปโจมตีขอมสบาดโขลญลำพงที่ศรีสัชชนาลัยและสุโขทัย พร้อมด้วยสหายศึกและเป็นพระญาติที่ใกล้ชิดคือ พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด (หล่มสัก) สถาปนาสุโขทัยเป็นราชธานี ประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ถึงจะมีใครค้านหรือเห็นเป็นอย่างอื่นก็ตาม แต่หน้าประวัติศาสตร์ของไทยก็เริ่มขึ้นตรงนี้ เราเรียนประวัติศาสตร์กันมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาแล้ว BLOG นี้ จึงไม่ได้เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้จักเมืองในหุบเขาแห่งนี้ในเชิงประวัติศาสตร์ แต่นครไทยก็เป็นเมืองในประวัติศาสตร์ที่สำำคัญยิ่ง ถึงเวลาจะผ่านไปแล้วถึง 700 กว่าปีก็ตาม
อ้าว..เริ่มเลย.............
1.นครไทยสมัยก่อนประวัติศาสตร์
จากหลักฐานทางด้านโบราณคดีได้ปรากฏการตั้งถิ่นฐานและสร้างสรรค์วัฒนธรรมของชุมชนนครไทย ว่าเป็นชุมชนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์โดยในระยะแรกๆ ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ทั่วไปตามเพิงผา ถ้ำ ภูเขาและริมสายธารน้ำ มีการค้นพบเครื่องมือประเภทขวานหินขัด ขวานหินมีด้าม ขวานสำริด และศิลปกรรมที่เด่นคือภาพแกะสลักที่ถ้ำกา เขาช้างล้วง ตำบลนครไทย และที่หน้าผาขีด อำเภอนครไทย ซึ่งเป็นภาพแกะสลัก เป็นลายเส้นและรูปกากบาทพาดกันไปมาบนผนังถ้ำ ซึ่งคล้ายกับภาพแกะสลักที่เทือกเขาภูพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ภาพแกะสลักนี้ได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นภาพแกะสลักของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะ
|
เครื่องมือเครื่องใช้ของผู้คนในยุคโบราณ |
|
รอยขีดเขียนในผนังถ้า้ำกา บนเขาช้างล้วง |
|
เขาช้างล้วงภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของนครไทย |
ชุมชนนี้คงจะมีพัฒนาต่อมา และขยายตั้งเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับชุมชนอื่นและชุมชนในต่างแดน ได้ค้นพบเมืองโบราณนครไทยที่มีลักษณะเป็นดินสูงคล้ายหลังเต่า มีพื้นที่ประมาณ 142 ไร่ มีคูน้ำ 2 ชั้นและคันดิน 3 ชั้น มีเมืองหน้าด่าน 4 เมือง คือ เมืองนครชุม เมืองโคกค่าย (โคกคล้าย) เมืองตานม และเมืองชาติตระการ
จากการขุดค้นทางด้านโบราณคดีของอาจารย์ปราณี แจ่มขุนเทียน เมื่อปี พ.ศ.2527จากหลักฐานที่ค้นพบทำให้สามารถสรุปได้ว่า ชุมชนนครไทยเป็นชุมชนที่มีคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ ราวพุทธศักราช 1711 ซึ่งเป็นระยะก่อนการสถาปนา กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ประมาณ 110 ปี
|
ผังเมืองโบราณของนครไทย |
สมัยเริ่มแรกของชุมชนนี้คงเป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่นัก มีการสร้างบ้านเมืองที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง คนในท้องถิ่นมีอาชีพทำเกษตรกรรม และล่าสัตว์เป็นอาหาร อีกทั้งเลี้ยงสัตว์ประเภท วัว ควายไว้ใช้งานมีการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับชุมชนใกล้เคียง เช่น เมืองศรีสัชนาลัย เพราะพบหลักฐานการใช้ เครื่องปั้นดินเผาเนื้อดินธรรมดา ที่ผลิตจากเมืองศรีสัชชนาลัยในบริเวณนี้ และมีการค้นพบ เครื่องถ้วยเคลือบสีเขียว ในสมัยราชวงค์ซุงและราชวงค์หยวนของจีน ในสมัยนี้มีการนำเครื่องถ้วยตะครันมาใช้ใส่น้ำมันตะเกียง
|
เครื่องปั้นดินเผาในยุคก่อนของนครไทย |
2.นครไทยสมัยสุโขทัย
ชุมชนนครไทย ได้พัฒนาการมีความเจริญระดับชุมชนเมือง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าเมืองนครไทย ได้ปรากฏชื่อครั้งแรกในจารึกวัดมหาธาตุ วัดสระศรี หลักที่ 7 ก, จารึกวัดเขากบหลักที่ 11 และปรากฏชื่อในจารึกหลักที่ 93 ภาษาบาลี ว่า "นครเทยย" นอกจากนั้นยังปรากฎชื่อในจารึกวัดบูรพาราม หลักที่ 286 ด้านที่ 1 ที่กล่าวถึงการขยายอาณาเขตของกษัตริย์สุโขทัยในปีพ.ศ.1939 ว่า
“เบื้องข้างหนอุดร ลุนครไท...” และด้านที่ 2 เป็นภาษาบาลี กล่าวถึง ”ปุพเพ นครเทยยก” จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่านครไทยเป็นเมืองที่ปรากฏชื่ออยู่ในทำเนียบของเมืองอยู่ในอาณา เขตของอาณาจักรสุโขทัยแล้ว โดยมีฐานะเป็นเมืองที่ขึ้นอยู่กับอาณาจักรสุโขทัย
|
อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว ประดิษฐาน ณ วัดกลาง นครไทย
เบื้องหลังคือต้นจำปาขาวที่พระองค์ทรงปลูกเสี่ยงทายไว้
เมื่อ 700 ปีก่อน ปัจจุบันก็ยังคงยืนต้นสวยงามอยู่ |
ในสมัยนี้สภาพการดำเนินชีวิตของชาวนครไทยคงดีพอสมควร เห็นได้จากการค้นพบเศษเครื่องถ้วยในชั้นดิน เป็นเครื่องเคลือบที่มีคุณภาพดีเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ผลิตจากศรีสัชชนาลัยและจากจีนแล้วยังพบเครื่องเคลือบของบุรีรัมย์และอันหนำของเวียดนาม
3.นครไทยสมัยอยุธยา
ในสมัยอยุธยาตอนต้น ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับเมืองนครไทย คือ พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐฯ ว่า “ศักราช 824 มะเมียศก (พ.ศ. 2005) เมืองนครไทยพาเอาครอบครัวหนีไปเมืองน่าน และให้พระยากลาโหมไปตามคืนมาได้ “ จากหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครไทยกับเมืองน่าน ทำให้ในสงครามการสู้รบระหว่างพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนาและพระบรมไตรโลกนาถ และพระเจ้าติโลกราชได้ร่วมมือกับ เจ้าเมืองเชลียงได้นำทัพจากเมืองเชียงใหม่มาปล้นพิษณุโลกและกำแพงเพชร จากสงครามที่เกิดขึ้นเมืองนครไทย คงได้รับผล กระทบจึงได้อพยพครัวหนีภัยสงครามไปเมืองน่าน ทำให้เมืองนครไทยร้างไปช่วงหนึ่ง จนกระทั่งฝ่ายอยุธยาขึ้นไปยึดครองกวาดต้อนกลับมา จึงสร้างเมืองนครไทยใหม่อีกครั้งหนึ่ง ดังที่พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐได้กล่าวว่า ในปี พ.ศ.2020 “แรกตั้งเมืองนครไทย”
นอกจากนี้ยังได้พบหลักฐานที่กล่าวถึงดินแดนนครไทย ในสมัยอยุธยามีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านด้านลาวของกรุงศรีอยุธยา และเป็นดินแดนที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง อาณาจักรลานช้างหรือกรุงศรีสัตตนาคนหุตกับอยุธยา ดังปรากฏหลักฐานของอาณาจักรล้านช้าง ที่กล่าวถึงในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าฟ้างุ้ม ได้มีพระราชสาส์นแบ่งดินแดนกันระหว่างสองอาณาจักร หลักฐานของฝ่ายลาวมีข้อความว่า "เฮาหากแม่นอ้ายน้องกันมา (ตั้งแต่ขุนบุลม(บรม) พุ้นเจ้า(หมายถึงพระเจ้าอู่ทอง)อยากได้บ้านเมืองเอาเขตแดนภูสามเส้า เมื่อเท้าเถิงภูพระยาพ่อแดนเมืองนครไทยพุ้น" นอกจากนี้ เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อยุธยา แสดงให้เห็นถึงสถานภาพของเมืองนครไทย มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านด้านลาวของกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏว่าในปี พ.ศ.2110 พระชัยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุตยกทัพมาตีพิษณุโลก เพื่อปราบพระมหาธรรมราชา ได้ยกกองทัพเข้ามา ทางเมืองนครไทย จึงกล่าวได้ว่าในสมัยอยุธยาเมืองนครไทยคงมีฐานะเป็นเมืองเรื่อยมา
4.นครไทยในสมัยรัตนโกสินทร์
จากจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 เมืองนครไทยมีฐานะเป็นเมืองขึ้นของเมืองพิษณุโลก ที่มีฐานะเป็นหัวเมืองเอกของเมืองฝ่ายเหนือ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เมืองนครไทย ยังคงมีฐานะเป็นเมืองขึ้นของเมืองพิษณุโลกอยู่ ดังปรากฏหลักฐาน ในใบบอกคำรายงานของพระอินทร์คีรีรัตนบุรีปกาสัยเจ้าเมืองนครไทย ได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้ากรมการ นายหมวดนายกอง ขุนหมื่นตัวไพร่ เลขศักคงเมืองนครไทย ทำราชการหัวเมืองขึ้นกับเมืองพระพิศะณุโลกย์"
