วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2557 เป็นวันแรม 8 ค่ำ เดือน 2 วันนี้วันพระ.......
กรุงคมิคชาดก การร่วมมือกัน
ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกวางตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าละเมาะแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลจากนั้นมีสระน้ำสระหนึ่ง เต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ และใกล้ ๆ สระน้ำนั้นมีนกสตปัตตะทำรังอยู่ สัตว์ทั้ง ๓ เป็นเพื่อนรักกันมาก วันหนึ่งกวางออกหากินได้ติดบ่วงนายพรานตอนเที่ยงคืนจึงร้องเรียกให้เพื่อนมาช่วย เต่าและนกสตปัตตะมาเห็นแล่วตกลงกันว่าให้เต่าใช้ปากกัดบ่วงให้ขาดก่อนฟ้าสว่าง ส่วนนกพยายามไม่ให้นายพรานออกจากบ้านก่อนสว่างเช่นกัน เมื่อตกลงกันตามนั้นนกสตปัตตะจึงพูดเตือนเต่าว่า "เต่าเพื่อนรัก ท่านต้องรีบกัดบ่วงให้ขาดเร็ว ๆ นะ เราจักหาวิธีไม่ให้นายพรานมาถึงที่นี่เร็วได้" ว่าแล้วก็บินไป
ฝ่ายเต่าได้เริ่มแทะเชือกบ่วกนั้นทันที ส่วนนกสตปัตตะได้บินไปจับที่ต้นไม้หน้าบ้านนายพราน พอถึงเวลาตี ๕ นายพรานลุกขึ้นเดินถือหอกออกมาทางประตูหน้าบ้าน นกเห็นเช่นนั้นก็บินโฉบลงไปจิกนายพราน เขาถูกนกจิกไปหลายทีจึงคิดว่าเราถูกนกกาฬกรรณีจิกแล้ว โชคไม่ดีเลยเวลานี้ กลับเข้าไปนอนต่ออีกสักหน่อยดีกว่า"
เวลาผ่านไปเล็กน้อยนายพรานได้เปลี่ยนไปออกทางประตูหลังบ้าน นกสตปัตตะก็ไปดักที่ประตูหลังบ้านเช่นกัน เขาถูกนกจิกอีกเป็นครั้งที่ ๒ จึงกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับบ่นว่า "นกบ้านี่ร้ายจริง ๆ ไว้ให้สว่างก่อนค่อยไปก็ได้วะ"
พอสว่างแล้ว นายพรานเดินถือหอกออกจากบ้านไป นกสตปัตตะได้บินไปบอกกวางและเต่าล่วงหน้าแล้ว ปรากฏว่าเต่าแทะเชือกบ่วงทั้งคืนจนปากระบมเปื้อนไปด้วยเลือดยังเหลือเชือกเกลียวเดียวก็จะขาด กวางจึงใช้กำลังดิ้นให้เชือกขาดหลุดหนีเข้าป่าไปได้อย่างหวุดหวิด ปล่อยให้เต่านอนหมดแรงอยู่ตรงนั้น
นายพรานมาเห็นเฉพาะเต่านอนอยู่จึงใส่กระสอบแขวนเต่าเอาไว้บนกิ่งไม้ กวางได้ปรากฎตัวให้นายพรานเห็นแล้วล่อให้นายพรานวิ่งตามไปจนไกลลิบ แล้ววิ่งย้อนกลับคืนมาช่วยเต่า โดยใช้เขายกกระสอบลงมาแล้วกล่าวขอบคุณเต่าและนกสตปัตตะที่ได้ช่วยเหลือชีวิต และต่างคนต่างแยกย้ายกันหลบซ่อนและหาที่อยู่ใหม่เพื่อความปลอดภัย เต่าได้หนีลงน้ำ กวางหนีเข้าป่าลึก ส่วนนกสตปัตตะไปถึงต้นไม้แล้วก็พาลูก ๆ ไปอยู่ในทีห่างไกล
นายพรานกลับมาถึงที่นั้นอีกไม่เห็นเต่าในกระสอบ ก็ได้แต่ถือกระสอบขาดกลับบ้านไป สัตว์ทั้ง ๓ ได้เป็นเพื่อนรักกันจนตราบเท่าชีวิต
นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ดินดีเพราะป่าปก ป่ารกเพราะดินดี คบคนไว้มากมายย่อมมีประโยชน์ในยามตกทุกข์ได้ยาก
ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม น.ธ.เอก , ป.ธ.๙. เจ้าคณะอำเภอทัพทัน. เจ้าอาวาสวัดสาลวนาราม. ตำบลหนองจอก อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
ธรรมชาติของมนุษย์ตามหลักของพระพุทธศาสนา
เมืองมานาลี เหนือสุดของอินเดีย มองเห็นป่าหิมพานต์ที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี
(มนุษย์ มาจากคำสนธิระหว่างคำว่า มน สนธิกับ อุษยะ)
กล่าวถึงมนุษย์ว่า เป็น อินทรีย์พลวัต ( Dynamic Organism) หมายถึง ร่างกายที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆ มาตอบสนอง ต่อความต้องการหรือ ความอยากต่างๆ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ตัณหาหรือความอยากนี้เอง ทำให้คนต้องดิ้นรน พยายามทำทุกอย่างให้ได้มาตามแรงปรารถนานั้น ( วไลพร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม , 2527 : 67 )
มนุษย์ประกอบได้ด้วยขันธ์ห้า ได้แก่ ( สาโรช บัวศรี, 2526 : 11)
1. รูป ( Body ) คือ ร่างกาย หรือส่วนที่จับต้องได้ เห็นได้ หรือจะเรียกว่า เป็นส่วนของเนื้อหนัง
2. เวทนา ( Feelings หรือ Sensation ) คือ ความรู้สึกเป็นทุกข์ เป็นสุข รวมเรียกว่าอารมณ์
3. สัญญา ( Remembering ) คือ ความจำ
4. สังขาร ( Thought หรือ Idea ) คือ ความคิด
5. วิญญาณ ( Sensory consciousness ) คือ ความรู้ตัว หรือการรับรู้
ขันธ์ห้านี้ อาจย่นย่อลงเป็นส่วนประกอบของมนุษย์ว่าประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) กาย หมายถึง รูปกาย และ
(2) นาม หมายถึง จิต นอกจากนั้นแล้วขันธ์ห้านี้ทำให้มนุษย์เกิดปัญหาเกิดขึ้นอันเป็นอกุศลมูลที่ติดตามตัวเองอยู่เสมอ คือ ความโลภ โกรธ หลง
โดยธรรมชาติมนุษย์มีธรรมชาติอีกประการคือ จะแสวงหาความสุขให้กับตนเอง และต้องการหลีกเลี่ยงความทุกข์ ซึ่งความสุขของมนุษย์แสวงหามีเป็นลำดับดังนี้
1. ความสุขเกิดจากความต้องการทางร่างกาย เช่น การกิน การดื่ม การนอน การร่วมประเวณี
2. ความสุขเกิดจากการสนองความต้องการทางจิตใจ เช่น การพักผ่อนหย่อนใจ ฟังดนตรี กีฬา เที่ยว เข้าสังคม
3. ความสุขเกิดจากการสนองความต้องการทางปัญญา เช่น เกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ การค้นพบสิ่งใหม่ๆ การคิดหาเหตุผลจนสามารถรู้แจ้ง ธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย
4. ความสุขเกิดจากการหมดความต้องการ หรือหมดตัณหา อันได้แก่ วิมุตติ วิสุทธิ นิพพาน วิราคะ (สนธิ์ บางยี่ขันและวิธาน ชีวคุปต์ , 2526 : 6)
จากการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ทั้งในแง่ปรัชญา จิตวิทยาในสาขาต่างๆ รวมทั้งพุทธ -ศาสนาแล้ว จะช่วยให้รู้จัก และเข้าใจ มนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ได้มากขึ้น อันจะนำไปสู่การเรียนรู้พฤติกรรมและการแสดงออกของมนุษย์เพื่อใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อไป
อย่างไรก็ตามมนุษย์มีธรรมชาติโดยทั่วไปที่น่าศึกษาดังต่อไปนี้ ( วิจิตร อาวะกุล , 55 - 56 )
1. มีความอิจฉาริษยา และต่อต้านผู้อื่นที่ดีกว่าตน ดังที่ หลวงวิจิตรวาทการ กล่าวว่า
"อย่าทำตัวดีเด่น…จะเป็นภัย
เพราะไม่มีใคร…อยากเห็นเราเด่นเกิน"
2. มีสัญชาติญาณแห่งการทำลาย ชอบความหายนะ เช่น ชอบดูไฟไหม้บ้านมากกว่าดูการสร้างบ้าน หรือดูจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันมักมีแต่ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
3. ต่อสู้ ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง
4. มีความต้องการทางเพศและมีความต้องการด้านร่างกายอื่นร่วมด้วย
5. มีความหวาดกลัวอิทธิพล ผู้มีอำนาจ ภัยต่างๆ ภัยธรรมชาติ ภูตผีปีศาจ
ไสยศาสตร์ และจะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตนพ้นภัย
6. กลัวความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความยากลำบาก และความตาย
7. มีความโหดร้ายทารุณ ป่าเถื่อน ชอบซ้ำเติม
8. ชอบทำอะไรตามสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบียบบังคับ
9. ชอบความตื่นเต้น หวาดเสียว ผจญภัย ท่องเที่ยว ชอบมีประสบการณ์ในชีวิตแปลกๆ ใหม่ๆ
10. มีนิสัยอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง
นอกจากนั้นแล้ว มนุษย์ยังมีลักษณะสำคัญประการหนึ่งคือ "มักจะเข้าข้างตนเองเสมอ และไม่ชอบให้ใครตำหนิติเตียนตนเอง" หากมีใครตำหนิก็มักจะหาสาเหตุแก้ตัวให้พ้นข้อครหานั้นๆ "หากแต่ขณะเดียวกันก็มักจะมองเห็นแต่ความผิด…ความไม่ดีของผู้อื่น" อยู่เสมออันเกิดเนื่องมาจาก "แรงขับของการต้องการมีชีวิตอยู่และแรงขับแห่งความก้าวร้าวทำร้ายทำลายผู้อื่น เพียงเพื่อให้คนอื่นและตนเองคิดและรู้สึกว่า "ตนนั้นเป็นผู้ที่มีดีมีความรู้ความสามารถเหนือผู้อื่น" มนุษย์มีธรรมชาติและเป็นเช่นนี้มาช้านานแล้ว...............
ศักดิศรีตำรวจไทย
ตร.เก็บซากป้าย "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ที่ถูก ผชน.ทุบทำลาย-น้ำตาคลอ บอกเดี๋ยวเราคงทำใหม่ได้
...." ไม่เป็นไร รับได้ เเม้นใจเจ็บ
เหมือนตอกเล็บ หอกเเทงทิ่ม ยังยิ้มฝืน
ก็คงต้อง ทำขึ้นใหม่ มาใช้คืน
อกสะอื้น เหยียบย่ำกัน มันเกินไป
....เกียรติยศ ศักดิศรี มีกันหมด
สง่างด งามสพรั่ง สว่างไสว
ตราเเผ่นดิน สถิตย์หัว ไม่กลัวใคร
ศัตรูไหน ขอปกป้อง ผองประชา
....ไม่เป็นไร วันนี้ ที่โดนย่ำ
บุกกระหน่ำ ต่ำทราม หยามหยาบช้า
จะอดทน กลืนเลือดไป ไม่ไหลมา
ปาดน้ำตา เชิดหน้าไว้ เเม้นใจพัง........."
" ไม่เป็นไร.....เดี๋ยวเราคงทำใหม่ได้.....เดี๋ยวเราคงทำใหม่ได้.................."
นักกฎหมาย ค้านศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อำนาจเลื่อนเลือกตั้ง
นักนิติศาสตร์ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุ กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจ ในการเลื่อนวันเลือกตั้ง เป็นขององค์กรใดนั้น ไม่เข้าด้วยมาตรา 214
นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่ากรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าระหว่าง กกต.และคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรี หน่วยงานใดมีอำนาจเลื่อนวันเลือกตั้งนั้น ในรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้เขียนให้องค์กรใดมีอำนาจเลื่อนวันเลือกตั้งไว้ จึงไม่เข้าองค์ประกอบของมาตรา 214 ที่จะยื่นให้ศาลวินิจฉัย แต่ กกต.กำลังจะให้ศาลรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง
อาจารย์ด้านนิติศาสตร์ท่านนี้ มองว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่สามารถรับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัยได้ แต่ผลงานในอดีตก็เป็นเรื่องคาดเดายากว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตีความอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างมั่นใจคือศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเร่งวินิจฉัยก่อนถึงวันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์
จำนวนผู้ชุมนุมเวทีต่างๆ วันนี้
โดย songvit
เมื่อ พุธ, 22/01/2014 - 20:21
สถานการณ์การณ์ชุมนุม วันที่ 22 ม.ค.57 เวลา 17.00 น. ดังนี้
1. เวทีแยกปทุมวัน 17.00 น.มีการปราศรัยสลับการแสดงดนตรีแยกปทุมวันถึงเจริญผล 100 คน แยกปทุมวันถึงแยกเฉลิมเผ่า 100คน เวทีด้านถนนพญาไทและลานหน้า MBK และในเต้นท์ 400 คน
ยอดรวม 600 คน
...
2.เวทีราชประสงค์ เวลา 17.00น. 250 คน ไม่มีกิจกรรม
3. เวทีอโศก เวลา 17.00 น. 200 คน ไม่มีกิจกรรม
4.เวทีสวนลุมพินี 17.00 น. 100 คน ไม่มีกิจกรรม
5. เวทีอนุสาวรีย์ชัย เวลา 17.05 น. พิธีกร ขึ้นปราศรัยพูดเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับตำรวจ ยอด 1,300 คน
6.เวที5 แยกลาดพร้าว 17.00 น.เล่นดนตรี ยอด1000 คน
- กระทรวงพลังงาน ยอด 50 คน
7. เวทีแจ้งวัฒนะ เวลา 17.00 น.
