Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

พลาสติก ใช้ไม่ถูกเสี่ยงมะเร็ง

ArjanPong | 05-01-2557 | เปิดดู 3812 | ความคิดเห็น 0

 

 

              พลาสติก ใช้ไม่ถูกเสี่ยงมะเร็ง

 

 

 

 

 

          

 

 

  ดูเหมือนว่า พลาสติก จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยกันไปแล้ว เพราะแทบทุกหนทุกแห่ง มีของที่ทำจากพลาสติกตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบกันเลยทีเดียว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพลาสติกเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกที่หาซื้อได้ง่าย มีราคาไม่แพงมาก และมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ แต่คุณรู้ไหมว่า!...พลาสติกใกล้ตัวอย่างขวดใส่น้ำ หลอดดูด ชาม โฟม ฯลฯ ที่เราใช้กันมากในชีวิตประจำวัน กลับเต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่ซ่อนเร้นตัว เพื่อรอเวลาที่จะหลั่งไหลเข้าไปทำอันตรายให้กับร่างกายของเรา!

 

ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าประเภทของพลาสติกที่ผลิตกันอยู่ทุกวันนี้ที่แบ่งออกได้ 7 ชนิดด้วยกัน ประกอบด้วยอะไรกันบ้าง...

 

ชนิดที่ 1 เป็น พีอีทีอี (PETE) ชื่อเต็ม คือ polyethylene terephthalate ethylene เป็นพลาสติกใสใช้บรรจุน้ำดื่ม น้ำอัดลม เครื่องดื่ม น้ำผลไม้ น้ำยาซักผ้า น้ำยาทำความสะอาด และ อาหารบางชนิด

 

ชนิดที่ 2 เป็น เอชดีพีอี (HDPE) ชื่อเต็มคือ high density polyethylene เป็นพลาสติกสีทึบ ใช้บรรจุนมสด น้ำดื่ม น้ำยาฟอกขาว น้ำยาซักผ้า แชมพู ขวดยา และถุงพลาสติก

 

ส่วนชนิดที่ 3 เป็นพีวีซี (PVC) เป็นชื่อย่อของ polyvinyl chloride ใช้เป็นพลาสติกสำหรับห่อหุ้ม เชือกพลาสติก เป็นขวดบรรจุชนิดบีบ มักจะใช้บรรจุน้ำมันพืช น้ำมันซักผ้า น้ำยาเช็ดกระจก ที่ใช้กันมากคือ ถุงหิ้วที่ใช้ใส่ของกันตามร้านค้า ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านสะดวกซื้อ

 

ชนิดที่ 4 คือ แอลดีพีอี (LDPE) ชื่อเต็มคือ low density polyethylene ใช้เป็นถุงหิ้ว ใช้ห่อหุ้ม ขวดพลาสติกบางชนิด และที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ ถุงเย็นใส่อาหาร ขนม กาแฟเย็น ชาเย็น

 

ชนิดที่ 5 เป็นพีพี (PP) ชื่อเต็มคือ polypropylene ใช้เป็นยางลบ ใช้ บรรจุภาชนะไซรัป โยเกิร์ต หลอดดูด ขวดนมเด็ก ถุงร้อนใช้สำหรับบรรจุอาหารร้อน เช่น ก๋วยเตี๋ยว กาแฟร้อน เป็นถ้วยกาแฟ ชา ชนิดใช้แล้วทิ้ง

 

ชนิดที่ 6 เป็นโพลีสไตรีน (Polystyrene) เป็นพลาสติกที่ใช้เรียกทั่วไปว่าโฟม ใช้บรรจุรองรับการกระแทกพวกอุปกรณ์ ตู้เย็น วิทยุ วิทยุ โทรทัศน์ฯลฯ ในกล่องกระดาษอีกที ใช้ทำกล่องสำหรับบรรจุอาหารที่เรียกว่า ข้าวกล่อง ที่ใส่ไข่ ถ้วยที่ใช้แล้วทิ้ง ช้อน ส้อม มีดพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้ง

 

ชนิดที่ 7 เป็นชนิดอื่นๆ เช่น พอลีคาร์บอนเนต (Polycarbonate) ทำเป็นขวดน้ำ เหยือกน้ำ ขวดนม ขวดน้ำบรรจุ 5 ลิตร ขวดน้ำนักกีฬา ใช้บุกระป๋องโลหะสำหรับใส่อาหาร เป็นถ้วยใส ช้อนส้อม มีดชนิดใส

 

 

 

 

 

 

 

พลาสติกทั้ง 7 ชนิดได้ผ่านกระบวนการผลิตโดยใช้สารเคมี เพื่อใช้งานตามประเภทต่าง ๆ ที่ระบุข้างต้น แต่ปรากฏว่าผู้บริโภคกลับใช้งานพลาสติกไปในทางที่ผิดหรือไม่ถูกวิธี ส่งผลทำให้สารพิษซึมเข้าสู่ร่างกาย!...เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเสียงเตือนออกมาจาก นายประกาย บริบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถึงการนำพลาสติกสำหรับบรรจุน้ำดื่มมาใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้งว่า แม้ขวดน้ำดื่ม น้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้จะมีความคงทนแข็งแรงกว่าขวดพลาสติกประเภทอื่นๆ แต่การนำกลับมาล้างใช้ใหม่ต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างทำความสะอาดขวดเพทที่มีรูปทรงหรือร่องที่เป็นลวดลายสวยงามของขวด ที่ทำความสะอาดยากและไม่สะอาดพอจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดี ถ้าสังเกตว่าขวดน้ำที่ผ่านการล้างและใช้ซ้ำนานๆ มีรอยร้าว บุบ แตก มีสีที่เปลี่ยนไป ขุ่นหรือมีคราบเหลืองให้ทิ้งทันที

 

หากเก็บพลาสติกชนิดนี้ไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะเมื่อขวดน้ำพลาสติก ถูกแสงแดดหรือความร้อนเป็นเวลานาน ทำให้สารเคมีบนขวดพลาสติกสลายตัว ละลายปนในน้ำดื่ม หรือหากวางน้ำดื่มไว้ใกล้สารเคมี วัตถุอันตราย หรือผงซักฟอก ก็จะส่งผลให้น้ำในขวดพลาสติกดูดกลิ่นสารเคมีเข้าไปได้ ทำให้มีกลิ่นไม่ชวนดื่ม และมีโอกาสที่สารนั้นอาจปนเปื้อนสู่น้ำดื่ม ซึ่งเราก็จะได้รับสารเคมีนั้นไปด้วย

 

จากการที่ใช้ขวดน้ำพลาสติกไม่ถูกวิธีนี่เอง ที่ส่งผลให้ขณะนี้มะเร็งเต้านมในเพศชายมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยแล้วพบว่า 1 ใน 100 คนเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากชายไทยส่วนใหญ่นิยมดื่มน้ำจากขวดพลาสติกมากขึ้น เพราะนอกจากจะสะดวกแล้วยังสามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้ ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจและขาดคำแนะนำ จนทำให้สารก่อมะเร็ง ซึ่งทางวิทยาศาสตร์มีชื่อว่าสารซีโนเอสโตรเจนแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว!

 

 

 

 

           

 

 

นอกจากนี้ ยังมีผลการวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์ทั้งในสหรัฐและอังกฤษที่ต่างระบุตรงกันว่า สารเคมีในพลาสติกบรรจุอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจ เบาหวาน โรคไตบางชนิด และยังเป็นอันตรายต่อการพัฒนาต่อมลูกหมากและสมอง รวมถึงยังทำให้ทารกในครรภ์ เด็กเล็กและเด็กโตมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอีกด้วย ซึ่งสารที่ว่านี้ มีชื่อว่า สารบิสฟีนอล เอ หรือ บีพีเอ นั่นเอง

 

            ไม่เพียงแต่ขวดน้ำเท่านั้น...ใครจะรู้บ้างว่า โฟม ที่ห่ออาหารมื้ออร่อยของเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะเต็มไปด้วยอันตราย! จากการสำรวจวิจัยภาชนะโฟมบรรจุอาหารที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ได้มาตรฐานทุกตัวอย่าง และจากการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ประเภทโฟมที่ใส่อาหารที่ผู้ผลิตนำมาตรวจวิเคราะห์เพื่อการรับรองสินค้า ก็พบว่ามีคุณภาพตามที่กฎหมายกำหนดด้วย แต่ในส่วนของการใช้งานนั้นกลับพบว่า มีการนำภาชนะโฟมไปใช้ไม่เหมาะสม อันเนื่องมาจากผู้ซื้อ ผู้ขายไม่มีใครรู้ว่าโฟมใส่อาหาร ไม่ทนต่อความร้อน ถ้าพ่อค้าแม่ขายไม่รองใบตองหรือถุงร้อนทั้งด้านบนและล่างโฟมก่อนวางอาหาร เมื่อถูกความมันจากอาหาร สารเคมีจะละลายได้ง่ายขึ้นและออกมาปนเปื้อนกับอาหาร หากรับประทานสะสมเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายถูกทำลาย อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสมอง ระบบประสาท เม็ดเลือดแดง ตับ ไต และก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ในที่สุด

 

            นอกจากนี้ ยังรวมไปถึง ถุงพลาสติก ที่ใช้ใส่อาหารก็อันตรายเช่นกัน หากใช้ไม่ถูกประเภท เพราะถุงพลาสติกมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ ประกอบด้วย แบบแรกถุงร้อน ซึ่งมีลักษณะใสมาก ผิวกระด้างกว่าถุงเย็น ไม่ยืดหยุ่น เหมาะสำหรับการบรรจุของร้อนและอาหารที่มีไขมัน ทนความร้อนได้ถึง 100-120 องศาเซลเซียส และถุงร้อนชนิดความหนาแน่นสูงแต่สีถุงมีลักษณะบางขุ่น แบบที่สอง คือ ถุงเย็น ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างใสนิ่ม ยืดหยุ่นพอสมควร เหมาะสำหรับใช้บรรจุอาหารแช่แข็ง ทนความเย็นได้ถึง 70 องศาเซลเซียส แต่ทนความร้อนได้ไม่มาก และแบบสุดท้าย คือ ถุงหิ้วหรือถุงก๊อบแก๊บ ถุงชนิดนี้ไม่ปลอดภัยต่อการบรรจุอาหารทุกชนิด แต่คนส่วนใหญ่กลับนำมาใส่อาหารโดยเฉพาะกล้วยแขก ปาท่องโก๋ ฯลฯ เพราะถึงแม้จะมีกระดาษรองอีกชั้น แต่สารโลหะหนักก็มีโอกาสที่จะละลายออกมาปนเปื้อนได้

           

             อย่างไรก็ตาม อันตรายจากพลาสติกชนิดต่างๆ ก็สามารถป้องกันได้ วันนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้นำวิธีหนีให้ไกลมัจจุราชเงียบในพลาสติกมาฝากกันค่ะ เริ่มจากการปรับเปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้วแทนพลาสติก อาทิ ขวดแก้ว จานหรือชามกระเบื้อง หม้อกระเบื้องเคลือบ หรือจะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการใช้วัสดุอินทรีย์แทนพลาสติก อาทิ ใบตอง ห่อผัดไทยใช้เชือกกล้วยผูกหิ้ว ส่วนใครที่หลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกไม่พ้น ก็ไม่ควรทิ้งขวดน้ำพลาสติกไว้ในรถ และเมื่อใช้เสร็จแล้วก็ไม่ควรนำกลับมาใช้ใหม่ อย่าใช้ความร้อนสูงหรือใช้ความเย็นจัดกับภาชนะพลาสติก อาทิ เอาไปใส่ในไมโครเวฟหรือใส่ไว้ในช่องแช่แข็ง อย่าให้ภาชนะกระทบกระแทก หรือขูดขีดมาก ระวังไม่ให้เด็กอมขวดหรือกัดพลาสติกเล่น และในแต่ละวันควรจำกัดการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกไว้ไม่ให้มากจนเกินไป

 

            เพียงแค่เราทำความเข้าใจกับพลาสติกแต่ละชนิด และรู้จักที่จะระวังตัวเองด้วยการใช้พลาสติกอย่างรู้เท่าทัน หรือหลีกเลี่ยงไปใช้วัสดุที่เป็นแก้วแทนก็จะปลอดภัยกว่า อย่าลืมว่า...ความประมาทเพียงแค่นิดเดียว อาจทำให้ร่างกายคุณสะสมสารเคมีจนก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา กว่าคุณจะรู้ตัวอีกที ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้แล้ว ดังนั้น ป้องกันไว้ ย่อมดีกว่าแก้ค่ะ

 

 

เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

 

 

                  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กกต.ไม่ร่วมเวทีรัฐบาลเชิญถกข้อเสนอเลื่อนเลือกตั้ง  

 

จะส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
 
คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จัดประชุมนอกสถานที่ ที่จังหวัดชลบุรี เพื่อหารือถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี เชิญร่วมประชุมกับพรรคการเมืองต่างๆ และหน่วยงานเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเพื่อหารือถึงข้อเสนอให้เลื่อนวันเลือกตั้ง
  
โดยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยว่า กกต.จะมอบหมายให้เลขาธิการ กกต.เป็นตัวแทนไปร่วมหารือกับรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ โดย กกต.มีมติให้หารือกับรัฐบาลก่อน ที่จะไปคุยกับพรรคการเมืองซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ จึงได้ประสานไปยังนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้นัดหมายพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีและ กกต.ในวันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคมนี้ หากผลการหารือยังขัดแย้งกันอยู่ กกต.ก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐวินิจฉัย
 
นายสมชัย ระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ม.ค.57) จะไปร่วมหารือกับรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการขอความร่วมมือ หากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ที่ยังขาดอยู่ใน 16 จังหวัด หรือประมาณ 1 หมื่นหน่วยเลือกตั้ง 
 

 

        
         14 มกราคม 2557
 
 
 
 
 
 
 
 

 

'อ.เอกชัย' ชี้เลื่อนการเลือกตั้ง คือ รัฐประหาร(เงียบ)

 

 

 

 
 
 
 
 
รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.สยาม เผยแพร่บทความ "การเลื่อนการเลือกตั้ง คือ รัฐประหาร (เงียบ)" ชี้เป็นการพรากอำนาจอธิปไตยไปจากมือของคนไทยทุกคนที่ต้องการใช้อำนาจอธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง
 
อาจารย์เอกชัย ไชยุนวัติ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.สยาม เผยแพร่บทความชี้การเลื่อนการเลือกตั้ง คือ รัฐประหารเงียบ โดยรายละเอียดบทความมีดังต่อไปนี้
 
"การเลื่อนการเลือกตั้ง คือ รัฐประหารเงียบ เหตุที่ต้องใช้คำนี้ เพราะคนไทยได้เห็นการรัฐประหาร การยึดอำนาจ โดย ทหารใช้กำลังทางทหารนำอาวุธต่างๆ ออกมาแสดงสัญลักษณ์ เป็นจำนวนหลายสิบครั้ง เห็นและรับทราบข้ออ้าง ของ ทหารที่ต่างบอกว่า มีหน้าที่ออกมาหยุดไม่ให้คนไทย ฆ่ากันเอง ครั้งสุดท้ายการปฏิวัติ เมื่อ ปี พศ ๒๕๔๙ คนไทยทุกคนก็ได้เห็นภาพนั้น แต่สิ่งที่คนไทยไม่เคยเห็น คือ รัฐประหารเงียบ(!) 
 
รัฐประหารเงียบ ในความคิดของผู้เขียน(ส่วนตัว) คือ การพรากอำนาจอธิปไตย อำนาจของประชาชนในการปกครองประเทศไทย ในการเลือกผู้ปกครองประเทศผ่านขั้นตอนที่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในกฎหมาย พรากไปจากมือของคนไทยทุกคนที่ต้องการใช้อำนาจ อธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง ตามที่ รัฐธรรมนูญ กำหนดมาตรา ๑๐๘ แห่ง รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. ๒๕๕๐(๒๕๕๔) กำหนดหลักไว้ ๓ประการดังนี้
 
(๑) เมื่อมีการยุบสภา จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่
 
(๒) การเลือกตั้งนั้นจะต้องกระทำในระหว่าง ๔๕ ถึง ๖๐วัน
 
(๓) การยุบสภาให้กระทำได้ในครั้งเดียว
 
ทั้ง๓ประการนี้ รัฐธรรมนูญมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียว คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ตามที่ รัฐธรรมนูญมาตรา ๓ ระบุไว้ เมื่อมีปัญหาทางการเมือง นายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ใช้อำนาจดุลยพินิจวินิจฉัยฝ่ายบริหาร ตัดสินใจ ยุบสภา ส่งอำนาจที่ได้รับมอบหมายมาจาก ประชาชนชาวไทยกลับคืนไปยัง ปวงชนชาวไทยทุกคน ให้ประชาชนได้ใช้อำนาจตัดสินใจในวันเลือกตั้ง
 
ทุกท่านจะเห็นได้ว่า อำนาจในฐานะเจ้าของประเทศของท่านไม่เคยหายไปไหน(!!) แต่ท่านได้มอบอำนาจนั้นให้ กับกลุ่มบุคคล ที่ท่าน(ตัดสินใจ)เลือก ตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้ ปวงชนชาวไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตลอดเวลาไม่เคpเปลี่ยนแปลง !
 
ถ้าสังคมไทยนี้ เป็นสังคม นิติรัฐ ในระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม อย่างแท้จริงทั้งในทางพฤตินัย และนิตินัย คนไทยก็คือเจ้าของอำนาจที่แท้จริงตลอดเวลาทุกวินาที ดังนั้น การยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง ที่แน่นอน คือ ๒ กพ พ.ศ. ๒๕๕๗ คือ การกระทำตามกฎหมายทุกประการ ไม่ได้ทำตามอำเภอใจ ของ นายก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือตามคำสั่งจากแดนไกล ของนาย ทักษิณ ชินวัตร หรือจากกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า กปปส
 
แต่วาทกรรมที่ บอกว่า " ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" หรือ "เลื่อนการเลือกตั้ง" ถามว่า การเรียกร้องแบบนี้มี กฎหมายใดๆมารองรับการกระทำหรือไม่ นายกรัฐมนตรี คือ ผู้บริหารสูงสุดของประเทศไทย ที่คนไทยส่วนใหญ่ลงคะแนนผ่านการเลือกตั้งทั่วไป ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
 
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะกระทำการใดๆ ต้องถูกจำกัดการกระทำโดยต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้เสมอ นายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจกระทำนอกรัฐธรรมนูญ การปฎิรูปก่อนการเลือกตั้ง แต่หลังจากที่มีการยุบสภา ไม่มีบทบัญญัติใดใน รัฐธรรมนูญนี้ที่เปิดช่องให้ทำได้  มากกว่านั้น รัฐธรรมนูญ จำกัดอำนาจ นายกรัฐมนตรี และ ครม ไว้ที่ มาตรา ๑๘๑ ที่
 
(๑) ต้องให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี ครม ชุดใหม่ ทาทำหน้าที่ แต่
(๒) ครม ไม่มีอำนาจที่จะปลด ย้าย หรือสั่งการให้ข้าราชการ มาปฏิบัติหน้าที่
(๓)ไม่มีอำนาจ ก่องบประมาณผูกพัน
(๔)ไม่กระทำการใดๆที่เป็นผลผูกพัน รัฐบาลชุดใหม่ ถ้า การกระทำ (๒)ถึง(๔) ไม่ได้รับอำนาจอนุมัติ จาก กกต.
 
องค์กรอิสระหลัก(ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร หรือ รัฐสภา)ในระหว่างที่มีการยุบสภา ที่ต้องทำหน้าที่ทุกวิถีทางในการดูแล อำนาจ อธิปไตยของประชาชน คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวได้อย่างชัดเจนว่า กกต. มีอำนาจและหน้าที่ทุกประการ ที่จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งที่เป็นไปโดย สุจริตและเทียงธรรม
 
ในขณะที่ อำนาจของนายกรัฐมนตรีและ ครมนั้น ถูกจำกัดไว้อย่างชัดเจนและมากมายใน รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๘๑ อำนาจของ กกต.มีอย่างมากมายใน รัฐธรมนูญ มาตรา ๒๓๕ และ ๒๓๖  มาตรา ๒๓๕ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งหรือการสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นแล้วแต่กรณี
 
รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม" และ มาตรา ๒๓๖ ยังให้อำนาจ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังต่อไปนี้ โดยเฉพาะที่ มาตรา ๒๓๖(๔) "มีคำสั่งให้ข้าราชการ พนักงาน หรือ ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ปฏิบัติการทั้งหลายอันจำเป็นตามกฎหมาย มาตรา ๒๓๕ วรรคสอง" โดย ม ๒๓๕ วรรค ๒ ระบุให้ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้รักษาการ ตาม กฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ การเลือกตั้งท้องถิ่นและระดับชาติ และการลงประชามติ
 
หมายความว่า รัฐธรรมนูญ ให้อำนาจ คณะกรรมการการเลือกตั้งไว้อย่างชัดแจ้งในระดับรัฐธรรมนูญที่สั่ง มนุษย์ทุกคนที่รับเงินภาษีจากราษฎรในการจัดให้มีการเลือกตั้ง เพราะนั่นคือ การดำเนินการให้อำนาจอธิปไตยของประชาชนไม่สะดุดหยุดลง เพื่อให้ ประเทศนี้ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศผ่านกระบวนการประชาธิปไตย!
 
ดังนั้น การ ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง และการเลื่อนการเลือกตั้ง ทำไม่ได้ตาม รัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพราะ เมื่อมีการยุบสภาแล้ว ประชาชน ๔๘ล้านคนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทุกคนจะ ปฏิรูปประเทศ โดยการแสดงออกผ่านทางการออกเสียงลงคะแนน ประชาชนจำนวนนี้รวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุน กปปส ด้วยและเท่าเทียมกันทุกประการ ๑ คน ๑ เสียง
 
วาทกรรมที่ต้องการให้มีการเลื่อนการเลือกตั้ง เพื่อปฏิรูปประเทศ จึงทำให้อำนาจอธิปไตย อำนาจเดียวที่ประชาชนทุกคนมี หลุดลอยออกไปจากสิ่งที่ กติกาสังคมกำหนดไว้ตามสัญญาประชาคม ไม่สามารถตอบได้ว่า ใครคือผู้ใช้อำนาจ ปฏิรูปประเทศ อ้างอิงประชาชนมวลรวมอย่างไร??มีการใช้อำนาจตามกฎหมายไหน ในขณะที่ การเลือกตั้ง คือ อำนาจที่ประชาชนทุกคนมีอย่างเท่าเทียมกัน ๑คนเสียง ถ้าหน่วยงานใดจะเลื่อนการเลือกตั้งทั้งๆที่กฎหมายบังคับให้มีการเลือกตั้ง ก็ต้องตอบให้ได้ว่าท่านเอาประชาชน ๔๘ ล้านคนไปไว้ที่ไหน? 
 
เอกชัย ไชยุนวัติ 
 ประชาชน ๑ เสียง
 
 
 
 
 
เรื่องเลื่อนการเลือกตั้ง สรุปชัดๆ คือ
 
1.การตราพระราชกฤษฎีกาเป็นอำนาจพระมหากษัตริย์
 
2.กกต.ไม่มีอำนาจเลื่อนวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศ มีเพียงอำนาจจัดการเลือกตั้งตามวันเลือกตั้งที่ พรก.ยุบสภากำหนด
 
3.เขตใดสมัครไม่ครบหรือมีปัญหา กกต.มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งใหม่ให้ได้ ส.ส.ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด
 

 

 

มีอำนาจอะไรมาตีความ พระราชกฤษฎีกา ไม่ได้มีปัญหาคลุมเครืออะไรให้ตีความ มันชัดตรงตัว จะเอาอะไรไปตีความ รัฐบาลยืนยันไม่เลื่อน ทำตามพระราชกฤษฎีกา มีหน้าที่อะไรไปยื่นศาล รธน. ในเมื่อหน้าที่มีแค่จัดการเลือกตั้ง ถ้าศาล รธน.ยังหน้าด้านรับ ก็ไม่สนใจว่ะ คุณไม่ยอมจัด ก็จงใจขัดพระราชกฤษฎีกา เพราะพระราชกฤษฎีกาก็ยังอยู่แต่คุณไม่ทำตามเฉย จะอ้างอะไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะที่อ้างมันไม่ใช่หน้าที่ มีหน้าที่จัดก็จัดไป มีปัญหาเขาก็มีหน่วยงานอื่นแก้ไข หัวหงอกหัวดำกันเเล้วทั้งนั้น...ตะเเบงกันอยู่ได้.......

 

 

 

 

                                         

 

 

 

 

 

 

 

 

      กูรู ยกให้ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกอันดับ1 ของประเทศไทย

 
กูรูชื่อดัง ด้านสถิติท่านหนึ่ง ยกให้ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกอันดับ1 ของประเทศไทย เรื่องจำนวนประชาชนที่ออกมาขับไล่
ทำลายสถิติ ล้ม ถนอม-ประภาส ราบคาบ..........
 
 
 


 

 

.........

 

ถนอม ประพาส ถูกขับไล่เพราะ เป็นทรราชย์
สั่งฆ่าประชาชน เช่นเดียวกับมาร์ค
แต่นายกปู ถูกขับไล่เพราะ ไอ้พรรคขี้แพ้ ต้อง
การยึดอำนาจ

มันเอามาเปรียบกันไม่ได้

ส่วน พรบ มันก็เป็นเพราะ ต้องการให้สังคมได้
เริ่มต้นกันใหม่ คนที่ได้ประโยชน์ ก็คือทุกฝ่าย
แต่กลับถูกบิดเบือนไปเป็นเรื่องอภัยโทษให้พี่ชาย

และถ้าได้อภัยโทษก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสิ่งที่
เขาถูกกระทำ มันคือจากความไม่ยุติธรรม จากคราบ
สกปรกของเผด็จการ ที่รวมหัวยึดอำนาจ สร้างความ
บิดเบือนทางกฎหมาย............

