รัฐบาลพลัดถิ่น (Government in-Exile)
ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
รศ.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทาลัยธรรมศาสตร์
1. ความหมาย
รัฐบาลพลัดถิ่น (Government in-exile) หมายถึง กรณีที่ผู้นำประเทศคนเดียวหรือกลุ่มบุคคลมากกว่า 2 ขึ้นไปได้ตั้งรัฐบาล ณ ดินแดนของรัฐอื่น เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่ในสายตาของกลุ่มนี้เห็นว่า ไม่มีความชอบธรรม โดยรัฐบาลพลัดถิ่นนี้ได้อ้างว่ายังเป็นรัฐบาลที่มีความชอบธรรม แม้จะไม่มีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงเหนือประเทศของตนก็ตาม โดยรัฐบาลพลัดถิ่นนี้ต้องได้รับการรับรองจากรัฐที่อนุญาตหรือยินยอมให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ (Host state) รวมทั้งจากนานาประเทศด้วย แม้ว่ารัฐบาลพลัดถิ่นนั้นจะมิได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชาชนอย่างแท้จริงในประเทศของตนก็ตาม อย่างไรก็ดี มีนักกฎหมายระหว่างประเทศบางท่านแยกรัฐบาลพลัดถิ่นออกเป็นสองประเภทคือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่มีความชอบธรรม (legitimate government in exile) กับรัฐบาลพลัดถิ่นธรรมดาๆ (government in exile) โดยวัตถุประสงค์หลักของรัฐบาลพลัดถิ่นคือ การต่อสู้กับรัฐบาลที่ช่วงชิงอำนาจเพื่อหวนกลับคืนสู่อำนาจ จะเห็นได้ว่า แม้รัฐบาลพลัดถิ่นจะมิได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและพลเมืองของตนก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคอย่างใดเลยในการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น การมีอำนาจเหนือดินแดนอย่างมีประสิทธิผล (effective control) (ของรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร) กลับมิได้นำมาซึ่งความชอบธรรมแต่ประการใด
2. สาเหตุของการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
ในอดีตที่ผ่านมา การตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นนั้นเกิดขึ้นหลายสาเหตุด้วยกัน พอสรุปได้ดังนี้
1. การต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ หรือต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเอกราช (Independence) ปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นหรือการยึดครองจากต่างชาติ การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นแบบนี้เกิดขึ้นมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่1 และ 2
2. กรณีที่รัฐหนึ่งได้ผนวกดินแดน annexation) หรือรุกราน (aggression) อีกประเทศหนึ่งจน รัฐบาลที่ถูกต่างชาติผนวกดินแดนนั้นต้องตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ประเทศอื่น ตัวอย่างเช่น การที่ประเทศรัสเซียได้ผนวกดินแดนของกลุ่มประเทศบอลติก หรือกรณีที่ประเทศอิรักบุกคูเวต เมื่อคราวสงครามอ่าเปอร์เซีย
3. กรณีที่มีการทำรัฐประหาร (coup) ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น กรณีของประเทศไซปรัส เฮติ
3. ปัจจัยของการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสองปัจจัยสำคัญคือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
1) ปัจจัยภายใน (Internal factor)
ปัจจัยภายในที่สำคัญที่สุดคือ การได้รับการแรงสนับสนุนจากประชาชนหรือมีแรงต่อต้าน(resistance) จากประชาชนต่อรัฐบาลรักษาการ หากมีแรงต้านจากประชาชนภายในประเทศมากซึ่งเท่ากับว่าคณะรัฐประหารหรือ government in situ ยังไม่มีอำนาจปกครองอย่างมีประสิทธิผลหรือไม่มีeffective control ซึ่งอาจมีผลต่อแรงสนับสนุนจากนานาชาติได้ ยิ่งถ้าคณะรัฐประหารใช้กำลังความรุนแรงหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงแล้ว ก็อาจถูกนานาชาติประณามหรือมีแรงกดดันมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็อาจเพิ่มความชอบธรรมให้กับรัฐบาลพลัดถิ่นมากขึ้นได้
2) ปัจจัยภายนอก (External factor)
ปัจจัยภายนอกคือ การได้รับการรับรองจากรัฐบาลหรือองค์การระหว่างประเทศอื่นว่าเป็นรัฐบาลเดียวที่เป็นผู้แทนของรัฐ การสนับสนุนจากต่างชาติอาจอยู่ในรูปของ diplomatic recognition หรือ operational assistance ก็ได้ รวมถึงการได้รับแรงสนับสนุนจากคนชาติของตนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศด้วย โดยเหตุผลหลักที่ประชาคมระหว่างประเทศให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นก็คือ เรื่องความชอบธรรม ซึ่งรัฐบาลพลัดถิ่นก็มักจะใช้ประเด็นเรื่องความชอบธรรมเป็นยุทธวิธีในการโจมตีรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร
4. การรับรองและผลการรับรองรัฐบาลพลัดถิ่น
การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการถูกรับรองจากรัฐบาลอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศที่ผู้นำของประเทศได้อาศัยเป็นฐานที่ตั้งปฏิบัติการรัฐบาลพลัดถิ่น หากปราศจากการรับรองแล้ว ผู้นำนั้นก็มีสถานะเพียงคนต่างด้าวเท่านั้น หรือเป็นเพียง Authorities in-exile ดังนั้น การรับรองว่าเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นองค์ประกอบหรือปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะชี้ขาดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของผู้นำประเทศ
สำหรับทฤษฎีการรับรองที่มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการทำรัฐประหารและรวมถึงการสนับสนุนการรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นคือ ทฤษฎี Tobar โดยทฤษฎี Tobar นี้จะปฏิเสธมิให้มีการรับรองรัฐบาลที่มิได้มาโดยวิถีทางรัฐธรรมนูญ และรัฐจะยังให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ต่อไป โดยถือว่า รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นรัฐบาลที่เป็นผู้แทนของรัฐที่ชอบด้วยกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว
การรับรองรัฐบาลผลัดถิ่นนั้น หมายถึง ในสายตาของรัฐที่ให้การรับรองนั้น รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นรัฐบาลที่มีความชอบธรรมและเป็นผู้แทนของรัฐในทางระหว่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนผลในทางกฎหมายของการรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นที่มีความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีด้วยกันมากมาย ดังนี้
1) รัฐบาลพลัดถิ่นสามารถทำสนธิสัญญาได้
2) รัฐบาลพลัดถิ่นสามารถสามารถมีที่นั่งหรือเป็นผู้แทนของรัฐในองค์การระหว่างประเทศได้
3) รัฐบาลพลัดถิ่นสามารถสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตได้ (right of legation)
4) รัฐบาลผลัดถิ่นสามารถอุปโภคเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของรัฐได้
5) รัฐบาลผลัดถิ่นมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของรัฐที่อยู่ในต่างประเทศได้ (right to dispose state property aboard)
5. นิติสัมพันธ์ 3 ฝ่าย
การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ทางกฎหมายในระดับระหว่างประเทศค่อนข้างสลับซับซ้อน โดยมีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ฝ่ายด้วยกัน คือ รัฐบาลพลัดถิ่น รัฐที่อนุญาตให้มีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศของตนได้ (Host state) รัฐที่ให้การรับรอง (recognizing state)โดยแยกพิจารณา ดังนี้
1) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลัดถิ่นกับรัฐที่อนุญาตให้มีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศของตนได้ (Host state)
การได้รับการรับรองจาก Host state นั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะขาดเสียมิได้ (condition sine qua non) ในอันที่จะจัดตั้งและปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลพลัดถิ่น หากไม่มีการรับรองจาก Host state แล้ว สถานะของรัฐบาลพลัดถิ่นตามกฎหมายระหว่างประเทศก็มีไม่ได้ อันส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้นามรัฐบาลพลัดถิ่นไม่อาจเป็นไปได้ด้วย
2) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลัดถิ่นกับรัฐที่ให้การรับรอง (recognizing state)
เช่นเดียวกับการรับรองรัฐบาลที่มิได้มาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามรัฐธรรมนูญ การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละรัฐที่จะให้การรับรองหรือไม่ก็ได้ การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นมีผลเท่ากับเป็นการไม่รับรองรัฐบาลรักษาการไปด้วยในตัว
3) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลรักษาการหรือรัฐบาลที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนถ่ายกับรัฐต่างประเทศ (Government in situ)
รัฐที่ให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมนั้น ก็อาจมีความสัมพันธ์ในทางระหว่างประเทศกับรัฐบาลรักษาการหรือที่นักวิชาการเรียกว่า Government in situ ซึ่งผู้เขียนขอแปลว่า “รัฐบาลที่อยู่ในช่วงการผ่องถ่ายอำนาจ” ได้ การที่ยังคงมีความสัมพันธ์นั้นมิได้หมายความว่า รัฐนั้นให้การรับรองรัฐบาลรักษาการแต่รัฐที่ให้การรับรองนั้นเห็นว่า ตนเองยังมีผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในประเทศนั้น หรือที่ยังคงความสัมพันธ์นั้นก็เป็นไปเพื่อรักษาสิทธิหน้าที่ต่อกันที่มีลักษณะเป็นงานประจำวัน (routine) เช่น การยังคงให้ตัวแทนทางทูตประจำอยู่ การออกวีซ่า การอนุญาตให้เครื่องบินโดยสารเข้าออกตามปกติ เป็นต้น
6. ตัวอย่างของการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในอดีต
1) การรัฐประหารในไซปรัส
วันที่15 กรกฎาคมค.ศ. 1974 รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันมีนายMakarios III เป็นประธานาธิบดีถูกกองกำลังCypriot National Guard โดยมีนายNicos Sampson เป็นผู้นำรัฐประหารภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลกรีกทำการรัฐประหารโดยที่ประธานาธิบดีได้ลี้ภัยทางการเมืองโดยการนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปยังฐานทัพอากาศของอังกฤษที่เมืองAkrotiri เพื่อบินต่อไปยังประเทศมอลต้าและกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ
2) การรัฐประหารในเฮติ
เมื่อวันที่30 กันยายนค.ศ. 1991 คณะรัฐประหารได้ทำการโค่นล้มรัฐบาลเฮติที่มาจากการเลือกตั้งโดยมีJean-Bertrand Aristide เป็นประธานาธิบดี และประธานาธิบดี Aristede ได้ลี้ภัยทางการเมืองการรัฐประหารในประเทศไซปรัสและประเทศเฮติมีข้อเท็จจริงที่คล้ายคลึงอย่างบังเอิญก็คือประธานาธิบดีทั้งคู่เป็นประธานาธิบดีที่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนทั้งคู่เป็นนักบวช(Jean-Bertrand Aristide เคยเป็นนักบวชนิกายโรมันแคธอลิก) ทั้งคู่เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศที่มาจากระบอบประชาธิปไตยทั้งคู่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งคู่เคยถูกลอบสังหารแต่ไม่สำเร็จและทั้งคู่ก็ขอลี้ภัยการเมืองและตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
รัฐบาลพลัดถิ่นและการรับรอง
การรัฐประหารของประเทศไซปรัสและเฮติมีอะไรที่คล้ายกันเช่นหลังจากที่ประธานาธิบดีถูกโค่นล้มอำนาจแล้วทั้งคู่ได้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ต่างประเทศสำหรับปฏิกิริยาของประชาคมระหว่างประเทศนั้นก็ได้แสดงการไม่รับรองการทำรัฐประหารที่น่าแปลกใจก็คือมีเพียงวาติกัน(Vatican) เท่านั้นที่รับรองคณะรัฐประหารที่โค่นล้มประธานาธิบดี Aristid
ปฏิกิริยาจากประชาคมระหว่างประเทศ: บทบาทขององค์การระหว่างประเทศ
ประธานาธิบดี Makarios III ได้ใช้เวทีขององค์การระหว่างประเทศอย่างองค์การสหประชาชาติส่วนประธานาธิบดี Aristid ก็ใช้องค์การสหประชาชาติและองค์การนานารัฐอเมริกันOrganization of American States(OAS) ชี้แจงให้นานาประเทศทราบจนในท้ายที่สุดประธานาธิบดีทั้งสองก็ได้กลับมาดำรงตำแหน่งเหมือนเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่ออกข้อมติที่A/RES/46/7 ประณามการทำรัฐประหาร และเร่งรัดให้มีการฟื้นฟูรัฐบาลที่ชอบธรรมของประธานาธิบดีAristid รวมทั้ง ระบอบประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ และสิทธิมนุษยชน ยิ่งกว่านั้น คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) ที่อาศัยอำนาจตามหมวดเจ็ดของกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งว่าด้วย “Action with Respect to Threats to the Peace, Breaches of the Peace, and Acts of Aggression” ซึ่งคณะมนตรีได้ออกข้อมติที่ 841 (1993) เพื่อใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ (Economic sanctions) และข้อมติที่ 940 ปี ค.ศ. 1994 ให้อำนาจในการก่อตั้งกองกำลังผสมนานาชาติ (Multinational forces) เพื่อฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในประเทศเฮติ จะเห็นได้ว่า สหประชาชาติเริ่มให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น หลังจากที่ในอดีต การทำรัฐประหารถือว่าเป็นกิจการภายในของรัฐ ที่อยู่นอกเหนืออำนาจความรับผิดชอบของคณะมนตรีความมั่นคง
นอกจากนี้ OAU (Organization of African Unity)ยังได้ออกปฏิญญาว่าด้วยกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่เรียกว่า “Declaration on the Framework for An OAU Response to Unconstitutional Changes of Government” เมื่อปี ค.ศ. 2000 โดยสาระสำคัญของปฏิญญานี้คือ ประณามการทำรัฐประหารในประเทศ Sierra Leone รัฐประหารเป็นเรื่องน่าเศร้าและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในทวีปแอฟริกา และรัฐสมาชิกจะปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ (unconstitutional change of government) เช่น รัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า เวทีระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญมากในอันที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นประสบความสำเร็จและต่อต้านรัฐประหาร โดยก่อนหน้าที่ OAU จะมีแถลงการณ์ในปี ค.ศ. 2000 ประเทศอเมริกาใต้ซึ่งประกอบด้วย กัวเตมาลา คอสตาริกา นิคารากัว ฮอนดูรัส และเอล ซัลวาดอร์ ก็ได้ทำสนธิสัญญา the Central American Treaty of Peace and Amity 1907 โดยใน Supplemental Treaty ได้กำหนดพันธกรณีแก่รัฐภาคีว่าจะต้องไม่ให้การรับรองรัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการทำรัฐประหาร
ทางปฏิบัติของประเทศไทย
นับแต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้น ประเทศไทยผ่านการทำรัฐประหารมาหลายต่อหลายครั้ง สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐประหารที่ทำสำเร็จ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ถูกโค่นล้มก็ไม่เคยจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเลย
อย่างไรก็ตาม ความคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนี้ปรากฎขึ้นเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรและได้ทำสนธิสัญญายอมให้ทหารญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทย นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ชวนนายทวี บุณยเกตุ ว่าควรจะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่นอกประเทศทำนองเดียวกับที่นายพล ชาลส์ เดอโกลล์ ได้ไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ประเทศอังกฤษ โดยรัฐบาลพลัดถิ่นจะประกอบด้วย ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย ม.ล. กรี เดชาวงศ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลของจอมพลป. พิบูลสงคราม อันจะทำให้สามารถประกาศพระบรมราชโองการได้ แต่แผนการดังกล่าวก็ล้มเหลวเนื่องจากนายทวี บุณยเกตุมิได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
จะเห็นได้ว่า ความคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของประเทศไทยในอดีตนั้นก็เคยปรากฏ เพียงแต่ความคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนี้มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารแต่เพื่อต้องการกอบกู้เอกราชของประเทศไทยให้รอดพ้นจากการรุกรานของประเทศญี่ปุ่นและเป็นผู้แทนเพื่อทำหน้าที่เจรจารักษาติดต่อกับประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายพันธมิตรโดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย
6. ผลกระทบต่อความผูกพันของพันธกรณีระหว่างประเทศและการเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศ
