สัมพันธ์“ไทย-อิหร่าน” 400 กว่าปี...มีดีให้สัมผัสที่อยุธยา
“อิหร่าน”(หรือชื่อทางการว่า “สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน”) เป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำแห่งตะวันออกกลางที่ในอดีตครองความยิ่งใหญ่ในภูมิภาค และรู้จักกันดีในฐานะอาณาจักร “เปอร์เซีย”
ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าเปอร์เซียกับสยามประเทศน่าจะมีสัมพันธ์ทำการค้ากันมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย โดยจากข้อความบางตอนในศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่มีคำว่า “ตลาดปสาน” ซึ่งนักปราชญ์ด้านโบราณคดีและภาษาศาสตร์ให้ความเห็นว่ามาจากคำว่า “บอซัร” หรือ “บาซาร์” ที่แปลว่า “ตลาด” และคำว่า “เหรียญ” ที่ไทยและเขมรใช้เรียกเงินตรานั้นก็มาจากคำว่า “เรียล” ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซีย
นอกจากนี้ หลักฐานทางโบราณวัตถุต่างๆ ที่ขุดพบ บ่งบอกว่าพ่อค้าชาวเปอร์เซียเคยติดต่อค้าขายกับอาณาจักรจามปาและลังกาสุกะ ตลอดทั้งหมู่เกาะในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
อย่างไรก็ดีจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีข้อมูลชัดเจนได้ระบุวล่า อาณาจักรเปอร์เซียมีความสัมพันธ์กับสยามประเทศมากว่า 400 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2133 – 2148) เมื่อเรือสำเภาบรรทุกสินค้าของ เฉกอะหมัด กูมี และน้องชายคือ มะหะหมัด ซาอิด ได้เข้ามาเทียบท่าที่ป้อมเพชร ตำบลท้ายคู โดยในจดหมายเหตุประถมวงศ์สกุลบุนนาค ระบุว่า “เข้ามาตั้งห้างค้าขายอยู่ในกรุงศรีอยุธยาสยามประเทศ เมี่อจุลศักราช 964 ปีขาล จัตวาศก” ซึ่งตรงกับพ.ศ. 2145 ขณะที่ความสัมพันธ์ทางการทูตของไทยกับอิหร่านนั้นได้รับการสถาปนาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498
อนึ่งการผูกสัมพันธ์กับเปอร์เซียนั้น ชาวเปอร์เซียได้เข้ามาอาศัยขยายชุมชนและมีบทบาททางการค้า-การเมืองในกรุงศรีอยุธยามากขึ้น บางคนดำรงตำแหน่งขุนนางระดับสูง และได้เป็นเจ้าเมืองสำคัญหลายเมืองพร้อมกันนั้น วัฒนธรรมเปอร์เซียก็มีอิทธิพลต่อคนไทยไม่น้อย โดยเฉพาะในราชสำนักของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่น วัฒนธรรมการแต่งกาย อาทิ ฉลองพระองค์ครุยของพระมหากษัตริย์ หรือเสื้อครุยของขุนนางในราชสำนักอยุธยา, “ลอมพอก” หรือหมวกยอดแหลมสูง และฉลองพระบาทเชิงงอน เป็นรูปแบบที่มีหลักฐานแน่ชัดว่านำเข้ามาโดยชาวเปอร์เซีย และยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์ไทย
และด้วยความสัมพันธ์อันยาวนานของ 2 ประเทศ ทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจึงกำหนดจัดงาน“อยุธยามรดกโลก เทศกาลความสัมพันธ์อยุธยา-เปอร์เซีย” ขึ้นที่ลานหน้าหอศิลป์แห่งชาติหรือศาลากลางหลังเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 22 - 24 มิถุนายน ศกนี้ ตั้งแต่เวลา 11.00 - 22.00 น.
งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อย้อนรำลึกถึงความสัมพันธ์อันยาวนานและแน่นแฟ้นที่มีต่อกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ ในการจัดการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมต่างๆ นำคณะนักดนตรี นักแสดงที่มีชื่อเสียง ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญสาธิตงานหัตถกรรมจากประเทศอิหร่านราว 50 คนมาร่วมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมทั้งการออกร้านจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึกที่ขึ้นชื่อ อาหารหลากประเภท การจัดแสดงเครื่องแต่งกายของชนเผ่าต่างๆ นิทรรศการประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว ฯลฯ
นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้รายละเอียดว่า “ภายในงานจะผสมผสานบรรยากาศของอยุธยาและเปอร์เซียอย่างกลมกลืน โดยมีการแสดงต่างๆ มากมายที่เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของทั้งสองชาติ จัดให้แสดงสลับกันไปในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวและผู้มาร่วมงาน
“ไฮไลท์ของงานมีทั้งการแสดงแสง เสียง และสื่อผสม ชุด “เฉกอะหมัด ราษฎร์รัฐสัตย์ซื่อถือความภักดี” ที่นำเสนอเรื่องราวของเฉกอะหมัด กุมมี หรือออกญาบวรราชนายก ผู้เป็นต้นตระกูล “บุนนาค” ที่มีเกียรติประวัติในการสร้างคุณประโยชน์และรับใช้บ้านเมืองตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน การแสดงดนตรีพื้นเมือง และการแสดงทางวัฒนธรรมประจำชาติของอิหร่าน พร้อมทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรมของอยุธยา เช่น การละเล่น กลองยาว ศิลปะการต่อสู้โดยสำนักดาบวังหน้า แม่ไม้มวยไทย การแสดงหุ่นสาย โดยคณะหุ่นสายเสมาที่ได้รับรางวัลจากเทศกาลหุ่นโลกที่สาธารณรัฐเช็กถึง 2 ปีซ้อน
“นอกจากนี้ยังมีการสาธิตงานศิลปหัตถกรรม เช่น การทอพรม การแกะสลักงานไม้-งานหิน การวาดภาพจิตรกรรมแบบอิหร่าน ส่วนของอยุธยามีการสาธิตการสักยันต์ การตีดาบ การร้อยมาลัย และการสานปลาตะเพียน เป็นต้น พร้อมทั้งบูธฉายภาพยนตร์ของอิหร่าน เช่น ‘7 โฉมหน้าแห่งอารยธรรมอิหร่าน’ เป็นสารคดีย้อนยุคสู่อดีตเมื่อหลายพันปีก่อน และ ‘อิหร่านวันนี้’ รวมถึงการออกร้านจำหน่ายสินค้า ของประดับตกแต่ง ของที่ระลึก อาหารเครื่องดื่มนานาชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองชนชาติ”
มุศฏอฟา นัจญาริยอน ซอเดะห์ |
ด้าน มุศฏอฟา นัจญาริยอน ซอเดะห์ ที่ปรึกษาฝ่ายวัฒนธรรม และผู้อำนวยการ ศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ กล่าวว่า
“เราได้คัดสรรคณะศิลปิน นักแสดง และผู้เชี่ยวชาญการแสดงศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงของอิหร่านมาร่วมงานนี้เป็นพิเศษเพื่อให้งานนี้มีคุณค่าและสมบูรณ์แบบในทุกด้าน โดยเตรียมการแสดงที่ ไม่เคยจัดมาก่อนในประเทศไทย เช่น “ซาราคส์” (Sarakhs) ที่เป็นการแสดงเต้นรำแบบพื้นบ้าน “ซูร์คาเนฮ์” (Zurkhaneh) กีฬาพื้นเมืองที่เป็นการออกกำลังกายตามประเพณีดั้งเดิม มีการให้จังหวะด้วยการตีกลองและขับร้องบทกวีประกอบการใช้ศิลปะมวยปล้ำ พร้อมทั้งมีอุปกรณ์หลายประเภท เช่น ไม้ โล่ สายเหล็กร้อย กระบองขนาดต่างๆ เพื่อฝึกร่างกายให้แข็งแรงอดทน เป็นนักต่อสู้ที่ดีเช่นเดียวกับนักรบผู้มีชื่อเสียงของเปอร์เซียในอดีต”
