Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เดี๋ยวเราไปเล่นกัน

ArjanPong | 15-10-2556 | เปิดดู 3142 | ความคิดเห็น 0

 

           

 

                           เดี๋ยวเราไปเล่นกัน...

 

 

 

                                

 

 

 

 

....เดี๋ยวก็หาย ลูกจ๋า ไม่ช้านี้

 

ก็คงมี ความหวัง พลังใส

 

เพียงให้หนู ยืนหยัด ซัดด้วยใจ

 

อย่ายอมให้ ความอ่อนเเอ รังเเกเรา

 

 

 

.....เหอะต้องได้ วิ่งเล่นต่อ พ่อรับปาก

 

คงไม่ยาก พ่อจะพา หาเพื่อนเขา

 

เจ็บคราวนี้ เดี๋ยวก็หาย คลายบางเบา

 

ขอเพียงเจ้า อย่ายอมเเพ้ เเม้ทรมาน....

 

 

 

**********************************

 

 

จีนฉุนจัดเรียกทูตญี่ปุ่นพบ หลัง ส.ส.แดนปลาดิบยกโขยง

 

เยือนศาลเจ้าสงคราม

 

 

 

เอเจนซี - รัฐมนตรีรายหนึ่งของญี่ปุ่น พร้อมด้วยเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกกว่า 100 คน เดินทางไปสักการะศาลวีรชนสงครามในกรุงโตเกียวเมื่อวันศุกร์ (18) ความเคลื่อนไหวที่จุดชนวนความโกรธกริ้วจากจีน ที่กล่าวหาญี่ปุ่นว่ากำลังกัดเซาะความสัมพันธ์ และกำลังพยายามล้มล้างคำสั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       จีน ได้ดำเนินการเรียกตัวเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงโตเกียว เข้าพบเพื่อแสดงความโกรธเกรี้ยวในทันที ขณะที่ทางเกาหลีใต้เองก็ออกมาประณามการกระทำของสมาชิสภาผู้แทนราษฎรของญี่ปุ่นเช่นกัน
       
       การเดินทางเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ ในวาระเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง มีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น ประกอบพิธีกรรมแสดงความเคารพต่อศาลเจ้าแห่งนี้เป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่กลับสู่อำนาจ แม้เขาไม่ได้ไปสักการะด้วยตนเองก็ตาม

 

 

 

  รัฐมนตรีรายหนึ่งของญี่ปุ่นพร้อมด้วยเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกกว่า 100 คน เดินทางไปสักการะศาลวีรชนสงครามในกรุงโตเกียวเมื่อวันศุกร์(18)

 

 

นายอาเบะ พยายามกันตนเองให้ห่างจากศาลซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโตเกียวแห่งนี้ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสักการะดวงวิญญาณชาวญี่ปุ่น 2.5 ล้านคนที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในนั้นรวมถึงอดีตผู้นำ 14 คน ซึ่งถูกฝ่ายสัมพันธมิตรตราหน้าเป็น “อาชญากรสงคราม” เพื่อหลีกเลี่ยงซ้ำเติมความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วกับจีน และเกาหลีใต้ สองชาติที่เป็นเหยื่อลัทธิทหารของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       “ศาลเจ้ายาสุกุนิ คือสัญลักษณ์และเครื่องมือทางจิตวิญญาณของลัทธิทหารญี่ปุ่น” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงต่อผู้สื่อข่าวในปักกิ่ง “มันอุทิศแด่เหล่าอาชญากรที่กระทำการอย่างเลวร้ายต่อประชาชนชาวเอเชียผู้เป็นเหยื่อ ในนั้นรวมไปถึง คนจีน นี่คือประเด็นเนื้อหาหลักในความสัมพันธ์ระหว่างจีน และญี่ปุ่น”
       
       โฆษกหญิงตำหนิต่อว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้คืออีกหนึ่งความพยายามในการล้างบาปประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น และท้าทายผลลัพธ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับคำสั่งหลังสงครามโลกของนานาชาติ
       
       นายโยชิตากะ ชินโดะ รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศเป็นบุคคลระดับอาวุโสสูงสุดที่เป็นหนึ่งในคณะส.ส.160 คน ซึ่งเดินทางเยือนศาลเจ้าในวันศุกร์ (18) ในวาระเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง ที่จะมีไปจนถึงวันอาทิตย์ (20) “ผมเยือนศาลเจ้าในนามส่วนตัว เพราะคุณปู่ของผมก็ได้รับเกียรติอยู่ในนั้น ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นประเด็นทางการทูตได้”
 