รัฐประหารมิได้ส่งผลกระทบในทางลบต่อความผูกพันของพันธกรณีระหว่างประเทศของรัฐบาลเดิมแต่ประการใด เนื่องจากความตกลงที่ได้ทำลงโดยรัฐบาลชุดก่อน ๆ นั้นผูกพัน “รัฐ” หาใช่ผูกพัน “รัฐบาล” ไม่ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจึงหามีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของความตกลงที่ได้ทำก่อนหน้านี้ไม่ ในประเด็นนี้จะสังเกตว่า รัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะรัฐประหารได้ออกประกาศฉบับที่ 9 ว่าคณะรัฐประหารจะปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่ทำไว้กับนานาประเทศ วัตถุประสงค์ของประกาศฉบับนี้น่าจะมีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ ประการแรก เพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า คณะรัฐบาลสามารถที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศได้ อันเป็นเงื่อนไขประการหนึ่งของการรับรองรัฐบาล ประการที่สอง เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันแก่ประชาคมระหว่างประเทศว่า การรัฐประหารมิได้มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสนธิสัญญาที่ประเทศไทยทำไว้
อย่างไรก็ตามในอดีต พรรคบอลเชวิคที่ได้ทำการปฎิวัติเมื่อ ค.ศ. 1917 โค่นล้มระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์ของราชวงศ์โรมานอฟสำเร็จ รัฐบาลบอลเชวิคได้อ้างว่าตนเองไม่ขอผูกพันบรรดาความตกลงทั้งหลายที่ได้ทำไปในระหว่างสมัยของพระเจ้าซาร์นิโคลัส โดยอ้างหลัก clasular rebusic stantibus
7. ผลกระทบต่อความรับผิดชอบของรัฐในทางระหว่างประเทศ
รัฐประหารได้ก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายในทางกฎหมายระหว่างประเทศว่า ในกรณีที่คนต่างด้าวได้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บหรือทรัพย์สินของคนต่างด้าวที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศที่รัฐประหารได้เกิดขึ้นนั้น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ระหว่างรัฐบาลเดิมหรือฝ่ายกบฏที่สามารถล้มล้างรัฐบาลเดิมและจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ
ตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยความรับผิดชอบของรัฐ (state responsibility) นั้นได้ แยกการกระทำของฝ่ายกบฏที่ประสบความสำเร็จ (successful coup) กับการกระทำของฝ่ายกบฏที่ไม่ประสบความสำเร็จ (unsuccessful coup) ออกจากกัน กล่าวคือ หากฝ่ายกบฏหรือพวกปฏิวัติไม่ล้มเหลวในการช่วงชิงอำนาจอธิปไตยจากรัฐบาลเดิม อันเป็นผลฝ่ายต่อต้านไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ หากระหว่างที่มีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจนั้นได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้นแล้ว รัฐบาลเดิมไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่ก่อขึ้นโดยฝ่ายกบฏ ในทางตรงกันข้าม หากฝ่ายกบฏสามารถล้มล้างรัฐบาลได้สำเร็จและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งรัฐบาลใหม่นี้อาจถูกรับรองว่าเป็น de facto government ก็ได้ บรรดาความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและทรัพย์สินของคนต่างด้าวย่อมตกเป็นพับแก่รัฐบาลใหม่นี้
8. ท่าทีของประชาคมระหว่างประเทศที่มีต่อรัฐประหาร
ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่า บทบาทขององค์การระหว่างประเทศอย่าง OSA หรือ OAU สามารถกดดันรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารให้คืนอำนาจแก่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ นอกจากนี้แล้ว ในที่ประชุมระหว่างประเทศอย่าง Moscow Meeting Human Dimension Right 1991 ยังได้แสดงท่าทีประณามรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย และสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐด้วย ดังนั้น ปัจจุบัน ประชาคมระหว่างประเทศส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่ไม่ยอมรับรัฐประหาร ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม
อย่างไรก็ตาม สำหรับอาเซียน (ASEAN) นั้น บทบาทตรงนี้คงคาดหวังจากอาเซียนได้ยากเนื่องจากอาเซียนมีนโยบายที่จะไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องรัฐประหารโดยประเทศสมาชิกเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนั้นเป็นกิจการภายในของรัฐ รัฐบาลที่มีท่าทีว่า รัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนเป็นเรื่องกิจการภายในของประเทศไทยได้แก่ ประเทศลาว โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศลาว คือนาย Yong Chantalangsyกล่าวว่า "These are interior affairs of Thailand. No comment, we are following the situation very closely." No border points have been closed between the two countries. Everything is normal and flights are operating as usual.” แม้กระทั่งประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ก็ยังมีท่าทีต่อรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนว่าเป็นปัญหาภายในของประเทศไทยและรัฐบาลจีนมีนโยบายที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง
บทส่งท้าย
นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐได้ถูกโค่นล้มโดยการทำรัฐประหารมาแล้วทั้งสิ้นหลายสิบครั้ง จนประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงในการทำรัฐประหารอยู่ในระดับกลาง (medium) เทียบเท่ากับประเทศกัมพูชา
น่าคิดว่า ประเทศในทวีปแอฟริกา (ซึ่งแม้ความเจริญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจะด้อยกว่าประเทศไทย) แต่ประเทศในทวีปแอฟริกาก็ยังมีความตื่นตัวในระบอบประชาธิปไตยและรังเกียจต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญถึงกับออกปฏิญญาคัดค้านการทำรัฐประหาร
หวังว่า ประชาชนคนไทยประสงค์จะขอเลือกใช้วิถีทาง “ballot” ไม่ใช่ “bullet” สำหรับเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
*************************************
เหตุเกิด ณ. ที่ชุมนุม
ณ บริเวณแยกที่ถูกปิดจัดชุมนุม
วันที่หนึ่งของการชุมนุม (วันจันทร์)
ลูก “ พ่อ เขามาชุมนุมอะไรกันครับ “
พ่อ “ อ๋อ ลุงสุเทพเขามาชุมนุมขับไล่รัฐบาลนะลูก “
แม่ “ พ่อ ออกไปร่วมกับเขาด้วยซิ หน้าบ้านเราเอง นี่น้ำท่าเรามีเอาไปช่วยเขา เขาทำเพื่อชาติ”
วันที่สองของการชุมนุม (วันอังคาร)
ลูก “ พ่อ เหนื่อยไหมครับไปร่วมชุมนุมกับเขา “
พ่อ “ ไม่เหนื่อยหรอกลูก เราทำเพื่อชาติ อีกอย่างเขามีดนตรีมีการแสดงต่างๆให้ดูด้วย“
แม่ “ ฉันรักคุณจริงๆเลย คุณเป็นสามีที่ดีมากค่ะที่รัก ”
วันที่สามของการชุมนุม (วันพุธ)
ลูก “ พ่อ เมื่อวานเขาทำอะไรกันมั่งครับ “
พ่อ “ เขาก็พูดแบบวันก่อนๆนะ เพื่อให้เรารู้สึกรักชาติยิ่งๆขึ้น แล้วก็มีดนตรีมีการแสดงต่างๆให้ดู“
แม่ “ วันนี้ฉันรู้สึกเพลียๆยังไงไม่รู้ สงสัยคงอดนอนเพราะเสียงที่เขาชุมนุม ”
วันที่สี่ของการชุมนุม (วันพฤหัส)
ลูก “ พ่อครับ ผมไม่ได้ไปโรงเรียนมา 3 วันแล้ว ทำไงดีครับพ่อ “
พ่อ “ ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวรัฐบาลก็ต้องลาออกแล้ว เราจะได้อยู่กันอย่างปรกติสุข“
แม่ “ คุณค่ะ สงสัยต้องให้คุณไปช่วยถือของแล้ว อาหารของใช้ในครัวเริ่มหมด รถก็ออกไม่ได้ ”
วันที่ห้าของการชุมนุม (วันศุกร์)
ลูก “ พ่อครับ ผมไม่ได้ไปโรงเรียนมาวันนี้ครบอาทิตย์แล้ว นี่ใกล้สอบปลายภาคแล้วนะครับพ่อ “
พ่อ “ ไม่เป็นไรหรอกลูก ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นี้ คงจบแล้วลูก“
แม่ “ คุณค่ะ ไม่ได้ทำงานมาอาทิตย์นึง เขาหักเงินหรือเปล่าค่ะ”
วันที่หกของการชุมนุม (วันเสาร์)
ลูก “ พ่อครับ ทำไมเมื่อวานพ่อไม่ไปร่วมชุมนุมกับเขาละครับ “
พ่อ “ พ่อเหนื่อยนะลูก อีกอย่างฟังๆไปก็ซ้ำๆกับที่พูดมา แล้วก็มีดนตรีและการแสดงเสียงมันดังหนวกหูนะลูก“
แม่ “ เมื่อคืนวันศุกร์ สงสัยมีคนมาร่วมเยอะ เป่านกหวีดกันอยู่นั่นละ ”
วันที่เจ็ดของการชุมนุม (วันอาทิตย์)
เสียงจากเวทีผู้ชุมนุม “ในเมื่อรัฐบาลยังหน้าด้านไม่ยอมลาออก พวกเราก็จะอยู่กันต่อ อยู่กันจนกว่ามันจะลาออก"
ลูก “เอาไงดีครับพ่อ ผมเรียนไม่ทันเพื่อนแน่”
แม่ “ ค่ะ คุณค่ะ ทำอย่างไรดี ข้าวของก็หมดอีก อดนอนมาหลายคืน ”
พ่อถอนหายใจ “ ไป เราไปอยู่บ้านคุณยายกันลูก ขืนอยู่ต่อมีหวังได้ทะเลาะกับพวกมัน แม่งแหกปากปราศรัยซ้ำๆซากๆ
ว่าคนนั้นโกงคนนี้โกง มันไม่ได้ดูตัวเองเลย ดนตรีแม่งก็หนวกหูฉิบหาย ไอ้พวกเป่านกหวีดก็เป่ากันอยู่นั่น
ไม่แสบคอกันบ้างหรือไง ไอ้พวกมาชุมนุมนั่นจะรู้ไหมมันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน “
แม่ “แต่คุณค่ะ เราเอารถออกไม่ได้ค่ะ”
พ่อถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ “ไอ้พวกฉิบหาย!!! ”..................
การตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ที่ห่วยมากของอภิสิทธิ์
ฝากอนาคตไว้กับประยุทธ์ จันโอชา
การตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ของนายอภิสิทธิ์นั้น ผมถือว่าห่วยมาก โดยไม่วิเคราะห์สภาพให้ถ่องแท้ ในเกม "สงครามปี 2557 นี้" ต้องมีรัฐประหารอย่างเดียวเท่านั้น ปชป. จึงจะชนะ ดังนั้น หากไม่มีรัฐประหารเพื่อล้มรัฐธรรมนูญ การตัดสินใจบอยคอตเลือกตั้งของ ปชป. ก็จะไม่เกิดมรรคผลอะไรเลย
ปชป. คือ นายมาร์คนั้น เป็นแค่เด็กอมมือ ไม่เข้าใจ "ยุทธศาสตร์" อย่างเพียงพอ ในเมื่อเกมทั้งหมด ต้อง "ทำรัฐประหารเท่านั้น" จึงชนะ มาร์คจึงต้องฝากอนาคตของทั้งพรรค เอาไว้กับ ประยุทธ์ จันโอชาเท่านั้น หากไม่มีรัฐประหาร ก็ไม่มีทางที่ ปชป.จะชนะได้เลย
การทำรัฐประหาร "ต้องขึ้นกับการตัดสินใจของประยุทธ์ จันโอชา" ที่เขาต้องตัดสินใจบนประโยชน์อของเขาและกองทัพ ไม่ใช่ผลประโยชน์ทางการเมืองของ ปชป. เกมนี้ ปชป.จึงเสียหายอย่างหนัก
ภายใต้ "สถานการณ์ปัจจุบัน" ประยุทธ์ จันโอชา ไม่มีทางทำรัฐประหารได้ ดังนั้ัน รธน. 50 ก็จะไม่ถูกฉีก และเมื่อไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ ทุกคนต้องทำตาม รธน. โอกาสที่มาร์คจะชนะไม่มี
เมื่อไม่มีรัฐประหาร พรรคประชาธิปัตย์ก็จะถูกกันให้อยู่นอกการเข้าสู่อำนาจ และจะไม่มีส้มหล่นอะไรทั้งสิ้น ที่นายอภิสิทธิ์จะเป็นนายกฯได้ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดให้นายกฯต้องมาจากเลือกตั้งเท่านั้น
แม้การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะมีอุปสรรคอย่างไรก็ตาม แต่ทุกคนก็ต้องทำตามรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด เมื่อกฎหมายยังมีผลบังคับใช้อยู่ การไม่ปฎิบัติตามกฎหมายสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่า กกต.หรือใครก็ตาม ย่อมมีความผิดฐาน "ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่" ตาม กฎหมายอาญา ม. 157 มีโทษที่ค่อนข้างรุนแรง
ดังนั้น การเลือกตั้งในที่สุดแล้วก็ต้องผ่านไปจนได้ ไม่ว่าจะต้องเลือกตั้งซ้ำในเขตภาคใต้กี่ครั้งก็ตาม เพราะกฎหมายกำหนดขั้นตอนเอาไว้แล้ว คนมีหน้าที่ก็ต้องทำตามขั้นตอนนั้น ในที่สุดก็ต้องเปิดสภาจนได้ มีรัฐบาลจนได้ (หากไม่มี รบ.รักษาการ ก็ทำหน้าที่ต่อไป อำนาจรัฐก็ยังอยู่ในมือนายกฯปูและพรรคเพื่อไทยไม่เปลี่ยนแปลง)
เกมนี้จนกว่าจะมีเลือกตั้งใหม่ ปชป. จึงจะสามารถกลับเข้ามามีบทบาทได้อีก และอาจใช้เวลา 2-3 ปี
อีกอย่างต่อไปนี้การแก้ไข รธน.นั้น ก็ไม่มีคนป่วนสภาให้ยุ่งยากอีก
องค์กรอิสระนั้นไม่สะเด็ดน้ำ จะยุบพรรคอะไรก็ตาม ปชป. ก็จะไม่สามารถเข้ามาแทนที่ได้เหมือนปี 2551 เพราะไม่ได้มีเสียงอยู่ในสภา
เกมนี้จึงเสียหายหมดตูด จำต้องป่วนเมืองอย่างเดียว แต่คงป่วนไม่ได้ตลอดไป ก็หมดเวลา และถูกเช็คบิลในที่สุด
หากเป็นหมากรุก ปชป. ก็เท่ากับตัดตาเดินของตัวเองแทบหมด ไม่มีความยืดหยุ่นอะไรที่จะเดินเกมได้อีกต่อไป นอกจากเดินเกมไปในทางที่ร้ายแรงมากขึั้นเรื่อยๆ เช่น "ปิดกรุงเทพฯ" ไม่สามารถที่จะเริ่มเกมที่สร้างสรรอะไรได้อีกเลย แต่ยิ่งเดินด้านรุนแรง ก็เสียงที่จะเป็นกลุ่มนอกกฎหมายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ก็เรียกว่า "หักขาตัวเอง" เล่นหมากฮอส โอกาสเข้าฮอร์สนั้่นเป็นศูนย์
เริ่ม แล้ว วันนี้มวลชนไม่เอา กปปส ไม่เอาความรุนแรง หน้าหอศิลป์สี่แยกปทุมวัน
"วอลสตรีทเจอร์นัล" ยกให้ "นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นบุคคลที่น่าจับตามองในปี 2014
โดย Hamlet
เมื่อ ศุกร์, 03/01/2014 - 18:47
สำนักข่าวชื่อดังระดับโลก Wall Street Journal ได้เผยแพร่บทความลงวันที่ 3 มกราคม 2557 ยกให้นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยกให้เป็นบุคคลที่น่าจับตามองของเอเซีย
รายงานในบทความดังกล่าวได้เผยแพร่บุคคลสำคัญของเอเซียที่มีบทบาทสำคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จำนวนทั้งสิ้น 27 ท่าน และหนึ่งในนั้นที่สังคมโลกเฝ้าจับตามองคือ "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีของไทย
โดยในบทความดังกล่าวได้กล่าวว่า เธอเป็นนายกรัฐมนตรีผู้หญิง ที่เป็นน้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกรัฐประหารจนต้องออกนอกประเทศ และเธอกำลังถูกกดดันอย่างหนักจากม็อบภายในประเทศไทย เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งแม้แต่กองทัพก็ยังนิ่งอยู่ข้างหนึ่ง
"ชะตากรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขึ้นอยู่กับว่า ผลของการต่อสู้ในสนามรบประชาธิปไตยในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร"
************************************
ไหนคุณว่าจะมา..
....ห้วงเวลา ผ่านคล้อย ลอยล่วงลับ
ล่องไปกับ สายธารา ฟ้าสลัว
ไม่เคยหยุด ไหลนิ่ง ทิ้งให้กลัว
ระริกรัว ใจที่บาง ทางมืนมน
....ฉันจะอยู่ คอยตรงนี้ ที่เธอพร่ำ
ระทมร่ำ ช้ำเเค่ไหน ใจไม่สน
อยากให้รู้ ว่ายังมี ตรงนี้คน
หญิงหนึ่งทน ใจเเหลกยับ กับสัญญา........
********************
ประวัตินกหวีด
เรื่องราวการ “เป่านกหวีด ” ที่กำลังเกิดขึ้นมาเป็นกระแสอยู่ขณะนี้ทำให้เกิดความอยากรู้ประวัติที่มาของนกหวีดขึ้นมาเลยครับ ผมเลยไปลองหามารวบรวมให้อ่านกันครับ ในสมัยประมาณร้อยกว่าปีก่อนนั้น นกหวีดเป็นเครื่องดนตรีไม่ได้เป็นอุปกรณ์ทางการทหารการตำรวจแต่อย่างใด
samba whistle
ในปีคศ.1829หลังจากที่อังกฤษได้ก่อตั้งหน่วยตำรวจขึ้นมานั้น ตำรวจเค้าใช้กระพรวน (rattles) เป็นเครื่องส่งเสียงเรียกร้องความสนใจครับ ต่อมาก็เกิดความคิดในการเอานกหวีดจากวงการดนตรีมาใช้ในวงการตำรวจ และจึงให้มีการคิดค้นประดิษฐ์นกหวีดให้มีขนาดเล็กแต่เสียงดังโดยมีลักษณะตามรูปนี้คือ เป็นรูปทรงยาวและไม่มีลูกกลม ๆอยู่ข้างใน เวลาเป่าออกมาจะมีระดับเสียง 2 เสียงออกมาพร้อมกันทำให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ของเสียง
Police Whistle
