Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

สะพานร้องไห้

ArjanPong | 15-01-2557 | เปิดดู 3809 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               สะพานร้องไห้

 

 

 

       

 

 

 

ทำไมสะพานถึงร้องไห้
 

เหตุที่เรียกขานกันว่าสะพานร้องไห้ เพราะว่ามีประติมากรรมปูนปั้นประดับสะพานเป็นรูปสตรีและเด็กพากันร้องไห้ อยู่ในอาการเศร้าโศก เดินทีเชื่อกันว่าเป็นสะพานที่สร้างขึ้นแสดงถึงความโศกเศร้าของพสกนิกรในการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ข้อสังเกตของ ศิริชัย นฤมิตรเรขการ ที่เขียนไว้ในหนังสือ สะพานเก่ากรุงเทพฯ กล่าวว่าเมื่อดูจากป้ายจารึก และปีพ.ศ.2467 ที่สร้างนั้นห่างจากปีสวรรคตไปแล้วถึง 15 ปี
 

แท้ที่จริงแล้วสะพานนี้ สร้างขึ้นจากเงินบริจาคของเหล่าข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เพื่อแสดงความอาลัยในโอกาสที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพ้นจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย จึงมีชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า สะพานมหาดไทยอุทิศ
ความงดงามของ
สะพานร้องไห้ นอกเหนือจากประติมากรรมปูนปั้นรูปมงคลที่สะท้อนอารมณ์ได้อย่างเหมือนจริงแล้ว ยังมีประติมากรรมนูนรูปราชสีห์สัญลักษณ์ของกระทรวงมหาดไทย ลูกกรงสะพานรูปพวงหรีด และราวสะพานทำเป็นรูปพวงมาลัย ซึ่งเต็มไปด้วยความหมายและความงามทางศิลปะที่ผสานกันอย่างกลมกลืน
 

สะพานร้องไห้ เป็นสะพานเล็กๆ ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ข้ามคลองมหานาค และเป็นหนึ่งในสะพานเก่ากรุงเทพฯที่กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ในปีพ.ศ.2518

  

สะพานอรไทย

 

  

 

 


เป็น
สะพานข้ามคลองเปรมประชากร ส่วนที่บรรจบกับคลองผดุงกรุงเกษม บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทำเนียบรัฐบาล ชื่อของสะพานอรไทย ตกเป็นข่าวดังในหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ในเหตุการณ์การปะทะดุเดือดระหว่างผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 2-3 ธันวาคม ที่ผ่านมา

 

อรไทย เป็นนามของผู้ใด ? และมีที่มาอย่างไร
ตามประวัติกล่าวว่า
สะพานอรไทย ตั้งขึ้นตามพระนามของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรไทย
เทพกัญญา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบัว ธิดาของเจ้าพระยานครศรี ธรรมราช (น้อย ณ นคร)


สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก หากเคลื่อนย้ายแท่งแบริเออร์คอนกรีตที่บดบังอยู่จะพบกับเหล็กดัดและราว
สะพานลวดลายงดงาม รวมทั้งประติมากรรมปูนปั้นที่ประดับตกแต่งอยู่บริเวณเสาและโคมไฟ ล้วนเป็นศิลปกรรมแบบยุโรปที่ได้รับความนิยมในแผ่นดินของพระพุทธเจ้าหลวงทั้งสิ้น


สถานที่สำคัญเกี่ยวเนื่องกับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
อรไทยเทพกัญญา ยังมีพระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแด่พระขนิษฐา ในพระที่นั่งวิมาเมฆ


ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
อรไทยเทพกัญญา ปัจจุบันจัดแสดงพระภูษาในราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ 5 และผ้าไหมจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ใครที่สนใจใคร่ศึกษาผ้าโบราณ อาทิเช่น ผ้ายกไหมเซี่ยงไฮ้ ผ้าอัดลัต ผ้ายกทอง ไม่น่าพลาดการเข้าเยี่ยมชม

 

 

ชมัยมรุเชษฐ

 

 

 


สะพานข้ามคลองเปรมประชากร หน้าทำเนียบรัฐบาล แยกพาณิชยการ อีกสถานที่หนึ่งที่เกิดการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีการยิงแก๊สน้ำตาอย่างต่อเนื่อง


ชมัยมรุเชษฐ มีความหมายถึง
สะพาน
ที่สร้างให้พี่ชายผู้วายชนม์สองพระองค์ สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2444 โดย สมเด็จพระปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงราชสิรินธร พระราชธิดาลำดับที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า


ตามข้อความที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 4 พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก119 ความว่า
" สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ทรงบริจาคทรัพย์สร้างตะพาน
ด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ได้ทรงเจริญพระชนมพรรษา มาเท่าพระชนมพรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฏราชกุมาร ในวันที่ 26 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 119 และจะเท่าพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงษวโรไทย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ ในวันที่ 25 เมษายน รัตนโกสินทรศก 120 จึงได้ทรงพระศรัทธาบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นจำนวนเงิน 6,780 บาท บำเพ็ญพระกุศลสร้างตะพาน เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ ทรงอุทิศส่วนกุศลถวายพระเชษฐภาตาทั้งสองพระองค์


...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหฤทัยยินดีและทรงอนุโมทนาในส่วนพระกุศลนี้ และได้พระราชทานนามว่า ตะพานชมัยมรุเชษฐ"


ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบยุโรป แม้ว่าจะมีการบูรณะซ่อมแซมภายหลังไปมาก หากลวดลายของวงโค้งประดับกรอบชื่อ
สะพาน ที่สอดคล้องรับกับลวดลายของเหล็กดัดบริเวณราวสะพานก็ยังคงความงามที่อ่อนช้อยสวยงามจนวันนี้

