ให้ไม่ได้....
....ไม่เอาค่ะ พูดอะไร? ไม่อายหรือ?
เดินตามตื้อ อ้อนเบอร์โทร โถสงสาร
บอกให้รู้ จีบอย่างนี้ มีรำคาญ
เดี๋ยวทางบ้าน ว่าเอา เราก็ตาย
....ให้โตกว่า นี้หน่อย ค่อยมาเฝ้า
เหมือนดั่งเงา ตามทุกที่ ไม่หนีหาย
เเต่ตอนนี้ เเม้นใครเห็น เป็นต้องอาย
ถูกผู้ชาย อ้อนขอเบอร์ เบลอเลยเรา....
*******************************************
เชื่อว่าหลายคนบนโลกนี้คงไม่เคยมีใครที่ไม่เคยอ่านหนังสือ และเคยสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างบางไหม หรืออาจจะเข้าไปร้านหนังสือแต่ละคนจะมีการเปิดหนังสืออ่านไม่เหมือนกันเลย ไม่เชื่อลองดู! แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือการเลือกอ่านหนังสือแต่ละคน สามารถบอกความเป็นตัวตนของคนคนนั้นได้
เปิดผ่านๆอ่านคร่าวๆ เป็นคนที่มีอุปนิสัยที่เป็นคนวู่วามใจร้อน เวลาจะทำงานใดๆ มักจะไม่สนใจนรายละเอียดถี่ถ้วนนัก แต่จะสนใจเรื่องที่เป็นหลักใหญ่ๆ มากกว่า ไม่ชอบการวางแผนล่วงหน้าจะทำทุกอย่างเมื่ออยากทำ และทำตามใจตัวเองจึงมักมีเรื่องให้ผิดหวังอยู่เรื่อย จากความไม่รอบคอบของตัวเอง
เปิดอ่านแต่เรื่องที่สนใจ เป็นคนที่มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวมากไม่ค่อยนึกถึงจิตใจคนอื่น แต่ะทำไปเพราะความไม่รู้เรื่องมากกว่า แต่อีกด้านนั้น เป็นคนใจดี ใจกว้าง ชอบช่วยเหลือคนอื่นแต่มักจะไม่มีคนกล้าทำความรู้จักสักเท่าไรเพราะเป็นคนที่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์สักเท่าไร
อ่านทุกเรื่องอ่านทุกหน้า ลักษณะนิสับยเป็นคนใจกว้างสามารถยอมรับความคิดใหม่ๆ ได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นความคิดเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นคนใฝ่รู้ เมื่อสนใจเรื่องใดก็จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรู้จักกับเรื่องนั้นอย่างจริงจัง มักได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง
ชอบออกเสียงเวลาอ่านหนังสือ ลักษณะนิสัยคนประเภทนี้ คือ เป็นคนจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อทุกคนไม่ใช่คนที่มีพิษกับใคร เป็นคนเปิดเผย ไว้ใจได้ รักสงบ ชอบชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ใช่คนที่มีภูมิอะไรมากนักแต่ก็มีความน่านับถืออยู่ในตัวเอง
ชอบขีดเส้นข้อความในหนังสือ บ่งบอกถึงอุปนิสิย เป็นคนช่างจด ช่างจำและค่อนข้างยึดมั่นถือมั่นอีกด้วย สิ่งไหนที่เป็นของตนก็มักจะไม่ยอมให้ครมาครอบครองง่ายๆ นอกจากนี้ยังเป็นคนทำงานได้ดีเพราะเวลาจะทำอะไรจะลงมือทำอย่างจริงจังเสมอ ไม่ชอบเสียเวลากับกับเรื่องไร้สาระ
พับขอบหนังสือ เป็นคนค่อนข้างมีนิสัยไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่จะเป้นคนที่ทำอะไรแล้วก็จะหมกมุ่น และทำจริงจัง จนกระทั่งทำสำเร็จ จะไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้างนักแลดูคล้ายกับคนเห็นแก่ตัวแต่เพราะว่าเป็นคนพูดไม่เก่งมากกว่า และถ้ามีคนมาขอความช่วยเหลือก็จะเอื้อเฟื้อเป็นอย่างดี
.....................................................................................................................