เมื่อจัดการปกครองรูปแบบเทศาภิบาล มณฑลพิษณุโลกได้จัดตั้งขึ้น ในปี พ.ศ.2433 เมืองนครไทยถูกลดฐานะลงมาเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก และแต่งตั้งนายอำเภอขึ้นเป็นผู้ปกครอง นายอำเภอคนแรกชื่อหลวงพิทักษ์กิจบุรเทศ (เป๋า บุญรัตนพันธ์) มาดำรงตำแหน่งปี พ.ศ.2433–435
จากที่กล่าวมา เมืองนครไทย มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด สาเหตุที่เมืองนครไทย สามารถพัฒนาชุมชนของตนเองจนกลายเป็นเมืองและคงความสำคัญมีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์เรื่อยมา น่าจะมีเหตุผลสืบเนื่องจากปัจจัยที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1.เมืองนครไทย เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าและเส้นทางการเดินทางระหว่างอาณาจักรตอนใน คือ สุโขทัย และอยุธยากับอาณาจักรลานช้างและหัวเมืองต่างๆในลุ่มแม่น้ำโขง โดยนครไทยมีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน
2.นครไทยเป็นแหล่งที่มีสินค้า ซึ่งเป็นที่ต้องการของรัฐสุโขทัยและอยุธยาตลอดจนเมืองอื่นๆ คือ เกลือ และของป่า โดยเฉพาะเกลือ นครไทยมีบ่อเกลือ ซึ่งถือว่าเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิตของคนในอดีต และปัจจุบันนี้ การผลิตเกลือที่ตำบลบ่อโพธิ์ยังคงมีการผลิตกันอยู่
ในด้านประวัติศาสตร์บอกเล่า ชาวนครไทยเชื่อว่า เมืองนครไทย คือเมืองบางยางที่พ่อขุนบางกลางหาวหรือพ่อขุนบางกลางท่าว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงค์พระร่วงมาปกครอง เพื่อซ่องสุมผู้คนและไพร่พล รวบรวมกองทัพให้เข้มแข็ง ก่อนจะไปยึดเมืองสุโขทัย จากความเชื่อดังกล่าวทำให้มีตำนานสถานที่ต่างๆ ของนครไทย ที่เกี่ยวข้องกับชีวประวัติของพ่อขุนบางกลางหาวแห่งกรุงสุโขทัยอยู่หลายเรื่อง
ในหน้าประวัติศาสตร์ยุคสงครามเย็น คือ นครไทยคือพื้นที่สีแดงที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ค.ท.) ใช้พื้นที่ภูหินร่องกล้า เป็นฐานกำลังขนาดใหญ่ซ่องสุมผู้คนต่อสู้อำนาจรัฐบาลไทยในช่วง พ.ศ.2511-2525 มีคนไทยต่างอุดมการณ์ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากในสมรภูมิแห่งนี้ ภายหลังที่การต่อสู้อันนองเลือดสงบลง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ท้องที่ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย ก็กลายเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงในลำดับต้นๆ ของประเทศไทย มีแขกมาเยี่ยมเยียนในฤดูหนาวอย่างล้นหลาม
|
ขออนุญาตเจ้าของภาพนะครับ ภาพนี้ ฮ.ฮวอี้กำลังลำเลียงทหาร
ไปสมรภูมิเขาค้อ ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากภูหิืนร่องกล้ามากนัก |
|
บนสมรภูมิภูหินร่องกล้า มีหลายยุทธการที่ใช้โจมดี ผกค.
ผมชอบใช้คำว่า "นครไทยในยุคสงครามเย็น" ผมว่ามันเท่ห์มาก.....ว่ามั้ย |
|
ต้องขอบคุณเจ้าของภาพมากครับ ที่ให้ผมละเมิดเอาภาพนี้มาลง
ขอให้คิดเสียว่า ยังไงนครไทยมันก็บ้านผมเอง |
แคว้นโยนกเชียงแสน (พ.ศ. 1661 - 1731)
โอรสของพระเจ้า พีล่อโก๊ะ องค์หนึ่ง ชื่อพระเจ้าสิงหนวัติ ได้มาสร้างเมืองใหม่ขึ้นทางใต้ ชื่อเมืองโยนกนาคนคร เมืองดังกล่าวนี้อยู่ในเขตละว้า หรือในแคว้นโยนก เมื่อประมาณปี พ.ศ.1111 เป็นเมืองที่สง่างามของย่านนั้น ในเวลาต่อมาก็ได้รวบรวมเมืองที่อ่อนน้อมตั้งขึ้นเป็นแคว้น ชื่อโยนกเชียงแสน มีอาณาเขตทางทิศเหนือตลอดสิบสองปันนาทางใต้จดแคว้นหริภุญชัย มีกษัตริย์สืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมา จนถึงสมัยพระเจ้าพังคราชจึงได้เสียทีแก่ขอมดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าพังคราช ตกอับอยู่ไม่นานนัก ก็กลับเป็นเอกราชอีกครั้งหนึ่งด้วยพระปรีชาสามารถของพระโอรสองค์น้อย คือ พระเจ้าพรหม ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นนักรบ และมีความกล้าหาญ ได้สร้างสมกำลังผู้คน ฝึกหัดทหารจนชำนิชำนาญ แล้วคิดต่อสู้กับขอม ไม่ยอมส่งส่วยให้ขอม เมื่อขอมยกกองทัพมาปราบปราม ก็ตีกองทัพขอมแตกพ่ายกลับไปและยังได้แผ่อาณาเขตเลยเข้ามาในดินแดนขอม ได้ถึงเมืองเชลียง และตลอดถึงลานนา ลานช้าง แล้วอัญเชิญพระราชบิดา กลับไปครองโยนกนาคนครเดิม แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่าชัยบุรี ส่วนพระองค์เองนั้นลงมาสร้างเมืองใหม่ทางใต้ชื่อเมืองชัยปราการ ให้พระเชษฐา คือ เจ้าทุกขิตราช ดำรงตำแหน่งอุปราช นอกจากนั้นก็สร้างเมืองอื่นๆ เช่น เมืองชัยนารายณ์ นครพางคำ ให้เจ้านายองค์อื่นๆ ปกครอง
เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพังคราช พระเจ้าทุกขิตราช ก็ได้ขึ้นครองเมืองชัยบุรี ส่วนพระเจ้าพรหมและโอรสของพระองค์ก็ได้ครองเมืองชัยปราการต่อมา ในสมัยนั้นขอมกำลังเสื่อมอำนาจ จึงมิได้ยกกำลังมาปราบปราม ฝ่ายไทยนั้น แม้กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็คงยังไม่มีกำลังมากพอที่จะแผ่ขยาย อาณาเขตลงมาทางใต้อีกได้ ดังนั้นอาณาเขตของไทยและขอมจึงประชิดกันเฉยอยู่
เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพรหม กษัตริย์องค์ต่อๆ มาอ่อนแอและหย่อนความสามารถ ซึ่งมิใช่แต่ที่นครชัยปราการเท่านั้น ความเสื่อมได้เป็นไปอย่างทั่วถึงกันยังนครอื่นๆ เช่น ชัยบุรี ชัยนารายณ์ และนครพางคำ ดังนั้นในปี พ.ศ.1731 เมื่อมอญกรีฑาทัพใหญ่มารุกรานอาณาจักรขอมได้ชัยชนะแล้ว ก็ล่วงเลยเข้ามารุกรานอาณาจักรไทยเชียงแสน ขณะนั้นโอรสของพระเจ้าพรหม คือ พระเจ้าชัยศิริ ปกครองเมืองชัยปราการ ไม่สามารถต้านทานศึกมอญได้ จึงจำเป็นต้องเผาเมือง เพื่อมิให้พวกข้าศึกเข้าอาศัย แล้วพากันอพยพลงมาทางใต้ของดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่งมาถึงเมืองร้างแห่งหนึ่งในแขวงเมืองกำแพงเพชร ชื่อเมืองแปป ได้อาศัยอยู่ที่เมืองแปปอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่งเห็นว่าชัยภูมิไม่สู้เหมาะ เพราะอยู่ใกล้ขอม จึงได้อพยพลงมาทางใต้จนถึงเมืองนครปฐมจึงได้พักอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น
ส่วนกองทัพมอญ หลังจากรุกรานเมืองชัยปราการแล้ว ก็ได้ยกล่วงเลยตลอดไปถึงเมืองอื่น ๆ ในแคว้นโยนกเชียงแสน จึงทำให้พระญาติของพระเจ้าชัยศิริ ซึ่งครองเมืองชัยบุรี ต้องอพยพหลบหนีข้าศึกเช่นกัน ปรากฎว่าเมืองชัยบุรีนั้นเกิดน้ำท่วม บรรดาเมืองในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทำลายลงหมดแล้ว พวกมอญเห็นว่าหากเข้าไปตั้งอยู่ก็อาจเสียแรง เสียเวลา และทรัพย์สินเงินทองเพื่อที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่ ดังนั้นพวกมอญจึงยกกองทัพกลับ เป็นเหตุให้แว่นแคว้นนี้ว่างเปล่า ขาดผู้ปกครองอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่ง
ในระหว่างที่ฝ่ายไทย กำลังระส่ำระสายอยู่นี้ เป็นโอกาสให้ขอมซึ่งมีราชธานีอุปราชอยู่ที่เมืองละโว้ ถือสิทธิ์เข้าครองแคว้นโยนก แล้วบังคับให้คนไทยที่ตกค้างอยู่นั้นให้ส่งส่วยให้แก่ขอม ความพินาศของแคว้นโยนกครั้งนี้ ทำให้ชาวไทยต้องอพยพแยกย้ายกันลงมาเป็นสองสายคือ สายของพระเจ้าชัยศิริ อพยพลงมาทางใต้ และได้อาศัยอยู่ชั่วคราวที่เมืองแปปดังกล่าวแล้ว ส่วนสายพวกชัยบุรีได้แยกออกไปทางตะวันออกของสุโขทัย จนมาถึงเมืองนครไทย จึงได้เข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองนั้นด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะสมเพราะเป็นเมืองใหญ่และตั้งอยู่สุดเขตของขอมทางเหนือ ผู้คนในเมืองนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไทย อย่างไรก็ตามในชั้นแรกที่เข้ามาตั้งอยู่นั้น ก็คงต้องยอมขึ้นอยู่กับขอม ซึ่งขณะนั้นยังมีอำนาจอยู่