ในส่วนของดนตรีพื้นเมือง จะนำมาแสดง 2 วงที่มีชื่อเสียงจากการประกวดในต่างประเทศ ได้แก่ “ซะห์รอ” (Sahra) เน้นการตีกลองแบบต่างๆ และ “บอมดาด มัชชาด” (Bamdad Mashad) เป็นวงเครื่องสายผสม เครื่องดนตรีของเปอร์เซีย เช่น “ไน” (Nay) หรือขลุ่ย “ทาร์” (Tar) มีลักษณะคล้ายพิณ “ซันตูร์” (Santur) ให้เสียงคล้ายขิม และกลอง “ทอมบัค” (Tombak) เป็นต้น บทเพลงที่ร้องประพันธ์โดยศิลปินแห่งชาติของอิหร่านมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงให้ความเมตตาแก่มนุษย์ โดยประทานธรรมชาติและทรัพยากรต่างๆ
|
||
สำหรับงานศิลปหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ พรมเปอร์เซีย ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในโลก และมีประวัติอันยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 การทอพรมด้วยมือเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่ทำกันอย่างแพร่หลาย มีกรรมวิธีในการทอแตกต่างกันไปและมีลักษณะเฉพาะตัวในแต่ละพื้นที่ โดยถือเป็นสัญลักษณ์และภูมิปัญญาด้านศิลปะของชาวเปอร์เซีย เครื่องปั้นและเครื่องเคลือบดินเผา งานแกะสลักไม้ การฝังลวดลายลงในเนื้อไม้ การประดิษฐ์ลวดลายลงบนภาชนะโลหะ การทำภาพดุนนูนบนทองเหลือง นอกจากนี้ยังมีงานหล่อโลหะขึ้นสายลายเส้นโดยใช้ลวดเงินเป็นส่วนประกอบ ที่เรียกว่า “ฟิลิครี” (Filigree)
|
||
ส่วนภาพจิตรกรรมของศิลปินชาวอิหร่านก็มีความประณีตงดงามมาก ซึ่งงานศิลปหัตถกรรมดังกล่าวจะมีทั้งการสาธิต การจัดแสดง และออกร้าน หนึ่งในอาหารยอดนิยมของอิหร่านที่จะมีให้ลิ้มรสในงานนี้ คือ “เชโลกะบาบ” (Jhelo Kabab) เป็นข้าวบัสมาติที่รับประทานกับเนื้อแกะย่างปรุงรสคลุกเคล้ากับเครื่องเทศ สินค้าขึ้นชื่อที่นำมาจำหน่ายได้แก่ คาเวียร์ ซึ่งเป็นผลิตผลจากปลาสเตอร์เจียน 3 ชนิด คือ เบลูกา อสิตรา และเชฟโรกา ทางชายฝั่งทะเลตอนใต้ของทะเลแคสเปียน อินทผาลัม ลูกเกด อัลมอนด์ พิสตาชิโอ ส่วนชาของอิหร่านมีความพิเศษด้วยการอบกลิ่นหอมของสมุนไพรและเครื่องเทศ
“อยุธยากับเปอร์เซียไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์ทางการทูตหรือการค้าเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการถ่ายทอดและหล่อหลอมทางศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี ฯลฯ
เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) | |
---|---|
จุฬาราชมนตรี | |
|
|
ชื่ออื่น | เชค-อะหมัด หรือ ชัยคอะหมัด[1] |
เชื้อชาติ | เปอร์เซีย |
สมัย | สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม-สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง |
ข้อมูลส่วนตัว | |
เกิด | พ.ศ. 2086, ตำบลปาอิเนะชาฮาร เมืองกุม ประเทศอิหร่าน |
เสียชีวิต | พ.ศ. 2174, พระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย |
คู่สมรส | ท่านเชย |
ข้อมูลอื่น | จุฬาราชมนตรีคนแรกในสมัยอยุธยา |
หมวดหมู่:จุฬาราชมนตรี |
เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เป็นมุสลิมชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺ (สิบสองอิมาม) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2086 ณ ตำบลปาอีเนะชาฮาร ในเมืองกุม ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนที่ราบต่ำทางตอนเหนือของเตหะราน ในประเทศอิหร่าน[2]