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

         ปรึกษาเรื่องการฟ้องเมียน้อย

 

 

 

 

 

                                    

 

 

 

 

ปรึกษาเรื่องการฟ้องเมียน้อย โดย แม่ของลูก » พฤหัสฯ. 02 ม.ค. 2014 1:47 pm

 

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อต้นปีที่แล้วทะเลาะกับสามี เค้าได้ไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น (คือ เค้าติดผู้หญิงที่ทำงานด้วยกัน) ดิชั้นกับสามีมีลูกด้วยกัน 1 คน และได้จดทะเบียนสมรสกันด้วย หลังจากนั้นดิชั้นได้กลับมาอยู่บ้านแม่ จนตอนนี้ได้ข่าวจากเพื่อนว่าสามีดิชั้นได้ไปผูกข้อมือกับผู้หญิงคนนี้ แร้วแม่ของสามีได้ไปเป็นสักขีพยานด้วย ซึ่งทุกวันนี้เค้าไม่เคยส่งเสียลูกเลยค่ะ ดิชั้นได้ก๊อปรูปจากเฟสบุ๊คมามันสามารถใช้เป็นหลักฐานได้มากน้อยแค่ไหน แล้วดิชั้นจะสามารถฟ้องใครๆด้บ้างคะ รบกวนด้วยค่ะ

 

รูปถ่ายงานผูกข้อมือหรืองานแต่ง สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานการฟ้องหย่าหรือเรียกค่าสินไหมจากฝ่ายหญิงชู้ได้ครับหากจะฟ้องในกรณีที่เล่ามานี้ สามารถฟ้องหย่าสามีตนเองพร้อมทั้งเรียกเงินค่าสินไหมจากหญิงชู้ หรือจะฟ้องเรียกเฉพาะเงินค่าสินไหมจากหญิงชู้เพียงอย่างเดียวโดยไม่ฟ้องหย่าก็ได้ครับ

 

  คำพิพากษาฎีกาที่ 1620/2538


          โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ในทางชู้สาว ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ตลอดมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ถือว่า จำเลยที่ 2 ประพฤติตนเป็นชู้ของสามีผู้อื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากเกี่ยวกับเกียรติยศ ชื่อเสียงและความทุกข์ทรมานทางจิตใจเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้ง ซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว  ส่วนความเสียหายแต่ละอย่างเป็นจำนวนเท่าใด เป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้และคดีไม่ขาดอายุความ เพราะจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อเนื่องกันมายังมิได้หยุดกระทำจนถึงขณะฟ้อง


          จำเลยที่ 2 แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 สามีโจทก์ในทำนองชู้สาว โดยโจทก์มิได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันภริยา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสองได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงหย่ากันเองหรือศาลพิพากษาให้หย่ากัน

 

 

ปพพ. มาตรา ๑๕๒๓
            *เมื่อ ศาลพิพากษาให้หย่ากัน เพราะเหตุ ตาม
มาตรา ๑๕๑๖ (๑) ภริยาหรือสามี มีสิทธิได้รับ ค่าทดแทน จากสามีหรือภริยา และ จากผู้ซึ่ง ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือ ยกย่อง หรือ ผู้ซึ่งเป็น เหตุแห่งการหย่านั้น
            สามี จะเรียก ค่าทดแทน จากผู้ล่วงเกินภริยา ไปในทางชู้สาว ก็ได้ และ ภริยา จะเรียก ค่าทดแทน จากหญิงอื่น ที่แสดงตน โดยเปิดเผย เพื่อแสดงว่า ตนมีความสัมพันธ์กับสามี ในทำนองชู้สาว ก็ได้
            ถ้า สามีหรือภริยา ยินยอม หรือ รู้เห็นเป็นใจ ให้อีกฝ่ายหนึ่ง กระทำการ ตาม
มาตรา ๑๕๑๖(๑) หรือ ให้ผู้อื่น กระทำการ ตามวรรคสอง สามีหรือภริยานั้น จะเรียกค่าทดแทน ไม่ได้

 

 

*วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๖ แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๐

วรรคหนึ่ง (เดิม) คือ
            เมื่อ ศาลพิพากษา ให้หย่ากัน เพราะเหตุ ตาม
มาตรา ๑๕๑๖(๑)
ภริยาหรือสามี มีสิทธิได้รับ ค่าทดแทน จากสามี หรือ ภริยา และ จากหญิงอื่น หรือ ชู้ แล้วแต่กรณี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

  

 

 

 

                                         

 

 

 

 



 

 

 

 

 

 

 

********************************

 

 

 

 

 

 

 

   หนุ่มสาวออฟฟิสส่วนใหญ่ที่ชอบซื้อผลไม้ตามรถเข็นทั่วไป ระวังโดยเฉพาะผลไม้แช่บ๊วย

 


 
 

 

 

อย่างฝรั่งแช่บ๊วยที่เป็นที่โปรดปรานแก่สาวๆทั้งหลาย ระวังให้ดีนะคะ เพราะมีข่าวออกมาเตือนว่า มันอันตรายสามารถทำให้เสียชีวิตได้เลย ขอเตือนหนุ่มสาวออฟฟิศที่ชอบผลไม้รถเข็น

เพราะเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสยาม เขาร่วมกันเก็บตัวอย่างผลไม้รถเข็นเพื่อทดสอบการปนเปื้อนในอาหาร

ปรากฏว่าผลไม้แปรรูปมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายถึงร้อยละ 64.2 ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งดองบ๊วยที่มีสีเขียวและสีแดงเข้ม และยังมีสารกันราหรือวัตถุเคมีเจือปนอยู่ในผลไม้ถึงร้อยละ 32.1 โดย พญ. มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ออกมาเตือนว่าการบริโภคผลไม้และอาหารที่มีสีสันสวยงามจากสารเคมี อาจส่งผลให้ท้องเสีย ท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ หูอื้อ มีไข้ หายใจขัด เป็นบ่อเกิดมะเร็งและอาจทำให้เสียชีวิตได้ด้วยซ้ำ ดังนั้น การเลือกผลไม้ควรพิจารณาจากสี และรูปร่างที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติ และดูความสะอาดดีๆ หากเป็นไปได้เตรียมผลไม้มารับประทานเองจะปลอดภัยที่สุดค่ะ หรือเลือกร้านที่ปลอดภัยที่สุด หรือให้เลือกรับประทานผลไม้สดแทน อย่าง ฝรั่งสด จะมีวิตามินสูงมาก แนะนำให้กินสดดีกว่าแปรรูป

 



   

 

 

 

 

 

 

 

                       

       

 

  คุณแยกระหว่างความหิวกับความอยากออกจากกันได้หรือไม่ ... หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่า ทำไมเพิ่งรับประทานอาหารจึงรู้สึกหิวขึ้นมาอีกแล้ว ซึ่งนั่นเกิดจากน้ำย่อยที่หลั่งออกมาเพื่อทำให้คุณเกิดความหิวนั่นเอง แต่แท้จริงแล้วปริมาณอาหารในกระเพาะของคุณก็ยังคงมีอยู่เท่าเดิมโดยไม่ได้ย่อยเลย แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าปริมาณอาหารในกระเพาะตอนนั้นมีปริมาณเท่าไหร่... สังเกตดูที่ "ลิ้น" ของคุณสิ บอกได้!

        การตรวจดูว่าวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ความแม่นยำที่สุดในการตรวจสอบร่างกายของตนเอง ด้วยการดู "สภาพของลิ้น" ซึ่งสภาพของลิ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้งตามลักษณะนิสัยการกินอาหาร เวลากิน จนระดับความแข็งแรงของกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะลิ้นเปรียบเสมือนเครื่องตรวจวัดสุขภาพของอวัยวะภายในร่างกาย โดยการเปลี่ยนสภาพของลิ้นนั้นจะบ่งบอกด้วยการสังเกต สีลิ้น ความหนา และคราบสกปรกที่ติดอยู่

        สิ่งสกปรกที่เกิดอยู่บนลิ้น หรือที่ทุกคนเรียกกันว่า "ฝ้าลิ้น" นั้น เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณสิ่งของตกค้างที่อยู่ภายในท้อง ยิ่งมีฝ้ามากก็แสดงว่าในกระเพาะอาหารของคุณยังมีอาหารอยู่ แต่หากมีฝ้าตกค้างน้อย ลิ้นก็แทบจะไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลย

        เริ่มมาเช็กดูสภาพของลิ้นกันดีกว่า ว่าในกระเพาะอาหารของคุณมีปริมาณอาหารที่ยังไม่ย่อยอีกเท่าไหร่...

      ประเภทที่ 1 ลิ้นแทบจะไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลยและลิ้นมีสีชมพู นั่นแสดงว่าระบบย่อยอาหารของคุณทำงานได้ดี ลิ้นของคุณมีสีสวย ผิวลิ้นสะอาด สุขภาพดีแทบไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลย

      ประเภทที่ 2 มีฝ้าเกาะที่ลิ้นเป็นคราบสีขาว แสดงว่ามีอาหารหลงเหลือค้างอยู่ในกระเพาะ ระบบย่อยอาหารยังทำงานไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ยิ่งมีอาหารตกค้างมาก ฝ้าสีขาวที่ลิ้นจะยิ่งหนามากขึ้น

      ประเภทที่ 3 ฝ้าที่ลิ้นเป็นสีเหลือง แสดงว่ามีอาหารตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารมาก ทั้งยังอัดแน่นอยู่ในลำไส้ ยิ่งกินเยอะในตอนดึก ฝ้าจะหนาและเป็นสีเหลือง


         รู้อย่างนี้แล้วก็ลองส่องกระจกสังเกตดูลิ้นของตัวเองว่ามีปริมาณอาหารที่กระเพาะยังไม่ย่อยอีกมากเท่าไหร่ เราจะได้คิดเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและไม่ทำให้กระเพราะทำงานหนักมากจนเกินไป


 

             

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขำ กปปส หาดใหญ่ .. จะไปปิดกรุงเทพ แต่โดนปิดทางรถไฟเสียก่อน เป่าปี๊ดๆ ไม่พอใจใหญ่

 

กรรมสนอง ของแท้
 
 


                  [Image: toGL0s.JPEG]
 
 
   
                  [Image: Rb98Ex.JPEG]
 
 
 
 
                  [Image: YXDqD2.JPEG]

 
 
 
 
 
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - รถไฟสายใต้หยุดเดินรถ กปปส.หาดใหญ่ตกค้าง ผู้ช่วยนายสถานีแจ้ง คอสะพานทรุด ช่วงสถานีวังด่วง-สถานีห้วยยาง จังหวัดเพชรบุรี ปิดซ่อม 11-14 ม.ค.56

วันนี้( 11 ม.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น.ศูนย์ ASTVผู้จัดการภาคใต้ ได้รับแจ้งจาก นายสมชาย อั้วจันทึก ผู้ช่วยนายสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ว่า ทางการรถไฟแห่งประเทศไทยแจ้งหยุดเดินรถไฟสายใต้ ที่จะขึ้นกรุงเทพฯ เนื่องจากคอสะพานทรุดช่วงสถานีวังด่วง-สถานีห้วยยางจังหวัดเพชรบุรี โดยคอสะพานทรุดมาตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.56

กปปส.หาดใหญ่โวย!รถไฟสายใต้หยุดเดินรถอ้างคอสะพานทรุดปิดซ่อม 4 วัน


ซึ้งขณะ นั้นรถไฟยังสามารถเดินรถได้ แต่ในช่วงหลังคอสะพานเริ่มมีการการทรุดหนักลงจนไม่สามารถเดินรถไฟผ่านไปได้ทางหน่วยซ​่อมบำรุงจึง จะทำการซ่อมบำรุงคอสะพานตั้งแต่วันนี้ 11-14 ม.ค.56 แต่ขบวนรถไฟท้องถิ่นยังสามารถเปิดให้บริการประชาชนตามปรกติ

กปปส.หาดใหญ่โวย!รถไฟสายใต้หยุดเดินรถอ้างคอสะพานทรุดปิดซ่อม 4 วัน


ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปสังเกตการณ์ที่สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ มีกลุ่มมวลชน กปปส.นับร้อยที่จะโดยสารเดินทางขึ้นกรุงเทพฯ เพื่อร่วมการชุมนุมชัตดาวน์ กรุงเทพฯของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้เกิดความไม่พอใจที่รถไฟหยุดเดินรถโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าทำให้ไม่สามารถเด​ินทางได้ตามแผนที่กำหนด

 

 

 

 "มันจะสำนึกมั้ย แค่รถไฟไม่วิ่งมันยังจะเป็นจะตาย แต่มึงมาทำความเดือดร้นด้วยการปิดบ้านคนอื่นิไอ้พวกสันดานม......"