 

 

 

                        ศาลเจ้ายะซุกุนิ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 
 
 
 
 
 
 
 
ศาลเจ้ายะซุกุนิในปัจจุบัน
ในยุคแรกหรือโตเกียวโชกนชะ

 

 

ศาลเจ้ายะซุกุนิ (ญี่ปุ่น: 靖国神社, 靖國神社 Yasukuni JinJa ?) ตั้งอยู่ที่ เขตชิโยะดะ กรุงโตเกียว สร้างขึ้นครั้งแรกในยุคเมจิ ปี พ.ศ. 2412 ตามความเชื่อของลัทธิชินโต มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่ระลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามกลางเมือง (สงครามโบะชิง) ระหว่างกองกำลังผู้สนับสนุนรัฐบาลโชกุนโทะกุกะวะ กับกองกำลังจักรพรรดินิยมของญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังถูกใช้เป็นที่สถิตของเหล่าดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่สละชีพในสงคราม

 

ประวัติ

ในยุคเมจิ เกิดสงครามกลางเมืองภายในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่าสงครามโบะชิง ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลโชกุนโทะกุกะวะและฝ่ายของผู้จงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ สุดท้ายฝ่ายองค์จักรพรรดิเป็นผู้ชนะ สิ้นสุดยุคของโชกุนโทะกุกะวะที่ปกครองญี่ปุ่นยาวนานกว่า 260 ปี มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก องค์จักรพรรดิเมจิมีรับสั่งให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามโบะชิง และพระราชทานชื่อว่า โตเกียวโชกนชะ (ญี่ปุ่น: 東京招魂社 Tōkyō Shōkonsha ?) ต่อมา จักรพรรดิเมจิ ได้ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นยะซุกุนิจินจะในปี พ.ศ. 2422 ซึ่งหมายถึง ประเทศที่สงบสุข

ตัวศาลในปัจจุบันสร้างขึ้นด้วยโครงสร้างเหล็กน้ำหนักรวมกว่า 100 ตัน หรือประมาณ 100,000 กิโลกรัม นับเป็นศาลเจ้าตามลัทธิชินโตที่ใหญ่ที่สุดของกรุงโตเกียว

ความเชื่อ

ศาลเจ้ายะซุกุนิ นับเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อตามลัทธิชินโต ซึ่งเป็นเสมือนศาสนาพื้นเมืองของญี่ปุ่น มีอิทธิพลต่อแนวความคิดทางการเมืองและทางทหารของญี่ปุ่นเป็นอย่างสูง ในคัมภีร์ชินโตระบุว่าหมู่เกาะญี่ปุ่นได้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า พระจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่นสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ และชาวญี่ปุ่นก็ล้วนได้รับการคัดเลือกจากเทพเจ้า ประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นเสมือนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า

 

ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้พัฒนาประเทศให้เจริญเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้มีการแบ่งลัทธิชินโตออกเป็น 2 ส่วน คือ

 

  1. ชินโตแห่งรัฐ (State Shinto) ซึ่งเป็นพิธีการแสดงถึงความรักชาติ ชาวญี่ปุ่นทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ต้องเข้าร่วมชินโตแห่งรัฐด้วย ศาลเจ้ายะซุกุนิ ได้ถูกจัดให้อยู่ในชินโตแห่งรัฐ
  2. ชินโตแห่งนิกาย (Sectarian Shinto) ซึ่งถือเป็นศาสนาหนึ่งที่มีการบูชาเทพเจ้าประจำธรรมชาติ

 

ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นได้ชัยชนะทางการทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีการเผยแพร่ลัทธิความรักชาติครั้งใหญ่ และขยายแนวความคิดไปสู่การครอบครองโลก มีการนำเอาความเชื่อในชินโตแห่งรัฐมาเป็นอุดมการณ์สร้างลัทธิทางการทหารขึ้นในประเทศ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า พระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นจะได้ทรงปกครองโลกทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร การครอบครองโลกนี้จะกระทำด้วยสันติวิธี แต่ถ้าวิธีดังกล่าวไร้ผล ก็มีเหตุผลทีเดียวที่จะกระทำด้วยการใช้กำลังอาวุธ[

