Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เศรษฐกิจอิตาลีใกล้พัง

ArjanPong | 25-08-2556 | เปิดดู 2715 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 

                     เศรษฐกิจอิตาลีใกล้พัง

 

     

        

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ว่า สำนักงานสถิติของอิตาลี หรือไอสแตท เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการวันนี้ พบว่า เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ เลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยหดตัวลงร้อยละ 0.6 จากที่คาดไว้ที่ร้อยละ 0.5 ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ทำให้อิตาลี ประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ในยูโรโซน หดตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 7 อย่างไรก็ตาม องค์การความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี แถลงวันนี้ว่า ตัวเลขของดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ แสดงให้เห็น “การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก” ในเศรษฐกิจอิตาลี

 

ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสแรกนี้ ทางไอสแตท เปรียบเทียบกับผลผลิตในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว และเมื่อเปรียบเทียบผลผลิต 12 เดือน ลดลงร้อยละ 2.4 เลวร้ายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะติดลบร้อยละ 2.3

 

การคาดการณ์ล่าสุดของรัฐบาลอิตาลีสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ ถูกประกาศก่อนการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเอ็นริโก เลตตา เมื่อสิ้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

 

ส่วนการคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ จะหดตัวร้อยละ 1.3 และจะขยายตัวได้ร้อยละ 1.3 ในปี 2557
 

                                              

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวานนี้ (2 มิถุนายน 2556) ว่า นายเอนริโก เลตตา นายกรัฐมนตรีของอิตาลี ได้ออกมากล่าวขอโทษต่อประชาชนวัยหนุ่มสาวของประเทศที่จำเป็นต้องออกไปหางานทำในต่างประเทศ เนื่องจากอิตาลีประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจจนทำให้การว่างงานมีอัตราสูง
 
 
ทั้งนี้ อัตราว่างงานของคนทั่วไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาอยู่ที่ร้อยละ 12 ส่วนอัตราว่างงานของคนหนุ่มสาวสูงถึงร้อยละ 40.5 โดยมีชาวอิตาลีที่อายุระหว่าง 15 ถึง 24 ปี จำนวนถึง 656,000 คนที่กำลังหางานทำ

 

 

คนอิตาลีไม่มีวินัย ทำให้เศรษฐกิจแย่

  

โดย นิติ นวรัตน์

 

 

 

เมื่อวานผมรับใช้เศรษฐกิจของกลุ่ม PIIGS ในกลุ่มยูโรโซนของสหภาพยุโรป ซึ่งผมหมายถึงเศรษฐกิจของประเทศโปรตุเกส (P) อิตาลี (I) ไอร์แลนด์ (I) กรีซ (G) และสเปน (S) ผมยังรับใช้ความไม่น่าจะไปรอดของสเปนหากไม่สามารถได้เงินก้อนใหญ่โตมโหฬารขนาด 1 แสนล้านยูโรไปอุดหนุนจุนเจือภาคธนาคาร ทว่า ขณะนี้ก็มีข่าวดีว่า สหภาพยุโรปยินดีช่วยเงินก่อนที่ว่าให้แล้วครับ

 

แต่ที่ไม่น่าจะไปรอดก็คืออักษร I ตัวที่หมายถึงอิตาลี เพราะขณะนี้อิตาลีมียอดหนี้สาธารณะพุ่งเป็นพันพันล้านยูโร สูงถึง 120% ของจีดีพี ผมเรียนรับใช้ไปเมื่อวานแล้วนะครับ ว่ามาตรฐานที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ ไม่ให้หนี้สาธารณะสูงเกิน 60% ของจีดีพี

 

ความล้มเหลวในการบริหารประเทศของอดีตนายกรัฐมนตรีมหาเศรษฐีคนก่อนที่มีแต่เรื่องอื้อฉาวคาวสวาท ทำให้บริษัทสายพันธุ์อิตาลีล้มหายตายจากไปแล้วมากกว่า 17,000 แห่งภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี ในจำนวนนี้ ถูกยื่นฟ้องล้มละลายไปแล้ว 3,000 กว่าบริษัท

 

แม่เจ้าโวย ประเทศอะไรจะล้มละลายมากมายขนาดนั้น ตอนนี้มีคนตกงานนอนคาตาเหลือกอยู่ในประเทศอยู่มากกว่า 2.5 ล้าน แม้มนุษย์อิตาลีพวกนี้จะไม่มีงานทำ ทว่ายังมีปากและท้องที่ร้องเรียกหาอาหาร อาหาร อาหาร การที่คนอิตาลีตกงานบานเบอะเยอะแยะมากขนาดนี้ เพราะรัฐบาลทำงบประมาณขาดดุลไว้สูง จึงไม่มีปัญหาหาเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูเพื่อที่จะได้มีงานการให้คนทำเพิ่มขึ้นละครับ

 

เทียบเดือนเมษายน 2555 กับเมษายน 2554 เงินเฟ้อที่อาตาลีมีมากขึ้นถึง 3.3% เฉพาะราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียวสูงกว่าราคาของเมื่อปีที่แล้วถึง 20.9% ข้าวเครื่องใช้ราคาแพงขึ้น แต่เมื่อเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าของชาวอิตาลี มีแต่ความว่างเปล่าครับ ไม่มีเงินซื้อ

 

อิตาลีประเทศนี้รอดยาก เพราะผู้คนชนทั่วไปติดนิสัยฟุ้งเฟ้อ อะไรก็ต้องแบรนด์เนม พ่อผมเป็นอุปนายกสมาคมผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับไทย ท่านยืนยันว่า อิตาลีเป็นประเทศที่มีคนซื้ออัญมณีซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมากเป็นลำดับต้นๆ วันสำคัญอะไรก็ต้องซื้อของขวัญราคาแพงไปฝาก ไม่ว่าจะคริสต์มาส วาเลนไทน์ แม้แต่วันสำคัญทางศาสนา ของขวัญของฝากพวกนี้ บั้นปลายท้ายที่สุดก็ไปกองในตู้ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอันใดเลย

 

ผมไปเยือนสาธารณรัฐอิตาลีหลายครั้ง ขอเรียนว่าประเทศนี้ผลิตสินค้าออกมาราคาแพงกว่าที่อื่น สุดท้ายก็โดนสินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนตีกระจุย ดูอย่างเฟอร์นิเจอร์นี่ก็ได้ครับ แต่ก่อนง่อนชะไร โต๊ะ เตียง ตู้ ผู้ลากมากดีทั้งหลายต้องไปซื้อที่อิตาลี วันนี้ทุกคนหันไปซื้อที่เมืองจีนกันหมดแล้วครับ โรงงานสำคัญทั้งหลายแหล่ก็แห่กันไปลงหลักปักฐานที่เมืองจีนกันหมด เพราะอยู่ที่อิตาลีพวกสหภาพสร้างปัญหาเยอะ แรงงานอิตาลีขี้ประท้วง ขี้ต่อรอง ความสามารถในการทำงานต่ำ ทว่าค่าแรงสูง เรื่องมาก ไม่มีเจ้าของธุรกิจที่ไหนอยากจะไปตั้งโรงงานในประเทศอย่างนี้ดอกครับ

 

เชื้อโรคที่ทำให้สาธารณรัฐอิตาลีเดี้ยงมีหลายอย่าง อีกอย่างหนึ่งซึ่งผมเกือบลืมไปก็คือ คนพวกนี้ขี้ทุจริต ผู้อ่านท่านลองไปค้นคว้าหาตัวเลขดูเถิด รัฐบาลอิตาลีในยุคหลัง จะตั้งประมาณขาดดุลไว้ทุกปี ผมหมายถึงตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายไว้สูงกว่ารายได้ เงินที่ไม่พอ ก็ไปกู้เขามาใช้จ่าย ผู้คนที่อยู่ในรัฐบาลก็สวาปามงบประมาณกันเพลิน สหภาพยุโรปกังวนกับประเทศที่มีลักษณะอย่างนี้มาก ก็จึงกำหนดไว้ว่า ประเทศที่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปจะตั้งยอดขาดดุลงบประมาณไว้ได้ไม่เกิน 3% ทว่า พวกผู้คนในรัฐบาลอิตาลีไม่เคยพอดอกครับ พ.ศ.2552 ล่อไปที่ 5.4% พ.ศ.2553 ตั้งงบขาดดุลไว้มากถึง 4.6% เมื่อปีที่แล้ว พ.ศ. 2554 ผมก็นึกว่า อิตาลีจะกลัวเศรษฐกิจล่ม ที่ไหนได้ เล่นมีนโยบายการคลังแบบขาดดุลงบประมาณสูงถึง 3.9%

 

คนอิตาลีส่วนหนึ่งไม่มีความรับผิดชอบ พ่อผมเคยนั่งรถโค้ชในประเทศนี้ พอครบจำนวนชั่วโมงทำงาน คนขับรถเดินลงจากรถไปเฉยๆ ทั้งที่ยังมีผู้โดยสารอยู่บนรถเต็มคัน ถ้าเป็นคนขับรถบ้านเรา ก็จะต้องรอให้คนขับรถของกะใหม่ให้มาถึงเสียก่อน แต่คนอิตาลีไม่มีจิตบริการ ทำงานไม่เป็น เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้

 

กัปตันสายการบินหลายท่าน ก่อนลงจอดที่อิตาลี ท่านได้กรุณาประกาศเตือนผู้โดยสารให้ระวังกระเป๋าสตางค์ ข้าวของเครื่องใช้ในตัวที่มีราคาค่างวด เพราะที่อิตาลีนี่ ได้ชื่อว่ามีคดีฉกชิงวิ่งราวสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวน้อยคนนัก ที่จะไม่โดนล้วงกระเป๋า แม้ว่าจะพยายามป้องกันกันขนาดหนักแล้ว ก็ยังโดน เมื่อไปแจ้งความโรงพัก ตำรวจที่โน่นไม่สนใจใยดีละครับ อิตาลีเป็นแดนนรกของแท้ของนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนไม่น้อยมานักต่อนัก

 

ผู้อ่านท่านที่เคารพ การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีเศรษฐกิจลงเหว สาเหตุหลักมักจะมาจากความไม่มีระเบียบวินัยของผู้คนในชาติ อย่างสาธารณรัฐอิตาลีนี่ ผมไม่ต้องอรรถาธิบายขยายความซ้ำซากดอกหรอกครับ ว่าอะไรเป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้.

 

 

 

*********************************

 

 

 

                      โรฮิงยา

 

 

                                    

 

 

 

 

 โดย นิติ นวรัฐ

 

 ก่อนหน้าที่มนุษย์เผ่าพันธุ์พม่าจะเข้าไปอยู่ในแคว้นยะไข่ แดนดินถิ่นทางแถบนี้เป็นที่พำนักพักพิงของพวกอินเดีย ความเป็นมาเป็นไปในราชวงศ์ต่างๆ ของอินเดียยังมีปรากฏอยู่ในศิลาจารึก ที่มีแกะสลักอยู่เป็นเรื่องเป็นราวค่อนข้างสมบูรณ์ก็คือ เรื่องราวของไวสาลี ซึ่งเป็นพระมหานครของบรรดาพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จันทรา

สมัยอาณาจักรพุกาม พม่ามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอยู่พระองค์หนึ่ง มีพระนามว่าพระเจ้าอนิรุทธ์ องค์นี่แหละครับที่นำทัพเข้ามาตียะไข่จนแตก ยะไข่ก็เลยตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ยะไข่เป็นอิสระเมื่อพม่าถูกพวกกองทัพมองโกลตีเมื่อ พ.ศ.1830 ก็คือเมื่อ 725 ปีมาแล้ว แต่เป็นอิสระอยู่ได้ไม่นาน ยะไข่ก็ถูกมุสลิมอินเดียจากแคว้นเบงกอลเข้ามาตี

