เด็กอัจฉริยะของโลก
น้องธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี ติดอันดับ 1 ใน 15 เด็กอัจฉริยะที่สุดในโลก ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งการวาดภาพ Abstract เล่นไวโอลิน และด้านวิชาการ
วันที่ 25 กันยายน 2556 รายการครอบครัวข่าวเช้า ทางช่อง 3 รายงานว่า ด.ช.ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี อายุ 11 ขวบ ติด 1 ใน 15 เด็กอัจฉริยะที่สุดในโลก จากการสำรวจของเว็บไซต์ thebestschools.org ซึ่งจากอันดับดังกล่าวประกอบไปด้วย เด็กอเมริกัน 6 คน อังกฤษ 4 คน รวมถึงไทย ออสเตรเลีย ฮ่องกง เคนยา และมอลโดวา อีกประเทศละ 1 คน
โดย ด.ช.ธนัช ฉายแววอัจฉริยะตั้งแต่อายุได้ 3 ขวบ มีผลงานเขียนภาพแนว Abstract ซึ่งสามารถนำออกขายได้ทั่วโลกตั้งแต่ที่น้องธนัชอายุ 4 ขวบเท่านั้น เขาจึงได้รับฉายาว่า "ปิกัสโซ่น้อย" และเมื่อโตขึ้นน้องธนัชมีความสามารถในการเล่นไวโอลินได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งมีผู้ที่ชมคลิปทั่วโลกแล้วกว่า 23 ล้านวิว พร้อมกับได้รับฉายาอีกเช่นกันว่า "โมสาร์ทน้อย" นอกจากนี้ น้องธนัชยังฉายแววโดดเด่นทางด้านวิชาการ พ่อแม่จึงจัดการเรียนการสอนให้ที่บ้านแบบ Family Academy เพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพให้กับเด็ก
นอกจากนี้ น้องธนัช ยังได้ร่วมงานวิจัยกับมหาวิทยาลัย 2 แห่ง ที่ภาคชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และงานวิจัยวิทยาการคอมพิวเตอร์ในการแปลภาษามนุษย์ให้เป็นภาษาคอมพิวเตอร์กับคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยน้องธนัชตอบคำถามใน thebestschools.org ไว้อย่างน่าสนใจ โดยกล่าวว่า "คำถามที่ผมถูกถามบ่อย ๆ ว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร เป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่ว่าเราจะเลือกอะไร เราก็ต้องผูกมัดกับสิ่งนั้นไปทั้งชีวิต ผมจึงระมัดระวังก่อนที่จะตอบ"
นอกจากนี้ น้องธนัช กล่าวด้วยว่า ชอบที่ได้เรียนอยู่ที่บ้าน วันหนึ่งทำอะไรได้หลายอย่าง ทั้งเรียนและออกกำลังกายด้วยการซ้อมไวโอลินซึ่งตรงกับสิ่งที่อยากจะทำ และผมชอบคุยกับคนที่อายุมากกว่า หลายท่านเป็นระดับศาสตราจารย์ ซึ่งก็ได้รับความรู้และประสบการณ์หลายเรื่อง ได้นำสิ่งที่ท่านเหล่านั้นบอกมาไปต่อยอดค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งอื่น ๆ เมื่อพบปัญหาก็กลับไปถามซึ่งท่านเหล่านั้นก็จะชี้จุดให้ผมเดินต่อไปได้
สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เมื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ชวน น้องธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี เด็กอัจฉริยะวัย 10 ปี ที่มีความรู้ความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์สูงเกินวัย เข้ามาร่วมทำงานวิจัยด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และด้านวิทยาศาสตร์ ที่ฟังแค่ชื่องานวิจัยแล้วบอกได้เลยว่า แม้แต่นักศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ยังเอ่ยปากว่ายากจริง ๆ
นอกจากนี้ หากยังจำกันได้ เมื่อ 3 ปีก่อน น้องธนัช ก็เคยเป็นข่าวฮือฮามาแล้วครั้งหนึ่ง จากการโชว์ฝีมือสีไวโอลินแล้วอัพคลิปลงในเว็บไซต์ยูทูบ จนมีผู้คลิกเข้าไปชมเด็กชายวัย 7 ขวบ (เมื่อปี 2553) กว่า 7 ล้านครั้ง ภายในเวลาไม่กี่วัน (ปัจจุบันยอดวิวพุ่งกว่า 22 ล้านครั้งแล้ว) กระทั่งได้รับฉายาว่า "โมสาร์ทน้อย" แถมถ้าย้อนไปตอน 3 ขวบ น้องธนัช ก็มีผลงานวาดภาพศิลปะแนว Abstract อย่างน่าทึ่ง จนมีผู้ติดต่อขอซื้อภาพแล้วหลายราย
หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไม น้องธนัช ถึงเป็นเด็กอัจฉริยะได้ขนาดนี้ คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูน้องมาอย่างไร รายการเจาะข่าวเด่น เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556 จึงได้เชิญ น้องธนัช พร้อมด้วย คุณพ่อธนู และคุณแม่วัชราภรณ์ เปลวเทียนยิ่งทวี มาร่วมพูดคุยกัน