ประวัติศาสตร์ชาติไทย
เชื้อชาติไทยเป็นเชื้อชาติที่สำคัญยิ่งใหญ่มาแต่โบราณและมีความเจริญรุ่งเรืองมานานรุ่นเดียวกับชาติอื่น ๆ เช่น
ชาติบาบิโลน นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ ผู้ทำการค้นคว้าทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกัน และจีน ได้ศึกษา
จากประวัติศาสตร์และวรรณคดีของจีน ลงความเห็นว่า หมู่ชนชาติเชื้อไทยนั้นได้ตั้งถิ่นฐานเป็นอาณาจักร
ถาวรในดินแดนทางภาคใต้ของจีนปัจจุบันมานานก่อนคนเชื้อชาติจีนจะเข้ามาในดินแดนที่เป็นอาณาเขต
ของจีนในปัจจุบันนี้
แหล่งกำเนิดของชนเชื้อชาติไทย
แหล่งกำเนิดของชนเชื้อชาติไทย มีข้อสันนิษฐานเชื่อกันมาว่า
( 1) แหล่งกำเนิดของคนเชื้อชาติไทยเดิมนั้นอยู่แถบภูเขาอัลไตแล้วอพยพมาอยู่ในดินแดนของจีนใน
ปัจจุบันก่อนคนเชื้อชาติจีน
กล่าวกันว่าชนชาติโบราณที่อยู่ตามเทือกเขาอัลไตทางด้านนี้มีพวกโลโละ กะเหรี่ยง แม้ว เย้า มอญ เขมร
ซึ่งเป็นพวกพเนจรเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ และบ้างก็ตั้งหลักแหล่งทำการเกษตรบ้างแล้ว ซึ่งชนชาติเหล่านี้มีชน
ชาติไทยอยู่ด้วย ถิ่นที่ว่าเป็นแหล่งกำเนิดเดิมของไทยคือตอนเหนือของแม่น้ำเออทิส ระหว่างแม่น้ำเอนนิส
ไซและแม่น้ำอิลีเรื่องชนชาติไทยอพยพกันลงมาจากภูเขาอัลไตนั้นมีผู้คัดค้านมากมาย ชนชาติไทยในถิ่น
เดิมนั้นยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด
ทราบกันว่าแต่ก่อนนี้มีอาณาจักรของคนไทย เราเรียกตนเองว่า “อ้ายลาว” (แปลว่าคนใหญ่ คำว่า
“อ้าย” แปลว่าใหญ่ ส่วน “ลาว” แปลว่าคน) ต่อมาจึงใช้คำว่าไท สันนิษฐานว่าใช้คำว่า “ไท” นี้มานานแต่
หลังอ้ายลาว นอกจากอ้ายลาวแล้วเรายังมีชื่อเรียกกันหลายอย่าง เช่น มุง ลุง ปาตามหลักฐานกล่าวว่า
ถิ่นฐานของไทยอยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำยั่งจื้อ หรือแยงซีไท หรืออ้ายลาวอยู่ในระหว่างแม่น้ำ
สองสายนี้ ปรากฏในจดหมายเหตุจีนเรียกชื่อไทยครั้งแรกว่า “ต้ามุง” หรือ “มุงใหญ่” คือ ชาติ “อ้ายลาว”
ไทยเรียกตนเองว่าอ้ายลาว แปลว่า “คนใหญ่” จีนเขียนจดหมายเหตุไว้ว่า ชนชาติอ้ายลาวเป็นเจ้าของถิ่น
มาก่อนจีน ซึ่งเป็นระยะสองพันปีก่อนคริสต์กาล จีนได้มาพบไทย มุง ลุง ปา ปัง ปละลาว บนฝั่งซ้ายของ
แม่น้ำยั่งจื้อ ครอบครองเสฉวนตะวันตกไปจนเกือบจดทะเล 3,881 ปีหลังจากจดหมายเหตุฉบับนี้ คือ ในปี
ค.ศ.1901 หมอดอดจ์เดินทางไปในในดินแดนนี้ยังได้พบคนไทยที่เรียนตนเองว่า ลุง และ ปา แต่จีนเรียกว่า
“ลุงเชน” แปลว่าประชาชนชาวลุง และพวก “ปา” เรียกว่า “ปายี่” แปลว่า “คนป่าเถื่อน”พวกไทยมุงที่
เรียกตนเองว่าอ้ายลาวนั้นเป็นพวกเก่าแก่โบราณกว่า พวกบาบิโลน อัสสิเรีย และอียิปต์ในหนังสือแสดง
พงศาวดารสยาม พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า “ชนชาติไทยเป็น
ชาติใหญ่ชาติหนึ่งในเอเชียฝ่ายตะวันออกมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล แม้ในทุกวันนี้นอกจากนามสยามประเทศ