แม้ทุกวันนี้เจ้านกหวีดแบบนี้ก็เริ่มลดบทบาทลง แต่มันก็เป็นอุปกรณ์อย่างนึงที่ผลิตออกมาเพื่อเป็นที่ระลึกของพิธีการโอกาสต่างๆกันอยู่
วงการกีฬานั้นเริ่มเอานกหวีดมาใช้ด้วยเหตุไม่ได้ตั้งใจ ครับ สมัยก่อนนั้นกรรมการผู้ตัดสินกีฬาไม่ได้ใช้นกหวีดแต่อย่างใด เค้าจะใช้การตะโกนหรือผ้าเช็ดหน้าเพื่อบอกนักกีฬาให้หยุดการแข่งขันหากมีการทำผิดกติกาเกิดขึ้น โดยในปี 1884 กรรมการผู้ตัดสินกีฬารักบี้ที่นิวซีแลนด์ชื่อนาย William Atack ริเริ่มเอานกหวีดที่ผลิตโดยบริษัท J Hudson & Co. มาใช้เป็นครั้งแรกของโลกเลยครับ มันเป็นนกหวีดที่มีเม็ดอะไรอย่างนึงอยู่ข้างในที่เราคุ้นเคยกัน นกหวีดทรงแบบนี้มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า Acme Thunder ครับ
Acme Thunderer
หลังจากนั้นเจ้านกหวีดหน้าตาแบบนี้ก็เป็นที่แพร่หลายกันในวงการกีฬา และที่สำคัญมันเป็นอุปกรณ์อันนึงที่ใช้บนเรือ Titanic ด้วย
ต่อมามีการนำไปใช้ในวงการกีฬามากมาย นกหวีดแบบนี้มันมีปัญหาอย่างนึงคือ เจ้าเม็ดที่อยู่ข้างในเวลาโดนน้ำหรือน้ำลายหรือฝุ่นมันจะติดไม่ขยับเวลาโดนเป่าและบล็อกการเป่าทำให้การเป่าหกหวีดไม่มีเสียงที่ดังเพียงพอ กรรมการฟุตบอลคนนึงชื่อนาย Ron Foxcroft โดนคนดูโห่ เพราะระหว่างการแข่งขัน มีการทำฟาวล์เกิดขึ้นแต่คนคิดว่าเค้าไม่เป่า เพราะเค้าเป่าแล้วเสียงนกหวีดไม่ดังออกมา เค้าเลยเกิดแรงบันดาลใจไปจ้างนักออกแบบสินค้ามาช่วยเค้าออกแบบ นกหวีดแบบที่ไม่ต้องมีเม็ดข้างใน (Pealess Whistle) ในปี 1987 นาย Ron Foxcroft ก็นำหกหวีดชนิดนี้ออกมาแนะนำ มันมีชื่อว่า Fox40 เพราะมันออกมาตอนที่นาย Ron Foxcroft อายุ 40 ปีพอดี
Fox-40-whistle
นกหวีดชนิดนี้ได้รับความนิยมมากในกลุ่มกีฬาทางน้ำ หรือ Life Guard เพราะมันไม่มีปัญหาเรื่องกันบล็อกของเจ้าเม็ดข้างในเวลาที่เปียกหรือชื้น แม้กระทั่งฟีฟ่าก็กำหนดให้ใช้นกหวีดแบบนี้เพราะมันมีเสียงที่พิเศษดีครับ
หวังว่าบล็อกนี้คงจะช่วยเสริมประสพการณ์ “การเป่านกหวีด ” ที่ระบาดไปทั่วประเทศไทยเมื่อเร็วๆนี้ได้เป็นอย่างดีนะครับ
จาก Trachoo.com
*****************************
แค่อาการของม็อบหาทางลง ใยต้องตระหนก
ทักษิณพลาดตรงอยากได้ พรบ แต่เมือกก็พลาดตรงตี พรบ ตกแล้วไม่หยุดนี่แหละ ถ้าเอาแค่นั้นแล้วได้ขนาดนายกยุบสภา ผมว่าแค่นี้ ปชป ก็หล่อแล้ว เล่นลากยาวมาขนาดนี้ บรรลัยหมดทั้ง 2 ฝ่าย ที่บรรลัยสุดๆ ก็บ้านเมืองนี่แหละ
***************************
"นักษัตร" หมายถึงชื่อรอบเวลากำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ เรียกว่า 12 นักษัตร โดยกำหนดให้สัตว์ 12 ชนิด เป็นเครื่องหมายแต่ละปี เริ่มจากปีชวด-หนู, ฉลู-วัว, ขาล-เสือ, เถาะ-กระต่าย, มะโรง-งูใหญ่, มะเส็ง-งูเล็ก, มะเมีย-ม้า, มะแม-แพะ, วอก-ลิง, ระกา-ไก่, จอ-สุนัข, กุน-หมู
ส่วนเรื่องที่ใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์แต่ละปีนั้น หาตำนานได้ยากมาก เพราะเรื่อง 12 นักษัตรเป็นเรื่องดึกดำบรรพ์นานมาก
ตามตำนานการตั้งจุลศักราช กล่าวว่า ได้เริ่มต้นใช้จุลศักราช 1 เมื่อรุ่งเช้าวันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีกุนเอกศก ซึ่งตรงกับพุทธศักราช 1182
การที่กล่าวว่า เริ่มจุลศักราชในปีกุนนั้นแสดงว่าปีนักษัตรมีมาก่อนจุลศักราช แต่มีเมื่อไหร่ ไม่ทราบได้ เพราะหาหลักฐานยากมาก
สำหรับประเทศไทยได้แบบอย่างการใช้นักษัตรมาจากไหน ในหนังสือพงศาวดารไทยใหญ่ พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
".. 12 นักษัตรข้างไทยสยามนั้น น่าจะเลียนนามสัตว์ประจำองค์สาขาปีมาจากเขมรอีกต่อ จึงไม่ใช้นามปีตามภาษาไทยเหมือนไทยใหญ่ กลับไปใช้ตามภาษาเขมร..ฝ่ายไทยใหญ่ก็ไพล่ไปเลียนนามปีและนามองค์สังหรณ์จากไทยลาว หาใช้นามปีของตนเองไม่ และไทยลาวน่าจะถ่ายแบบมาจากจีนอันเป็นครูเดิมอีกต่อ แต่คำจะเลือนมาอย่างไรจึงหาตรงกันแท้ไม่ เป็นแต่มีเค้ารู้ได้ว่า เลียนจีน.."
ข้างฝ่ายจีนมูลเหตุ 12 นักษัตรก็เล่าตามนิทานว่า เกิดขึ้นเมื่อเริ่มมีมนุษย์--จากไอฟ้าและดินมากระทบกันแล้วกลายเป็นศิลากลมก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วแตกไปเป็นก้อนเล็กๆ อีก 12 ก้อน เกิดเป็นคนขึ้น 13 คน ก้อนใหญ่นั้นคือ "เทียนอ่องสี" แปลว่าเป็นเจ้าแผ่นดิน
ครั้งนั้นยังไม่มีเดือนมีตะวัน มนุษย์พึ่งแสงสว่างด้วยรัศมีพระและเทวดามาช่วยอุปถัมภ์ ขณะนั้นก็ยังไม่มีชื่อ แซ่ แล้วต่างแยกย้ายกันไปอยู่ทุกทิศ
อยู่มาวันหนึ่งเทียนอ่องสีเรียกน้องชายทั้ง 12 มาชุมนุมกัน แล้วว่าเราจะตั้งให้มีปี 12 ปีบรรจบเป็นหนึ่งรอบ จะให้ท่านทั้ง 12 คนเป็นชื่อปีกำกับกันทั้ง 12 ปี น้อง 12 คนได้ฟังก็มีความยินดียอมรับแล้วต่างคนต่างไปที่อยู่ของตนดังเดิม..ต่อมาบังเกิดสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนม้ามีเกล็ด มีปีก สะพายบแดงขึ้นมาจากแม่น้ำเม่งจิ๋น มีอักษรจารึกไว้ที่บ ว่า ห้อโตลกจือ เป็นตำราโหราศาสตร์ แจ้งวัน เดือน และคืน ตลอดจนมี 12 นักษัตร มีศก แต่ยังไม่มีชื่อเรียกปี
อย่างไรก็ตาม "สังข์ พัฒโนทัย" กล่าวไว้ในหนังสือ "จีนสมัยก่อนพุทธกาล" ว่า น่าเชื่อว่านักปราชญ์ของฮวงตี้เป็นผู้ประดิษฐ์ปีนักษัตรขึ้นตามชื่อสัตว์ต่างๆ อย่างที่เรียกกัน การที่เอาปีชวดเป็นปีแรกก็เพราะเป็นปีแรกที่ฮวงตี้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ
นี่เป็นตำนานในเมืองจีน
ยังมีตำนานของที่อื่นๆ อีก เช่น ตำนานของชาวไทยลื้อ ซึ่งคล้ายกับตำนานนางสงกรานต์ของไทย ที่พระพรหมมีลูกสาว 12 คน เมื่อพระพรหมถูกตัดเศียร ลูกสาวทั้ง 12 มีหน้าที่เชิญพานรองรับเศียรออกมาแห่ทุกปี โดยผลัดกันปีละคน และแต่ละคนจะมีพาหนะต่างๆ กัน เช่น นางที่ 1 ขี่หนู นางที่ 2 ขี่วัว ขี่เสือ ขี่กระต่าย ขี่พญานาค ฯลฯ พาหนะที่นางทั้ง 12 ขี่จึงถูกนำมาเรียกเป็นชื่อปี
"โดยสรุปการเรียกชื่อปีเป็น 12 นักษัตร มีในประเทศต่างๆ คือ ไทย เขมร มอญ ญวน จาม ทิเบต ญี่ปุ่น จีน และในจารึกภาษาโบราณของตุรกี สันนิษฐานว่าจีนได้จากตุรกี เพราะเป็นตาดสาขาหนึ่ง แล้วญี่ปุ่นก็ได้จากจีน รวมทั้งเกาหลีด้วย แต่เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกเป็นภาษาของตนเอง"
