วันสารทจีน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก irrigation.rid.go.th
สารทจีน หรือ วันสารทจีน ปี พ.ศ.2556 นี้ ตรงกับวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2556 ตามปฏิทินจีนโบราณ เดือน 7 ถือเป็นเดือนสำคัญที่ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และยังเป็นเวลาที่ประตูนรกเปิดให้บรรดาภูตผีออกเร่ร่อนตามสถานที่ต่างๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้อาถรรพ์ ชาวจีนจึงมีการเซ่นไหว้ด้วยของไหว้ สารทจีน หลากความหมาย ที่ปฏิบัติสืบกันมาเนิ่นนานใน..เทศกาลวันสารท!!
ทั้งนี้ ในรอบหนึ่งปี คนจีนจะมีไหว้เจ้าใหญ่ 8 ครั้ง เรียกว่าไหว้ 8 เทศกาลโป๊ะโจ่ย การไหว้เจ้า สารทจีน หรือ วันสารทจีน ถือเป็นการไหว้ครั้งที่ 5 ตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ซึ่งถือกันว่าเป็นเดือนผี เป็นเดือนที่ประตูนรกปิดเปิดให้ผีทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้
ตำราจีนหนึ่งกล่าวไว้ว่า วันที่ 15 เดือน 7 เป็นวันที่เช็งฮีไต๋ตี๋จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์ และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้าย จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ นรก!!..จึงเปิดประตู เพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญได้ ในวัน สารทจีน นั่นเอง
การไหว้ในเทศกาล สารทจีน ต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่นๆ ตรงที่แบ่งการไหว้ สารทจีน ออกเป็น 3 ชุด ดังนี้
สารทจีน ของไหว้ สารทจีน
ของไหว้ สารทจีน ชุดแรก สำหรับไหว้เจ้าที่ จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมไหว้ สารทจีน ก็ใช้ ถ้วยฟู กุ้ยไช่ ซึ่งต้องมีสีแดงแต้มเป็นจุดเอาไว้ ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมีซึ่งเป็นประเพณีของ สารทจีน คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงิน กระดาษทอง
ของไหว้ สารทจีน ชุดที่สอง สำหรับไหว้บรรพบุรุษ คล้ายของไหว้เจ้าที่ พร้อมด้วยกับข้าวที่บรรพบุรุษชอบ ตามธรรมเนียม สารทจีน ต้องมีน้ำแกง หรือขนมน้ำใสๆ วางข้างชามข้าวสวย และน้ำชา จัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ และที่ขาดไม่ได้ในเทศกาล สารทจีน ก็คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง
ของไหว้ สารทจีน ชุดที่สาม สำหรับไหว้วิญญาณพเนจร ซึ่งไม่มีลูกหลานกราบไหว้ เรียกว่า ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋ จะต้องไหว้นอกบ้าน ของไหว้ สารทจีน มีทั้งของคาวหวานกับผลไม้ตามต้องการ และที่พิเศษคือ มีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทองจัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกันสำหรับเซ่นไหว้ ในวัน สารทจีน
เทพแห่งโชคลาภ ไหว้เจ้าวัน สารทจีน
ในช่วงหลายสิบปี เทพแห่งโชคลาภที่บันทึกไว้ในระบบความจำของตี๋หมวยใหญ่น้อยทั้งหลายคือ "ฮก-ลก-ซิ่ว" เทพยอดนิยมอมตะนิรันดร์กาล ที่ไม่ว่าจะเป็นจีนเชื้อสายใด เป็นคนรุ่นไหน ฮก-ลก-ซิ่ว คือเทพที่อยู่ในความศรัทธามายาวนาน ที่สามารถเข้าได้กับทุกงานมงคล ตั้งแต่งานขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน เปิดสำนักงาน วันเกิด ฯลฯ
หรือหากเป็นเมื่อประมาณ 5-6 ปีผ่านมา "ไฉ่ สิ่ง เอี๊ย" หรือเทพแห่งทรัพย์ เริ่มยึดครองพื้นที่ศรัทธาในใจผู้คนมากขึ้น เพราะไม่ว่าคนรวยคนจนไหว้พระไหว้เจ้าก็ไม่พ้นเรื่องของเงินทอง