เห็นน้องธนัชเป็นเด็กอัจฉริยะขนาดนี้แล้ว ก็อดถามไม่ได้ว่า จริง ๆ น้องพูดคุยกับคนอื่นรู้เรื่องไหม? ซึ่งทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ยืนยันว่า น้องธนัชยังเป็นเด็กปกติ มีมนุษยสัมพันธ์ดี ยังเล่นเหมือนเด็ก ๆ อารมณ์ดี เบิกบาน มีอารมณ์ขัน มีชีวิตวัยเด็กเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องวิทยาศาสตร์ขนาดนั้น
อย่างไรก็ดี สำหรับเด็กในวัยนี้ถ้าจะให้เลือกอ่านหนังสือก่อนนอนก็คงจะหนีไม่พ้นหนังสือนิทาน หรือการ์ตูน แต่สำหรับหนูน้อยอัจฉริยะคนนี้ สิ่งที่น้องเลือกอ่านก่อนนอนกลับเป็นหนังสือตำราชีววิทยาที่แพทย์อ่านกัน มีความหนาพันกว่าหน้า แถมยังเป็นภาษาอังกฤษทุกประโยค แต่น้องธนัชบอกว่าอ่านแล้วสนุก ได้ข้อมูลมากมาย เพราะมีความชอบส่วนตัว ซึ่งคุณแม่ก็เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะซื้อเล่มนี้ น้องธนัชมารบเร้าอยู่นาน เพราะคุณแม่ไม่แน่ใจว่าลูกจะอ่านไหว เพราะเล่มหนามาก แถมยังเป็นตำราแพทย์ และมีราคาแพง แต่พอซื้อมาแล้วก็ดีใจที่ลูกอ่านทุกคืนเลย แถมยังอธิบายความรู้ในหนังสือให้ฟังได้อย่างเข้าใจด้วย เห็นเล่มหนาขนาดนี้ น้องธนัชบอกว่าใช้เวลาอ่านแบบสแกนแค่ 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น
ส่วนอีกเล่มที่น้องธนัชชอบอ่านมากก็คือ ตำราเกี่ยวกับไบโอเคมี ซึ่งน้องใช้เล่มนี้ในการอ้างอิงเวลาทำแล็บ ที่น่าทึ่งก็คือ ตำราเหล่านี้นักศึกษาปริญญาตรีไม่ได้เรียน เพราะเป็นตำราที่ใช้ในระดับปริญญาโทขึ้นไปเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกหลายเล่มที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เชื่อเถอะว่าแค่ฟังชื่อหนังสือแล้วคนธรรมดาที่ไม่มีความรู้วิทยาศาสตร์อย่างเรา ๆ เป็นต้องมึนแน่นอน
แต่ถึงน้องธนัชจะสนใจใฝ่รู้เอาจริงเอาจังกับเรื่องวิทยาศาสตร์ เจ้าตัวก็ยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งไวโอลินที่ตนเองถนัดเช่นกัน พร้อมกับโชว์ฝีมือการสีไวโอลินให้แฟน ๆ รายการได้ชมกันด้วย ซึ่งต้องบอกว่าฝีมือการสีไวโอลินของน้องไม่เคยตกเลยจริง ๆ และเจ้าตัวก็เล่าอย่างภูมิใจว่า ไวโอลินที่ตัวเองใช้อยู่นั้นเป็นไวโอลินเก่าที่มีอายุ 113 ปีแล้ว ตกทอดกันมาในตระกูลของคนทำไวโอลินชาวเยอรมนีถึง 4 ชั่วอายุคน และทางเจ้าของรุ่นที่ 4 ที่ได้เห็นผลงานของน้องในยูทูบก็ติดต่อมาว่าจะนำไวโอลินคันนี้มาให้ใช้ เพราะไม่อยากเก็บไวโอลินดี ๆ ไว้เฉย ๆ
อย่างไรก็ตาม ตอนแรกคุณพ่อก็ไม่กล้ารับ เพราะไวโอลินคันนี้มีราคาสูงจนประเมินค่าไม่ได้ และกลัวว่าลูกชายจะทำไวโอลินเสียหาย แต่ทางเจ้าของไวโอลินคะยั้นคะยอให้น้องใช้ พร้อมกับทำประกันเอาไว้ด้วย สุดท้าย น้องธนัช ก็รับไวโอลินคันนี้มาใช้ และสัมผัสได้ว่าเสียงไวโอลินดีกว่าทุกคันที่เคยใช้มาจริง ๆ
และจากการที่น้องธนัชมีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษดีอยู่แล้ว เพราะคุณพ่อคุณแม่ใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกับลูกที่บ้านตั้งแต่เล็ก ๆ ก็ทำให้น้องเสาะแสวงหาความรู้ได้จากหลายที่ โดยเฉพาะโลกอินเทอร์เน็ตที่น้องจะชอบเข้าไปอ่านเรื่องเกี่ยวกับนาซา นอกจากนี้น้องยังลงทะเบียนดูคลิปการเรียนการสอนของศาสตราจารย์คนดังที่สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ MIT เพื่อเอาใบประกาศนียบัตรอีกต่างหาก
ส่วนในมุมสบาย ๆ ที่เกี่ยวกับความบันเทิงนั้น น้องธนัชก็มีเหมือนกัน อย่างการเข้าไปเปิดคลิปฟังเพลง ดูหนัง แต่ขอบอกว่า เพลงที่น้องฟังนั้นคือเพลงคลาสสิก แถมยังดูการ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ อย่างเรื่อง "Once Upon a Time... Life" ที่้เป็นการ์ตูนอธิบายระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย และอ่านหนังสือการ์ตูนที่อธิบายเรื่องเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถ้าลองพลิกหน้าหนังสือดูแล้วล่ะก็ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ก็ปวดหัวแน่นอน
การพัฒนาสมองเด็กด้วยดนตรี
ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่พูดถึงดนตรี เราก็จะคิดถึงดนตรีว่าเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการสร้างสีสันให้กับชีวิต แต่จากการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ค้นพบว่าการปลูกฝังดนตรีให้กับเด็กๆ ตั้งแต่ยังเล็กนั้นจะช่วยพัฒนาความสามารถของเจ้าตัวเล็กในหลายๆ ด้าน เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่ดนตรีจะช่วยพัฒนาศักยภาพต่างๆ ได้ เราลองมาดูกันดีกว่า ว่าสมองของคนเรานั้นทำหน้าที่อย่างไรกัน สมองคนเราจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่วัยทารก ในวัยนี้เซลล์สมองจะเริ่มทำการขยายกิ่งก้านสาขาออกไป ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อมีสิ่งกระตุ้นต่างๆ เข้ามา ยิ่งเด็กทารกได้รับการกระตุ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเป็นผลดีกับการขยายตัวของเซลล์สมองมากขึ้น หรือจะอธิบายง่ายๆ โดยการเปรียบเทียบสมองของลูกน้อย เป็นเมืองๆ หนึ่ง การที่เค้าได้สัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่ เค้าก็จะทำการสร้างถนนขึ้นมาหนึ่งสาย ยิ่งสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ที่มากระตุ้นเค้ามากเท่าไหร่ จำนวนถนน ก็จะยิ่งมากขึ้น การเชื่อมต่อกันของถนนเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นเองตามมา มันก็จะเป็นผลดีกับเค้าในกรณีที่สิ่งกระตุ้นเดิมนั้นเกิดขึ้น เพราะเค้าเองมีถนนสายนั้นๆ รองรับอยู่แล้ว จะเห็นได้ว่าการสร้างเซลล์สมองเหล่านี้เหมือนเป็นการเตรียมตัวของเจ้าตัวเล็กสู่โลกอันกว้างใหญ่ในอนาคต
การที่คุณพ่อ คุณแม่ เปิดโอกาสให้เจ้าตัวเล็กได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ จะเป็นการดีต่อเซลล์สมองของลูกน้อยที่จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไป ซึ่งจะเป็นรากฐานที่ดีสำหรับลูกน้อยในอนาคต ในการวิจัยได้ค้นพบว่า ในช่วงวัยนี้ถือเป็นวัยที่สำคัญ เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่เซลล์สมองจะแตกกิ่งก้านสาขา เพื่อรองรับและถอดรหัสการกระตุ้นโดยเสียงเพลง ในการค้นคว้ายังพบว่าเด็กทารกแม้จะยังอยู่ในครรภ์แม่ จะคุ้นเคยกับเสียงๆ หนึ่งตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เสียงที่เด็กได้ยินจะเป็นเหมือนเสียงเพลง เป็นเรื่องแปลกถ้าเกิดคุณพ่อ คุณแม่ เปิดเพลงที่คล้ายๆ กับเสียงในครรภ์คุณแม่ เจ้าตัวเล็กจะหยุดกิจกรรมต่างๆ และตั้งใจฟังเสียงนั้นๆ
เด็กเล็กๆ ที่อายุประมาณ 3 เดือนจะเป็นช่วงวัยที่จะทำการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เข้ากับดนตรี อาจจะประหลาดใจไปมากกว่านี้ก็ได้ ถ้าคุณพ่อ คุณแม่รู้ว่า เจ้าตัวเล็กในวัยนี้สามารถแยกแยะเสียงเพลง และทำนองที่แตกต่างกันได้แล้ว นอกจากนี้เค้ายังสามารถที่จะเลียนเสียงเหล่านั้นได้อีกด้วย จะเห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าตัวเล็กนั้นจะจำลักษณะประโยคต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงสูง เสียงต่ำสลับกันไป เด็กๆ จะสนใจในเพลงที่มีท่วงทำนองง่ายๆ มากกว่าท่วงทำนองที่สลับซับซ้อน ผลจากการวิจัยได้มีการบรรเลงเพลง Mozart ให้เจ้าตัวเล็กทั้งหลายฟัง จะเห็นได้ว่า เด็กๆ จะให้ความสนใจกับท่อนจบแบบง่ายๆ มากกว่าช่วงอื่นๆ
จริงๆ แล้วการฝึกฝนดนตรี ก็มีรูปแบบคล้ายกับการสอนภาษาให้เด็กๆ เนื่องจากดนตรีและภาษาจะมีระบบโครงสร้างคล้ายๆ กัน รวมไปถึงการปรับเสียง และจังหวะต่างๆ ช่วงสำคัญในการเรียนรู้ดนตรีคือช่วงที่เจ้าตัวน้อย เริ่มฮัมเพลง ซึ่งจะเกิดในช่วง 6 ปีแรก เหมือนๆ กันกับช่วงที่เจ้าตัวน้อยเริ่มหัดพูด ช่วงนี้เองสมองจะเริ่มเรียนรู้ถึงความแตกต่างของเสียง เจ้าตัวเล็กจะเรียนรู้เสียงต่างๆ โดยการจินตนาการภาพของดนตรีในลักษณะที่แตกต่างกันไป เราเรียกการใช้รูปภาพเป็นตัวกำหนดเสียงนี้ว่า Audiation ซึ่งมันคือความสามารถในการสร้างภาพขึ้นมาในใจเพื่อแทนตัวอักษร หรือคำ นอกจากนี้ Audiation ยังเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพทางดนตรีและภาษา
เด็กๆ นั้นเรียนรู้ดนตรีผ่านการร้อง และเต้น หรือการแสดงออกทางท่าทาง การที่จะพัฒนาศักยภาพทางดนตรีให้ดีขึ้นนั้นควรจะเริ่มด้วยการฝึกให้ลูกน้อยได้ร้องเพลงตั้งแต่ยังเล็ก เพราะเค้าจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของท่วงทำนอง และระดับเสียงที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะมีทักษะการฟังและการจับจังหวะที่ดี แต่ไม่ได้ถูกฝึกร้องเพลงมา เค้าก็จะไม่สามารถร้องเพลง หรือเปล่งเสียงออกมาได้อย่างถูกต้อง ผลการสำรวจพบว่าในเด็กอนุบาลมีอัตราความสามารถในการร้องเพลงลดลง อาจจะมีสาเหตุมาจากทางโรงเรียนไม่ค่อยสนับสนุนให้เด็กๆ ร้องเพลงในช่วงขวบปีแรกๆ
เจ้าตัวเล็กเองก็สามารถเคลื่อนไหว และใช้กล้ามเนื้อต่างๆ ในการเล่นเครื่องดนตรี อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางการสอนดนตรีกล่าวว่า “ ให้เปรียบท่วงทำนองของดนตรี เป็นเสมือนกับแหล่งศึกษาด้านต่างๆ ของดนตรีในช่วงเวลาที่ต่างกัน ” การที่จะให้เด็กๆ สามารถจินตนาการภาพขึ้นมานั้น จะต้องเริ่มด้วยการให้เด็กได้เรียนรู้ และสัมผัสเครื่องดนตรีเหล่านั้นด้วยตัวเอง ถ้าเจ้าตัวน้อยไม่ได้มาสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ยังเล็ก การที่จะให้เด็กมาเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับดนตรีตอนโตนั้นจะเป็นการยากกว่า โดยส่วนใหญ่กล้ามเนื้อต่างๆ จะถูกสร้างขึ้นในช่วง 5 ปีแรก หลังจากนั้นจะเป็นการเสริมสร้างให้กล้ามเนื้อเหล่านั้นแข็งแรงมากขึ้น จากการวิจัยพบว่าเด็กส่วนใหญ่ในวัยเรียนไม่สามารถเดินให้เข้ากับจังหวะดนตรีได้ หรือไม่สามารถใช้ภาษาในการจัดกลุ่มการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ เนื่องจากเด็กๆ ไม่ค่อยมีการทำกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้
อาหารพัฒนาสมองลูกน้อย
อาหารพัฒนาสมองลูกน้อย
คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักต้องการอยากให้ลูกของตนเองเป็นคนเก่งและฉลาด หรือพูดง่ายๆก็คือ มีสมองที่ล้ำเลิศเหนือกว่าใครๆ นั่นเอง ฉะนั้นไม่ว่าจะมีอาหารเสริมชนิดใดสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการสมองลูกน้อยได้ คุณพ่อคุณแม่เป็นต้องหามาบำรุงลูกๆ
หากจะพูดกันตามหลักโภชนาการแล้ว การให้เด็กได้รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ นับว่าเพียงพอกับการเจริญเติบโต สุขภาพและพัฒนาการสมองของลูกน้อยอยู่แล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่คงต้องช่วยดูแลลูกไม่ให้ขาดสารอาหารดังต่อไปนี้ด้วย
โปรตีน
อาหารโปรตีนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเจริญเติบโตทั้งของร่างกาย เซลล์สมอง เส้นใยประสาทที่จะแตกไปสร้างวงจรประสาทของเด็กในช่วงอายุ 1-3 ปี หากเด็กขาดโปรตีน ซึ่งจะต้องถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนก่อนที่จะนำมาใช้สร้างโปรตีน ก็จะทำให้เกิดความบกพร่องในการเรียนรู้และการทำงานของสมองและระบบประสาท โปรตีนมีมากในนม ไข่ทั้งฟอง เนื้อไก่ หมู เนื้อวัวและเนื้อปลาทะเล
ไขมัน
เซลล์สมองประกอบด้วยไขมัน 60%ในปริมาณนี้เป็นกรดดีเอชเอถึง 50% กรดไขมันดีเอชเอเป็นกรดไขมันจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและการทำงานของสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนก่อนคลอด ซึ่งเป็นช่วงที่ระบบประสาทเซลล์สมองทารกมีการพัฒนามากที่สุดและมีการสะสมของดีเอชเอมากที่สุด และในเด็กทารกแรกเกิดความสามารถในการสังเคราะห์กรดโอเมกา 3 มีจำกัด เด็กทารกจะได้รับกรดโอเมกา 3 จากนมแม่ และหากเด็กได้รับกรดโอเมกา 3 ไม่พอในช่วงที่สมองเริ่มพัฒนา อาจทำให้ไอคิวของเด็กลดลง อาหารที่มีกรดโอเมกาสูงคือ ปลาทะเล
ธาตุเหล็ก
