วันพุธที่ 4 กันยายน 2556 เเรม 14 ค่ำ เดือน 9
วัดป่าสุุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ
*************************************
***************************************
ปัจจุบันรัฐบาลอัลซาดยังถือว่าเป็นต่ออยู่เพราะสามารถยึดเมืองหลักที่เป็นเมืองยุทธศาสตร์คืนกลับมาได้จากกลุ่มกบฏหลายเมืองเช่น Alqusair หรือ Hom บางส่วน
และตัวอัลซาดรู้อยู่แล้วว่าอเมริกาจ้องที่จะเข้ามาอยู่แล้วโดยหากมีเงื่อนไขใดๆให้อ้างแม้เพียงนิดเดียว
ดังนั้นไม่น่าจะใช้อาวุธเคมีเพื่อถล่มฝ่ายกบฏ เพื่อดึงอเมริกาเข้ามายุ่ง (เพราะปกติก็ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว)
ความเห็นผมว่ามีเบื้องหลังในเรื่องอาวุธเคมีแน่นอน
ข่าวบางกระแสแจ้งว่าเป็นอัลไกด้าที่เป็นคนเอาอาวุธเคมีมาใช้เพื่อเรียกแขก(หัวทอง)
ซีเรียกร้าว พร้อมรับทุกศึกจากต่างชาติ
รัฐบาลซีเรียประกาศกร้าวพร้อมรับการโจมตีจากมหาอำนาจ ในขณะที่ นานาชาติกำลังถกเถียงกันอย่างหนักถึงความเหมาะสมในการเข้าโจมตีซีเรีย หลังจากรัฐสภาอังกฤษปฏิเสธไม่ให้อังกฤษเข้าร่วมการโจมตีซีเรียกับสหรัฐฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซีเรีย ยืนกรานในระหว่างการต่อโทรศัพท์สายตรงถึงรัฐมนตรีกลาโหมอิหร่าน ชาติพันธมิตร ว่ากองทัพซีเรีย ตลอดจนประชาชนทุกคน พร้อมที่จะตอบโต้การรุกรานจากชาติมหาอำนาจของโลก ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด
ขณะที่ทางการอิหร่านเอง ก็ออกมาแถลงเตือนสหรัฐฯและชาติพันธมิตรถึงผลกระทบที่จะตามมาจากการบุกซีเรีย ว่าหากมีการแทรกแซงซีเรีย ก็จะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางเข้าสู่ภาวะวิกฤติมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อประเทศใดๆ เลย นอกจากอิสราเอล พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ
การประกาศท้าทายการรุกรานจากต่างชาติของซีเรียในครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่นานาชาติกำลังถกเถียงกันอย่างหนักถึงความเหมาะสมในการที่สหรัฐฯจะตัดสินใจบุกซีเรีย โดยไม่รอฟังมติของสหประชาชาติ โดยก่อนหน้านี้ รัฐสภาอังกฤษได้โหวตสวนข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี นายเดวิด คาเมรอน ไม่อนุญาตให้กองทัพอังกฤษเข้าร่วมกับสหรัฐฯในการโจมตีซีเรีย
ขณะที่พันธมิตรเก่าของซีเรียอย่างรัสเซียและจีน ก็ออกมาขัดขวางการตัดสินใจบุกซีเรียของสหรัฐฯอย่างเต็มที่ โดยจีนเตือนไม่ให้สหรัฐฯกระทำการโดยพลการ ซึ่งจะทำให้การก่อสงครามในซีเรียไม่มีความชอบธรรมเพียงพอ ขณะที่รัสเซียถึงกับส่งเรือรบไปเผชิญหน้ากับเรือรบของสหรัฐฯในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อแสดงจุดยืนว่ารัสเซียพร้อมจะปกป้องซีเรียหากมีการโจมตีเกิดขึ้น
