ทำไมต้องใส่ชุดดำไปงานศพ
ดูเหมือนแฟชั่นสมัยนี้จะไม่ 'ถือ' เรื่องสีของเสื้อผ้ากันแล้วคนสมัยนี้จึงสามารถสวมชุดดำไปในงานต่าง ๆ ได้ แม้ในงานรื่นเริงก็ตาม ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้หลักผู้ใหญ่เห็นเข้าคงตำหนิและให้ไปเปลี่ยนชุดใหม่ เพราะสีดำใช้กับงานศพ
คนสวมชุดดำคือคนไว้ทุกข์แสดงความเศร้าโศกอาลัยผู้จากไปคนที่ไปงานศพก็สวมชุดดำเพื่อแสดงความเคารพแก่ผู้เสียชีวิต
เมื่อสืบเสาะเรื่องการสวมชุดดำไปงานศพหรือไว้ทุกข์ของคนไทยจะเห็นว่าไม่ได้เป็นประเพณีของไทยแต่ดั้งเดิม หนังสือประเพณีเนื่องในการเกิดและประเพณีเนื่องในการตาย ของเสถียร โกเศศ
กล่าวไว้ว่าคนไทยนุ่งทั้งสีขาวสีดำ และสีอื่น ๆ ไปงานศพเพิ่งจะนิยมเฉพาะสีดำในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามนี่เอง
ต้นเหตุของการแต่งดำที่แท้จริงนั้นน่าจะเป็นความเชื่อที่เกิดจากความกลัวที่มีอยู่ในตัวมนุษย์มานานแล้ว เพียงแต่มนุษย์แต่ละชาติแต่ละเผ่าพันธุ์และแต่ละยุคมีวิธีจัดการกับความกลัวนี้อย่างไร ความกลัวที่ว่าคือ กลัวภูตผีวิญญาณของคนตายจะกลับมาและหาร่างอยู่
พิธีศพของฝรั่งที่มีการจุดเทียนไว้รอบร่างผู้ตาย เพราะเชื่อว่าแสงเทียนจะทำให้วิญญาณตกใจไม่กล้าเข้าร่าง ด้วยเชื่อว่าในโลกของภูตผีวิญญาณนั้นไม่มีแสง มีแต่ความมืดมิดตลอดกาล เมื่อภูตผีเจอแสงเข้าจึงกลัว ดังนั้นเมื่อเข้าร่างคนตายไม่ได้ก็อาจจะเข้าร่างคนเป็นก็ได้ !
ด้วยความกลัวว่าวิญญาณจะเข้าสิงเอาขณะเผลอ คนเป็นจึงต้องทำตัวให้ต่างไปจากเดิม ด้วยการทาสีร่างกายหรือแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายแปลก ๆ บางชุมชน ญาติผู้ตายที่ใกล้ชิดที่สุดจะเอาเสื้อผ้าของผู้ตายมาสวมอยู่หลายอาทิตย์หรืออาจจะหลายเดือนผู้ชายทางภาคอีสานของบ้านเราที่กลัวโรคไหลตายใช้วิธีทาเล็บด้วยสีแดงให้เหล่าภูตผีเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงจะได้ไม่เอาตัวไป
ผ้าสีดำที่มักเห็นหญิงม่ายฝรั่งแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนคลุมหน้าในงานศพนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ กลัววิญญาณสามีจะจำได้ โดยเธอจะคลุมหน้าและแต่งดำไว้ทุกข์อยู่ ๑ ปีเต็ม
แต่ทำไมต้องสีดำ ?
นักโบราณคดีฝรั่งสันนิษฐานว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผิว เพราะคนผิวขาวยุคแรกทาตัวด้วยสีดำในงานศพเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างคนกับวิญญาณ ทำนองเดียวกันคนแอฟริกันผิวดำบางเผ่าที่ทาตัวด้วยสีขาวให้ตรงข้ามกับสีผิวธรรมชาติที่มีอยู่ เป็นการเลี่ยงไม่ให้วิญญาณเห็นและเข้าสิง แม้ในศตวรรษนี้ก็ยังคงพอเห็นการปฏิบัติเช่นนี้ของคนผิวดำ ส่วนคนผิวขาวเปลี่ยนจากการทาสีตามตัวมาเป็นสวมเสื้อผ้าสีดำแทน
แนวคิดเรื่องชุดดำของคนไทยน่าจะมาจากทางตะวันตกนี้ด้วย เพราะงานศพสมัยก่อนของคนไทยค่อนข้างจะครื้นเครงของเสื้อผ้าที่สวมก็ไม่ได้เคร่งครัดเจาะจงว่าจะเป็นขาวล้วนดำล้วนทั้งยังมีมหรสพการละเล่นยามค่ำคืนอีก เป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมประเพณีที่ฝรั่งเห็นเข้าเมื่อไรเป็นงงเมื่อนั้น
“ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”
***********************
กปปส.ส่อ รอเก้อ'ทูตมหาอำนาจ-อาเซียน'เมินคำเชิญเยี่ยมม็อบ
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6:3 ไม่รับคำร้อง"สุเทพ-อภิสิทธิ์"ล้มล้างปกครอง ชี้ประชาชนชุมนุมใช้เสรีภาพสงบปราศจากอาวุธ เหตุไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย กรณีที่ นายกิตติ อธินันท์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ กระทำการเพื่อล้มล้างการปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องจากได้จัดให้มีการชุมนุมปิดเส้นทางการจราจรบนถนนราชดำเนิน จากแยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และในภายหลังมีการบุกยึดสถานที่ราชการต่างๆ
โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การชุมนุมของประชาชน ตามคำร้องเป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุม โดยสงบ และปราศจากอาวุธ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง โดยมีเหตุผลมาจากความไว้วางใจ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ของรัฐบาล อันถือเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และเป็นเพียงการเรียกร้องและแสดงพลังด้วยการสนับสนุนของประชาชนเป็นจำนวนมาก
ที่มา : http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/91506.html
18 ธันวาคม 2556 เวลา 18:04 น.