ในขวบปีแรกเด็กจะมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งอวัยวะต่างๆของร่างกาย ระบบประสาทของกล้ามเนื้อและสมอง ซึ่งในธาตุเหล็กนอกจากจะเป็นส่วนสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมทั้งสมองแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของเซลล์ประสาทด้วย โดยจะเห็นได้ว่าในเด็กที่ขาดธาตุเหล็กและมีภาวะโลหิตจางก็จะแสดงอาการทางสมาธิสั้นและการเรียนรู้ช้ากว่ากลุ่มที่ไม่ขาดธาตุเหล็ก หากเกิดขึ้นในช่วงอายุ 1-2 ปี และแก้ไขไม่ทัน ความบกพร่องทางสติปัญญาที่เกิดขึ้นก็จะเป็นอย่างถาวร อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ตับ เนื้อสัตว์ ไข่แดง ผักใบเขียว อย่างไรก็ตาม ถ้าได้ธาตุเหล็กมากเกินไป โดยเฉพาะการได้จากยาวิตามินที่มีธาตุเหล็กอาจจะเกิดภาวะธาตุเหล็กเป็นพิษจนถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน
ธาตุไอโอดีน
เป็นส่วนสำคัญของธัยรอยด์ฮอร์โมนที่ถูกสร้างขึ้นที่ต่อมธัยรอยด์ฮอร์โมนนี้ มีความสำคัญต่อการควบคุมการทำงานของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น กระดูก สมอง เป็นต้น โดยเฉพาะในช่วงกำลังเจริญเติบโตเร็ว การขาดธาตุไอโอดีนในผู้ใหญ่ที่มีสมองเติบโตเต็มที่แล้วก็จะเกิดอาการคอพอก ส่วนในหญิงตั้งครรภ์ที่ขาดธาตุไอโอดีนจะเกิดปัญหาขึ้นกับลูกได้ ทำให้สมองและร่างกายเด็กเจริญเติบโตไม่เป็นปกติ ทารกและเด็กเล็กที่ขาดธาตุไอโอดีน ในช่วงสมองกำลังเติบโตรวดเร็ว หรือตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึงอายุ 3-4 ปี จะแสดงอาการเซื่องซึมพัฒนาการล่าช้า ไม่ฉลาด การแก้ไขภาวะขาดธาตุไอโอดีนต้องรีบแก้ไขภายในช่วงอายุ 1-2 เดือน เด็กก็มีโอกาสที่จะเติบโตเป็นปกติได้ ขณะเดียวกันเด็กที่มีภาวะไอโอดีนปกติอยู่แล้ว การเพิ่มไอโอดีนไม่สามารถทำให้เด็กฉลาดขึ้นได้ และการได้รับไอโอดีนมากเกินไปจนโซเดียมเกิน อาจเกิดโรคความดันโลหิตสูงตามมาได้
กลุ่มวิตามินบี
เป็นสารอาหารที่มีผลต่อการทำงานของสมองและระบบประสา วิตามินบี เช่น วิตามินบี 1 ที่มีในตับ เนื้อสัตว์ นม ธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวซ้อมมือ ถั่ว ฯลฯ ถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการเหน็บชา หัวใจวาย ตัวบวม ปวดท้อง ตาเข กลุ่มในอาซีน บี 3 ซึ่งมีในเนื้อสัตว์ ปลา ตับ ธัญพืช ผักใบเขียว ถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการความจำเสื่อม ผิวหนังเป็นแผล ท้องเฟ้อ ส่วนวิตามินบี 12 ซึ่งมีในเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ เนยแข็ง ถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการซีด ปลายประสาทเสื่อมและชา เป็นต้น
เมื่อทราบเช่นนี้คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดู ก็ควรดูแลให้ลูกได้กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอาจให้ได้รับเนื้อปลาทะเลสลับไปกับเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ วันละฟอง และผักใบเขียว ผลไม้ และข้าว หรือข้าวซ้อมมือบ้าง ก็จะช่วยให้ลูกรักได้รับสารอาหารที่พอเพียง ลูกรักก็จะมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงและมีสมองที่ล้ำเลิศไม่แพ้เด็กอื่นๆ
*******************************
ต่อไปถ้ามีเรื่องเข้าถึงตลก.แล้วจำเลยไปฟ้องศาลอื่น ตลก.จะพูดแบบนี้ไหมครับ..ว่าคอยศาลอื่นก่อนเนี่ย
มันชัดเจนครับ ว่าใช้หลักฐานปลอม(คนทำ/คนออกหลีกฐานก็โดนลงโทษไปหมดแล้ว) จะอุ้มกันไปถึงไหนครับ
ล่าสุด อุ้มแบบยาวๆเลย คอยศาลอื่นๆตัดสินก่อน(คอยสู้กัน3ศาล แล้วพวกท่านตายไปหมดก่อนหรือไง) ค่อยตัดสิน
กรณีนี้ ประธานสภา ฯ ยื่นเรื่องให้ศาล รธน. ตรวจสอบคุณสมบัติ ของสมาชิกรัฐสภา ตามมาตรา 106 (5) ของ รัฐธรรมนูญ
เรื่องนี้ไต่สวนไม่ยากเลย เพราะต้นสังกัด คือ กระทรวงกลาโหม เขาแทงคำสั่งออกมาแล้วว่าผิด ความจริงมันไม่ต้องมาถึงศาล รธน. หรอก มันสามารถปฏิบัติได้เลย เพราะเป็นอำนาจของกลาโหม
เพิ่มเติม มาตรา 106 ข้อ 5 อ้างถึงคุณสมบัติตามมาตรา 102 ซึ่งข้อ 6 เขียนไว้ดังนี้
ทีนี้ เมื่อคุณสมบัติตรงนี้ มันผิดจริง เพราะกลาโหมเขาตั้งกรรมการสอบสวนเรียบร้อยแล้ว มีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่เห็นมันจะต้องซับซ้อนตรงไหน
ทีอย่างนี้ ไม่กล้าตัดสิน โยนเผือกร้อนให้ศาลอื่น
แต่ตอนลุงหมัก กล้าแม้แต่เปิดพจนานุกรมตัดสิน.