 

 แขวงบางซื่อยังไม่ปล่อยรถซ่อมบำรุงไปครับ คงชะลอเวลาไปเรื่อยๆครับ

 อย่างน้อย สหภาพไม่ได้มีอำนาจอะไร ใน เขต กรุงเทพ หรอกนะครับ ใน แขวง บางซื่อ กับ ดีเซลรางกรุงเทพ แค่ 2 แขวง ก็มี พนักงานรถจักร + ช่างเครื่อง เกิน 70 เปอร์เซนต์ ของการรถไฟแล้ว สหภาพมีอำนาจแค่ในปักษ์ใต้เท่านั้น ฉะนั้น ถ้าบางซื่อทำ สหภาพคงจะต้านไม่ได้

 

ขบวนรถสายใต้ทุกขบวนที่มากรุงเทพน่ะ รับผิดชอบโดย สรจ.บางซื่อนะครับ
ฉะนั้น Career ส่วนกลาง สามารถจัดหลีกให้ห่วยแค่ไหนก็ได้ ตามการร้องขอของ สรจ.
ฉะนั้น พขร.บางซื่อสามารถทำให้รถช้า 400-500 นาที ง่ายมาก
และ สรจ.บางซื่อ ไม่ได้เป็นพวกสหภาพ ฉะนั้นไม่มีความจำเป็น ที่ต้องฟัง มติสหภาพ
และการถ่วงเวลา มันไม่ผิดกฎหมาย และ ขดร. การรถไฟ ด้วยครับ

 

คอสะพานชำรุดยังไม่ต้องรีบซ่อม ยังไม่จำเป็น ควรให้ถนนลูกรังหมดไปจากประเทศก่อน

 

 

 

  

 

 

 

 

         แผนการสกัดม็อบของแขวงการรถไฟ บางซื่อ

 

 
ตอนนี้ แขวงสรจ. บางซื่อ ที่เป็นแขวงใหญ่ที่สุดในการรถไฟ และดูแลรถด่วนทุกขบวนที่ออกจากกรุงเทพ จะเริ่มทำการสกัด ม็อบที่มาภาคใต้ทั้งหมด เพราะ แขวงบางซื่อ กว่า 90 เปอร์เซนต์ เป็นเสื้อแดง และ ต่อต้านสหภาพการรถไฟ โดยใช้วิธีนี้

1. จัดรถจักรให้ห่วยที่สุด ประมาณว่า ให้รถเสียกลางเขาไปเลย (เช่น แถว เขาไชยราช-มาบอำมฤต เพราะว่า กว่ารถจากชุมพรจะมาเปลี่ยนก็ใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง)

2. แกล้งวิ่งช้า ให้ช้าสัก 400-500 นาที ทุกขบวน ในวันที่ 12-13 นี้

3. ทิ้งผู้โดยสารที่ชอบลงรถตอนรถเสีย (นิสัยผู้โดยสารสายใต้ คือชอลงมาดูเวลารถหยุดนานๆ)

4. ติดต่อกับ career ให้จัดหลีกห่วยๆ (อย่างนี้ ก็ถ่วงเวลาได้เป็น ชั่วโมงๆ)
ขอบอกว่า ไม่ใช่แผนรัฐบาล แต่เป็นการแก้เผ็ดของแขวงบางซื่อซึ่งมีอำนาจมากกว่า แขวงชุมพร , ทุ่งสง และ หาดใหญ่ เพราะผู้ว่าการรถไฟหนุนหัง แขวงบางซื่อมากที่สุด อย่าโทษรัฐบาลเลย ขอร้องที และการจักรถจักร มันเป็นสิทธิ์ของ สรจ. ไม่ใช่ กปปส โปรดเข้าใจด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

น้ำตาลูกผู้หญิง

 

 

รายงานข่าวด่วนวันนี้ 11 ม.ค.57 ได้มีการแชร์คลิป “เหตุวุ่นวายงานจุดเทียนที่หน้าหอศิลป์” ซึ่ง เพจ “พอกันที ! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง” เป็นผู้จัดงานนี้ขึ้น โดยมีทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ร่วมใจกันใส่เสื้อสีขาวเข้าร่วมกิจกรรม “จุดเทียน เขียนสันติภาพ” “พอกันที ! หยุดความรุนแรง เปิดใจ ไปเลือกตั้ง” ที่บริเวณลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ซึ่งมีการจัดงานติดต่อกันมาหลายวัน ในหลายสถานที่ อาทิ ที่ จุฬาฯ ม.ศิลปากร เป็นต้น

 

 

 

 

ความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่องานเลิก โดย วรารัตน์ กระแสร์ อายุ 24 ปี เจ้าของป้าย ระบุข้อความ “If you want to kill corruption End thasinocracy It must be done In the next election” และมีชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อสีเขียว ตะโกนตั้งคำถามว่า ถูกจ้างให้มาถือป้าย พร้อมมีหญิงสาวตะโกนตลอดเวลาว่า มาผิดเวที โดยชาวคนเสื้อสีเขียวท่าทางเกรี้ยวกราดเหมือนจะเข้าไปเอาเรื่องและไล่เธอให้ ออกจากพื้นที่จัดกิจกรรม จนเกิดการชุลมุนและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาระงับเหตุ และมีการห้ามปรามกันจนไม่เกิดเหตุการณ์บานปลายไปกว่านั้น

 

โดยในคลิปก็จะเห็น วรารัตน์ กระแสร์ พูดไปร้องไห้ไป เพราะโดนกดดันจากหลายๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์

 

เจ้าตัวบอกถือโชว์มาตั้งแต่ตอนกลางวันไม่นึกจะมีเรื่อง

 

วรา รัตน์ กระแสร์ อายุ 24 ปี เจ้าของป้าย ระบุข้อความ “If you want to kill corruption End thasinocracy It must be done In the next election” (การจบปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น หยุดระบอบทักษิณ จะต้องทำผ่านการเลือกตั้งครั้งต่อไป) ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายในช่วงท้ายของการจัดงานซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้ทยอย กันเดินทางกลับแล้ว เนื่องจากมีผู้ตะโกนตั้งคำถามว่าเธอถูกว่าจ้างให้มาถือป้ายดังกล่าวและไล่ เธอให้ออกจากพื้นที่จัดกิจกรรม กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เธอได้เดินถือป้ายรอบๆ งาน มาตั้งแต่ 6 โมงเย็น โดยช่วงแรกๆ ก็มีคนถ่ายรูป และขอยืมป้ายไปถ่ายรูปบ้าง ไม่มีปัญหา เพราะคิดว่าอยู่ในพื้นที่ที่มีคนมาสนับสนุนการเลือกตั้งเหมือนกัน

 

ได้ไอเดียมาจาก กลุ่ม สปป. ไม่คิดว่าจะมีปัญหา

 

“ป้าย ที่ทำขึ้นมานี้ ใจความไม่ใช่เรื่องใหม่ค่ะ แต่ได้ไอเดียมาจากการดู สปป.และเราก็เห็นด้วยกับทางกลุ่ม สปป.และเห็นว่าทางกลุ่มพอกันทีฯ เปิดพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นที่จะสนับสนุนเลือกตั้ง จึงทำป้ายนี้ขึ้นมา” วรารัตน์กล่าวพร้อมระบุว่าไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าข้อความของเธอจะมีปัญหา

 

พยายามเลี่ยงโดยสะกด “Thaksin” ผิด.. แต่ก็ยังโดนด่า

 

วรา รัตน์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาอาจอยู่ที่การใช้คำว่า Thasinocracy ซึ่งเธอเลี่ยงสะกดคำว่า Thaksinocracy ตรงๆ พร้อมอธิบายข้อความดังกล่าวว่า คนที่เชื่อว่าระบอบทักษิณมีจริง คือกลุ่มชัตดาวน์และยังเชื่อว่าสภาประชาชนจะทำให้คอร์รัปชั่นหมดไป ทั้งที่จริงๆ แล้วการเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยนั้นสามารถตรวจสอบว่ารัฐบาลไหน คอร์รัปชั่นได้ จึงคิดว่าประโยคนี้น่าจะสื่อสารกับคนที่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง และเป็นการประชดประชันกลุ่มคนที่กลัวระบอบทักษิณ และวาทกรรมการโกง การคอร์รัปชั่นด้วย โดยส่วนตัวเธอเห็นว่าถ้าทุกคนเลือกตั้ง ระบอบทักษิณก็จะไม่มีแล้ว เพราะนี่คือระบอบประชาธิปไตย

 

ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่า ต้องระวังการใข้คำว่า “ทักษิณ” ไม่ว่าจะกับฝ่ายไหน

 

วรารัตน์ ยอมรับว่า เธอไม่ได้คิดเหมือนกันว่าแต่ละคนอาจจะตีความต่างไป เพราะเพิ่งตระหนักว่าคำว่า Thasinocracy เป็นคำที่เซนซิทีฟกับสังคมไทย และลักษณะการนำคำว่าทักษิณไปใช้ในแต่ละฝ่ายการเมืองก็แตกต่างกันด้วย ต่อไปนี้อาจต้องระวังมากขึ้น

 

ตำหนิ “สังคมขาดการตีความ-ล่าแม่มด-คุกคามคนเห็นต่าง”

 

เธอ กล่าวด้วยว่า ปัญหาการเมืองตอนนี้มันลุกล้ำเข้ามาในความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมมากจนเลย เถิด ขาดการตีความ ความฉุกคิด ความอดทน ไม่ว่าใครที่เราสงสัยแม้แต่นิดเดียว เราพร้อมที่จะขับไส โห่ไล่ แสดงความรังเกียจ โดยที่ไม่รู้สาเหตุที่มาของปัญหาว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรื่องที่เจอวันนี้ไม่ต่างจากการโคว้ทเอาคำพูดสั้นๆ มาแปะหน้าฟีด และคนในรูปที่พูดนั้นก็จะโดนล่าแม่มด โดนด่า โดนคุกคาม

 

รู้สึกกลัว แต่ต้องอดทน แม้จะอยู่ในกลุ่มความเห็นเหมือนกัน

 

“เรา เองก็เลือกแล้วว่าถ้าทำป้ายนี้ขึ้นมา เราต้องอธิบายความคิดของเราให้ได้ ต้องรับให้ได้ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราเองก็ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสื่อที่เราทำขึ้นมาเช่นกัน เราเองแม้จะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รู้สึกกลัว แต่มันสอนให้เราอดทนที่จะรับฟัง อยู่กับความขัดแย้ง แม้จะกลุ่มที่มีความคิดแนวทางเดียวกันก็ตาม”

 

วรารัตน์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ เริ่มมีแววส่อการใช้ความรุนแรงเรื่อยๆ ตั้งแต่เหตุการณ์ปะทะที่รามคำแหงและสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น เห็นอีกฝ่ายที่ต้องการเร่งเร้าความรุนแรง เรียกร้องกติกานอกรอบ ตอนนี้เดาไม่ออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แต่เมื่อยุบสภาแล้ว อำนาจกลับมาที่เราอีกครั้ง ในฐานะคนตัวเล็กขอใช้สิทธิในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

 

แหล่งข่าว/เครดิตภาพประกอบข่าว  http://www.dontemtem.com/?p=4266

 

 

 

 

 **************************************

 

 

 

 

 

 

 

   

                           ปุ๋ยหมักหัวเชื้อ

 

 

 

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com

 

 

หนูรบกวนถามน้าชาติอีกข้อหนึ่งค่ะ คือหนูอยากทราบวิธีการทำปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจากธรรมชาติ เช่น ปุ๋ย EM คือ แม่หนูเป็นชาวไร่ หนูอยากช่วยแม่ลดต้นทุนและรักษาธรรมชาติ และกระจายความรู้ให้กับเพื่อนบ้าน ขอบคุณค่ะ

น้ำผึ้ง

ตอบ น้ำผึ้ง

ปุ๋ยอีเอ็ม (EM) ที่ถามมา คือปุ๋ยที่หมักจากหัวเชื้อ EM (Effective Microorganisms) อีเอ็มเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 80 ชนิด เป็นของเหลวสีน้ำตาลดำ มีกลิ่นอมเปรี้ยวอมหวาน ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งคน สัตว์ พืชและแมลงที่เป็นประโยชน์ ช่วยปรับสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิต สามารถนำไปเพาะขยายเองได้ แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมี หรือยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อต่างๆ

วิธีการทำหัวเชื้ออีเอ็มเตรียมวัสดุดังนี้ กากน้ำตาล 2 กิโลกรัม (อาจใช้น้ำตาลทรายแดงแทนได้) น้ำมะพร้าว 4-5 ลูก สับปะรด 2 ลูก และถังพลาสติกที่มีฝาปิด 1 ใบ วิธีทำ 1.หั่นสับปะรดแก่จัดทั้งลูก (ทั้งเปลือกและ

เนื้อ) เป็นชิ้นเล็กๆ 2.ปอกมะพร้าวอ่อนเอาแต่น้ำ 3.นำสับปะรด น้ำมะพร้าว และกากน้ำตาล มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ถังพลาสติกปิดฝาทิ้งไว้ในที่ร่ม ควรคลุกเคล้ากลับไปกลับมาในถังทุก 2 วัน ประมาณ 1 -2 เดือน จะได้หัวเชื้ออีเอ็มที่มีสีน้ำตาล กลิ่นหอม ไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป

การเพาะขยายเชื้อจุลินทรีย์อีเอ็ม ทำได้โดยใช้หัวเชื้ออีเอ็ม 1 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน น้ำสะอาด 20 ส่วน หมักไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดอย่าให้อากาศเข้าได้เป็นเวลา 7 วัน แล้วใช้ให้หมดภายใน 7 วัน

สูตรการนำมาทำปุ๋ยน้ำ ผสมอีเอ็ม 1 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 10 ลิตร ใช้ฉีด พ่น รด ราด พืชต่างๆ ให้ทั่วจากดิน ลำต้น กิ่ง ใบและนอกทรงพุ่ม โดยฉีดราดทุก 3 วันถ้าเป็นพืชผัก ถ้าเป็นไม้ดอก