ส่วนเทพแห่งโชคลาภของจีนมี 7 องค์ด้วยกัน คือ พระยูไล พระโพธิสัตว์กวนอิม พระสังกัจจายน์ พระจี้กง เทพแห่งเงินตราทั้ง 4 ในศาสนาพุทธ เซียนคู่ และเทพฮก
หลายองค์ที่กล่าวถึงนั้นเป็นเทพที่คุ้นเคยใกล้ชิดไม่เฉพาะแต่คนจีน หากรวมถึงคนไทยจำนวนไม่น้อยทีเดียว เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ที่เรามักเรียกกันว่าเจ้าแม่กวนอิม พระสังกัจจายน์ ที่นั่งยิ้มแฉ่งรับญาติโยม
พระโพธิสัตว์กวนอิม ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นมา หาได้มีตัวตนจริงไม่ แต่เมื่อสร้างแล้วมีผู้กราบไหว้บูชามากมาย จึงพยายามผูกเป็นเรื่องให้เข้ากับประวัติศาสตร์จีน โดยจัดเรื่องให้พระโพธิสัตว์เป็นพระราชธิดาของพระราชาองค์หนึ่ง…กล่าวไว้ว่าพระนางนั้นเดิมเป็นพระธิดาของ พระเจ้าเมี่ยว จวง หวาง ทรงพระนามว่า เมี่ยวซ่าน ทรงฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ไม่ยอมเข้าสู่พิธีอภิเษกสมรสตามพระประสงค์ของพระบิดา
ต่อมาได้เทพทางศาสนาเต๋า คือเทพไท้ไป๋ ซิง จวิน ชี้แนะ จึงได้บำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์…ด้วยศาสนาพุทธและศาสนาเต๋าล้วนเข้าไปสู่วิถีชีวิตของชาวจีนอย่างแยกกันไม่ออก พระโพธิสัตว์กวนอิมของศาสนาพุทธจึงกลายเป็นเทพของศาสนาเต๋าไปด้วย ไม่ว่าใครจะเป็นพุทธศาสนิกชนก็ได้ เป็นผู้ที่นับถือศาสนาเต๋าก็ดี ล้วนกราบไหว้พระโพธิสัตว์องค์นี้กันทั้งนั้น…
พระสังกัจจายน์ หรือพระยิ้ม หรือเรียกกันทั่วไปว่าพระถุงย่าม…ที่รู้จักกันของชาวจีนว่าคือ พระหมี เล่อ โฝว นั้นเป็นนามเรียกขานเดียวกับพระศรีอริยเมตไตรย แต่แท้จริงแล้วพระยิ้มอาจไม่ใช่พระศรีอริยเมตไตรยก็ได้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระประหลาด…ที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ย พุงยุ้ย มักใช้ไม้เท้าที่ทำจากไม้ไผ่เกี่ยวถุงผ้าแล้วแบกไว้บนบ่า มักปรากฏกายไปบิณฑบาตในตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา พูดจาผิดจากคนทั่วไป ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น ที่ไหนๆ ก็นอนได้หมด มักจะบอกเล่าและทำนายเรื่องในอนาคตที่จะเป็นอันตรายต่อผู้คน ราวกับเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
ความจริงแล้วสิ่งที่ติดตัวของท่านก็มีเพียงถุงย่ามใบเดียว ท่านมักจะนำของบิณฑบาตมาได้เทรวมลงไปในถุงย่าม ผู้คนเข้ามามุงดู ท่านจะพูดกับคนเหล่านั้นด้วยคำพูดที่เปรียบเทียบให้คนรู้เห็นธรรมอันแท้จริง บางคนบอกว่าท่านเป็นเทพเจ้า บางคนก็ว่าท่านเป็นบ้า…
พระหมีเล่อ หรือพระศรีอริยเมตไตรย เป็นเสียงเรียกขานตามภาษาสันสกฤต Maitreya ความหมายก็คือผู้มีความเมตตา เป็นนามของพระโพธิสัตว์หมีเล่อของศาสนาพุทธมหายาน กล่าวกันว่าท่านเป็นบุตรตระกูลพราหมณ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งหมู่บ้านเจี่ยพอหลีชุน แห่งหนานเทียนจู๋ ของอินเดียโบราณ
พระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้ก่อนพระศรีศากยมุนี จากนั้นก็ประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ในแดนสุขาวดีพุทธเกษตรทางทิศตะวันตก…พระองค์ทรงดูแลความสุขของมวลมนุษยชาติสืบต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวกันว่าในยุคของพระองค์จะมีแต่สิ่งดีๆ ความสวยงาม และความสุข…