นี้ ยังมีชนชาติไทยตั้งภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอื่นอีกเป็นอันมาก ที่อยู่ในดินแดนประเทศจีนก็หลายมณฑล
ทั้งในแดนตังเกี๋ย แดนพม่า ตลอดจนมณฑลอัสสัมในประเทศอินเดีย แต่คนทั้งหลายหากเรียกชื่อต่าง ๆ
กันไปตามถิ่นที่อยู่ เช่น เรียกชาวสยาม ลาว เฉียง ฉาน เงี้ยว ลื้อเขิน และอาหม ที่เรียกตามเค้านามเดิม
ก็มีบ้าง เช่น ผู้ไท ที่แท้พวกที่ได้นามต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นชนชาติไทย พูดภาษาไทยและถือตัว
ว่าเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น ตามเรื่องพงศาวดารเดิมที่ปรากฏมาว่า เดิมนั้นชนชาติไทยตั้งภูมิลำเนา
อยู่ในดินแดนทุกวันนี้ ตกเป็นอาณาเขตของจีนฝ่ายใต้ ที่เรียกว่ามณฑลฮุนหนำ มณฑลกุยจิ๋ว มณฑล
กวางตุ้ง มณฑลกวางใส ทั้งสี่มณฑลนี้มีบ้านเมืองและเจ้านายของตนปกครองแยกย้ายกันอยู่ในหลาย
อาณาเขต จีนเรียกชนชาติไทยพวกนี้ว่า “ฮวน”ในปัจจุบัน ยังมีคนไทยอยู่ในอาณาเขตตอนใต้ของจีน
อีกมาก ในมณฑลไกวเจาและมณฑลกวางสีและในตะวันออกของยูนนานแม้รัฐบาลจีนในปัจจุบันได้
ประกาศว่า คนจีนแคะ ที่แท้เป็นคนไทย ยอมให้แยกตัวเป็นรัฐอยู่ภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน
(3) คนไทยมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันชนชาติอ้ายลาวนั้นเป็นชนชาติไทยในแหลมทอง
หรือเป็นพวกเซียมมอยด์ผิวคล้ำ อพยพกลุ่มใหญ่เพื่อหาที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เกือบทั้งภาค ระหว่าง 5,000 ถึง 4,000 ปีล่วงมาแล้ว พวกเซียมมอยด์ทางตะวันตกเฉียงเหนือและภาคกลาง
ก็อพยพตามขึ้นไปบ้างเหมือนกันแต่ไม่มากเหมือนพวกแรก ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาเขตของจีนตอนใต้
ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนหลัง (ตอนสามก๊ก) ชนชาติไทยในจีนเสื่อมลง มีฐานะเป็นเพียงรัฐหนึ่งในหกรัฐ
ของจีน จึงอพยพกลับลงมาทางใต้อีกครั้งหนึ่ง และอยู่กับพวกเดียวกันในแหลมทอง
อัลไตเป็นเทือกเขาในเอเชียกลาง ตั้งอยู่บนบริเวณพรมแดนร่วมของประเทศรัสเซีย จีน มองโกเลีย และคาซัคสถาน และยังเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญ คือ แม่น้ำอิร์ทีช (Irtysh) แม่น้ำโอบ (Ob) และแม่น้ำเยนิไซ (Yenisei) ด้วย ส่วนปลายทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขา อยู่ที่พิกัด 52 องศาเหนือ กับระหว่าง 84 และ 90 องศาตะวันออก (ซึ่งไปจรดกลืนเขากับเทือกเขาสายัน (Sayan Mountains) ทางตะวันออก) และทอดยาวไปทางตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงพิกัด 45 องศาเหนือ 99 องศาตะวันออก แล้วค่อยๆ ลาดต่ำลง กลืนเข้ากับที่ราบสูงแห่งทะเลทรายโกบี (ข้อมูลจาก Wikipedia ไทย)