ไม้ประดับ ฉีดพ่นเดือนละ 1 ครั้ง

การทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง วัสดุได้แก่ มูลสัตว์ 3 ส่วน รำอ่อน 1 ส่วน แกลบ 1 ส่วน อีเอ็ม 2 ช้อน

กากน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำ 10 ลิตร

วิธีทำ 1.นำมูลสัตว์ผสมกับรำอ่อนคลุกให้เข้ากัน

2.นำอีเอ็ม กากน้ำตาล น้ำใส่ถังคนให้เข้ากัน

3.นำแกลบแช่น้ำในถังอีเอ็มนาน 10 นาที

4.นำแกลบที่แช่อีเอ็มแล้วมาคลุกให้เข้ากันกับกองมูลสัตว์ที่ผสมกับรำอ่อนแล้ว

5.รดน้ำให้มีความชื้น 40%

6.นำปุ๋ยหมักที่ผสมแล้วใส่ถุงอาหารสัตว์ที่มีการระบายอากาศดีจำนวน 3/4 ของถุง

7.นำไปวางไว้ในที่ร่มแต่อย่าวางซ้อนทับกัน แล้วกลับทุกวัน 7 วัน ก็นำไปใช้ได้

สำหรับสูตรป้องกันและกำจัดแมลงด้วยหัวเชื้ออีเอ็ม มีวิธีทำดังนี้ 1.ใบยูคาลิปตัสครึ่งปี๊บ ใบและเมล็ดสะเดาครึ่งปี๊บใส่ถัง 2.เติมน้ำใส่ไป 1 ปี๊บ ต้มให้เหลือครึ่งปี๊บ 3.ทิ้งไว้ให้เย็น กรองใส่ถังหมัก เติมอีเอ็ม 1 แก้ว เหล้าขาว 1 แก้ว และน้ำส้มสายชู 1 แก้ว กวนให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 10-15 วัน จึงนำมาใช้ได้ วิธีใช้สมุนไพรอีเอ็ม 5 ช้อนโต๊ะต่อน้ำสะอาด 10 ลิตร ฉีดพ่นพืชผัก ผลไม้ ทุกๆ 7-10 วัน

สำหรับหัวเชื้ออีเอ็ม ต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 20-45 องศาเซลเซียส ปิดฝาให้สนิทอย่าให้อากาศเข้า เปิดใช้แล้วต้องรีบปิดทันที เก็บรักษาไว้ได้ประมาณ 6-8 เดือน หากเก็บอีเอ็มไว้นานเมื่อเปิดฝาพบว่าเปลี่ยนเป็นสีดำ มีกลิ่นเหม็นเน่าแสดงว่าอีเอ็มตายไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ให้นำอีเอ็มที่เสียไปผสมน้ำ ใช้รดกำจัดหญ้าและวัชพืชที่ไม่ต้องการ

 

                                     

    ปุ๋ยเร่งผลผลิต 5 นางฟ้าทรงฉัตร สูตร 8-24-24 |ขายส่ง 790-890 บาท

ซื้อไปขายต่อลดพิเศษ 15-30%
ความนิยม Rating 

คุณสมบัติปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 เป็นปุ๋ยเคมีชนิดเม็ด ประกอบด้วยปริมาณธาตุอาหารรับรอง ดังนี้ ไนโตรเจนทั้งหมด(N) 8 % ฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์(P2O5) 24 % โพแทชที่ละลายน้า(K2O) 24 % พืชที่แนะนำให้ใช้ เช่น ใช้เป็นปุ๋ยสำหรับพืชไร่ ปุ๋ยสำหรับไม้ผล และปุ๋ยบำรุงพืชผัก
 
อัตราที่ใช้ วิธีใช้ และระยะเวลาที่ใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 การใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ในพืชไร่เช่น แห้วจีน ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ใช้ปุ๋ยเคมีตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตรสูตร 8-24-24 ในอัตรา30-60 กิโลกรัมต่อไร่ สาหรับถั่วเหลืองและถั่วเขียว ให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ ควรใส่ครั้งเดียวก่อนปลูก โดยวิธีเปิดร่องตามแถวปลูก โรยปุ๋ยเคมี กลบดิน แล้วหยอดเมล็ด ควรใช้กับดินร่วนทรายหรือดินทราย ไม่เหมาะที่จะใช้กับดินเหนียว
 
จำนวนปุ๋ยเคมีที่จะใส่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของพืช และความอุดมสมบูรณ์ของดิน ไม้ผล เช่น ส้ม ทุเรียน มะนาว ลิ้นจี่ ลำไย องุ่น ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 ตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตร บริเวณทรงพุ่มใบแล้วพรวนดินกลบ โดยให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตรนี้ในอัตรา 1-3 กิโลกรัมต่อต้น ขึ้นอยู่กับขนาดของต้น ในปีหนึ่งควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 ตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตรประมาณ 2-3 ครั้ง การใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ในพืชผักเช่น พริก หอม กระเทียม มันฝรั่ง มะเขือ ขิง ควรหว่านให้ทั่วแปลงในอัตรา40-60 กิโลกรัมต่อไร่ก่อนปลูก และใส่ปุ๋ยเคมียูเรียตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตรสูตร 30-0-0แต่งหน้าในระยะ 20-30 วัน
 
หลังจากปลูกแล้วในอัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ คำแนะนำการใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตร ควรอ่านคำแนะนำเอกสารกำกับปุ๋ยเคมีให้เข้าใจเสียก่อน หากไม่เข้าใจหรือมีปัญหาสงสัยให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ กรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร ในท้องถิ่น เพื่อให้การใช้ปุ๋ยเคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

 

              

 

 

            แนะ 10 เมนู สุดยอดอาหารต้านชรา

 

ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นาชาติ แนะนำ 10 เมนูสุขภาพรับปี 2556 สไตล์อายุรวัฒน์ เผยส้มตำไก่ย่าง เมี่ยงปลาทู เขียวหวานไก่ ผัดไทย สุดยอดอาหารต้านชรา เพราะผักในเมนูดังกล่าวล้วนเป็นสุดยอดวิตามิน เช่นมะละกอช่วยล้างพิษ มะเขือเทศป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก พริกบำรุงสายตา  

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวแนะนำสุดยอดอาหารสไตล์อายุรวัฒน์ ต้านชรา ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 10 เมนู คือ

1.ส้มตำไก่ย่าง  ที่สุดของอาหารต้านชรา  ในส้มตำมีสุดยอดวิตามินอย่าง “มะเขือเทศ” ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านม  ส่วนมะละกอช่วย “ล้างพิษ” ให้กับลำไส้น้อย-ใหญ่  ในมะละกอยังมีน้ำย่อย “ปาเปน” ช่วยล้างทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ส่วนการรับประทานคู่กับไก่ย่างนั้นมีข้อดีคือทำให้ไม่ขาดโปรตีน  และที่สำคัญคือ “ไม่อ้วน” เท่าการกินกับข้าวเหนียวหรือกินแบบหนักแป้งด้วย

 2.แกงเขียวหวานไก่ ในน้ำแกงเขียวหวานเป็นอาหารทิพย์ที่อุดมไปด้วยวิตามิน น้ำแกงเข้มข้นหอมมันคือ “ซุปวิตามินชั้นดี” ที่มีทั้งวิตามินเอ, ดี, อีและเคที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนในเนื้อไก่มีวิตามินบีที่ช่วยบำรุงสมอง  อีกทั้งในพริกที่ใส่เป็นเครื่องแกงมี “กรดแคปไซซิน” กับ “เบต้าแคโรทีน” ที่ช่วยบำรุงสายตาด้วย

3.เมี่ยงปลาทู  ได้ทั้ง “ซัลโฟราเฟน” เป็นกลุ่มสารต้านมะเร็งจากใบคะน้าห่อเมี่ยง ถ้าให้ดีต้องหยิบ “มะเขือเทศราชินี” หั่นเสี้ยวใส่เข้าไปด้วยจะช่วยให้ผิวพรรณสวย  ส่วนในเนื้อปลาทูมีทั้งกรดไขมันดีและ “แอสตาแซนทิน” เพราะวิตามินนี้โดยมากละลายในไขมัน

4.ผัดไทย มีทั้งถั่วงอกที่ถือเป็นอาหารมงคลรับปีใหม่ด้วยหมายถึงการงอกงามของสิ่งใหม่ๆ ในถั่วงอกมี “วิตามินซี” นอกจากนั้นถั่วและเต้าหู้ในผัดไทยยังอุดมไปด้วยวิตามินอี,แคลเซียมและสาร “พฤกษฮอร์โมน” ที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมัน โดยมีข้อแม้คืออย่าหนัก “เส้น” มากไป

5.ข้าวหอมนิล ข้าวไทยหนึ่งในตองอูที่ดูเด่นด้วยสีม่วงเข้มเตะตา ที่อัดแน่นอยู่ในสีสวยนั่นคือสาร “พฤกษเคมี” ที่มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน ข้าวหอมนิลสามารถเอามาจัดเมนูคู่ปีใหม่ได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างน้ำพริกปลาทูข้าวหอมนิล หรือจะกินคู่กับไข่เจียวร้อนๆ

6.ข้าวตอกน้ำกะทิ ขนมไทยช่วงปีใหม่ที่ถูกลืมไปนาน  อยากขอให้ช่วยกันปลุกให้คืนชีพมาใหม่เพราะมีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก  นับตั้งแต่ตัวข้าวตอกที่มี “เส้นใย” ช่วยในเรื่องไขมันและน้ำตาลได้  ส่วนวิตามินข้างในนั้นก็เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์

7.ข้าวต้มมัดหรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้ เป็นเมนูที่อยู่ท้องและมีประโยชน์ครบเครื่องมากเพราะมีทั้ง 5 หมู่อยู่ในนั้น ส่วนวิตามินก็มีทั้งเอ,บี,ซี   นอกจากนั้นในกล้วยยังมีเส้นใยกับสารกลุ่มฟีนอลชื่อ “กรดเอลลาจิก” ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย

8.ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ นอกจากข้าวเหนียวแล้วยังมีเผือก, ลำไย, ลูกเดือยและธัญพืชอื่นๆ ซึ่งถือเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูง ช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่  ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองมี “วิตามินอี” และ “ธาตุเหล็ก” สูงมาก  รวมถึง “ธาตุม่วงต้านร่วงโรย (OPCs)”

9.ข้าวโพดม่วง  มีทั้งวิตามินบำรุงตาอย่าง “ลูทีน” กับ “ซีแซนทิน” ทำได้หลายเมนู เช่น ข้าวโพดม่วงเปียกราดกะทิกิน, ข้าวโพดปิ้ง ข้าวโพดม่วงคลุก เป็นต้น

10.น้ำสมุนไพรแสนชื่นใจ  เช่น น้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก  น้ำเหล่านี้ถือเป็นน้ำวิตามินชั้นดี จัดเป็นน้ำนางเอกของแท้  เริ่มตั้งแต่อัญชันมีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ  ส่วนน้ำกระเจี๊ยบก็มีวิตามินซีและเอช่วยบำรุงไตได้ ส่วนน้ำใบย่านางกับใบบัวบก ประกอบด้วย “คลอโรฟิลล์” “กลูต้าไทโอน” ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

              

 

 

   ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า รถไฟความเร็วสูงยังไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทย

 

 

 

จากนั้น น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) และนายชนรรค์ พุทธมิลินประทีป รอง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (สงบ). ขึ้นเบิกความตามลำดับ โดยองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้พยายามสอบถามแนวคิดและความเห็นจากบุคคลทั้งสองถึงคำว่า”เงินแผ่นดิน”ว่าจากความรู​้และประสบการณ์การทำงานของบุคคลทั้งสองเห็นเป็นอย่างไร สามารถใช้เงินจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่จำเป็นต้องออกร่าง พ.ร.บ.กู้เงินหรือไม่ รวมไปถึงการใช้จ่ายงบประมาณของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีความรัดกุมหรือไม่ และอาจเกิดความรั่วไหลหรือไม่ ขณะเดียวกันเมื่อกู้เสร็จแล้วจะต้องใช้หนี้คืนภายในระยะเวลากี่ปีทั้งเงินต้นและดอกเ​บี้ย และหากโครงการผ่านไป 2 ปี จะสามารถกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเพิ่มอีกได้หรือไม่




ทั้งนี้ น.ส.จุฬารัตน์ ชี้แจงแบบกว้างๆ ว่า ตามกฎหมายไม่มีการกำหนดกรอบระยะเวลาที่จะต้องใช้หนี้คืน แต่ได้มีการประมาณการณ์ทางวิชาการว่า โครงการนี้เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เป็นทรัพย์สินของประเทศนับร้อยปี และรัฐบาลมีความสามารถที่จะนำเงินมาจ่ายชำระดอกเบี้ย โดยไม่เป็นภาระมาก โดยสมมติฐานทางวิชาการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งนี้น่าจะชำระได้ภายใน 50 ปี อย่างไรก็ตาม คำถามที่ระบุว่าหากโครงการผ่านไป 2 ปี จะสามารถกู้เงินได้อีกหรือไม่ ยอมรับว่าไม่สามารถทำได้