- เวลา 16.35 น.นางพิมลฯ(ไม่ทราบนามสกุล)ขึ้นร้องเพลงและปราศรัยบนเวที มวลชน 250 คน
8. เวที อนส.ปชต. 16.50 น.ไม่มีกิจกรรมความเคลื่อนไหวผู้ชุมนุมและการ์ดประมาณ80 คนครับ
9. เวทีผ่านฟ้า(ปปปป.หรือ กปท.) 16.50น.ผู้ชุมนุมทำภาระกิจส่วนตัว พักผ่อนตามเต็นท์ ยอด 350 คน เหตุการณ์ปกติ
10. เวทีเชิงสะพานชมัยฯ เวลา 16.50 น.พิธีกรดำเนินรายการโดยนายอมร อมรรัตนานนท์แจ้งต่อผู้ชุมนุมว่าหลังจากพวกเราไป สตช.ได้ข่าวว่า บชน.เตรียมกำลังตำรวจไว้จำนวนมาก และเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.เกิดหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดทำให้ไฟฟ้าในทำเนียบฯใช้ไม่ได้ไม่ใช่การกระทำของคปท.เพราะคปท.จะทำอะไรจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าและแจ้งอาการของขวัญชัยให้ทราบ ผู้ชุมนุมต่างหาอาหารรับประทานและแยกย้ายกันพักผ่อนยอดผู้ชุมนุมประมาณ 600 คน
11.การเคลื่อนไหว
12.อื่นๆ
รวมยอดผู้ชุมนุม 10 เวที ประมาณ 4,780 คน
*******************************
ภก.จิระ วิภาสวงศ์ เภสัชกรสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ลำพูน ให้สัมภาษณ์ในงานประชุมสมัชชาเภสัชกรรมไทย “100 ปีวิชาชีพเภสัชกรรมและการศึกษาเภสัชศาสตร์: บทบาทเภสัชกรต่อสังคมไทยในศตวรรษที่ 2” จัดโดยสภาเภสัชกรรม ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ประสานงานการศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย และมูลนิธิเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ปัญหาของวิชาชีพเภสัชกรรมเรื่องหนึ่งคือ การรับจ้างเภสัชกรแขวนป้ายหน้าร้านยา โดยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่จริง ซึ่งแต่ละจังหวัดยอมรับว่ามีจำนวนไม่น้อย อย่าง จ.ลำพูน เคยลงพื้นที่ตรวจสอบเมื่อปี 2553 พบมากถึง 60% อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตรวจอย่างเข้มงวดก็พบว่ามีการกระทำผิดน้อยลง ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะกลัวโทษปรับอันน้อยนิด แต่กลัวถูกส่งเรื่องเข้าไปยังสภาวิชาชีพคือ สภาเภสัชกรรม และถูกพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมเป็นเวลา 6 เดือน - 1 ปี ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถทำงานได้เลยเป็นเวลา 1 ปี
แฉ! ขบวนการเภสัชวิ่งรอกเฝ้าร้านยา-รับจ้างแขวนป้ายชื่อ
“การกระทำผิดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มงวด ซึ่งบางจังหวัดพบว่าแทบไม่มีการตรวจตราเลย เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งไม่อยากจับกุมพี่น้องร่วมวิชาชีพกันเอง หรือบางคนก็เป็นครูอาจารย์มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือมีผลประโยชน์ของตัวเองรวมอยู่ด้วย คือเปิดร้านเอง แขวนป้ายเองเช่นกัน ขณะที่คนที่ดำเนินการตรวจสอบก็มักจะโดนสวนกลับเยอะ” ภก.จิระกล่าว
ภก.จิระกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องหาเภสัชกรมาอยู่ร้านยาแทน อย่างสมัยก่อนจะเอาเภสัชกรที่เป็นเซลล์แมนละแวกนั้นมาอยู่รับหน้าเวลาพนักงานลงพื้นที่ตรวจ แม้จะดูเหมือนว่ามีเภสัชกรในร้านยาถูกต้อง แต่ความจริงถือว่าผิด เพราะเภสัชกรประจำร้านจะต้องเป็นเภสัชกรที่มีชื่อในใบอนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะหยวนให้กับกรณีนี้ แต่ความจริงแล้วผู้ตรวจจะต้องเข้มงวด และไม่ยอม เพราะปัจจุบันทำกันเป็นขบวนการ อย่างการลงพื้นที่ตรวจที่กรุงเทพฯ เมื่อ ธ.ค. 2556 พบว่า มีการรับจ้างมาอยู่หน้าร้าน เมื่อตรวจร้านหนึ่งเจอคนนี้เฝ้าร้าน พอไปตรวจอีกร้านก็เจอคนเดิมมาเฝ้าร้านให้อีก
“จริงๆ กรณีแบบนี้เอาผิดได้ ถือว่าเป็นการหลอกลวง เพราะเพียงแค่มาอยู่รับหน้าเฉยๆ ไม่ได้มาขายยา หรือต่อให้มาขายยาจริงก็ผิด เนื่องจากหากเภสัชกรประจำร้านไม่อยู่ร้าน จะต้องมีการทำเรื่องให้เภสัชกรมาอยู่ร้านแทนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นร้านยาใน กทม.ต้องแจ้ง อย. และต่างจังหวัดต้องแจ้ง สสจ. และต้องแจ้งล่วงหน้า 7 วัน และกำหนดให้ชัดว่าให้อยู่แทนตั้งแต่วันใดถึงวันใด โดยผู้ตรวจจะต้องเข้มงวด ทำเรื่องส่งสภาเภสัชกรรมเอาโทษทางจรรยาบรรณที่รุนแรงกว่า” ภก.จิระกล่าว
ภก.จิระกล่าวด้วยว่า หากไม่ทำเรื่องหาเภสัชกรมาอยู่ร้านยาอย่างถูกกฎหมาย เห็นควรให้รณรงค์ให้เภสัชกรปิดร้านแบบประเทศญี่ปุ่น เช่น จะไปเสียภาษี ไปกินข้าว ก็ต้องปิดร้านเลย แต่บ้านเราปิดชั่วคราวก็ไม่ยอม เพราะส่วนใหญ่กลัวคู่แข่งได้เปรียบ เลยต้องหาคนหรือจ้างคนมาอยู่ร้าน ซึ่งต่างจากคนรุ่นเก่าอย่างตอนเช้าทำงานเภสัชกรในโรงพยาบาลก็ปิดร้าน พอตอนเย็นเลิกงานจึงค่อยมาเปิดร้านและมาอยู่ร้านจริง แต่ทุกวันนี้ตอนเช้าร้านก็เปิด แต่ตัวไม่อยู่ร้านไปทำงานในโรงพยาบาล
อย.จับร้านยาเถื่อน 6 แห่ง ใน “อุดรธานี” มูลค่าของกลาง 1 แสนบาท เตือนร้านใดมีเภสัชกรประจำแล้วทำผิดกฎหมาย ระวังถูกสั่งพักใบอนุญาตฯ ประกอบวิชาชีพฯ เผยพบเจ้าหน้าที่ สสจ.อุดรฯ ถูกทำร้าย ตำรวจคาด เกี่ยวข้องกับการจับกุมร้านขายยาผิด กม.
