30 วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้อาจช่วยขยายไอเดียของคุณ ๆ ได้ หากลูกคุณยังไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างใดก็ตามเด็กก็คือเด็ก เป็นผ้าขาวของสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น วิธีต่างๆ เหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลอง และสรุปผลมาแล้วจากนักวิชาการว่าใช้ได้ผลดีมาแล้วทั่วโลก
1.ตามองตา
เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้น ให้เรามองหน้าสบสายตาหนูน้อยสักครู่ หนูน้อยแรกเกิดจดจำใบหน้าของคนได้เป็นสิ่งแรกเสมอ และใบหน้าของพ่อแม่คือใบหน้าแรกที่ลูกอยากจะจดจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หนูน้อยจ้องมองใบหน้าของเรา สมองก็จะบันทึกความทรงจำไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
2.พูดต่อสิลูก
เวลาพูดกับลูก เว้นช่องว่างในช่วงคำง่าย ๆ ที่ลูกจะสามารถพูดต่อได้ เช่น พยางค์สุดท้ายของคำ หรือคำสุดท้ายของประโยค ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจจะเงียบและทำหน้างง แต่ในที่สุดถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในประโยคซ้ำ ๆ ลูกจะค่อย ๆ จับจังหวะ จับคำพูดบางคำได้ และเริ่มพูดต่อในช่วงว่างที่พ่อแม่หยุดไว้ให้
3.ฉลาดเพราะนมแม่
ให้นมแม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลการศึกษาในเด็กวัยเรียนพบว่า เด็กที่กินนมแม่ตอนที่เป็นทารกมักจะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ นอกจากนี้การให้นมลูกยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกน้อย
4. ทำตลกใส่ลูก
แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ 2 วัน ก็มีความสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าอย่างง่าย ๆ ของพ่อแม่ได้ ไม่เชื่อลองแลบลิ้นหรือทำหน้าตาตลก ๆ ใส่ ลูกคุณจะทำตามแน่ ๆ
5.กระจกเงาวิเศษ
ทารกน้อยเกือบทุกคนชอบส่องกระจก เขาจะสนุกที่ได้เห็นเงาของตัวเองในกระจกโบกมือหรือยิ้มแย้มหัวเราะตอบออกมาทุกครั้ง
6.จั๊กจี้ จั๊กจี้
การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านอารมณ์ขัน การเล่นปูไต่ทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการคาดเดาเหตุการณ์ด้วยว่า ถ้าพ่อแม่เล่นอย่างนี้แสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปูจะไต่จากไหนไปถึงไหนเป็นต้น
7.สองภาพที่แตกต่าง
ถือรูปภาพ 2 รูป ที่คล้ายกันให้ลูกมอง โดยวางให้ห่างจากใบหน้าของลูกประมาณ 8-12 นิ้ว เช่น ภาพรูปบ้านที่เหมือนกันทั้งสองรูป แต่อีกรูปหนึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างบ้าน แม้ยังเป็นเด็กทารกแต่เขาสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้ เป็นการสร้างความจำที่จะเป็นพื้นฐานในการจดจำตัวอักษรและการอ่านสำหรับลูกต่อไป
8.ชมวิวด้วยกัน
พาลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และบรรยายสิ่งที่เห็นให้ลูกฟัง เช่น โอ้โหต้นไม้ต้นนี้มีนกเกาะอยู่เต็มเลย ดูสิลูกบนนั้นมีนกด้วย การบรรยายสิ่งแวดล้อมให้ลูกฟังสร้างโอกาสการเรียนรู้คำศัพท์ให้กับลูก
9.เสียงประหลาด
ทำเสียงเป็นสัตว์ประหลาด คุ๊กคู ๆ หรือทำเสียงสูง ๆ เลียนแบบเสียงเวลาที่เด็ก ๆ พูด ทารกน้อยจะพยายามปรับการรับฟังเสียงให้เข้ากับเสียงต่าง ๆ จากพ่อแม่
10.ร้องเพลงแสนหรรษา
สร้างเสียงและจังหวะส่วนตัวระหว่างเราและลูกน้อยขึ้นมา เช่น เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ก็ร้องเพลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อาจจะเป็นกลอนสั้น ๆ แล้วใส่เสียงสูงต่ำแบบการร้องเพลงเข้าไป หรืออีกทางคือเปิดเพลงชนิดต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ้าง เช่น บางวันอาจจะเป็นลูกทุ่ง บางวันเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงป๊อปยอดฮิตทั่วไป มีนักวิจัยค้นพบว่า จังหวะดนตรีเกี่ยวพันกับการเรียนรู้คณิศาสตร์ของลูก
11.มีค่ามากกว่าแค่อาบน้ำ