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว
ความขัดแย้งภายในครอบครอบครัว เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อใดก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
จำเป็นที่จะต้องแก้ไขด้วยการพูดจาตกลงกันให้รู้เรื่อง ชีวิตครอบครัวที่จะมีความสุขนั้นสมาชิกต้องรู้จักวิธี
โต้เถียงกันและแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาในทางที่สร้างสรรค์
ต่อไปนี้ เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
1. แสดงความรู้สึกและอารมณ์ที่แท้จริงออกมาอย่างตรงไปตรงมา เช่น เมื่อรู้สึกโกรธ ก็ควร
จะพูดออกมาว่า “โกรธ” ดีกว่าที่จะใช้อารมณ์พูดถากถางเสียดสีหรือเปรียบเปรยอีกฝ่าย
2. เมื่อจะพูดกับอีกฝ่ายถึงปัญหาข้อขัดแย้ง ต้องมีความพร้อมทางร่างกาย อย่างน้อยที่สุดต้อง
ไม่รู้สึกหิว หรือเหนื่อย
3. พูดถึงเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ไม่ใช่ตีตราบุคลิกภาพของอีกฝ่าย เช่น พูดว่า “ฉันไม่
ชอบที่คุณทำอย่างนี้” แทน “คุณนี่แย่มากที่ทำอย่างนี้” เป็นต้น
4. ให้โอกาสอีกฝ่ายชี้แจงเหตุผล จงฟังสิ่งที่อีกฝ่ายชี้แจงอย่างตั้งใจ อย่ารีบด่วนตัดสิน
ความผิด เพราะการมีอคติจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้
5. ย้ำเรื่องราวให้เข้าใจตรงกัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเข้าใจความหมายของคำพูดตรงกัน
เมื่อพูดต้องสังเกตท่าทีและความรู้สึกของอีกฝ่าย เพื่อการปรับท่าทีให้เหมาะสม
6. ฝ่ายที่ถูกโกรธจะต้องจับประเด็นปัญหาให้ได้ ว่าถูกโกรธเรื่องอะไร หาปัญหาที่แท้จริง
ค้นหาได้จากการถามอย่างนุ่มนวล ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตกเป็นจำเลย แต่ให้บอกถึงสิ่งที่ต้องการจริงๆ
7. พูดเฉพาะเรื่องปัญหาปัจจุบัน ไม่ควรนำเรื่องเก่าที่ค้างฝังใจมาพูดปนกับปัญหาที่ต้องการ
แก้ไข ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งพูด ควรยับยั้งด้วยการพูดตัดบทว่า คงต้องแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ก่อน เรื่องเก่านั้นเอาไว้
พูดทีหลัง
8. เตรียมพร้อมเสมอที่จะประนีประนอม การประนีประนอมต้องมีความตั้งใจจริงที่จะพบกัน
ครึ่งทาง การยอมอีกฝ่ายไปเสียทุกอย่างหรือ “ยอมประนีประนอม” แต่รู้สึกตลอดเวลาว่า “จริงๆแล้ว ฉันเป็น
ฝ่ายถูก” เหล่านี้มิใช่การประนีประนอมที่แท้จริง
9. ขอให้เรื่องจบลงด้วยดี ทุกครั้งที่ขัดแย้งหรือโต้เถียงกัน ขอให้เรื่องจบลงด้วยดี ด้วยการ
เจรจากันให้เข้าใจ ทั้งสองฝ่ายอย่าปล่อยทิ้งค้างไว้ ให้เป็นเรื่องบาดหมางกันทีหลัง
10. จงตั้งใจมั่นที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข ครอบครัวที่สมาชิกตั้งใจมั่น และขวนขวายทุก
วิถีทางที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข ถือเป็นจุดร่วมพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
การแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัว ควรมุ่งประเด็นว่า “ทำอย่างไร พวกเราจึงจะสามารถ
แก้ปัญหานี้ได้” มากกว่า “ใครคือคนที่ก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งควรถูกตำหนิมากที่สุด?”