 

 

ช้างโรงสีแต่ไม่มีช้าง 

 

 

 

ลวดหนามที่นำมาเป็นปราการป้องกันผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ยังคงอยู่เชิงสะพานช้างโรงสีทั้งฝั่งกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย
เห็นรูปปูนปั้นหน้าสุนัขที่อยู่ติดกับลวดหนามผูกโบสีชมพูและฟ้า ทั้งที่มีตัวหนังสือเขียนว่า
สะพานช้างโรงสี ทำให้อยากค้นหาถึงที่มาว่าเป็นเช่นไร


ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นบ้านเมืองยังต้องทำศึกเพื่อความปึกแผ่นมั่นคงของราชอาณาจักร "ช้าง" เป็นสัตว์สำคัญที่ใช้เป็นพาหนะในการยาตราการศึกสงคราม ดังนั้นจำเป็นต้องมี
สะพานที่แข็งแรงมั่นคงสามารถรับน้ำหนักของช้างที่จะเดินข้ามคูเมืองได้ แต่เดิมมีสะพานสำหรับช้างอยู่ 3 สะพาน
ได้แก่

 

สะพานช้างวังหน้า (ที่ลาดเชิงสะพานปิ่นเกล้า)

สะพานช้างปากคลอง (สะพานเจริญรัช)

สะพานช้างตรงถนนบำรุงเมือง ที่เรียกขานกันว่าสะพานช้างโรงสี เพราะสมัยนั้นบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโรงสีข้าวฉางหลวงสำหรับพระนคร

 

ลักษณะของสะพานเดิมเป็นไม้ซุงขนาดใหญ่ มีการปรับเปลี่ยนซ่อมแซมหลายครั้ง กระทั่งปีพ.ศ.2453 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขณะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โปรดให้บูรณะสะพานใหม่ให้เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก

 

หัวมุมปลายสะพานประดับรูปปูนปั้นหัวสุนัขระบุศักราช 129 หมายถึงปีที่ซ่อมสะพานซึ่งตรงกับปีจอ อันเป็นนักษัตรปีประสูติของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เริ่มต้นจากช้าง มาลงเอยที่สุนัขด้วยประการฉะนี้

 

 

ผ่านฟ้าลีลาศ
 

 

 

 

เป็นอีกหนึ่งสะพานที่มีความสวยงามมาก ใครที่เคยขับรถผ่านขอแนะนำให้ลองมาเดินชมสักครั้ง มาแล้วเดินต่อไปชมสะพานร้องไห้ที่สวยงามคนและแบบใกล้ๆ กันด้วย
แม้ว่าไม่ปรากฏปีที่สร้าง หากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สร้างใหม่แทน
สะพานเดิมเพื่อให้มีขนาดใหญ่ สวยงาม รับกับถนนราชดำเนิน ออกแบบโดยช่างชาวยุโรป
 

ปลายสะพานทั้งสองด้านตกแต่งด้วยเสาหินอ่อนแกะสลักประดับด้วยเครื่องสำริด ราวสะพานเป็นเหล็กหล่อเป็นรูปดอกทานตะวัน ที่เสาสะพานตรงกลางมีรูปเรือยุโรปโบราณประดับอยู่ เหนือขึ้นเป็นมีลายเฟื่องอุบะประดับคู่กับหัวสัตว์ทำขึ้นอย่างประณีตสวยงาม
 

เป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการผสมผสานระหว่างศิลปะไทยกับตะวันตกได้อย่างแนบเนียน
 

ยังมีสะพานข้ามคูเมืองเดิม หรือ คลองหลอดในปัจจุบันที่มีสถาปัตยกรรมงดงามให้เราได้ชื่นชมและศึกษาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสะพานปีกุน หรือสะพานหมู สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถวายสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ครั้งพระชนมายุครบ 50 พรรษา สะพานหก หรือ สะพานยกได้ สร้างตามแบบสะพานเมืองวิลันดา ประเทศเนเธอร์แลนด์ สะพานอุบลรัตน์ สะพานเจริญศรี 34 เป็นต้น

สถานที่ทุกแห่งล้วนมีที่มาชวนค้นหา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองอย่าสนใจหรือว่าผ่านเลยไป
 

เอกสารอ้างอิง : หนังสือ สะพานเก่ากรุงเทพฯ ผู้เขียน ศิริชัย นฤมิตรเรขการ , ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ และวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภาพ ประเสริฐ เทพศรี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 [Image: 9ksKd5.jpg] 

 

 

 

 [Image: 1554596_572056339546095_1020678940_n.jpg] 

 

 

 

 

 

 

 

 

https://th-th.facebook.com/ChuvitOnline

สำนึกของคนชื่อชูวิทย์

เมื่อผมโพสต์ข้อความล่าสุดไป มีคนมาคอมเม้นท์ต่อว่าผมถึงสำนึก ผมจึงขอตอบดังนี้

จิตสำนึกของผมไม่ได้หนักหัวใครอีกต่อไป ในเมื่อเล่นการเมืองนอกกติกา ไม่มีรูปแบบให้ยึดถือ จะไปปิดสี่แยก ปิดสถานที่ไหน หรือแกนนำอยากจะทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎ กติกา มารยาท

แล้วทำไมผมต้องมีจิตสำนึก ในเมื่อผมไม่ได้เป็นคนเที่ยวเชื้อเชิญคนอื่นออกมาตาย

หากคุณเกลียดผมที่พูดความจริง ผมไม่แปลกใจหรอก แต่ถ้าคุณดัดจริตมากนัก บอกมาสิว่าตรงไหนไม่ใช่เรื่องจริง

ที่ไปเดินชวนคนเขาออกมา พาคนเขาไปตาย แล้วจะมาร้องไห้หาอะไร?