จากนั้นนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขึ้นเบิกความว่า ภาพรวมของพ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการเตรียมกรอบวงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาทภายในระยะเวลา 7 ปี เพื่อให้มีวงเงินสำคัญที่จะมาดำเนินโครงการได้ สำหรับการลงทุนของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ไม่ใช่การอนุมัติโครงการ ซึ่งการอนุมัติโครงการทุกโครงการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินโดยทุกโครงการต้องทำตามที่กฎหมายเกี่ยวข้อง ทั้งนี้โครงการทั้ง 53 โครงการไม่มีการทำผิดตามรัฐธรรมนูญ เพราะได้ทำการสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ปฏิบัติตามพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม และพ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้อง ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างก็เป็นตามระเบียบต่างๆ ที่อยู่ในโครงการใหญ่ของประเทศทั่วไป นอกจากนี้ยังมีรายงานเรื่องการเบิกจ่าย เพื่อให้สามารถติดตามความก้าวหน้าของโครงการได้ รวมทั้งยังแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามโครงการนี้ ได้มีการหารือกับหน่วยงานระดับโลก และหารือกับทางภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น เพื่อความโปร่งใส่ในการทำโครงการดังกล่าว




นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า เรื่องความโปร่งใสตนกังวลเรื่องนี้มากที่สุด แต่ก็ต้องเรียนว่าความโปร่งใสอยู่ที่ระบบ ซึ่งไม่อาจเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.นี้ จึงต้องมีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าโครงการนี้สนับสนุนในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะทำให้การคมนาคมขนส่งกระจายไปสู่ส่วนล่างได้ ทำให้การขนส่งสะดวกขึ้น ส่วนการก่อหนี้เกินตัวนั้นมองว่าสำนักงานบริหารหนี้ได้คิดเรื่องนี้ไว้แล้ว สำหรับวงเงินของโครงการดังกล่าวนั้นอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านบาท แต่ขณะนี้ได้นำมาใช้ในวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่ในกรอบวินัยทางการเงินที่กฎหมายได้กำหนดไว้




ขณะที่องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ประเทศไทยต้องการปฏิรูปทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการศึกษา ไม่ใช่ระบบคมนาคมอย่างเดียว และขอให้ไปคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบก่อนจะลงมือทำ ทั้งนี้เห็นว่ารถไฟความเร็วสูงยังไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทย และอยากให้คำนึกถึงภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นอีก 50 ปี ข้างหน้าอีกด้วย

.....................
ดีไม่บอกว่า ให้กลับไปใช้เกวียน

หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทมส์ของลาว รายงานว่า ลาวได้ลงนามข้อตกลงพัฒนาเครือข่ายรถไฟเพื่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมกับเวียดนามเป​็นสายแรก และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายรถไฟเชื่อมภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



เว็บไซต์สำนักข่าวซินหัวของจีนอ้างรายงานดังกล่าวว่า ลาวกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่อข่ายทางรถไฟมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเชื่อมกับเวียดนาม โดยการลงนามมีขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ที่นครหลวงเวียงจันทน์ของลาวเมื่อวันจันทร์ (5 พ.ย.) โดยตั้งเป้าแล้วเสร็จภายใน 5 ปี



นายกรัฐมนตรีทองสิง ทำมะวง ของลาว และนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซีย เป็นประธานในพิธีลงนามระหว่างรัฐบาลลาวกับบริษัทไจแอนท์ คอนโซลิเดทเต็ด ของมาเลเซีย สร้างทางรถไฟรางคู่มูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 124,000 ล้านบาท) ความยาว 220 กิโลเมตร เชื่อมแขวงสะหวันนะเขตฃของลาวกับเมืองลาวบาว ทางตอนกลางของเวียดนาม


ทางรถไฟลาวเวียดนามนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทางรถไฟเชื่อมภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเมื่อโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จก็จะเชื่อมการเดินทางจากสิงคโปร์ผ่านมาเลเซีย ไทย เข้าไปยังเมืองคุนหมิงของจีนด้วยรถไฟความเร็วสูง

 

 

สงสัยคงต้องรอให้ประเทศไทยพัฒนาการศึกษาขึ้นมาจนสามารถสร้างรถไฟความเร็วสูงเองได้ ไม่ว่าจะใช้เวลาอีกสักร้อยหรือสองร้อยปีก็ตาม

ก็ขอให้ชาติอาเซียนอื่น ๆ อย่าได้มีศาลรัฐธรรมนูญแบบประเทศไทยเลยนะครับ

ถือเป็นกรรมของประชาชนไทยที่ต้องทนใช้รถไฟความเลวสูงกันต่อไป

นั่งรถไฟความเร็วสูงจากพม่า หรือ ลาว หรือ มาเลย์ หรือ กัมพูชา แล้วมาต่อรถไฟไทย

อเมซิ่งดีกิง ๆ ครับศาลรัฐธรรมนูญ

 

 

 

************************

                                       

 

                วันพุธ ที่ 8 มกราคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 2

 

 

 

 

 

 


 

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้พยายามปลงพระชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาลิงมีรูปร่างใหญ่โตสวยงาม มีพละกำลังเท่าช้าง อาศัยอยู่ที่ราวป่า คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ในแม่น้ำนั้นมีจระเข้สองผัวเมียอาศัยอยู่ วันหนึ่ง จระเข้ตัวเมียเห็นร่างกายของพญาลิงแล้วเกิดแพ้ท้องอยากกินหัวใจลิงตัวนั้น 


     "พี่ช่วยนำมันมาให้น้องหน่อยนะจ๊ะ" 


     สามีพูดว่า "น้องจ๋าเราเป็นสัตว์ในน้ำ ลิงเป็นสัตว์บนบก พี่จะจับลิงได้อย่างไรละจ๊ะ"
     เมียพูดด้วยความน้อยในว่า "พี่ต้องหาวิธีจับมันมาให้ได้ มิเช่นนั้นน้องขอตายดีกว่า"
     สามีจึงพูดปลอบใจว่า "น้องจ๋า อย่างเพิ่งตายเลยจ๊ะ พี่จะไปจับมันมาเดี๋ยวนี้ละจ๊ะ"

 

ว่าแล้วก็ไปหาพญาลิงที่กำลังลงมาดื่มน้ำที่ฝั่งพอดี ร้องถามขึ้นว่า "ท่านลิง ท่านกินแต่กล้วยที่ฝั่งนี้ไม่เบื่อรึไง ไม่คิดอยากจะข้ามไปกินผลไม้ฝั่งโน้นบ้างหรือ" 


     ลิงตอบว่า "ท่านจระเข้ แม่น้ำนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราจะข้ามไปได้อย่างไร" 


     จระเข้ ได้ทีจึงเสนอตัวว่า "ถ้าท่านจะไปจริง ๆ ก็ขึ้นบนหลังของเราไปก็ได้ เราอาสาจะไปส่ง" 


     ลิงเชื่อคำพูดของมันจึงได้กระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ไป

 

     จระเข้พอพาลิงไปถึงกลางแม่น้ำก็มุดลงดำน้ำ ลิงร้องถามว่า "ท่านแกล้งเรา จะให้เราจมน้ำตายรึไง" 


     จระเข้ตอบว่า "เรามิได้คิดอาสาจะพาท่านไปฝั่งโน้นจริง ๆ หรอก เมียเราแพ้ท้องอยากกินหัวใจท่าน เราจะพาท่านไปให้เมียเรากินต่างหาก" 


     ลิงพูดขึ้นด้วยเล่ห์ว่า "เพื่อนเอ๋ย ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องเราเมื่อกระโดดไปมาบนต้นไม้ หัวใจเราก็แหลกหมดนะสิ หัวใจไม่ได้อยู่กับเรา" 


     จระเข้หลงกลถามไปว่า "แล้วท่านเอาหัวใจไปไว้ที่ไหนละ" 


     ลิงจึงชี้ไปที่ต้นมะเดื่อต้นหนึ่งที่ไม่ไกลนักมีผลสุกเป็นพวงอยู่ พร้อมกับพูดว่า "นั่นไง หัวใจของเราแขวนอยู่ที่ต้นมะเดื่อนั่นไง" 


     จระเข้พูดว่า "หากท่านให้หัวใจแก่เรา เราจะไม่ฆ่าท่าน" 


     ลิงพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านพาเราไปที่นั้นสิ เราจะให้หัวใจแก่ท่าน"

จระเข้จึงพาลิงไปส่งที่ต้นมะเดื่อนั้น ลิงกระโดดขึ้นต้นมะเดื่อไปแล้ว พร้อมกับพูดว่า 


     "เจ้าจระเข้หน้าโง่ หัวใจสัตว์ตัวไหนจะอยู่บนยอดไม้ เจ้าใหญ่แต่ตัวเสียเปล่า หามีปัญญาไม่" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า


     "เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนุนที่ท่านเห็นฝั่งสมุทรโน้น ผลมะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่าร่างกายของท่านใหญ่โตเสียเปล่าแต่ปัญญาไม่สมกับร่างกายเลย จระเข้..ถูกเราลวงแล้วนัดนี้เจ้าจงไปตามสบายเถิด"

 

จระเข้พอทราบว่าหลงกลลิงแล้วก็เป็นทุกข์เสียใจซึมเซาเหมือนกับเสียพนัน มุดกลับยังถิ่นที่อยู่ของตนตามเดิม

 

                                                     

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

 

"คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด รู้จักใช้ปัญญาเอาชีวิตรอดมาได้เป็นยอดดี"

 

 ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม   น.ธ.เอก , ป.ธ.๙. เจ้าคณะอำเภอทัพทัน. เจ้าอาวาสวัดสาลวนาราม. ตำบลหนองจอก อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

 

 

 

 

 

 

     

 

 

 

      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

            

 

 

 

 

 

 

 

ปูโดนเป่านกหวีด....           ไม่เป็นไร ขอจับมือค่ะ
มาร์คโดนเป่านกหวีด.....     นี่ืคือขู่แข่งพรรคประชาธิปัตย์

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

RESPECT MY VOTE จงเคารพสิทธิการเลือกตั้งของผม

 

 

 

 

บทสัมภาษณ์ชายหนุ่มหนุนหลังชูป้าย Respect My vote

 

 
 
 
 
 
ผู้สื่อข่าวประชาไท ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ หนุ่มปริศนาคนนี้ ซึ่งใช้นามแฝงในเฟซบุ๊กว่า “Ake Auttagorn” อายุ 34 ปี ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เกิด เติบโตและมีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพฯ เล่าถึงเหตุผลที่เข้าไปชูป้ายใส่นายอภิสิทธิ์ ว่า เกิดจากความคับข้องใจที่เห็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ พร้อมทั้งเมืองไทยเคยมีบทเรียนแบบนี้มาหลายรอบแล้ว โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวละครหลักในเรื่อง และมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่และจะแย่ที่สุด

Ake เล่าด้วยว่าขณะที่ตนชูป้าย "RESPECT MY VOTE" ได้ใช้นกหวีดที่มีเชือกคล้องคอสีขาวเป่า แล้วตะโกนไปว่า “คุณยังไม่เห็นคนเท่ากันแล้วคุณจะมาปฏิรูปประเทศได้อย่างไร” ขณะนั้นคุณอภิสิทธิ์ก็ป้ายสีทันทีว่า “เป็นคนของฝ่ายตรงข้ามส่งมาป่วน” ตนก็ตอบกลับไปว่า “ผมคือประชาชน ผมพูดในฐานะประชาชน” ตะโกนไปจนการ์ดเข้ามาล็อคตัว ระหว่างที่ถูกล็อคตัวออกไปนั้นตนก็ตะโกนไปด้วยว่า “ผมคือประชาชน คุณไม่มีทางชนะประชาชน” โดย Ake ยืนยันว่าการ์ดไม่ได้มีการทำร้ายอะไรตน นอกจากล็อคตัวออกมาด้านนอกห้องประชุม

“ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้ในช่วงที่ผมมีโอกาสจะทำได้ เพราะหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วผมอาจจะทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นขี้แพ้ไม่มีสิทธิมีเสียง” Ake กล่าวถึงการโพสต์ในเฟซบุ๊กของตนเองก่อนมาชูป้ายดังกล่าว

Ake มองว่าการเปิดตัวพิมพ์เขียวปฎิรูปประเทศไทยของคุณอภิสิทธิ์ เป็นการรับลูกต่อจากคุณสุเทพ พร้อมตั้งคำถามด้วยว่ามันจะพิมพ์เขียวประเทศไทยได้อย่างไร ในเมืองยังมองคนไม่เท่ากันเลย และปัญหาที่ผ่านมาคุณอภิสิทธิ์เองก็ไม่ได้แพ้เพราะเงิน แต่แพ้เพราะดูถูกประชาชน คนต่างจังหวัดผมเชื่อว่าเขารู้เรื่องการเมืองไทยมากว่าคนในกรุงเทพด้วยซ้ำ อีกทั้งจะปฏิรูปอย่างไรในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยดูตัวเองเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“วาทะกรรมโกงการเลือกตั้ง มันเป็นแค่การหลอกตัวเอง แล้วใช้วาทะกรรมนี้มาบอกชาวบ้านว่า...ไม่ควรจะมีสิทธิ ผมคิดว่ามันไม่แฟร์ แล้วเสียงของคนที่ผ่านมา 15 ล้านเสียงจะเอาเขาไปไว้ไหนครับ” Ake กล่าว

“การที่คุณไม่เคารพประชาชน แล้วคุณแพ้เลือกตั้ง มันไม่ใช่ความผิดของประชาชนแล้ว มันคือความผิดของพรรคที่คุณไม่ยอมส่องกระจกมองตัวเองบ้าง” Ake กล่าว



 
 
 
“ป้าย "RESPECT MY VOTE" นั้น ผมพูดแทนทุกคน ผมโชคดีหน่อยที่ผมสามารถพูดได้ ในขณะที่ประชาชนหลายคนไม่สามารถพูดได้ เคารพในเสียงตัวเอง อย่าให้ใครมาบอกว่าเราโง่” Ake กล่าวทิ้งท้าย
 
 








เครดิต: ประชาไท และ เฟชบุ๊คAke Auttagorn

 

 

 



ผมเห็นป้าย "Respect My Vote"
เห็นตอนที่คุณเอกโดนลากออกมาจากห้องประชุม โดยมีหัวหน้าพรรค ปชป (อดีตนายกของไทย) ถือไมค์แล้วพูดว่า นี่คือรูปแบบคู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์
เค้าตะโกนก่อนพ้นประตูว่า "ผมคือประชาชน"


ทำไมผมรู้สึกเจ็บใจจัง รู้สึกผิด ทำไมผมงอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย ในขณะที่มีคนกล้าลุกขึ้นมาประกาศว่ายังมีประชาชนอยู่นะ ผมกลัวอะไรมันเนี่ย ผมทำใจอยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว

ขอสนับสนุน "Respect My Vote" เต็มที่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา 308 ส.ส.-ส.ว. แก้รธน.ที่มาส.ว.