ในเวลาต่อมาเมื่อคนไทยอพยพลงมาจากน่านเจ้าเป็นจำนวนมาก ทำให้นครไทยมีกำลังผู้คนมากขึ้น ข้างฝ่ายอาณาจักรลานนาหรือโยนกนั้น เมื่อพระเจ้าชัยศิริทิ้งเมืองลงมาทางใต้ แล้วก็เป็นเหตุให้ดินแดนแถบนั้นว่างผู้ปกครองอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในระยะต่อมาชาวไทยที่ค้างการอพยพ อยู่ในเขตนั้นก็ได้รวมตัวกัน ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นหลายแห่งตั้งเป็นอิสระแก่กัน บรรดาหัวเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นที่นับว่าสำคัญ มีอยู่สามเมืองด้วยกัน คือ นครเงินยาง อยู่ทางเหนือ นครพะเยา อยู่ตอนกลาง และเมืองหริภุญไชย อยู่ลงมาทางใต้ ส่วนเมืองนครไทยนั้นด้วยเหตุที่ว่ามีที่ตั้งอยู่ปลายทางการอพยพ และอาศัยที่มีราชวงศ์เชื้อสายโยนกอพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ จึงเป็นที่นิยมของชาวไทยมากกว่าพวกอื่น จึงได้รับยกย่องขึ้นเป็นพ่อเมือง ที่ตั้งของเมืองนครไทยนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับเมืองบางยาง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ มีเมืองขึ้น และเจ้าเมืองมีฐานะเป็นพ่อขุน
เมื่อบรรดาชาวไทย เกิดความคิดที่จะสลัดแอก ของขอมครั้งนี้ บุคคลสำคัญในการนี้ก็คือ พ่อขุนบางกลางท่าว ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดได้ร่วมกำลังกันยกขึ้นไปโจมตีขอม จนได้เมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมไว้ได้ เมื่อปีพ.ศ.1800 การมีชัยชนะของฝ่ายไทยในครั้งนั้น นับว่าเป็นนิมิตหมายเบื้องต้น แห่งความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยและเป็นลางร้ายแห่งความเสื่อมโทรมของขอม เพราะนับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา ขอมก็เสื่อมอำนาจลงทุกที จนในที่สุดก็สิ้นอำนาจไปจากดินแดนละว้าแต่ยังคงมีอำนาจปกครองเหนือลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนใต้อยู่
ต้นจำปาขาว
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Michelia champaca Linn (ข้อมูลฯ คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์)
เมืองบางยาง ซึ่งพ่อขุนบางกลางหาว ได้รวบรวมซ่องสุมไพร่พลแล้ว ร่วมกับ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองลาด(เพชรบูรณ์) ยกทัพไปตีเมือง ศรีสัชนาลัยและเมืองสุโขทัย จากขอม แล้วสถาปนาเป็น "พ่อขุนศรี อินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์ "ราชวงศ์พระร่วง"แห่งอาณาจักรสุโขทัย ขึ้น ทุกวันนี้ ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย ห่างจาก ที่ว่าการ อำเภอนครไทย มีต้นจำปาขาว ซึ่งชาวนครไทย เชื่อกันว่า มีอายุกว่า 700 ปี มีตำนานว่าเป็นต้นไม้ ที่พ่อขุนบางกลางหาว ตั้งสัตยาธิฐานว่า ถ้าตีเมือง สุโขทัยสำเร็จ ขอให้ต้นจำปาขาวไม่ตาย และให้ออกดอก เป็นสีขาว ซึ่งก็เป็นตาม ดั่งคำอธิฐาน
นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระดำรงค์ราชานุภาพ ได้ทรงบันทึก เรื่องราวของต้นจำปาขาวว่า:- "พ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง ทรงปลูกไว้เป็นอนุสรณ์ คู่เมืองของ เมืองนครบางยาง ซึ่งได้ปลูกไว้ที่วัดๆ หนึ่งทางทิศตะวันตกของพระอุโบสถ วัดดังกล่าวนี้ ปัจจุบันก็คือ "วัดกลาง" ดังนั้น จึงประมาณได้ว่า ต้นจำปาขาว ปลูกก่อนปี พ.ศ. 1806 หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล พระธิดาของสมเด็จกรมพระดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จอำเภอนครไทย เมื่อเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2499 ได้ตรัสถามว่า "ต้นจำปาขาว ที่อยู่ทาง ทิศตะวันตก ของพระอุโบสถวัดกลาง ห่าง 7 วา นั้นอยู่ไหม" และได้เสด็จทอดพระเนตรต้น จำปาขาว
ลักษณะต้นจำปาขาว
ต้นจำปาขาว มีความแตกต่างจากต้นจำปาอื่น ๆ คือ
ต้นจำปาทั่วไป จะมีดอกเป็นสีเหลือง แต่จำปาต้นนี้ ออกดอกเป็นสีขาวนวล มีกลิ่นหอมฟุ้ง ทั่วบริเวณ วัดและถ้านำกล้า จำปาขาว ไปปลูกที่อื่นก็จะมีดอกเป็นสีเหลืองเหมือนดอกจำปา ทั่วไป หรือจะ กลายพันธุ์ และเท่าที่ทราบ จากเจ้าคณะตำบลนครไทยหรือเจ้าอาวาสวัดกลาง ว่า ต้นจำปาขาวนั้น ชอบแสงแดด มีลักษณะทั้งต้นและใบจะมีกลิ่นหอมจัด และใบจะมีขน ส่วนจำปา ทั่วไป จะมีกลิ่นดอก สีดอกจำปาบางพันธุ์ จะมีสีเหลืองนวล ทำให้ ้บางคนคิดว่า เป็นจำปาขาว ต้นจำปาขาวได้หน่วยงาน หลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ ได้ทำการทดลองขยายพันธุ์ ในวิธี การต่าง ๆ เช่น เพาะเนื้อเยื่อ ขยายพันธุ์แต่ไม่ได้ ส่วนทางวัดกลาง ศรีพุทธารามและ สำนักงาน เกษตร อำเภอนครไทย ได้เพาะต้นจำปาขาว ด้วยเมล็ดได้ผลเพียง ประมาณร้อยละ 10-20 เท่านั้น ในการเพาะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ถึงจะงอกและต้อง เลี้ยงไว้ประมาณ 1 ปี จึงจะแยกต้นออก มาปลูกได้ ในการปลูกใช้ดินร่วนปนทราย เพื่อเลี้ยงราก ให้งอกออกโดยง่าย ต้องใช้เวลาปลูก ประมาณ 3 ปี โดยประมาณ ลำต้นจะสูงประมาณ 10 เมตร และถึงจะออกดอก สำหรับต้นลูก ที่ทางวัดได้เพาะและ ปลูกไว้บริเวณกุฏิพระมีลักษณะกลายพันธุ์ คือ ดอกจะเล็กกว่าต้นแม่ มีต้นที่อยู่ติดกับต้นแม่เท่านั้น ที่มีลักษณะเหมือนกับต้นแม่ ส่วนต้น จำปาขาว ที่นำไปปลูกที่อื่น ยังไม่ได้ข่าวว่า มีดอก เช่น ที่จังหวัด ระยองยังไม่มีดอก ต้นจำปาขาว หนอนชอบเจาะกิ่ง ต้องตัดออก โดยไม่ใช้ยา สารเคมี และลักษณะพิเศษ ของต้นจำปาขาว อีกอย่างหนึ่งไม่ชอบสิ่งสกปรก เช่น ปุ๋ยหมัก มูลสัตว์ เป็นต้น
การดูแล รักษา และอนุรักษ์ ต้นจำปาขาว
ปัจจุบัน ต้นจำปาขาวที่วัดกลางศรีพุทธาราม มีขนาดใหญ่ ขนาดลำต้น
วัดโดยรอบประมาณ 3 เมตรเศษ สูงประมาณ 9 - 10 เมตร แต่เนื่องจากลำต้นบางส่วนเป็น โพรง ผุกร่อน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 เป็นต้นมา และอำเภอนครไทย ได้แต่งตั้ง คณะกรรมการ อนุรักษ์ต้นจำปาขาว วัดกลาง ศรีพุทธาราม อำเภอนครไทยขึ้น เพื่อให้มีหน้าที่ดูแลรักษา และอนุรักษ์ ขยายพันธุ์ต้นจำปาขาว ปรับปรุง ดูแล จัดทำรั้วล้อมรอบ สถานที่บริเวณต้น จำปาขาว วัดกลาง ให้ดูสวยงาม และป้องกันมิให้คน และสัตว์ เข้าไปทำความ เสียหายกับต้นจำปาขาว, ศึกษา หาวิธีการ และดูแล บำรุงรักษา โพรงของต้น จำปาขาว ให้มีความเจริญงอกงาม ยั่งยืนต่อไป ตลอดจนทำการศึกษา และขยายพันธุ์ ต้นจำปาขาว
ขณะนี้ ยังปรากฎต้นจำปาขาวอยู่ ด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์
พ่อขุนบางกลางหาว ที่วัดกลาง แต่อายุมากและลำต้นผุกร่อน ทรุดโทรม เพราะแก่ต้น จังหวัดพิษณุโลก จึงให้อำเภอนครไทยแต่งตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์ต้นจำปาขาว วัดกลางศรีพุทธารามขึ้น ตามคำสั่งที่ 583/2543 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2542 เพื่อบำรุง ดูแล รักษา อนุรักษ์ และขยายพันธุ์ ต้นจำปาขาว ตามข้อแนะนำ ของส่วนวนวัฒนวิจัย สำนักวิชาการ กรมป่าไม้ แล้วรายงานผลการดูแล รักษาให้จังหวัดทราบ ทุก ๆ ระยะ 2 เดือน
รวบรวมข้อมูลโดย ศักดิ์นิคม ขุนกำแหง ฝ่ายข้อมูลฯสำนักงานจังหวัดพิษณุโลก 1 ธันวาคม พ.ศ.2543
น้ำตาของคนที่ต้องการประชาธิปไตย
Maysa Nitto
14:20น. มีคนมาแจ้งความ "ถูกริดรอนสิทธิ_เลือกตั้งไม่ได้" ที่สน.บางรักแล้วกว่า 300 ราย!