ใครที่ไปไหว้พระที่รัฐยะไข่ เมื่ออ่านประวัติของกษัตริย์ที่สร้างพระพุทธรูปในสมัยโบราณแต่ละองค์ มีแต่ทรงพระนามตามแบบอิสลามทั้งสิ้น อันนี้ผมขอเล่ารับใช้ย้อนหลังไปในตอนที่พม่าเข้ามารุกรานยะไข่อีกรอบนะครับ ว่าพระเจ้านรเมฆลาของยะไข่หนีไปขอความช่วยเหลือจากสุลต่านแห่งเบงกอล สุลต่านมาช่วยไล่พม่าออกไป และก็สั่งให้กษัตริย์ยะไข่ต้องยอมรับอำนาจของเบงกอลแทน ทั้งที่ยังนับถือศาสนาพุทธอยู่ แต่พระมหากษัตริย์ยะไข่ทุกพระองค์ในสมัยนั้นต้องมีพระนามแบบอิสลามต่อท้าย อย่างพระเจ้ามินการี ก็ต้องมีชื่ออาลี ข่าน ตามมาด้วย

ผู้อ่านท่านที่ตามข่าวการเมืองจะเห็นว่าระยะหลังชาวพุทธกับมุสลิมในรัฐยะไข่ตีกันบ่อย ถึงขนาดล้มหายตายจากและเลือดตกยางออกเป็นข่าวดังไปทั้งโลก องค์กรสิทธิมนุษยชนมองความขัดแย้งของชาวพุทธกับมุสลิมในรัฐยะไข่ของพม่าอย่างประชิดติดสถานการณ์ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ก็มีที่มาจากอดีตอย่างที่ผมเรียนรับใช้ไปแล้วนี่แหละครับ ปัญหาโรฮิงญาอะไรนี่ ก็มีรากของปัญหาดั้งเดิมมาจากประวัติศาสตร์ของยะไข่ในช่วงนี้ทั้งนั้น

แคว้นยะไข่ยิ่งใหญ่มากในยุคพระเจ้ามินบิน พวกเบงกอลเข้ามาโจมตีหนักหน่วงยังไง ยะไข่ก็ไม่แตก พม่าเองในห้วงช่วงที่มีกษัตริย์ชื่อพระเจ้าตะเบงชเวตี้ก็ยิ่งใหญ่ พระเจ้าตะเบงชเวตี้ส่งอภิพญามหากองทัพมาตียะไข่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ตอนหลังพวกโปรตุเกสเข้ามาทำมาค้าขาย กษัตริย์ยะไข่ก็จ้างพวกโปรตุเกสเป็นทหาร ตั้งกองกำลังเข้าปล้นสะดมจับพวกเบงกอลมาเป็นทาส กองกำลังผสมยะไข่โปรตุเกสนี่ดังมากนะครับ ท่านที่ชอบอ่านเรื่องราวเก่าก่อนของอินเดีย ท่านอาจจะเจอคำว่า Terror of the Ganges แปลเป็นไทยก็คือ “ภัยสยองแห่งลุ่มน้ำคงคา” ก็ขอให้ทราบนะครับ ว่านี่แหละคือฤทธิ์ของยะไข่สมัยก่อน

ในห้วงช่วงที่พระเจ้าบุเรงนองสวรรคต ยะไข่เข้มแข็งถึงขนาดเข้าไปปล้นสะดมหงสาวดี และยึดเมืองสิเรียมของพม่าไว้ ยึดแล้วก็ยกให้พวกโปรตุเกสเป็นเจ้าเมือง ภายหลังเจ้าเมืองโปรตุเกสยึกยัก จะเอาเมืองสิเรียมไปยกให้โปรตุเกส กษัตริย์ยะไข่ก็ยกทัพไปปราบ ฆ่าพวกโปรตุเกสทิ้งไปมากกว่า 600 คน

หลังจากยุคของพระเจ้าสันทสุธรรมแล้ว ยะไข่ก็ไม่มีกษัตริย์ที่เก่งอีก พวกกองกำลังทหารองครักษ์เปลี่ยนกษัตริย์และปลงพระชนม์กษัตริย์ได้ตามใจชอบ พวกในราชวงศ์ของกษัตริย์ยะไข่ก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน บางช่วง เพียง 50 ปีมีกษัตริย์ถึง 14 พระองค์ (พ.ศ.2274-2374) บั้นปลายท้ายที่สุด พม่าก็ตีแคว้นยะไข่ได้เมื่อ พ.ศ.2374 พม่าเกณฑ์พระเจ้าสะมะดา พระราชวงศ์ และประชาชนคนยะไข่ 2 หมื่นคนไปเป็นเชลย บังคับให้ทำงานอย่างหนัก

 ความขัดแย้งระหว่างชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามเป็นปัญหาที่คลาสสิกมากครับ บางมิติของปัญหายะไข่ทำให้เราสามารถเอามาประยุกต์มองปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยได้ อีกเรื่องหนึ่งซึ่งผมคิดว่า เราน่าจะต้องศึกษาปัญหายะไข่ เพราะขณะนี้มีกระแสแรงเรื่องเข้าไปลงทุนในพม่า ด้วยเหตุที่ว่าโลกตะวันตกผ่อนคลาย+

ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อพม่า ผมเห็นด้วยกับการลงทุนแต่ต้องระวังเรื่องในรัฐยะไข่ อย่าเพิ่งเข้าไปโดยไม่ศึกษาข้อมูลทางด้านความไม่สงบ

