วันที่: 2012-09-27 19:03:20.0
ปัญหาโรคกระดูกและข้อที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บยังพบอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสึกหรอของข้อต่อต่างๆ ของร่างกายภายหลังการใช้งานมานาน ภาวะข้อเสื่อมตามสภาพร่างกายนั้นจึงเกิดขึ้นกับทุกคนเมื่อมีอายุมากขึ้น โรคข้อเสื่อมจึงเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุโดยเฉพาะโรคข้อเข่าเสื่อมเนื่องจากเป็นข้อที่รับน้ำหนักและใช้งานมาก การรักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมนับว่ามีความสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการดูแลช่วยเหลือตนเอง ลดอาการปวด ลดอาการแทรกซ้อน ชะลอการเสื่อมของข้อ ป้องกันความพิการ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ข้อเข่า
เป็นข้อรับน้ำหนักที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ข้อเข่าที่ปกติและมีสภาพที่ดี ต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นข้อที่เคลื่อน ไหวได้ดี ไม่ทำให้ปวด และมีความมั่นคงในขณะใช้งาน
รูปภาพ ภาพวาดแสดงข้อเข่าปกติ
โรคข้อเข่าเสื่อม หมายถึง การเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนข้อต่อโดยเกี่ยวข้องกับอายุ การเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกิดในข้อ และการเปลี่ยนแปลงทางเมคานิคของข้อ
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะข้อเข่าเสื่อม
การเปลี่ยนแปลงของข้อ
รูปภาพแสดง การเปลี่ยนแปลงของข้อเข่าเสื่อม
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ในระยะแรก ผู้ป่วยมักมีข้อเข่าบวม อาจร่วมกับอาการปวด อาการขัดที่ข้อ โดยอาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว คือในขณะเหยียดและงอข้อเข่า ซึ่งเกิดจากการที่กระดูกอ่อนผิวข้อไม่เรียบและมีกระดูกงอกเกิดขึ้น ผู้ป่วยบางคนก็จะปรับตัวด้วยการไม่เหยียด หรืองอข้อเข่า เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้เกิดปัญหาข้อติดขัดตามมา อาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ขณะเดียวกันถ้าข้อที่เสื่อมอักเสบนั้นถูกใช้งานมากและต่อเนื่องอาการก็จะเป็นมากขึ้นได้เช่นกัน
โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการต่างๆ เกิดขึ้นพอควรแล้ว หรือ ไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้เหมือนเดิม ซึ่งอาการหลัก ๆ ก็คือ อาการปวด, ขัด และหรือบวมของข้อเข่า หรือในรายที่มีข้อเข่าโก่งอยู่บ้างแล้วก็มักจะมาด้วยเรื่องเข่าผิดรูป หรือทำให้เกิดปัญหาปวดมากขณะเปลี่ยนท่า เช่น จากท่านั่งเป็นท่ายืน
ในผู้ป่วยที่ชีวิตประจำวันต้องมีการนั่งในลักษณะงอข้อเข่ามาก เช่น นั่งยอง ๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิหรือนั่งคุกเข่า หรือจำเป็นต้องขึ้นหรือลงบันไดจำนวนหลาย ๆ ชั้นอยู่เป็นประจำ ก็มักทำให้อาการอักเสบของข้อเข่ารุนแรงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนที่เคยทำในขณะเป็นปกติได้ในเวลาอันสั้น จนอาจเป็นสาเหตุให้ต้องมาพบแพทย์เร็วขึ้น
ดังนั้นคุณควรมีความรู้เกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของโรคข้อเข่าเสื่อมเพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงทีก่อนที่ข้อเข่าจะเสื่อมเพิ่มมากขึ้น