สำหรับทางสหรัฐฯ ยังคงยืนยันว่าการตัดสินใจบุกหรือไม่บุกซีเรีย จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯเท่านั้น แต่ก็เคารพการตัดสินใจของอังกฤษ ที่จะไม่เข้าร่วมสมรภูมิในซีเรีย ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่าสหรัฐฯอาจจะโจมตีซีเรีย แม้ว่าจะต้องเป็นการบุกเดี่ยวโดยไม่มีฝ่ายใดสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม รัฐสภาอังกฤษไม่ได้ปฏิเสธการแทรกแซงทางทหารในซีเรียอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่บอกว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะยังไม่มีรายงานจากสหประชาชาติที่ชี้ขาดว่าฝ่ายใดกันแน่เป็นผู้ใช้อาวุธเคมี ซึ่งหากเจ้าหน้าที่สหประชาชาติที่เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในซีเรียสรุปรายงานออกมาว่ารัฐบาลซีเรียเป็นผู้ใช้อาวุธเคมี ก็อาจเป็นไปได้ว่าอังกฤษจะเข้าร่วมการโจมตีซีเรีย
by Pannika
ขอความรู้หน่อยครับ: ทำไม UK ไม่ร่วมกับ US ในการโจมดีซีเรีย/อิหร่าน จีน และ รัสเซีย จะตอบโต้ US ไหม?
Obama ตัดสินใจแล้ววว่าจะโจมตีเป้าหมายสำคัญของซีเรีย
1 ทำไมอังกฤษจึงตัดสินใจไม่ร่วมรบกับอเมริกาในสมรภูมินี้?
2 หาก USA โจมตีซีเรียขึ้นมา อิหร่าน จีน และ รัสเซีย จะตอบโต้กลับหรือไม่?
3 การโจมตีซีเรียในหนนี้มีโอกาศนำพาไปสู่สงครามโลกได้หรือไม่?
4 การโจมตีซีเรียจะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร?
1 ทำไมอังกฤษจึงตัดสินใจไม่ร่วมรบกับอเมริกาในสมรภูมินี้?
สภาโหวต ไม่ให้เข้าร่วม
2 หาก USA โจมตีซีเรียขึ้นมา อิหร่าน จีน และ รัสเซีย จะตอบโต้กลับหรือไม่?
ไม่กล้าหรอก
3 การโจมตีซีเรียในหนนี้มีโอกาศนำพาไปสู่สงครามโลกได้หรือไม่?
ไม่
4 การโจมตีซีเรียจะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร?
ต้องดูว่าสงครามยืดเยื้อแค่ไหน แต่คาดว่า ไม่กี่วัน และ อเมริกาจะไม่ส่งกำลังทางบกไปรบโดยเด็ดขาด
เพราะอังกฤษยังจำบทเรียน สงครามอิรัก ที่ทำให้อังกฤษถังแตกในปี 2008 จนโทนี่ แบลร์ กระเด็นหลุดเก้าอี้หัวหน้าพรรคเลเบอร์ เพราะคนแอนตี้เขาอย่ากว้างขวาง เรื่องไปตามก้น บุช เข้าทำสงครามอิรัก จนประเทศถังแคก
และเหตุการณ์ เรือน้ำมัน อังกฤษล่ม ที่อเมริกา เมื่อ 2-3 ปีก่อน ทำให้ สองประเทศแตกคอกัน แทบมองหน้ากันไม่ติด
ข่าวล่าสุด กลุ่มกบฎออกมาแจ้งว่าอาวุธเคมีเป็นของตน
แต่เกิดการผิดพลาดระหว่างเคล่ื่อนย้าย ทำให้รั่วไหลออกมา
กลุ่มกบฎยังเผยด้วยว่าได้อาวุธเหล่านี้มาจากซาอุดิอาระเบีย
**************************
ยิงม๊อบสวนยาง
ข้อเท็จจริงกรณีเหตุยิงกันเจ็บและตายที่ม็อบชะอวด
1. ม็อบไม่ยอมให้ตำรวจเข้าไปใกล้ ห้ามตำรวจยุ่งเกี่ยว ให้ตำรวจอยู่ห่างม็อบ 10 กม.
