Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ช่างกล้า!! ลักลอบขุดอัฐิ"ซานตาครอส" จนกระจัดกระจายไปทั่ว!!

ArjanPong | 25-12-2561 | เปิดดู 1754 | ความคิดเห็น 0

 

จิตรกรนาม "โธมัส นาสต์" (Thomas Nast) ชาวอเมริกัน ได้เขียนภาพซานตาคลอสขึ้นมา

เป็นชายแก่ร่างอ้วนใส่เสื้อผ้า และหมวกสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะ

ที่มีกวางเรนเดียร์ลาก โดยจะปรากฏตัวในวันคริสต์มาส ลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอา

ของขวัญมาให้เด็ก ๆ ที่แขวนถุงเท้าไว้ 

 

 

ภาพนักบุญนิโคลัส (จากจินตนาการ) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในอารามกิไซ

(Kizhi monastery) สาธารณรัฐคาเรเลีย (Republic of Karelia) ประเทศรัสเซีย

 

 

ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองไมรา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี)

 

 

มหาวิหารนักบุญนิโคลัส (Basilica di San Nicola) เมืองบารี (Bari) ประเทศอิตาลี

และโครงกระดูก (ที่เชื่อว่าเป็น) ของนักบุญนิโคลัส ที่ห้องใต้ดินของมหาวิหาร

 

 

โบสถ์นักบุญนิโคลัส (The Church of San Nicolò al Lido) เมืองเวนิส

(Venice) ประเทศอิตาลี

 

 

ชิ้นส่วนกระดูกเชิงกรานที่ได้รับการตรวจสอบอายุจาก ม.ออกซฟอร์ด

 

 

ส่วนที่แรเงาสีดำคือกระดิ้นส่วนกระดูกที่พบที่มหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี,

ส่วนที่ลูกศรชี้คือกระดูกส่วนที่ได้รับการตรวจสอบอายุโดย ม.ออกซฟอร์ด

 

 

กระดูก (ที่เชื่อว่าเป็น) ของนักบุญนิโคลัส ที่ห้องใต้ดินของมหาวิหาร

โบสถ์นักบุญนิโคลัส เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ช่างกล้า!! ลักลอบขุดอัฐิ"ซานตาครอส" จนกระจัดกระจายไปทั่ว!!
www.arjanpong.com
#ซานตาครอส #คริสมาส #ธรณีสัณฑฆาต
ซานตาคลอส” (Santa Claus) หรือ “ซานตา” บุคคลในจินตนาการจากตำนานในโลกตะวันตก มีลักษณะเป็นคุณลุงใจดี พุงพลุ้ย หนวดเคราสีขาวยาวเฟิ้ม ใส่ชุดสีแดงทั้งตัว พร้อมส่งเสียงหัวเราะ “โฮะโฮะโฮะ” นั่งรถเลื่อนหิมะที่ลากด้วยกวางเรนเดียร์มาจากขั้วโลกเหนือพร้อมกับของขวัญเต็มคันรถ เพื่อนำมามอบให้กับเด็กดีถึงบ้านในช่วงระหว่างวันคริสต์มาสอีฟ (วันที่ 24 ธันวาคม) จนถึงเช้ามืดของวันคริสต์มาส (วันที่ 25 ธันวาคม)

หลายท่านอาจจะทราบอยู่แล้วบ้างบุคลิกและเรื่องราวของ ซานตาคลอส นั้น ได้รับแรงบันดาลใจหรือมีต้นแบบมาจาก นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา (Saint Nicholas of Myra) นักบุญผู้มีเมตตาโดยเฉพาะแก่ผู้ยากไร้และเด็กๆ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4

เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ผลการตรวจสอบอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีเรดิโอคาร์บอน ของชิ้นส่วนกระดูกเชิงกรานที่ถูกอ้างว่าเป็นของ นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา และเคยถูกเก็บรักษาอยู่ในฝรั่งเศสมานาน แต่ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของบาทหลวงเดนนิส โอนีล (Father Dennis O'Neill) แห่งโบสถ์นักบุญมาร์ธาแห่งเบธานี (St. Martha of Bethany Church) มลรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา

การตรวจสอบอายุในครั้งนี้นำโดยศาสตราจารย์ ทอม ไฮแอม (Tom Higham) และ ดร.จอร์จ คาซัน (Georges Kazan) นักวิจัยแห่ง the Oxford Relics Cluster ของ Keble College's Advanced Studies Centre มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษ พบว่ากระดูกชิ้นดังกล่าวเป็นของคนที่มีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา มีชีวิตอยู่

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าวบ่งบอกเพียงว่าเจ้าของกระดูกชิ้นนี้ มีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 เท่านั้น ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกระดูกของ นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา จริงหรือไม่ แต่เหตุใดจึงชวนให้เชื่อว่า กระดูกชิ้นนี้เป็นของนักบุญนิโคลัส แห่งไมรา?