อาการและอาการแสดงของข้อเข่าเสื่อม
(ภาพซ้าย: แสดงเข่าปกติ, ภาพกลาง: แสดงเข่าโค้งงอด้านนอกภาพขวา: แสดงเข่าคดชนกัน)
รูปภาพแสดง ข้อเข่าบวมอักเสบ
การวินิจฉัยภาวะข้อเข่าเสื่อม
อาศัยการซักประวัติ การตรวจร่างกาย โดยผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมมักมีอาการและอาการแสดงดังกล่าว ร่วมกับการถ่ายภาพเอกซเรย์ของข้อเข่า เพื่อทราบความรุนแรงของโรคเพื่อพิจารณาแนวทางในการรักษา
สำหรับการเอ็กซเรย์ อาจจะพบความผิดปกติ เช่น ช่องของข้อเข่าแคบลง มีกระดูกงอกตามขอบของกระดูกเข่าและกระดูกสะบ้า ในรายที่เป็นมากจะพบการโค้งงอของข้อเข่า
แนวทางการรักษา
การวางแผนการรักษาขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย ความรุนแรงของอาการและการแสดงcomorbidity ของผู้ป่วย ได้แก่ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะอาหาร โรคไต และความรุนแรงในการทำลายโครงสร้างของกระดูกอ่อนข้อต่อ
การรักษาโรคโดยไม่ใช้ยา
1. การให้ความรู้เรื่องข้อเข่าเสื่อม คุณควรได้รับทราบเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษา ทราบถึงความสำคัญของการเปลี่ยนลักษณะความเป็นอยู่, การออกกำลังกาย,การทำกิจกรรมการลดน้ำหนัก , การลดแรงกระทำที่ข้อเข่า
2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน
3. กายภาพบำบัดในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม
จากการทำวิจัยในประเทศต่างๆเช่นอเมริกา ออสเตรเลีย พบว่าการรักษาทางกายภาพบำบัดโดยเฉพาะการออกกำลังกายในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม จะช่วยให้ อาการปวดข้อเข่าลดลง สามารถทำกิจกรรมที่เมื่อก่อนทำไม่ได้หรือทำได้ลำบากได้ดีขึ้น เช่น การขึ้นลงบันได การลุกนั่ง และ เพิ่มความสามารถในการทำกิจกรรมได้นานขึ้น เช่นการเดิน เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
หลักการการออกกำลังกายในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม
1. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อข้อเข่า เป็นการยืดกล้ามเนื้อของขาโดยเน้นที่กล้ามเนื้อข้อเข่า สำหรับลดอาการตึงหรือปวดเข่าเวลาเปลี่ยนท่าทางหรืออิริยาบถ เช่นการลุกนั่ง
2. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นการออกกำลังแบบค่อยเป็นค่อยไป จนถึงระดับปานกลาง สำหรับลดอาการปวดข้อเข่าเมื่อมีการใช้งานมาก เช่นเดินนาน
3. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกิจกรรมได้ใกล้เคียงกับปกติมากขึ้น โดยจะเน้นการออกกำลังกายในรูปแบบการเดินสายพาน, ขี่จักรยาน และการฝึกการทรงตัว
4. อุปกรณ์ช่วยในการเดิน
รูปภาพแสดง อุปกรณ์ช่วยในการเดิน
การรักษาโรคโดยใช้ยา
การใช้ยา แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มยาแก้ปวด และกลุ่มยาที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำลายของกระดูกอ่อนและหรือกระตุ้นการซ่อมแซมกระดูกอ่อนที่เสื่อม
1. ยาแก้ปวด
· ยาแก้ปวดที่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยทั่วไปใช้ยา พาราเซตามอล โดยให้เป็นครั้งๆตามความเหมาะสม
· ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตรียรอยด์ ( NSAID) ซึ่งมีทั้งชนิดฉีด รับประทาน และทาภายนอก ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน เพราะมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร
ในปัจจุบันจะมียากลุ่มต้านการอักเสบกลุ่มใหม่ที่มีผลข้างเคียงต่อทางเดินอาหารน้อยลง คือยาต้านการอักเสบ กลุ่ม Cox II แต่ยากลุ่มนี้มีราคาค่อนข้างแพง
ผลข้างเคียงของยา อาการที่พบบ่อยที่สุด คือ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เลือดออกในกระเพาะอาหาร ไตบวม ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
ในกรณีที่มีแผลในกระเพาะอาหาร แพทย์มักจะให้ยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
· ยาทาแก้ปวด มีการใช้กันมากแต่ข้อมูลในเรื่องประสิทธิภาพของยาต่ออาการปวดค่อนข้างจำกัด
การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าข้อ เช่น แพทย์อาจจะฉีดในบางรายที่มีข้อบ่งชี้ เช่น มีการอักเสบร่วมด้วย การฉีดยาเข้าข้อเข่าไม่ควรฉีดเกิน 3 ครั้งต่อปี เนื่องจากผลของยาจะทำลายกระดูกอ่อนข้อต่อ เพื่อลดอาการปวด
· ยากลุ่มคลายความเศร้า จะช่วยเสริมฤทธิ์แก้ปวดได้ โดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาการนอนหลับ
· ยาคลายกล้ามเนื้อ บางครั้งเกิดจากกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าเกร็งตัว การให้ยาคลายกล้ามเนื้อจะช่วยบรรเทาอาการ
2. ยารับประทานเพื่อเสริมบำรุงกระดูกผิวข้อ ยากลุ่มนี้มีผลต่อการยับยั้งการทำลายกระดูกอ่อนและมีฤทธิ์กระตุ้นการซ่อมแซมกระดูกอ่อนข้อเข่าที่เริ่มเสื่อม
น้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม ด้วยการฉีดสารเพิ่มความยืดหยุ่น (Viscosupplementation) เข้าไปในเข่าเสื่อมเพื่อช่วยหล่อลื่นข้อเข่าให้เคลื่อนไหวดีขึ้น และช่วยชะลอการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าออกไป การฉีดจะฉีดอาทิตย์ละครั้งจำนวน 3-5 ครั้ง ซึ่งอาการจะทุเลาลงได้ประมาณ 6 เดือน
3. ยารับประทานเพื่อเสริมบำรุงกระดูกผิวข้อ ยากลุ่มนี้มีผลต่อการยับยั้งการทำลายกระดูกอ่อนและมีฤทธิ์กระตุ้นการซ่อมแซมกระดูกอ่อนข้อเข่าที่เริ่มเสื่อม
4. น้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม ด้วยการฉีดสารเพิ่มความยืดหยุ่น ( Viscosupplementation) เข้าไปในเข่าเสื่อมเพื่อช่วยหล่อลื่นข้อเข่าให้เคลื่อนไหวดีขึ้น และช่วยชะลอการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าออกไป การฉีดจะฉีดอาทิตย์ละครั้งจำนวน 3-5 ครั้ง ซึ่งอาการจะทุเลาลงได้ประมาณ 6 เดือน
การรักษาโดยการผ่าตัด
ก่อนการผ่าตัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ผู้ป่วยควรได้รับข้อมูลและมีส่วนร่วมในตัดสินใจในเรื่องการดูแลรักษา,ประสิทธิภาพของการผ่าตัดชนิดต่างๆความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น ผลลัพธ์ของการผ่าตัด
ข้อห้ามในการผ่าตัดเข่า
1. การส่องกล้อง
วิธีการผ่าตัด
เหมาะสำหรับในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากและขาไม่โก่งมาก โดยการนำเอาผิวข้อส่วนที่สึกหรอและหลุดลอยอยู่ในข้อออก นอกจากนี้ยังตัดกระดูกงอกหรือซ่อมแซมส่วนที่ฉีกขาด
การส่องกล้องเข่าจะได้ผลดีในผู้ป่วยประมาณ 80 % บรรเทาอาการได้ นานประมาณ 2 ปี หรือมากกว่านั้น
รูปภาพ การส่องกล้องข้อเข่า
2. การผ่าตัดจัดแนวกระดูก
วิธีการผ่าตัด
การผ่าตัดจัดแนวกระดูกให้ตรงแนวรับน้ำหนักตัวใช้กรณีที่ขาโก่งมากและข้อยังไม่เสื่อมมาก
ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด
ผู้ป่วยอายุน้อยและยังมีกิจกรรมมาก โดยต้องมีลักษณะผู้ป่วยก่อนผ่าตัดดังนี้
งอเข่าได้อย่างน้อย 90 องศา
ยังมีกระดูกอ่อนผิวข้อด้านในคงเหลืออยู่
ไม่มีหรือมีน้อยมากที่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนด้านนอกของเข่าและกระดูกอ่อนผิวลูกสะบ้า
เข่ายังมันคงดีหรือมีการเลื่อนไปด้านนอกหรือความไม่มันคงไม่มากนัก
3. การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน
การเปลี่ยนผิวข้อเฉพาะส่วน เป็นการเปลี่ยนผิวข้อเพียงซีกด้านในหรือซีกด้านนอกของข้อ ที่เป็นบริเวณรับน้ำหนักเข่าเท่านั้น และไม่มีการเปลี่ยนผิวของกระดูกสะบ้า รวมทั้งเส้นเอ็นไขว้ด้านหน้า ยังดีอยู่ สำหรับวัสดุที่ใช้ในการเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วนมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับข้อเข่าเทียมชนิดทั้งข้อข้อเข่า
รูปภาพ การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน
4. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด
เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนเฉพาะผิวของกระดูกที่สึกหรอ ขรุขระไม่เรียบ คือ กระดูกจากส่วนต้นขา และกระดูกจากส่วนหน้าแข้ง และผิวของกระดูกสะบ้าออกแล้วทำการแต่งกระดูกให้ได้มุมรับกับผิวข้อเทียมที่จะใส่เข้าไป โดยส่วนใหญ่แพทย์อาจจะใช้สารยึดกระดูกเพื่อให้เกิดการยึดข้อเทียมกับกระดูก ซึ่งเมื่อสารนี้แข็งตัวดีแล้วจะมีความแข็งแรงมาก และความทนทานนาน ทำให้ผู้ป่วยสามารถเดินลงน้ำหนักได้ทันทีภายหลังจากการผ่าตัด
วิธีนี้ได้ผลดีมากกว่า 90 % และมีอายุการใช้งานประมาณ 10-15 ปี
รูปภาพ การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมทั้งหมด
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนทั่วๆไปที่อาจพบ เช่น ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, หัวใจวาย, เสียชีวิต
การปฏิบัติตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัด
การให้ข้อมูลและการเตรียมความพร้อมก่อนการรักษาตัวโรงพยาบาล
1. ท่านจะได้รับการให้คำปรึกษาและแนะนำถึงสภาวะของโรค และข้อดี ข้อเสีย รวมถึงภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม การปฏิบัติตนก่อนการผ่าตัด การพักฟื้นขณะอยู่ที่โรงพยาบาล และแนวทางการปฏิบัติตัวก่อนกลับบ้าน และเมื่ออยู่ที่บ้านรวมทั้งมีโอกาสได้ซักถามข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดโดยทีมศัลยแพทย์ และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ
2. ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาทุกชนิดที่ท่านใช้เป็นประจำ โดยเฉพาะกรณีที่ท่านมีโรคประจำตัว เพื่อปรึกษาแพทย์ร่วมดูแลเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด
3. หลังจากนั้นท่านจะได้รับการส่งตรวจวินิจฉัย โดยการเจาะเลือด เอ็กซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และส่งปรึกษาอายุรแพทย์
4. หากมีปัญหาฟันผุ ควรได้รับการตรวจรักษาก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อไปตามกระแสเลือดภายหลังผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อของข้อเข่าเทียมได้