******************************************************
คนไทยอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบันมานานกว่า 3,000 ปีแล้ว ไม่ได้อพยพมาจากภูเขาอัลไต หรืออพยพมาจากไหน มีหลักฐานทั้งก่อนประวัติศาสตร์ (คือก่อนจะมีตัวหนังสือ) โดยมีหลักฐานจากการขุดค้นหลุมศพที่บ้านปราสาท ซึ่งตั้งอยู่กลางชุมชนปัจจุบัน พบโครงกระดูกมนุษย์ ชายหญิงและถ้วยโถโอชามที่พิสูจน์แล้วมีอายุเก่าแก่ 2,500-3,000 ปี พอๆกับโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่พบที่บ้านเชียง
และหลักฐานหลังประวัติศาสตร์คือ “ปราสาทหินพนมวัน” และ “ปราสาทหินพิมาย” ซึ่งมีอายุเก่าแก่พันกว่าปี มีจารึกเป็นภาษาเขมรเป็นหลักฐาน เพราะสมัยนั้น ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ตั้งแต่ลพบุรีไปจนถึงกาญจนบุรี ล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของ “เขมร” ซึ่งคนไทยสมัยก่อนชอบเรียกว่า “ขอม” ในยุคอาณาจักรชัยวรมันเรืองอำนาจ ภาคอีสานเขาเรียกว่า “เขมรสูง” เพราะอยู่บนที่ราบสูง
เมืองสำคัญของเขมรในภาคอีสาน ก็คือ “เมืองพิมาย” จึงมีการสร้างปราสาทหินพิมายไว้ที่เมืองนี้ด้วยสถาปัตยกรรมเขมร จากภาพถ่ายดาวเทียมพบว่า ประตูปราสาทหินพิมายพุ่งตรงไปยัง ประตูเมืองนครธมในประเทศเขมร และมีการจารึกเรื่องราวไว้บนกำแพงประตูเป็นภาษาเขมรไว้ด้วย
แม้ในยุคสุโขทัย สมัยที่ พ่อขุนรามคำแหง เรืองอำนาจ ก็ไม่ได้รุกล้ำ เข้าไปในดินแดนนครราชสีมาซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเขมร
จนถึงยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งทรงนิยมสร้าง “เมกะโปรเจกต์” เหมือนรัฐบาลไทยสมัยที่แล้ว โดยสร้าง “นครธม” ที่มีกำแพงเมืองยาวด้านละ 12 กิโลเมตร ด้วยหินและด้วยน้ำมือคนล้วนๆสร้างปราสาทตาพรหม ปราสาทพระขรรค์ อย่างยิ่งใหญ่
มีการเกณฑ์ราษฎรชายนับแสนๆคนไปสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์เหล่านี้ จนไม่เป็นอันทำมาหากิน ปล่อยให้ผู้หญิงและเด็กทำไร่ทำนาเลี้ยงหัวหน้าครอบครัว ที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานสร้างปราสาทเหล่านี้แทน ทำให้บ้านเมืองเกิดความอ่อนแอ
ในที่สุดอาณาจักรเขมรก็ล่มสลายลงในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถูก “พระเจ้าอู่ทอง” แห่งกรุงศรีอยุธยา ตีเอาเมืองมาเป็นเมืองขึ้นมากมาย แล้วประกาศตั้งตนเป็นอิสระ ต่อมาในสมัย “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ทรงรวมเอา “เมืองโคราช” กับ “เมืองเสมา” เป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า “นครราชสีมา” โดยมี “เมืองพิมาย” เป็นหนึ่งในอำเภอของจังหวัดนครราชสีมาด้วย
ไปเห็นมากับตา ฟังหลักฐานมากับหู วันนี้ผมเชื่อสนิทใจว่า คนไทยไม่ได้อพยพมาจากภูเขาอัลไต แต่เกิดที่นี่ มีชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์แล้ว
ถ้าหากรัฐบาลและ คมช.อยากให้เด็กไทยรักชาติ ผมคิดว่ากระทรวงศึกษาฯจะต้องเขียนประวัติศาสตร์ไทย ที่ใช้สอนนักเรียนกันใหม่ ให้คนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยที่แท้จริง ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่เรียนกันอยู่ทุกวันนี้.