https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/h...2242_n.jpg
Wassana Nanuam
อ่านกันเอาเอง เน้อ!!!!..
ทบ.ออกโรง ยัน ฝ่ายโกตี๋ ก็มีอาวุธยิง แต่ไม่มีสื่อถ่ายภาพได้ เพราะสื่ออยู่ฝั่ง กปปส. ยก ปากคำทหารในที่เกิดเหตุ และ รายงานการสำรวจวิถีกระสุน มาจาก ฝั่ง โกตี๋ ไอที แสควร์ ด้วยเช่นกัน แต่ ทบ.ไม่ระบุว่า ฝ่ายถืออาวุธในภาพที่ปรากฏผ่านสื่อ เป็นการ์ด กปปส. แต่ใช้คำว่า "โดยบังเอิญที่ กลุ่มผู้ใช้อาวุธที่อยู่ทางฝั่งด้านแยกหลักสี่ (ทางฝั่ง กปปส.)"
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษก ทบ. กล่าวว่า หลังการเลือกตั้ง ทหารยังคงเข้มการเฝ้าระวังเหตุ เพื่อป้องกันพยายามมิให้มีเหตุเหมือนที่แยกหลักสี่
ขณะนี้เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้ความเห็นของแต่ละบุคคลเพื่อชี้นำสังคมไปในทิศทางตน จึงขอได้โปรดระมัดระวังเกรงสังคมจะสับสน
อยากให้ขั้นตอนการพิสูจน์ทราบเป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง
รองโฆษก ทบ.กล่าวว่า เหตุปะทะที่หลักสี่ นั้น ทาง ตร.กำลังดำเนินการสืบสวนกรณีที่ทั้งสองกลุ่มใช้อาวุธยิงตอบโต้กัน
"โดยบังเอิญที่ กลุ่มผู้ใช้อาวุธที่อยู่ทางฝั่งด้านแยกหลักสี่ (ทางฝั่ง กปปส.) ทาง.ตำรวจทอาศัยภาพถ่ายที่ได้จากสื่อ ที่ประจำอยู่ตรงบริเวณแยกหลักสี่ใกล้ๆเชิงสะพานกับบริเวณใต้สะพานใกล้ป้อมตำรวจพอดี จึงมีการบันทึกภาพไว้ ทาง ตร.จึงนำมาประกอบเป็นหลักฐานได้แล้วจากทางฝั่งหนึ่ง
ส่วนกลุ่มผู้ใช้อาวุธอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งในพื้นที่หลายคนได้ให้ข้อมูลว่าน่าจะเป็นกลุ่มของนายโกตี๋ ที่รวมอยู่บริเวณหน้าห้างไอทีสแคว์ และบริเวณหน้าวัดหลักสี่ แต่บังเอิญบริเวณพื้นที่นั้นไม่ค่อยมีสื่อฯ หรือ ปชช.คนใดได้มีการบันทึกภาพไว้แล้วนำมาเผยแพร่ จึงอาจต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ เช่นการสอบพยานบุคคลหรือร่องรอยอื่นๆ
"โดยจากการสอบถามข้อมูลของ ปชช.และ จนท.ทหารที่ประจำอยู่บริเวณป้อม ตร. ระบุได้ชัดเจนว่ามีการใช้อาวุธมาจากทางฝั่งหน้าไอทีสแคว์ด้วยเช่นกัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ใช้อาวุธตอบโต้กันไปมา" รองโฆษก ทบ.ระบุ
โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายทาง ผบ.ร. 11รอ.พร้อมด้วย รอง ผบก.น.2 ยังได้ร่วมกันตรวจที่เกิดเหตุพบร่อยรอยการใช้อาวุธมีมาจากหลายทิศทางโดยเฉพาะมีมาจากฝั่งหน้าไอทีสแคว์ด้วยเช่นกัน
จากนี้ไปขออย่าเพิ่งด่วนสรุปขณะที่กระบวนการสืบสวนสอบสวนยังไม่ครบองค์ประกอบ จะต้องมีกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์ก่อน คงจะประเมินโดยอาศัยภาพถ่ายที่เห็นจากทางฝั่งเดียวคงไม่ได้
ขอทุกฝ่ายเชื่อมั่นในตัว จนท.และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อย่าเพิ่งสรุปกล่าวโทษกันไปมา เพราะจะเป็นการขยายเพิ่มเติมความขัดแย้ง" พ.อ.วินธัย กล่าว
หลังเลือกตั้งเสร็จวันนี้ ผลต่อสถานการณ์เป็นอย่างไร?
โดยส่วนตัว ผมว่า ก็ "ยังอยู่ทีเดิม" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และพูดแบบแฟร์ๆ ผมว่า ในส่วนของรัฐบาล ไม่ได้ทำให้ได้เปรียบทางการเมืองอะไรมากขึ้นจากเดิม
เรื่องตัวเลข มีคนลงเทาไร ไม่ได้มีผลสะเทือนอะไรมาก ในแง่ช่วยรัฐบาล
หรือในทางกลับกัน ตัวเลขวามีคนไม่ได้ลงเทาไร หรือไม่ไปใช้สิทธิ์ หรือ โหวตโน เท่าไร ก็ไม่ได้ ช่วยฝ่าย กปปส มากเป็นพิเศษ คือ ผมคิดว่า ตัว...เลขพวกนี้ สุดท้าย ก็ไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์อะไร
และในเมื่อ กว่าจะมีเลือกตั้ง "ล่วงหน้า" รอบสอง ก็คงปลายเดือน รายชื่อ ส.ส. บัญชีรายชื่อ (และจำนวนผู้ลงให้แต่ละพรรค) ก็ยังไม่เป็นทีรู้กันจนปลายเดือน
สรุปแล้ว เลือกเสร็จ ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงในแง่สถานการณ์นัก
มองในส่วนของรัฐบาล ผมคิดว่า โดยเปรียบเทียบแล้ว ยังอยู่ในสถานะลำบากอยู่
(แม้ฝ่าย กปปส ถ้าดูจากทีต้องปิด 2 เวที ก็ลดกระแสลงไปหน่อย - แต่อันนี้ คงไม่ใช่เรื่องการเลือกตั้งโดยตรง - ซึงก็ตรงกับทีผมเคยเดาว่า สุดท้าย กปปส คงต้อง "ลด" จำนวนเวที ลงเหลือเท่าเดิม เหมือนสมัยอยู่ราชดำเนิน เพียงแต่เปลี่ยนจากราชดำเนิน มาเป็นปทุมวัน เท่านั้น)
ผมประเมินว่า ต่อจากนี้ จะเกิดสภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ซึงโดยรวมยังไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลเท่าไร
1. เกิดการล้มเลือกตั้ง โดยศาล รธน. หรือศาลปกครอง ฯลฯ คล้ายๆกับสถานการณ์ปี 2549 ที่มีการเลือกตั้ง 2 เมษา แล้วล้ม (หลัง พระราชดำรัส 25 เมษา)
ต้องเริ่มมีการออก พรฎ เลือกตั้งใหม่ ซึง ประเด็นก็จะกลับมาทีเหมือนตอนยุบสภาใหม่ๆ ว่า ปชป จะลงเลือกตั้งหรือไม่?