ซึ่งเรื่องนี้ ตำรวจเขาก็ยอมทำตาม แม้จะห่วงสถานการณ์ในม็อบ
ในม็อบจะมีคนเมาเหล้า เมายา เกิดการทะเลาะวิวาทกันแทบทุกวัน ตำรวจดูแลไม่ได้
เมื่อเช้า ตำรวจจะเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุ ยังเข้าไม่ได้ ต้องให้แม่ผู้ตายพาเข้าไป ม็อบถึงยอม
เรื่องนี้ คนชะอวดรู้ดี
(ตำรวจห่วงว่า คนชะอวดอาจไม่พอใจม็อบ และอาจเกิดเหตุรุนแรงได้)
2. เรื่องการยิงกันเจ็บและตายนั้น เกิดจากการทะเลาะวิวาทกันเอง
3. ม็อบที่ไม่มีการจัดการที่ดี มีแต่ความวุ่นวายเพื่อนำไปสู่การสร้างเงื่อนไขทางการเมือง
4. จะมีการพยายามนำศพมาตั้งในม็อบสามวัน แต่ทางญาติคนตายไม่ยอม
จึงยังไม่แน่ว่า จะมีการนำศพมาใช้ประโยชน์ในม็อบหรือไม่
ข้อมูลนี้ มาจาก ผู้บังคับการนครศรีธรรมราช
บลูสกาย โดยนางอัญชลีสัมภาษณ์ โดยการสัมภาษณ์พยายามถามนำ ถามหาเรื่อง
โดนผู้บังคับการตอกหน้าหงายเงิบ
(16.20 น. วันนี้)
ขณะนี้ ตำรวจมีข้อมูลหลักฐานพอเพียง รู้ตัวคนยิง(ฟังไม่ทันว่าจับได้หรือยัง)
จะมีการแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
สรุป
เรื่องนี้ ก็เป็นฟืนเปียกอีกเรื่อง
ชะอวดตอนนี้ กำลังเป็นดินแดนที่อำนาจรัฐเข้าไปใกล้ไม่ได้
จะโทษใครล่ะ
สื่อบลูสกาย ทีนิวส์ และสื่อฝ่ายแค้นทั้งหลาย
ก็มีการขยายผลเพื่อให้ร้ายรัฐบาลให้ได้
แต่ทำไงได้ ฟืนมันเปียก จุดไม่ติด
น่าเห็นใจ
สู้ ๆ นะเทือก
โดยคุณ ตะกองขวัญ
***********************************
โกรธเเล้วนะ....
....ไปกันหมด ทิ้งเราไว้ ไม่สงสาร
ทรมาน โดดเดี่ยว เปลี่ยวซึมเหงา
ไม่เคยคิด เป็นห่วงกลัว หัวอกเรา
ปล่อยให้เฝ้า อยู่อย่างนี้ มีเเต่ตรม
....พากันไป "โลตัส" ขัดใจเเท้
เซ็งเเสนเเย่ ทรมาน พาลขื่นขม
เเค่เพียงเอา เราไปด้วย ช่วยพาชม
ช่างสาสม ถูกโดนทิ้ง ยิ่งน้อยใจ.....