จากหลักฐานใหม่ที่อ้างอิงนี้ก็ยังไม่สามารถอธิบายหลักฐานอีกข้อทางประวัติศาสตร์ที่ว่า คนไทยใหญ่ในรัฐฉาน คนไทยลื้อในสิบสองปันนะ คนไทยอาหม ในรัฐอัสสัม เป็นเผ่าเดียวกันอย่างแน่นอนโดยพิจารณาจากความเชื่อทางศาสนา ระบบการปกครอง การปลูกสร้างบ้านเรือน วัฒนธรรมและภาษาได้
เมื่อก่อนนักประวัติศาสตร์ไทยเชื่อกันว่าถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวไทยนั้นอยู่ที่บริเวณเทือกเขาอัลไต ก่อนที่แรงกระตุ้นจากการแสวงหาทรัพยากรจะผลักดันให้คนไทยเราเดินทางผ่านเทือกเขาลูกแล้วลูกเล่า ข้ามแม่น้ำใหญ่สายแล้วสายเล่า อพยพเคลื่อนย้ายกันมาระลอกแล้วระลอกเล่าเป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายพันปี จนมาอยู่อาศัยลงหลักปักฐานกันยังดินแดนสุวรรณภูมิที่เราอยู่ ณ ปัจจุบัน
อัลไตเป็นเทือกเขาในเอเชียกลาง ตั้งอยู่บนบริเวณพรมแดนร่วมของประเทศรัสเซีย จีน มองโกเลีย และคาซัคสถาน และยังเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญ คือ แม่น้ำอิร์ทีช (Irtysh) แม่น้ำโอบ (Ob) และแม่น้ำเยนิไซ (Yenisei) ด้วย ส่วนปลายทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขา อยู่ที่พิกัด 52 องศาเหนือ กับระหว่าง 84 และ 90 องศาตะวันออก (ซึ่งไปจรดกลืนเขากับเทือกเขาสายัน (Sayan Mountains) ทางตะวันออก) และทอดยาวไปทางตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงพิกัด 45 องศาเหนือ 99 องศาตะวันออก แล้วค่อยๆ ลาดต่ำลง กลืนเข้ากับที่ราบสูงแห่งทะเลทรายโกบี (ข้อมูลจาก Wikipedia ไทย)
ทางภูมิศาสตร์ ด้วยความที่เทือกเขาแห่งนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างเขตแดนของทวีปยุโรปและทวีปเอเชียทำให้ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ พันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์มีความหลากหลายมาก โดยในพื้นที่เขตอัลไตที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของมณฑลซินเกียงนั้นมีทรัพยากรทางน้ำที่ถือว่าสมบูรณ์อย่างยิ่ง โดยในเขตนี้นั้นมีแม่น้ำน้อยใหญ่ไหลผ่านกว่า 56 สาย ก่อให้เกิดทัศนียภาพอันงดงาม โดยเป็นส่วนผสมระหว่างเทือกเขาหินสูง ยอดเขาหิมะตระหง่าน กับแม่น้ำสายน้อยใหญ่และทะเลสาบสีฟ้าคราม
สำหรับยอดที่สูงที่สุดของเทือกเขาอัลไตนั้นก็คือ ยอดเขามิตรภาพ (โหยวอี้เฟิง; 友谊峰) ที่อยู่บนรอยต่อระหว่างชายแดนของประเทศจีนกับมองโกเลีย โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง
เทือกเขาอัลไต ในภาษาตุรกีโบราณคือ Altutara Alytau หรือ Altay โดยมีที่มาจากคำว่า Al ที่แปลว่า "ทองคำ" และ tau ที่แปลว่า "ภูเขา" ขณะที่ในภาษามองโกลและภาษาอุยกูร์นั้นคำกว่าอัลไต (Altai หรือ Altay) มีความหมายว่า "เทือกเขาทองคำ"* นอกจากนี้แล้วเทือกเขาแห่งนี้ ยังมีชื่อเรียกว่า เอก-ทัค (Ek-tagh) อัลไตแห่งมองโกล (Mongolian Altai) อัลไตใหญ่ (Great Altai) และอัลไตใต้ (
