น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์
กับ 12 เรื่องไม่ลับที่อยากให้รู้
.
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Instagram ratchanokintanon
ใครไม่รู้จัก "น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์" ตอนนี้ ถือว่าตกกระแสสุด ๆ เพราะสาวน้อยยอดนักตบลูกขนไก่คนนี้ กำลังถูกวงการแบดมินตันทั่วโลกจับตามอง หลังจากทลายกำแพงเมืองจีนโค่น "หลี เสวี่ยรุ่ย" มือ 1 ของโลกได้สำเร็จในรอบชิงชนะเลิศแบดมินตันชิงแชมป์โลก 2013 บอกได้คำเดียวเลยว่า ความสำเร็จในครั้งนี้มาจากฝีมือและใจที่เกินร้อยของเธอล้วน ๆ แม้ที่ผ่านมา เด็กสาววัย 18 ปีคนนี้ จะผ่านทั้งความผิดหวัง ความเสียใจ ความท้อแท้ ปะปนระคนกันไปมาหลายครั้ง แต่เธอก็ยังสู้ไม่ถอย จนคว้าตำแหน่งแชมป์โลกคนล่าสุดมาครอง
วันนี้ กระปุกดอทคอม ขอหยิบเรื่องราวส่วนตั๊ว ส่วนตัว ที่น่าสนใจของสาวน้อยมหัศจรรย์แห่งวงการลูกขนไก่ มาชวนให้ชาวไทยรู้จักและรักเธอให้มากขึ้น
1. เป็นลูกหลานชาวอีสาน
แม้น้องเมย์จะพักอาศัยอยู่ในย่านพุทธมณฑลสาย 3 แต่จริง ๆ แล้ว น้องเมย์เป็นคนร้อยเอ็ดโดยกำเนิด โดยเกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 เป็นลูกสาวคนโตของคุณพ่อวินัสชัย อินทนนท์ ชาวยโสธร และคุณแม่คำผัน สุวรรณศาลา ชาวร้อยเอ็ด นอกจากนี้ น้องเมย์ยังมีน้องชายอีก 1 คน ชื่อ ด.ช.รัชพล อินทนนท์
2. เคารพนับถือคุณแม่ 2 คน
นอกจากคุณแม่คำผัน สุวรรณศาลา แล้ว น้องเมย์ ยังเคารพนับถือ "แม่ปุก" หรือ นางกมลา ทองกร เจ้าของโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด เป็นคุณแม่บุญธรรมอีกด้วย เพราะคุณแม่บุญธรรมคนนี้เห็นน้องเมย์มาตั้งแต่ยังอยู่ในท้องของคุณแม่คำผัน และเมื่อลืมตาดูโลกแล้ว ก็ยังคอยดูแลน้องเมย์ไม่ต่างจากแม่แท้ ๆ เลย แถมยังสนับสนุนให้น้องเมย์เล่นแบดมินตันจนมีชื่อเสียงมาถึงทุกวันนี้
3. เส้นทางสู่กีฬาแบดมินตัน
พ่อแม่ของน้องเมย์เป็นคนงานทำขนมไทยอยู่ที่บ้านทองหยอด ดังนั้น ชีวิตในวัยเด็กของน้องเมย์จึงอยู่ที่บ้านทองหยอดเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อแม่ปุกเห็นว่าน้องเมย์อาจจะซุกซนเผลอไปเล่นกับน้ำตาลทรายร้อน ๆ ที่ใช้ทำขนมจนถูกลวก จึงตัดสินใจจับน้องเมย์มาหัดเล่นแบดมินตันตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เพื่อจะได้ไม่ไปวิ่งซน โดยเริ่มจากฝึกปาลูกขนไก่เข้ากำแพงเป็นเดือน ๆ เพื่อจัดท่าทางการวางแขนตีลูกให้สวยงาม ก่อนจะได้จับไม้แบดมินตันจริง ๆ และเมื่อมีโอกาสได้เล่นแบดมินตัน น้องเมย์ก็ฝึกซ้อมมาเรื่อย ๆ ซึ่งเธอก็รู้สึกสนุกกับกีฬาชนิดนี้
4. แชมป์แรกในการแข่งขันแบดมินตัน
เมื่ออายุ 7 ขวบ น้องเมย์ได้มีโอกาสลงแข่งขันแบดมินตันเป็นครั้งแรก และก็สามารถคว้าแชมป์หญิงเดี่ยว ในรุ่นอายุไม่เกิน 9 ปี จากรายการ "อุดรธานี โอเพ่น" มาได้สำเร็จ ก่อนจะคว้าแชมป์รายการอื่น ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเภทหญิงเดี่ยว และหญิงคู่
5. แชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยซ้อน
ในปี 2552 น้องเมย์ รัชนก ได้ลงแข่งขันแบดมินตัน บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์จูเนียร์ แชมเปี้ยนส์ชิพส์ และสามารถคว้าแชมป์เยาวชนโลกมาได้สำเร็จ โดยครั้งนั้น น้องเมย์มีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น ถือเป็นแชมป์เยาวชนโลกที่อายุน้อยที่สุด จากนั้น ในปี 2553 และ 2554 น้องเมย์ ก็ยังสามารถป้องกันแชมป์เยาวชนโลกของตัวเองไว้ได้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแบดมินตันคนแรกที่ครองแชมป์เยาวชนโลกได้ 3 ปีซ้อน ด้วยอายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น ผลงานอันยอดเยี่ยมนี่เอง ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะที่วงการแบดมินตันทั่วโลกก็เริ่มจับตามองสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้จากประเทศไทย
6. เอกลักษณ์การไหว้
หากใครเคยติดตามชมการแข่งขันของน้องเมย์ จะสังเกตเห็นว่า สาวน้อยคนนี้แสดงสัมมาคารวะด้วยการไหว้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะไหว้กรรมการ โค้ช คู่ต่อสู้ หรือแม้แต่เวลาที่เธอขอเปลี่ยนลูกขนไก่ เธอจะไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ในสนามที่ส่งลูกขนไก่ให้เธอทุกครั้ง รวมทั้งแม่บ้านในสนาม พนักงานทำความสะอาดคอร์ต น้องเมย์ก็จะยกมือไหว้เสมอ ๆ และเมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน ไม่ว่าผลจะออกมาแพ้หรือชนะ น้องเมย์ยังไม่ลืมจะยกมือไหว้ขอบคุณผู้ชมในสนามทั้ง 4 ทิศ จนได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวในความอ่อนน้อมถ่อมตนของเธอ ซึ่งเรื่องนี้ ยังทำให้สมาคมแบดมินตันของอินเดียส่งหนังสือแสดงความยกย่องเอกลักษณ์ดังกล่าวมายังสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยด้วย
7. แชมป์โลกคนแรกของประเทศไทย
เจ้าตัวเองก็คงไม่คาดคิดว่า ในการแข่งขันบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนส์ชิพส์ 2013 หรือ แบดมินตันชิงแชมป์โลก 2013 ในรอบชิงชนะเลิศ เธอจะสามารถล้มมือ 1 ของโลก อย่าง "หลี เสวี่ยรุ่ย" คว้าแชมป์โลกมาฝากชาวไทยได้ เพราะก่อนการแข่งขัน น้องเมย์ให้สัมภาษณ์เองว่า ไม่ได้คิดว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่ก็จะเล่นให้ดีที่สุด และจะไม่กดดันตัวเอง หากวันนั้นเป็นวันของใครคนนั้นก็คงจะได้แชมป์ ซึ่งความไม่กดดันตัวเองนี่เองที่ทำให้น้องเมย์ประสบผลสำเร็จ เพราะวันนั้นเป็นวันของน้องเมย์อย่างแท้จริง
และการที่ น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ สามารถคว้าแชมป์โลกมาได้ ก็ทำให้เพลงชาติไทยดังกึกก้องเมืองกว่างโจว ประเทศจีน ขณะเดียวกัน เธอยังสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ในฐานะคนไทยคนแรกที่คว้าแชมป์โลก และยังเป็นนักแบดมินตันที่อายุน้อยที่สุด (วัยเพียง 18 ปี) ที่สามารถคว้าแชมป์โลกไปครองได้ด้วย
8. จอมสร้างสถิติโลก