เดี๋ยวไปเดินอีกก็ต้องมีตายอีก แล้วบอกไม่กลัว ก็ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่ใช่ชีวิตคุณสุเทพ แต่เป็นชีวิตของคนบริสุทธิ์ทั้งนั้น

ผมพูดผิดตรงไหน? แล้วจิตสำนึกของใครควรจะมีมากกว่ากัน?

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
 
 


[Image: izGlA0.jpg]

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

           กามนิต - ทำไมรวดเร็วปานกามนิต


 

 

 

 

                                                

 

 

 

 

 

น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com




"กามนิต" หรือพากย์ภาษาเยอรมันว่า Der Pilger Kamanita เป็นวรรณกรรมประเภทนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงมาก ประพันธ์ในปี ค.ศ.1906 (พ.ศ.2449) โดย คาร์ล อดอล์ฟ เจลเลอร์รุป นักเขียนชาวเดนมาร์ก ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี ค.ศ.1917 ฉบับภาษาไทย เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป แปลจากฉบับภาษาอังกฤษ The Pilgrim Kamanita ของ จอห์น อี.โลจิก ซึ่งแปลมาจากฉบับเยอรมันอีกทอด รูปประกอบโดยศิลปิน ช่วง มูลพินิจ พากย์ไทยใช้ชื่อสั้นๆ ว่า กามนิต ทยอยลงพิมพ์ในวารสารไทยเขษม แล้วรวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ.2474

เรื่องเล่าถึงบุรุษนามว่า กามนิต บุตรพ่อค้าแห่งกรุงอุชเชนี ผู้อกหักเพราะ วาสิฏฐี คนรัก ถูกพรากไปแต่งงานแบบคลุมถุงชน กามนิตโศกเศร้าเสียใจยิ่ง เขาจึงมุ่งแสวงหาพระศาสดาด้วยหวังจะได้ขจัดความทุกข์ต่างๆ ที่เผชิญ และได้พบกับความสุขอันเป็นนิรันดร์ การเพียรแสวงหาพระพุทธองค์นั้น เหมือนกามนิตจะเข้าใจว่า ณ วันที่ได้พบกัน ประดาความทุกข์ทั้งหลายที่รุมเร้าชีวิต จะพลันละลายไป

พระบรมศาสดาพบกามนิต ณ บ้านช่างปั้นหม้อ ในสถานะผู้แรมทางด้วยกัน กามนิตจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องของตนเองและสนทนาธรรมกับพระ แต่คำแนะนำต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงมีให้เพื่อให้กามนิตได้คลายทุกข์ก็ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านปราการหนาแห่งศรัทธาในตัวบุคคลของกามนิตได้ การพบกันในคืนนั้นของบุคคลทั้งสองจึงไม่เกิดผลอันใด และกามนิตไม่รู้เลยว่าพระสงฆ์ที่สนทนาอยู่ด้วยนั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ใฝ่หา

เรื่องราวดำเนินส่วนแรกเป็นภาคพื้นดิน และต่อด้วยภาคสวรรค์ เมื่อกามนิตตายลง และด้วยอำนาจตถาคตโพธิศรัทธา จึงไปเกิด ณ สวรรค์ชั้นสุขาวดี และพบกับ วาสิฏฐี ปมของเรื่องราวชีวิตหนหลังครั้งภาคพื้นดินจึงคลี่คลาย ธรรมะที่วาสิฏฐีสดับจากพุทธโอษฐ์ครั้งเธอยังอยู่ในภาคบนดิน ได้ถ่ายทอดสู่กามนิตชายคนรัก กระทั่งกามนิตสามารถพิจารณาธรรมนั้น หวนระลึกพระโอวาทที่ตนได้รับโดยตรง ณ บ้านช่างปั้นหม้อ และเข้าใจธรรมอย่างรู้แจ้งถึงที่สุดแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์จนเข้าถึงพระนิพพานในที่สุด

ในเรื่องกามนิต มีกามนิตและวาสิฏฐีเป็นตัวเอก และนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีองคุลิมาล พระอานนท์ และพระสารีบุตร ปรากฏในเรื่องด้วย เป็นการเชื่อมโยงหลักธรรมในพุทธศาสนากับความจริงแห่งความรักได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ

หนังสือกามนิตได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน แก่นอันเป็นคุณค่าของเรื่องคือความรัก ความทุกข์จากรัก และดับทุกข์ด้วยธรรมะ จัดเป็นงานโรแมนติกอันมีความลึกซึ้งของรสรักเจือธรรมรสเข้าด้วยกันอย่างทรงพลัง ประทับใจ ทั้งพรรณนาโวหารภาษาไทยยังเป็นยอด

ส่วนวลี "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" เกิดเมื่อครั้งกามนิตละจากเมืองโกสัมพีของวาสิฏฐีกลับไปกรุงอุชเชนี มหานครที่มีชื่อเสียงว่า สนุกสนานหาความบันเทิงได้ไม่มีที่เปรียบ และเพื่อจะลืมความโทมนัสแสนสาหัสจากความรัก กามนิตจึงเข้าพัวพันคบหาสมาคมกับนางเหล่าคณิกา ซึ่งถึงแม้ว่าความเป็นไปของพวกชั้นนี้จะเป็นชนิดที่เลวทราม เขาก็ตีตนสนิทสนมมิได้รังเกียจ จนนางพวกเหล่านั้นภักดีต่อเขาสุดชีวิตจิตใจ

การเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมกมุ่นอยู่ด้วยความสนุกอย่างรวดเร็วราวพลิกหน้ามือเป็นหลังมือของกามนิตยามนั้น เป็นที่มาของคำพูดติดปากชาวอุชเชนีว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม"

 

 

 

 

 

 

 

          

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         

 

 

 

 

 

 

 

 

 กองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงข่าวสถานการณ์การชุมนุม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       

 

 

วันที่ 17 มกราคม 2557 เวลา 16.45 น.