พระจี้กง หลายท่านรับรู้เรื่องราวของท่านในฐานะ "พระคนยาก" เพราะภาพลักษณ์ของพระที่แต่งตัวปอนๆ ด้วยจีวรเก่าซอมซ่อ และมีขวดน้ำเต้าบรรจุเหล้าติดตัวอยู่เสมอ หากเบื้องลึกของพระจี้กงที่ได้กล่าวไว้คือ พระจี้กงเป็นชาวไถโจว ปัจจุบันคืออำเภอหลินไห่ ของมณฑลเจ้อเจียง นามเดิมของท่านคือหลี่ ซิน หย่วน ท่านออกบวชที่วัดหลิงอวิ่นซื่อ ที่เมืองหังโจว มณฑลเจ้อเจียง…เนื่องจากพระจี้กงไม่นิยมปฏิบัติตามกฎของสงฆ์ ชอบกินเนื้อสัตว์และดื่มเหล้า อีกทั้งมีท่าทางเหมือนคนบ้า ผู้คนจึงเรียกท่านว่าพระบ้า
พระจี้กงมีจิตใจเมตตา ชอบช่วยเหลือคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งดูถูกพวกข้าราชการที่ชอบกินสินบนและกดขี่ข่มเหงประชาชน การปฏิบัติตัวของพระจี้กงเป็นที่นิยมนับถือของประชาชนทั้งหลาย จนเรียกกันว่า ท่านคือพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดในยุคปัจจุบัน…"
ข้อความข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระเจ้าใกล้ตัว ที่หลายท่านคุ้นเพราะเคยได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวจากผู้เฒ่าผู้แก่มาตั้งแต่เด็ก ในเชิงของตำนานพื้นบ้านที่มีอภินิหารผสมอยู่ด้วย เล่าสู่กันฟังเพื่อความสนุก จึงอยากเชิญให้ท่านลองทำความรู้จักกับพระเจ้าองค์เดิมที่นับถือมานาน รวมถึงพระเจ้าองค์อื่นๆ ที่เหลือในแง่มุมที่มีหลักฐานอ้างอิงได้ ตลอดจนสถานะของเทพแห่งโชคลาภ เผื่อการไหว้พระไหว้เจ้าใน สารทจีน จะมีคุณค่า และความหมายยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ สารทจีน สะท้อนให้คนเราเห็นว่า เมื่อมีชีวิตอยู่ควรกระทำตัวให้เป็นบรรพบุรุษที่ดี ให้ลูกหลานเคารพ และกราบไหว้บูชาแม้ยามจากไป ยังดีกว่าจะรอให้คนทั่วไปมาเซ่นไหว้ไหว้ตามข้างทาง ขึ้นอยู่ที่ว่า..คุณ!!จะเลือกเป็นบรรพบุรุษแบบไหน
และในปีนี้ขอให้คนจีนไหว้เจ้า สารทจีน ทุกคน ช่วยกันรณรงค์ไหว้เป็นผลไม้ไทย และซื้อสินค้าไทยไหว้เจ้ากัน
**************************************
อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ยังคงโวยวายไม่ยอมรับผลการลงคะแนน และเมื่อจะเริ่มประชุมต่อแต่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์พากันลุกจากที่นั่งตะโกนโห่ฮารบกวนไม่ให้นายสามารถกล่าวรายงานผลการพิจารณาได้ซึ่งนายสมศักดิ์กล่าวเตือนว่าขอให้สมาชิกอยู่ในความสงบประชาชนทั้งประเทศเขาดูอยู่ ขณะที่ตำรวจรัฐสภา 4-5 นาย ต้องเข้ามายืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังบัลลังก์ แต่ถึงจะกล่าวตักเตือนอย่างไรส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่ยอมหยุด จนนายสมศักดิ์ต้องนำค้อนขึ้นมาชูพร้อมกล่าวว่า “ช่วงหลังมานี้ไม่เคยใช้เลย วันนี้ขอใช้หน่อย” แล้วทุบลงบนบัลลังก์ 3 ครั้ง ทำให้ตำรวจรัฐสภากว่า10 คน เดินเรียงแถวเข้ามากลางห้องประชุมเพื่อควบคุมเหตุการณ์ ท่ามกลางความไม่พอใจของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
โดยมีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จำนวนหนึ่งเดินกรูเข้าไปต่อว่าตำรวจรัฐสภา โดยนายกุลเดช พัวพัฒนกุล ส.ส.อุทัยธานี พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปผลักที่หน้าและใช้มือค้ำคอตำรวจรัฐสภา จนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย ซึ่งตำรวจรัฐสภาพยายามล็อกแขนนายกุลเดช เพื่อพาตัวออกจากห้องประชุม สร้างความไม่พอใจแก่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามกรูเข้ามาช่วยนายกุลเดช ระหว่างที่ชุลมุนอยู่นั้น นายกุลเดช ใช้มือค้ำคอพร้อมกับฟาดมือเข้าไปที่บริเวณขมับซ้ายของตำรวจรัฐสภานายหนึ่ง ทำให้นายธานี เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ วิ่งเข้ามาผลักตำรวจฯที่ล็อกตัวนายกุลเดชอยู่ ทำให้ตำรวจฯเข้ารวบตัวนายธานี เพื่อลากออกจากห้องประชุมไปด้วย แต่นายธานีขัดขืนต่อสู้ด้วยการใช้มือกดหัวก่อนจะสะบัดตัวออกมายืนอยู่ในวงของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่พากันต่อว่าเจ้าหน้าที่ว่า “..กล้าทำผู้แทนเหรอ” ตำรวจรัฐสภาจึงหยุดปฏิบัติการ