ปีนักษัตร หรือ นักขัต เป็นปี ตาม ปฏิทินสุริยคติไทย และชาติอื่นในเอเชีย เป็นต้นว่า จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น แบ่งเป็นรอบปี รอบละสิบสองปี แต่ละปีกำหนดสัตว์เรียกเป็นชื่อเรียงกันไปดังนี้
ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ และ กุน
สัตว์ประจำปีนักษัตร
ปีนักษัตรจะมีสัตว์ประจำปี (อันเป็นความหมายของชื่อปีนั้น ๆ นั่นเอง) สัตว์ประจำปีนักษัตรที่นิยมใช้ในหมู่ชาวไทย มีดังนี้
ปี
ชวด
ฉลู
ขาล
เถาะ
มะโรง
มะเส็ง
มะเมีย
มะแม
วอก
ระกา
จอ
กุน
สัตว์
หนู
วัว
เสือ
กระต่าย
งูใหญ่
งูเล็ก
ม้า
แพะ
ลิง
ไก่
สุนัข
สุกร
ปีนักษัตรในภาษาต่าง ๆ
อักษรจีน
ภาษาจีนกลาง
ภาษาจีนฮากกา [1]
ภาษาจีนฮากกา [2]
ชื่อนักษัตร
ภาษาไทย
ภาษาบาลี
ภาษาไทยวน
ภาษาไทลื้อ
ภาษาไทใหญ่
ภาษาเวียดนาม
鼠
สู่ (shu3)
ฉู่
ชู่
ชวด
หนู
มุสิก
ใจ้
ใจ้
เจ้อ-อี
Tí ตี๊
牛
หนิว (niu2)
แหง่ว
แหงว
ฉลู
วัว
อุสุภ, อุสภ
เป้า
เป้า
เป้า
Sửu สือ-ว
虎
หู่ (hu3)
ฝู่
ฟู่
ขาล
เสือ
พยาฆร, พยัฆะ, วยาฆร, พยคฆ
ยี
ยี
ยี
Dần เหยิ่น
兔
ทู่ (tu4)
ถู้
ถู้
เถาะ
กระต่าย
สะสะ, สัศ
เม้า
เหม้า
เหม้า
Mạo หม่าว
龍/龙
หลง (long2)
หลุง
หลุง/ลยุ๋ง
มะโรง
งูใหญ่
มังกร, นาค, สงกา
สี
สี
สี
Thìn ถิ่น
蛇
เสอ (she2)
สา
สา
มะเส็ง
งูเล็ก
สัป, สปปก
ไส้
ไส้
เส้อ-อื
Tị ติ
馬/马
หม่า (ma3)
มา
มา
มะเมีย
ม้า
ดุรงค, อัสส, อัสดร
สง้า
สะงะ
สีงะ
Ngọ หง่อ
羊
หยาง (yang2)
หยอง
หยอง
มะแม
แพะ
เอฬกะ, อัชฉะ
เม็ด
เม็ด
โมด
Mùi หมุ่ย
猴
โหว (hou2)
แห็ว
แห็ว
วอก
ลิง
มกฎะ, กปิ
สัน
แสน
สัน
Thân เทิน
雞/鸡
จี (ji1)
แก/ไก
แก
ระกา
ไก่
กุกกุฎ, กุกกุฏ
เล้า
เล้า
เฮ้า
Dậu เหย่า
狗
โก่ว (gou3)
แกว
แก้ว
จอ
หมา
โสณ, สุนัข
เส็ด
เส็ด
เม็ด
Tuất ต๊วด
豬/猪
จู (zhu1)
ปีมะเมีย พ.ศ 2557
สัญลักษณ์
ม้า
ชาติภูมิ
เทวดาผู้หญิง
ธาตุ
ไฟ
มิ่งขวัญโชคลาภ
ต้นตะเคียนหรือต้นกล้วย
ผู้เกิดปีมะเมียมักใช้สติปัญญา และแรงกายอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ นอกจากนั้นยังมีความทะเยอทะยาน และพลังงานเต็มเปี่ยม รวมทั้งขยันขันแข็งเป็นยอด
คนที่ปีมะเมียนั้นเป็นคนที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่งตัวดี และเซ็กซี่ชอบเป็นจุดสนใจ มักชอบอยู่ตามงานปาร์ตี้ คอนเสิร์ต และการแข่งขันกีฬาต่างๆ เสมอ ความที่ชอบเดินทาง และรักการแข่งขันทำให้คนเกิดปีมะเมียมักแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว ตั้งแต่อายุไม่มาก ความเป็นตัวของตัวเอง และความกบถที่มีอยู่ในตัวทำให้ชาวมะเมีย เกลียดระเบียบแบบแผนจนมักจะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นเสมอ นอกจากนั้นยังเจ้าเล่ห์เพทุบายมากกว่าจะฉลาดหลักแหลม รวมทั้งมีแนวโน้มว่าจะขาดความมั่นใจในตัวเองที่แท้จริงอีกด้วย
เนื่องจากเป็นคนเลือดร้อน หุนหัน และไม่อดทน ชาวมะเมียจึงมีความสนใจในระยะที่สั้นมากๆ (ขี้เบื่อ หน่ายเร็วว่างั้นเถอะ) แถมบางทียังเป็นคนเห็นแก่ตัวหลงตัวเองอีกต่างหาก
คนเกิดปีมะเมียมักจะมีความขัดแย้งในตัวเองหลายอย่าง ทั้งหยิ่งแต่ก็อ่อนหวานในเวลาเดียวกัน โอ้อวดแต่ก็แสนถ่อมตัวยามมีความรัก ขี้อิจฉาแต่ก็ช่างประนีประนอม ต้องการเป็นที่ยอมรับแต่ก็ยังอยากเป็นอิสระอยู่ลึกๆ ต้องการความรักและแสวงหาความใกล้ชิด แต่ในขณะเดียวกันก็มักรู้สึกอึดอัดกดดันและจนแต้มอยู่บ่อยๆ ในเรื่องความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม คนเกิดปีมะเมียนั้นอ่อนแอ และพร้อมสละทุกอย่างเพื่อความรัก
สัญลักษณ์ประจำเดือนเกิด
เดือนห้า(๕) , ๖ , ๗
ม้ามณีกาบ ธาตุไฟฟ้า
เดือนแปด(๘) , ๙ , ๑๐
ม้าคนเลี้ยง ธาตุไฟสุมตีเหล็ก
เดือนสิบเอ็ด(๑๑) , ๑๒ , ๑
ม้ากระจอก ธาตุไฟในดิน
เดือน ๒ , ๓ , ๔
ม้าอัศวราช ธาตุไฟในแก้ว
สัญลักษณ์ประจำวันเกิด
วันอาทิตย์
ม้าคนเลี้ยง
วันจันทร์
ม้าเทวดาเลี้ยง
วันอังคาร
ม้าพระยาเลี้ยง
วันพุธ
ม้าสาธารณะ
วันพฤหัสบดี
ม้าพระโพธิสัตว์
วันศุกร์
ม้ากำพร้า
วันเสาร์
ม้ากระจอกเปลี้ย
คู่ราศี
คู่ที่เหมาะสม :
ปีจอ ปีขาล ปีมะแม ปีมะเส็ง
คู่ที่พอใช้ :
ปีกุน ปีมะเมีย
คู่ที่พอเข้ากันได้ :
คู่ไม่ถูกโฉลก :
ปีชวด ปีระกา ปีเถาะ ปีฉลู ปีวอก
ปีชวด : ปรับตัวได้เก่งในทุกสถานการณ์ คารมดี พูดจูงใจเก่งมาก ไอ . คิว . เป็นเลิศ เป็นคนทุ่มเทหมดใจหมดกระเป๋า เห็นวันนี้แสนขยัน แต่พรุ่งนี้อาจนอนขี้เกียจทั้งวัน เป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด มีความทะเยอทะยานสูง เป็นนักสะสม เป็นนักช้อปปิ้ง ชอบของลดราคา เพื่อนมาก ญาติเยอะ ชอบพึ่งพาตนเอง ดูมาดนิ่ง แต่ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย ไม่ชอบความผูกพัน เก็บความลับเก่ง เก็บความรู้สึกก็เก่งนะ เก็บเงินได้ ใช้เงินเป็น แก้ปัญหาเก่งมาก แต่แสดงออกทางอารมณ์ไม่เก่ง ถือผลประโยชน์ตนเป็นสำคัญ ขี้หวง ขี้หึง ขี้บ่น ขี้ระแวง ช่างติ ช่างวิจารณ์ ไม่ชอบเก็บอะไรมาคิดให้รกสมอง บางครั้งก็เชื่อใจผู้อื่นง่ายเกินเหตุ ชอบสังสรรค์บันเทิง ถนัดดูแลงานท่องเที่ยวบันเทิง คิดฝันในเรื่องรักแบบซึ้งสุดใจ เน้นความสบาย ไม่ชอบเรื่องซีเรียสใดๆ ไม่ถนัดเรื่องละเอียดอ่อนนัก
ปีฉลู : สุขุม มาดดี ไม่ช่างจ้อ อดทนได้อย่างสุดอัศจรรย์ คงมั่น ยากหวั่นไหว ขี้อาย เขินเก่งนักเชียว แสนจะอบอุ่นและอ่อนโยน หัวดื้อ แบบว่าดื้อเงียบ หัวเก่า หัวโบราณ หัวแข็ง เปลี่ยนแปลงยาก หัวใจไม่ง่าย รักคนยาก รักแล้ว ลืมยาก แต่ไม่ยอมเศร้า ชอบของเก่าๆ กตัญญูเป็นที่หนึ่ง มีความรับผิดชอบสูง ซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือ มีความหยิ่งทระนง ถือศักดิ์ศรี รักษาสัญญาสุดฤทธิ์ ไม่สนใจความคิดผู้อื่น ไม่เจ้าเล่ห์แสนกล ใน 5 ปี อาจมีอาละวาดสัก 1 ครั้ง ขยันขันแข็ง ไม่ค่อยถนัดเรื่องยั่วเย้าเคล้าคลอ เลือกแฟนที่จิตใจ มิใช่หน้าตา รักครอบครัวมาก รักบ้าน รักครอบครัว ไม่ชอบออกไปเที่ยวเฮฮาปาร์ตี้ ยากจะเอ่ยปากให้ใครช่วยเหลือ คบเพื่อนน้อย เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เน้นเกียรติยศมากกว่าเงินทอง ปากตรงกับใจ แต่มักจะปากหนัก ชอบคิดมากกว่า