บนถนนสายแบดมินตันกว่า 13 ปี น้องเมย์ รัชนก กวาดแชมป์มาแล้วมากมาย ทั้งในระดับเยาวชน ระดับทีมชาติ รวมทั้งแชมป์โลกที่เพิ่งได้รับมาล่าสุด ซึ่งที่ผ่านมา น้องเมย์ ก็ได้จารึกสถิติใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในวงการแบดมินตันโลกมาแล้วมากมาย ที่เป็นผลงานเด่น ๆ ก็อย่างเช่น
- แชมป์เยาวชนโลกที่อายุน้อยที่สุด จากการคว้าแชมป์ในปี พ.ศ. 2552 ด้วยวัยเพียง 14 ปี
- แชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยซ้อนคนแรก (ปี 2552-2554)
- เป็นนักแบดมินตันที่อายุน้อยที่สุดที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก เมื่อปี พ.ศ. 2556
- แชมป์โลกแบดมินตันคนแรกของประเทศไทย จากการคว้าแชมป์ในปี พ.ศ. 2556
- แชมป์โลกแบดมินตันที่มีอายุน้อยที่สุด จากการคว้าแชมป์ในปี พ.ศ. 2556
9. การฝึกซ้อมอันเข้มงวด
ตั้งแต่เล็ก ๆ น้องเมย์ ต้องฝึกซ้อมตีแบดมินตันนานหลายชั่วโมง ตื่นเช้าขึ้นมาซ้อมตอนตี 5 ครึ่ง ถึง 7 โมงเช้าค่อยไปเรียนหนังสือ เมื่อเลิกเรียนก็กลับมาซ้อมอีกจนถึงหนึ่งทุ่ม ตารางการฝึกซ้อมก็จะเป็นไปในลักษณะนี้ จนกระทั่งปัจจุบัน โค้ชที่รับหน้าที่ดูแลการฝึกซ้อมของน้องเมย์เป็นชาวจีนชื่อ เซี่ยะจือหัว เขาจัดตารางเวลาให้น้องเมย์ฝึกซ้อมแบดมินตันอย่างหนัก โดยทุกวันนี้ น้องเมย์ต้องซ้อมแบดมินตันวันละ 3 รอบ คือ ช่วงเช้า 08.00-10.00 น. ช่วงบ่าย 15.00-17.00 น. และช่วงค่ำ 19.00-21.00 น. ควบคู่ไปกับการเรียน ซึ่งปัจจุบัน น้องเมย์ กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
10. กำลังใจคนสำคัญ
ถ้าได้ติดตามอินสตาแกรมของน้องเมย์ รัชนก ก็คงจะเห็นสาวเท่อย่าง จูน รังสิยา นิสัยสม นักเทควันโดทีมชาติไทย เจ้าของแชมป์โลก ปี 2011 อัพภาพและเขียนข้อความส่งกำลังใจให้น้องเมย์เสมอ ๆ ในทุกครั้งที่น้องเมย์จะลงแข่งขัน แถมยังโพสต์ข้อความหวาน ๆ โต้ตอบกันด้วย แหม...ได้แรงเชียร์จากแชมป์โลกต่างเวทีแบบนี้ มิน่าล่ะ น้องเมย์ ถึงมีกำลังใจล้นหลามเลยทีเดียว
11. แมตช์ที่ไม่เคยลืม
กว่าจะผ่านมาถึงชัยชนะในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า น้องเมย์ รัชนก เคยพบกับความพ่ายแพ้มาหลายครั้ง แต่แมตช์ที่น้องเมย์บอกว่าเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับเธอก็คือ แมตช์ที่เจอกับ หวังซิน นักตบลูกขนไก่จากแดนมังกร ในการแข่งขันโอลิมปิกที่ลอนดอน ปี 2012 รอบ 8 คนสุดท้าย ซึ่งครั้งนั้น น้องเมย์ทำคะแนนทิ้งห่าง หวังซิน ไปไม่น้อย แต่กลับเสียสมาธิจนหวังซินพลิกกลับมาชนะได้ 1-2 เซต เธอบอกว่า การแข่งขันในวันนั้นเป็นประสบการณ์ล้ำค่ามาก เพราะแม้จะไม่ได้แชมป์ แต่ก็ทำให้เธอรู้ว่า จุดอ่อนของเธอคือสภาพจิตใจ หากสภาพจิตใจไม่ดีก็มีโอกาสแพ้สูง
12. เป้าหมายสูงสุดที่วางไว้