กองบัญชาการตำรวจนครบาลขอแถลงข่าวสถานการณ์การชุมนุม ของวันที่ 17 มกราคม 2557 มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ดังนี้

1.กรณีเกิดเหตุระเบิดที่ ถนนบรรทัดทอง นั้น เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2557 เวลาประมาณ 13.00 น. ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ซึ่งนำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กำลังเดินขบวนมาที่บริเวณ ถนนบรรทัดทอง มุ่งหน้าแยกเจริญผล ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้น ที่บริเวณรถเครื่องเสียงนำขบวน ผู้ชุมนุมดังกล่าว ใกล้แยกเจริญผล ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวนมาก

ภายหลังเกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐาน ยังเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่ได้ เนื่องจาก การ์ดของกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกนไล่ และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพียงแต่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเท่านั้น

จากกรณีดังกล่าว เส้นทางในการเดินขบวน กลุ่ม กปปส. ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั้น ได้กำหนดไว้ว่า จะเดินในเส้นทาง เริ่มจาก สวนลุมพินี – สีลม – เจริญกรุง – สี่พระยา – แยกสามย่าน – ถนนพญาไท – เวที กปปส. ปทุมวัน

แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลาเคลื่อนขบวนจริง ได้เปลี่ยนมาใช้เส้นทาง เริ่มจาก สวนลุมพินี – ถนนพระราม 4 – ถนนสุรวงศ์ – ถนนนเรศ – ถนนสี่พระยา – ถนนมหานคร – ถนนพระรามสี่ – ถนนบรรทัดทอง – แยกเจริญผล – ถนนพระรามที่ 1 เพื่อเข้าสู่เวทีปทุมวัน

จึงเป็นข้อสังเกตว่า มีความผิดปกติ และ ผิดวิสัยที่กลุ่ม กปปส. ได้กระทำมาโดยตลอด

จากกรณีดังกล่าว จึงไม่สามารถที่จะให้รายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดได้ในขณะนี้ ดังนั้นจึงขอความร่วมมือให้ผู้ชุมนุมและการ์ดกลุ่ม กปปส. ได้อำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและกองพิสูจน์หลักฐาน เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วย

2. กรณี ที่ศูนย์ราชการ ได้มีเหตุ มีรถตู้ จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 5 คัน ได้ขับขี่ผ่านมาที่บริเวณ แนวกั้นของกลุ่ม กปปส. ที่บริเวณ ซอยแจ้งวัฒนะ 14 ถนนแจ้งวัฒนะ และรถจักรยานยนต์ ได้เร่งเครื่องจนเกิดเสียงดัง กลุ่มการ์ด กปปส. จึงได้โยนประทัดยักษ์ ใส่กลุ่มรถจักรยานยนต์ดังกล่าว และทั้งสองฝ่ายได้แยกย้ายกันไป โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ไม่ใช่ กรณีของนายโกตี๋ และกลุ่มเสื้อแดง เข้ามาก่อกวน แต่อย่างใด ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบและยืนยันทราบว่า นายโกตี๋ ได้อยู่ที่จังหวัดปทุมธานี ไม่ได้เข้ามาในกรุงเทพมหานคร แต่อย่างใด

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

                 [Image: 46616-Jayma-mays-clapping-gif-GLEE-1IN8.gif] 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

******************************************

 

 

 

  

 

 

   อยากให้ลูกเป็นดาราต้องทำยังไง?

 

 

อยากให้ลูกเป็นดาราต้องทำยังไง? ถ้าคุณสังเกตว่าลูกอยากเป็นดารา แน่ใจว่าลูกชอบการแสดง ร้องเพลง หรือถ่ายแบบจริง ๆ ลองอ่านบทความนี้ดู เราหาคำตอบมาให้แล้ว

 

 

1. shutterstock 85818181 อยากให้ลูกเป็นดาราต้องทำยังไง?

   อยากให้ลูกเป็นดาราต้องทำยังไง?

 

 

1. ชั้นเรียนการแสดง

ถ้าอยากรู้ว่าความรักในการแสดงของลูกนั้นเป็นของแท้แน่นอนหรือแค่อาการเห่อเป็นพัก ๆ ลองส่งเด็ก ๆ ไปเรียนการแสดงดูสิคะ อาจบอกให้ลูกเข้าร่วมชมรมการละครของโรงเรียน หรือเล่นละครของโรงเรียน แม้จะแสดงเป็นแค่ตัวประกอบหรือบทเล็ก ๆ แต่ถ้าเด็ก ๆ ชอบจริง ๆ เราก็จะเห็นได้เลยค่ะ

 

2. ท่องบท

การจะเป็นนักแสดงที่ดีได้นั้น เด็ก ๆ ต้องท่องบทได้ด้วย ลองเขียนบทเล่น ๆ มาให้ลูกอ่าน และให้ลูกแสดงประกอบตามบทดูสิคะ แต่ต้องให้ลูกมีเวลาท่องบทด้วย เพราะทักษะการอ่านบทและท่องบทนั้นสำคัญมาก ถ้าคุณอยากให้ลูกมีโอกาสในการแสดง ลูกต้องอ่านหนังสือให้ออกและฝึกท่องบทให้แม่นด้วย