*******************************************
23 ก.ย. 56 ฝูงชนชาวคริสต์ชุมนุมที่ถนนสายหนึ่งในกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงในวันนี้ และจุดไฟเผาขยะ และยางรถยนต์เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลให้การคุ้มครองความปลอดภัยแก่ชาวคริสต์ที่เป็นชนกลุ่มน้อย และมีสัดส่วนเพียงไม่ถึง 2% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม รวมทั้งให้การคุ้มครองโบสถ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงซ้ำรอยเหมือนเมื่อวันอาทิตย์
มือระเบิดพลีชีพ 2 คน จุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตายที่ด้านนอกโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองเปชวาร์ จังหวัดไคเบอร์ ปักตุนควา ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อวันอาทิตย์ ขณะมีชาวคริสต์อยู่ที่โบสถ์ราว 400 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 81 คน และบาดเจ็บกว่า 140 คน
กลุ่มตาลิบันปากีสถานประกาศอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด และจะพุ่งเป้าโจมตีผู้ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมต่อไปจนกว่าสหรัฐจะยุติการใช้เครื่องบินไร้คนบังคับ หรือโดรน ปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มหัวรุนแรงในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มหัวรุนแรง
เหตุระเบิดครั้งนี้เป็นหนึ่งในก่อการร้ายโจมตีชาวคริสต์ครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 4 ปีของปากีสถาน ทำให้เกิดความวิตกด้านความปลอดภัย จนต้องมีการปิดโรงเรียนคริสต์ทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน และสถานที่สำคัญทางศาสนาคริสต์ในเมืองเปชวาร์ได้รับการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย
และขณะนี้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ ที่ให้จัดการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มนักรบตาลิบัน เพื่อยุติเหตุรุนแรงในประเทศ แต่ตาลิบันยื่นเงื่อนไขให้รัฐบาลปล่อยตัวนักโทษของกลุ่ม และเริ่มถอนทหารออกจากพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพวกเขาก่อน จึงจะยอมเริ่มการเจรจา ขณะที่นักวิเคราะห์ บอกว่า การเจรจาเวลานี้ไม่เหมาะสม และทำให้กลุ่มติดอาวุธเข้าใจว่ารัฐบาลกำลังอ่อนแอ
เปิดฟ้า "ปากีสถาน"
ประเทศปากีสถานมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน" มีพื้นที่ราว 796,096 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าประเทศไทยเล็กน้อย ทิศตะวันตกมีอาณาเขตติดต่อกับอิหร่านและอัฟกานิสถาน ทิศเหนือติดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทิศตะวันออกติดกับอินเดีย สองยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน ขณะที่ทิศใต้เป็นชายฝั่งทะเลอาหรับ มีกรุงอิสลามาบัด (Islamabad) เป็นเมืองหลวง
ปากีสถานมีประชากรถึง 172 ล้านคน ประกอบด้วยเชื้อชาติปัญจาบ ร้อยละ 59 ปาทาน ร้อยละ 14 ซินด์ ร้อยละ 12 บาลูชี ร้อยละ 4 มูฮาเจียร์ (ชาวมุสลิมที่อพยพมาจากอินเดีย) ร้อยละ 8 และอื่นๆ ร้อยละ 3
ปากีสถานมีภาษา "อูรดู" เป็นภาษาประจำชาติ ส่วนภาษาอังกฤษใช้ในรัฐบาลกลางและแวดวงธุรกิจ นอกจากนั้นยังมีภาษาถิ่นอื่นๆ อีกจำนวนมาก อาทิ ปัญจาบี ซินดิ ปาทาน และบาลูชี ประชากรร้อยละ 97 นับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 77 เป็นนิกายสุหนี่ และร้อยละ 21 เป็นนิกายชีอะห์) ที่เหลือเป็นศาสนาคริสต์ ฮินดู และอื่นๆ รวมร้อยละ 3
สภาพอากาศโดยทั่วไปของปากีสถานอยู่ในเขตร้อนและแห้งแล้ง ยกเว้นภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่อากาศอบอุ่น ส่วนภาคเหนือมีอากาศเย็น
เมืองสำคัญของปากีสถานนอกจากเมืองหลวงคือกรุงอิสลามาบัดแล้ว ยังมีเมืองการาจี (Karachi) เป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ อีกเมืองหนึ่งคือเมืองละฮอร์ (Lahore) เป็นเมืองศูนย์กลางของภาคอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ
ปากีสถานปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ นายอาซีฟ อาลี ซาร์ดารี (Asif Ali Zadari) มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร คือ นายไซยิด ยูซัฟ ราซา กิลลานี (Syed Yousaf Raza Gilani)