ในยุคสมัยที่ท่านเฉกอะหมัดเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยานั้น เป็นยุคที่โปรตุเกสเรืองอำนาจทางทะเลในแถบมหาสมุทรอินเดีย ทำให้พ่อค้าชาวพื้นเมืองต้องใช้เส้นทางขนส่งสินค้าทางบกเป็นช่วงๆ เส้นทางที่เป็นไปได้ในการเดินทางจากอิหร่านเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น คือเดินเท้าจากเมืองแอสตะราบาดเข้าสู่แคว้นคุชราตในอินเดียตะวันตก จากนั้น เดินเท้าตัดข้ามประเทศอินเดียมายังฝั่งตะวันออกทางด้านโจฬมณฑล จากนั้นลงเรือข้ามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันมายังเมืองตะนาวศรีหรือเมืองมะริด แล้วจึงเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา
ปลายแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เฉกอะหมัดและบริวารได้เข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ตั้งบ้านเรือนและห้างร้านค้าขาย อยู่ที่ตำบลท่ากายี ท่านค้าขายจนกระทั่งมีฐานะเป็นเศรษฐีใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา ท่านสมรสกับท่านเชย มีบุตร 2 คนและธิดา 1 คน
ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ท่านเฉกอะหมัดได้ช่วยปรับปรุงราชการกรมท่า จนได้ผลดี จึงโปรดเกล้าฯให้เป็นพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐีเจ้ากรมท่าขวาและ จุฬาราชมนตรี นับได้ว่าท่านเป็นปฐมจุฬาราชมนตรีและเป็นผู้นำพาศาสนาอิสลามนิกายชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺ มาสู่ประเทศไทย ต่อมาท่านเฉกอะหมัดพร้อมด้วยมิตรสหาย ร่วมใจกันปราบปรามชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง ที่ก่อการจลาจล และจะยึดพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัด รัตนาธิบดี สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ
ในปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้า ฯ ให้ท่านเฉกอะหมัดซึ่งมีอายุ 87 ปี เป็นเจ้าพระยาบวรราชนายกจางวางกรมมหาดไทย ท่านได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2174 รวมอายุ 88 ปี ท่านเฉกอะหมัดนี้ท่านเป็นต้นสกุลของไทยมุสลิมหลายนามสกุลและสกุลบุนนาค เป็นต้นสกุลของเจ้าพระยาหลายท่านในระยะเวลาต่อมา อาทิ เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) เจ้าพระยาชำนาญภักดี (สมบุญ) เจ้าพระยาเพชรพิไชย (ใจ) และมีบรรดาศักดิ์เป็นสมเด็จเจ้าพระยาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ถึง 3 ท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) รวมทั้งเป็นต้นสกุลของสายสกุลที่มีความสำคัญต่อการปกครองประเทศตลอดมา สถานที่ฝังศพของท่านเฉกอะหมัด ตั้งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
ที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนในวิถีชีวิตของชาวเปอร์เซียที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ทั้งยังเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์มาอย่างยาวนาน โดยร่วมช่วยรักษาราชบัลลังก์และสร้างความรุ่งเรืองให้แผ่นดินไทยด้วย” ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าว
**************************************************
“มาร์ค” ลุ้น 16 พ.ค.ศาลรธน.รับเรื่องหนีทหารไว้พิจารณาหรือไม่ ตุลาการฯหวั่นมีปัญหาอยากให้องค์คณะอยู่ครบค่อยพิจารณา ชี้เป็นเรื่องสำคัญ
แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเปิดเผยว่า ในวันที่ 16 พ.ค. จะมีการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเบื้องต้นจะมีการพิจารณาในประเด็นคำร้อง ของ ส.ส. 138 คนที่ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ศาลวินิจฉัยสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 106(5) ประกอบมาตรา 102 (6) หรือไม่ เนื่องจากกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งปลดร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากนายทหารกองหนุนนั้น ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมเห็นว่า เป็นประเด็นที่สำคัญประกอบกับในการประชุมครั้งนั้นมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เข้าประชุม 8 คน จึงเกรงว่าหากเสียงการลงมติออกมาเท่ากันแล้วจะทำให้เกิดปัญหาได้ อีกทั้งการลงมติของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ทำหน้าที่ประธานฯ นั้นสามารถลงคะแนนเสียงได้เพียงครั้งเดียว เนื่องจากวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้กำหนดไว้ว่า หากเสียงตุลาการฯออกมาเท่ากันแล้วผู้ที่ทำหน้าที่ประธานสามารถลงคะแนนเพื่อ ตัดสินได้ ซึ่งไม่เหมือนกับองค์กรอื่น เช่น กกต. ดังนั้น มีตุลาการฯ บางคนได้เสนอว่า ควรที่จะให้องค์คณะอยู่ครบทั้ง 9 คน หรือไม่ก็ควรที่จะเป็นเลขคี่ น่าจะดีกว่าเป็นเลขคู่ จะได้ไม่เป็นปัญหาเวลาในการลงมติ จึงทำให้การประชุมเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่ได้ข้อยุติ ว่าจะมีมติรับกรณีของนายอภิสิทธิ์ ไว้พิจารณาหรือไม่ และเลื่อนการพิจารณาออกไปในสัปดาห์นี้แทน
สำหรับการประชุมในวันที่ 16 พ.ค.นั้นจะมีวาระพิจารณาคำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ศาลวินิจฉัยการทำ หน้าที่ของประธานรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภา รวม 312 คน ที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และ 237 ว่า เป็นการตัดสิทธิ์ประชาชนในการร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 หรือไม่ ซึ่งในวันที่ 15 พ.ค.นั้นจะครบ 15 วัน ตามที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อนุญาตตามคำขอของ ส.ว. ทั้ง 46 ที่ขอขยายเวลาชี้แจงข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ซึ่งเจ้าหน้าที่น่าจะรายงานความคืบหน้าให้กับคณะตุลาการฯได้ทราบ ส่วนจะพิจารณาได้เลยหรือไม่ก็เป็นดุลยพินิจของคณะตุลาการฯ
อีกทั้งทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็จะต้องรายงานความคืบหน้ากรณีพล.อ.สม เจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ได้ส่งสำเนาคำร้องจำนวน 312 คนมาแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและได้ทำหนังสือนำส่งไปให้สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร และสำนักเลขาธิการวุฒิสภาแล้ว กรณีของพล.อ.สมเจตน์ นั้นยังไม่ทราบว่าทั้ง 2 สำนักงานฯ ได้รับหนังสือจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญหรือยัง.
..............
บทพิสูจน์ ความเที่ยงธรรม อีกบทหนึ่ง ของตลก.รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ว่า ถ้าตัดสินไม่ตรงใจแล้วมาตะแ
บง หรอกนะ แต่เรื่องนี้มันชัดๆอยู่ ถ้ารับไว้มาร์คเสร็จแน่นอน แต่ถ้าไม่รับไว้มาร์คก็รอด แต่ตลก.รัฐธรรมนูญอาจไม่รอด เพราะเท่ากับ ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแฉต่อสังคม ให้ได้รับรู้เช่นกันครับ
ยกคำร้องไปเลย เรื่องจะได้จบเสียที
ไม่รับพิจารณา เพราะหมดอายุความ
น่าจะออกไปทาง ไม่รับก่อน
แล้วค่อยออกมาออกแถลงการณ์ว่าเวลามีน้อย...เลยหละหลวมไป...
หนีทหารไม่ปรากฏในพจณานุกรม
ไม่รับเรื่อง
ก็พูดออกมาแล้ว ว่าอยากให้อยู่ครบ จึงจะพิจารณา
ฉนั้น พอถึงวัน ก็บอกว่า บางคนติดภารกิจต่างประเทศ
แค่นี้ ก็ลากยาวได้เเล้ว....
***********************************
วันที่: Fri Nov 15 17:38:30 ICT 2024
|
|
|