 

ญี่ปุ่นแผ่ขยายอำนาจทางการทหารในประเทศแถบเอเชียกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในที่สุดญี่ปุ่นประสบกับความพ่ายแพ้สงครามในปี พ.ศ. 2488 ความเชื่อตามลัทธิชินโตถูกล้มล้างอย่างสิ้นเชิงโดยฝ่ายสัมพันธมิตร องค์จักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่นมีรับสั่งว่า สายใยแห่งความผูกพันระหว่างเรากับประชาชนของเรา มิอาจจะขึ้นอยู่กับเพียงตำนานและเทพนิยายเท่านั้น จะต้องไม่มีการกล่าวอ้างต่อไปอีกถึงแนวความเชื่อผิดๆ ที่ว่า พระจักรพรรดิคือเทพเจ้า และชนชาติญี่ปุ่นสูงส่งกว่าชนชาติอื่นและถูกกำหนดมาให้ปกครองโลก พระจักรพรรดิมิใช่เทพเจ้า

 

เมื่อสหรัฐอเมริกา เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการภายในของประเทศญี่ปุ่น ได้กำหนดให้ทางการญี่ปุ่นเลือกว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นของรัฐหรือจะให้เป็นอิสระจากรัฐ ซึ่งญี่ปุ่นเลือกที่จะให้เป็นอิสระจากรัฐบาล หลังจากนั้นศาลเจ้ายะซุกุนิถูกใช้เพื่อเป็นที่สถิตให้แก่เหล่าดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 กว่า 2,466,000 คนด้วย ภายในศาลมีป้ายชื่อทหารที่เสียชีวิตระหว่างสงคราม บางคนมีชื่อเป็นอาชญากรสงครามรวมอยู่ด้วยกว่า 12 คน รวมทั้งนายฮิเดะกิ โทโจ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บัญชาการให้กองทัพญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ของสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการอัญเชิญดวงวิญญาณให้มาที่สถิตอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

 

ในเวลากว่า 100 ปี ตั้งแต่ยุคเมจิ ยุคไทโช ยุคโชวะ องค์จักรพรรดิญี่ปุ่นเสด็จเยือนศาลเจ้ายะซุกุนิ รวมทั้งสิ้น 77 ครั้ง ไม่รวมการเสด็จเยือนขององค์จักรพรรดินี มกุฎราชกุมาร ตลอดจนพระบรมวงศ์ ต่างก็เสด็จเยือนศาลเจ้าแห่งนี้เช่นกัน นอกจากนี้เหล่าญาตของทหารที่เสียชีวิตในสงครามต่างก็มาเยือนศาลเจ้าแห่งนี้เป็นประจำ ซึ่งแต่ละปีจะมีการจัดสักการะปีละ 2 ครั้ง คือช่วงวันที่ 21 - 23 เมษายน และ 17 - 20 ตุลาคม ของทุกปี

 

ความขัดแย้ง

ศาลเจ้ายะซุกุนิเป็นสัญลักษณ์แห่งความโหดร้ายของสงครามในสายตาของชาวเอเชียอย่างจีนและเกาหลีใต้ เป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศมาโดยตลอด และตกเป็นข่าวดังภายหลังจากจุนอิชิโร โคะอิซุมิ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เดินทางไปสักการะศาลเจ้าซึ่งถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในรอบหลายปีของญี่ปุ่นที่เดินทางไปสักการะ แม้การกระทำดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่ประเทศจีนและเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก แต่จุนอิชิโระก็ยังคงปฏิบัติเช่นเดิมตลอดวาระของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกว่า 6 ปี มีเพียงปีเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ไปเนื่องจากการประชุมเอเชีย-แอฟริกา

 

 

นานกิง ประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายที่สุดของมนุษยชาติ


 

 

นานกิง ประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายที่สุดของมนุษยชาติ

 

 

      

 

 

 

เมื่อเอ่ยชื่อ เมือง นานกิง หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยและยังไม่รู้จัก เมืองนี้ เช่นเดียวกับ

 

ตัวผมเอง แต่เมื่อผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ เรื่อง ผู้หญิง เหยื่อในสงคราม จึงทำให้รับรู้ และ

 

รับทราบ ถึง เมืองนานกิง ได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่ลึกซึ้ง แต่ก็พอจะเข้าใจได้