*************************
คนระลึกชาติ
คนระลึกชาติ
โดย Pitbull 2013
เมื่อ พฤ, 29/08/2013 - 19:36
เรื่องนี้เขียนขึ้นจากความทรงจำเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา สาเหตุที่เขียนเพราะกระทู้"สวรรค์"ของคุณ namlad จึงนำเรื่องนี้มาเสนอให้อ่านกัน ไม่ใช่เรื่องนั่งเทียนเขียนนะครับ เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
ปี 2545 ผมท่องเที่ยวอยู่ภาคอีสาน ได้ไปนอนอยู่วัดป่าแห่งหนึ่ง ตำบลหนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม (เส้นทางจากนครพนมจะไปนาแก) หมู่บ้านข้างวัดมีหญิงแก่อายุ 62 ปี ชื่อนางบัวเงิน ภูมริน ระลึกชาติได้ตั้งแต่เด็กอายุ 3 ขวบ จนอายุ 62 ก็ยังจดจำได้ดี (ตาแกบอดข้างหนึ่ง มีลูกเขยเป็นครู) แกเล่าให้ผมฟังดังนี้
ชาติก่อนแกก็เกิดอยู่หมู่บ้านนี้ซึ่งเป็นหมู่บ้านป่าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีด้วยกันไม่กี่หลังคาเรือน วัดป่าแห่งนี้ก็เพิ่งสร้าง แกก็ยังได้ช่วยขนดินไปถมที่สร้างวัดกับเขาด้วย พร้อมกับพ่อของแกซึ่งเป็นทายกวัด ชาตินั้นแกอายุได้ 16 ปีก็ป่วยเป็นไข้ พ่อไปตลาดได้แตงโมมาลูกหนึ่งเอามาผ่ากินในครอบครัว แต่ห้ามไม่ให้แกกินเพราะเป็นไข้เดี๋ยวแสลง แต่แกไม่ฟังเพราะอยากกินมากก็เลยแย่งกินเสี้ยวหนึ่ง แล้วก็แสลงไข้จนหายใจไม่ได้ แกมารู้ตัวอีกทีก็เห็นมีคนมาบ้านแกเยอะแยะ ช่วยกันเอาไม้แผ่นมาตีเป็นโลงศพแล้วหามคนใส่ แกก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นร่างของแก เพราะตัวแกก็ยืนมองดูอยู่ ก็ยังรู้ร้อน รู้หนาว ได้เห็น ได้ยิน ทุกอย่างที่ผู้คนเขาพูดคุยกัน แต่แปลกใจว่าแกไปทักทายใครก็ไม่มีคนเขาพูดด้วย ทำให้แกน้อยใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมไม่มีใครคุยกับแกเลย
จนถึงวันที่เขาเอาศพไปเผาแกก็เดินจูงศพไปป่าช้ากับเขาด้วย เมื่อเขาเผาศพแกก็ยืนดูกับหมู่ผู้ชายมีสัปเหร่อที่คอยเอาไม้แหย่ไฟอยู่ด้วย อยู่จนใกล้ค่ำ ศพไหม้ไฟใกล้มอดแล้วเขาก็ชวนกันกลับบ้าน แกก็เดินตามหลังเขากลับบ้าน เมื่อสัปเหร่อออกจากป่าช้าก็ตัดกิ่งไม่ปิดหนทาง แกเดินห่างจากเขาพอสมควร เมื่อมาถึงกิ่งไม้ที่สัปเหร่อตัดปิดทางก็ไม่สามารถข้ามได้ พอจะก้าวขาข้ามกิ้งไม้ก็ใหญ่ขึ้น แกตกใจมาก วิ่งไปทางโคนกิ่ง ไม้นั้นก็ยื่นยาวออก วิ่งไปทางปลายกิ่งไม้นั้นก็ยืดยาวออก แกเรียกใครช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน แกเลยวิ่งวนไปมาด้วยความหวาดกลัว กลัวเสือร้าย สัตว์ร้าย กลัวผู้ชายมากอดมาปล้ำ กลัวงูกัด กลัวสารพัดที่คนเขากลัวกัน แกร้องไห้จนเหน็ดเหนื่อยก็อยากนอน มองเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งมีคาคบพอขึ้นไปอาศัยได้แกก็ปีนขึ้นไปนั่งแล้วหลับไป ตื่นขึ้นมาก็หิวน้ำหิวข้าว แต่ก็ไม่มีอะไรกิน มีแต่ดินที่โคนต้นไม้ แกก็เลยหยิบดินมากินพอประทังความหิว แต่ไม่มีน้ำกิน ก็ต้องขึ้นไปนั่งบนคาคบไม้นั้น เหนื่อยนักก็หลับไป