เวลาในการอาบน้ำสอวนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำ การบรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่ากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไปเท่ากับเป็นการสอนคำศัพท์ และช่วยให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันไปในตัว
12.อุทิศตัวเป็นของเล่น
ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเล่นราคาแพงไว้ให้ลูกบริหารร่างกาย เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่นอนราบลงไปบนพื้น และปล่อยให้หนูพยายามคลานข้ามตัวไป แค่นี้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ก็จะกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ราคาถูกที่สุด และสนุกที่สุดสำหรับหนูน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานสัมพันธ์ และเรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน
13.พาลูกไปช็อปปิ้ง
นาน ๆ ครั้งพาลูกน้อยไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยก็ไม่เสียหาย ใบหน้าผู้คนอันหลากหลาย รวมถึงแสง สี เสียง ในห้างสรรพสินค้า คือ สิ่งบันเทิงใจสำหรับหนูน้อยเชียวล่ะ
14.ให้ลูกมีส่วนร่วม
พยายามให้ลูกได้มีส่วนร่วมในกิจวัตรต่าง ๆ เช่น ถ้ากำลังจะปิดไฟก็อาจจะบอกลูกว่า แม่กำลังจะปิดแล้วนะ เสร็จแล้วจึงกดปิดสวิชต์ไฟ นี่จะเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุและผล ลูกน้อยจะเรียนรู้ว่าเมื่อคุณแม่กดสวิชต์ หลอดไฟจะปิดเป็นต้น
15.เสียงและสัมผัสจากลมหายใจ
ช่วยให้ลูกน้อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการเป่าลมเบา ๆ ไปตาม ใบหน้า มือ แขน หรือท้องของลูก หาจังหวะในการเป่าของตัวเอง เช่น เป่าเร็ว ๆ สลับกับช้า หรือเป่าแล้วตามด้วยเสียงต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคุณพ่อคุณแม่ แล้วรอดูปฏิกริยาตอบสนองจากลูก
16.ทิชชู่หรรษา
ถ้าลูกชอบดึงกระดาษทิชชู่ออกจากม้วน ปล่อยเขาค่ะ อย่าห้าม แต่อาจใช้กระดาษทิชชู่ม้วนที่เราใช้ไปพอสมควรแล้ว จนเหลือกระดาษอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะการที่เด็กน้อยได้ขยำหรือขยี้กระดาษให้ยับย่น หรือพับให้เรียบนั้นเป็นการฝึกประสาทสัมผัสและการใช้มือของลูกเป็นอย่างดี
17.อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
การอ่านหนังสือช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องภาษาได้จริง ๆ มีผลการวิจัยออกมาว่า แม้กระทั่งเด็กอายุ 8 เดือน สามารถเรียนรู้จดจำการเรียงลำดับคำในประโยคที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังซ้ำ 2-3 ครั้งได้ ดังนั้น ควรจัดเวลาในแต่ละวันอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ
18.เล่นซ่อนหาจ๊ะเอ๋
การเล่นจ๊ะเอ๋นี้นอกจากจะทำให้ลูกหัวเราะแล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าเมื่อสิ่งของหายไปแล้วสามารถกลับคืนมาได้อีก
19.สัมผัสที่แตกต่าง
หาสิ่งของที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ไม้ หรือผ้าฝ้าย ค่อย ๆ นำพื้นผิวแต่ละอย่างไปสัมผัสแก้ม เท้า หรือท้องลูกเบา ๆ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็บรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่าความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัสเป็นอย่างไร เช่น นี่จั๊กจี้นะลูก ส่วนอันนี้นุ๊ม นุ่ม ใช่ไหม เป็นต้น
20.ให้ลูกผ่อนคลายและอยู่กับตัวเองบ้าง
ให้เวลาประมาณ 5-10 นาที ในแต่ละวัน นั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ กับลูกน้อยบนพื้นบ้าน ไม่ต้องเปิดเพลง เปิดไฟ หรือเล่นอะไรกัน ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ตามใจชอบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปยุ่งกับลูกเลยและรอดูว่าใช้เวลาสักเท่าไรหนูน้อยจึงจะคลานมาขอเล่นกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง นี่เป็นการฝึกความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกขั้นแรก
21.ทำอัลบั้มรูปครอบครัว