วันนี้ (18 ส.ค.) นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการจับกุมร้านขายยาผิดกฎหมาย จ.อุดรธานี มูลค่าของกลาง 1 แสนบาท
นพ.พิพัฒน์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา อย.ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ บก.ปคบ. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) อุดรธานี ออกตรวจสอบร้านขายยาที่กระทำผิดกฎหมายในจังหวัดอุดรธานีจำนวน 6 แห่ง ไประกอบด้วย 1.ร้านรุ่งเรืองเภสัช เลขที่ 102/7 หมู่ 4 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 2.ร้านเอสอายซัพพลาย เลขที่ 337/5-6 ต.หนองบัว อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 3.ร้านสมศักดิ์ CS คอมเพล็กซ์ เลขที่ 277/1-3 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 4.ร้านขายยาบ้านโนนฟาร์มาซี เลขที่ 28/115 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 5.ร้านรุ่งโรจน์ 2 เลขที่ 106/26 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 6.ร้านไข่ เลขที่ 106/25 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี
นพ.พิพัฒน์กล่าวต่อว่า สำหรับการกระทำความผิดขิองร้านดังกล่าวนั้น พบมีการจำหน่ายยาสเตียรอยด์ ยาแก้ปวดเกร็ง ยาลดความอ้วน ยาแก้ไอซูโดเอฟริดีน และวัตถุออกฤทธิ์ทางจิตประสาท รวมมูลค่าสินค้ากว่า 1 แสนบาท ซึ่งร้านดังกล่าวไม่มีทะเบียนอนุญาตให้จำหน่ายยา และยาต่างๆ ที่พบก็เป็นยาปลอมซึ่งไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยากับ อย.เช่นกัน ขณะที่สถานการณ์ร้านขายยาผิดกฎหมายในเขต กทม.ยังพบเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดยภายใน 1 เดือน เจ้าหน้าที่ตำรวจและ อย.มีการรวบรวมของกลางที่จำหน่ายในร้านมีมูลค่าราว 30 ล้านบาท
เลขาธิการ อย.กล่าวด้วยว่า แต่ละร้านมีความผิดในข้อหาที่แตกต่างกัน เบื้องต้นประมวลสรุปได้ดังนี้ 1. ขายยาแผนปัจจุบันนอกเวลาทำการ มีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท 2.ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท 3.ขายยาอันตรายขณะผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการไม่อยู่ มีโทษปรับ 1,000-5,000 บาท 4.ขายยาไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 5.ฉลากที่ภาชนะและหีบห่อบรรจุยาแสดงข้อความไม่ครบถ้วน มีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท
6.ไม่จัดทำบัญชีซื้อและบัญชีขายยา มีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท 7.ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการไม่ควบคุมการจัดทำบัญชียา มีโทษปรับ 1,000-5,000 บาท 8.ขายวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 3 หรือ 4 โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท 9.ขายยาบรรจุเสร็จหลายขนานโดยจัดเป็นชุดๆ ในคราวเดียวกัน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 10. ขายยาหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ หากร้านขายยาเปิดแล้วมีเภสัชกรประจำร้านอยู่ แล้วมีการทำผิดกฎหมาย ทาง อย.ก็จะทำหนังสือขอให้สภาเภสัชกรรมสั่งพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพด้วย
“นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพบว่า มีเภสัชกรชำนาญการประจำ สสจ.อุดรฯ ถูกทำร้ายร่างกายระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ โดยผู้ร้ายได้โทรศัพท์เข้าข่มขู่เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวด้วย เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับกรณีการจับกุมร้านขายยาผิดกฎหมาย ดังนั้น ทาง อย.จึงได้แจ้งขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี ในการติดตามหาผู้ต้องสงสัยในคดีทำร้ายร่างกาย เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย และได้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวให้นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ได้รับทราบด้วย โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับและสั่งการให้สถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานีดำเนินการสืบสวนอย่างเร่งรัดโดยเร็วที่สุดเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย
พระราชบัญญัติ
วิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. ๒๕๓๗
หมวด ๕
การควบคุมการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
มาตรา ๒๘ ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมทำการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมหรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพดังกล่าว โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต เว้นแต่ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) การประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมที่กระทำต่อตนเอง
(๒) นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมซึ่งทำการฝึกหัดหรือฝึกอบรมในความควบคุมของสถาบันการศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ของรัฐหรือที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้จัดตั้งสถาบันทางการแพทย์ของรัฐ หรือสถาบันการศึกษาหรือสถาบันทางการแพทย์อื่นที่คณะกรรมการรับรอง ทั้งนี้ ภายใต้ความควบคุมของเจ้าหน้าที่ผู้ฝึกหัดหรือผู้ให้การฝึกอบรมซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
(๓) บุคคลซึ่งกระทรวง ทบวง กรม กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือสภากาชาดไทย มอบหมายให้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(๔) การประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญของทางราชการหรือผู้สอนในสถาบันการศึกษาของรัฐ ซึ่งมีใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของต่างประเทศ ทั้งนี้ โดยอนุมัติของคณะกรรมการ
มาตรา ๒๙ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้คำหรือข้อความด้วยอักษรไทยหรืออักษรต่างประเทศว่า เภสัชกร เภสัชกรหญิง แพทย์ปรุงยา นักปรุงยา หรือใช้อักษรย่อของคำดังกล่าว หรือใช้คำแสดงวุฒิการศึกษาทางเภสัชศาสตร์ หรือใช้อักษรย่อของวุฒิดังกล่าวประกอบกับชื่อหรือชื่อสกุลของตน หรือใช้คำหรือข้อความอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน หรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ซึ่งทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ รวมถึงการใช้ จ้าง วาน หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวให้แก่ตน เว้นแต่ผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรในวิชาเภสัชศาสตร์
มาตรา ๓๐ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้คำหรือข้อความที่แสดงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ ทั้งนี้ รวมถึงการใช้ จ้าง วาน หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวให้แก่ตน เว้นแต่ผู้ได้รับหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรว่าเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขานั้น ๆ จากสภาเภสัชกรรมหรือที่สภาเภสัชกรรมรับรองหรือผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาเภสัชกรรม
นำคำพูดบางตอนของ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ. ความมั่นคง กับ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แบบสรุปย่อ มาให้อ่านกัน
พ.ร.บ. ความมั่นคง กับ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มีข้อแตกต่างกัน 4 ข้อ ได้แก่
1. พ.ร.บ.ความมั่นคง ประชาชนฟ้องร้องเอาผิดเจ้าหน้าที่ได้ แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฟ้องไม่ได้
2. พ.ร.บ.ความมั่นคง ยังอนุญาตให้มีการชุมนมได้ แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่อนุญาตให้ชุมนุม
3. พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้อำนาจมากกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคง เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติสามารถปิดล้อม-ตรวจค้น-จับกุมได้
4. หลังเสร็จสิ้นการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง รัฐบาลต้องทำรายงานไปยังรัฐภา และเปิดให้รัฐสภาสอบถาม ดังนั้นปฏิบัติการต่างๆจึงต้องมีแผนงานชัดเจน แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ไม่จำเป็นต้องรายงานต่อรัฐสภา ซึ่งหากไม่จำเป็นจริงๆ รัฐบาลก็จะไม่นำพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้ ..