ทฤษฎีที่ว่า เดิมทีชนชาติไทนั้นอาศัยอยู่เป็นบริเวณจีนตอนใต้จนถึงภาคเหนือของไทยและได้มีการอพยพลงใต้เรื่อยๆ เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน หรือ ทฤษฎีที่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาชนชาติไทก็อาศัยอยู่ในดินแดนที่กลายมาเป็นประเทศไทยในปัจจุบันอยู่แล้วมากกว่า
*****************************************************
ลดโควต้านักเตะต่างชาติ...โง่อวดฉลาดกันเข้าไป
“บังยี” สนับสนุนลดโควตานักเตะต่างชาติที่ลงดวลแข้งในศึก "โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก" และ "ยามาฮ่า ลีกวัน" จาก 7 คน เหลือ 5 คน โดยลงสนามได้ 3 บวก 1 หลังจากมีเสียงเรียกร้องมาจากหลายๆ สโมสรที่มีงบประมาณการทำทีมจำกัด อีกทั้งเพื่อไม่ให้สร้างความเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ชี้ควรจะเริ่มตั้งแต่ฤดูกาลหน้าทันที พร้อมเตือนให้ทุกสโมสรรีบปรับท่าทีในการเซ็นสัญญากับนักเตะต่างชาติ
หลังจากที่มีกระแสข่าวจากบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด (ทีพีแอล) โดย ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานทีพีแอล ได้เสนอแนวทางที่จะปรับลดจำนวนนักเตะต่างชาติที่ลงเล่นในศึกโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก และยามาฮ่า ลีกวัน ในปัจจุบันนี้ จาก 7 คนให้เหลือ 5 คน และสามารถลงสนามได้ 3 บวก 1 เหมือนเดิม คือในแต่ละนัดทุกทีมจะส่งนักเตะต่างชาติลงสนามได้ 3 คน บวกกับนักเตะที่มีสัญชาติเอเชียอีก 1 คน
ล่าสุด "บังยี" นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตนเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว เนื่องจากมีหลายสโมสรทั้งในโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก และยามาฮ่า ลีกวัน ต่างเรียกร้องมาก โดยเฉพาะสโมสรที่มีงบประมาณการทำทีมค่อนข้างจำกัด และเสียบเปรียบสโมสรใหญ่ๆ ที่มีเงินหนา สามารถซื้อตัวนักเตะต่างชาติมาร่วมทีมได้เยอะ โดยความเห็นของตนควรจะเริ่มกันตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเลย ไม่ต้องรอถึงฤดูกาล 2015
นายวรวีร์ กล่าวอีกว่า การลดจำนวนโควตานักเตะต่างชาติลง ทำให้แต่ละสโมสรลดช่องว่างไม่ให้มีความได้เปรียบเสียบเปรียบกันมากเกินไป อีกทั้งสอดคล้องกับนโยบายของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ด้วย อย่างไรก็ตาม ตนขอฝากให้ทุกสโมสรเตรียมปรับตัวในเรื่องของการซื้อขายนักเตะต่างชาติ หรือการปรับปรุงสัญญาต่างๆ กันล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะสมาคมฟุตบอลฯ กับทีพีแอล เห็นพ้องต้องกันว่าควรมีการปรับเปลี่ยนอย่างแน่นอน.