.
สมพร อินทร์แก้ว. รวมบทความสุขภาพจิตครอบครัว. มปท. 2537, หน้า 17 – 18.
*******************************
ประวัติความเป็นมาของวันพระ
โดยเนื้อแท้ การรักษาอุโบสถ ก็คือ การสมาทานรักษาศีล 8 อย่างเคร่งครัดเป็นเอกัชฌสมาทานมั่นคงอยู่ด้วยความผูกใจตลอดกาลของอุโบสถที่ตนสมาทานนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดประโยชน์สำคัญดังกล่าวแล้ว
ถิ่นเดิมชาวไทย
โดย
nachart@yahoo.com
อยากทราบประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่เคยเรียนมาในยุคก่อนว่าคนไทยเราได้อพยพมาจากแถบเทือกเขาอัลไตในประเทศจีนนั้น ทราบว่าขณะนี้มีนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่อ้างว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากขาดหลักฐานอ้างอิงที่ถูกต้อง ขอทราบรายละเอียดด้วยครับ
ไท
ตอบ ไท
หนังสือ "โบราณคดีเบื้องต้น" โดย รศ.ปรีชา กาญจนาคม คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สรุปสมมติฐาน 6 ข้อเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทย ดังนี้
1.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันตกและเอเชียกลาง
สมมติฐานนี้อิงอยู่กับทฤษฎีความเชื่อที่ว่าแหล่งอารยธรรมของโลกตะวันออกมีจุดดั้งเดิมอยู่ที่บริเวณเอเชียกลางใกล้ทะเลสาบแคสเปียน ก่อนที่จะแพร่กระจายออกไปในทิศทางต่างๆ แต่จากการขุดค้นพบโครงกระดูกคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ใกล้กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี พ.ศ.2470 และการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีของจีน ทำให้สมมติฐานข้อนี้ไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไป
2.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณตอนเหนือและบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวน
สมมติฐานนี้อิงอยู่กับประวัติศาสตร์จีนสมัยราชวงศ์ฮั่นที่มีบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรในบริเวณนี้ว่าชื่ออาณาจักรต้ามุง อาณาจักรลุง อาณาจักรปา และอาณาจักรอ้ายลาว เป็นอาณาจักรของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทย สมมติฐานนี้ยังสัมพันธ์กับทฤษฎีที่ว่าอาณาจักรน่านเจ้าเป็นของคนไทย โดยพวกอ้ายลาวได้สถาปนาขึ้นภายหลังที่หนีการรุกรานของจีนลงมาจากทางเหนือ ต่อมาอาณาจักรน่านเจ้าถูกรุกรานจากพวกมองโกลและได้อพยพผู้คนลงมาสู่ทางใต้ในบริเวณแหลมอินโดจีนจนเกิดเป็นรัฐต่างๆ ขึ้นในเวลาต่อมา
สมมติฐานนี้ถูกคัดค้านเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าทางด้านชาติพันธุ์วิทยาและภาษาศาสตร์ พบว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาไทยเป็นพวกที่ประกอบการกสิกรรมเพาะปลูกพืชเมืองร้อน เช่น ปลูกข้าวเจ้าเป็นหลัก ถิ่นเดิมของคนที่พูดภาษาไทยจึงน่าจะอยู่ในเขตร้อนชุ่มชื้นมากกว่า
และการสำรวจหลักฐานข้อมูลจากจดหมายเหตุจีนทั้งหมด ยังพบว่า ไม่เคยมีคนที่พูดภาษาไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนมาก่อน ไม่มีแม้แต่การอพยพผู้คนทั้งชนชาติเพื่อหนีการครอบงำของชนชาติจีน และยังได้พบอีกว่าภาษาของคนส่วนใหญ่ของอาณาจักรน่านเจ้าไม่ใช่ภาษาไทย ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของคนน่านเจ้าส่วนมากก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับพวกกลุ่มคนไทย
3.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณมณฑลยูนนาน และทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