 

 

 

 

 

 

 

 

                ย้อนหลังไปเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ญี่ปุ่น ชาติที่

 

ต้องการสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of the Sun) ขึ้นโดยการรวบรวมชาติที่อยู่ใกล้เคียงตนให้ได้เสียก่อน เคราะห์ร้ายจึงตกกับ จีน แผ่นดินใหญ่ กับ เกาหลี

 

 

 

 

 

 

                ช่วงนั้นเป็นเวลาที่จีน แตกฝ่ายเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรี กับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่ามาก หากเทียบกับจีน สามารถเข้าตีและทำการยึดจีนได้ไม่ยากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะจีนต้องรับศึก 2 ด้าน คือ ต้องแย่งชิงอำนาจกันเอง แล้ว ยังต้องมารบกับญี่ปุ่นอีก (เหมือนบางประเทศที่กำลังจะเป็นแบบนี้)

 

 

 

 

 

 

                หลังจากญี่ปุ่นสามารถยึดจีนได้บางส่วน ก็พยายามจะรุกคืบไปยังเมืองต่าง ๆ ในจีน

 

เพื่อการยึดให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และ เมือง นานกิง ก็เป็นเป้าหมายของกองกำลังแดน

 

อาทิตย์อุทัย เหล่าทหารญี่ปุ่นใช้เวลาไม่นานนัก ก็สามารถบุกยึดเมืองนานกิง ได้เป็นผลสำเร็จ

 

 

 

 

        

 

 

 

 

         

 

 

 

 

 

 

 

 ********************************************

 

 

 

 

ธิดาลั่นเสื้อแดงไม่ยอมแน่ หากอภิสิทธิ์-สุเทพได้รับประโยชน์จากกม.นิรโทษฯพร้อมถามมาร์คไม่ค้านในชั้นกมธ.ได้รับประโยชน์หรือ?

 
 

 
          ธิดา ลั่น เสื้อแดงไม่ยอมแน่ หากอภิสิทธิ์-สุเทพ ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พร้อมถาม อภิสิทธิ์ ไม่ค้านในชั้น กมธ. อย่างที่ควรจะเป็น ได้รับประโยชน์จริงหรือไม่
 
          วันนี้ (19 ตุลาคม 2556) นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีมติปรับแก้เนื้อหาว่า ทาง นปช. ยืนยันตามเดิมว่าต้องการใช้ร่างของนายวรชัย เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับแก้ก็ต้องขอดูรายละเอียดก่อนว่า ใครได้รับประโยชน์จากการปรับแก้ครั้งนี้ ซึ่งถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับประโยชน์จากการปรับแก้ครั้งนี้ คนเสื้อแดงไม่เห็นด้วยแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขณะที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่ได้รับประโยชน์ คาดว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ยอม

 
          นางธิดา กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและ นปช. ไม่ได้มีความเป็นเอกภาพกันทุกเรื่อง เห็นได้จากก่อนหน้านี้ นปช. เคยเสนอ พ.ร.ก.นิรโทษกรรม แต่ทางพรรคเพื่อไทยอยากให้ออกเป็น พ.ร.บ. มากกว่า ด้วยเหตุนี้ คาดว่าทาง นปช. จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันสำหรับการดูปฏิกิริยาจากสังคม ก่อนที่จะแถลงท่าทีที่ชัดเจนอีกครั้งสำหรับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี มีความน่าสงสัยตรงที่ นายอภิสิทธิ์ และนายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ไม่คัดค้านในชั้นกรรมาธิการฯ อย่างที่ควรจะเป็น กลับไปเน้นที่ประเด็นการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่า นั่นหมายความว่าอาจจะได้รับประโยชน์ด้วยใช่หรือไม่

 

 

 