 
 
 
ป.ป.ช. มีมติแจ้งข้อกล่าวหา 308 ส.ส.-ส.ว. ปมแก้รธน. ที่มา ส.ว. ส่วนอีก 73 คน รวมถึง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีความผิด


วันนี้ (7 ม.ค.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประชุมประจำสัปดาห์เพื่อพิจารณาคดีต่าง ๆ โดยในช่วงบ่าย มีวาระการประชุม เพื่อสรุปสำนวนถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับ ส.ส. และ ส.ว. จำนวน 381 คน
          

ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมประเด็นที่มาของ ส.ว. ว่ากระทำการส่อไปในทางทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือไม่ และปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 หรือไม่ โดยจะมีการลงมติว่า จะแจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 381 คนหรือไม่ อ
          

โดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก ป.ป.ช.แถลงข่าวว่า มีส.ส.และส.ว.308 คนเข้าข่ายถูกแจ้งข้อกล่าวหาปมแก้รธน.ส่วน 73 คนที่ไม่โดน ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วยนั้น แม้นายกฯจะลงมติด้วย แต่ป.ป.ช.มีมติเสียงข้างมาก 7ต่อ 2 ว่าไม่มีความผิด
 
 
 
 

 ควรจะดีใจหรือเลียใจดีล่ะ?
งง มากๆกับประเทศนี้ห้ามสส.แตะต้องรธน.ฉบับนี้ ยกเว้นพวกแมงสาบแก้ได้พรรคเดียวเศร้า

 

 

 

อาจารย์ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์  ให้ข้อสังเกตุ เรื่องการแจ้งข้อกล่าวหา

การ "แจ้งข้อกล่าวหา" ไม่ใช่ "การชี้มูลความผิด"

การแจ้งข้อกล่าวหา หมายความว่า ในการดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงให้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและกำหนดระยะเวลาตามสมควรที่ผู้ถูกกล่าวหาจะมาชี้แจงข้อกล่าวหาแสดงพยานหลักฐานหรือนำพยานบุคคลมาให้ปากคำประกอบการชี้แจง ในการชี้แจงข้อกล่าวหาและการให้ปากคำของผู้ถูกกล่าวหา ให้มีสิทธินำทนายความหรือบุคคลซึ่งผู้ถูกกล่าวหาไว้วางใจเข้าฟังในการชี้แจงหรือให้ปากคำของตนได้

จากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ จนไปถึงการพิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหามีมูลหรือไม่ ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป ถ้ามีมูล ก็ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหากพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ไปแล้ว ก็ไม่มีกรณีให้ต้องยุติ และอาจตีความได้ด้วยว่า ไม่มีกรณีให้ต้องถอดถอน แต่อาจมีกรณีให้ดำเนินคดีอาญา ซึ่งต้องมีการจงใจกระทำผิดในทางที่จะมีโทษทางอาญา

นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๐ บัญญัติว่า ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดมิได้ จึงเป็นที่ถกเถียงได้ว่า กรณีการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. นั้น หากนำการออกเสียงลงคะแนนมาเป็นเหตุผลในการแจ้งข้อหา จะถือว่าเป็นการที่ ป.ป.ช. ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?

 

 

 

 

 

************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                  ทรงผมนักเรียน เอาไงดี?..

 

 

 

  วันที่ 13 มิ.ย. (วานนี้) แฟนเพจ YouLike ได้เผยแพร่คลิป ตัดจนได้เลือด โดยเป็นเรื่องราวของนักเรียนโรงเรียนหนึ่งที่กำลังเข้าแถวและมีครูกำลังตรวจวินัยนักเรียนและทรงผมอยู่ ซึ่งครูได้ใช้กรรไกรตัดผมนักเรียนที่ยาวเกินกำหนด

 

 

              hoo

 

 

โดยมีการตัดแบบขั้นบันไดแต่กรรไกรพลาดไปโดนหู นักเรียนที่อยู่ในแถวเดียวกันซึ่งเป็นรุ่นพี่เลยใช้กล้องจากมือถือถ่ายไว้ เมื่อคุณครูเห็นจึงได้เอามือมาปิดหน้ากล้องพยายามไม่ให้ถ่าย

หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ก็มีชาวสังคมออนไลน์มาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้วคือ กลุ่มที่คิดว่าครูคนนั้นทำถูกต้องแล้วและนักเรียนเป็นฝ่ายทำผิดกฎ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคิดว่าคุณครูกระทำเกินกว่าเหตุ

อย่างไรก็ตามคลิปดังกล่าวมีต้นตอมาจากเด็กนักเรียนอัพคลิปลงยูทูปและมีผู้นำไปแชร์ต่อ แต่ในขณะนี้คลิปต้นเรื่องได้ถูกลบออกไปเรียบร้อยแล้ว

 

                                    

 

 

 

 บทความว่าด้วยเรื่องกฎทรงผม ของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ จากหนังสือพิมพ์มติชนฉบับ 2 พฤศจิกายน 2550 มีคำตอบสรุปความได้ว่า ประเทศไทยรับทรงผมทรงนักเรียนทั้งเครื่องแบบต่างๆ จากญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในช่วงสงครามนั้นเกิดเหาระบาดมาก ประชาชนจึงนิยมตัดผมสั้นเกรียน

และต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญๆ ที่ไม่ควรมีกฎทรงผมนักเรียน 1.ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพราะการเลือกทรงผมไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนเช่นกัน 2.ไร้ซึ่งความจำเป็น เดิมกฎทรงผมเป็นกฎของทหารเพื่อใช้ปลูกฝังการเชื่อฟังคำสั่ง ปลูกฝังอำนาจนิยม และเพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา แต่การปลูกฝังอำนาจนิยมทำให้เด็กมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง และนักเรียนนักศึกษาไม่ต้องรีบร้อนในชีวิตประจำวัน สามารถดูแลทรงผมได้

3.การใช้กฎทรงผมบังคับเป็นการสร้างภาพลักษณ์เสมือนมีวินัย เนื่องจากระเบียบวินัยที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการบังคับให้ทำ แต่หากเป็นการกระทำออกมาด้วยจิตสำนึก 4.ทำให้เยาวชนคิดไม่เป็นว่าสิ่งที่ทำอยู่ผิดหรือถูก ได้แต่รับคำสั่งไปวันๆ 5.ส่งเสริมให้เยาวชนไม่รักษาสิทธิ เนื่องจากการเลือกทรงผมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลนั้นๆ แต่สถานศึกษากลับเพิกเฉยและตั้งกฎระเบียบอันเข้มงวด ทำให้นักเรียนไม่สามารถรักษาสิทธิของตัวเองได้ นับวันก็จะมีแต่คนหมดหวัง หมดอาลัย ทั้งที่เป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ

6.ปลูกฝังให้เยาวชนละทิ้งเหตุผล เยาวชนหลายคนมีคำถามอยู่ในใจ แต่เมื่อได้รับคำตอบว่า "มันเป็นกฎ" หรือ "เธอไม่พอใจที่จะทำตามกฎ ก็ไม่ต้องเรียน" ซึ่งไม่ใช่คำตอบที่ดีของคนที่มีการศึกษาและกำลังให้การศึกษาต่ออนุชนรุ่นหลัง เพราะแสดงถึงความไร้เหตุผลอย่างยิ่งยวด ส่วนคนที่ยึดมั่นในเหตุผลและรอคอยคำตอบก็จะถูกมองเป็นพวกก้าวร้าว แล้วจะค่อยๆ ถูกหล่อหลอมเป็นพวกยอมรับกฎโดยที่ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร เดินไปโดยปราศจากเป้าหมาย เป็นส่วนจากการทิ้งเหตุผลของผู้ใหญ่

7.เป็นการส่งเสริมให้ใช้อำนาจโดยมิชอบ จากการที่เยาวชนซึมซับการใช้อำนาจของครูของเขาที่ใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผลให้เขาตัดทรงผมสั้นโดยไม่มีเหตุผล เขาจะทำตามโดยใช้อำนาจอย่างผิดๆ ทำร้ายคนอื่น 8.ทำให้เกิดการเหยียดหยามดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บางคนอาจได้ยินผู้ใหญ่ด่าว่าไว้ผมยาวเหมือนฮิปปี้จะไปเป็นนักเลงหรือ นั่นคือการเหยียดหยาม ความเป็นคนไม่ได้อยู่ที่ทรงผม จะเป็นคนดี จะสั้นยาวก็ไม่มีปัญหา

9.ทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนเป็นสิ่งจอมปลอมและมองข้ามชื่อเสียงที่แท้จริงไป คือคุณภาพของนักเรียนไม่ได้อยู่ที่ทรงผม แต่อยู่ที่คุณภาพของการศึกษาเรียนรู้และคุณภาพจิตใจ 10.ปลูกฝังให้เยาวชนไม่ยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น หรือขาดความมั่นใจในตัวเองไปเลย จากที่เห็นได้ว่าเยาวชนต้องการหลุดจากแอกของกฎทรงผม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผู้ใหญ่ไม่รับฟังความคิดเห็น เยาวชนจะถูกหล่อหลอมให้เชื่อมั่นความคิดตัวเองมากเกินไปจนไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่น ซึ่งเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย หรืออีกทางหนึ่งสูญเสียความมั่นใจ ทำอะไรก็ผิด เหตุผลดีแค่ไหนก็เท่านั้น เป็นอันตรายกับระบอบการปกครองเช่นกัน

ด้านกระทรวงศึกษาธิการแถลงข้อดีของกฎทรงผมนักเรียน สรุปได้ว่า สะอาด เรียบร้อย ป้องกันเหาได้ เสียค่าใช้จ่ายน้อยในการตัดผม ทรงสุภาพเหมาะสมกับวัย

 

 

 

****************************

 

 

 

 

เห็นด้วยกับ กปปส. ของท่านสุเทพว่าควรปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ศ.ให้ 5,รศ.,ผศ.ให้ 4,ดร.ให้ 3,พวกเสื้อแดงเหลือ 0.5 คะแนน

 

 

 

 


 
 
 
 
 
 
"หนึ่งคน กาหนึ่งเสียง ไม่เท่าเทียมกัน"
ดร. อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อักษรศาสตร์จุฬาฯ

ปล. เห็นด้วยนะ  ชาวนาความรู้น้อย มีสิทธิ์อะไรเท่ากับคนที่เรียนสูง ๆ

หากชาวนา มีสิทธิ์มีเสียงเท่ากับคนจบ ดร.
แล้วพวกเราจะเรียนไปทำไม ...
ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียน เป็นหลายแสนบาท ...
ทำไม เสียงของคนที่มีความรู้ต้องเท่ากับ คนโง่ที่มีความรู้น้อย ๆ ด้วย



ดังนั้น จขกท. เห็นว่า รัฐบาลควรออก พรก. ในการลงคะแนนใหม่
ออกเป็นกฎหมายมาเลย  สำหรับการใช้สิทธ์ลงคะแนนเลือกตั้ง ในวันที่ 2 ก.พ. 2557 นี้

คนที่เป็นศาตราจารย์ ควรให้มีสิทธ์ได้ใบลงคะแนน 5 ใบ
คนที่เป็นรองศาตราจารย์และผู้ช่วยศาตราจารย์ ให้มีสิทธิ์ได้ใบลงคะแนน 4 ใบ
คนที่จบ ด็อกเตอร์(จากต่างประเทศ) ให้มีสิทธ์ได้ใบลงคะแนน 3 ใบ
คนที่จบด๊อกเตอร์ในประเทศ และจบปริญญาโท ให้ได้สิทธ์ลงคะแนน 2 ใบ
คนที่จบปริญญาตรี ให้ได้สิทธิ์ลงคะแนน 1 ใบ


ส่วนคนเสื้อแดง หรือชาวนาชาวไร่ จบการศึกษาเพียง ปวช., ปวส.
ให้ได้สิทธ์ลงคะแนน 2 คนต่อ 1 ใบ

เพราะคนพวกนี้ ไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง
และชอบขายเสียง เห็นแก่เงิน ไม่เข้าใจระบบประชาธิปไตย

ส่วน สส. ที่จะสมัครเป็น สส. ต้องผ่านการสอบด้วย  หากทำคะแนนสอบได้เกิน 60 เปอร์เซ็น
จึงจะมีสิทธ์ผ่าน  และสามารถลงสมัคร สส. ได้

ปล. ท่านใดเห็นด้วย กรุณาโหวตด้วยครับ
ขอบคุณล่วงหน้า

จาก
https://www.facebook.com/photo.php?
 
fbid=803617839651874&set=a.207809682566029.60836.173829542630710&type=1&theater

 

 โดยคุณ Sky  บอร์ดการเมือง..........