 

3. เตรียมรูปถ่ายให้พร้อม

ถ้าอยากให้ลูกเป็นดารา คุณควรมีอัลบั้มภาพของลูกเก็บไว้ด้วย ทั้งภาพเต็มตัว ภาพถ่ายแต่หน้า รวมทั้งภาพสีและภาพขาวดำ ลองให้เด็ก ๆ สวมเสื้อผ้าที่ต่างกันและแสดงอารมณ์ที่ต่างกันในแต่ละภาพด้วย

 

4. เตรียม Resume

เตรียม Resume ให้ลูกไว้ก่อนค่ะ บอกชื่อ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง และกิจกรรมที่ลูกถนัด เขียนเบอร์โทรศัพท์ และอีเมล์ให้ชัดเจน แต่อย่าให้ที่อยู่ไปนะคะ เพื่อเป็นการป้องกันมิจฉาชีพ

 

5. หาเอเจนซี่

ก้าวแรกหากอยากให้ลูกเป็นดาราคือการหาเอเจนซี่ที่จะสังกัด ถ้ามั่นใจจริง ๆ ว่าลูกของคุณรักการแสดง อยากเป็นนักร้องดารา ลองติดต่อเอเจนซี่ต่าง ๆ ดู แต่จำไว้เสมอว่าอย่ายุ่งกับเอเจนซี่ที่เรียกเก็บเงินเมื่อคุณไปออดิชั่น นั่นหมายความว่าคุณถูกหลอก เพราะเอเจนซี่ทั่วไปจะไม่เรียกเก็บเงินจากพ่อแม่ของเด็ก เอเจนซี่จะได้รับส่วนแบ่งจากผู้จัดหลังจากที่ลูกของคุณได้เซ็นสัญญาในการแสดงแล้วต่างหาก

 

6. อยู่กับลูกตลอดเวลา

ถ้าอยากให้ลูกได้เป็นดาราจริง ๆ หรือถ้าลูกคุณอยากเป็นดาราจริง ๆ ขอให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจก่อนว่ามีคนใดคนหนึ่งสามารถอยู่กับลูกได้ตลอดเวลาขณะที่ลูกอยู่ในกองและซ้อมการแสดง ถ้าคุณไม่สามารถทำได้ ก็อย่าสนับสนุนให้ลูกเข้าสู่วงการนี้ตั้งแต่แรกค่ะ


เครดิตจาก t
heAsianparent
 

 

 

 

 

 

 

วันนี้ ม๊อบ (ปชป. )โดยสุเทพ พยายามพูดอ้างอิงกลุ่มต่างๆ เช่น จุฬา ธรรมศาสตร์ กองทัพ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะแพ้แล้วครับ

 
คือขอวิเคราะห์ตรงๆ แบบนักกลยุทธ์ คือ กระแสตอนนี้เริ่มตีกลับ เพราะภาพพจน์ม๊อป ช่วงนี้ออกมาดูไม่ดี จุดหมายไม่แน่นอน เทียบกับอีกฝ่ายที่ชูจุดขาย "เลือกตั้ง"
มวลชนหลักที่เคยออกมาช่วงนิรโทษกรรม หายไปเกือบหมด เหลือแต่มวลชนจัดตั้งจากภาคใต้ และ สาวกที่เหนียวแน่น ซึ่งคนที่ไปร่วมม๊อบก็รู้สึกได้เช่นกัน เหลียวซ้ายแลขวาเริ่มรู้สึกว่ามาผิดที่ผิดทางหรือเปล่า
สุเทพก็รู้ว่ามวลชนเริ่มหนีเพราะขาดความมั่นใจ จึงพยายามพูดอ้างอิงชื่อกลุ่มสถาบันต่างๆ ให้มวลชนรู้สึกว่ามีพวก

ตอนนี้ สุเทพคงเหลือแค่ทหาร ที่จะช่วยให้ชนะได้ ถึงกับเอ่ยปากบนเวที ขอให้พลเอกประยุทธ์ ออกมาเลือกข้าง แต่ก็อาจจะยากเพราะอีกข้างคือ การเลือกตั้ง คือระบอบการปกครองที่ทหารมิอาจแสดงออกเป็นปรปักษ์ได้ง่าย เพราะต่างชาติก็จับตาดูอยู่และที่สำคัญคือ ทหารจะเลือกข้างผู้ชนะเท่านั้น

ดังนั้นสิ่งที่สุเทพพูดวันนี้แสดง จุดอ่อน และทิศทางที่จะไปชัดคือ
ทางที่จะไปต่อ
1 สุเทพ มักเอ่ยอ้างเรื่องที่ผู้ชุนนุมบาดเจ็บ เรียกร้องรัฐบาลรับผิดชอบ
2 อ้างอิง ข้าราชการบางกลุ่ม เพื่อดึงให้ข้าราชการระดับบนออกมาเลือกข้าง
3 ร้องหาทหาร ให้มาช่วย

จุดอ่อนที่พยายามแก้
1 มวลชนเริ่มหนีหาย
2 ภาพลักษณ์ ที่เริ่มเสีย เพราะชูวิทย์จุดประเด็น คือ กปปส คือ ปชป และ สุเทพ เองก็คือ นักการเมืองที่ขี้โกง  2 ข้อนี้ชัดเจนมาก ทุกคนรู้แต่ไม่เคยย้ำ
3 ภาพลักษณ์ ม๊อบบางส่วนที่ เถื่อน มีอาวุธ
4 ข้อนี้ผมว่าสำคัญมากคือ ตอนนี้โอกาสที่ม๊อบจะชนะมีน้อยมาก และอาจจะกำลังแพ้ด้วยซ้ำไป สุเทพและแกนนำทุกคนพยายามบอกเสมอว่า เราจะชนะ เราชนะแล้ว เพื่อปลุกขวัญม๊อบ