www.dailynews.co.th/sports/203988
เวงกรรม เคยรู้จักคำว่า เสรีไหม แข้งต่างชาติเข้ามามากแสดงว่า คนของเรา ต้องขยันขึ้น เก่งขึ้น สักวันนักเตะต่างชาติจะหมดไปเอง
พวกนี้ชอบทำตามแรงกดดันเสียงส่วนน้อย ไม่เข้าใจพวกคุณท่านจริงๆ
**********************************************************
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ศึกนอกไม่เท่าศึกใน
โดยชื่อชั้น "คุณหญิงหน่อย-สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์"
หากลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมแทน "เก่ง-การุณ โหสกุล"
ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี
กระเด็นจากเก้าอี้ ส.ส.เขตดอนเมือง ย่อมมีความเชื่อมั่นว่าโอกาสชนะมีมากกว่าแพ้
เหตุหนึ่งเพราะ "สุดารัตน์" เป็นกระบี่มือหนึ่งในสนาม กทม.ของพรรค
มาตั้งแต่เป็นไทยรักไทย พลังประชาชน
เหตุสอง "การุณ โหสกุล" เจ้าของพื้นที่ผู้เป็นเจ้าของฐานเสียงตัวจริง
มีความใกล้ชิดให้ความเคารพ "คุณหญิงหน่อย" อยู่ไม่น้อย
เหตุต่อมา ด้วยฐานะบารมีในอดีตหากลงสมัคร "สุดารัตน์"
จะต้องเล่นแบบ "แพ้ไม่ได้" เพราะไม่เช่นนั้นเท่ากับเสียหาย ทำลายประวัติทางการเมืองตัวเอง
และเป็นที่รู้กันอยู่ว่า หากต้องการชนะจริงๆ "สุดารัตน์" พร้อมที่จะทุ่มทุกอย่าง
เพียงแต่ว่า "จะลงหรือไม่ต่างหาก" ที่เป็นประเด็นต้องหาคำตอบ
หนึ่ง จากตัว "สุดารัตน์" เองด้วยศักดิ์ศรีนักการเมืองที่เคยยืนอยู่แถวหน้า
เคียงบ่าเคียงไหล่กับ "ทักษิณ ชินวัตร" เมื่อจะกลับสู่เวที เก้าอี้ "ส.ส." ย่อมไม่ใช่เป้าหมาย
กระทั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเล็ก หรือรัฐมนตรีช่วยยังเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ
เมื่อเก้าอี้ "ส.ส.เขตดอนเมือง" แม้จะมั่นใจในแรงหนุนเท่าไร ยังเหลือความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการเลือกตั้งในเมืองหลวงที่ประมาท
ลีลาของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนไม่ได้
แม้มีเปอร์เซ็นต์สูงว่า "ลงแล้วชนะ" แต่ใช่ว่าจะไม่เหลือจุดหักเหที่จะทำให้ "พ่ายแพ้"
และ เพราะหาก "พ่ายแพ้" จะถึงแก่เสียหายใหญ่หลวงต่อเครดิตทั้งปวงที่สะสมมา
แม้ใจหนึ่งอาจอยากมาแสดงบทบาทในสภา แต่การตัดสินใจทำได้ไม่ง่ายนัก
แต่เหตุส่วนตัวหรือจะเท่าเหตุจากคนอื่นย่อมไม่ใช่คนอื่นที่ไหน แต่เป็นภายในพรรคเพื่อไทยเอง
ช่วงเลือกตัวผู้สมัคร "ผู้ว่าราชการ กทม." เป็นอย่างชัดเจนว่า มีแรงผลักบางประการที่ไม่ต้องการให้ "สุดารัตน์" เป็นตัวเลือก
แม้บรรดานักการเมืองท้องถิ่นอย่าง "ส.ข.-ส.ก." จะแสดงตัวออกมากดดันพรรคกันเอาเป็นเอาตาย
ทว่าในที่สุดแล้วผู้บริหารพรรคยอมหัก ไม่ยอมงอถึงขนาดกล้าที่จะเสียฐานเสียงใน กทม.