สมมติฐานนี้อิงอยู่กับทฤษฎีของการจัดกลุ่มภาษาไทย-กะได-อินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทย โดยนำมาศึกษาค้นคว้าร่วมกับแนวคิดของนักมานุษยวิทยา และเชื่อว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาไทยมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มในเขตร้อนชุ่มชื้น นอกจากนั้นยังเชื่อว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาไทยจะต้องอพยพเคลื่อนย้ายจากทิศใต้ไปทิศเหนือ อย่างไรก็ตาม สมมติฐานนี้ก็ไม่มีหลักฐานข้อมูลใดๆ ที่สนับสนุนอย่างชัดเจน
4.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนกลางของจีน และที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห กับแม่น้ำแยงซีเกียง
เป็นสมมติฐานว่าด้วยถิ่นกำเนิดชนชาติไทยที่เก่าแก่ที่สุด หลักฐานข้อมูลทางภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์ พบว่าในบริเวณนี้เป็นอู่อารยธรรมของจีนมานาน และมีกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณดังกล่าวก่อนที่จะอพยพเข้ามาอยู่ที่น่านเจ้า แต่ในขณะเดียวกันพวกจีนยังคงอยู่ที่ราบสูงตอนบนของลุ่มแม่น้ำฮวงโห
สมมติฐานนี้ถูกล้มล้างไประยะหนึ่ง จนเมื่อ แชมเบอร์เลน นักภาษาศาสตร์ ศึกษาศัพท์สัตววิทยาในภาษาไทยดั้งเดิม เชื่อว่า ถิ่นเดิมชนชาติไทยน่าจะอยู่บริเวณชายทะเลเหนือปากแม่น้ำแยงซีเกียง หรือลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตอนล่าง การศึกษาค้นคว้านั้นยังได้สนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับศัพท์ของกล้าข้าวประเภทต่างๆ ในภาษาไทยที่สะท้อนว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาไทยอาจเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้จักการเพาะปลูกข้าวนาลุ่ม สอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีที่ว่า บริเวณที่ราบลุ่มของแม่น้ำแยงซีเกียงตอนล่าง มีการทำนาลุ่มมาแล้วตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และอาจเป็นแห่งแรกของโลกด้วยก็ได้
5.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณตอนใต้ของจีน กับบริเวณตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง และบริเวณรอยต่อตอนเหนือของเวียดนาม
เป็นสมมติฐานที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากที่สุด โดยมีหลักฐานข้อมูลหลายสาขาสนับสนุน เช่น ทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทย พบว่ากลุ่มคนพวกนี้เลือกที่จะอาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบหุบเขาหรือเชิงเขา ปลูกข้าวนาลุ่ม หรือพืชเมืองร้อน เป็นพวกที่อพยพมาจากบริเวณที่ราบลุ่มในเขตร้อนชุ่มชื้นมากกว่าที่จะมาจากทางตอนเหนือ ดังนั้น พวกนี้จึงอาจมีถิ่นเดิมอยู่ในมณฑลกวางสีและมณฑลกวางตุ้ง
ด้านภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์รวมทั้งแชมเบอร์เลนกล่าวว่าบริเวณทางตอนใต้ของจีนเป็นถิ่นกำเนิดของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทย หลักฐานข้อมูลทางพงศาวดารและประวัติศาสตร์เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยน่าจะอยู่ที่บริเวณตอนใต้ของจีน การแพร่ขยายของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยน่าจะเริ่มขึ้นหลังคริสต์ศตวรรษที่ 8 ต่อจากนั้นมาก็เริ่มปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับคนไทยมากขึ้นตามลำดับ และเป็นการอพยพในแนวทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก
6.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณประเทศไทย
สมมติฐานล่าสุดอิงอยู่กับหลักฐานทางโบราณคดีและมานุษยวิทยากายภาพ โดยศึกษาเปรียบเทียบโครงกระดูกคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ขุดค้นพบที่บ้านเก่า จ.กาญจนบุรี กับคนไทยปัจจุบัน พบว่าลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นแนวความคิดของ ศ.น.พ.สุด แสงวิเชียร สมมติฐานนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเพราะไม่อาจพิสูจน์ได้ชัดเจนถึงภาษาและวัฒนธรรม และผลการขุดค้นทางโบราณคดีเกี่ยวกับชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อไม่นานนี้ ปรากฏว่าขัดแย้งกับสมมติฐานข้างต้น เพราะชุมชนเหล่านั้นไม่ใช่กลุ่มคนที่พูดภาษาไทย