นำรูปภาพของญาติ ๆ มาใส่ไว้ในอัลบั้มเดียวกัน และนำออกมาให้ลูกดูบ่อย ๆ เพื่อให้จดจำชื่อญาติแต่ละคน แล้วเวลาที่คุณปู่ หรือคุณย่าโทรศัพท์มา ก็นำรูปท่านออกมาให้ลูกดูพร้อมกับที่ให้ลูกฟังเสียงของท่านจากโทรศัพท์ไปด้วย
22.มื้ออาหารแสนสนุก
เมื่อถึงเวลาที่ลูกสามารถกินอาหารเสริมที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว อย่าลืมจัดอาหารของลูกให้มีชนิด ขนาดและพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น มีทั้งผลไม้ชิ้นเล็ก เส้นพาสต้า มักกะโรนี หรือซีเรียล ปล่อยให้ลูกน้อยใช้มือจับอาหารถ้าลูกอยากทำ เป็นการฝึกใช้นิ้ว และฝึกใช้ประสาทสัมผัสเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่มีลักษณะแตกต่างกัน
23.เด็กชอบทิ้งของ
บางครั้งดูเหมือนเด็กชอบทิ้งของลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงว่าจะตกลงสู่พื้นทุกครั้งหรือไม่
24.กล่องมายากล
หากล่องหรือตลับที่เหมือนกันมาสักสามอัน แล้วซ่อนของเล่นชิ้นโปรดของลูกไว้ในกล่องใบหนึ่ง สลับกล่องจนลูกจำไม่ได้ แล้วให้ลูกค้นหาของเล่นชิ้นนั้นจนเจอ นี่เป็นเกมฝึกสมองอย่างง่ายสำหรับเด็ก
25.สร้างอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ
กระตุ้นทักษะการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลูก โดยนำเบาะ โซฟา หมอน กล่อง หรือของเล่นวางขวางไว้บนพื้น แล้วพ่อแม่ก็แสดงวิธีคลานข้าม ลอด หรือคลานรอบ ๆ สิ่งกีดขวางเหล่านี้ได้อย่างไร
26.เลียนแบบลูกบ้าง
เด็กชอบให้พ่อแม่ทำอะไรตามเขาในบางครั้ง เช่น เลียนแบบท่าหาวของลูก แกล้งดูดขวดนมของลูก ทำเสียงเลียนแบบเวลาที่ลูกส่งเสียงอ้อแอ้ หรือคลานในแบบที่ลูกคลาน การทำอย่างนี้กระตุ้นให้ลูกแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ออกมา เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพ่อแม่ นี่คือก้าวแรกของลูกสู่การมีความคิดสร้างสรรค์
27.จับใบหน้าที่แปลกไป
ลองทำหน้าตาแปลก ๆ เช่น ขมวดคิ้ว แยกเขี้ยว แลบลิ้นให้ลูกดู เวลาลูกเห็นพ่อแม่ทำหน้าตาตลก หนูน้อยจะอยากลองจับ ปล่อยให้ลูกได้ลองจับต้องใบหน้าของพ่อแม่ แล้วสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เช่น ถ้าลูกจับจมูกจะทำเสียงแบบนี้ ถ้าจับแก้มจะทำเสียงอีกแบบหนึ่ง ทำแบบนี้ 3-4 รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกแปลกใจ
28.วางแผนคลานตามกัน
ลองคลานเล่นไปกับลูกให้ทั่วบ้าน คลานช้าบ้าง เร็วบ้างและหยุดหรือพ่อแม่อาจจะวางของเล่นที่น่าสนใจ หรือจัดบ้านในบางมุมให้แปลกไปก่อนที่จะมาคลานเล่นกับลูกเพื่อไปสำรวจตามจุดต่าง ๆ ที่จัดไว้ตามแผน
29.เส้นทางแห่งความรู้สึก
อุ้มลูกน้อยเดินไปทั่วบ้านในวันฝนตก จับมือลูกไปสัมผัสหน้าต่างที่เย็นชื้น หยดน้ำที่เกาะบนใบไม้ ต้นไม้ หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านที่จับต้องได้อย่างปลอดภัย เป็นการเปิดประสาทสัมผัสของลูกสู่ความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อได้แตะต้องสิ่งของเย็น เปียก หรือความลื่น
30.เล่าเรื่องของลูก
เลือกนิทานเรื่องโปรดของลูก แต่แทนที่จะเล่าอย่างที่เคยเล่า ลองใส่ชื่อของลูกลงไปแทนที่ชื่อตัวละครตัวสำคัญของเรื่อง เพื่อให้หนูน้อยรู้สึกแปลกใจและสนุกสนานไปกับชื่อของตัวเองในนิทาน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร at office issue 55 August 2008 p.30-34
โดย เป๊กกี้
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
Posted by ลูกสาวเมืองเลย ,
คุณสมบัติที่คนรุ่นใหม่ ๆ ควรมี ข่าวเมื่อเช้ามีหนุ่มน้อยนายหนึ่งที่ลอกเลียนแบบพฤติกรรมของโช นักศึกษาที่กราดยิงพื่อนและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย แล้วอ่านข่าว ฟังข่าว เหตุการณ์ดูคล้ายกัน และพฤติกรรมของหนุ่มน้อยผู้นี้ดูคล้ายกันมากกับโช ลองย้อนมองดูว่าพฤติกรรมเหล่านี้ และคล้าย ๆ แบบนี้น่าจะเกิดขึ้นอีก และอาจมองไม่เห็น คงเป็นภัยเงียบที่ค่อยเป็นค่อยไป แล้วระเบิดออกมา
สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์วิเคราะห์จากพฤติกรรมของน้องคนนี้เขาเป็นคนเก็บตัว ครอบครัวไม่อบอุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้อง ๆ ที่มีครอบครัวแตกแยกจะเป็นแบบนี้ทุกคน มีหลายคนที่ประสบความสำเร็จและเป็นคนดีในสังคม แต่ก็คงไม่ยากที่เด็กดี ๆ หลายคนอาจคล้อยตาม หรือลอกเลียนแบบหากขาดคำแนะนำดี ๆ จากผู้ใหญ่ วันนี้มีข้อคิดดี ๆ มาฝากไม่อยากให้เด็กไทยเก็บกด และเก่งอย่างเดียว ไม่มีทักษะทางสังคม ไม่อดทน ไม่รู้จักแยกแยะสิ่งดี สิ่งเลว อ่านแล้วลองนำไปแนะนำหรือว่าปฏิบัติดูน่าจะดี
พัฒนาตนเองด้วย 5 Q
IQ Intelligent Quotient
การมีมันสมองอันชาญฉลาด แต่ระยะหลังมานี้นักวิจัยหลายคนฟันธงว่า ถึงจะ IQ สูงแค่ไหนก็เถอะ ส่วนนี้จะช่วยหนุนให้ประสบผลสำเร็จในชีวิตได้แค่ 20% เท่านั้นเอง แต่ก็ต้องมีไว้ก่อนเป็นดี
EQ Emotional Quotient
มีความฉลาดทางอารมณ์สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้อยู่เหนือความคิดและการกระทำ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และเลือกที่จะแสดงออกอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ แยกแยะสิ่งที่ควรและไม่ควรแสดงออกต่อผู้อื่น
MQ Moral Quotient
มีคุณธรรมจริยธรรมในการดำเนินชีวิต มีความฉลาดและอารมณ์ดี แต่ขาดซึ่งคุณธรรมประจำใจก็ไปไม่รอด และตอนนี้ล่ะ MQ น่าจะถูกส่งเสริมให้มีในสังคมมากขึ้นจะได้ไม่เกิดปัญหาคอร์รัปชั่น และปัญหาสังคมมากมายเหมือนที่เป็นอยู่
AQ Adversity Quotient
มีความสามารถที่จะอดทนต่องานที่หนัก หรือเบา มีความบากบั่น มุ่งมั่น พยายาม ไม่ย่อท้อ ทำงานได้สำเร็จตามกำหนดไม่ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคใด ๆ ก็ตาม ซึ่งปัจจุบันเยาวชนรุ่นใหม่ของเราจะขาด A ตัวนี้มาก เนื่องจากความสะดวกสบายเข้ามาแทนที่ไม่ได้ต่อสู้บากบั่น อดทนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จเหมือนคนรุ่นก่อน ๆ
CQ Complexity Quotient
ความสามารถในการรับมือกับปัญหาหนัก ๆ และยุ่งยากซับซ้อนกว่าเก่า สามารถหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ยุ่ง ๆ ได้สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว คนที่ทำงานจึงมีโอกาสที่จะต้องเจอกับงานที่ยุ่งเหยิงขึ้น บางคนถึงขนาดเจอปัญหาแล้วแก้ไม่ได้ฆ่าตัวตาย อย่างที่เห็นกันอยู่ในสังคม พ่อฆ่าลูกและภรรยาด้วยเหตุเจอปัญหาหนี้สิน อดีตสามีฆ่าอดีตภรรยาและคนรักใหม่ลามไปถึงคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง หนุ่มน้อยวัยยี่สิบก่อเหตุฆ่าคนอื่นตาย โถเยอะจริง ๆ ปัญหาสังคม หากคุณต้องการพัฒนา CQ คือ ยิ่งถ้าได้เจอปัญหาใหม่ ๆ ที่ท้าทายมาก ๆ ถึงแม้คุณจะแก้ปัญหานั้นไม่ได้แต่ก็จะสอนคุณให้มีมุมมองใหม่ สอนให้คุณอ่านใจคน วัฒนธรรม และสังเกตได้ถึงสิ่งต่างแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งจะกลายเป็นวิชาที่คุณจะใช้ต่อกรกับปัญหายุ่งอื่น ๆ ที่จะตามมาในอนาคต นอกจากนี้คุณต้องหัดใช้ศิลปะในการผสมผสานระหว่างความฉลาดกับสัญชาตญาณประกอบกับสัดส่วนที่เหมาะสมของการวิเคราะห์ที่แม่นยำ และวิธีการที่วางมาอย่างดีแค่นี้ CQ ของคุณก็จะพุ่งสูงขึ้นได้ไม่น้อยหน้าใครล่ะค่ะ
เนื้อหาที่นำมาโพสนี้ส่วนหนึ่งลูกสาวเมืองเลยนำมาจากนิตยสารเล่มหนึ่งนานมาแล้ว ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยที่ไม่สามารถจำชื่อนิตยสารได้ แต่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์จึงนำมาโพส และก็เพิ่มเติมเนื้อหาเล็กน้อย
***************************************
ขนม็อบสนามหลวงกลับบ้านแล้ว นี่เป็นการล้มเหลวครั้งที่สองของไอ้ตาโปน คงไร้บารมี
โดย ลูกชาวนาไทย
เมื่อ ศุกร์, 12/07/2013 - 10:35
ในที่สุดม็อบสนามหลวงของนายไชยวัฒน์ สินสุวงษ์ ก็ต้องล้มเลิกและกลับบ้านในที่สุด โดยที่รัฐบาลนายกฯปู ต้องจัดรถส่งกลับบ้านตามจุดต่างๆ ในที่สุด ทั้งๆ ที่ม็อบนี้ชุมนุมมานานเป็นเดือนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเพิ่มจำนวนให้เกิน 500 คนได้