ผ่านไปไม่รู้วันเวลา ก็มีผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีเขียว เดินเข้ามาร้องทักว่า “อีนาย มึงอยากกลับบ้านมั้ย มึงอยู่ที่นี่ได้ 3 วันแล้วนะ” แกตอบว่าอยากกลับ” ชายคนนั้นบอกให้ลงมา แล้วถามว่าเองคิดถึงใครที่สุด อยากไปหาใคร แกตอบว่า “อยากไปหาพี่ชาย” (เป็นลูกของป้าที่แกรักเหมือนพี่ชายจริง ๆ ) ชายผู้นั้นบอกว่า งั้นเองเดินนำหน้า ข้าจะเดินตามหลัง ให้เดินมุ่งไปบ้านพี่ของเอง
เด็กสาวเดินจนถึงบ้านพี่ชายก็จะเข้าบ้าน ชายคนนั้นพูดว่า “อย่าเข้าไปตอนนี้ ให้พี่แกออกมาปิดประตูก่อนค่อยเข้าไปกับเขา จึงทำให้นางรออยู่ แต่ชายที่มาส่งก็ขอตัวกลับไปก่อน
พอถึงเย็นพี่ชายก็ออกมาปิดประตูรั้ว แกเห็นก็ดีใจโดดเข้ากอด พอพี่แกเข้าไปในบ้านแกก็หมดความรู้สึก มารู้ตัวอีกทีก็เมื่ออายุ 3 ขวบแล้ว (ยังไม่จบครับ ถ้ามีคนสนใจจึงจะเขียนต่อ เขียนแล้วคนไม่อ่านไม่รู้จะเขียนไปทำไม)
*************
*******************************
เนย์ปิดอว์"ราชธานีใหม่ของพม่า...และเหตุใด ทำไมพม่าจึงย้ายกรุง?
จาก ย่างกุ้ง สู่ราชธานี เนย์ปิดอว์
ทําเอาชาวโลกตื่นตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการของ “เนย์ปิดอว์” เมืองหลวงแห่งใหม่ของพม่า ที่เพิ่งเปิดให้บรรดากระจอกข่าวต่างชาติเข้าไปสัมผัสเป็นครั้งแรก หลังซุ่มเงียบก่อสร้างมานานกว่า 2 ปี
เนย์ปิดอว์ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 7 พันตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าเกาะสิงคโปร์ 10 เท่า ตั้งอยู่ในเขตเมืองปินมานา ทางตอนกลางของประเทศ ห่างจากกรุงย่างกุ้งไปทางเหนือราว 385 กิโลเมตร การเดินทางโดยรถยนต์นั้นแทบจะต้องนั่งหลับแล้วหลับอีกนานร่วม 7 ชั่วโมง
“ไม่มีอะไรพร้อม” คือ คำจำกัดความของเนย์ปิดอว์ พูดชื่อขึ้นมาก็มีแต่คนส่ายหน้า ไม่มีใครอยากย้ายไปอยู่ พื้นที่โอบล้อมด้วยภูเขา การเข้าถึงทำได้อย่างยากลำบาก ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับกรุงย่างกุ้ง ซึ่งเป็นทั้งเมืองหลวง เมืองท่า และศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยังห่างไกลกันหลายขุม
ด้วยเหตุนี้การย้ายเมืองหลวง (อีกรอบ) ของพม่า จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการแพ็กกระเป๋าเข้าคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ เพราะการย้ายเมืองคือการเนรมิตตึกรามบ้านช่อง สนามบิน โรงพยาบาล ทางหลวง และระบบสาธารณูปโภคที่พึงมี ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดบนพื้นที่ที่เคยเป็นภูเขาและป่าทึบ
เนย์ปิดอว์ ได้รับการวางผังเมืองเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ โซนราชการ (Ministry Zone) โซนโรงแรม (Hotel Zone) โซนอุตสาหกรรม (Industry Zone) และ โซนทหาร (Military Zone) มีประชากรย้ายเข้าไปอยู่แล้วราว 9.2 แสนคน ว่ากันว่าโซนหลังสุดนี้กว้างขวางใหญ่โต เต็มไปด้วยรถหรู ข้าราชการพลเรือนแต่งตัวอย่างภูมิฐาน แถมยังเป็นที่ตั้งของกรมกองในกระทรวงกลาโหม โรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการป้องกันประเทศ