สมมติฐานทั้ง 6 ข้อ มีเพียงสมมติฐานข้อที่ 3-6 เท่านั้นที่ยังมีคุณค่าทางวิชาการที่น่าศึกษาค้นคว้าต่อไป เพราะสมมติฐานเหล่านั้นอิงอยู่กับหลักฐานข้อมูลทั้งทางภาษาศาสตร์ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยา โดยสมมติฐานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด น่าจะเป็นสมมติฐานข้อที่ 5
****************************
นวดกดจุดบนใบหน้า ทางเลือกแก้นอนไม่หลับในผู้สูงอายุ
การนอนหลับ ถือเป็นปัญหาสำคัญในผู้สูงอายุที่ต้องตระหนัก เพราะการนอนหลับที่ดีหรือการนอนที่มีคุณภาพ จะช่วยให้ตื่นมาอย่างสดชื่น มีสุขภาพแข็งแรง หากการนอนนั้นไม่มีคุณภาพ ผู้สูงอายุจะรู้สึกวิงเวียน ไม่สดชื่น และไม่กระปรี้กระเปร่า ซึ่งหากเป็นเรื้อรัง จะส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย อาจมีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารไม่อร่อย และสุดท้ายอาจกระทบต่อความสมดุลของร่างกาย
การนวดกดจุดบนใบหน้า มิใช่เพียงให้ผู้ป่วยนอนหลับได้เท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้ผ่อนคลาย และปรับสมดุลของอวัยวะต่างๆ ในร่ายกาย เนื่องจากบริเวณใบหน้ามีจุดที่เป็นตัวแทนอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เป็นที่ตั้งของต่อมไพเนียล (Pineal gland) ตัวสร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ที่ช่วยให้นอนหลับสบาย นอกจากนี้ยังมีต่อมพิทูอิทารี (Pituitary Gland) กระตุ้นให้มีการหลั่งสาร endorphin ทำให้ผู้ป่วยคลายเครียดและหลับสบาย
บริเวณใต้ตาเป็นตัวแทนของไต การกดนวดบริเวณนี้จะช่วยปรับสมดุลการทำงานของไต ที่ขับของเสียออกจากร่างกาย ต่ำลงมา คือ บริเวณโหนกแก้ม เป็นที่อยู่ของลำไส้ใหญ่ ยอดปลายจมูก คือ กระเพาะอาหาร บริเวณมุมปากเป็นที่อยู่ของปอด
นอกจากนี้ บริเวณใบหน้ายังมีผิวหนังปกคลุม และป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย มีรูขุมขนเป็นตัวระบายเหงื่อและสารพิษต่างๆ มีระบบไหลเวียนโลหิต และระบบน้ำเหลืองด้วย ดังนั้น การนวดกดจุดบนใบหน้าจึงเป็นการปรับสมดุลของอวัยวะต่างๆ และเป็นการดีท็อกซ์หรือขับของเสียออกทางผิวหนังด้วยในเวลาเดียวกัน ช่วยทำให้ผิวพรรณดูผ่องใส หรือทำให้ร่างกายของเรามีความงามจากภายนอกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น การนวดกดจุดบนใบหน้ายังช่วยแก้ปัญหาโรคไมเกรน โรคกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง โดยสามารถช่วยผู้ป่วยอัมพฤกษ์ที่มีกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าอ่อนแรง ฟื้นคืนสู่สภาพปกติเร็วขึ้น จากผลการวิจัยนวดกดจุดบนใบหน้าในผู้สูงอายุที่มีปัญหานอนไม่หลับสรุปว่า ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนดีขึ้น หลับสบาย ตื่นมาสดชื่น นอกจากนี้ ภายหลังการนวดยังเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณว่า ขาวผ่อง มีนวลใยกว่าเดิม เป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับผู้สูงอายุในด้านจิตใจ ซึ่งขั้นตอนในการนวดกดจุดบริเวณใบหน้ามีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1: ล้างเครื่องสำอางและแป้งด้วยสบู่เหลวอย่างอ่อน ที่ไม่ระคายเคือง โดยใช้สบู่แต้ม 5 จุด คือ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง จมูก และคาง (เว้นรอบดวงตา) ล้างแบบนวดวนให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด โดยใช้ผ้าเช็ดหรือฟองน้ำสำหรับทำความสะอาด