จำไว้ครับ คนส่วนมากไม่อยากอยู่ข้างคนแพ้

 

 

 本文です
 

 

 

 
ส่วนหนึ่งจากบทบรรณาธิการนสพ.โยะมิอุริ, ญี่ปุ่น - 16 มค.2014

< ม็อบล้มรัฐบาล ต้องรีบหยุดความวุ่นวายเพื่อการเลือกตั้ง >

พรรคการเมืองฝ่ายทักษิณ ซึ่งมีนโยบายเน้นไปที่ผู้ด้อยโอกาส และได้รับการสนับสนุนจากเกษตรกรและคนยากจนผู้เป็นประชากรส่วนใหญ่อย่างล้นหลาม จนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหลังๆติดต่อกันมาตลอด. ทำให้ฝ่ายล้มรัฐบาลเองก็รู้ว่าไม่มีโอกาสที่จะชนะในสนามเลือกตั้งได้เลย.

เมื่อโอกาสชนะต่ำ จึงบอยคอตการเลือกตั้ง และก่อความไม่สงบเพื่อให้ได้ตามความต้องการ เป็นการกระทำซึ่งต้องกล่าวว่า มาจากความเห็นแก่ตัวและปฏิเสธประชาธิปไตย.
การเข้าสู่การเลือกตั้งจึงจะเป็นวิถีที่ถูกและควร.

........................
ความวุ่นวายที่เป็นอยู่ในไทย เริ่มเป็นผลลบต่อสภาพเศรษฐกิจ
มีบริษัทญื่ปุ่นจำนวนหนี่งได้ปิดที่ทำการ. บางบริษัทได้หยุดการดำเนินงานขอรับการส่งเสริมการลงทุน.
ประเทศไทยได้ขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากการลงทุนของต่างประเทศ จนเป็นที่รู้จักกันว่า” ประเทศดีเด่นของอาเซียน”
แต่... ความน่าเชื่อถือจากต่างประเทศเริ่มจะสั่นคลอนแล้ว.

http://www.yomiuri.co.jp/editorial/news/...T01333.htm
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

           แผนตี 4 รั่ว

 
 
 
 
สถานที่ - โรงแรมแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์
หน่วยปฏิบัติการ - อรินทราช และ ฉก.13
ลำดับขั้นตอน - กองกำลังนอกเครื่องแบบแทรกซึมเข้าม็อบเพื่อปิดล้อมชั้นล่าง และประกบการ์ดไว้ ได้จังหวะเมื่อไหร่จับกุมทันที
                  - กองกำลังอรินทราชโรยตัวลงดาดฟ้าโรงแรม จับการ์ดพร้อมอาวุธ 2  คน ที่เฝ้าอยู่บนดาดฟ้า ถ้าต่อสู้ให้จับตาย
                  - ในชั้นที่ นชก.1 นอน จะมีการ์ดเฝ้าหน้าลิฟต์ 2 คน ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยแทรกซึมที่ฝังตัวในม็อบ
                  - เอาเชลยการ์ดที่จับได้เดินไปพร้อมกับใช้ปืนจี้หัว เพื่อส่งสัญญานให้การ์ดหน้าห้อง นชก.1 วางอาวุธ แล้วเข้าจับกุม
                  - เมื่อแผนสำเร็จตามขั้นตอน ให้ทุกหน่วยสนธิกำลังเข้าจับ นชก.1 ถึงห้องนอน (แต่อย่าทำอะไรกับคู่ข้าเป็นอันขาด)

ใครไม่เชื่อ  รอฟังข่าวตอนตี 4 นะครับ  อิอิ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
                                     
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
********************************
 
 
 
 
 
 

 

                                                      วันไหว้ครู 

 

 

 

                                        

 

 

เป็นกิจกรรมหนึ่งที่สถาบันการศึกษาทุกระดับทุกแห่งจัดขึ้นในช่วงต้น ๆ ของปีการศึกษา สะท้อนถึงคุณค่าทางจิตใจของคนไทย

            - สะท้อนถึงความผูกพันใกล้ชิดระหว่างครูกับศิษย์
            - สะท้อนให้เห็นถึงความกตัญญูรู้คุณของสังคมไทยต่อผู้มีพระคุณ
            - สะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความเมตตา ของครูต่อศิกษย์
            - สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนทางจิตใจ
            - แฝงสาระที่เป็นคติธรรมสอนใจมาก
มาย

 

          วันไหว้ครู เป็นวันที่นักเรียนจะได้แสดงคุณธรรมในจิตใจ คือไหว้ครู คำว่า  ไหว้ครู  นั้น เป็นถ้อยคำธรรมดาสามัญที่เข้าใจกันอยู่ และทราบถึงความหมายกันเป็นอย่างดี แต่ก็จะขอขยายความคำว่า  ไหว้ครู  เพื่อประกอบความรู้และประดับสติปัญญาตามสมควร

 

           ไหว้ครู  เป็นคำไทย 2 คำ นำมาเชื่อมกัน คือคำว่า ไหว้  กับคำว่า  ครู  แต่ละคำมีความหมายอยู่ในตัว คำว่า ไหว้ ก็หมายถึงการแสดงสัมมาคารวะ การบูชา การแสดงความนับถือ การแสดงความเทิดทูน นี่เรียกว่า  ไหว้  เป็นคำกิริยาที่ใช้กันเป็นประเพณีนิยมของไทย และในบางกรณีคำนี้ ก็ย่อมจะกินความคลุมไปถึง กราบซึ่งในความหมายว่ายอมตนลงราบคาบด้วย เพราะฉะนั้นไหว้ก็ดีกราบก็ดี รวมอยู่ในความหมายอันเดียวกัน คือ แสดง ความยกย่อง แสดงอาการเชิดชูบูชานับถือ 