5. ท่านจะได้พบวิสัญญีแพทย์เพื่อรับคำอธิบายถึงชนิดยาสลบที่ใช้และการลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด
6. เตรียมสถานที่ที่บ้าน ดังนี้
- ควรนอนชั้นล่างของบ้าน จัดวางสิ่งของให้เป็นระเบียบ อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ควรอยู่ใกล้มือหยิบใช้ได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันไดบ่อยๆ
- ห้องน้ำควรมีราวสำหรับยึดจับ
7. ควรบริหารกล้ามเนื้อและข้อให้แข็งแรง เพื่อช่วยให้ผลของการผ่าตัดดี และสามารถเดินเป็นปกติโดยเร็วภายหลังผ่าตัดทำแต่ละท่าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน และควรทำพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง
การปฏิบัติตนก่อนรับการผ่าตัด
1. งดน้ำและอาหาร 6 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัดถอดเครื่องประดับทุกชนิดเก็บในตู้เซฟหรือให้ญาตินำกลับ และสวมชุดที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้
2. ถอดฟันปลอม
3. ให้เจ้าหน้าที่ล้างเล็บออกหมด (ถ้าทาเล็บ) การหายใจ ให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทางปาก ทำ 10 ครั้งทุกชั่วโมง หายใจเข้าซี่โครงขยายออก และหายใจออกซี่โครงแฟบ
4. การไอ ให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้ามาจมูกลึกๆ กลั้นหายใจไว้สักครู่ แล้วไอออกมา เป็นการเอาเสมหะออกจากลำคอ ป้องกันเสมหะตกค้างในปอด
การปฏิบัติตัวหลังเข้ารับการผ่าตัด
1. หลังผ่าตัด จะมีท่อระบายเลือดต่อลงขวดสุญญากาศและพันขาด้วยผ้าพันแผล เพื่อให้ข้อเข่าเหยียดตรง ข้อเข่านี้จะใส่ไว้ประมาณ 1-3 วันจนกว่าจะไม่มีเลือดออกจากท่อระบาย
2. เมื่อรู้สึกตัวดี ให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทางปาก ทำ 10 ครั้งทุกชั่วโมงขณะตื่น
การปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
1. ดูแลแผลผ่าตัดให้สะอาดอยู่เสมอ ระวังอย่าให้เปียกน้ำ แนะนำเรื่องสังเกตอาการของการติดเชื้อของแผลผ่าตัด เช่น แผลบวมแดง แผลแยก มีเลือดออกมา
2. หมั่นบริหารกล้ามเนื้อ และข้ออย่างสม่ำเสมอ
3. รับประทานยาตามคำสั่งการรักษาของแพทย์
4. มาตรวจตามนัด
5. สังเกตอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ คือ อาการปวด บวมบริเวณน่อง ขา รวมถึง ข้อเท้าและมีอาการปวด มีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกมาจากแผล มีไข้สูง ข้อเข่า บวม แดง ข้อเข่าผิดรูปไปจากปกติ หายใจติดขัด และหายใจลำบาก
6. รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก หรือวิตามินซีสูง เน้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง เพื่อช่วยบำรุงกระดูก บำรุงเลือด ได้แก่ นม โยเกริต์ เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย ส้ม
7. ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
8. ระวังการพลัดตกหกล้ม เนื่องจากข้อเข่ายังไม่แข็งแรง ควรใช้อุปกรณ์ช่วยในการเดิน
9. หลีกเลี่ยง การขึ้น ลงบันไดที่สูงชัน การขึ้นลงบันได จะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อกล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรงแล้ว และต้องมีราวบันไดสำหรับจับช่วยพยุง ควรเริ่มจากการก้าว 1 ขั้นก่อนในครั้งแรก ก้าวทีละขั้น ช้าๆ ต้องจับราวบันไดตลอดเวลา
คำแนะนำในการขึ้นบันได
· ก้าวแรกด้วยขาปกติ