ยะไข่เคยเป็นแคว้นที่มีกำลังวังชามากขนาดยกทัพไปตีพม่า ตีเบงกอล บุกเข้าไปในแดนดินถิ่นลุ่มแม่น้ำคงคา ทว่าภายหลังพวกเจ้ายะไข่ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง+ได้ผู้นำที่ไร้ความสามารถ บั้นปลายท้ายที่สุด ยะไข่ก็เสร็จพม่า พม่ายึดยะไข่ได้ใน พ.ศ.2327 ยึดได้แล้ว พม่าก็เกณฑ์พระเจ้าสะมาดา พระราชวงศ์และประชาชนคนยะไข่อีก 2 หมื่น ไปเป็นเชลยเพื่อใช้ทำไร่ไถนา พวกยะไข่ที่ทนไม่ไหวก็หนีไปตายเอาดาบหน้าที่แคว้นเบงกอลของอังกฤษ ซึ่งประชาชนคนส่วนใหญ่ของรัฐนั้นนับถือศาสนาอิสลาม

เมื่อเลียแผลจนหายดี พอมีกำลังวังชาขึ้นมาใหม่ พวกยะไข่ที่หนีพม่ามาอยู่ในแคว้นเบงกอลก็สะสมอาวุธและกลับเข้าไปก่อกบฏในแคว้นยะไข่ พม่าจึงขอให้อังกฤษส่งพวกกบฏยะไข่กลับมาให้ อังกฤษก็เออออห่อหมก แต่ทำได้ไม่เต็มที่เพราะตามชายแดนของแคว้นเบงกอลกับแคว้นยะไข่เป็นป่าทึบ มีมาลาเรียชุกชุม ทหารอังกฤษจึงปฏิบัติงานกันอย่างล่าช้าเหยาะแหยะ ทหารพม่าจึงหัวเราะแหะๆ ดูหมิ่นถิ่นแคลนฝีมือและอำนาจของทหารอังกฤษ ทหารพม่าบางกอง เหิมเกริมเติมใจ กล้าเอาไม้ไปแหย่หูเสือ ด้วยการรุกเข้าไปในแคว้นอัสสัมและมณีปุระที่อังกฤษปกครองอยู่

ตอนนั้นอังกฤษมีปัญหาในอาณานิคมหลายแห่ง จึงยังไม่อยากตีพม่ากลับดอกหรอกครับ แต่ต้องซัดพม่า เพราะทหารพม่าประมาณศักยภาพของอังกฤษต่ำอย่างชนิดคาดไม่ถึงอยู่หลายต่อหลายครั้ง ครั้งที่แรงที่สุดก็คือ กองกำลังของพม่าบุกเข้าไปในเมืองรามูแห่งแคว้นเบงกอล เพื่อจับเจ้าหน้าที่ของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษข้อหาเข้าไปล่าช้างในเขตยะไข่ ต่อมากองกำลังพม่าก็เข้าไปในแคว้นกะซาร์ที่อังกฤษประกาศว่าเป็นแคว้นอารักขาของตน แหย่จมูกเสือไปหลายครั้ง เมื่อเห็นว่าอังกฤษเป็นเสือกระดาษ พม่าก็สะสมกำลังเตรียมเข้ายึดเมืองจิตตะกองของอังกฤษ

ทั้งที่มีปัญหาในอัฟกานิสถานและที่อื่นอีกหลายแห่ง แต่อังกฤษก็แบ่งกำลังมาช่วยบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษตีพม่าข้อหากร่าง+เหิมเกริม เมื่อ 5 มีนาคม 2367 โลกเรียกการรบในครั้งนั้นว่า สงครามอังกฤษ–พม่า ครั้งที่ 1 ผลก็คือ พม่าแพ้ราบคาบนาบดิน ต้องทำสัญญายันดาโบ ยกแคว้นยะไข่ ตะนาวศรี อัสสัม และมณีปุระ ให้อังกฤษ

แรกเริ่มเดิมที พวกยะไข่ต่อต้านการปกครองของอังกฤษน่าดู อังกฤษก็รู้ว่า ถ้าแก้ปัญหาความยากจนของผู้คนได้ ก็น่าจะได้ใจพวกยะไข่ อังกฤษจึงส่งเสริมการขยายเนื้อที่ปลูกข้าวและทำไร่ไถนา นำแรงงานอินเดียมุสลิมจากแคว้น เบงกอลเข้ามาช่วยทำงาน เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป แคว้นยะไข่เจริญขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ประชาชนแฮปปี้มีความสุข รักอังกฤษ บ้าอังกฤษ ผลจากการเอาจริงเอาจังกับการพัฒนาด้านการเกษตร ผู้อ่านท่านครับ อัคยับของยะไข่กลายเป็นเมืองที่ส่งออกข้าวได้มากที่สุดเมืองหนึ่งของโลกในห้วงช่วงนั้นเลยทีเดียว

กรณีศึกษาของยะไข่และอังกฤษ ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ไม่จำเป็นดอกครับ ว่าใคร เผ่าพันธุ์ไหน พรรคการเมืองใด จะขึ้นมาปกครองอาณา ประชาราษฎร์ ขอให้จริงใจและทำงานให้เป็นที่ประจักษ์ มีผลงานชัดเจนจับต้องได้ ไม่ใช่เอาแต่ปฏิบัติการจิตวิทยาว่าประเทศของเราเจริญรุดหน้า อ้า เอาแต่ไชโยโห่ร้องสรรเสริญเยินยอกันไปทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ในความเป็นจริงประชาชนผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศยังท้องว่างไส้กิ่วหิวโหยโรยราหน้าแห้ง ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้ใจประชาชนดอกครับ ตราบใด

ที่ยังโหยหิวจนแสบท้อง สายตาประชาชนก็จะสอดส่ายไปมา จ้องหาโอกาสล้มล้างการปกครองของเดิมในขณะนั้น อยู่ทุกเวลานาที

ใครอยากเป็นใหญ่ได้ใจคนทั้งแผ่นดินของแท้ ต้องไปศึกษาประวัติศาสตร์ในห้วงช่วงที่อังกฤษปกครองแคว้นยะไข่ครับ.

สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าแบ่งการปกครองออกเป็น division ดิฝิฉ-เอิน และ state ซเทท พื้นที่ไหนมีชาวพม่าอยู่มาก ก็กำหนดให้เป็น division หรือเขต ซึ่งก็เหมือนกับจังหวัดของบ้านเรา ตอนนี้ มีทั้งหมดอยู่ 7 เขตคือ อิรวดี มาเกว มัณฑะเลย์ พะโค (หรือหงสาวดี) สะกาย ตะนาวศรี และย่างกุ้ง ตรงไหนมีชนกลุ่มน้อยอยู่เยอะ ก็กำหนดให้เป็น state หรือรัฐ ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ 7 รัฐเช่นกัน คือ ยะไข่ ชิน กะฉิ่น กะเหรี่ยง กะยา มอญ และชาน

บ้านเราเรียกยะไข่ แต่คนทั่วไปรวมทั้งฝรั่งมังค่า เรียกรัฐนี้ว่า Arakan อาระกัน เนื้อที่ของรัฐนี้ไม่เยอะนะครับ เพียง 36,762 ตารางกิโลเมตร เท่ากับ 8 จังหวัดภาคตะวันออกของประเทศไทยที่มีพื้นที่รวมกัน 36,502 ตารางกิโลเมตร

ทางตะวันตกของยะไข่เป็นฝั่งทะเลยาวเฟื้อย ส่วนทางตะวันออกมีทิวเขาอาระกันโยมาทอดจากเหนือลงใต้ เป็นกำแพงใหญ่กั้นยะไข่ออกจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของพม่า ยะไข่กับพม่าจึงมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนกัน เพราะภูเขากั้น ทำให้ไปมาหาสู่กันลำบาก สมัยก่อนมีทางเจาะข้ามไปได้แค่ 2 ช่อง คือ ช่องเขาอันและช่องเขาดาวกูบ

ประชากรของยะไข่ใกล้ 2 ล้าน คนที่นี่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีเพียง 4 แสนคนที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี โลกเรียกคนยะไข่มุสลิมว่าโรฮิงจา บางคนเรียกว่าโรเฮนจา ส่วนใหญ่ก็เป็นอินเดียมุสลิมในเบงกอลที่เข้ามาอยู่ใน รัฐยะไข่ตั้งแต่สมัยที่อังกฤษปกครองพม่า บางพวกอพยพมาก่อนหน้านั้น พวกโรฮิงจาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือ ในดินแดนที่เรียกกันว่า เขตมายู ส่วนยะไข่พุทธส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนใต้

อังกฤษซ่อนระเบิดเวลาไว้ในทุกประเทศที่ตนเองเข้าไปปกครอง ด้วยความหวังว่าในอนาคต ความขัดแย้งจะทำให้ประเทศพวกนี้เกิดปัญหาและต้องมาง้ออังกฤษให้เข้าไปแก้ อย่างรัฐชัมมูและกัศมีร์ หรือที่บางคนเรียกว่าชัมมูและแคชเมียร์ ซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แทนที่อังกฤษจะตั้งผู้ปกครองเป็นมุสลิม กลับตั้งคนฮินดู ที่ศรีลังกาอะไรนี่ก็คล้ายกันหมด แต่ก่อนร่อนชะไร ในรัฐยะไข่ไม่เคยมีความขัดแย้งทางศาสนา จนกระทั่งอังกฤษอิมพอร์ตคนอินเดียเข้ามาจำนวนมากเพื่อให้มาใช้แรงงาน

เมื่อหมดงานที่อังกฤษให้ทำ มุสลิมอินเดียก็ถือโอกาสอยู่ในรัฐยะไข่นี่เลย จากนั้นก็แย่งงานคนพุทธทำ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นบุกพม่า มุสลิมที่หนุนอังกฤษก็อพยพตามข้าราชการอังกฤษกลับเข้าไปในแคว้นเบงกอล ทิ้งบ้านเรือนไร่นารกร้าง พวกยะไข่พุทธที่อยู่ทางใต้ก็ฉวยโอกาสเข้าไปอาศัยในบ้านและที่ดินของมุสลิมทางเหนือ แต่มุสลิมไม่ได้อพยพไปทั้งหมดนี่ครับ ส่วนหนึ่งยังอยู่ พวกที่ยังอยู่นี่ก็ต่อสู้กับพวกยะไข่พุทธ

พ.ศ.2488 อังกฤษกลับมายึดเขตมายูของยะไข่ไว้ได้อีก อังกฤษก็สร้างปัญหาซ้ำ ด้วยการตามมุสลิมอินเดียที่หนีไปอยู่ในแคว้นเบงกอลให้กลับเข้ามา และให้ดำรงตำแหน่งทางการบริหาร ในขณะที่ประชาชนคนส่วนใหญ่เป็นยะไข่พุทธ

ต้นปีนี้ มีปัญหาตีกันระหว่างชาวยะไข่พุทธกับมุสลิม นางซูจีกลับเงียบเชียบ ไม่พูดจาว่าอะไร หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ขอเรียนว่า ในสมัยก่อนตอนโน้น คนที่สร้างปัญหาต่อจากอังกฤษก็คือ นายพลอองซาน พ่อของนางซูจีนี่แหละ พอสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบจบลง นายพลอองซานซึ่งเป็นผู้นำพรรคสันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ไปเอาชาวยะไข่พุทธเข้าทำงานราชการแทนยะไข่มุสลิม และไปชักชวนพวกยะไข่พุทธทางใต้ขึ้นไปอยู่ทางเหนือในพื้นที่ของมุสลิม เอ้า คราวนี้ก็ทะเลาะกันอีกรอบ