ในสภาพเช่นนี้ จะมีแรงกดดันต่อรัฐบาลหนักขึ้น ให้ "ยอมลง" เพื่อให้หลุดจากภาวะทางตัน
2. ไมมีการล้มเลือกตั้งโดยศาล รธน. แต่ขณะเดียวกัน เนือ่งจากการเลือกตั้ง ยังไม่ยุติ จะต้องมีการเลือก "ล่วงหน้า" รอบสอง มีการเลือกซ่อม เขตที่เลือกไมได้ หรือให้คนที่ถูกขัดขวางลงคะแนนวันนี้ไม่ได้ เลือกใหม่ ... กว่าจะเสร็จสิ้น ถ้าสมมุติว่า สามารถ ถูๆไถๆ ไปจนครบ ก็ตกเดือน เมษา อย่างเร็วทีสุด
เช่นเดียวกับกรณีแรก ในระหว่างนี้ ฝ่ายรัฐบาล ก็จะถูกกดดันหนัก ให้ "ยอมลง" เผื่อ "ผ่าทางตัน" เช่นกัน
ทั้ง 2 กรณีนี้ ประเมินแบบดีแล้ว ในแง่ที่ว่า เป็นเรื่อง "แรงกดดัน" ไม่ใช่การทำรัฐประหารโดยตรงของทหาร ซึงยังไงก็ยังยากอยู่
.......
สรุปแล้ว สถานการณ์ไม่ได้เปลียนจากก่อนวันนี้เท่าไร แรงกดดัน ยังอยู่ทีรัฐบาลมากกว่า และความขัดแย้ง ก็ยังไม่ยุติอยู่ดี
ยกเว้นแต่ว่า จะมีปาฐิหารย์ ทั้งสองฝ่าย สามารถหันมาเจรจา และหาทาง "ยอม" กันคนละส่วน เชน่ ทางฝ่ายรัฐบาล อาจจะหมายถึง ยิ่งลักษณ์ลาออก แลกกับ ปชป ลงเลือกตั้งใหม่ (ถ้าเป็นกรณีที่ 1 ข้างบน ว่ามีการล้มเลือกตั้งนี้) อาจจะหมายถึง การตั้งรัฐบาลร่วมชัวครว คือให้คนของ ปชป เข้าไปมีบทบาทรักษาการณ์ร่วมด้วย
*************************************
ซุนยัดเซน บิดาประชาธิปไตยจีน
สิ่งห้ามทำในวันตรุษจีน 2557
โดยกระปุกดอทคอม
วันตรุษจีน 2557 ตรงกับวันที่ 31 มกราคม วันนี้เรรมี 7 คำถามยอดฮิตวันตรุษจีน 2014 มาฝาก
ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่แบบสากลไปแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ซึ่งก็คึกคักไม่แพ้เทศกาลปีใหม่ของชาติไหนเลยล่ะ เพราะลูกหลานแดนมังกรกระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก รวมถึงในประเทศไทยเองก็มีชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก กระปุกดอทคอม ก็เลยหยิบ 7 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีน 2557 ที่หลายคนถามไถ่กันในตอนนี้มาตอบให้ทุกคนได้รู้กัน มาดูกันว่ามีคำถามอะไรบ้าง
1. วันตรุษจีน 2557 ตรงกับวันที่เท่าไหร่ หยุดกี่วัน?
ใครที่กำลังพลิกปฏิทินหาอยู่ล่ะก็ ฟังทางนี้เลยจ้า สำหรับวันตรุษจีน 2557 นี้ ตรงกับวันศุกร์ ที่ 31 มกราคม 2557 นั่นเอง ซึ่งวันตรุษจีนไม่ถือเป็นวันหยุดราชการนะ แต่ตามบริษัทห้างร้านของคนจีนอาจจะอนุญาตให้ลูกจ้างได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ถือเป็นวันหยุดพักผ่อนพิเศษสำหรับคนจีน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบริษัทไหน หรือร้านไหนจะกำหนดให้หยุดได้กี่วัน
2. วันตรุษจีน 2557 วันจ่าย วันไหน?
ตามธรรมเนียมของคนจีนแล้ว วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก จะเป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปหาซื้ออาหาร ผลไม้ เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ มาเตรียมพร้อมไว้ ก่อนที่ร้านค้าต่าง ๆ จะหยุดยาวในช่วงวันตรุษจีน ซึ่งจะตรงกับวันก่อนวันสิ้นปี โดยในปี 2557 นี้ วันจ่าย ก็คือวันพุธ ที่ 29 มกราคม
3. ตรุษจีน 2557 วันไหว้ วันไหน?
วันไหว้ของเทศกาลตรุษจีนก็คือ "วันสิ้นปี" ซึ่งจะเป็นวันที่มีการไหว้เทพเจ้าต่าง ๆ ด้วยอาหาร ผลไม้ เครื่องเซ่นไหว้ ฯลฯ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยในปี 2557 นี้ วันไหว้ตรุษจีน ก็คือ วันพฤหัสบดี ที่ 30 มกราคม
4. วันตรุษจีน 2557 วันเที่ยว วันไหน?
วันเที่ยวสำหรับชาวจีนก็คือ "วันปีใหม่" หรือ "วันตรุษจีน" วันที่ 31 มกราคม นั่นเอง และเป็น "วันถือ" ด้วย โดยในวันนี้ชาวจีนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม พากันออกไปท่องเที่ยว และไปไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ที่เคารพรัก ชาวจีนจะถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งสิริมงคล และงดทำบาปทั้งปวง
5. ตรุษจีน 2557 ควรไหว้อะไร ของไหว้วันตรุษจีน มีอะไรบ้าง?
การเลือกอาหารไหว้ตรุษจีนนั้น ชาวจีนจะเลือกสรรอาหารที่มีความหมายมงคล ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ หรือ เนื้อสัตว์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ของไหว้วันตรุษจีน มักจะประกอบด้วย
- ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์
- เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย
- ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์
- หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้
- ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)
- บะหมี่ยาว หรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว
- เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก
- ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน
- สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย
- หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก
- กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง
- แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ
- สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)
- ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล
- องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน
อย่างไรก็ตามที่ต้องระวังก็คือ "เต้าหู้ขาว" ซึ่งแม้จะเป็นอาหารที่ชาวจีนนิยมรับประทาน แต่ชาวจีนจะไม่นำเต้าหู้ขาวมาใช้เป็นของไหว้ตรุษจีนเด็ดขาด เพราะสีขาวเป็นสีสำหรับงานโศกเศร้า ไม่เหมาะกับวันตรุษจีนซึ่งเป็นวันมงคล
นอกจากอาหารคาว และผลไม้แล้ว ชาวจีนก็ยังนิยมเลือกขนมหวานมาไหว้ตรุษจีนด้วย โดยขนมหวานที่เราพบเห็นได้บ่อยในการไหว้ตรุษจีน ก็คือ
- ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์
- ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์
- ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต
- ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู
- ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู
- ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค
- จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป
6. ข้อห้ามวันตรุษจีน วันตรุษจีนห้ามทำอะไรบ้าง?
ชาวไทยเชื้อสายจีนในหลาย ๆ บ้านที่เคร่งครัดธรรมเนียมปฏิบัติมาก ๆ จะยึดคติความเชื่อบางอย่างที่จะไม่ทำกันในวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ดังเช่น
- ไม่ทำงานบ้าน ไม่จับไม้กวาด ไม่ทำความสะอาด เช่น การซักล้าง หรือ การกวาดบ้านปัดฝุ่น เพราะเชื่อว่าการปัดกวาด ซักล้างนี้เป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป ดังนั้น คนจีนมักจะทำความสะอาดบ้านตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึง
- ไม่สระผม คนจีนถือว่าการสระผมเป็นการชะล้างความโชคดีที่จะมาถึงในช่วงวันขึ้นปีใหม่ จึงจะไม่สระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่
- ไม่ใช้ของมีคม ไม่ว่าจะเป็นมีด, กรรไกร, ที่ตัดเล็บ เพราะเหมือนกับว่าเป็นการตัดสิ่งที่ดี หรืออนาคตที่ดีที่จะนำมาในวันขึ้นปีใหม่
- หลีกเลี่ยงการโต้เถียง ไม่พูดคำที่มีความหมายในทางลบ เช่น คำที่มีความหมายไม่ดี คำที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือความตาย เพราะถือว่าไม่เป็นสิริมงคล นอกจากนี้ชาวจีนยังหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีกไป
- ห้ามซุ่มซ่าม ชาวจีนถือว่าการเดินสะดุด หรือทำสิ่งของตกแตกในช่วงวันขึ้นปีใหม่ หมายถึงการงานสะดุด และนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต
7. ตัวอย่าง คําอวยพรตรุษจีน มีอะไรบ้าง?
ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้เราคงได้ยินคำอวยพรที่ว่า "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" กันจนเบื่อ เลยอยากจดจำประโยคใหม่ ๆ ไว้ใช้อวยพรคนอื่นเขาบ้าง เอ้า...งั้นลองมาดูประโยคตัวอย่างต่อไปนี้แล้วจำไปพูดกันเลยจ้า
- ซินเหนียนไคว่เล่อ ... ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่
- กงเฮ่อซินเหนียน ... สุขสันต์วันปีใหม่
- ต้าจี๋ต้าลี่ ... ค้าขายได้กำไร
- เจาไฉจิ้นเป่า ... เงินทองไหลมาเทมา ทรัพย์สมบัติไหลเข้าบ้าน
- จินอวี้หม่านถัง ... ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้าน
- ไฉหยวนกว่างจิ้น ... เงินทองไหลมาเทมา
- เหนียนเหนียนโหย่วอวี๋ ... เหลือกินเหลือใช้ทุกปี
- ฝูโซ่วว่านว่านเหนียน ... อายุยืนหมื่น ๆ ปี
- หลงหม่าจินเสิน ... สุขภาพแข็งแรง
- ห่าวยวิ่นเหนียนเหนียน ...โชคดีตลอดไป
เหตุเกิดที่ฐานทัพเรือสัตหีบ “ปูเน่า”บังอาจตีตนเสมอเจ้า
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน |
28 มกราคม 2557 21:29 น. |
**พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กลายเป็นสุภาพบุรุษนักรบทหารเรือไปชั่วข้ามคืน หลังออกมาแสดงความเห็นจุดยืนที่โดนใจและถูกใจประชาชนที่รักประเทศชาติบ้านเมือง
ก่อนหน้านี้ถูกตั้งข้อสงสัยจากหลายฝ่ายเมื่อมีทหารเรือใต้บังคับบัญชากลายเป็นผู้ต้องสงสัย เป็นมือวางระเบิดใส่กลุ่ม กปปส. แต่ในฐานะผู้บังคับบัญชาพล.ร.ต.วินัย แอ่นอกรับและการันตีว่า เป็นเพียงการไปปฏิบัติภารกิจติดตามแก้ปัญหายาเสพติด
ย้ำว่าไม่เคยต้องการให้ประชาชนฆ่ากัน เพราะประชาชนก็เป็นเหมือนนายของพวกตน เนื่องจากทหารเรือกินเงินภาษีประชาชน
"ผมยืนยันว่า ทหารเรือเป็นทหารของชาติ ของในหลวง และของประชาชน เราจะไม่ฆ่าคนไทยถึงแม้เขาจะคิดต่าง แต่การที่เอากำลังต่างชาติมาฆ่าคนไทย เมื่อปี พ.ศ.2553 นั้น เป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้ ซึ่งการกระทำครั้งนี้หน่วยก็มีหลักฐานแน่ชัด ที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของหน่วยถือเป็นชั้นความลับสุดยอด ลับถึงขั้นต้องให้ตายไปกับตัว ไม่เคยทำเพื่อโปรโมตตัวเอง หรือต้องการลาภยศ สรรเสริญ โดยพร้อมจะทำเพื่อชาติ และประชาชน โดยไม่หวั่นว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ประเทศชาติต้องมาก่อน และลูกหลานของเราในอนาคตจะอยู่อย่างดี และมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เป็นขี้ข้า หรือเป็นทาสของใคร พร้อมจะยืนเคียงข้างประชาชน”
วรรคทองสุดประทับใจของ ผบ.หน่วย SEALกลายเป็นวีรบุรุษที่ออกมายืนเคียงข้างมวลมหาประชาชน กล้าแสดงความเห็นตีแสกหน้าใครต่อใคร ร้อนไปถึงแก๊งแดงเผาเมือง ต้องรีบออกมาแก้ตัวแก้ต่างพัลวันเหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวก เมื่อถูกพาดพิงไปถึงเหตุการณ์ปี 2553 ที่เอากำลังต่างชาติ หรือพวกเขมรมาฆ่าคนไทย !!
มีเรื่องเล่าลือนินทากันให้แซ่ดว่า ทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพเรือรับรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ จอมฉุยฉายตีกรรเชียง ใครจะรู้ว่ามีพฤติกรรมต่ำช้าจาบจ้วงเช่นไร
**พฤติกรรมของยิ่งลักษณ์ สร้างความไม่พอใจให้คนในกองทัพเรืออย่างมาก พล.ร.ท.วินัย เป็นหนึ่งในผู้ที่รับรู้เรื่องราวดี เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งระหว่างที่นายกฯยิ่งลักษณ์ไปเยี่ยมฐานทัพเรือที่สัตหีบ และต้องพักค้างแรม ปรากฏว่ายิ่งลักษณ์ไปเห็นเรือนรับรองหลังหนึ่ง แล้วถูกใจมาก ต้องการพักในที่แห่งนั้น
แต่ทว่าเรือนรับรองดังกล่าว เป็นเรือนรับรองที่มีไว้เฉพาะพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปใช้
ทางกองทัพเรือก็ยืนยันกับนายกฯยิ่งลักษณ์ไปหลายรอบว่า ไม่สามารถให้พักได้ แต่นายกฯไม่ยอมยืนยันจะขอพักที่นั่นให้ได้เท่านั้น ทำให้กองทัพเรือก็ไม่พอใจอย่างมาก เพราะถือเป็นการกระทำที่ตีตนเสมอเจ้า เปรียบเสมือนสมัยทักษิณ กรณีเข้าไปใช้วัดพระแก้ว ทำตัวตีตนเสมอเจ้าคล้ายๆ กัน
** ติฉินนินทากันไปทั่วพี่เป็นยังไง น้องก็เป็นอย่างงั้น เชื้อไม่ทิ้งแถว เชื้อชั่วตายยาก !!
วันนี้ต้องช่วยกันเปิดโปงพฤติกรรมดำด่าง ชั่วช้าของระบอบทักษิณ และเครือข่ายให้ล่อนจ้อน ล่าสุดก็มี ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ที่ออกมาแฉความชั่วร้ายของทักษิณได้อย่างถึงแก่น ลงลึก ไส้กี่ขดก็เห็นแล้วเลวอย่างไร ต่อไปก็ต้องสาวไส้ยิ่งลักษณ์กันออกมาให้ประชาชนดูจนหมดเปลือก จะได้เข้าใจเสียที ที่หลงใหลได้ปลื้มกันนัก สร้างภาพกันไว้อย่างไร
**โกหกตอแหลทั้งนั้น!!!
เเมงเม่าก็คือปลวกนั่นเอง
การจำแนก ปลวก อย่างกว้างๆ แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ปลวกที่อาศัยอยู่ในดิน และ ปลวกที่ไม่อาศัยอยู่ในดิน ปลวกอาศัยอยู่ในดิน จำแนกได้เป็น 5 พวก คือ
- ปลวก ใต้ดิน (Subterranean termites) พวกนี้จะอาศัยอยู่ในดินเกือบตลอดอายุของมันแม้ว่าจะออกจากผิวดินไปแล้ว ก็ยังมีการติดต่อกับพื้นดินอยู่ โดยการทำอุโมงค์ทางเดินด้วยดินไปสู่แหล่งอาหารต่าง ๆ ที่อยู่เหนือดิน นอกจากนี้อุโมงค์ทางเดินยังเป็นเครื่องป้องกันอันตรายจากศัตรู เช่น มด
- ปลวก ที่อยู่ตามจอมปลวก (Mound-building termites)เป็นปลวกที่สร้างรังหรืออาณาจักรขนาดใหญ่ อยู่บนพื้นดินโดยใช้เม็ดดินเล็ก ๆ สร้างขึ้นเป็นเนินสูงใหญ่ที่เรียกว่า จอมปลวก จะพบเห็นทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเซีย อาฟริกา และออสเตรเลีย
- ปลวก ที่อยู่ตามรังขนาดเล็ก (Carton-nest-building termites) รังของ ปลวก ชนิดนี้ เกิดจากมูลของ ปลวก ผสมกับเศษไม้เล็กๆ และสร้างเป็นรังที่มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไป อาจจะอยู่ในดิน บนพื้นดินหรือเหนือพื้นดิน เช่น ตามต้นไม้ เสาไฟ หรืออาคารบ้านเรือน
- ปลวก ไม้แห้ง (Dry-wood termites) เป็นพวกที่มีอาณาจักรหรือรังเล็กกว่า ปลวก ใต้ดิน อาศัยอยู่ในเนื้อไม้ และจะไม่ลงไปในดิน ปลวก ชนิดนี้ต้องการความชื้นในไม้แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเป็นพวกที่ทำความเสียหายร้ายแรงต่ออาคารบ้านเรือนและเครื่องเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ
- ปลวก ไม้ชื้น (Damp-wood termites) อาศัยอยู่ในเนื้อไม้ที่มีความชื้นสูง เช่น เปลือกไม้ ไม้ซุง หรือไม้ที่ผุแล้ว ห้องที่มีความชื้นและความเย็น นับว่า เป็นสถานที่เหมาะสม สำหรับ ปลวก ประเภทนี้อาศัยอยู่ ตามปกติแล้ว เป็น ปลวก ที่ไม่มีอันตรายต่ออาคารบ้านเรือนมากนัก
ปลวก เป็นแมลงที่อยู่เป็นหมุ่สังคมประกอบด้วยวรรณะต่างๆ รวม 3 วรรณะ และมีหน้าที่แตกต่างกันไป
- ปลวก สืบพันธุ์