ประเทศอันตรายที่สุดในโลก
ถามว่าประเทศไหนที่ อันตรายที่สุดในโลก ในห้วงเพลานี้ นักวิเคราะห์จำนวนมากไม่ได้ตอบว่าอิหร่านหรืออิรักดอกนะครับ... แต่เป็น ปากีสถาน ซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองต่างหาก
ช่วงนี้การเมืองปากีสถานน่ากลัวมาก เพราะประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาราฟ ซึ่งก่อรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อ 8 ปีก่อน ไม่ยอมทิ้งบัลลังก์ ถึงขั้นดับเครื่องชนสถาบันศาล ประกาศภาวะฉุกเฉิน และกักบริเวณอดีตนายกฯเบนาซีร์ ภุตโต ซึ่งเพิ่งกลับจากลี้ภัยในต่างแดน สถานการณ์อาจถึงขั้นวิกฤติในไม่ช้าไม่นานนี้
หลังเกิดเหตุวินาศกรรมช็อกโลก 9/11 ถล่มสหรัฐฯ เมื่อ 6 ปีก่อน รัฐบาลประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ทั้งโกรธกริ้วและตื่นกลัวลนลาน ออกมาตรการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายถี่ยิบ ทั้งยังขึ้นบัญชีดำอิหร่าน อิรัก และเกาหลีเหนือ เป็น อักษะแห่งปีศาจ ต่อมาถึงกับบุกโจมตีอิรักจนติดหล่มสงครามอยู่ในขณะนี้
แต่รัฐบาลบุชกลับมองข้าม ปากีสถาน ซ้ำยังไปดึงมาเป็นพันธมิตรช่วยกวาดล้างผู้ก่อการร้าย แต่ความช่วยเหลือที่ได้กะร่อยกะริบเต็มที ทำให้นักรบอัล เคดา และตาลีบัน ที่แตกพ่ายจากสงครามอัฟกานิสถานสามารถหลบหนีข้ามพรมแดนเข้าไปกบ ดานแถบภาคตะวันตกเฉียงเหนือปากีสถานหลายพันคน โดยมีชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในปากีสถานหลายกลุ่มลอบช่วยเหลือ
ซ้ำร้ายกองทัพและหน่วยข่าวกรองอันทรงอำนาจของปากีสถานยังมีพวก หัวรุนแรงแทรกซึมอยู่ยุ่บยั่บ พวกนี้ก็คอยช่วยหรืออำนวยความสะดวกให้อัล เคดา ตาลีบัน และกลุ่มหัวรุนแรงภายในอีกแรง เพราะมีจุดยืนต่อต้านสหรัฐอเมริกาและตะวันตกเหมือนกัน อีกทั้งเคยมีสายสัมพันธ์กันมาแนบแน่นยาวนาน
ในยุคพลเอกเซีย อุล ฮัก เป็นผู้นำ เขาทำให้ปากีสถานเป็นฐานของเหล่านักรบศาสนา หรือ มูจาฮีดีน เพื่อขับไล่กองทัพโซเวียตออกจากอัฟกานิสถาน ยุคนั้น พี่เบิ้ม สหรัฐฯเองก็อัดฉีดเงินและอาวุธช่วยนักรบมูจาฮีดีนซึ่งมีบิน ลาดิน รวมอยู่ด้วย
หลังโซเวียตแพ้เปิดตูดหนี พวกนายพลปากีสถานรวมทั้งมูชาราฟ ก็ส่งนักรบมูจาฮีดีนนับหมื่นไปทำสงครามกองโจรที่แคชเมียร์ นักรบอีกมากถูกส่งเข้าไปฝึกตามค่ายที่บิน ลาดิน ตั้งขึ้นในอัฟกานิสถาน ยุครัฐบาลตาลีบันครองอำนาจ...สายสัมพันธ์ฉันพี่น้องจึงเหนียวแน่นตัดไม่ขาด
เมื่อมูชาราฟหันมาซุกก้นสหรัฐฯ เวลาเขาสั่งไล่ล่าผู้ก่อการร้าย ทหารในกองทัพและหน่วยข่าวกรองมากมายจึงทำงานแบบเหยาะแหยะขอไปที ทำให้พวกอัล เคดา และตาลีบัน กบดานอยู่ในปากีสถานได้อย่างสบาย มิหนำซ้ำยังแทรกซึมเข้าไปตั้งมั่นในเมืองใหญ่ต่างๆอย่างการาจีได้
เหตุระเบิดพลีชีพถล่มขบวนรถของนางภุตโตที่การาจี เมื่อ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา เธอก็ฟันธงว่าเป็นฝีมือนายทหารหัวรุนแรงในหน่วยข่าวกรอง ซึ่งมองว่าเธอเป็นหุ่นเชิดของสหรัฐอเมริกา
เมื่อการกวาดล้างไม่เข้ม พวกตาลีบัน, อัล เคดา และแนวร่วมจึงเติบกล้าขาแข็งขึ้นทุกวัน จนขณะนี้ปากีสถานกลายเป็น ศูนย์ บัญชาการ แห่งใหม่ของอัล เคดา ไปเรียบร้อยแล้วครับ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปากีสถานเป็นประเทศที่อันตรายที่สุดในโลกคือ มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองอย่างน้อย 50 ลูก มิหนำซ้ำ ผู้เชี่ยวชาญด้าน นิวเคลียร์ของปากีสถาน นำโดยนายอับดุล การ์เดีย ข่าน กำลังถูกสอบสวนว่าโยงใยกับอัล เคดา และลักลอบขายเทคโนโลยีนิวเคลียร์ให้ชาติอื่นๆ อาทิ อิหร่าน เกาหลีเหนือ ลิเบีย อาจรวมถึงซาอุดีอาระเบีย และพม่าด้วย
ปากีสถานยุคนี้จึงมีทุกอย่างที่กลุ่มอัล เคดา ต้องการ ทั้งเทคโนโลยีและอาวุธนิวเคลียร์, การเมืองที่ไร้เสถียรภาพ, เครือข่ายแนวร่วมมุสลิมหัวรุนแรงที่แน่นหนา, คนรุ่นใหม่ที่ต่อต้านตะวันตกมากมาย, พื้นที่ฝึกการก่อการร้ายอันกว้างขวางตามตะเข็บชายแดนที่ยากจะเข้าถึง นอกจากนี้ การเดินทางโดยเครื่องบินจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือก็ทำได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับส่งผู้ก่อการร้ายไปโจมตีในต่างแดน