ปีขาล : มีความนับถือตัวเองสูง รักงาน จริงใจใสซื่อ กล้าทำในสิ่งแตกต่าง มาดดี มีแต่คนอยากคบ เป็นนักปฏิวัติ ไม่กลัวความล้มเหลว หงุดหงิดง่าย แต่ไม่งอนใครนาน ชอบแสวงหาความแปลกใหม่ ท้าทาย บางครั้งก็ดันทุรังสูง รักเด็ก อยากรู้อยากเห็น เรียนรู้เร็ว วู่วาม แต่ก็มีความอ่อนโยน มากด้วยน้ำใจไมตรี มีอารมณ์ละไม ชอบศิลปะ สนุกกับโชคชะตา ไม่กลัวล้มเหลว ชอบเล่นกีฬา ชอบผจญภัย มักรีบด่วนตัดสินใจ สนุกกับเรื่องท้าทายได้ทุกเมื่อ รักอิสระ แต่ก็มีวินัยในการดำรงชีวิต ยามโกรธ โทสะแรง แก้ปัญหาได้เอง มักเสียใจลึก แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็ว ไม่ชอบงอมืองอเท้าพึ่งพาใคร ทะเยอทะยานสูง ใจบุญสุนทาน ขี้หวงขี้หึง รักง่าย รักร้อนแรง
ปีเถาะ : ปัญญาดี มีไหวพริบ เป็นนักเจรจา คารมเป็นเลิศ ใจดี ใจกว้าง ใจละเมอ หวาดหวั่นขวัญเสียง่าย เสน่ห์แรง เพื่อนฝูงติดหนึบ เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ได้ แต่ก็ชอบชีวิตสงบๆ เงียบๆ มีคุณธรรมสูง อ่อนโยน แต่ก็เจ้าอารมณ์ไม่เบา รสนิยมดี ชอบความเก๋ไก๋ ดูเหมือนหัวอ่อนว่าง่าย แต่ดื้อเงียบ ไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก มีอารมณ์ติสต์ อ่อนไหวสูง ปฏิเสธการต่อสู้ การเสี่ยงทุกรูปแบบ รักสวยรักงามตลอด ชอบการคลอเคล้าพะเน้าพะนอ รักแรง เกลียดแรง เกลียดความก้าวร้าว รุนแรง ยากที่ใครจะอ่านใจได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ชอบกฏระเบียบ เป็นกระต่ายน้อยผู้เสียสละ ช่างสังเกตเป็นที่สุด บ่อยครั้งที่จุกจิกจู้จี้เกินเหตุ มีความห่วงใยเอื้ออาทร เป็นนักจับผิดตัวยง ยากที่จะคิดไม่ซื้อหรือเอาเปรียบใคร รักอาชีพการงานของตน - โอ้อวดตนได้อย่างแนบเนียน เข้าใจและยอมรับข้อด้อยของคนอื่นได้ มักภาคภูมิใจในตนเอง
ปีมะโรง : ปลื้มความเนี้ยบทุกอย่างต้องเพอร์เฟคต์ บุคลิกน่าเกรงอกเกรงใจ มีวาสนา บารมีสูง มีเสน่ห์ มักเป็นดาวเด่นเสมอ มีหัวใจแกร่ง และกล้าหาญ รับผิดชอบสูง เป็นหัวหน้าคนได้สบาย ฉลาดปราดเปรื่อง มีเพื่อนฝูงติดสอยห้อยตามเพียบ มีความรู้กว้างขวางมาก ชอบคนง่าย แต่เลือกมาเป็นคู่ยากมาก บ่อยครั้งเผด็จการ ชอบควบคุมผู้อื่ ประสบความสำเร็จเร็ว รักเกียรติรักศักดิ์ศรีมาก หน้าใหญ่ ใจกว้าง รักอิสระ แต่ก็มีระเบียบแบบแผน ชอบท่องเที่ยว ผจญภัย เจ้าอารมณ์ ชอบรักษาฟอร์ม ภาพพจน์ต้องดูดีเสมอ อ่อนไหว ขี้เหงา เศร้าเก่ง ไม่ชอบพึ่งพาผู้อื่น ชอบช่วยเหลือผู้คน ยุ่งเรื่องส่วนตัวผู้อื่นมากไปนิด ปลื้มคนที่ความสามารถมากกว่าคนมีเงิน สนใจใคร่รู้ในทุกเรื่อง เรียกร้องความรักอย่างสูงสุด แสวงหาความชื่นชอบยอมรับจากคนรอบข้าง แต่ไม่ค่อยทุ่มเทความรักตอบแทนไป ยิ่งมีอายุ ยิ่งดูเด็กลง หลงตัวเองเหมือนกันนะ
ปีมะเส็ง : เซ็กซี่ มีความเร้าใจ ฉลาดลึกล้ำ อยู่ในโลกของความจริงมากกว่าเพ้อฝัน ความจำเป็นเลิศ ใจแข็ง ใจเด็ด อารมณ์ขันน่ะมี แต่ฝืดเล็กน้อย ช่างสังเกต ช่างระแวดระวัง มีความมุ่งมั่นสูง เป็นเจ้าของโครงการในฝันนับร้อย เยือกเย็นแต่โมโหร้าย ไม่ชอบเปิดเผย ไม่ชอบวุ่นวายกับใคร มีลางสังหรณ์ ความรู้สึกไว เจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมารยา ชอบเรียนรู้ หัวไว รักจริงหวังแต่ง แสดงออกทางอารมณ์ไม่เก่งนัก ไม่ชอบนินทาใคร ไม่เห็นว่าเงินเป็นพระเจ้า กระตือรือร้นน้อยมาก เชื่อความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ชอบแสดงความเป็นเจ้าของ - รักเพื่อน แต่มีเพื่อนซี้น้อย จริงใจ แต่ทำตัวเหมือนไม่เปิดกว้างนัก ชอบสบายกับทางลักมากกว่าทางตรง ชอบช่วยคนด้วยหวังดี แต่มักผิดหวัง ทุ่มเทมุ่งมั่นได้แค่ช่วงสั้นๆ ไม่กลัวลำบาก บางครั้งก็ชอบคิดในแง่ลบก่อนแง่บวก ถ้าโกรธ ไม่เย็นเหมือนบุคลิกหรอก
ปีมะเมีย : เปิดเผย ไม่เคยมีความลับ มีหัวใจเสรี มีมุขฮาๆ มาโชว์เสมอ นิยมความเลิศหรู ดูโดดเด่น สดชื่น รื่นเริงตลอดปี จัดการเรื่องเงินเก่งมาก ฉลาดเฉลียว เอาตัวรอดเก่า เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมได้ดี มีความทะเยอทะยานสูง ชอบให้ยกยอปอปั้น ชอบการแสดงออกสุดฤทธิ์ มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ เหนื่อยยาก ขี้เบื่อ สมาธิสั้นมาก อดทนน้อย อดกลั้นไม่เก่ง โกรธใครเป็นต้องทำหน้าหงิกทันที รักการเดินทาง ผจญภัย สนุกกับชีวิตมากกว่าจะเอาจริงเอาจัง รู้จักรอมชอม ไม่ก้าวร้าว ตามใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง ชอบเคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่ง ฉุนใครเป็นต้องโต้ตอบ ไม่ยอมให้ตัวเองทุกข์ เศร้าบ้าง บางครั้งก็ถอดใจ ยอมแพ้ได้อย่างคาดไม่ถึง กล้ารัก กล้าเลิก มีมิตรสหายเป็นแสน แต่มีคนชังเพราะปากตัวเอง ไม่หวั่น แม้ยิ่งสูงยิ่งหนาว หาญกล้า บ้าบิ่น
ปีมะแม : มีกำลังใจเข้มแข็ง สุภาพ สุขุม ลุ่มลึกละเมียดละไม จริงใจสุดฤทธิ์ ชอบบริหารสเน่ห์เป็นงานหลัก ขี้สงสาร ขี้เหงา ขี้อาย ตัดสินใจช้ามาก บ่นเก่งไม่เบา เป็นคุณนาย ( หรือคุณชาย ) สายเสมอ ใจกว้าง พร้อมจะให้อภัยเสมอ มักเสียสละเพื่อผู้อื่น มักเป็นห่วงเป็นกังวล ไม่มีความดันทุรังสูง อดทนอดกลั้น สุดอัศจรรย์ เจ้าเล่ห์เจ้ากลแนบเนียนมาก สนใจเรื่องเร้นลับ ปฏิเสธความก้าวร้าวและความรุนแรง ร้อยวันพันปีมีโมโหน้อยครั้ง ไม่ชอบการแข่งขันทุกรูปแบบ ปลอบโยนเก่ง ให้คำแนะนำได้ซึ้งมาก โรแมนติกสุดหัวใจ บุคลิกอ่อนโยน แต่ใจเด็ดมาก ยอมเหนื่อยทางตรงมากกว่าสนทางลัด เน้นหลักช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม รู้จักปรับตัวในทุกสถานการณ์ ไม่ขี้เหนียว แต่ก็ไม่สุรุ่ยสุร่าย แคร์คนรอบข้างเสมอ แต่ไม่ค่อยปลื้มกับความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยึดมั่นในความรักและความผูกพัน เป็นนักเจรจาต่อรองที่ดีเลิศ ไม่เคยหวั่นแม้วันเจอมรสุมชีวิต