**********************************
กฎหมายที่ดินเรื่องที่ดินตาบอดจะเข้าออกได้ยังไง
ที่ดินตาบอด เป็นชื่อเรียกตามภาษาชาวบ้านทั่วไป ที่หมายถึงที่ดินที่ไม่มีทางออกสู่ทางหลัก หรือทางสาธารณะ ที่ดินตาบอดนี้เป็นที่ดินที่มักจะสร้างปัญหาให้กับคนที่เป็นเจ้าของที่ดินแปลงนั้นเสมอๆ เพราะว่าการที่ไม่มีทางเข้าออกนั้น มันทำให้เจ้าของที่ดินเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของตัวเองได้อย่างเต็มที่ หรือบางที่ก็อาจจะไม่สามารถทำประโยชน์ในที่ดินได้เลย สาเหตุก็เพราะว่า เมื่อไม่มีทางเข้าออกในที่ดินของตัวเองแล้ว มันก็ต้องอาศัยตัดผ่านเข้าไปยังที่ดินของคนอื่นเขา ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา คือ เจ้าของที่ดินที่ถูกผ่านไม่ค่อยจะยินดีจะให้ใครมาผ่านเขาออกซักเท่าไหร่ บางครั้งก็อาจถึงขั้นลงไม้ลงมือฆ่ากันตายเลยก็มีอยู่บ่อยๆ ก็ระวังๆกันไว้ด้วยนะครับ
ปกติที่ดินทุกแปลงจะมีการทำทางเข้าทางออกอยู่ด้วยเสมอ และหากรายใดไม่มีทางเข้าออกจริงๆ ก็มักจะมีการพูดคุยกับที่ดินแปลงข้างเคียง เพื่อขอเปิดทางเข้าออกไปสู่ถนนหลักได้ ซึ่งสมัยก่อนการพูดคุยกันไม่ใช่ยาก เพราะว่าในสมัยนั้นมันต้องพึ่งพาอาศัยกันในฐานะเพื่อนบ้าน แต่พอมาถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ หากไม่มีข้อเสนอที่ดี ก็อย่าหวังมาคุยกันให้เปลืองน้ำลายเลย มันก็เป็นเสียอย่างงั้นไป
ปัญหาที่ดินตาบอดปัจจุบันที่พบ มักจะเกิดจากการแบ่งที่ดินจากแปลงใหญ่ มาซอยย่อยออกมาเป็นแปลงเล็กๆ เพื่อแบ่งระหว่างพี่น้อง หรือกรณีที่เป็นการขอใช้ทางที่ดินของคนอื่น แล้วต่อมาภายหลังลูกหลานเขาไม่อยากให้ใช้เป็นทางเข้าออก ก็มาปิดเสียอย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นเมื่อใครมีปัญหาเกี่ยวกับที่ดินตาบอดที่ใกล้เคียงกับที่เล่ามานี้ ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจ หรือมานั่งร้องห่มร้องไห้ให้เสียสุขภาพจิตไปนะครับ เพราะเรื่องเหล่านี้มันมีทางแก้อยู่แล้วครับท่าน
หากกรณีที่ที่ดินตาบอดไม่มีทางออก เพราะว่ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ หรือว่ามีทางออกแต่ว่าทางเข้าออกนั้นเข้าออกได้ลำบาก เพราะว่าต้องข้ามสระ ข้ามบึง ข้ามทะเล หรือว่ามันเป็นทางชัน ซึ่งทำให้การเข้าออกนั้นลำบากมากๆๆ อย่างนี้กฎหมายก็บอกว่า เจ้าของที่ดินนั้นมีสิทธิที่จะขอทางจำเป็นในการเข้าออก ผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ ออกไปสู่ทางสาธารณะได้ครับ
เมื่อได้ทางจำเป็นมาแล้ว การทำทางเข้าออกก็ต้องทำพอสมควร หรือตามความจำเป็นที่จะต้องใช้เท่านั้น โดยคำนึงให้เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้เป็นทางเข้าออกนั้น เสียหายน้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าใช้เป็นแค่ทางเดินเข้าเดินออก แต่ไปทำทางกว้างเสียรถบรรทุกวิ่งเข้าออกได้ อย่างนี้ก็เกินไป เอาแค่ใช้แค่ไหนก็ทำทางเท่านั้นนะครับ หากกรณีจำเป็นต้องใช้รถวิ่งเข้าออกด้วย อย่างนี้ก็สามารถสร้างถนนผ่านเลยก็ได้
เมื่อได้ทางเข้าออกมาเป็นประโยชน์กับที่ดินของตัวเองสมใจแล้ว ก็อย่าเพิ่งเอาแต่ดีใจไปนะครับ เพราะว่าของฟรีไม่มีในโลก ผู้ใช้ทางต้องเสียค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้เป็นทางผ่านนั้นด้วยนะครับ ส่วนจะเป็นค่าทดแทนความเสียหายเป็นจำนวนเท่าไหร่ ตรงนี้ก็ต้องไปประเมินและตกลงกันอีกครั้งครับ ซึ่งค่าทดแทนที่ว่านี้ อาจจะเป็นเงินก้อนเดียว หรือเป็นเงินรายปีก็ได้เช่นกัน และสุดท้ายหากตกลงกันได้ด้วยดี ก็ควรจะพากันไปจดทะเบียนภารจำยอมกันให้เรียบร้อยด้วยนะครับ
สุดท้ายนี้ ในการใช้สิทธิตามกฎหมาย โดยการไปขอทางจำเป็น ถ้าเป็นการไปขอโดยปากเปล่ากับเจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมอยู่ เพื่อขอทางเข้าออกอย่างตรงๆ ส่วนมากแล้วคงไม่มีใครยินยอม ซึ่งหากกรณีเป็นอย่างนี้ การขอใช้สิทธิในเรื่องทางจำเป็นก็คงต้องไปพึ่งโรงพึ่งศาลแทนแหละครับ
จุดจบหนังกลางเเปลง
การถือกำเนิดของภาพยนตร์กลางแปลงในโลก ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่าเกิดที่ประเทศใดกันแน่ แต่สันนิษฐานว่า น่าจะมีขึ้นภายหลังจากการที่สองพี่น้องตระกูลลูมิแอร์ของฝรั่งเศสที่ได้ฉายภาพยนตร์ขึ้นด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ซีนีมาโตกราฟ” (Cinematograph) แล้ว ต่อมาจึงได้มีการเผยแพร่อุปกรณ์ดังกล่าวไปทั่วโลก คล้าย ๆ กับ “หนังเร่” ในบ้านเรา
ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2440 ได้มีโฆษณาแจ้งความลงในหนังสือพิมพ์บางกอกไตมส์ เกี่ยวกับการจัดฉายภาพยนตร์เป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 10-12 มิถุนายน ที่โรงละครหม่อมเจ้าอลังการ และมีการเก็บค่าชมด้วย โดยในคืนแรก มีผู้ชมจำนวน 600 คนได้เข้าไปชมสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ในประเทศไทย แต่การจัดฉายภาพยนตร์ยังไม่ถือว่าเป็น “หนังกลางแปลง”
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีคณะหนังเร่จากต่างประเทศเข้ามาฉายโดยเก็บค่าเข้าชมเป็นระยะ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้สถานที่ต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น โรงละคร โรงแรม เป็นต้น เพราะในขณะนั้นยังไม่มีโรงมหรสพสำหรับจัดฉายภาพยนตร์โดยเฉพาะ ซึ่งคณะหนังเร่ต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่นิยมอย่างมาก นั่นคือ คณะของ ที. วาตานาเบ้ ของญี่ปุ่น โดยได้เข้ามาฉายภาพยนตร์เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2447 ที่บริเวณที่ว่างข้างวัดตึก (ปัจจุบันคือ เวิ้งนาครเขษม) โดยตั้งเป็นกระโจมสำหรับวางเครื่องฉาย ส่วนจอภาพยนตร์จะอยู่ด้านนอก ซึ่งลักษณะดังกล่าวน่าจะเรียกว่าเป็น “หนังกลางแปลง” ก็ได้ เพราะไม่ได้นำเครื่องฉายไปจัดไว้ในสถานที่เฉพาะเหมือนอย่างคณะอื่น ๆ นั่นเอง และนอกจากนี้ยังได้นำไปฉายในงานวัดเบญจมบพิตรอีกด้วย จนกระทั่งงานวัดสิ้นสุดจึงได้เดินทางกลับประเทศ และด้วยความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ปลายปี พ.ศ. 2448 ได้กลับเข้ามาตั้งโรงภาพยนตร์ขึ้นเป็นแห่งแรก โดยใช้สถานที่ที่เคยนำภาพยนตร์มาฉายครั้งแรก นั่นคือ ที่ว่างข้างวัดตึก นั่นเอง
ส่วนการฉายภาพยนตร์กลางแปลงให้ผู้ชมได้ชมฟรีนั้น ได้เกิดขึ้นเมื่อ สำนักข่าวสารอเมริกัน หรือ ยูซิส (USIS) ได้นำภาพยนตร์เกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาฉายในประเทศไทย เพื่อให้คนไทยได้รู้จักประเทศสหรัฐอเมริกามากขึ้น การจัดฉายในครั้งนั้นจะเป็นเครื่องฉายที่ใช้กับฟิล์มภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตร และตัวจอภาพยนตร์จะเป็นขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนจอภาพของเครื่องฉายภาพ วิดีโอ โปรเจคเตอร์ ในปัจจุบัน ภาพยนตร์ที่ฉายในขณะนั้นจะเป็นภาพยนตร์ข่าว หรือสารคดี เป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาพยนตร์เรื่องนั้นมีน้อยมาก เช่น ภาพยนตร์ตลกของชาลี แชปปลิน , ลอเรลแอนด์ฮาร์ดี้ (คนไทยจะรู้จักกันในชื่อ “อ้วนผอม”) หรือตลกคณะ The Three Stooges (สามเกลอหัวแข็ง) รวมไปถึงภาพยนตร์การ์ตูนของดิสนีย์ อย่าง โดนัล ดั๊กและมิคกี้ เมาส์ เป็นต้นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ผู้เขียนมีหลักฐานที่ยืนยันได้จากคำพูดของคุณพ่อ ที่ตอนสมัยยังเด็กได้ไปดูภาพยนตร์ดังกล่าว และยังมีเหตุการณ์ที่อยู่ในความทรงจำเกี่ยวกับการชมภาพยนตร์ทั้งในโรงและกลางแปลงอีกมาก ไว้นำเสนอในโอกาสหน้าครับ)
จากการที่ ยูซิส เป็นต้นแบบของการฉายภาพยนตร์กลางแปลง ทำให้องค์กรที่เป็นบริษัทหรือผู้ผลิตยาหรือสินค้าประเภทอื่นได้ริเริ่มการจัดฉายภาพยนตร์กลางแปลง ประกอบกับได้เข้าสู่ยุคของภาพยนตร์ที่ใช้ฟิล์ม 16 มิลลิเมตรพอดี ที่สำคัญมีเฉพาะหนังต่างประเทศ ส่วนหนังไทยมีน้อยมาก แต่ได้รับความนิยมจากคนดูมากกว่า
ส่วนหนังขายยาที่ริเริ่มฉายภาพยนตร์ด้วยฟิล์ม 35 มิลลิเมตร ซีเนมาสโคปจอกว้างนั้น เริ่มมาจาก บริษัท อารยะโอสถ ตรามือ เป็นแห่งแรก หนังที่ฉายก็ยังเป็นหนังต่างประเทศอีกเช่นเดิม เพราะหนังไทยมีราคาแพงมาก และที่สำคัญจะเน้นเฉพาะหนังฮอลลีวู้ดที่เป็นหนังตึก อย่าง ฟ็อกซ์ , วอร์เนอร์ , เมโทร โกลวิน เมเยอร์ (สัญลักษณ์สิงโตคำราม) เป็นต้น ทั้งที่เป็นฟิล์มระบบ 35 มม. โดยตรงและที่พิมพ์ฟิล์ม 35 มม. ขึ้นใหม่ เพื่อลดขนาดจากฟิล์ม 70 มม. ซึ่งตัวฟิล์มมีขนาดใหญ่และมีฉายเฉพาะที่โรงในกรุงเทพ ฯ เท่านั้น (ภาษาวงการเรียกว่า “โบลว์”) เช่น ยอดคนจังโก้ , เจ็ดสิงห์แดนเสือ , เบน-เฮอร์ , คลีโอพัตรา , วันเผด็จศึก (ฉบับเดิมที่เป็นภาพขาว-ดำ) เป็นต้น ทำให้บริษัทอื่น ๆ ที่เคยฉายแต่ฟิล์มระบบ 16 มม. ต้องปรับเปลี่ยน และยังมีอีกกรณีหนึ่งนั่นคือ การฉายภาพยนตร์ด้วยฟิล์ม 16 มม.ที่พิมพ์ลดขนาดจากฟิล์ม 35 มม. เพื่อสะดวกในการฉาย แต่ต้องใช้เลนส์อะนามอร์ฟิก หรือเลนส์สโคปเพื่อขยายภาพออกเหมือนกับการฉายจากฟิล์ม 35 มม.
นอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามา ส่งผลทำให้เกิดวิกฤติให้กับบริการหนังกลางแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนี้
1. การเข้ามามีบทบาทของแผ่นวิดีโอ ดิสก์
ในขณะที่แผ่นเลเซอร์ ดิสก์ ซึ่งเป็นแผ่นที่มีขนาดใหญ่เทอะทะถึง 12 นิ้ว ในหนึ่งด้านเล่นหนังได้ 1 ชั่วโมง พอหมดหนึ่งด้านก็ต้องกดปุ่มหรือรีโมทเพื่อเลื่อนถาดออกมาแล้วกลับแผ่นอีกด้านหนึ่งแล้วกดปุ่มหรือรีโมทเพื่อเลื่อนถาดเข้าและสั่งให้เล่นต่อไป นับเป็นข้อจำกัดอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อแผ่นวิดีโอ ซีดี ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2537 แต่ก็ได้รับความนิยมไม่มาก เนื่องจากยังมีข้อจำกัดอีกเช่นกัน อีกทั้งราคาของเครื่องเล่นและตัวแผ่นยังสูงมาก จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2540 ซึ่งแผ่นดีวีดีถือกำเนิดขึ้น และมีประสิทธิภาพดีกว่า แผ่นเลเซอร์ ดิสก์ ในขนาดของแผ่นที่เท่ากับแผ่นซีดี ทำให้แผ่นเลเซอร์ ดิสก์ หมดความนิยม แต่ยังส่งผลให้กับแผ่นวิดีโอ ซีดี ราคาถูกลง พร้อม ๆ กับการนำเข้ามาวางจำหน่ายของเครื่องเล่นจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้วิดีโอ ซีดี ได้ครับความนิยมมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ก็ได้เปิดตัวแผ่นดิสก์ขนาดความจุสูงอย่าง เอชดี-ดีวีดีและ บลูเรย์ ดิสก์ ทำให้ราคาแผ่นและเครื่องเล่นดีวีดีถูกลงมาอีก
ขณะเดียวกัน ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงของวิดีโอ เทปก็ดูจะเหมือนรุนแรงมากขึ้น เพราะสามารถทำได้ง่ายและมีกำไรมากกว่า ทำให้ภาพยนตร์ใหม่ที่กำลังเข้าฉายได้ไม่กี่วัน ก็ถูกบุคคลกลุ่มหนึ่งได้นำไปผลิตเป็นวิดีโอ ซีดีและดีวีดี ทั้งการนำเข้าแผ่นละเมิดลิขสิทธิ์จากประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบผลิตแผ่นภายในประเทศ และการ “ไรท์” แผ่น จากคอมพิวเตอร์ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวงการภาพยนตร์และบันเทิงโดยรวม
แม้ว่าทางสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติจะได้แก้ปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ โดยการให้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นแผ่นวิดีโอ ซีดีและดีวีดีเพื่ออกวางจำหน่ายได้หลังจากภาพยนตร์เรื่องนั้นได้เข้าฉายและออกจากโรงไปแล้วเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ไม่ได้ช่วยให้การละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ลดลงและผู้ที่กระทำความผิดกลับหนักข้อยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงบริการหนังกลางแปลงที่จะต้องนำภาพยนตร์ใหม่ออกฉายในลักษณะปิดวิก ในที่สุด การฉายภาพยนตร์กลางแปลงในลักษณะที่เรียกว่า “ปิดวิก” ก็เป็นอันยุติและไม่มีให้เห็นอีกแล้ว นอกจากนี้ในภาวะทางการตลาดของแผ่นวิดีโอ ซีดีและดีวีดียังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะภายหลังจากการวางจำหน่ายแผ่นภาพยนตร์ลิขสิทธิ์ซึ่งมีราคาแพงออกมาได้ไม่นาน ทางเจ้าของก็จะนำมาลดราคา หรือเปลี่ยนสภาพ เช่น จากเดิมที่เคยอยู่ในกล่องแพ็คเกจอย่างดี ก็จะนำมาใส่ซองพลาสติก เป็นต้น
2. นโยบายและการดำเนินการของผู้ประกอบการสายหนัง
เนื่องจาก สายหนัง มีอยู่ทั่วประเทศ แต่ละแห่งก็มีนโยบายที่แตกต่างกันไป สายหนังเหล่านี้ได้ดำเนินกิจการมายาวนานนับสิบปี อีกทั้งภาพยนตร์ที่เข้าฉายก็มีเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดการต่อรองของเจ้าของภาพยนตร์และสายหนัง ทั้งยังส่งผลต่อจำนวนก็อปปี้ที่จะได้รับด้วย บางครั้งถ้าเจ้าของสายหนังรู้เนื้อหาของหนังมาก่อนก็ตัดสินใจไม่ซื้อหนังเรื่องนั้นเข้ามาฉายก็มี โดยราคาของหนังแต่ละเรื่องจะมีราคาที่สูง และสายหนังของแต่ละแห่งจะต้องนำภาพยนตร์ที่ซื้อเพื่อเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประจำจังหวัดนั้น ๆ พร้อมกับการฉายในกรุงเทพ ฯ จนกระทั่งเมื่อหนังเรื่องนั้นได้ออกจากโรงประจำจังหวัดแล้วก็จะไปยังโรงภาพยนตร์ชั้นสอง (ถ้ามี) ต่อจากนั้นจึงจะปล่อยฟิล์มให้บริการหนังกลางแปลงได้เช่าเพื่อนำออกไปฉายต่อไป กว่าจะถึงช่วงเวลาดังกล่าว ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็ได้ผลิตเป็นแผ่นวิดีโอ ซีดีหรือดีวีดีลิขสิทธิ์แล้ว
ก่อนที่สายหนังจะดำเนินการปล่อยฟิล์มให้กับภาพยนตร์กลางแปลง ทางเจ้าของสายหนังจะต้องคัดเลือกภาพยนตร์ก่อน สำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศ จะเน้นภาพยนตร์ประเภท แอ๊คชั่น หรือผจญภัย ที่คนดูในโรงชื่นชอบและมีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากทุกรอบก่อน ส่วนแนวอื่น ๆ ก็พิจารณาเป็นลำดับไป ยิ่งถ้าเป็นภาพยนตร์ที่แสดงโดย เฉิงหลง , โจวซิงฉือ หรือดาราฮ่องกงที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ทางเจ้าของสายหนังก็จะคัดไว้ ส่วนภาพยนตร์ที่มาจากฮอลลีวู้ดไม่ว่าจะเป็นแนวดรามา , โรแมนติก , เบาสมอง , ไซไฟ จะส่งคืนบริษัททั้งหมด ส่วนหนังไทย