แน่นอนว่าในชีวิตของนักแบดมินตันมืออาชีพย่อมต้องหวังจะขึ้นเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกให้ได้ และเส้นทางมือ 1 ของโลกของน้องเมย์ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว อีกความหวังหนึ่งก็คือ การคว้าเหรียญทองโอลิมปิก ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดที่นักกีฬาทุกคนอยากครอบครอง แต่ก่อนจะถึงเป้าหมายนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ น้องเมย์ หวังจะได้ดวลฝีมือกับ หวังอี้หาน นักแบดมินตันอดีตแชมป์โลกชาวจีนอีกสักครั้ง เพราะเป็นคู่ต่อสู้จากแดนมังกรที่เธอยังไม่เคยเอาชนะได้เลย จึงหวังจะแก้มือเพื่อทลายปมในใจได้จงได้
ได้รู้จักตัวตนและความคิดของ น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ มากขึ้นแล้ว เชื่อเลยว่าสาวน้อยผู้มุ่งมั่นคนนี้จะก้าวขึ้นเป็นซุป'ตาร์คนใหม่ของวงการแบดมินตันโลกได้ในอนาคตอย่างแน่นอน
************************************************
เกาะติดประเด็นร้อน “หลังการโค่นล้มโมฮัมเหม็ด มอร์ซีแห่งอียิปต์
และรัฐบาลเฉพาะกาลของอัดลี มานซูร์”
สื่อรัฐบาลอียิปต์รายงานว่า รัฐบาลอียิปต์ประกาศภาวะเคอร์ฟิวในระหว่างเวลา 19.00-06.00 น. ใน 11 จังหวัดของอียิปต์ ซึ่งรวมถึงกรุงไคโร กิซา อเล็กซานเดรีย และสุเอซ นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 16.00 น.ของวันที่ 14 ส.ค.เป็นต้นไป หลังจากเกิดนองเลือดในการสลายการชุมนุมในกรุงไคโร
โดยรายละเอียดของการประกาศเคอร์ฟิว อาทิ ทางการจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิด-ปิด สถานที่สาธารณะหรือไม่ รวมถึงอำนาจในการสั่งอพยพและควบคุมการเคลื่อนย้ายในพื้นที่เฉพาะ การให้อำนาจแก่ทหารในการช่วยเหลือตำรวจ เพื่อดำเนินการมาตรการที่เหมาะสมในการรักษาความมั่นคง และการจำกัดเสรีภาพของบุคคล การเคลื่อนไหว การจราจร ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งและในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
จากเหตุนองเลือดครั้งนี้ ทำให้รองนายกรัฐมนตรีโมฮัมเหม็ด เอล บาราดาย เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2005 ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว โดยเขากล่าวในแถลงการณ์ว่า ไม่ต้องการแบกรับความรับผิดชอบต่อการนองเลือดที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้านกระทรวงสาธารณสุขอียิปต์ประกาศยอดผู้เสียชีวิตที่ 149 คน และบาดเจ็บ 1,400 คน ขณะที่กลุ่มภราดรภาพมุสลิมอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 2,000 คน
เหตุนองเลือดในกรุงไคโรของอียิปต์ทำให้ช่างภาพของสถานีโทรทัศน์สกายนิวส์ของอังกฤษถูกยิงเสียชีวิตขณะที่การบุกสลายค่ายผู้ชุมนุมสองแห่งในกรุงไคโรของกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ดมอร์ซีทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
รายงานข่าวระบุว่า นายมิค ดีน วัย 61 ปี ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการบุกทำลายค่ายผู้ชุมนุมที่มัสยิดราบา อัล-อาดาวิยา ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ชุมนุมปักหลักประท้วงมานานกว่า 6 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี ไม่มีรายงานว่าทีมงานคนอื่นของสถานีได้รับอันตราย ทั้งนี้ นายดีนทำงานให้กับสกายนิวส์มานานกว่า 15 ปี โดยประจำที่กรุงวอชิงตัน และนครเยรูซาเลม