โรฮิงจาจึงประกาศแยกดินแดน จะเอายะไข่ตอนเหนือไปรวมกับปากีสถานตะวันออก ซึ่งปัจจุบันก็คือบังกลาเทศ ทว่า ปากีสถานไม่เอาด้วย เพราะไม่อยากมีปัญหากะพม่า พวกโรฮิงจาส่วนหนึ่งจึงตั้งกองกำลัง “มูจาฮีด” เพื่อก่อก่วนเจ้าหน้าที่รัฐบาลและชาวพุทธ เหตุการณ์ตอนนั้นในพม่า เละเทะตุ้มเป๊ะอย่างไม่มีใครนึกว่าพม่าจะอยู่รอดคลอดเป็นประเทศได้ เพราะไหนจะมีกบฏพระสงฆ์อูเซ็งดา ที่ต้องการให้ยะไข่เป็นชาติรัฐอิสระ ไหนจะกบฏคอมมิวนิสต์ กบฏกะเหรี่ยง กบฏของกองกำลังประชาอาสา กบฏมูจาฮีด ฯลฯ

ใครที่ศึกษาพม่าเพียงเผินๆ ก็อาจจะบ้าตามตะวันตกเรื่องสิทธิมนุษยชน ทว่า ถ้าท่านตามประวัติศาสตร์ของพม่าอย่างละเอียด ก็จะเห็นใจพม่า ถ้ารัฐบาลและกองทัพไม่แข็ง ป่านนี้พม่าแบ่งเป็นประเทศเล็กชาติน้อยเป็นสิบประเทศไปแล้วละครับ แม้แต่รัฐยะไข่เล็กๆ ที่มีพื้นที่เท่ากับเพียงภาคตะวันออกของไทย ในอดีต ประชาชนคนที่นั่นยังต้องการแบ่งเป็นประเทศยะไข่ใต้ของชาวพุทธ และยะไข่เหนือของมุสลิม

เหตุการณ์ในรัฐยะไข่ยังไม่สงบ

อย่าเพิ่งผลีผลามเข้าไปลงทุนเลยครับ.

 


 

 

 

 

 

 

 **************************

 

 

 

 

 
 

 

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

                    

 

 

                    

 

 

                    

 

 

 

                  

 

 

 

**************************************

 

 

 

 

 

                                                        จักรพรรดิผู้โหดเหี้ยม (นิติ นวรัฐ)

 

 

 

 

 

พฤหัสบดี ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕

 

 

ผู้อ่านท่านหนึ่งอยากให้ผมอธิบายขยายความความใหญ่โตมโหฬารของรัสเซีย ไอ้ที่เขาว่าใหญ่ แผ่นดินรัสเซียใหญ่ยังไง และอยากทราบว่ารัสเซียเป็นจักรวรรดิยิ่งใหญ่ตั้งแต่เมื่อใด ขอเรียนรับใช้เลยนะครับว่า  รัสเซียน่ะใหญ่มาก มีพื้นที่ 17,075,200 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่า ราชอาณาจักรไทยของเราถึง 33.32 เท่า แค่ประเทศเดียวมีพื้นที่มากถึง 1 ใน 7 ของเนื้อที่ของโลกก็แล้วกัน กินบริเวณกว้างขวางไปถึง 2 ทวีปคือ ทวีปเอเชียและทวีปยุโรป โดยเอาเทือกเขา   อูราลเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นขวางระหว่าง 2 ทวีปที่ว่า

ใครอยากทำรายการสารคดีสำรวจตรวจตราสหพันธรัฐรัสเซียจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากครับ เพราะจากทิศตะวันออกไปจดทิศตะวันตกยาวถึง 9,000 กิโลเมตร จากเหนือจดใต้ 4,000 กิโลเมตรมีพรมแดนติดต่อกับประเทศต่างๆ 19,990 กิโลเมตร และมีชายฝั่งทะเลยาว 37,653 กิโลเมตร

ตอนเป็นสหภาพโซเวียต ประเทศนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตกว่านี้เยอะ ตอนนั้น ครอบคลุมพื้นที่ที่มีเวลาท้องถิ่นต่างกันถึง 11 เขต หลังจากโซเวียต แตกแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียง 9 เขต เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ คนกรุง มอสโกกำลังตื่นนอนในตอนเช้า แต่คนในนครวลาดิวอสตอกกำลังจะเข้านอน ทั้งที่อยู่ในประเทศเดียวกันแท้ๆ แต่เวลาห่างต่างกันเยอะ

75% ของแผ่นดินรัสเซียอยู่ในทวีปเอเชีย และ 25% อยู่ในเขตของ ทวีปยุโรป ทว่า 75% ของประชาชนคนรัสเซีย 148 ล้าน กลับไปแออัดยัดเยียดอยู่ในส่วนของยุโรป ตอนนี้มีผู้คนอยู่ในรัสเซียมากถึง 160 เชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ภาษาพูดและวัฒนธรรมอะไรนี่ก็แตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหวนะครับ

81% ของคนรัสเซียมีหน้าตาละม้ายคล้ายฝรั่ง สืบเชื้อสายมาจากพวกสลาฟตะวันออกที่เริ่มเข้ามาอยู่ในแดนดินถิ่นนี้เมื่อ 2,500 ปีก่อน พวกนี้เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศรัสเซีย อูเครน และเบลารุส มองให้ดี จะพบว่าสลาฟพวกนี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับพวกเผ่านอร์ดิก หัวกลม ผมทอง ตาสีฟ้า มีบางส่วนไปละม้ายคล้ายกับพวกเยอรมันด้วย