คือปลวกตัวผู้และตัวเมีย มีปีกและเพศดังแมลงอื่นๆ ทั่วไป ตามปกติ ในรังหรือ อาณาจักรจะพบปลวกคู่นี้ทำหน้าที่ผสมพันธุ์และสืบพันธุ์ ตัวผู้เรียกว่าราชาปลวก และตัวเมียเรีย กว่า ราชินีปลวก ออกไข่เกิดเป็น ปลวก ชนิดต่างๆ ในรัง นอกจากนี้ ปลวก สืบพันธุ์ยังมีหน้าที่ กระจาย พันธ ุ์และสร้างอาณาจักรใหม่เกิดขึ้นอีกด้วย ปลวกชนิดนี้มีปีกทั้งตัวผู้และตัวเมียเรียกว่าแมลงเม่า เมื่อจับคู่ผสมพันธุ์แล้วจะสลัดปีก และเลือกสถานที่เหมาะสมเพื่อสร้างรัง และเกิดเป็นอาณาจักร ใหม่ต่อไป
- ปลวก งาน
เป็น ปลวก ตัวเล็กไม่มีปีก ไม่มีเพศ และไม่มีตา อาศัยอยู่ในดินหรือเนื้อไม้ ที่มันกัด และทำลาย มีหน้าที่ก่อสร้าง หาอาหารมาเลี้ยงปลวกวรรณะอื่นๆ ปลวกชนิดนี้จะทำงาน ทุกอย่าง ภายในรัง
- ปลวก ทหาร
เป็น ปลวก ตัวเล็กแต่มีหัวโต และขากรรไกรขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการต่อสู้ ไม่มีปีก ไม่มีตา และไม่มีเพศ ปลวกชนิดนี้มีหน้าที่ปกป้องอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับรัง ศัตรูสำคัญของมัน คือ มด
การสร้างรังหรืออาณาจักรของปลวกแต่ละชนิด จะมีแบบแผนที่แน่นอน แต่แตกต่างตามพันธุ์ และภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม
- การเกิดอาณาจักร
แมลงเม่ามักจะออกมาให้เราได้พบเห็นในบางโอกาสของปี ซึ่งเป็นช่วง ระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อตัวผู้และตัวเมียจับคู่ผสมพันธุ์ ชนิดปลวกไม้แห้งก็จะหารอยแตกแยกของ เนื้อไม้ เพื่อสร้างรังใหม่ ชนิดปลวกใต้ดินก็จะหาแหล่งดินในบริเวณใกล้ ๆ แหล่งอาหาร เช่น บริเวณเศษไม้หรือรากไม้ในดินเพื่อสร้างรังใหม่
- การขยายอาณาจักร
เมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะสม แมลงเม่า จะบินออกจากรัง ภูมิประเทศ สิ่งแวดล้อมและเผ่าพันธุ์ จะทำให้แมลงเม่าออกจากรักต่างวาระกัน ในภูมิอากาศที่ร้อน แมลงเม่า จะออกจากรังช่วงเวลาหลังฤดูฝน แมลงเม่าเหล่านี้จะบินเข้าอาคารเพื่อรับความอบอุ่นจากแสงไฟ หรือแสงอาทิตย์ และทำความรำคาญให้กับเรา แมลงเม่าแต่ละคู่เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะเลือกสถานที่ สร้างรังใหม่ และภายใน 2-3 วันจะเริ่มวงไข่ครั้งแรกๆ จะมีไข่ไม่กี่ฟองแต่ต่อไปจะเพิ่มจำนวนไข่ มาก ขึ้นเรื่อยๆ ตลอดอายุการเจริญเติบโต ของมันไข่จะฟักออกเป็นตัวอ่อนภายใน 30-50 วันและ ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนมากจะเป็นปลวกที่อยู่ในวรรณะ ปลวกทหาร และ ปลวกงาน แมลงเม่า คู่แรกที่สร้างรังจะเจริญเติบโตเป็นราชาปลวก และ ราชินีปลวก มีอายุยืนยาว และมีจำนวนไข่มากกว่า 30,000 ฟองต่อวัน จำนวนประชากรของปลวกในอาณาจักรหนึ่งๆ มี มาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ และแหล่งอาหาร
- แมลงเม่า
- ปลวกสืบพันธุ์ (แมลงเม่าสลัดปีก)
- ตัวอ่อนระยะแรก
- ตัวอ่อนระยะกลาง
- ปลวกสืบพันธุ์ระยะเจริญพันธุ์
- ปลวกงาน
- ปลวกทหาร
- ราชินีปลวก
- ปลวกสืบพันธุ์สำรองปีกสั้น และไม่มีปีก
- ปลวกสืบพันธุ์สำรองปีกสั้น และไม่มีปีก
• |
การอาศัยอยู่ในระบบสังคม ขนาดของอาณาจักร จะขยายใหญ่ได้ ด้วยความสมบูรณ์ของ แหล่งอาหาร |
• |
ปลวก แต่ละชนิดจะมีหน้าที่เฉพาะ และเกี่ยวโยงเป็นระบบการอยู่ร่วม (ระบบสังคม) การเริ่ม อาณา |
• |
จักรเกิดจากราชาปลวกและราชินีปลวก 1 คู่ ทำการผสมพันธุ์ และเพิ่มประชากร มากขึ้นๆ จากไข่ จะกลายเป็นปลวกตัวอ่อน |
• |
และเจริญเติบโตเป็นปลวกชนิดต่าง ๆ เช่น ปลวกสืบพันธ์สำรอง, ปลวกทหาร, ปลวกงาน และแมลงเม่า |
• |
ปลวกสืบพันธุ์สำรอง จะทำหน้าที่ออกไข่เพิ่มประชากรในกรณีที่ ราชาปลวก หรือราชินีปลวก ได้ตาย |
• |
ปลวกงาน ทำหน้าที่ ดูแลสร้างหรือซ่อมแซมรัง, หาอาหาร เพื่อเลี้ยงปลวกชนิดอื่น และทำงาน ทุกชนิดภายในรัง |
• |
แมลงเม่า คือ ปลวกสืบพันธุ์ที่อยู่ในรัง เมื่อโตเต็มที่จะบินออกนอกรังเพื่อสร้างอาณาจักรใหม่ |
เพราะปลวกต้องหาอาหารจึงเกิดการทำลาย และ ต้องการความชื้น ของดินจึงเกิดวิธีกำจัด โดยใช้สารเคมี
- อาหาร อาหารของปลวกส่วนมากคือ เนื้อไม้ หรือสารที่มีเซลลูโลส เศษไม้ จะถูกย่อยโดยเชื้อ โปรโตซัว ซึ่งมีอยู่ในตัวของมัน
- ความชื้น ปลวกและแมลง ที่ต้องอาศัยความชื้น เพื่อให้เกิดน้ำในลำตัวตลอด เวลาปลวกไม้แห้ง จะปิดทาง เข้าออกของรังอย่างมิดชิดใน ขณะที่อากาศภายนอกมีความชื้นต่ำ ปลวกใต้ดินจะปรับ อากาศ ในรังหรือทางเดินให้เหมาะสม โดยทำรังในดินที่มีความชื้น และมันจะเดินกลับเข้ารัง วันละ หลายๆ เที่ยว ในพื้นที่ชื้น และนี่คือวิธีที่ปลวก นำความชื้นเข้าสู่รังได้
ทุกที่ ที่เราพบว่ามีปลวกใต้ดินอาศัยอยู่ ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขต มรสุม ซึ่งเป็นเขตที่เหมาะสม สำหรับปลวกใต้ดินจะอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก และเราพบว่าปัญหาปลวกนี้ จะมีอยู่ในทุกภาค ของ ประเทศ
ปลวก จะมีวิธีทำลายสิ่งของในลักษณะต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับชนิดโครงสร้าง ของสิ่งของ ในกรณี ที่เป็นสิ่งของชนิดเดียวกัน ปลวกจะทำลายของนั้น ในลักษณะเหมือนๆ กัน มันจะสร้าง อุโมงค์ดิน ไปตามทิศทางต่างๆ จนพบอาหาร บางครั้งอาจมีระยะไกลมาก เมื่อมันไปพบกับ สิ่งกีดขวางมัน จะหาช่องทางแทรกจน พบอาหาร ได้ เมื่อมันเข้าสู่ในอาคาร สิ่งของต่าง ๆ ที่ทำจาก ไม้ คือ อาหารของมัน พื้นไม้ วงกบประตู หน้าต่าง ฝา และผ้าคือบริเวณที่เราอาจพบปลวกได้
แมงเม่าบินเข้ากองไฟ
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงคนที่ลุ่มหลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคิดว่าเป็นสิ่ที่ดี และหลงผิดเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จนตนเองได้รับอันตราย
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงแมงเม่าที่ชอบเล่นกับแสงไฟ แต่เมื่อบินเข้ากองไฟก็จะตาย
เฮ้ย....ยุ่งแล้ว
มีคนตาไว เห็นภาพคนในม๊อบที่อ้างว่าถูกยิง
แต่ไม่เข้าเพราะเขาพกไฟแช็ก กระสุนถูกไฟแช็กไม่ทะลุ(เหลือเชื่อ)
ดันมีหน้าตา คล้ายคนเดียวกับภาพผู้ต้องสงสัยเป็นมือปืนที่ยิงสุทินที่วัดศรีเอี่ยม
ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าจริง พิสูจน์ได้ กบฎเทือก ยุ่งแน่
เพราะพิสูจน์ได้ว่า ที่วัดศรีเอี่ยม มันยิงกันเอง ชัดเจน
แปรงฟัน
รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com
|
แปรงสีฟันดั้งเดิมปรากฏหลักฐานยุคโบราณ มีลักษณะเป็น แท่งเคี้ยว หรือ chew stick มาจากกิ่งไม้แท่งขนาดดินสอ ตรงปลายทุบให้แตกเป็นฝอย วิธีใช้ก็เอาปลายฝอยๆ ถูฟัน พบในยุคบาบิโลเนีย ช่วง 3,500 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนในหลุมศพที่อียิปต์ มีอายุ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล และของจีน มีอายุเก่าแก่ 1,600 ปีก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ยังพบไม้จิ้มฟันในยุคกรีกโรมัน ยุคราชวงศ์ฉินของจีน และในแอฟริกา