นอกจากนั้นยังมีรายงานว่ามีผู้สื่อข่าวเสียชีวิตอีกหนึ่งราย ต่อมาทราบชื่อว่านายฮาบิบา อาห์เหม็ด เอลาซิส วัย 26 ปี จากหนังสือพิมพ์เอ็กซ์เพรสของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งไม่ได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ แต่อยู่ระหว่างการพักร้อนเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดในกรุงไคโร
เจ้าหน้าที่เผยว่า ได้เข้ารื้อค่ายที่พักของผู้ชุมนุมที่บริเวณจัตุรัสนาห์ดา ใกล้มหาวิทยาลัยไคโรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้านกระทรวงมหาดไทยเผยว่ากำลังเก็บกวาดและเข้าเคลียร์พื้นที่ดังกล่าวแล้ว ขณะที่ยังคงได้ยินเสียงปืนดังเป็นระยะๆ โดยยังคงมีรถถังเดินทางเข้ากรุงไคโรอย่างต่อเนื่อง และปรากฎกลุ่มควันสีดำในหลายจุด
อย่างไรก็ดี ยังคงไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการกวาดล้าง 2 จุดครั้งนี้มีจำนวนเท่าใดกันแน่ เนื่องจากแหล่งที่มาของข้อมูลการรายงานไม่ตรงกัน โดยผู้สื่อข่าวต่างชาติหลายคนกล่าวว่า เห็นศพผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 คน ที่ห้องเก็บศพชั่วคราวที่มัสยิด ราบา อัล-อาดาวิยา ขณะที่เว็บไซต์ Ikhwanonline ของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 800 คน ส่วนกระทรวงสาธารณสุขยืนยันตัวเลขที่ 56 คน
ขณะที่กระทรวงมหาดไทยปฏิเสธว่าไม่มีผู้เสียชีวิตจากการใช้กระสุนจริงของเจ้าหน้าที่ทางการสลายการชุมนุมโดยใช้เพียงแก๊สน้ำตาเท่านั้นและการยิงโต้ตอบเกิดขึ้นภายในค่ายผู้ประท้วงระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง
ด้านโฆษกรัฐบาลกล่าวชมเชยการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการรื้อค่ายที่พักของผู้ประท้วงและระบุว่ามีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่งโดยรัฐบาลจะตัดสินใจเผชิญหน้ากับผู้ประท้วงที่ต้องการโจมตีอาคารที่ทำการรัฐบาลและสถานีตำรวจ
นอกจากนั้นยังมีรายงานเหตุปะทะในจังหวัดอื่นๆของอียิปต์อาทิสุเอซอเล็กซานเดรียเบไฮราอัสซุต อัสวานและเมนยา
กระทรวมหาดไทยอียิปต์ เปิดเผยว่า ยังคงดำเนินปฏิบัติการกวาดล้างผู้ชุมนุมต่อไป สถานีโทรทัศน์ไนล์ ทีวีรายงานว่า กลุ่มนักเรียกร้องที่สนับสนุนนายมอร์ซี ถูกต้อนให้ไปรวมตัวกันที่สวนสัตว์และมหาวิทยาลัยไคโร ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศว่ากองกำลังรักษาความมั่นคงกำลังใช้มาตรการเท่าที่จำเป็นในการสลายค่ายผู้ประท้วงพร้อมประกาศจัดหาหนทางที่ปลอดภัยให้ผู้ที่ต้องการยุติการประท้วงออกจากพื้นที่ด้วยความปลอดภัยยกเว้นแต่ผู้ที่ยังขัดขืนคำสั่งแต่ไม่ต้องการให้มีการเสียเลือดเนื้อ
14 สิงหาคม 2013
ชาญชัย คุ้มปัญญา
สรุปสถานการณ์: (อัพเดท 14 ส.ค. 17.10 น.)
ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว หลังจากที่พลเอกอับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ผู้บัญชาทางสูงสุดอียิปต์ประกาศให้ประชาชนอียิปต์ทั่วประเทศพร้อมใจกันชุมนุมเพื่อแสดงพลังสนับสนุน จากนั้นไม่กี่วันคณะรัฐมนตรีรัฐบาลเฉพาะกาลอียิปต์มีคำสั่งอนุมัติให้ทหารตำรวจทำการสลายการชุมนุมของกลุ่มสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมอร์ซีที่ยังชุมนุมอยู่ แต่ไม่มีกำหนดว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเมื่อไร มีความพยายามเจรจาเพื่อให้การชุมนุมยุติ แต่ฝ่ายสนับสนุนนายมอร์ซีจำนวนหนึ่งยังปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ นำมาสู่การสลายการชุมนุมในวันนี้
คืบหน้าล่าสุด: (อัพเดท 15 ส.ค. 13.00 น.)
สื่อ CBS รายงานว่าอ้างสื่ออียิปต์ว่า ทหารตำรวจอียิปต์ ร่วมกับรถหุ้มเกราะ รถตักดินเคลื่อนเข้าไปเคลียร์พื้นที่การชุมนุมสองจุดใหญ่ของฝ่ายสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมอร์ซี มีการใช้แก๊สน้ำตา และมีเสียงปืนดังเป็นระยะจากทั้งสองฝ่าย (ทหารตำรวจกับผู้ชุมนุม)
การสลายการชุมนุมเริ่มต้นเมื่อวันนี้ (14 ส.ค.) เวลา 7.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 14.00 น.ตามเวลาประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวของ CBS กล่าวเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจได้ปิดกันถนนทุกเส้นที่มุ่งสู่เขตพื้นที่ชุมนุม เห็นกลุ่มควันไฟก้อนใหญ่จากจุดที่ชุมนุม และเห็นการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับฝ่ายผู้สนับสนุนนายมอร์ซี
CBS รายงานว่า นาย Ibrahim absolved รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ควบคุมสั่งการ และใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก
Al Jazeera รายงานว่า ณ เวลาล่าสุดได้รับแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 40 ราย ในขณะที่กลุ่มภราดรภาพมุสลิมอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 300 ราย บาดเจ็บว่า 5 พันคน พร้อมกับเรียกร้องให้ประชาชนผู้สนับสนุนนายมอร์ซีทั่วประเทศออกจากบ้านมาชุมนุมประท้วงทันที เพื่อ “หยุดการสังหารหมู่”
Ahram Online รายงานว่ามีประชาชนอียิปต์ออกจากบ้านมาชุมนุมตามท้องถนนในหลายจุดทั่วประเทศ หลังเหตุเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมเมื่อเช้านี้ เช่น มีผู้ชุมนุมหลายร้อยคนออกมาชุมนุมปิดกั้นถนนสายหลักของเมือง Upper Egypt's Assiut กับที่เมือง Alexandria