และที่โดดเด่นรองลงมา คือ โซนอุตสาหกรรม บนพื้นที่ราว 2.1 แสนตารางเมตร เบื้องต้นเน้นที่การทำปศุสัตว์เป็นหลัก ก่อนที่ในอนาคตจะเปิดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนภายใต้โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่นเดียวกับที่ชาติเอเชียฮิตทำกันอยู่ในขณะนี้
แต่ส่วนที่น่าทึ่งมากสุดตามภาพที่เผยแพร่ออกมา คือ พระราชานุสาวรีย์ของบูรพกษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ของพม่า ได้แก่ พระเจ้าอโนรธา แห่งพุกาม พระเจ้าบุเรงนอง แห่งหงสาวดี และ พระเจ้าอลองชญา แห่งชเวโบ พม่าจัดสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเทิดพระเกียรติโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ดี สภาพของเนย์ปิดอว์ตอนนี้เรียกได้ว่าสร้างไปอยู่ไป ใช้แรงงานราว 8 หมื่นชีวิต คำนวณแล้วต้องจ่าย ค่าแรงปีละ 32.32 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.04 พันล้านบาท) กว่าโครงการนี้จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างในปี 2012
แต่หากเปรียบเทียบกับการย้ายเมืองหลวงของชาติอื่น ก็ต้องบอกว่า “ทำได้ไม่เลว” เพราะเมื่อครั้งที่ปากีสถานตัดสินใจย้ายจากการาจี มากรุงอิสลามาบัดในปี 1967 ต้องรอจนถึงปี 1980 กว่าที่หน่วยงานราชการจะโยกย้ายเข้าไปอยู่ได้ หรือในกรณีของบราซิล ที่ย้ายจากริโอ เดอ จาเนโร มาที่ บราซิเลีย ในปี 1960 ก็ต้องใช้เวลาขนของและ ปรับปรุงเมืองนานถึง 41 เดือน หรือราว 3 ปีครึ่ง
เมกะโปรเจกต์ระดับชาติครั้งนี้กู้เงินจากต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 1998 เริ่มที่เอ็กซิมแบงก์ของจีน 160 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.16 พันล้านบาท) และเอ็กซิมแบงก์ของไทย 106.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4 พันล้านบาท) รวมถึงสถาบันการเงินอีกหลายแห่งของประเทศเพื่อนบ้าน
สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) ประเมินว่า ณ สิ้นปี 2005 พม่าติดหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศ อยู่ถึง 6.99 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.25 แสนล้านบาท) และมีกำหนดใช้คืนปี 2008 ราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.45 แสนล้านบาท) ส่วนใครที่สงสัยว่าท้องพระคลังพม่าฟู่ฟ่าแค่ไหนนั้น ตัวเลขล่าสุดจากการประเมินร่วมกันของไอเอ็มเอฟ ซีไอเอ และแบงก์ ออฟ ไชนา นั้น พม่ามีเงินตราต่างประเทศและทองคำเพียง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.58 หมื่นล้านบาท) เท่านั้นเอง!!!
แต่เหตุใด ทำไมพม่าจึงย้ายกรุง?