นับเป็นพันปีที่พวกรัสเซียอยู่กันเป็นอาณาจักร แต่ไม่ได้เป็นจักรวรรดิ เพิ่งมาเป็นจักรวรรดิ ชาติรัฐยิ่งใหญ่ในสมัยเดียวกับพระแก้วฟ้า รัชกาลที่ 15 ราชวงศ์สุวรรณภูมิของกรุงศรีอยุธยานี่เองครับ พระแก้วฟ้าของไทยทรงครองราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ.2089 และสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2091 เนื่องจากนางพญาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งเป็นพระราชชนนีลอบปลงพระชนม์ โดยใส่ยาพิษในพระกระยาหารให้เสวย

พ.ศ.2090 ก่อนที่พระแก้วฟ้าจะสวรรคต 1 ปี ซาร์อีวานที่ 4 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 17 พรรษา ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและทรงเป็นพระประมุของค์แรกของรัสเซียที่ได้รับคำประกาศพระอิสริยยศอย่างเป็นทางการว่า “ซาร์แห่งรุสทั้งปวง” หลังจากนั้นไม่นาน ซาร์อีวานก็ทรงกำจัดอำนาจของมองโกลออกจากรัสเซียได้สำเร็จ ยึดนคร   คาซานและนครอาสตราคานได้ ทำให้ลุ่มแม่น้ำวอลกาทั้งหมดอยู่ในพรมแดนของรัสเซีย บั้นปลายท้ายต่อมา พระองค์ยังได้ขยายพระราชอำนาจของรัสเซียเข้าไปปกครองไซบีเรียด้วย

จักรพรรดิองค์แรกของรัสเซียเกิดพร้อมกับคำสาปแช่งของพระสังฆราชแห่งนครเยรูซาเลม ว่าให้ทรงเป็น “พระราชโอรสที่ชั่วร้าย” เพราะพระบิดาพระมารดาทรงละเมิดกฎศาสนาในการอภิเษกสมรสซ้อน สมัยเด็กพระองค์ทรงนิยมความรุนแรง ชอบเล่นโยนแมวโยนหมาจากหอคอยสูงในพระราชวังเครมลิน เพราะชอบดูการตายอย่างทรมานของสัตว์

ในห้วงช่วงที่ทรงเป็นจักรพรรดิ พระองค์จะถือพระแสงหอก หรือธารพระกรเหล็ก ติดพระหัตถ์อยู่ตลอดเวลา ใครขัดใจก็โจมตีทันที ครั้งหนึ่ง พระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์แต่งองค์ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม ซาร์อีวานก็ทรงทุบตี เมื่อพระราชโอรสเข้ามาช่วย ซาร์อีวานก็ทรงเอาพระกรหัวเหล็กลงทัณฑ์ทันทีจนพระราชโอรสของพระองค์เองแท้ๆ บาดเจ็บสาหัสและสิ้นพระชนม์ ส่วนพระสุณิสาก็ทรงตกพระโลหิตและสิ้นพระชนม์ด้วย

ต้น พ.ศ. 2127 ซาร์อีวานทรงพระประชวรและมีพระบัญชาให้คณะโหร 60 คนพยากรณ์ว่า เมื่อใดพระองค์จะเสด็จสวรรคต คำนวณเสร็จคณะโหรก็กราบทูลว่า อันตกาลจะอุบัติในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2127 ซาร์อีวาน ผู้เหี้ยมโหดยังทรงคาดโทษคณะโหรว่า ถ้าพยากรณ์ผิดจะประหารชีวิตพวกเจ้าด้วยการเผาทั้งเป็น

เช้าของวันที่ 18 มีนาคม 2127 ซาร์อีวานทรงตื่นบรรทมด้วยพระอารมณ์แจ่มใสและเสด็จลงสรงน้ำ หลังจากนั้นก็เสด็จมายังแท่นบรรทม มีพระประสงค์จะทรงหมากรุก

บัดใดนั้น ก็ล้มลงบนแท่นบรรทม และเสด็จสวรรคตตามคำพยากรณ์

นี่แหละครับ คือเรื่องของซาร์อีวานผู้โหดเหี้ยม แห่งจักรวรรดิรัสเซีย.

 

 

 

 

 

 

 

 

 ************************

 

 

 

 

 

สื่อยักษ์โลกชื่นชมไทย..."นิวยอร์กไทมส์"แนะอียิปต์ยึดแนว"ปูโมเดล"-ยุติรุนแรง มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ-ยอมต่อรองเพื่อความสงบ

 

 

 

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15:57 น.  ข่าวสดออนไลน์


นิวยอร์กไทมส์ สื่อชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์บทความชื่อ"อียิปต์จะเรียนรู้จากไทยได้หรือไม่?"[/url" rel="nofollow" > เขียนโดยนายโจนาธาน เทปเปอร์แมน บรรณาธิการของนิตยสาร "ฟอเรนจ์ แอฟแฟร์ส" ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศ

นายเทปเปอร์แมนระบุในบทความดังกล่าวว่า   ต่างจากประเทศอียิปต์ยังอยู่ในวิกฤตวุ่นวายจากการเดินหน้าปราบปรามฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล

นายเทปเปอร์แมนกล่าวว่า ม ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างฝ่ายเสื้อเหลืองที่พยายามพิทักษ์ระบอบ "กึ่งศักดินา" ในไทย กับฝ่ายเสื้อแดง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนในต่างจังหวัดและเขตเมืองที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ

บทความระบุอีกว่า เกิดความวุ่นวายทางการเมืองมาตลอด จนกระทั่งเกิดการสลายการชุมนุมของฝ่ายเสื้อแดงในปี 2553 มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 90 ราย และในปีถัดมา ซึ่ง โดยความสำเร็จของน.ส.ยิ่งลักษณ์มาจากการปราบปรามพฤติกรรมทุจริต ต่อรองกับฝ่ายตรงข้าม และมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