แม้ว่าจะมีการสร้างสีสัน เพื่อเรียกแขกเพิ่มจำนวนคน โดยขนพวกลูกหลานทหารป่าหรือพรรคคอมมิวนิสต์เก่า สายอีสานที่เรียกกันว่า “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.)” โดยช่วยเน็ตได้เพิ่มคำว่า รอ. ต่อท้ายเข้าไปในชื่อย่อ ผรท.รอ. เพราะนับเป็นครั้งแรกของโลกที่คอมมิวนิสต์ร่วมมือกับพวกรอยัลลิสต์ ทั้งๆ ที่โดยอุดมการณ์แท้จริงของคอมมิวนิสต์แล้ว ยากที่จะร่วมมือกับรอยัลลิสต์ ปรากฏการณ์ในไทยจึงเป็นที่ขบขันหัวร่อมิออก ร้องไห้มิได้ ของนักทฤษฎีสายมาร์กซิสต์ทั้งหลาย
ผรท.รอ.เหล่านี้ไม่ใช่ทหารป่าตัวจริง แต่เป็นพวกลูกหลาน มีการตัดชุดใหม่ แต่งตัวเต็มยศ เดินพาเหรดเข้าไปร่วมม็อบของนายไชยวัฒน์ ที่สนามหลวง แต่ก็ไม่สามารถสร้างกระแสได้เท่าใดนัก เพราะประเด็นมันไม่ได้ปลุกเร้าอะไรต่อสังคม ออกจะขำๆ ด้วยซ้ำไป
ต่อมาม็อบสนามหลวง ผรท.รอ. ก็ไปไล่แย่งซีนกับม็อบหน้ากากขาว ในที่สุดทั้งม็อบหน้ากากขาว และม็อบสนามหลวงก็ไปไม่รอด ปลุกกระแสไม่ขึ้น
นับว่าการกรีฑาทัพใหญ่สองครั้ง คือครั้งม็อบ เสธ.อ้าย หรือม็อบแช่แข็งเมื่อตอนต้นปี กับม็อบสนามหลวงในเดือนนี้ ไอ้ตาโปนประสบความล้มเหลวทั้งสองครั้ง ไม่ใช่ล้มเหลวเมื่อยกทัพไปแล้วรบกับข้าศึกแล้ว แต่ล้มเหลวตั้งแต่ขั้นตอนระดมพลให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นตอนการรบเลย
ก็บอกได้ชัดเจนว่า ไอ้ตาโปนนั้น "ไร้บารมีทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง" แค่ม็อบสักสองสามพันคนยังหาไม่ได้เลย นอกจากไร้บารมีทางการเมืองแล้ว เราก็พอประเมินได้ว่า ไอ้ตาโปนนั้นไร้บารมีทางทหารด้วย เพราะการออกศึกครั้งนี้ไม่มีพวกความมั่นคง พวกสีเขียวข้ำไปช่วยเหลือเลย
ไอ้ตาโปนนั้นถนัดแค่ "ยิงหัวคน" เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าชุดซุ่มยิง ยศทางทหารก็ไม่ควรเกิน "จ่าสิบเอก" เท่านั้น ไม่ควรมียศถึงนายพลแต่อย่างใด ไอ้ตาโปนไม่เหมาะเป็นแม่ทัพใหญ่ เป็นขุนศึกผู้นำสงคราม
การล้มเหลวถึง 2 ครั้ง นั้นหากมีการเคลื่อนครั้งที่ 3 ก็คงล้มเหลวอีก คนสนับสนุนก็เสียเงินเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร
การสงครามนั้นหากไม่มั่นใจ อย่าระดมพลรบ เพราะทำให้ข้าศึกประเมินจุดอ่อนจุดแข็งเราได้ หากไม่พร้อมที่จะบุกก็อย่าเตรียมการบุก
แผนการรบของไอ้ตาโปนกับไอ้ซีไอเอนั้นไม่มีอะไรมากเลย นอกจากปลุกม็อบโดยใช้หน้าม้า 3-400 คน หวังว่าประเด็นเก่าๆ ล้าหลังที่ยกขึ้นมานั้นจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ฮืออกมาสู้บนถนนด้วย ทั้งๆ ที่ความขัดแย้งเมืองไทยนั้น เกิน 7-8 ปีแล้ว คนเลือกข้างหมดแล้ว ไม่มีใครถูกหลอกได้อีกแล้ว อยู่ที่ว่าใครจะเลือกข้างฝ่ายใด เท่านั้นเอง ไม่มีใครที่ "สมองว่างเปล่า" จนใครก็ได้สามารถปั่นกระแสได้อีกแล้ว
การล้มเหลวของม็อบสนามหลวงครั้งนี้ ไอ้ตาโปนคงไม่มีบารมีจะทำการใดๆ ได้อีก
*************************************
พุทธศาสนิกชนยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นสรณะในการดำรงชีวิต ในประเทศไทยประชาชนมากกว่าร้อยละ ๙๕นับถือพระพุทธศาสนาเป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่พระพุทธศาสนาได้เข้ามาผสมกลมกลืนกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย จนแยกกันไม่ออก ความเจริญหรือความเลื่อมของพระพุทธศาสนาย่อมมีผลกระทบต่อสังคมไทย พวกเราชาวพุทธจึงมีหน้าที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสืบไป หน้าที่สำคัญของชาวพุทธมีดังนี้
บทบาทของพระภิกษุในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ศึกษาปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน สืบต่อพระพุทธศาสนา มีคุณธรรมและหลักความประพฤติที่ต้องปฏิบัติมากมาหน้าที่ของพระภิกษุที่สัมพันธ์กับคฤหัสถ์ ได้แก่ การให้ความอนุเคราะห์ชาวบ้าน ตามหลักปฏิบัติในฐานะที่พระภิกษุเป็นเสมือนทิศเบื้องบนได้แก่
๑. ห้ามปรามสอนให้เว้นจากความชั่ว คือ งดเว้นจากการเบียดเบียนกัน ไม่ทำลายทั้งชีวิตตนเองและผู้อื่น
๒. แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี งดเว้นอบายมุข 6 ในทางพุทธศานาแล้ว อบายมุขมีอยู่ 6 อย่าง หรือที่เรียกกันว่าอบายมุข 6 ซึ่งประกอบไปด้วย