ขั้นตอนที่ 2: แต้มครีมนวดหน้า 5 จุด คือ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง จมูก และคาง (เว้นรอบดวงตา) นวดวนให้ทั่ว เริ่มบริเวณแรกตรงหน้าผาก โดยใช้นิ้วหัวแม่มือนวดวนแล้วลากเป็นแนวยาวจรดขมับทั้งสองข้าง ซึ่งมีเส้นเลือดแดงใหญ่ เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบนใบหน้า และหลีกเลี่ยงการขยี้บริเวณเส้นเลือดแถวขมับเพื่อป้องกันการอักเสบ
จุดต่อมา คือ บริเวณใต้ตา ใกล้สันจมูก และบริเวณปีกจมูก ให้นวดลากเป็นแนวยาวจรดยังขมับทั้งสองข้าง แล้วนวดบริเวณแก้มลากยกขึ้นไปถึงขมับ จากนั้นจึงนวดใต้จมูกหรือเหนือริมฝีปากด้วยสันนิ้วก้อย นวดใต้คางโดยใช้หัวแม่มือ และอีกสี่นิ้วบีบเข้าหากันเบาๆ หลังจากนั้นจึงใช้มือทั้งสองลูบโกยคางขึ้น ใช้สี่นิ้วกดนวดขากรรไกรทั้งสองข้าง
ขั้นตอนที่ 3: กดนวดต่อมน้ำเหลืองหลังหู หน้าหู และติ่งหู ใบหู แต่ไม่แยงนิ้วในรูหู เมื่อครบรอบจึงกลับไปนวดคลึงดวงตาหรือระหว่างคิ้ว จุดที่เป็นจุดของ Pineal gland เพื่อกระตุ้นการหลั่ง Melatonin สุดท้ายจึงวนไปกดต่อมน้ำเหลืองหลังหู หน้าหู และติ่งหู ใบหูอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนระบบน้ำเหลืองบนใบหน้า
ขั้นตอนสุดท้าย: ล้างครีมนวดหน้าออกให้สะอาดด้วยสบู่อีกครั้ง
ผศ.ดร.ลดาวัลย์ อุ่นประเสริฐพงศ์ นิชโรจน์
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
e-mail :ladawal.unp@mahidol.ac.th
*****************************
วันที่ 15 ธันวาคม 2556 (go6TV) ตะลึงแผนผังยุทธศาสตร์ ม็อบกบฏสุเทพ รั่ว! คนทั่วไปคิดว่า คนคิดยุทธศาสตร์ต้องเป็นเนติบริกรระดับชาติ แต่ผิดคาดเมื่อ "กบฏเทือก" ฝากอนาคตการก่อรัฐประหารไว้กับ "ตำรวจเก๊" คนเก่าที่เคยหลอกลวงม็อบขึ้นเวทีพันธมิตรสวนลุม เขียนผังสภาประชาชน ระบุชัดตั้งแต่หลักการ ถึงการคัดสรรหาสมาชิกสภาประชาชน
ทีมงานม็อบกบฏสุเทพ ได้แอบส่งเอกสารจำนวน 2 หน้าให้กับทีมงาน ฝากช่วยแฉความจริง ว่าม็อบกบฏสุเทพลวงโลกนั้น ไม่ได้มี "บุคคลสำคัญ" หรือ "เนติบริกร" คนดังระดับประเทศคนไหนมาเป็นที่ปรึกษา จนทำให้มวลชนมีความมั่นอกมั่นใจว่า ภายใต้การนำของ "กำนันสุเทพ" นั้นจะต้องนำชัยชนะมายังกลุ่มมวลชนในไม่ช้า
แต่ภายในกองทัพมวลมหาประชาชนอันแสนยิ่งใหญ่นั้น ใครจะรู้ว่า คลังมันสมองห่วยๆ ที่คอยคิดและวางแผนงานให้กับ "ม็อบกบฏสุเทพ" นั้นจะกลายเป็น อดีตนายตำรวจนอกราชการ (ที่โดนไล่ออกจากราชการ และมีประวัติเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช นครสวรรค์)
เอกสารที่ทีมงานม็อบกบฏสุเทพ ได้ส่งให้ 2 แผ่นนั้น แผ่นแรก เป็นแผนผังกลยุทธ์ การล้มล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีการอ้างกฏหมายให้ดูน่าเชื่อถือ ว่าการที่สภาฯ และนายกรัฐมนตรีปฏิเสธคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีผลให้รัฐบาลเป็นโมฆะ และเมื่อรัฐบาลเป็นโมฆะแล้วก็จะเกิดสูญญากาศทางการเมือง ไม่สามารถจัดเลือกตั้งได้
จากแนวคิดดังกล่าวในกระดาษแผ่นแรกนี้ เป็นที่มาของคำปราศรัยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณบนเวทีม็อบเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาตรงเป๊ะ
ถัดจากนั้น ในกระดาษแผ่นที่ 2 ได้มีการลำดับขั้นตอนการตั้งสภาประชาชน ว่ามีการจัดสรรสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญอย่างไร ปรากฏว่าทั้งวิธีการ และตัวเลขในกระดาษดังกล่าวนั้น ตรงกับข้อความที่นายสุเทพ ประกาศบนเวทีเสวนาเมื่อวันก่อน ว่าสภาประชาชนนั้นจะมีจำนวน 400 คน โดยแบ่งเป็นการสรรหาจากวิชาชีพกลุ่มต่างๆ และการคัดเลือกโดยนายสุเทพ
ซึ่งหากดูจากกระดาษแผ่นที่ 2 จะเห็นว่า การสรรหา วิชาชีพนั้น กลายเป็นว่ามีการกำหนดล็อคสเป็คไว้เรียบร้อยว่าจะมาจากกลุ่มวิชาชีพใดบ้าง ซึ่งแบ่งได้เพียงแค่ 3 กลุ่ม 22 วิชาชีพเท่านั้น ข้อความนี้ตรงกับที่นายสุเทพ ได้เคยปราศรัยบนเวทีว่าเราจะเลือกทั้งจากอาชีพปกติ อาชีพหลัก จำเป็นและอาชีพพิเศษ ซึ่งคำพูดนายสุเทพ กับข้อความบนกระดาษนั้น ตรงกันอย่างน่าอัศจรรย์