· ตามด้วยขาที่ถูกผ่าตัด
· จากนั้นจึงนำไม้เท้าขึ้น
· ทำซ้ำ
คำแนะนำในการลงบันได
· วางไม้เท้าลงบนขั้นบันได
· ค่อยๆวางขาที่ผ่าตัดลง
· จากนั้นลงด้วยขาปกติ
· ทำซ้ำ
10. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือการรับน้ำหนักที่มากที่มากเกินไป
11. หลีกเลี่ยงการนั่งยองๆ นั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ หรือนั่งขัดสมาธิ การนั่งควรนั่งเก้าอี้ที่มีวางแขน การเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่ายื่น ควรพยายามถ่ายน้ำหนักให้เท่ากันทั้งข้าง
12. หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่เร็วเกินไป รวมถึงการหมุนตัวที่รวดเร็วด้วย
13. หลีกเลี่ยงกีฬา เช่น วิ่ง เทนนิส กอล์ฟ หรือกีฬาที่มีแรงกระแทกที่ข้อเข้า แต่สามารถเดินเล่น ปั่นจักรยานระยะสั้นๆและเต้นรำได้
14. เวลานอนตะแคง ควรที่จะวางหมอนระหว่างหัวเข่าทั้งสองข้าง เวลานอนหงายไม่ควรวางหมอนไว้ใต้หัวเข่า
15. จัดวางสิ่งของหรือของใช้ในชีวิตประจำวันให้อยู่ใกล้ตัวเพื่อสะดวกต่อการหยิบใช้
16. หากผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดใดๆหรือไปทำฟันควรแจ้งให้แพทย์ หรือทันตแพทย์ทราบทุกครั้งว่าได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมไว้ เพื่อการพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของข้อเข่าเทียม
17. เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ไม่มีข้อจำกัด แต่ไม่ควรใช้ท่าที่มีการงอเข่ามาก
ระยะเวลา 2 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
การเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าเป็นปกติ
อาการปวดและข้ออุ่น เกิดขึ้นเป็นเวลา เช่น เวลาฝึกงอข้อเข่ามากๆ โดยเฉพาะกลางคืน วิธีปฏิบัติที่เหมาะสม คือ ลดความถี่ในการฝึกงอข้อ ฝึกงอข้อเข่าแบบช้า ๆเวลานอนสามารถหนุนขาบนหมอนให้ปลายเท้าสูง
ความบวม อาจพบว่าขาข้างที่ผ่าตัดมีขนาดใหญ่ หรือบวมกว่าข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด โดยเฉพาะเมื่อนั่งห้อยเท้านาน ๆไม่นั่งห้อยเท้านาน กระดกเท้าและข้อเท้าขึ้น/ลงบ่อย ๆ เกร็งกำลังเหยียดข้อเข่าตรงบ่อย ๆ และฝึกเดินโดยยกเท้าขึ้นสูงระหว่างก้าวขา
ระยะเวลา 6 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
การเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าเป็นปกติ
อาการปวดและข้ออุ่น ยังคงมีอยู่ และมีอาการปวดจี๊ดรอบๆข้อหรือกล้ามเนื้อขากระตุก เกิดจากปลายประสาทความรู้สึกเริ่มทำงานใหม่หลังผ่าตัด
ระยะเวลา 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือนหลังการผ่าตัด
การเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าเป็นปกติ
อาการปวดนานๆครั้ง อาการเข่าอุ่นยังคงมีอยู่ อาการบวมควรหายไป แผลเป็นมีรอยเด่นชัดที่สุด
ระยะเวลา 6 เดือนหลังการผ่าตัด
การเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าเป็นปกติ
ไม่มีอาการปวด บวม อาการเข่าอุ่นหายไปหรือน้อยมาก แผลเป็นมีรอยนูนน้อยลง
ระยะเวลา 12 เดือนหรือ1 ปี หลังการผ่าตัด
เดินและทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ
การเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าเป็นปกติ
ไม่มีอาการปวด บวม อาการเข่าอุ่นและแผลเป็นไม่มีรอยนูน
|
|
|