 

 

 

 

                

 

 

 

 

 

*************************

 

 

 

             5 ความจริง ที่คุณควรรู้ก่อนใช้แก๊สติดรถยนต์

 

 

 

 

                               
 

 

 

 

 

 

ปัจจุบันทางออกของสภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในยุคนี้ ทำให้หลายคนถวิลหาพลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกกว่าอย่างเช่นแก๊ส ที่คนจำนวนไม่น้อยคุ้นเคยมันอย่างดี ไม่ว่าจะเป้นแก๊ส LPG ที่บรรดาคนขับรถยนต์แท็กซี่เติมใช้กันมานานนับ 10 ปี หรือจะทางเลือกใหม่กับ CNG ไม่ ว่าอะไรก็ช่วยให้คนที่ต้องการความประหยัดและคุ้มค่าในการเดินทางไปยังจุด หมายต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้

 

      แม้พลังงานทางเลือกอย่าง “แก๊ส” จะให้ความคุ้มค่าในการใช้งาน แต่เราก็ควรตระหนักว่า เมื่อมีข้อดีเป็นธรรมดาในทางกลับกันมันก็จะต้องมีผลเสียตามมา ซึ่งในหลายๆ เหตุผลต่างๆนานา อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นไปได้

 

เครื่องยนต์จะสึกหรอเร็วกว่าปกติ


      เราเชื่อว่าเรื่องความเสียหายของเครื่องที่ เกิดจากการใช้แก๊สก๊าซติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน คงเป็นเรื่องที่คอประหยัดส่วนใหญ่คงจะทราบกันดี แม้จะมีเสียงจากกลุ่มผู้ใช้ก๊าซว่าสามารถทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้สมบูรณ์ กว่าระบบน้ำมันด้วยซ้ำ แถมยังมีค่าออกเทน โดยเฉลี่ยสูงกว่า 105 อยู่เป็นทุนเดิม ทำให้บางคนมักเข้าใจผิดว่า รถติดแก๊สแล้วจะวิ่งดีกว่าน้ำมัน

 

      ความจริงเรื่องแก๊สกับการทำงานเครื่องยนต์ นั้น สาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์มีการสึกหรอเร็วกว่าปกตินั้น ก็มีสาเหตุมาจากการเผาไหม้ภายในห้องเผาไหม้ ที่แก๊สแม้จะมีค่าออกเทนหรือที่ศัพท์ในวงการอุตสาหกรรมปิโตเลียมเรียกว่า "อีเนอจีเชน" มากกว่าน้ำมันในระดับพรีเมี่ยมออกเทน 95 แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็ไม่พ้นลักษณะการเผาไหม้

 

ด้วยความที่มันมีคุณสมบัติเป็นก๊าซนี่เองก็ เลยทำให้การเผาไหม้ที่เกิดขึ้นในห้องเผาไหม้ เป็นการเผาไหม้แห้ง สังเกตได้จากระบบแก๊สมักถูกต่อร่วมกับระบบดูดอากาศไปใช้งาน ส่งผลให้ค่าเสียดทานของอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่นวาล์วหรือตัวลูกสูบมีมากกว่า และเมื่อมีการเสียดทานสิ่งที่ตามมาก็คือ ความร้อน ซึ่งนี่เป็นตัวการที่ทำให้เครื่องยนต์มีอัตราการสึกหรอเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยเฉลี่ย 1.5 เท่า เลยทีเดียว และสามารถยืนยันได้จากคำแนะนำของท่านผู้เชี่ยวชาญทางพลังงานแก๊ส ที่มักให้เปลี่ยนน้ำมันเกรดธรรมดาที่สามารถใช้ได้ถึง 5000 กิโลเมตร ในระยะที่ 4000 กิโลเมตร

 

แก๊สไม่ได้ทำให้รถประหยัดขึ้น


      อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่คอประหยัดหลายคนมองข้ามไปว่าการติดแก๊สความจริงแล้ว ไม่ได้ช่วยให้เครื่องยนต์ของคุณมีสมรรถนะการทำงานดีขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลขึ้นหรือมีอัตราเฉลี่ยใช้พลังงานน้อยลง เมื่อเทียบกับอัตราการเดินทางที่เกิดขึ้นจริง

 

      ความจริงแล้วการติดแก๊สให้กับรถคู่ใจของคุณนั้น เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงค่าพลังงานที่สูงเมื่อเทียบกับราคาก๊าซที่ถูกว่ากัน ครึ่งต่อครึ่ง หรืออาจจะถูกกว่าถึง 2 ใน 3 ของราคาน้ำมันที่ขายกันอยู่ตามปั้ม

 

      อันที่จริงแล้วเมื่อติดแก๊สเครื่องยนต์ไม่ได้วิ่งดีขึ้นหรือมีอัตราความ ประหยัดของเครื่องยนต์มากขึ้นอย่างที่คุณหวังเอาไว้ เพียงแต่เมื่อหันไปใช้พลังงานจากแก๊สแล้วค่าใช้จ่ายที่คุณต้องควักเงินออก จากกระเป๋าต่อหน่วยพลังงานนั้นจะน้อยลง และหากใครใช้รถแก๊สกันอยู่ คงจะพอรู้ว่าแก๊สเต็มปริมาตร 1 ถัง จะวิ่งได้น้อยกว่าน้ำมันประมาณ 100-200 กิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากพูดแล้วคุณอาจจะต้องเติมแก๊สมากกว่าน้ำมันเสียอีก แม้จะราคาถูกกว่าก็ตามเถอะ

 

แก๊สทำให้คุณตายผ่อนส่งโดยไม่รู้ตัว


      หลายคนที่ติดแก๊สมัก จะคิดว่าแก๊สไม่น่าจะมีผลอะไรต่อสุขภาพเมื่อดูจากการติดตั้งที่เราจะเห็นได้ ถึงความปลอดภัยมั่นใจได้ แถมมีวิศวกรเซ็นใบรับรองอีกต่างหาก ทว่าสิ่งที่หลายคนลืมตระหนักนึกถึงไปยังมีอีกมาก และหนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างสุขภาพด้วยสิ เพราะ แก๊สไม่ได้แค่ติดไฟได้แต่ยังมีอันตรายต่อสุขภาพด้วย


 
     จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอัตรายและเคมีภัณฑ์ ภายใต้หน่วยงานกรมควบคุมมลพิษ ให้ข้อมูลถึงอันตรายของก๊าซที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพว่าCNG หรือก๊าซธรรมชาติ ที่บางคนอาจจะรู้จักในนาม NGV นั้น หากสูดดมหายใจเข้าไปสะสมเป็นปริมาณมากๆ จะก่อให้เกิดอาการหายใจติดขัดอย่างรุนแรง, ปวดศีรษะ, วิงเวียน และอาจหมดสติได้ และหากสัมผัสถูกตาอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง

 

      ในขณะที่ก๊าซยอดฮิตตลอดกาลอย่าง LPG ก็ มีผลกระทบไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเริ่มจาก การหายใจเข้าไป อาจจะเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดการกระตุกสั่น ปวดและเวียนศีรษะ เซื่องซึม สายตาพร่ามัว เมื่อยล้า อาการชักกระตุกอย่างแรง หมดสติ ไม่รู้สึกตัว อาจหยุดหายใจทันทีและถึงแก่ความตาย หากสัมผัสโดยตรงทางผิวหนัง จะทำให้เนื้อเยื่อตาย เช่นเดียวกับการสัมผัสถูกตาก็จะให้ผลเช่นเดียวกันและอาจทำให้ตาบอดได้

 

     แม้ในความเป็นจริงคงไม่มีใครนึกอยากสูดก๊าซพวกนี้เข้าไป แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่เราเข้าไปเติมก๊าซเราก็มักจะได้กลิ่น หมายถึงว่าเราสูดดมไปโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป้นในปริมาณที่น้อย แต่หากเราต้องเข้าไปเติมกันบ่อยๆ มันก็น่าคิดใช่ไหม แถมเกิดก๊าซรั่วหรือใครที่จูนแก๊สหนาๆ จนมีกลิ่นเข้ามาในห้องโดยสาร อันนี้ควรรีบตรวจสอบให้ดี

 

แก๊สทำให้รถคุณไร้ค่า


     เมื่อถึงเวลาต้องก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ดีกว่า คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะขายรถคันเดิมเพื่อซื้อคันใหม่ที่ให้ความสะดวกสบาย มากกว่า ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่เมื่อไรที่คุณเลือกที่จะขายรถติดแก๊สคันโปรดคู่ใจแล้ว บรรดาคนซื้อทั้งหลายโดยเฉพาะเต๊นท์ก็มักจะกดราคาด้วยข้ออ้างเพียงว่า “มันเป็นรถแก๊ส”

 

     ทั้งที่จริงแล้วข้ออ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้นสำหรับผู้เป็นเจ้าของรถ แต่จากที่ทางทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับคนในวงการไฟแนนซ์ชั้นนำ ก็เลยทำให้ได้ทราบว่า ที่บรรดาเต๊นท์ต่างกดราคาและขยาดในการรับซื้อรถติดแก๊สไปขายนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากสถาบันการเงินที่คนอยากซื้อรถส่วนมากต้องยื่นขอสินเชื่อนั่นเอง

 

     เป็นที่น่าแปลกว่าบรรดากลุ่มสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเหล่านี้ พวกเขาต่างก็เข็ดขยาดกับรถยนต์ติดแก๊ส แม้จะไม่มีทางทราบได้เลยว่า ไฉนรถติดแก๊สถึงได้ดูถูกดูแคลนมากมายถึงขนาดบางแห่ง ปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อสำหรับรถติดแก๊ส หรือไม่ก็ต้องมีการค้ำประกันเพิ่มเติมเช่นโฉนดที่ดิน เพื่ออะไรเราก็มิอาจทราบ แต่เราคาดว่าในสายตาของบรรดาสถาบันการเงิน คงมองว่า การใช้รถติดแก๊สนั้นมีความเสี่ยง ผู้ใช้อาจมีสิทธิ์เสียชีวิตได้สูง

 

แก๊สอาจจะทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่


      ข้อนี้เป็นเรื่อง แปลกแต่จริงที่ทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับนักกฏหมายที่คร่ำวอดในการว่าความ คดีต่างๆ ซึ่งเขาได้เล่าให้เราฟังถึงคดีจราจรเคสหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวระหว่างรถยนต์ติดแก๊สกับรถยนต์ธรรมดาเฉี่ยวชนกันตามภาษา การจราจรวุ่นวายในบ้านเรา ทีแรกก็เป็นคดีปกติแถมรถแก๊สเป็นฝ่ายถูกด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเรื่องเล็กจะเป็นเรื่องใหญ่เมื่อรถติดแก๊สเกิดเหตุเพลิงไหม้และ วอดกลายเป็นเถ้าถ่านในที่สุด

 

     เรื่องมันกับตาลปัตรตรงที่ความจริงแล้วจากสถานการณ์รถแก๊สน่าจะต้องได้รับ การชดใช้ค่าเสียหายจากคู่กรณีเป็นเงินจำนวนมากอยู่ ทว่าพอคดีเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน เนื่องจากยอมความกันไม่ได้ กลับกลายเป็นว่าเจ้าของรถติดแก๊สนั้น ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนคู่กรณี เนื่องจากมีการพิจารณาแล้วเห้นพ้องว่า ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต สรุปว่า เจ้าของรถแก๊สซวย 2 ต่อ ไหนรถจะไม่มีขับแถมต้องจ่ายเงินให้คู่กรณีอีกต่างหาก เคราะห์ดีว่ารถมีประกันภัยไม่งั้นมีหวังกระเป๋าฉีกแน่ๆ

 

     เหตุผลทั้ง 5 ข้อ ที่วันนี้เรานำมาเล่าสู่กันฟังอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กในสายตาหลายๆคน แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรกับพลังงานทางเลือกอย่างแก๊ส ที่ชั่วโมงนี้แทบปฏิเสธไม่ได้ เราก็ควรจะศึกษามันให้ดีก่อนที่จะเสียเงินทำการใดๆ มิเช่นนั้นปัญหาที่คุณไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นกับคุณ



ที่มาข้อมูลและภาพ banprak-nfe.com

 

 

 

 

*******************************

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:54:46 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>