และในเอกสารตอนท้ายดังกล่าว ยังระบุชัดว่าหาก กกต.จัดให้มีการรับสมัครผู้สมัครเมื่อไหร่ สามารถฟ้องตำรวจจับกุม กกต.ได้ทันที และลงลายมือชื่อไว้ว่า ผู้เขียนแผนดังกล่าวคือ พ.ต.ท. สุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์
จากการตรวจสอบย้อนหลัง จะพบว่า นายตำรวจดังกล่าวถูกให้ออกจากราชการ เมื่อครั้งเป็น พ.ต.ต. ไม่ได้เป็น พ.ต.ท.ดังแอบอ้าง และไทยรัฐ ได้เคยลงข่าวยืนยันแล้วว่า นายตำรวจท่านนี้ถูกไล่ออกจากราชการไปแล้ว
จึงเป็นที่น่าขบขันว่า มวลมหาประชาชนนับล้านที่หวังเปลี่ยนแปลงประเทศไทยโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณนั้น ทำตามแผนกลยุทธ์ ของอดีตนายตำรวจที่โดนไล่ออก แต่เขียนหลักกฏหมายหลอกลวงม็อบให้หลงเชื่อได้ขนาดนี้โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
งานนี้เลย25 เมื่อไรมวลชนหายหมด เพราะกลุ่มมวลชนที่มา มีสามกลุ่ม กลุ่มแม่บ้านที่เกณฑ์มา กลุ่มนี้ต้องกลับก่อนปีใหม่เพราะลูกๆๆญาติ จะกลับไปเยี่ยมและทำบุยกันที่บ้านเกิด คนกลุ่มนี้อยู่ได้แค่ไม่เกิน 25 เท่านั้น กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มมวลชนจัดจ้าง เอามาเป็น การ์ด ต่างๆๆทำทำงานใต้ดิน พวกนี้ เป้าหมายการคือก่อความปั่นป่วน ต้องนี้ตำรวจกำลังเร่งเช็ครายชื่อ ดำเนินการจับกุมก่อน25 ตามหมายศาลเดิมที่หนีกันมา
กลุ่มสุดท้าย กลุ่มกระแส พวกนี้กลุ่มใหญ่ แต่เป้นม๊อบที่เขาเรียกว่ามีการศึกษาหรือผู้ดี ม๊อบกลุ่มนี้ ไม่ทน มาเพื่อถ่ายรูปไม่ตกเทรน ม๊อบกลุ่มนี้เปราะบาง เอาแน่นไม่ได้ หลัง25 ม๊อบกลุ่มนี้ไปเที่ยวหมด เหลือแค่คนกลุ่มเล้กๆๆพวกคนจร ที่เป็นคนเรร่อน สนามหลวงกับคลองหลอดอยู่ เพราะมาม๊อบกินฟรี อยุ่ฟรี มีกิจกรรม พวกนี้เป้นกลุ่มหลักหน้าเวที เพราะไม่ได้ไปไหน ดังนั้นม๊อบเลยต้องรีบปิดเกมส์ แถมนับวันคนยิ่งหาย เพราะม๊อบกลุ่มที่สาม เบื่อง่าย เริ่มได้รับผลกระทบจากการเมือง ในการทำมาหากินแล้ว นี่คือเหตุผลของการรวมเวที เวลาที่คนเยอะที่สุดของม๊อบผ่านไปแล้ว
หมอ ประเวศ กล่าวว่า...
การชุมนุมม๊อบนกหวัด "เหมือนคนกำลังข่มขืนลูกตัวเอง แล้วมีคนออกมาประท้วงขับไล่
ตั๊ก บงกช โพสต์แรง มีรัฐบาลไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ทำให้ประเทศดีขึ้น ลั่น เบื่อเสื้อแดงเต็มทน บอกในเมื่อคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงมากกว่า คนเสื้อแดงควรที่จะหายไปจากประเทศไทย
เรียกได้ว่าร้อนแรงสุด ๆ สำหรับประเด็นทางการเมืองในช่วงนี้ ที่แม้แต่ศิลปิน ดารา คนดังจำนวนมากก็ยังออกมาแสดงจุดยืนทางการเมือง ทั้งการร่วมชุมนุมทางการเมือง และเผยความคิดเห็นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างคุณแม่ลูกอ่อน ตั๊ก บงกช ที่ล่าสุด (15 ธันวาคม 2556) ก็ได้โพสต์อินสตาแกรม แสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างดุเดือด ดังนี้
"มีรัฐบาลไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัฐบาลที่มีอยู่ไม่ทำให้ประเทศดีขึ้น ทำไมคนไทยไม่อยากเลือกตั้ง สำหรับฉัน ฉันว่ามันก็ได้แต่พวกแย่ ๆ เหมือนเดิม เราไม่อยากได้รัฐบาลเดิม เราอยากได้คนที่คนส่วนมากต้องการ และเบื่อคำว่าเสื้อแดงเต็มทน ในเมื่อคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงมากกว่า คนที่เป็นเสื้อแดงก็ควรที่จะหายไปจากประเทศไทย เพราะต้องหัดยอมรับบ้างว่า เราไม่ต้องการพวกที่ไม่รักในหลวง และอย่าตอแหลว่ารัก เพราะการกระทำมันไม่ใช่ ไม่เคยมีคนไทยออกมาเยอะขนาดนี้ ในเมื่อมีแล้ว หัดยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงบ้าง เลิกพูดให้เรายอมซะที เพราะพวกกูยอมมาตลอด และไม่ใช่แค่เรื่องว่าในหลวง เรื่องกู้เงินอีก..."