ขณะที่ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์พากันกรีดร้อง อาทิ น.ส.นริศา อดิเทพวรพันธ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช แต่นายสมศักดิ์สั่งเสียงเข้มว่าถ้าทำไม่ได้ตนจะตั้งคณะกรรมการสอบฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ขณะที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยทำได้เพียงยืนดูและวิพากษ์วิจารณ์
ต่อมานายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประจำตัวประธานสภาฯ ได้นำตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาที่ถูกทำร้ายลงมาให้แพทย์ที่อยู่ประจำรัฐสภาตรวจอาการ โดยพบว่ามีรอยแดงช้ำที่บริเวณขมับด้านซ้าย ทราบชื่อภายหลังคือ นายจิราพันธ์ พรหมศิลา จากนั้นได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สน.ดุสิต ไว้เป็นหลักฐาน
ด้านนายกุลเดช ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนเองโดนตำรวจ 7-8 นายล้อมกรอบก่อน และไม่ได้ทำร้ายตำรวจแต่อย่างใด และจะไปแจ้งความกลับด้วย
คนนี้เหรอที่กรีดร้องโหยหวลในสภา
*******************************
โรงพยาบาลชุมชนกำลังถูกทำให้ต้องล้มละลาย
นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
โดย...นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่เริ่มเดินหน้าเต็มตัวในปี 2545 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อระบบสุขภาพและการรักษาโรคแก่คนไทยเกือบทุกคน ในท่ามกลางความเจริญทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทุกคนควรต้องมีหลักประกันสุขภาพเพราะค่าใช้จ่ายทางการแพทย์นั้นแพงมาก แม้แต่เศรษฐีก็ยังอาจล้มละลายได้ และเมื่อคนไทยกว่า 99% มีหลักประกันสุขภาพ ภาวะเสี่ยงต่อการล้มละลายก็มาอยู่ในมือของโรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กในชนบทระบบโรงพยาบาลรัฐของประเทศไทยโดยเป้าหมายไม่ได้มีไว้เพื่อการทำกำไร แต่โรงพยาบาลก็ต้องบริหารให้มีรายได้มากกว่ารายจ่าย ให้มียาใช้ครบถ้วนตลอดปี มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ มีเงินจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่ มีเงินจ่ายค่าซ่อมอุปกรณ์ค่าน้ำมันค่าอาหารผู้ป่วยและสารพัดรายจ่ายให้เพียงพอ
โรงพยาบาลของรัฐมีรายได้หลักๆ สองทาง คือ หนึ่งจากเงินจากระบบประกันสุขภาพต่างๆ ที่อาจจะจัดสรรมาล่วงหน้าหรือจัดมาทีหลังหลังตามรายการที่โรงพยาบาลได้ให้บริการไปแล้ว งบประมาณก้อนนี้ค่อนข้างจะคงที่ เพราหลักเกณฑ์การจัดสรรในแต่ละปีนั้นไม่ต่างกันมากนัก ก้อนที่สองคือเงินที่เก็บโดยตรงจากผู้ป่วย ซึ่งขึ้นกับนโยบายของโรงพยาบาลนั้นๆ ว่า จะกำหนดเงื่อนไขโยนภาระให้ผู้ป่วยแบกรับมากน้อยแค่ไหน เงินทั้งสองก้อนนี้จะรวมเป็นเงินในกระเป๋าเดียวกันเรียกว่า “เงินบำรุง” ซึ่งหมายความว่า สามารถใช้จ่ายได้จิปาถะตามระเบียบราชการค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เพิ่มจากเทคโนโลยีและค่ายาค่าวัสดุที่แพงขึ้นเท่านั้นแต่รายจ่ายส่วนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาจากวัฒนธรรมการบริหารแบบกระทรวงสาธารณสุขด้วย กล่าวคือ