ตัวอย่างหนึ่งก็คือ คดีพยายามโจมตีกรุงลอนดอนและสนามบิน กลาสโกว์ในสกอตแลนด์ด้วยรถยนต์เมื่อต้นปีนี้ จากการแกะรอยพบว่ามีต้นตอมาจากที่นั่น
หลายฝ่ายกลัวว่าถ้าการเมืองปากีสถานวิกฤติถึงขั้นเกิดกลียุค ฝ่ายหัวรุนแรงเข้ายึดอำนาจ อาวุธนิวเคลียร์จะตกถึงมือผู้ก่อการร้ายอย่างอัล เคดา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น คงไม่ต้องบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
บวร โทศรีแก้ว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
-----------------------
นก-ฉัตรชัย'เปรียบ'สัตว์นรก'สร้างเขื่อนทำร้ายผืนป่า-ย่ำยีบ้านเกิด
24 ก.ย.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกรณีกลุ่มต่อต้านเขื่อนแม่วงก์ นำโดย นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาสมาคมมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และคณะ เพื่อคัดค้าน EHIA เขื่อนแม่วงก์ ร่วมกันเดินเท้าคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เข้ากรุงเทพ เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมีประชาชนสนับสนุนให้ความร่วมมือเป็นจำนวนมากนั้น
ล่าสุด นักแสดงรุ่นใหญ่ "นก ฉัตรชัย เปล่งพานิช" ได้โพสต์ข้อความลงในอินสตาแกรมส่วนตัว mr_plengpanich เพื่อคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ โดยระบุว่า "ถ้ามึงจะทำร้ายผืนป่า ทำร้ายธรรมชาติ ทำร้ายบ้านเกิดเมืองนอนอยู่อย่างนี้ สัตว์นรกจะมารอรับมึงแน่ แต่มึงคงไม่ตกใจ เพราะมึงเห็นในกระจกอยู่ทุกวัน คิดทำสิ่งสร้างสรรค์บ้างได้มั้ย"
นกเอ๊ยยยย.....
"เขื่อนใหญ่ๆในเมืองไทยที่สร้างไปแล้วก็โดนหมดงั้นหรือ ถ้าว่าไม่โดนเพราะมันจำเป็น แล้วเขื่อนนี้ไม่จำเป็นหรือ ไม่ลองคิดดูใหม่ ทั้งโลกเขาก็สร้างกันทั้งนั้น ก็เป็นสัตว์นรกหมดหรือ รู้ว่าอยากอนุรักษ์โลกไว้ไม่ให้ธรรมชาติมันเสียหายมาก แต่มันทำได้หรือ ................"
คนบนโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน ในขณะพื้นโลกไม่เคยเพิ่มขึ้นแม้แต่ตารางนิ้วเดียว มีแต่จะหดหายไปเพราะภัยธรรมชาติ มันไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว ทั่วโลกเขาก็รู้ความจริงข้อนี้และยอมรับมันว่าทำไม่ได้ อย่างเก่งก็ชะลอมันไว้เท่าที่ทำได้เท่านั้น สร้างเท่าที่จำเป็น
ไม่เฉพาะเขื่อนแม่วงก์หรอก ถ้ามันจำเป็นและได้มากกว่าเสียก็ต้องทำ ไม่ใช่อะไรหรอก เพื่อความอยู่รอดของคนที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ถ้าไม่สร้าง มันอาจเสียต่อส่วนรวมทั้งประเทศมากกว่าไม่สร้างก็ได้ หรือคิดแค่ว่า ตัวเองอยู่ได้ คนอื่นเป็นไงช่างมันงั้นหรือ
ไม่ลองชั่งผลมันก่อนหล่ะว่า สร้างกับไม่สร้าง อันใหนมันได้มันเสียแก่ส่วนรวมมากกว่ากัน แต่ความเห็นสุดขั้วแบบนี้ แสดงว่าแค่ระบายความเกลียดชังในใจเท่านั้นเอง ไม่ได้หวังดีต่อประเทศชาติหรือต่ออะไรทั้งนั้นหรอก
ที่จริงคนที่มีใจเกลียดชังเพราะเหตุผลส่วนตัวต่างหาก น่าจะเป็นสัตว์นรกมากกว่า เพราะทำอะไรก็เพื่อระบายความแค้นในใจ โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น
************************************
คนรุ่นใหม่ไร้ปวดด้วย 5 ท่าออกกำลังกาย สำหรับ 5 วัน
หนุ่มสาวออฟฟิศที่นั่งทำงานนานๆทุกวัน อาจะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยสะสมโดยไม่รู้ตัว
ก่อนที่จะกลายเป็นโรคออฟฟิสซินโดรม มาดูเทคนิคการออกกำลังกายด้วยท่าง่ายๆ ทำได้ที่โต๊ะทำงานกันค่ะ
เคล็ดลับการออกกำลังกายด้วยท่าง่ายๆ 5 ท่า สำหรับวันทำงานทั้ง 5 วัน
ที่สามารถทำได้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
ช่วยป้องกันความปวดและบรรเทาความเมื่อยล้าตามกล้ามเนื้อ
ที่อาจเกิดการจากนั่งทำงานท่าเดิมเป็นเวลานานๆ
เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการดูแลตัวเองให้ห่างจากการเป็นโรคยอดฮิต “ออฟฟิศ ซินโดรม”
โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิศาล คันธารัตนกุล หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
โรงพยาบาล สมิติเวช ศรีนครินทร์
***********************************************
วันที่: Fri Nov 15 18:57:56 ICT 2024
|
|
|