. การติดสุราและของมึนเมา
. การชอบเที่ยวกลางคืน
. การชอบเที่ยวดูการละเล่น
. การติดการพนัน
. การคบคนชั่วเป็นมิตร
. การเกียจคร้านในหน้าที่การงาน
๓. อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดีด้วยน้ำใจอันงามโดยยึดถือหลักสังคหวัตถุ 4
สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่
1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ หรือการเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว เราควรคำนึงอยู่เสมอว่า ทรัพย์สิ่งของที่เราหามาได้ มิใช่สิ่งจีรังยั่งยืน เมื่อเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้
2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้
เว้นจากการพูดเท็จ
เว้นจากการพูดส่อเสียด
เว้นจากการพูดคำหยาบ
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ |
3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทุกชนิดหรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล รวมทั้งยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย
|
|
|
|
๔. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง คือ สอนให้รู้จักแยกแยะมิตรแท้ มิตรเทียม ให้คบบัณฑิตเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีพ
๕. ชี้แจงอธิบายทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ในสิ่งที่สดับเล่าเรียนมาแล้ว เช่น การแสวงหาทรัพย์โดยวิธีสุจริต การรู้จักรักษาทรัพย์ และการดำรงชีวิตตามฐานะ
๖. บอกทางสวรรค์ให้ คือ การแนะนำวิธีครองตน ครองคน ครองงาน หรือวิธีครองชีวิตให้ได้รับผลดีมีความสุข
บทบาทของพระภิกษุในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อาจทำได้ดังต่อไปนี้
๑. การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อพระภิกษุประพฤติปฏิบัติชอบตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมนำมาซึ่งความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนและบุคคลผู้พบเห็นโดยทั่วไป
๒. การสั่งสอนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเทศนา ปาฐกถาธรรม หรือเผยแผ่ธรรมทางสื่อมวลชน
๓. การทำกิจกรรมอันเป็นการสงเคราะห์ชาวบ้าน เช่น ช่วยสร้างสิ่งสาธารณประโยชน์ เป็นผู้นำชาวบ้านในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เช่นรักษาป่า ขุดลอกหนองบึง ส่งเสริมอาชีพสุจริต ตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ธนาคารข้าว ธนาคารโคกระบือ เป็นต้น
๔. จัดกิจกรรมอันเป็นประเพณีและศาสนพิธีในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้ชาวบ้านได้ทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาร่วมกัน อันจะทำให้เกิดความรักสามัคคีในหมู่บ้าน ชุมชน สังคม รวมทั้งการถือโอกาสเทศนาธรรมสั่งสอนให้งดเว้นจากอบายมุข ให้ประพฤติดี หลีกหนีความชั่ว
๕. การเป็นผู้นำในการปฏิบัติธรรม เช่น ฝึกสมาธิเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงพระพุทธศาสนาจากการปฏิบัติอย่างแท้จริง
กระหึ่มเน็ต ! เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน เสียดสี หลวงปู่เณรคำ
ดังว่อนเน็ต เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน เพลงล้อเลียนเสียดสีพฤติกรรมฉาว หลวงปู่เณรคำ ใช้สินค้าแบรนด์เนม นั่งเครื่องบินเจ็ท และหลองลวงกอบโกยเงินบริจาคจากประชาชน
หลังจากที่มีกระแสเปิดโปงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ออกมาอย่างต่อเนื่องรายวัน รวมทั้งดีเอสไอก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลการซื้อรถเบนซ์หลายสิบคัน รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ของหลวงปู่เณรคำ ในขณะที่มีข่าวออกมาว่าเจ้าตัวได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2556 ก็ได้มีผู้แต่งเพลงเสียดสีล้อเลียนพฤติกรรมของหลวงปู่เณรคำ ออกมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ในชื่อเพลง "[แซว] จากนี้ไปจนนิพพาน - หลวงปู่เณรเกม (Daddy Bunny)" โดยคุณ enobeman สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งภายในเพลงนั้นมีเนื้อหาในเชิงล้อเลียน เสียดสี พระ "คำ" ที่ใช้สินค้าแบรนด์เนม อ้ายคำแบกหลุยส์ไปช้อปปิ้ง นั่งเครื่องบินเจ็ท และหลอกลวงให้ประชาชนบริจาคเงินทำบุญจนตัวเองร่ำรวย โดยมีเนื้อเพลงดังนี้
เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน
คำร้องโดย หลวงปู่เณรเกม
อาตมาเดินบิณฑ์อยู่วันนั้น เหล่าญาติโยมมากันตั้งมากมาย มีพะโล้มีแกงไก่ โยมใส่มาให้ฉัน
ให้ไปไหนก็ไป แค่โยมใส่ซองเข้ามาแล้วกัน คำจะขอเอาปัจจัยเหล่านั้น ไว้ดูแลเอง
จากที่เคยเดินบิณฑ์ ก็ไม่ไหว ไส่เรย์แบนกันไปนิมนต์เทศน์ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ก็ขึ้นเจ็ตกันไป
เหนื่อยมากแล้วต้องนอนก่อน เครื่องปรับอากาศสะอาดสดใส วันพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไป ให้โยมลองดู
ฉันไม่เคยรับ ไม่เคยรู้ ว่ารูปนี้มันมาได้ไง ทุก ๆ ทีจำวัดปิดไฟ หรือว่าเณรเสือกใส่วิกผมกัน
ฉันบอกไปแล้ว ต่อจากนี้ไปจนนิพพาน ขอฉันขอแบรนด์เนมเท่านั้น ทุก ๆ วันอยู่กุฏิบนคอนโด
ฉันไม่เคยรับ ไม่เคยรู้ ว่ารูปนี้มันมาได้ไง ทุก ๆ ทีจำวัดปิดไฟ หรือว่าโยมเสือกใส่วิกผมกัน
ฉันบอกไปแล้ว ต่อจากนี้ไปจนนิพพาน ฉันจะแบรนด์เนมเท่านั้น ทุก ๆ วันอยู่กุฏิบนคอนโด
**********************************************
"สโนว์เดน"แฉสหรัฐฯ จารกรรม-สอดแนมแบบไร้พรมแดน
บันทึกในฮ่องกงก่อนหนีหมายจับของสหรัฐฯ ไปยังรัสเซีย นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตนักวิเคราะห์ข่าวกรองซีไอเอของสหรัฐฯ ระบุว่า ทั้งกูเกิล เฟซบุ๊ก แอปเปิล และไมโครซอฟท์ ซึ่งถือสัญชาติสหรัฐฯ ต่างร่วมหัวป้อนข้อมูลให้กับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ หรือ เอ็นเอสเอของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ การเปิดโปงชุดแรกก่อนหน้านี้ นายสโนว์เดน ระบุว่า สหรัฐฯ แค่สอดแนม และจารกรรมต่างชาติเท่านั้น
นายสโนว์เดนเป็นชาวอเมริกันอายุ 30 ปี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นหน้าที่ส่วนตัวต้องทำการเปิดโปง เพื่อสกัดไม่ให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลก รุกล้ำสิทธิ และเสรีภาพส่วนบุคคลตามระบอบประชาธิปไตย
โอกาสนี้ นายสโนว์เดนยังกล่าวหาด้วยว่า นายคีธ อเล็กซานเดอร์ เลขาธิการเอ็นเอสเอ เข้าให้การเท็จต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ คาดว่านายสโนว์เดนยังคงติดค้างอยู่ที่สนามบินภายในกรุงมอสโก ซึ่งล่าสุดเวเนซุเอลาประกาศให้ที่ลี้ภัย และกำลังรอคำตอบ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศชี้ว่านับวันยิ่งยากที่นายสโนว์เดนจะเดินทางออกจากรัสเซีย
ทำไม'เอกวาดอร์'อุ้มสม 'จอมแฉความลับ'มะกัน? (โดย สุทธิชัย หยุ่น)
เมื่อ นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน "จอมแฉ" อดีตพนักงาน "สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ" (National Security Agency)
ประกาศว่าจะขอลี้ภัยการเมืองที่ประเทศเอกวาดอร์ ของอเมริกาใต้ ก็มีคำถามว่าทำไมต้องเป็น "เอกวาดอร์"ตอบสั้นๆ ว่า เพราะประเทศละตินอเมริกาเล็กๆ (ประชากร 14 ล้านคน) ที่ตั้งอยู่ตะวันตกสุดของอเมริกาใต้นั้น มีประธานาธิบดี ชื่อ Rafael Correa ที่ต้องการพิสูจน์ว่าเขาไม่กลัวอำนาจมะกัน และต้องการเป็น "พระเอก" ในหมู่ประเทศอเมริกาใต้ ที่เล่น "บทบู๊" ในเวทีสากลได้"เอกวาดอร์" มาจากคำว่า Equator หรือ เส้นศูนย์สูตรของโลก ผู้คนพูดภาษาสเปนเป็นส่วนใหญ่
ชายแดนด้านเหนือคือโคลอมเบีย และเพื่อนบ้านด้านตะวันออกและใต้คือเปรู ด้านตะวันตกติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกเอกวาดอร์ กับ ชิลี เป็นสองประเทศในอเมริกาใต้ ที่ไม่มีชายแดนติดกับบราซิล เมืองหลวงชื่อ Quito ซึ่งได้รับการขนานนามเป็น "มรดกโลก" โดย ยูเนสโก เพราะว่าเป็นจุดที่รักษาความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกาใต้