การกำหนดนโยบายใหม่ๆหรือแนวปฏิบัติใหม่ๆ ออกมาก็มักจะระบุว่าให้เบิกจ่ายจากเงินบำรุง เช่น นโยบายขึ้นเงินเดือนลูกจ้าง นโยบายการจ่ายค่าตอบแทนแบบ P4P นโยบายการรณรงค์พ่นหมอกควันป้องกันไข้เลือดออกเป็นต้น ล้วนแต่สั่งให้ใช้จากเงินบำรุงโดยไม่ได้มีการส่งงบประมาณมาสมทบ หรือหากส่งมาก็เพียงบางส่วน โรงพยาบาลก็ต้องใช้เงินบำรุงรับภาระไปด้วยภาวะบีบคั้นทางงบประมาณที่จำกัด แต่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงและหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้ไม่จ่ายได้ยาก
ดังนั้นรายจ่ายที่พอจะลดได้ประหยัดได้ก่อน จึงเป็นรายจ่ายด้านการส่งเสริมสุขภาพ ลดรายจ่ายที่เกี่ยวกับขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ งดส่งอบรมพัฒนาความรู้ ลดบริการที่ลดแล้วไม่ถูกตำหนิเช่นลดการเยี่ยมบ้าน ลดการตรวจเลือด ลดเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการลง ลดการซื้อเครื่องมือแพทย์ ลดการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อคุณภาพบริการไม่มากก็น้อย และส่งผลต่อการพัฒนาทำให้เกิดการชะงักงัน โรงพยาบาลสีตก ผ้าม่านเก่า มุ้งลวดขาด เจ้าหน้าที่ไม่พอ คิวตรวจยาว พื้นที่คับแคบ และที่สำคัญคือการเสียภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลของรัฐเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน
ในปัจจุบันมีโรงพยาบาลชุมชนกว่า 200 แห่ง จาก 750 แห่งที่มีภาวะขาดทุนเรื้อรังมาหลายปีจนการพัฒนาหยุดชะงัก ซึ่งหากเป็นเอกชนก็ล้มละลายไปแล้ว และอีกกว่า 400 แห่งที่กำลังมีรายจ่ายสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับรายได้ และจะเข้าสู่ภาวะขาดทุน เพราะใช้เงินบำรุงที่เก่าเก็บมายาวนานจนจะหมดสิ้นแล้ว เงิน 55 ล้านบาทที่ซื้อไอแพดแจก ส.ส./ส.ว.นั้น สามารถใช้เป็นค่ายาสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลจะนะได้นานถึง 5 ปี เงินอีก 15 ล้านที่ซื้อนาฬิกา 200 เรือนแขวนทั่วรัฐสภานั้น ใช้เป็นค่าใช้จ่ายทุกอย่างของโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กได้เกือบปี ประเทศไทยไม่ใช่ไม่มีงบประมาณ แต่รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่สนใจแก้ไขปัญหาหนี้สินและการขาดทุนสะสมของโรงพยาบาลชุมชน คนที่รับกรรมที่แท้จริงก็คือประชาชนโดยเฉพาะคนชนบทและคนจนเมือง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมเมดิคัลฮับ ให้โรงพยาบาลเอกชนรับผู้ป่วยต่างชาติมาดูแลทำกำไร แต่กลับปล่อยให้โรงพยาบาลของรัฐด้อยพัฒนาเพราะงบประมาณมีไม่พอ แบบนี้น่าจะเอาออกไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ให้คนที่เขามีความสามารถมีความตั้งใจจริงมาทำหน้าที่แทนจะดีกว่าไหม โรงพยาบาลชุมชนกำลังถูกทำให้ล้มละลายทั้งประเทศด้วยมือของรัฐบาลเอง
***********************************
เป็นบทวิเคราะของคุณ jelly_fish
Stagnation (สเเต๊กเน๊ชันน) = ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
Inflation (อินเฟ๊ลทชันน) = ภาวะเงินเฟ้อ
และเมื่อทั้งสองเกิดพร้อมๆกัน...เกิดเป็น Stagflation (สเเต๊กเฟ๊ลกชันน) หรือภาวะถดถอย ในขณะที่เงินเฟ้อก็สูงมากๆ ที่พวกเราจะได้เห็นกันในไม่นานนี้...