ทุกสายหนังต้องมีเช่นกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ชมทั่วไปไม่ค่อยทราบกัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นเช็คเกอร์อาจจะทราบดี นั่นคือ ภาพยนตร์ต่างประเทศที่เป็นฝั่งฮอลลีวู้ด ของอเมริกา โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นสตูดิโอหลัก ซึ่งเรียกว่า “เมเจอร์” หรือ “หนังตึก” เช่น ฟ็อกซ์ , วอร์เนอร์ , โคลัมเบีย พิคเจอร์ส , บัวนาวิสต้า และยูไอพี จะมีระยะเวลาการใช้งานฟิล์มที่สั้นคือไม่เกิน 1 ปี เมื่อถึงระยะเวลาดังกล่าว ทางเจ้าของก็จะมีหนังสือส่งมายังเจ้าของสายหนังเพื่อดำเนินการส่งฟิล์มที่ทางสายหนังได้ปล่อยเพื่อให้บริการภาพยนตร์กลางแปลงให้เช่าดังกล่าวนั้นกลับคืน เพื่อดำเนินการทำลายต่อไป จุดประสงค์ดังกล่าวก็คือ ป้องกันเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้มีหนังเรื่อง สไปเดอร์-แมน 3 กำลังฉายอยู่ พร้อมกันทั้งในกรุงเทพ ฯและต่างจังหวัด แต่พอถึงเวลาแล้ว ทางโคลัมเบีย ฯ ก็จะมีหนังสือให้สายหนังดำเนินการส่งฟิล์มคืน ซึ่งหากไม่ดำเนินการก็จะมีผลตามมา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีการ “แอบ” เก็บฟิล์มเหล่านี้ไว้ เพื่อหวังเก็บราคาค่าจ้างจากเจ้าภาพหรือเจ้าของงาน ในราคาสูง ๆ
บทสรุปมาถึงตรงนี้แล้ว ก็คงจะเห็นว่าตอนนี้หนังกลางแปลงได้เกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ จิตสำนึกและการปรับตัวของบริการ รวมไปถึงความเข้าใจของเจ้าภาพเกี่ยวกับการจ้างภาพยนตร์มาฉายที่นับวันหาได้น้อยเต็มที อีกไม่นานบรรยากาศเหล่านี้คงจะไม่ได้เห็นอีกแล้วครับ
ระเบิดบรรทัดทอง
ตำรวจลั่นมีกล้องวงจรปิดจับภาพชายลึกลับวางระเบิดกับพื้น
พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. กล่าวว่า ฝ่ายสืบสวน
และสอบสวนได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดหลายครั้ง
พบว่าขณะเกิดเหตุมีชายสวมหมวกสีขาวเดินเร็วแล้ววางระเบิดกับพื้น ก่อนเดินเข้าไป
ที่เสากำบัง จากนั้นประมาณ 5 วินาที ได้มีการระเบิดขึ้น เมื่อระเบิดเสร็จ สักพัก
คนขับรถที่ใส่ชุดดำได้วิ่งไปที่เสาหาชายคนแรก จากนั้นเมื่อฝุ่นจางทั้ง 2 คนเดินออกมา
พร้อมกัน ก่อนมาเก็บของที่พื้นคาดว่าน่าจะเป็นกระเดื่องระเบิด
จากนั้นเดินออกไปจากที่เกิดเหตุโดยไม่สนคนเจ็บแต่อย่างใด เชื่อว่าคนวางน่าจะเชี่ยวชาญ
เพราะมีรัศมีในการระเบิดประมาณ 5 เมตร เชื่อว่าทั้ง 2 คนน่าจะรู้จักกัน ซึ่งขณะที่
คนล้มระเนระนาดแต่ชายทั้ง 2 กลับเดินออกมาเพื่อหาสิ่งของโดยไม่สนใจคนเจ็บ
ขณะนี้ทราบทะเบียนรถแล้ว
ม๊อบมวลมหาประชาชน ของเทือกกลับถึงที่ตั้งแล้ว
ม๊อบมวลมหาประชาชน ของเทือกกลับถึงที่ตั้งแล้ว
โดย songvit
เมื่อ อาทิตย์, 19/01/2014 - 17:19
โอ้วแม่เจ้า มองไม่เห็นอาไรเลย มืดฟ้ามัวดินเจงๆๆ
Nantaya Phatana
16.00 น.ขบวนสุเทพ ถึงถนนรีชดา-กรมส่งออก เหลือแค่นี้เอง ???
ยิ่งระเบิดยิ่งมัดตัวนะ
มีพิรุจตั้งแต่ครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นการปลดกล้องในพื้นที่ชุมนุม
แกนนำที่พาม็อบไปที่ตึกร้าง ทีมคนโยนระเบิด + คนขับรถ+ คนที่นำการ์ดไปปีนตึกร้าง
การไม่ให้ตำรวจหรือสื่อเข้าตรวจสอบหลักฐาน
รวมไปถึงนายอภิสิทธิ์ที่รุดไปเยี่ยมคนเจ็บ
และทันทีหลังตำรวจแถลงแฉความอำมหิตของผู้ก่อเหตุ
ก็เกิดเหตุครั้งที่สองที่อนุสาวรีย์ ระเบิดที่ใช้ยังคงเป็นชนิดเดิม และเหมือนเดิมคือปาไม่โดนแกนนำ
ยิ่งใช้ระเบิดโดยที่ยังไม่มีแกนนำตาย ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันตัวตนของผู้ก่อเหตุได้อย่างชัดเจน
เชื่อว่าการปาระเบิดครั้งต่อๆไป อาจมีการสังเวยชีวิตแกนนำระดับปลายแถว เพื่อให้เหตุการณ์ดูน่าเชื่อถือ
งานนี้ใครตามสุเทพไม่ทันก็เตรียมจองศาลาไว้ได้เลยครับ
ไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่รัฐบาลจะต้องปาระเบิดใส่ม็อบ เพราะก็เห็นๆ กันอยู่ว่า คนที่มาร่วมเดินขบวนกับม็อบน้อยลงๆๆ ทุกวันอยู่แล้ว และยิ่งไม่มีท่าทีจะชนะได้เลยหากไม่มีทหารออกมาช่วย
ทุกวันนี้ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่าสิ่งที่สุเทพต้องการที่สุด ก็คือต้องการให้ทหารออกทำรัฐประหาร เพราะรู้ว่าแค่เดินขบวนอย่างเดียว ไม่มีทางที่จะชนะได้
แต่ทหารจะออกมาทำรัฐประหารไม่ได้ นอกจากจะมีเหตุการณ์ความรุนแรง มีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย เพื่อให้ทหารใช้อ้างเหตุความชอบธรรมในการทำรัฐประหาร
ซึ่งการรัฐประหารเป็นสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลัวที่สุด ฉะนั้น ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่รัฐบาลจะต้องปาระเบิดใส่ม็อบ
และที่สำคัญ ใครที่มันตั้งใจจะมาปาระเบิด แต่กลับพกพาหลักฐานทั้งเสื้อแดง หมวกแดง และหลักฐานอื่นเพียบเลยไว้ให้ดูต่างหน้า ใครเชื่อก็โง่จนควายเรียกพี่ได้เลย
อยากถามนายสุเทพว่าจิตใจมันทำด้วยอะไร ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์มนาเหลือเกิน เพียงแค่อยากได้อำนาจ เพียงแค่อยากให้ทหารออกมาทำรัฐประหารแล้วก็ประเคนอำนาจให้พวกมันอย่างที่พวกมันต้องการ ถึงกับลงมือฆ่าคนที่มาเดินตามหลังมันเพราะศรัทธาในตัวมัน มันเลวทรามขนาดนี้ ยังดูกันไม่ออกอีก โง่จริงๆ
******************************