เอกวาดอร์ มีแหล่งน้ำมันของตนเอง และการส่งออกน้ำมันเท่ากับ 40% ของยอดส่งออกทั้งหมด และมีชื่อเสียงในฐานะเป็นประเทศส่งออกกล้วยมากที่สุดประเทศหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเอกวาดอร์ ก็ได้ช่วยเหลือ "จอมแฉ" อีกคนหนึ่ง คือ นายจูเลียน อัสซานจ์ เจ้าของเว็บไซต์ Wikileaks ที่เปิดโปงเอกสารลับของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ผ่านพลทหารแบรดเลย์ แมนนิ่ง ที่เคยทำงานเป็นนักวิเคราะห์ข่าวกรองของกองทัพมะกัน มาแล้ว
โดยให้ นายอัสซานจ์ พำนักอยู่ในสถานทูตเอกวาดอร์ ที่กรุงลอนดอน มาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
เมื่อ นายสโนว์เดน หนีจากอเมริกาไปฮ่องกงก่อนจะบินไปมอสโก นายอัสซานจ์ ก็ประกาศปกป้อง "รุ่นน้องร่วมอุดมการณ์" อย่างนายสโนว์เดน ทันที โดยแนะนำให้ขอลี้ภัยทางการเมืองกับรัฐบาลเอกวาดอร์
รัฐบาลของประธานาธิบดีคอเรีย ก็ตอบรับฉับพลัน โดยอ้างการปกป้อง "สิทธิมนุษยชน" ขณะที่รัฐบาลของโอบามา แห่งสหรัฐ ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่ประเด็นสิทธิเสรีภาพ หากแต่เป็นเพราะนายสโนว์เดน ได้กระทำความผิดทางอาญาในฐานขโมยความลับราชการมาเปิดเผยย้อนดูประวัติของประธานาธิบดีคอเรีย ก็จะเห็นว่ามีความสนิทสนมกับอดีตประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ แห่ง เวเนซุเอลา แม้ว่าเขาจะมีท่าทีลีลาที่ดุเดือดน้อยกว่า ชาเวซ
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเอกวาดอร์ กับ สหรัฐ ก็มีเรื่องตึงเครียดกันในหลายกรณี
คอเรีย เคยบอกเลิกข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ อย่างไม่เกรงใจมหาอำนาจ และเคยขับไล่ฐานทัพสหรัฐจากประเทศนั้นอย่างหน้าตาเฉย
อีกทั้ง คอเรีย ก็เคยไล่นักการทูตมะกันกลับบ้านมาแล้ว เหตุเพราะว่าผู้นำเอกวาดอร์ ไม่พอใจที่คนจากวอชิงตันทำกิจกรรมที่เขาถือว่าเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงเรื่องภายในของเขา
ที่เจ็บแสบและฮาไม่น้อย คือ เมื่อปี ค.ศ. 2006 หลังจากที่เพื่อนซี้ ชาเวซ แห่ง เวเนซุเอลา โกรธแค้นผู้นำสหรัฐ ถึงกับเรียกประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ว่าเป็น "ผีซาตาน" นั้น นายคอเรีย ออกมาเสริมต่อด้วยการสำทับว่า
"การเรียกประธานาธิบดีบุช ว่าเป็นซาตาน ไม่เป็นการยุติธรรมสำหรับภูตผีปีศาจด้วยซ้ำไป"
เหมือนเรียกคนว่า หมา แล้วทำให้หมาเสียเกียรติ อะไรทำนองนั้นทีเดียว
พอ นายอัสซานจ์ แห่ง Wikileaks ถูกไล่ล่า เพราะว่าเอาความลับราชการมะกันมาเปิดเผย ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ ผู้นี้ก็ได้โอกาสที่จะแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า เขาพร้อมที่จะยืนอยู่ข้าง "คนเป่านกหวีด" เพื่อสะท้อนถึงความย่ำแย่ของนโยบายต่างประเทศสหรัฐ
ถือเป็นจังหวะที่เขาได้แสดงตนเป็นผู้นำของประเทศเล็กๆ ที่อยู่หลังบ้านสหรัฐ แต่พร้อมที่จะท้าทายมหาอำนาจ อย่างไม่เกรงขาม แต่อย่างใด
ทำไมเขาจึงยอมให้ อัสซานจ์ เข้าไปอยู่ในสถานทูตเอกวาดอร์ ที่ลอนดอน เป็นปีๆ
คำถามทางการจากเอกวาดอร์ คือ "ถ้า นายอัสซานจ์ ออกจากสถานทูต เขาก็อาจจะถูกส่งตัวกลับไปสหรัฐ ซึ่งก็จะเปิดทางให้เขาถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง"จึงไม่ต้องแปลกใจ หากว่ารัฐบาลเอกวาดอร์ จะเปิดทางให้นายสโนว์เดน เข้าประเทศเพื่อลี้ภัยการเมืองอย่างเปิดเผยเพราะแม้ว่า เอกวาดอร์ จะมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐ แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับ "กรณีความผิดที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับการเมือง"
แปลว่า เอกวาดอร์ จะอ้างความเป็น "ผู้ลี้ภัยการเมือง" ของ สโนว์เดน ขณะที่รัฐบาลสหรัฐยืนกรานว่า เขาเป็น "อาชญากรผู้ขโมยความลับราชการ"
และเมื่อจีนกับรัสเซียทำท่าเหมือนจะแอบสนับสนุนนายสโนว์เดน เพราะว่า ฮ่องกงและมอสโก ไม่ยอมจับตัวเขาส่งกลับสหรัฐ วอชิงตันก็เดือดดาลปักกิ่งและมอสโก อย่างออกนอกหน้าฉับพลัน
เรื่องจริง...สนุกและซับซ้อนกว่าหนังฮอลลีวู้ด...หลายเท่านัก
***************************************
*************************************