 

           โอกาสนี้เราทั้งหลาย ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครู อาจารย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความถนัด ครูนั้นเป็นทิศๆ หนึ่งในจำนวนทิศทั้ง 6 โดยเฉพาะเป็นทิศเบื้องขวา เรียกว่า ทักขิณ ทิศที่ว่าให้ความถนัด คือเป็นผู้ให้วิชาความรู้แก่เรา      

     

 ประโยชน์ของการไหว้ครู 
 

          หากการแสดงคุณธรรมด้วยการไหว้ไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ประเพณีน่าจะเลิกกันเสียที แต่ที่ต้องไหว้กันอยู่ประจำทุกปี ทุกโรงเรียน แสดงว่าต้องมีประโยชน์ ประโยชน์ของการไหว้ คือ

          1. ผู้ไหว้ได้รับความเมตตาจากผู้ถูกไหว้
          2. ผู้ไหว้ได้รับความสบายใจ
          3. ช่วยให้ผู้ถูกไหว้หันมาสำรวจตรวจตราพัฒนาตนเอง
          4. ได้รักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยไว้
          5. บรรเทาโทษเสียได้ 

         

 โบราณท่านกล่าวว่า "ศรต้องมีพิษ ศิษย์ต้องมีครู ศิษย์มีครูเหมือนงูมีพิษ ศิษย์ไม่มีครู เหมือนงูไม่มีพิษ" ไม่น่ากลัวอะไร ไม่ต่างอะไรกับปลาไหล รอเวลาให้เขาผัดเผ็ดเท่านั้น "ศิษย์ดีต้องมีคุณธรรม ศิษย์ไม่ได้ความคุณธรรมไม่มี" นักเรียนจะต้องรู้จักข้าว ข้าวรวงโตที่มีวิตามิน เวลามันออกรวง จะน้อมรวงถ่วงยอดแสดงอาการดุจคารวะแม่พระธรณี แต่ข้าวรวงใดที่ชี้เด่แทบจะทิ่มก้นเทวดา แสดงว่าข้าวรวงนั้นไม่มีวิตามิน เป็นข้าวขี้ลีบ คนก็เหมือนกัน หากรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แสดงว่าเป็นคนมีคุณภาพเป็นผู้มีคุณธรรม บางคนเป็นโรคสันหลังแข็งก้มไม่ลง บุคคลนั้นไม่ต่างอะไรกับข้าวขี้ลีบ

 

 พิธีไหว้ครู

 

หรือ การไหว้ครู มีหลายอย่าง เช่น การไหว้ครูนาฏศิลป์ ไหว้ครูดนตรี ไหว้ครูโหราศาสตร์ ไหว้ครูแพทย์แผนไทย เป็นต้น  ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไป เมื่อเอ่ยถึง พิธีไหว้ครู เรามักจะหมายถึง การไหว้ครูในสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำในช่วงเปิดภาคการศึกษา  การไหว้ครู เป็นประเพณีสำคัญที่มีมาแต่โบราณ ถือเป็นพิธีกรรมที่แสดงความเคารพและระลึกถึงพระคุณของบูรพาจารย์ ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ ทำให้เราสามารถนำไปประกอบวิชาชีพ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต โดยทั่วไป พิธีไหว้ครูมักจะจัดในวันพฤหัสบดี ด้วยถือว่าพระพฤหัสเป็นเทพที่ส่งเสริมวิทยาการและความเฉลียวฉลาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของครู จึงถือเอาวันนี้เป็นวันไหว้ครู เพื่อความเป็นสิริมงคล

 

 

 คำปฏิญาณตน 
 

เราคนไทย ใจกตัญญู รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

เรานักเรียนจักต้องประพฤติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียน

 มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น

เรานักเรียนจักต้องปฏิบัติตนไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น

  

 

คำสวดไหว้ครูทำนองสรภัญญะ

 

ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตตรา นุสาสกา

      ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้กอรปเกิดประโยชน์ศึกษา
      ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
      ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์ ด้วยใจนิยมบูชา
      ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
      ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน อยู่ในศีลธรรมอันดี
     ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี แก่ข้าและประเทศไทย เทอญ

ปัญญา วุฑฒิ กเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหํ

 

  

สิ่งที่ต้องเตรียมในการไหว้ครู

   

การไหว้ครู ในอดีตนั้น มักจะใช้ หญ้าแพรก ข้าวตอก ดอกมะเขือ และดอกเข็ม เป็นองค์ประกอบในพานดอกไม้แต่ละอย่างล้วนเป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้น

 

           - หญ้าแพรก เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความเข้มแข็ง อดทนถึงแม้จะแห้งแล้ง คนเดินเหยียบย่ำ หญ้าแพรกก็จะไม่ตาย พอได้รับโอกาสที่เหมาะสม ได้รับความชุมชื้น ก็จะแตกยอดเจริญงอกงามเป็นอย่างดี  ครูจึงต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็งอดทนต่อปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนนักศึกษามากมาย และค่อย ๆสะท้อนปลูกฝังความมุ่งมั่นอดทน เข้มแข็งไปสู่นิสัยของนักเรียน นักศึกษา ฝึกให้เขาเข้มแข็งอดทนให้จงได้

 