นโบายประชานิยม โดยเฉพาะค่าแรง 300 กะป.ตรี 15,000 นั้นเริ่มทำหน้าที่ของมันอย่างดีในช่วงแรกๆที่บังคับใช้ (เมษา 2555) เพราะทำให้เกิด "ชนชั้นกลางใหม่" (หรือชนชั้นกลางเทียม) ขึ้นมามากจากฐานรากของสังคม ทำให้การบริโภคพื้นฐานถูกยกระดับขึ้นมา เพราะคนเริ่มเป็นผู้เลือกซื้อสินค้า ไม่จำเป็นต้องใช้ของเกรดล่างๆอีกต่อไป กินอาหารแพงๆเพื่อยกสถานะทางสังคมขึ้นได้เป็นบางมื้อ ทั้งนี้การบริโภคที่ "ปรนเปรอ" ตัวเองของรากหญ้านั้นมีส่วนกระตุ้นให้ "Modern Trade"(มอเด๊นท์ เทรศศ) หรือการค้าที่ทันสมัย ขยายตัวเร็วมากใน 1-2 ปีนี้ รวมถึงรากหญ้าต่างจังหวัดก็มีโอกาสได้เดินโรบินสัน เซ็นทรัล กะเค้าบ้างเหมือนกัน
ชนชั้นกลางเดิม... ได้ขยับรายได้ขึ้นมา เพราะฐานล่างโดนยกขึ้นมาเป็น "ขั้นบันได" จนเพียงพอที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งไปเที่ยวต่างประเทศกันเยอะมากขึ้นบ่อยขึ้น, ซื้อรถใหม่, ซื้อคอนโดกลางเมือง ซึ่งผลดีของ 300 น่ะมีจริง เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ค่อนข้างสะพัด
แต่การที่รัฐต้องการให้แคมเปญ "แรง" เพื่อให้ผู้เลือกตั้ง "จำ" ตัวเองได้แม่นๆ เลยไปกำหนดระยะเวลาในการใช้สิทธิ์ให้เกิดการ "กระจุกตัว" ในภาคธุรกิจบางอย่าง โดยเฉพาะการก่อหนี้ระยะยาวอย่าง "รถคันแรก" 1.3 ล้านคัน .....นั่นทำให้เงินประมาณ 10,000 ล้านบาท (รถล้านคัน เฉลี่ยผ่อน 10,000) ในแต่ละเดือนไม่ได้ถูกนำไปหมุนเศรษฐกิจภาคอื่นๆบ้าง แต่ถูกโยนไปผ่อนรถอย่างเดียวทั้งก้อน
...หมดกัน คนอุส่าห์มีเงินเพิ่ม ยอมแลกกับเงินเฟ้อนิดหน่อย แต่เศรษฐกิจหมุนดี คึกคักขึ้น เดี๋ยวก็หมุนมาเป็น VAT ที่มากขึ้นไปด้วย
..........แต่กลับเอา "รถคันแรก" มาดูดเงินกลับไปหมด
GDP = G + I + C + (X-M)
G = ค่าใช่จ่ายรัฐ
I = เอกชนลงทุน
C = บริโภคหมุนเวียนภายใน
X-M = ดุลการค้า (ส่งออก - นำเข้า)
G : เอาไปคืนภาษีรถคันแรก 90,000 เอาไปจำนำข้าวหลักแสนล้าน... สรุปรัฐใช้เยอะ แต่ไม่เกิดผลผลิดเป็นลูกโซ่กับเศรษฐกิจ
I : SMEs เจอศึกหลายด้าน ไหนจะค่าแรงพนักงานเพิ่มเป็นขึ้นบันได ไหนจะจ่ายภาษีเพิ่มกัน (แต่รายใหญ่ ลดให้เค้า 10%) ปิดไปก็เยอะ ส่วนใหญ่ทรงๆ ไม่ตาย ไม่ขยาย
C : ผู้บริโภคก่อหนี้มาก ทั้งผ่อนรถคันแรก ผ่อนSmart Phone Tablet ทั้งหลาย ค่าพลังงาน ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่คนต้องลดบริโภคที่เค้าคิดว่าจำเป็นน้อยลงไปก่อน
X : ส่งออกพวก OEM (รับจ้างผลิต) ทะยอยเลิกกิจการ พวกส่งออกข้าวก็ไปซื้อข้าวเขมรส่งออกแทน (สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน)
M : นำเข้าสินค้าฟุ่ยเฟือยมามาก เพราะค่าเงินบาทเทียบต่างประเทศแล้วแข็งกว่า รวมทั้งไปเที่ยวเมืองนอกกันมาก
Stagflation...(สเเต๊กเฟ๊ลกชันน) ภาวะถดถอยในขณะที่เงินเฟ้อสูงมาก
...คำถามที่หลายคนสงสัยว่าทำไมเงียบขนาดนี้
คำตอบเพราะ "คนไม่มีเงินครับ" เงินเฟ้อสูงขึ้นมาก เข้าสู่ภาวะข้าวยากหมากแพงเต็มๆ แต่ไม่ได้เกิดจากคนแย่งกันซื้อดันระดับราคา (Demand Size) หากแต่เกิดจากคนไม่มีเงิน --> ค่าครองชีพสูงเกินค่าแรงที่ได้รับเพิ่มครับ (Supply Size) เช่น ราคาข้าวที่เพิ่มไข่ดาว เดี๋ยวนี้บวก 10-15 บาท, ราคาปูนซิเมนต์ ปี 55 เฉลี่ย 85 บาท ตอนนี้ 130 บาท, LPG & NGV ฯลฯ
ทางออก คือ กระชากค่าแรงขึ้นอีกรอบ โดยคุมราคาสินค้าให้นิ่งก่อน(ไม่งั้นสินค้าขยับราคาตาม มาตราการก็ล้มเหลว)
แต่...การกระชากค่าแรงขึ้นรอบนี้ จะเป็นการทำลาย SME ทั้งระบบโดยสิ้นเชิงครับ กำไรก็น้อยอยู่แล้ว ภาษี...รัฐไม่ช่วย (เนื่องจากกำไรน้อย...แต่ช่วยลด 10% ให้รายใหญ่ที่กำไรมากอยู่แล้ว ตลกเนอะ) เจอค่าแรงช่วยชาติเที่ยวนี้... จะเหลือแต่รายใหญ่สุดในอุตสาหกรรมนั้นๆครับ