งานนี้ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับสาวตั๊ก บงกช กันอย่างคับคั่ง
วันที่: Fri Nov 15 19:11:40 ICT 2024
|
|
|
"เจ้าดวงเดือน" ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ จี้นายกฯลาออก เสียสละเพื่อบ้านเมือง ชี้ต้นเหตุปัญหาอยู่ที่ "ทักษิณ" แนะควรหยุดได้แล้ว ...
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ จ.เชียงใหม่ มีรายงานว่า เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองว่า ตนคิดว่าวินาทีนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ควรจะทบทวนตัวเองได้แล้ว ว่า เหตุใดมีผู้คนออกมาขับไล่มากมายขนาดนี้ ควรเสียสละตนเอง เพื่อไม่ให้คนไทยมีความบาดหมางซึ่งกันและกันมากไปกว่านี้ เพราะทุกชีวิตคนไทยมีค่า และอยากให้ประเทศสงบ
ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ นายกฯ ควรลาออกไปได้แล้ว เพียงแค่ยุบสภานั้นไม่เพียงพอ ในฐานะคนเชียงใหม่และก็คุ้นเคยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อน ก็อยากเห็นบ้านเมืองสงบ นำไปสู่การทำให้เมืองไทยมีคุณค่า การที่จะอยู่ในสังคมร่วมกัน ระรานกัน ด่ากันอย่างนี้ มันไม่น่าอยู่เหมือนก่อนแล้ว ทั้งนี้คนไทยควรมองไปที่ต้นเหตุของความขัดแย้ง นั่นคือ ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียว และตัวเค้าก็ควรจะหยุดได้แล้ว.
โดย คุณไท payai 197...
แต่พวกเราเอง..ได้ยกย่องสถาปนาให้พวกเขาให้ขึ้นมาเป็นเจ้า...
เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ...
โดยทางล้านนา ต้นตระกูล ณ เชียงใหม่, ณ ลำพูน, ณ ลำปาง และ เชื้อเจ็ดตน ฯลฯ
มาจากพรานป่า ชื่อ หนานทิพย์ช้าง ชาว ต.ปงยางคก อ.ห้างฉัตร เมืองลำปาง
ซึ่งตรงกับยุคปลายรัชสมัยของพระเจ้าท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา..
ขณะนั้นพม่ายึดครองนครลำปาง หนานทิพย์ช้าง..พรานป่าผู้กล้าหาญก็ได้เป็นผู้นำชาวบ้านลุกขึ้นต่อสู้ขับไล่พม่า
จนสามารถยึดเมืองลำปางกลับคืนมาได้...
นี่คือ รากเหง้าความเป็นเจ้าทางล้านนา..ในยุคสมัยของราชวงศ์ทิพย์จักร หรือ ทิพยจักราธิวงศ์..
ในยุคก่อนหน้านั้น เป็นยุคสมัยราชวงศ์โยนก (เชียงแสน)โดยมีพ่อขุนเม็งรายผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ เชียงราย
ผู้เป็นพระสหายกับพ่อขุนงำเมืองแห่งเมืองพะเยา และพ่อขุนรามคำแหง แห่งเมืองสุโขทัย เป็นกษัตริย์องค์หนึ่งที่เก่งกาจ
แต่กษัตริย์องค์ต่อๆ มาอ่อนแอจึงทำให้ราชอาณาจักรล้านนาได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า..และสูญสิ้นราชวงศ์โยนก(เชียงแสน)ไปซึ่งพอหมดสิ้นยุคราชวงศ์โยนก พม่าก็ได้ยึดครองล้านนากว่า 200 ปี
ต่อมาก็เป็นยุคของราชวงศ์ทิพยจักราธิวงศ์ ครองราชอาณาล้านนาในเวลาต่อมา..
จนที่สุดล้านนาก็ถูกผนวกเข้ากับสยามประเทศในยุคของรัชการที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี
เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี่เอง..."