สารานุกรมคาทอลิก (ค.ศ.1913) ระบุว่านักบุญนิโคลัสเสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.345 หรือ ค.ศ.352 แต่แม้ว่าท่านจะเป็นนักบุญที่เหล่าคริสตจักรกรีก (Greek Church) และคริสตจักรละติน (Latin Church) ให้ความชื่นชมและเคารพนับถือเป็นอย่างมาก แต่กลับปรากฏข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัดน้อยมาก สามารถสืบค้นได้แต่เพียงว่าท่านเป็นมุขนายกแห่งไมรา (Bishop of Myra) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4

อย่างไรก็ตาม มีตำนานที่เกิดขึ้นทีหลังให้ข้อมูลว่า นักบุญนิโคลัส เกิดใน ค.ศ.270 ที่เมืองปาทารา (Patara) ภูมิภาคอนาโตเลีย (Anatolia) ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน

หลังการเสียชีวิตของนักบุญนิโคลัสเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4 ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่เมืองไมรา(Myra) ประเทศตุรกีในปัจจุบัน แต่หลังจากสมรภูมิแมนซิเคิร์ท (Battle of Manzikert) เมื่อ ค.ศ.1071 เมืองไมราได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเซลจุคเติร์ก (Seljuq Turks) จักรวรรดิของชาวมุสลิมซุนนี

ทำให้กะลาสีชาวคริสต์จากเมืองบารี (Bari)[9] กลุ่มหนึ่งกังวลถึงความปลอดภัยของอัฐินักบุญนิโคลัส จึงได้เดินทางไปเมืองไมราเพื่อ (แอบ) นำอัฐิส่วนใหญ่ของท่านมายังมหาวิหารนักบุญนิโคลัส (Basilica di San Nicola) เมืองบารี ประเทศอิตาลีในปัจจุบัน โดยเดินทางกลับถึงบารีเมื่อ ค.ศ.1087 และมีการบรรจุอัฐิลงในหลุมศพภายในห้องใต้ดินของมหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี อย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1089 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Pope Urban II)

อัฐิส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ไมรานั้น ถูกแบ่งส่วนอีกครั้งในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 1 (ค.ศ.1096–1099) โดยกะลาสีชาวเวนิสได้ (แอบ) ขนย้ายอัฐิบางส่วนที่ไมรา ไปยังโบสถ์นักบุญนิโคลัส (The Church of San Nicolò al Lido) เมืองเวนิส ประเทศอิตาลีในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีโบสถ์อีกหลายแห่งทั้งในยุโรป รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ที่อ้างว่าได้ครอบครองอัฐิชิ้นเล็กๆ เช่น ฟันหรือกระดูกนิ้วมือ ของนักบุญนิโคลัสไว้

จากการศึกษากระดูกในหลุมฝังศพใต้มหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี ประเทศอิตาลี เมื่อ ค.ศ.1953 และ ค.ศ.1957 และการศึกษากระดูกในหลุมฝังศพที่โบสถ์นักบุญนิโคลัส เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เมื่อ ค.ศ.1992 ของ ลุยจิ มาร์ติโน (Prof. Luigi Martino) ศาสตราจารย์ด้านกายวิภาค มหาวิทยาลัยบารี (University of Bari) ประเทศอิตาลี นั้น พบว่ากระดูกจากทั้ง 2 สถานที่ เป็นโครงกระดูกของคนคนเดียวกัน

ส่วนกระดูกที่อยู่ในความครอบครองของบาทหลวงเดนนิส โอนีล ที่อ้างว่านำมาจากฝรั่งเศส และได้รับการตรวจสอบอายุโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดใน พ.ศ.2560 นั้น เป็นชิ้นส่วนกระดูกหัวหน่าวข้างซ้าย (left pubis) ซึ่งไม่ปรากฏในโครงกระดูกที่เก็บไว้ในมหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี และโบสถ์นักบุญนิโคลัส เมืองเวนิส

ยิ่งไปกว่านั้น โครงกระดูกที่มหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี นั้น ปรากฏเฉพาะกระดูกปีกสะโพกข้างซ้าย (left ilium) แต่ไม่ปรากฏกระดูกส่วนหัวหน่าวแต่อย่างใด อาจเป็นไปได้ว่า กระดูกหัวหน่าวชิ้นที่ได้รับการตรวจสอบอายุนี้ คือชิ้นส่วนที่ขาดหายไป

หลังจากนี้ นักวิจัยจะตรวจดีเอ็นเอของกระดูกชิ้นนี้ เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของกระดูกที่ถูกอ้างว่าเป็นของนักบุญนิโคลัสจากที่อื่นๆ รวมถึงโครงกระดูกที่เก็บไว้ที่เมืองบารี ประเทศอิตาลี เพื่อตรวจสอบว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการค้นหาร่องรอยของ นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา มากขึ้น......

Credit : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:36:23 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>