แปรงสีฟันที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างในปัจจุบันปรากฏหลักฐานในยุคราชวงศ์ถังของจีน (ค.ศ.619-907) และแพร่หลายมาสู่ยุโรปโดยเหล่านักเดินทาง กระทั่งมาปรับใช้อย่างจริงจังในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17
ส่วนการผลิตแปรงสีฟันให้ใช้แพร่หลาย ถือกำเนิดในอังกฤษ ราวปีค.ศ.1770 โดยหนุ่ม วิลเลียม แอดดิส เข้าไปนอนคุกฐานก่อจลาจล ตอนนั้นจึงคิดวิธีทำความสะอาดฟันที่ดีกว่าการใช้ผ้าและเกลือถูๆ จึงเริ่มทดลองใช้กระดูกสัตว์ที่เหลือจากอาหารมาเจาะเป็นรูเล็กๆ แล้วขอขนแปรงจากผู้คุมมาจำนวนหนึ่งอัดใส่เข้าไปในรูแล้วติดกาว จากนั้นนำมาตัดขนแปรงให้พอเหมาะ กลายเป็นแปรงสีฟันอันแรกของโลก
เมื่อพ้นคุกออกมา แอดดิสจึงเริ่มกิจการประดิษฐ์แปรงสีฟันออกขายและทำธุรกิจในชื่อ Wisdom Toothbrushes เป็นสินค้าที่แพร่หลายไปทั่วอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น
มาถึงวิธีแปรงฟัน ทันตแพทย์แนะนำว่าควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือทุกครั้งหลังอาหาร เพื่อป้องกันฟันผุและโรคภายในช่องปาก
การแปรงฟันที่ถูกวิธีทำได้อย่างง่ายๆ แค่ปรับเปลี่ยนตำแหน่งและวิธีขยับมือเท่านั้น
ลักษณะท่าทางในการแปรงฟันไม่ควรเงยหน้าขึ้น เพราะช่องทางเดินอาหารจะเปิดออก หากประกอบกับใส่ยาสีฟันมากจนเกิดฟองจำนวนมาก ทำให้โอกาสที่แปรงสีฟันจะหลุดเข้าไปในหลอดอาหารเกิดขึ้นได้ มุมของการแปรงฟัน จึงควรก้มหน้าลงนิดหน่อย
|
การวางมุมแปรงสีฟัน ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะหากวางไม่ถูกวิธีช่องปากจะไม่สะอาดและเกิดการสะสมของหินปูนจำนวนมากได้
การวางที่ถูกวิธี คือวางแปรงให้ขนานกับผิวฟัน จรดขนแปรงตรงบริเวณคอฟัน ซึ่งเป็นจุดต่อระหว่างตัวฟันและขอบเหงือก
บริเวณคอฟันและตำแหน่งของฟันหน้าด้านล่างที่ติดกับลิ้น เป็นตำแหน่งที่มักเกิดคราบหินปูนสะสมจำนวนมาก เพราะดูแลได้ไม่ดีพอ จึงต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งแปรงโดยวางแปรงขนาน ส่วนด้านหน้าให้วางเป็นแนวขวางแล้วแปรงทีละซี่
การแปรงควรค่อยๆ ขยับขนแปรงไปทีละนิด มักพบว่าหลายๆ คนแปรงโดยการลากแปรงยาวๆ ซึ่งนอกจากไม่สะอาดขึ้นยังทำลายเหงือกด้วย
การใส่ยาสีฟัน ควรบีบยาสีฟันประมาณครึ่งเซนติเมตรเท่านั้น เพื่อจะได้มีปริมาณฟองที่พอสมควรอยู่ในปาก หากรู้สึกว่ามีฟองมากเกินไประหว่างแปรงฟันควรบ้วนฟองออกบ้าง
เพราะหากมีฟองมากเกินไป ประกอบกับมีการเงยหน้าอาจทำให้เกิดการลื่นจนแปรงหลุดมือ จนกระแทกเหงือก กระพุ้งแก้ม หรือหลุดเข้าไปในทางเดินอาหารได้
การแปรงลิ้นเป็นสิ่งที่จำเป็น หากใช้แปรงสีฟันควรบ้วนฟองออกก่อนเพื่อไม่ให้เกิดการอาเจียน หรือใช้ที่ครูดลิ้น จะลดการเกิดอาการอยากอาเจียนได้
สำหรับในเด็กเล็กผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิดจนถึงประมาณ 6-7 ขวบ เพราะกล้ามเนื้อของเด็กไม่แข็งแรงพอที่จะควบคุมแปรงสีฟันได้ดี ทำให้แปรงฟันได้ไม่สะอาด
การใส่ยาสีฟันให้เด็ก ให้เพียงแตะๆ ยาสีฟันพอให้ขนแปรงชื้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องบีบเนื้อยาสีฟันลงไป ไม่ควรให้กลืนยาสีฟัน เพราะเด็กจะได้รับฟลูออไรด์มากเกิน ทำให้เกิดฟันตกกระ
ส่วนการใช้น้ำยาบ้วนปาก สำหรับคนทั่วๆ ไปไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แต่หากจะใช้ก็ได้เพราะไม่มีอันตรายอะไร
ยรรยง ทำหนังสือเชิญ ป.ป.ช. & สื่อฯ ร่วมเดินทางไปจีน เพราะอยากให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมตรวจสอบสัญญาขายข้าวจีทูจี กับรัฐวิสาหกิจจีน
นาย ยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่กรมการค้าต่างประเทศ ทำหนังสือเชิญตัวแทน ป.ป.ช. พร้อมด้วยตัวแทนสื่อมวลชนจำนวนมาก ร่วมเดินทางไปยังเมืองกว่างโจว ประเทศจีน โดยที่มีกำหนดการไปพบปะและรับฟังบรรยายสรุปความเป็นมา ในการดำเนินธุรกิจ & โครงสร้างของบริษัท GSSG Imp. & Exp. Corp. และพบปะหารือกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจจีน เกี่ยวกับการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G กับรัฐบาลไทย ซึ่ง ป.ป.ช. มองว่า มีปัญหา ว่า กระทรวงพาณิชย์ มีเจตนาให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมตรวจสอบ ในประเด็นสัญญาขายข้าวจีทูจี กับจีน อย่างโปร่งใส ไม่ใช่ตัดสินบนพื้นฐานข้อมูลในประเทศเท่านั้น โดยที่ผ่านมา ป.ป.ช. ใช้หลักฐานจากกลุ่มผู้ส่งออกที่เสียประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ไม่ได้รับข้อมูลที่รอบด้านอย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ ก. พาณิชย์ ยืนยันว่า.. โดยข้อเท็จจริงในปี 2556 ข้าวที่ส่งออกส่วนใหญ่ประมาณ 7 ล้านตันเป็นข้าวจากในโกดังของรัฐบาล ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหา ว่าไม่มีการส่งออกจริง และเป็นจีทูจีลวงโลก แต่อย่างใด และวัตถุประสงค์ของการเดินทางไปจีนครั้งนี้ ก็เพื่อจะได้รับทราบโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของรัฐวิสาหกิจจีน ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ลักษณะการทำการค้าไม่ได้เป็นไปตามรูปแบบที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งก็เป็นไปตามกระแสการค้าโลกหลังจีน เปิดเสรีการค้ามากขึ้น การที่หลายฝ่ายออกมาตำหนิว่า ไม่จำเป็นต้องไปจีนนั้น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่า ไม่จำเป็นต้อง.. กลัวความจริง
ผมว่าคุณยรรยงไปหาเอกสารส่งออกที่ระบุว่า ข้าวล็อตนั้นๆส่งออกไปจีนจริงดีกว่า
ปี 55 ขายรัฐต่อรัฐไปจีน 1.7 ล้านตัน แต่มีการส่งออกข้าวไปจีน 5 แสนตันแค่นั้น
ปีก่อน มียอดขายรัฐต่อรัฐไปจีน มากกว่า 5 ล้านตัน ส่งไปจริงเท่าไหร่ไม่รู้
ความจริงที่ลงไม่หมดคือ
ทางรัฐวิสาหกิจของจีน..ได้เลื่อนการเดินทางของคุณยรรยงแล้ว..โดยยังไม่มีกำหนด
ทาง..ปปชต้องการเพียงแค่หลักฐานเท่านั้น..คุณก้อแสดงให้เขาดูก้อแค่นั้น
ไม่จำเป็นต้องเผาพลาญเงินในการพาไปดู..ซึ่งทางการจีนก็ไม่ได้ตอบตกลง
สิ่งที่ควรทำคือชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีมติว่าการขายข้าวแบบจีทูจีไม่มีจริง ต้องนำเอกสารการทำสัญญาระหว่างจีเอสเอสจี รับมอบจากคอฟโก้ หลักฐานที่มอบอำนาจให้นายปาล์มมาเซ็นกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อรับข้าว และหลักฐานที่นายโจได้รับมอบอำนาจจากนายปาล์มในการส่งข้าวว่าส่งไปจีนจริงหรือไม่ รวมทั้งหลักฐานการชำระเงินมาแสดงว่ามีการชำระเงินจากประเทศจีนจริงหรือไม่ หากทำได้ก็จะหลุดข้อกล่าวหา ไม่ใช่พาสื่อมวลชนไปประเทศจีนเพื่อสร้างภาพหลอกประชาชนให้เชื่อ