Ashraf Abdel Ghaffar ผู้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งและเป็นพวกภราดรภาพมุสลิมเล่าเหตุการณ์สลายการชุมนุมในมหาวิทยาลัยไคโรว่า “พวกเขา (เจ้าหน้าที่) เข้ามาจากประตูทั้งสามพร้อมด้วยรถถังและเฮลิคอปเตอร์ และเริ่มต้นยิงแก๊สน้ำตา” มีคนห้าคนถูกยิงต่อหน้าต่อตาเขา
ทางการอียิปต์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (state of emergency) เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ห้ามประชาชนออกจากเคหะสถานตั้งแต่เวลา 19.00 น.ถึง 6.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจับกุม จำกัดการเดินทางของประชาชน ตรวจสอบควบคุมสื่อต่างๆ เจ้าหน้าที่ทหารจะร่วมปฏิบัติการรักษาความสงบ ประธานาธิบดีอัดลี มานซูร์ให้เหตุผลว่า “ความมั่นคงกับความสงบเรียบร้อยของชาติตกอยู่ในอันตรายจากการบ่อนทำลายที่มีการวางแผนอย่างดี การโจมตีสถานที่ราชการกับเอกชน และการสูญเสียชีวิตด้วยกลุ่มหัวรุนแรง” (extremist groups)
นายฮาเซ็ม อัล-เบบลาวี รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องสลายการชุมนุมก็เพื่อคืนความสงบเรียบร้อยแก่ประเทศ
จำนวนตัวเลขผู้บาดเจ็บเสียชีวิตยังไม่นิ่ง ล่าสุดทางการประกาศจำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตทั่วประเทศ 278 ราย ในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 43 ราย ในขณะที่กลุ่มภราดรภาพมุสลิมอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 2 พันคน แกนนำหลายคนถูกจับกุม ณ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมเวทีชุมนุมทุกแห่งเรียบร้อยแล้ว
นอกจากที่กรุงไคโร ยังมีการปะทะอีกหลายจุดทั่วประเทศ เช่นที่จังหวัด Fayoum มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 ราย จังหวัด Suez มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย พื้นที่ตอนเหนือของจังหวัด Alexandria กับ Beheira และตอนกลางของจังหวัด Assiut กับ Menya
นายโมฮัมเหม็ด เอลบาราเด รักษาการรองประธานาธิบดีอียิปต์ ประกาศลาออกจากรัฐบาลเฉพาะกาลเนื่องจากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่เห็นด้วยการกับสลายการชุมนุม เกรงผลที่ตามมา โดยเฉพาะหากมีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต ก่อนหน้านี้ นายเอลบาราเดเป็นหนึ่งในตัวเก็งที่จะได้เป็นรักษาการประธานาธิบดี
วิเคราะห์: (อัพเดท 15 ส.ค. 13.00 น.)
นับจากการยึดอำนาจอดีตประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ฝ่ายผู้สนับสนุนประธานาธิบดีมอร์ซีใช้ยุทธศาสตร์ปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ ไม่ยอมเจรจาสมานฉันท์ ยึดมั่นคืนตำแหน่งผู้นำประเทศแก่นายมอร์ซี และหลังจากปักหลักชุมนุมยืดเยื้อราว 6 สัปดาห์ ทางการอียิปต์ก็เข้าสลายการชุมนุม
หากดูข้อมูลย้อนหลัง เมื่อวันที่ 27 ก.ค.นาย Ibrahim absolved รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย เคยกล่าวแล้วว่าทางการมีแผนยุติการชุมนุมประท้วงยืดเยื้อของฝ่ายสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมอร์ซี
ตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมามีความพยายามเจรจาให้ฝ่ายมอร์ซียุติการชุมนุมเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ประธานาธิบดีบารัก โอบามาแสดงจุดยืนดังกล่าวอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับคุณแคเทอรีน แอชตัน ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปได้พูดคุยส่วนตัวกับทั้งฝ่ายรัฐบาลเฉพาะกาลกับอดีตนายมอร์ซีเป็นการส่วนตัว มีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศอียิปต์สามารถเดินหน้าต่อไป ทั้งยังพูดเป็นนัยว่าอยากเห็นอียิปต์สามารถจัดการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่
แต่สมาชิกภารดรภาพมุสลิม ผู้สนับสนุนนายมอร์ซีส่วนหนึ่งยังคงปักหลักชุมนุมอย่างต่อเนื่องจนนำสู่การสลายการชุมนุมในวันนี้
คาดว่าสถานที่ชุมนุมคงถูกกวาดล้างได้หมดในวันนี้ คำถามคือกลุ่มผู้สนับสนุนนายมอร์ซีจะยกเลิกการชุมนุมหรือไม่ หรือจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์การชุมนุม เป็นการออกมาชุมนุมประจำวันโดยไม่จัดตั้งเวทีถาวรเหมือนเช่นที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้อาจชุมนุมทุกเย็นวันศุกร์ หรือกลับมาชุมนุมหลังสิ้นสุดประกาศเคอร์ฟิว เหตุการณ์ลักษณะนี้จะซ้ำรอยสมัยเมื่อนายมอร์ซีเป็นฝ่ายรัฐบาล
ประเด็นสำคัญที่สุดอยู่ที่เจรจาต่อรองระหว่างแกนนำกลุ่มภราดรภาพมุสลิมกับฝ่ายรัฐบาลเฉพาะกาล ที่ยังเป็นปริศนา ไม่มีข่าวปรากฏชัดเจนว่าคืบหน้าอย่างไร
ขณะนี้อยู่ในภาวะสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐเข้าควบคุมสื่อเรียบร้อยแล้ว ข่าวสารที่นำเสนอมักเป็นมุมบวกเกินจริง
หนึ่งเดือนครึ่งแล้วที่ทหารยึดอำนาจประธานาธิบดีมอร์ซี แต่เรื่องราวยังไม่จบ ยังมีโอกาสเกิดความรุนแรง ต้องติดตามว่าสถานการณ์คืบหน้าจะเป็นอย่างไร ฝ่ายสนับสนุนนายมอร์ซีจะตอบโต้อย่างไร จากเวทีที่ชุมนุมสังเกตุได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มได้เตรียมตัวป้องกันการสลายการชุมนุม ดังนั้น น่าจะมีแผนสำหรับขั้นต่อไป
****************************************
ตำรวจสวนกลับข่าวมั่ว-รุดสอบ "บอล"
ยันไม่เคยเจอทีมทนายพันธมิตร
***********************************************
ตำรวจได้เริ่มปฏิบัติการสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงแล้วโดยได้ใช้แก๊สน้ำตายิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ปักหลักกันอยู่ภายนอกมัสยิดราบาห์อัล-อดาวิยาและในบริเวณจตุรัสนาห์ดาในกรุงไคโรส่วนที่ด้านนอกมหาวิทยาลัยไคโรเจ้าหน้าที่ได้ใช้ยานยนต์หุ้มเกราะเข้าผลักดันผู้ประท้วงและทำลายแนวกั้นที่ผู้ประท้วงได้สร้างขึ้น
โดยก่อนหน้านี้ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ในเหตุปะทะระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซี และฝ่ายต่อต้านอดีตผู้นำอียิปต์ที่กรุงไคโร เมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมได้เผชิญหน้ากับชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งมีแนวคิดต่อต้านนายมอร์ซีและกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ที่ตะโกนด่าผู้ชุมนุมว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ต่อมาผู้ชุมนุมได้พยายามบุกเข้าไปยังพื้นที่ที่ทำการรัฐบาล ขณะที่ตำรวจปราบจลาจลได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้เดินขบวนซึ่งมีทั้งเด็กและสตรีรวมอยู่ด้วย ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างปาก้อนหินเข้าใส่กัน ทำให้ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างอุตลุด