ไม่เพียงแต่ชาวโลกที่อยากรู้คำตอบ แต่ชาวพม่าเองก็สงสัยเหมือนกันว่า รัฐบาลทหารคิดอะไรอยู่กันแน่ เพราะแผนการย้ายเมืองหลวงมีขึ้นแบบฉุกละหุก ทั้งที่เนย์ปิดอว์ยังสร้างไม่เสร็จ การย้ายออกจากย่างกุ้งไม่บอกก็รู้ว่าเป็นการ “ถอยหลังลงคลอง” กระทั่งมาถึงตอนนี้ ชาวพม่าส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่า เนย์ปิดอว์ เป็นแค่ “เมืองในฝัน”
เหตุผลหลักของการย้ายเมืองแบ่งได้เป็น 2 เหตุ ได้แก่ เหตุแห่งความมั่นคง และ เหตุผลด้านโหราศาสตร์
หลายคนอาจเคยรู้มาบ้างว่า พม่าย้ายเมืองหลวงมาครั้งแล้วครั้งเล่าในอดีต หลายเมืองในพม่าทั้งพุกาม อังวะ ตองอู หงสาวดี ล้วนเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรพม่าในแต่ละยุคสมัยมาแล้วทั้งสิ้น การสถาปนาเมืองหลวงแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับกษัตริย์ที่ขึ้นปกครองเป็นหลัก และหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1948 พม่าก็ใช้ย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงเรื่อยมา
รัฐบาลทหารพม่าให้เหตุผลของการย้ายเมืองครั้งล่าสุดว่า เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการ เนื่องจาก เนย์ปิดอว์ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศ การเดินทางสร้างเครือข่ายใดๆ จึงทำได้สะดวก อีกอย่างย่างกุ้งในปัจจุบันถือว่า แออัดเกินไป...แต่น้อยคนนักที่จะเชื่อ
นายปกศักดิ์ นิลอุบล อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่า ให้ความเห็นกับทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ ว่า ประเด็นความเชื่อด้านโหราศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการย้ายเมือง เพราะ พล.อ.อาวุโส ตันฉ่วย วัย 74 ปี เชื่อเรื่อง โชคลางมาก ถึงขนาดทึกทักเอาว่าตนเองเป็นอดีตกษัตริย์กลับชาติมาเกิดอีกครั้ง
ดังนั้น จึงต้องตั้งเมืองหลวงใหม่ เพราะกรุงย่างกุ้งเป็นเมืองที่ได้รับการสถาปนาจากอาณานิคมอังกฤษ ไม่ใช่จากชาวพม่าเอง
เช่นเดียวกัน นักวิเคราะห์ต่างชาติที่เห็นว่า ไม่ควรมองข้ามความเชื่อข้างต้น เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าใครได้ขึ้นเป็นใหญ่ก็ต้องเร่งสร้างสัญลักษณ์ หรือวัดวาอารามเป็นของตนเอง เพื่อแก้เคล็ด อาทิ ขิ่นยุนต์ อดีตนายกรัฐมนตรีของพม่า ก็เคยสร้างวัดขึ้นหลายแห่งเพื่อ เสริมบารมี เพราะกลัวว่าตนเองจะสูญเสียอำนาจ
อย่างไรก็ดี ประเด็นความมั่นคงของประเทศ อาจดูมีน้ำหนักมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหวั่นวิตกว่า จะโดนโจมตีจากต่างชาติ ซึ่งในที่นี้อาจหมายถึง “สหรัฐ”
อ่องคิน นักประวัติศาสตร์ชาวพม่า ให้สัมภาษณ์กับบีบีซี ว่า กองทัพบกของพม่ามีความแข็งแกร่งมากกว่ากองทัพเรือ ดังนั้น ยิ่งย้ายเมืองจากชายฝั่งทะเล เข้ามาในแผ่นดินใหญ่มากเท่าไร ก็ยิ่งปลอดภัยจากการโจมตีมากเท่านั้น ทว่า เป็นไปได้ยากที่จู่ๆ พี่เบิ้มอย่างสหรัฐจะยกทัพมาจัดการพม่า เพราะคงต้องหาเหตุผลที่ฟังขึ้นมากกว่าการที่พม่ายังนิ่งเฉยต่อกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยและยังกักตัวนางอองซาน ซูจี ไว้
ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษาและศูนย์ไทยศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพม่าของไทย ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการย้ายเมืองหลวงของพม่าครั้งนี้ว่า เป็นไปเพื่อต้องการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงให้ประเทศเป็นสำคัญ เนื่องจากกรุงย่างกุ้งถือเป็นที่ตั้งของทั้งฝ่ายกองทัพและฝ่ายที่ต่อต้าน ดังนั้น หากเกิดการเคลื่อนไหวหรือปะทะกัน ฝ่ายทหารจะไม่มีจุดตั้งรับหรือล่าถอยในการสู้รบได้ ดังนั้น การย้ายเมืองครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่รัฐบาลทหารพม่า
“จุดเด่นของเนย์ปิดอว์อยู่ที่ด้านยุทธศาสตร์เป็นสำคัญ เพราะตั้งอยู่ตรงใจกลางของประเทศและเป็นเส้นทาง คมนาคมหลักที่เชื่อมกรุงย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมใหญ่สุดของประเทศ” ดร.สุเนตร กล่าวพร้อมอธิบายว่า ด้วยสภาพภูมิประเทศของเมืองเนย์ปิดอว์ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ช่วยให้ลดปัญหาการถูกจับสัญญาณจากฝ่ายตรงข้ามและทำให้ยากต่อการถูกโจมตีจากชนกลุ่มน้อยและศัตรูของรัฐบาล
หากมองตามแผนที่พม่าแล้ว ทำเลของเนย์ปิดอว์ถือว่าใช้ได้ทีเดียว เป็นจุดที่สามารถตั้งรับกับชนกลุ่มน้อย เช่น ฉาน ฉิ่น และกะเหรี่ยง จากทั้งทิศเหนือ ใต้ ออก และตก ได้เป็นอย่างดี
ส่วนประเด็นหวาดกลัวการโจมตีจากสหรัฐนั้น ดร.สุเนตร มองว่า ขณะนี้สหรัฐกำลังให้ความสำคัญในสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ทั้งในอิรัก อิหร่าน หรืออัฟกานิสถาน และยังรวมถึงปัญหาในเกาหลีเหนือ เป็นหลัก
“หากดูจากการจัดอันดับความสำคัญของสหรัฐต่อสถานการณ์ต่างๆ พม่ายังคงมีความสำคัญต่อสหรัฐในระดับรองอยู่มาก เมื่อเทียบกับประเด็นในตะวันออกกลางและเกาหลีเหนือ ดังนั้น ปัจจัยนี้อาจไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้พม่าตัดสินใจย้ายเมือง” ดร.สุเนตร กล่าว
จากความเห็นข้างต้นน่าจะสรุปได้ว่า การย้ายราชธานีใหม่ครั้งนี้เป็นไปเพื่อการควบคุมความเรียบร้อยภายในประเทศมากกว่ากลัวศัตรูจู่โจม เพราะเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลลงทุนลงแรงไปมหาศาล นอกจากเสริมความแข็งแกร่งให้กองทัพแล้ว ยังหวังปั้นเนย์ปิดอว์ให้เป็นเมืองเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งหมายความว่า ในอนาคตเราอาจได้เห็นพม่าเปิดประเทศต้อนรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบเสียที
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากย่างกุ้ง สู่ เนย์ปิดอว์ แล้วจะมีการเดินทางไปเมืองไหนต่ออีกหรือไม่นั้น วันนี้ขออนุญาตไม่ ฟันธง.....
*******************************************
ธรรมะสอนใจ 20 ข้อ จาก ท่าน ว.วชิรเมธี
๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)
20 ข้อนี้ เป็นธรรมะสอนใจนำไว้เตื่อนสติได้ดี ใครปฏิบัติชีวิตยิ่งมีความสุข
********************************