จากนั้นรายใหญ่จะค่อยๆผสมพันธุ์กันครับ กลายเป็น "แชโบล" (Chaebol) เหมือนเกาหลี่ใต้ ไม่มี SME ในอุตสาหกรรมหลักครับ กลายเป็นลูกจ้างแชโบลทั้งหมด จากนั้นแผนพัฒนาประเทศจะถูกกำหนดโดยกลุ่มทุนพวกนี้ เป็นผู้กำหนดตัวผู้นำประเทศ มองผู้บริโภค (ซึ่งกลายมาเป็นลูกจ้างแล้ว) เป็นเพียงแรงงานที่ไม่มีปากเสียง โอกาสขยับทางชนชั้นกลายเป็น 0 ครับ
"แชโบล" ในเกาหลีใต้นั้น ประมาณ 10 กลุ่มบริษัท กินแชร์ถึง 90% ของ GDP ของประเทศนะครับ คิดดูแล้วกันว่าเจ้าของบริษัทแต่ละกลุ่มเค้าจะรวย มีอิทธิพลขนาดไหน (เจ้าของซัมซุง โดนคดีหนีภาษี ...ศาลตัดสินว่าผิดจริง แต่ มีคุณกับประเทศมากมาย เราไม่สามารถ "ขัง" เค้าได้ สุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น)
...เจ็บนะครับ พยายามล้มอำมาตย์กัน เพื่อไปเป็นทาสนายทุนอย่างภาคภูมิ
**************************
“ทนายสุวัตร” ลงบันทึกประจำวันที่ สน.พหลโยธิน เผยถูกวางแผนฆ่าโดยใช้รถบรรทุกทรายหวังอัดก๊อบปี้ เพราะรับทำ 2 คดีสำคัญ ทั้งคดีอุ้มฆ่า “เอกยุทธ” และคดีฟ้องหย่าสิมสมรสทายาทโอสถสภา
วันนี้ (19 ส.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 14.10 น. ที่ สน.พหลโยธิน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ อดีตทนายความนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจที่ถูกอุ้มฆ่าเสียชีวิต พร้อมด้วย น.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความประจำสำนักงานอรุณอัมรินทร์ ตั้งอยู่เลขที่ 109 /12 ซ.ลาดพร้าว 23 เขตจตุจักร กทม. ได้เดินทางมาเพื่อลงบันทึกประจำวัน โดยระบุผู้แจ้งทั้งสองเป็นทนายสำนักงานกฎหมายอรุณอัมรินทร์ จำกัด และมีคดีสำคัญ 2 คดี 1. คดีนายเอกยุทธ ที่ถูกอุ้มฆ่า เนื่องจากคดีนี้เกี่ยวกับบุคคลทางการเมืองและมีอำนาจอยู่ในรัฐบาลนี้ 2. เป็นคดีฟ้องหย่าสินสมรสระหว่างนางเสานีย์ โอสถานุเคราะห์ กับนายชินเวศ สารสาส ทุนทรัพย์ 800 ล้านบาท
โดยเมื่อต้นเดือน ส.ค. 56 ผู้แจ้งทั้งสองได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่ที่เคารพว่าจะมีการวางแผนฆ่าผู้แจ้งทั้งสอง โดยใช้รถบรรทุกทราย 2 คันวิ่งประกบหน้าและหลังเพื่ออัดก๊อบปี้ โดยมุ่งหมายเพื่อเอาชีวิต นอกจากนี้ยังมีการส่งข้อความเข้ามาทางโทรศัพท์มือถือของผู้แจ้งว่า “งานนี้ตายแน่” โดยมี ร.ต.ท.ศรสุพรรณ อดทนศรีอนันต์ พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เป็นผู้รับแจ้งไว้
...อันตรายนะครับ....ชี้โพรงให้กระรอก...
..มีผู้จะป้ายร้ายป้ายสีให้รัฐบาล...อยู่แล้ว
..ระวังจะกลายเป็นเหยื่อ.....เพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล
"ใช้รถบรรทุกทราย 2 คันวิ่งประกบหน้าและหลังเพื่ออัดก๊อบปี้ โดยมุ่งหมายเพื่อเอาชีวิต"
คนขับคันหน้าคงไม่เป็นไร แต่คนขับคันหลังนี่สิ ถึงกับต้องยอมพลีชีพเลยนะ ถ้าจะเอาถึงตาย ใครจะเชื่อพี่ครับ...
ไม่เห็นต้องสิ้นเปลืองรถบรรทุกทราย ใช้ท่าพิเศษก็ตายถมเถ
โชคดีที่เป็นรถทราย ถ้าเป็นรถส้วม.... เหม็นแน่งานนี้ บึ๋ยยยยยยย!!!.......
******************************
ขอเบอร์โทรเหรอ?...
....ไม่มีทาง อย่าหวัง จ้างไม่บอก
อย่ามาหลอก เเกล้งถาม ตามเสาะหา
สาวอื่นอาจ ของ่าย ได้เบอร์มา
เทพบุตร จากฟากฟ้า ชะล่าใจ
....หญิงคนนี้ รู้ทางหมด อดสูนัก
พ่อนักรัก ฟอร์มต่ำ ทำหน้าใส
สมน้ำหน้า เด๋อด๋าซึม ขรึมต่อไป
ช่วยไม่ได้ เจ้าชู้ยักษ์ มักเสียฟอร์ม....