เพื่อรักษาเอกภาพการจัดการภายในพรรคไว้
ครั้งนี้ก็เช่นกันแม้ "เพื่อไทย" ต้องการชนะเพื่อรักษาเก้าอี้ไว้ และประกาศให้โลกรู้ว่า
ใน กทม.ไม่ใช่ "เพื่อไทย" จะถูกประชาชนปฏิเสธไปเสียทั้งหมด
และ "สุดารัตน์" มีชื่อชั้นที่ให้ความเชื่อมั่นว่าไม่น่าจะพลาดมากที่สุด
แต่ "คนอื่นที่โอกาสพลาดมากกว่า" ทว่า "รักษาเอกภาพการบริหารภายในพรรคไว้ได้"
อาจจะเป็นมุมที่ผู้บริหารพรรคใช้ตัดสินในมุมนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ตอกย้ำ
ความเจ็บช้ำจากการถูกคนกันเองปฏิเสธอาจบางที "สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" น่าจะเลือกถอยเสียเอง
เพราะอย่างไรก็ดีกว่าต้องมาตอบคำถามในประเด็น "ถูกปฏิเสธจากพรรคหรือไม่"
ที่มา มติชน
********************************
ผมเชื่อว่าผู้บริหารพรรคคงไม่กล้าหักหารน้ำใจแน่นอนที่จะส่ง
จตุพรมาลงและหวังแกนนำนปฃ.
จากผลการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ตามที่ผมเคยวิเคราะก่อนการเลือกตั้งไว้แล้ว
ครั้งนี้ก็เช่นกัน มนต์ขลังนปช.นับวันจะจืดจางจากใจคนเสื้อแดงลงเรื่อยๆ
เหมือนสาระวันเตี้ยลงๆ วาทะกรรมบริหารปากของณัฐวุฒิไม่ได้ช่วยให้พรรคดีขึ้นเลย
รมต.คมนาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เสียอีกที่ทำชื่อให้พรรคและรักษาภาพ
พรรคมีสมองทำงานเป็นให้เห็น คนเขาดูกันที่ผลงานไม่ใช่วาทะ
โชว์ฮ่วย โชว์สวยอะไรนั่นหรอก
นปช.เมื่อโดนกลุ่มไร้การเมืองกวป.ตบหน้า
หมดมนขลังไปเยอะ การต่อรองคงแผวลงเพราะพรรคคงเข็ดที่จะหวังลมๆแล้งๆอีก
หากพรรรตเพื่อไทยคิดหักพร้าด้วยเข่าอีกบอกตรงๆ
แพแตกสส.ในกทม. เหนือและอีสานบางส่วนหายแน่
ขนาดคิดว่าเต็งจ๋าเจอลีลาไร้รอยตีนปชป.ยังปิ๋วเป็นตามที่ผมเคยวิเคราะมาแล้ว
ให้มองท่าทีของสุดารัตน์การตัดสินใจครั้งนี้แล้วกันว่าจะลงหรือบาย
หากลงพรรคคงไม่สบายใจให้ได้นั่งในสภา
หากไม่ลงมีพรรคทางเลือกเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย
ที่อาจเป็นพรรคคานอำนาจพรรคเพื่อไทยในอนาคต
ซึ่งจะเป็นนิมิตดีต่อระบบการเมืองประชาธิปไตยของประเทศ
แทนพรรคปขป.ที่อาจจะสูญพันธุ์ไปจากการเมืองไทย
(จาก IF บอร์ด)
************************************************
วันที่: Fri Nov 15 17:24:02 ICT 2024
|
|
|