ปีวอก : แก้ปัญหาเก่งไหวพริบดี มีไอเดียสร้างสรรค์ มีเสน่ห์ ชวนให้ติดตาม ฉลาดแกมโกง เป็นนักพนัน นักเที่ยว และนักรัก ขี้เล่น อารมณ์ดี ยิ้มตลอด ปรับตัวเก่ง เข้ากับผู้คนง่าย มีหัวใจอบอุ่น เป็นหัวหน้าฝ่ายเอนเตอร์เทนได้สบาย เชื่อมั่นในตัวเองไม่น้อยเลย บางครั้งดูเหลวใหล แต่มีเป้าหมายชีวิต คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว ตกหลุมรักง่าย หน่ายเร็ว รอบรู้ สนอกสนใจทุกเรื่อง ไม่แคร์คำติติงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ปลื้มคนเฉื่อบชาเชื่องช้า เป็นผู้นำกลุ่มได้ เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย คารมดี ช่างฉอเลาะ แต่ก็รับผิดชอบการงานดีนะ ลุยได้เสมอ แต่ไม่ชอบงานหนัก แต่บางคราวก็วู่วามไร้เหตุผล ยากจะจัดระเบียบให้ชีวิตตัวเอง ชอบให้คนสนใจ เน้นรักสนุกมากกว่าคิดทะเยอทะยานสูง เจ้าชู้ สนใจแต่เรื่องเพศตรงข้าม แต่จีบไม่ค่อยเป็นหรอก โรแมนติกไม่เบา ติดเพื่อน ดวงดี ไม่ค่อยมีวันลำบาก
ปีระกา : จิตใจเอื้ออารี หาญกล้า มีลูกบ้าในตัว ตรงต่อเวลา ใจคิดอะไร ปากว่าอย่างนั้น มาดเท่ตลอดปี เป็นลูกคุณนาย นามสกุลประณีต หยิ่งทระนง ไม่แคร์ใคร แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ควบคุมผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน ไม่รอมชอม ผิดก็ว่าผิด อยากเป็นคนเด่นดังในสังคม รักอิสระ แต่มีกฏระเบียบสูง ดื้อดึง ก้าวร้าวเงียบๆ แต่มองโลกในแง่ดี และก็มีอารมณ์เพ้อฝันไม่น้อยเลยนะ สนุกกับการโต้เถียงปะทะคารม ช่างสังเกต ช่างจับผิด มีน้ำใจ ไม่ทิ้งเพื่อน เจ้าชู้ รักคนง่าย ใจซื่อ มือสะอาด หงุดหงิดง่าย แต่ก็ควบคุมอารมณ์ได้ เป็นนักต่อสู้ รู้จักคิดและมองการณ์ไกล เชื่อถือได้เสมอ มีความสามารถในทางศิลปะ รักสวยรักงาม ชมได้ แต่อย่ามาติกันนะ ช่างคิด ช่างสะเทือนใจ หวังให้แฟนเป็นดั่งใจทุกอย่าง บางครั้งก็ดูเรื่องมากกว่าเพื่อนๆ
ปีจอ : ช่างสังเกตเป็นเลิศ ปากกับใจตรงกัน ไม่ทันคิด จนบางครั้งดูไม่ให้เกียรติคนอื่น บางครั้งทำอะไรก็อารมณ์เป็นหลัก มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะ รู้ชนะ รู้อภัย มองคนเก่ง อ่านคนเป็น ชอบโอ้อวดตนเล็กๆ เพื่อนพ้องต้องมาเป็นอันดับ 1 บางครั้งก็เอะอะโวยวายไม่เบา สนใจใฝ่รู้เกินเหตุ มักเดือดร้อนแทนเพื่อน โกรธง่าย หายเร็วมาก เปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน รอบคอบ ไม่ประมาท ปลื้มความหรูหราเลอเลิศ ชอบเคลียเคล้าพะเน้าพะนอ ขี้สงสัย ขี้ระแวง บางครั้งก็เชื่อคนง่ายเกินไป มักเขม่นผู้อื่นง่าย ขี้บ่นไม่เบาเหมือนกัน ปลอบเพื่อนได้เก่ง แต่อย่าไปเล่าความลับให้ชาวจอรู้นะ รักง่าย หลายใจแต่ รักเดียว แต่ก็คิดอยากจะนอกใจแฟนบ้างเป็นบางครั้ง เหมือนเด็กดื้อ อารมณ์เสียง่าย เอาแต่ใจ จนบ้างครั้งดูเป็นเด็ก รักถิ่นฐาน ชอบผจญภัย
ปีกุน : อบอุ่น จริงใจ คิดอย่างไร พูดอย่างนั้น มีเสน่ห์ที่ความเรียบง่ายสบายๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ใสซื่อตลอด แต่บ่อยครั้ง ไม่ค่อยยืดหยุ่นบ้าง เป็นศิลปินได้ดีกว่าเป็นนักธุรกิจ อารมณ์ดี ชอบเฮฮาปาร์ตี้ เข้ากับผู้คนง่าย ใจเย็น ยากจะเห็นหมูอาละวาด ใจอ่อน ใจดี ใจบุญ ชอบทำงาน หาเงินเก่ง ไม่เคยถือโทษโกรธใคร ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใคร ยากจะท้อถอย ไม่ทะเยอทะยานนัก มีความสามารถในการรอคอยสูงมาก อ่อนไหว แต่ไม่ชอบเศร้า เข้าใจผู้คนได้ลึกซึ้ง เป็นคนบูชารัก เป็นนักชิม อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ มีความซื่อตรงมาก พลังใจเด็ดเดี่ยวแข็งกล้า บางครั้งก็หัวแข็งไม่ฟังใคร มีหัวใจของนักสู้ รักจริง หวังแต่ง ช่างเอาอกเอาใจ ไม่โรแมนติกนักหรอก ทุ่มเทให้ครอบครัวเสมอ เป็นผู้นำได้ดี
************************
.................. ไอ่นี่นกรู้ซิ่งหนีลาบวชประกาศวางมือคนแรก ....................
เรียน เพื่อนๆร่วมอุดมการณ์
การโค่นล้มระบอบทักษิณและรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม ผมกับผู้กองปูเค็ม ได้เริ่มการต่อสู้โดยการจัดตั้งกองทัพนิรนามตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมและจัดตั้งด้วยการสถาปนากองพันนิรนามไปแล้ว 18 กองพันทั่วประ เทศ ทั้ง 4 ภูมิภาคใช้ระยะในการจัดตั้งเป็นเวลา 6 เดือนมาแล้ว มาถึงวันนี้ เรามี กองทัพประชาชน นำโดย พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ, คปท. นำโดย ทนายนกเขา และ กปปส. นำโดย กำนันสุเทพ
ผมเองจะขอวางมือจากทางโลกไปสู่ทางธรรมต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป/เสธ.อู๊ด
พลเอก กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ
ประธานคณะเสนาธิการร่วม
กองทัพนิรนาม
31 ธันวาคม 2556.
................. นายกปู พบ เปรม แฝงนัยยะเทือกตายเดียว ....................
โดย ประปา
เมื่อ พุธ, 01/01/2014 - 15:21
1. มีการเลือกตั้งแน่นอน
2. เทือกต้องหาทางลงภายใน 10 วัน
3. หลังเลือกตั้งให้บรรหารเป็นนายก 1 ปี
4. ไม่มีการเช็คบิลจาก กกต. ปปช. ศาลนวย ในคดีที่วิตกกันอยู่
5. ให้สภาใหม่เป็นผู้แก้ไขกฎหมายสำคัญตามที่บางคนต้องการ
6. กฎหมายปรองดองและกฎหมายรัฐธรรมนูญบททั่วไปให้ทำแค่ครึ่งซอย
7. ครบทุกอย่างแล้วไปเลือกตั้งกันใหม่ภายใน 1 ปี
นายกคนใหม่เป็นระยะสั้น ๆ ให้คนตัวสั้นเป็นชั่วคราวลดแรงเสียดทาน เพื่อไทยรอเป็นครั้งหน้าสบายกว่ากันเยอะ พรรคที่ได้อันดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนายกเสมอไปในเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ
................. นายกให้คนตัวสั้นไปพร้อมกระทรวงเกษตรและ รมช.อีก 2-4 ตำแหน่ง (ตามสัดส่วน ส.ส.ที่ได้) ส่วนตำแหน่งหลักกระทรวงสำคัญ ๆ ที่พรรคเพื่อไทยเคยคุมอยู่ก็คุมเหมือนเดิมและต้องเร่งนโยบายที่ค้างไว้ทำให้บรรลุเช่นโครงการน้ำ โครงการรถไฟฟ้า และ ดำเนินนโยบายใหม่ในการหาเสียงครั้งนี้ให้สำเร็จให้มากที่สุด หลังครบ 1 ปี เลือกตั้งครั้งหน้ากวาด ส.ส. เกือบเต็มเข่ง
*************************************