*******************************
ตอเเหลเเลนด์..
********************************************
********************************************
ทำไมประเทศไทยไม่เจริญรุ่งเรืองเป็นประเทศที่เจริญแล้วสุดๆเหมือนญี่ปุ่น ในฐานะผู้ชนะสงคราม
19 สิงหาคม พ.ศ 2488 (ค.ศ 1945) สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
19 สิงหาคม พ.ศ 2503 (ค.ศ 1960) สหรัฐอเมริกาประกาศว่า การประกาศสงครามของไทยเป็นโมฆะ เพราะขัดเจตจำนงของประชาชน
ไหงงั้น...ในฐานะเป็นฝ่ายสหรัฐอเมริกา อัดญี่ปุ่นทรงอิทธิพลสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนแพ้ยับ ประเทศพังพินาศ โดยพิษสงระเบิดปรมาณู การฟื้นฟูบูรณะประเทศไม่ใช่ทำกันง่ายๆ////////////
ไทยประกาศศักดาว่าเป็นผู้ชนะสงครามร่วมกับเมกา จนถึงปัจจุบันทุกวันนี้ ดูเอาเหอะ ญี่ปุ่นแพ้สงครามเจริญสุดๆทุกด้าน เป็นประเทศ1 ในมหาอำนาจของโลก ส่วนไทย.....เป็นเพราะเหตุใด ใครทำให้เป็นเยี่ยงนี้
********************************************
เทพเจ้าโชคลาภ ในวัน สารทจีน
วันที่: Fri Nov 15 16:25:18 ICT 2024
|
|
|
แต่ที่ไทยไม่เจริญก็เพราะการเมืองไม่พัฒนา...ประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลาน
นักการเมือง ข้าราชการ ผู้บริหารประเทศ ที่ผ่านมาคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง
มีความเหลื่อมล้ำในสังคม มีความขัดแย้งทางแนวความคิด มีคอรัปชั่้นทุกระดับทุกวงการ
เยาวชนถูกมอมเมายั่วยุ ขาดความมุ่งมั่นไฝ่ดี ผู้ใหญ่ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี ขาดวินัยและการเสียสละเพื่อส่วนรวม
เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นแล้วก็ต้องล้าหลังเค้าไป
อีกอย่างคำขวัญประเทศ กรอกหูประชาชนสมัยก่อนว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ไม่อดตาย
ทำให้ประขาชนเลยขี้เกียจคิด ขี้เกียจทำกิน เพราะแม้ไม่ทำ ปลาก็มีอยู่ในน้ำ ข้าวก็มีอยู่ในนา หาเก็บหากินได้สบาย มันขาดแรงกระตุ้นจูงใจให้ขยันหมั่นเพียร
ผิดกับญี่ปุ่น ไม่เคยได้รับคำขวัญแบบนี้กรอกหู และยิ่งแพ้สงครามด้วย จะมาหวังพึ่งปลาในน้ำ ข้าวในนาอย่างเดียวไม่ได้ เพราะต้องเสียค่าปรับสงครามให้เมกา คนญี่ปุ่นเลยต้องทำงานหนัก หนักๆๆๆๆๆ จนหมดเงินส่งค่าปรับ... เมกาไม่รู้จะหาอะไรมาเป็นค่าปรับ ก็เลยมาจ้างคนญี่ปุ่นเป็นแรงงานทำรถยนต์ สร้างโรงงานรถยนต์ให้ แล้วก็สอนคนญี่ปุ่นให้ทำรถยนต์เพื่อได้ค่าแรง และรายได้จากการทำรถยนต์มาเป็นค่าปรับ สุดท้ายญี่ปุ่นก็เลยได้เป็นเจ้าโลกแห่งรถยนต์มาจนวันนี้
น่าสังเกตุว่า
ญี่ปุ่นรับเอารัฐธรรมนูญ ที่ จอมพล แมคอาร์เธอร์ ผู้ยึดครอง เขียนไว้ให้
ใช้บริหารประเทศมาจนบัดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า การร่างให่ จะก่อให้เกิดความยุ่งยากเดือดร้อน
จึงมีแต่การ แก้ไขปรับปรุงบทที่เป็นอุปสรรค ในการบริหาร ประเทศเท่านั้น
แต่ ไทยเรา ฉีกทิ้ง ๆ ๆ ยกร่างฉะบับใหม่ขึ้นมาใช้กันทุกครั้ง ทุกทีที่ฝ่ายตนมีอำนาจ
(ไม่ว่าอำนาจนั้นจะมีมา ด้วยบืน ด้วยเงิน หรือด้วยเสียงข้างมาก)
มือน้อยๆ (ชาวอิยิปต์)กำก้อนหิน ขว้างไป เพื่อขอแลกกับประชาธิปไตย จากทหาร