โดยนายเทปเปอร์แมนมองว่า น.ส. ยิ่งลักษณ์เริ่มแผนการช่วยเหลือคนจนในประเทศจากการสร้างเสถียรภาพก่อน ด้วย

"นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยัง และไม่แก้ไขมาตรา 112 แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นบุคคลที่ชนชั้นสูงต่อต้านกลับมายังประเทศ ไทยเช่นกัน"

ผู้เขียนระบุด้วยว่า การยอมต่อรองกับฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ทำให้อำนาจไม่เป็นประชาธิปไตยเข้ามาจำกัดบทบาทของรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลก็ยอมให้มีการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออก ด้านครอบครัวของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เมื่อปี 2553 ต่างไม่พอใจเพราะเห็นว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่จริงจังในการดำเนินคดีกับผู้สั่งการ ซึ่งล้วนแต่เป็นผลกระทบที่ย่ำแย่

นายเทปเปอร์แมนวิเคราะห์ว่า เพราะถ้ารัฐบาลมีเสถียรภาพ ไม่มีการต่อสู้กันบนท้องถนน ประเทศไทยก็มีโอกาสพัฒนาประชาธิป ไตยในระยะยาวได้ต่อไป

"ความไม่สมบูรณ์ของการต่อรองครั้งใหญ่ของน.ส.ยิ่งลักษณ์สะท้อนว่าเป็นการต่อรองที่ดี เพราะซึ่งก็" นายเทปเปอร์แมนระบุ

บ.ก.ฟอเรนจ์ แอฟแฟร์ส สรุปว่า ถึงแม้การต่อรองนี้เป็นสันติภาพที่เปราะบาง เพราะอาจเกิดความวุ่นวายได้หากพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับไทย และความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนในประเทศเพิ่มพูนขึ้นกว่านี้ แต่ก็ยังดีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์เลือกที่จะเจรจาต่อรองกับฝ่ายตรงข้าม แทนที่จะเดินหน้าชนกับฝ่ายตรงข้ามท่าเดียว

"แน่นอนว่า" นายเทปเปอร์แมนสรุป

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM056TXpORGN5T0E9PQ==&sectionid=    


                                           ?????????????????????????????????????????


"......น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุคคลที่สามารถต่อรองกับกลุ่มต่างๆในการเมืองไทย  และพลิกสถานการณ์จากสภาวะความไม่สงบต่างๆในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  จนประเทศไทยกลับมาดำรงเสถียรภาพได้ ....."

".....ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทยเริ่มขึ้นจากรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549 ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างกองทัพ  กลุ่มนิยมสถาบัน  และกระบวนการยุติธรรม ...."

".....น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ชนะการเลือกตั้งในปีถัดมา ซึ่งผลที่ตามมาคือไทยพลิกกลับมาอยู่ในความสงบ เศรษฐกิจเติบโต และการท่องเที่ยวก็คึกคักอีกครั้ง ...."

"......แต่สิ่งที่ดำเนินการทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ....เป็นการต่อรองที่ดี ......แปลว่าไม่มีใครได้สิ่งที่ตัวเองต้องการทุกอย่าง....."


โลกรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
และเห็นช่องทางในการแก้ไขปัญหาอย่างมีสติของรัฐบาลเป็นอย่างดี  จึงชื่นชมและยกย่องให้เป็นแบบอย่างแก่นานาประเทศ.....

แล้วใยคนในประเทศแท้ๆบางตัวกลับงมงายไร้สติ หลับหูหลับตางี่เง่าอยู่นั่นแล้ว
หลายภาคส่วนต่างลืมตาตื่น  ยุติบทบาทที่เคยก่อความเสียหายให้กับประเทศชาติ
ต่างพากันปีนลงจากหลังเสืออย่างสง่างาม.....

แต่...แต่...ทาสเผด็จการที่ปล่อยไม่ไปบางเผ่าพันธ์ยังมุดออกจากรูไม่ได้
ยังดิ้นรนอยู่กับกะลาแคบๆที่ครอบหัวอยู่
ยากมากหรือไงกะอีแค่โผล่หัวออกมาจากรูน่ะ..แมงสาบ......หือ.... น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุคคลที่สามารถต่อรองกับกลุ่มต่างๆในการเมืองไทย และพลิกสถานการณ์จากสภาวะความไม่สงบต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนประเทศไทยกลับมาดำรงเสถียรภาพได้ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทยเริ่มขึ้นจากรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549 ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างกองทัพ กลุ่มนิยมสถาบัน และกระบวนการยุติธรรน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ชนะการเลือกตั้งผลที่ตามมาคือไทยพลิกกลับมาอยู่ในความสงบ เศรษฐกิจเติบโต และการท่องเที่ยวก็คึกคักอีกครั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ เช่น ยกเว้นภาษีรถคันแรก ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่ทำให้ชนชั้นล่างและกลางพอใจ ขณะเดียวกันก็ลงทุนด้านสาธารณูปโภคและลดภาษี เพื่อเอาใจกลุ่มธุรกิจและคนร่ำรวยต่อรองกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยไม่แตะต้องกองทัพซึ่งมีบทบาทในการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553แต่สิ่งที่ดำเนินการทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่จำเป็นแสดงว่าทุกคนรู้สึกว่าตนไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แปลว่าไม่มีใครได้สิ่งที่ตัวเองต้องการทุกอย่างการต่อรองนี้มีความยุ่งยากอยู่ แต่ก็เป็นความยุ่งยากที่ประเทศอื่นๆ อย่างอียิปต์ เวเนซุเอลา ซิมบับเว ได้แต่ฝันถึงในขณะนี้
 
 
ตรงประเด็น ภาพรวมๆของความซับซ้อนในไทย ต่างชาติมองออก แต่ไทยไม่น้อยยังเอาหน้ากากขาวมาบังตา

 

 

 

 

 

*********************************

 

 

 

 

 

************************************************* 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 16:18:03 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>