          - ข้าวตอก เป็นข้าวที่เกิดจากการใช้เมล็ดข้าสารไปคั่ว โดยมีฝาครอบไว้ เมื่อได้รับความร้อนระดับหนึ่ง เมล็ดข้าวก็จะพองตัวและแตกตัวออกเป็นข้าวตอก มีกลิ่นหอม  เช่นเดียวกับการให้การศึกษา ครูผู้สอนต้องให้การอบรมคู่กันไปด้วย "อบเพื่อให้สุกรมเพื่อให้หอม" เช่นเดียวกับการทำข้าวตอก

           

การสั่งสอนอบรมของครู บางครั้งต้องมีการว่ากล่าวตักเตือน ติติงหรือทำโทษ ในการกระทำที่ไม่เหมาะสมเสมือนการใช้ความร้อนกับเมล็ดข้าว โดยมีกฏระเบียบหรือแนวปฏิบัติ เสมือนเป็นฝาครอบ ไม่ให้ลูกศิษย์กระเด็นกระดอนออกนอกลู่นอกทาง ครูจึงต้องทำหน้าที่สั่งสอนอบรมให้นักเรียน นักสึกษาเป็นดังเช่นข้าวตอก คือ "สุกและหอม" ซึ่งหมายถึง การสั่งสอนแนะนำให้เขามีความรู้ความสามารถและเป็นคนดีที่ยอมรับนั่นเอง

 

             - ดอกมะเขือ ลักษณะของดอกมะเขือ เวลาบานจะสีขาวสะอาดและดอกจะโน้มคว่ำลงพื้นดินซึ่งก็เป็นปริศนาธรรม แสดงถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจ เป็นคนซื่อสัตย์ อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ

 

             - ดอกเข็ม ลักษณะของดอกเข็มจะมียอดดอกแหลม ซึ่งเป็นปริศนาธรรมว่า ครูต้องจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังความคิด ให้นักเรียนนักศึกษาเป็นคนฉลาด(หัวแหลม) รู้จักวิเคราะห์วิจารณ์ ใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่พบเห็น ความเฉียบคมทางความคิดจะทะลุทะลวงทุกปัญหาได้

           

  คนโบราณช่างชาญฉลาดที่จะสอนศิษย์ด้วยกลวิธีต่าง ๆ แม้กระทั่งการใช้ดอกไม้ต้นไม้ ฯลฯ เป็นสื่อการสอนทำให้ลูกศิษย์ให้ยุคก่อนเก่าได้เรียนรู้จากธรรมชาติ และรู้จักกตัญญูรู้คุณผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่ตลอดไป และการที่เราใช้ "หญ้าแพรกดอกมะเขือ" ในการไหว้ครูนั้น เพราะเป็นของหาง่าย งอกงามอยู่ทั่วไป

           

ตอนเช้าตรู่วันพฤหัสซึ่งเป็นวันไหว้ครู เด็กๆจะไปโรงเรียนเช้าเป็นพิเศษ เพื่อ่ไปช่วยกันจัดพานดอกไม้ ซึ่งอาจมีการปักดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบบ้าน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือ พานดอกไม้นี้เด็กนักเรียนหญิงจะเป็นคนถือ ส่วนเด็กผู้ชายจะถือธูปเทียนและช่อดอกไม้ ( ช่อดอกไม้หมายถึงดอกไม้ที่หาได้เอามารวมกัน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือเช่นกัน)

          

  พิธีไหว้ครูจึงเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่นักเรียนทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันมาแสดงความเคารพและระลึกบุญคุณของครูอาจารย์อย่างแท้จริง

 

ข้อมูลจาก 

- รศ.เฉลา  ประเสริฐสังข์  http://vannessa.exteen.com 

 

   

 

 

 

 

เรือจ้าง บทกลอนวันครู

 

 

 “ครู” ประดุจ “เรือจ้าง”  ใครช่างเปรียบ
“ครู” ควรเทียบ ฟ้ากระจ่าง กว้างไพศาล
“ครู” ตักเตือนเมตตา-อภิบาล
“ครู” สอนสั่งวิชาการ...วิชาคน

เป็นผู้แนะ นำให้ ได้ประจักษ์
ว่าด้วยหลัก วิทยา – หาเหตุผล
และเตือนย้ำ คุณธรรม ประจำตน
นั้นจะดล ให้ชิวิต “ศิษย์”ได้ดี

หากแนวทาง ที่“ลูกศิษย์” คิดผิดพลาด
“ครู” ไม่อาจ ภาคภูมิได้ ในศักดิ์ศรี
ประหนึ่งว่า คนพายเรือ จ้างลำนี้
ทำหน้าที่ ขาดตก บกพร่องไป

เรือเทียบฝั่ง เข้าส่ง ตรงริมท่า
“คนโดยสาร” รู้เถิดว่า เหนื่อยแค่ไหน
“คนพายเรือ” ถ่อนำ ค้ำด้วยใจ
ขอเพียงให้ ศิษย์สมหวัง ดังกมล

“ครู” ประดุจ “เรือจ้าง”  ใครช่างเปรียบ
“ครู” ควรเทียบ แสงสว่าง กลางไพรสณฑ์
เป็นแสงทอง ส่องชี้ ชีวิตคน
พระคุณล้น เกินรำพรรณ จำนรรจา

แม้ไม่มี ข้าวตอก- ดอกไม้หอม
ประดับพร้อม เป็นพุ่มพาน อันหรูหรา
แต่ขอนำ จิตร้อยถัก อักษรา
ประณตน้อม “สักกาฯ” พระคุณ “ครู”

 

โดย poohkan

 

 

 

 

 

 

          

 

 

 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:47:10 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>