เสื้อแดง ส่วนใหญ่ อยากเห็น ความยุติธรรม บังเกิด ขึ้น ไม่ว่ารื่อง นายกทักษิณ นายกมาร์ค แกนนำ และ บรรดา กองเชียร์
     อยากให้ทำให้กระจ่าง ถ้าไม่ทำ จะจบแบบ ล้มกระดาน มันจะคาใจ ไปทั้งชีวิต จะเกิด วิกฤติ ศรัทธา หมดความ ภาคภูมิใจ
     ถ้าทำแบบ สุกเอาเผากิน เชื่อ ว่า หายไปเยอะ เพราะผิดหวัง เรื่อง ความยุติธรรม นี้ละครับ
  และอยากจะเพิ่มว่า
              ไม่หายเปล่า คนเหล่านี้ อาจเป็นหอก ข้างแคร่ และไม่เชื่อมั่น ในความเป็นเนื้อเดียวแต่เก่าก่อน เมื่อมิตร มา ชิงดัดหลัง
    เหมือน ไม่ใยดี ความคิด ความรู้สึก เยี่ยงนี้ มิตร ก้อาจเป็น ศรัตรู หรือ เลิกคบ
               และเชื่อ ว่าผิดหวัง ครังนี้ รุนแรง มากครับ

 

 

 

 

********************************************

 

  

 

 

                 

                      วันออกพรรษา

 

 

 

 

 วันออกพรรษา  

วันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11



วันออกพรรษา
วันออกพรรษา

 

 

 

 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก dhammajak.net

          วันออกพรรษา เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางพุทธศาสนา และเพื่อให้ทุก ๆ คนได้รู้ถึงประวัติความเป็น และความสำคัญของ วันออกพรรษา ตลอดกิจกรรมวันออกพรรษาที่นิยมทำกัน ในวันนี้ กระปุกดอทคอม จึงได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ของ วันออกพรรษา มาฝากเพื่อน ๆ ค่ะ

ประวัติวันออกพรรษา

          โดยเมื่อเทศกาลเข้าพรรษาได้ผ่านพ้นไปถึง 3 เดือน ก็จะเป็นช่วงเวลาของ "วันออกพรรษา" ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการอยู่ประจำที่วัดในช่วงฤดูฝนตลอด 3 เดือนของพระภิกษุสงฆ์ โดย วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า "วันมหาปวารนา" คำว่า "ปวารนา" นั้นแปลว่า อนุญาตหรือยอมให้ โดยในปีนี้ วันออกพรรษา ตรงกับวันที่ 19 ตุลาคม 2556

          ทั้งนี้ วันออกพรรษา พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ที่เรียกว่า มหาปวารณา ใน วันออกพรรษา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ เนื่องจากในระหว่างที่เข้าพรรษาอยู่ด้วยกัน พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข และการให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนก็จะทำให้รู้ข้อบกพร่องของตน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันได้ด้วย พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้ และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน แม้พระผู้ใหญ่จะมีอาวุโสมากกว่า แต่ท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง เพื่อเป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอยสังวร คือ ตามระวัง ไม่ประมาท ไม่ยอมให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้ เหมือนล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหาย ไม่ว่าจะอยู่ในเทศกาลเข้าพรรษาหรืออกพรรษา พระท่านจะประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามระบอบของพระธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลา

          สำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ "สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ" มีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี

          เมื่อทำพิธี วันออกพรรษา แล้ว พระภิกษุสงฆ์สามารถจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ หรือค้างคืนที่อื่นได้โดยไม่ผิดพระพุทธบัญญัติ และยังได้รับอานิสงค์ก็คือ  


           ไปไหนไม่ต้องบอกลา

           ไม่ต้องถือผ้าไตรครบชุด

           มีสิทธิ์รับลาภที่เกิดขึ้นได้

           มีโอกาสได้อนุโมทนากฐิน ที่จะสามารถขยายเวลาของอานิสงค์ออกไปอีก 4 เดือน

 

 ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา

           ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา ที่นิยมปฏิบัติอยู่ 2 อย่าง คือ

 


1. ประเพณีตักบาตรเทโว หลัง วันออกพรรษา 

 


          หลังวันออกพรรษา 1 วัน คือ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 จะมีการ "ตักบาตรเทโว" หรือชื่อเต็มตามคำพระว่า "เทโวโรหนะ" แปลว่า การหยั่งลงจากเทวโลก โดยสามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตักบาตรดาวดึงส์" โดยอาหารที่นิยมนำไปใส่บาตรคือ ข้าวต้มมัด และ ข้าวต้มลูกโยน


ความเป็นมาของประเพณีตักบาตรเทโว มีดังนี้


          สมัยพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม และเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาโดยจำพรรษาอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลา 1 พรรษา และเมื่อออกพรรษาแล้วพระองค์ได้เสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ณ เมืองสังกัสสคร การที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกตามศัพท์ภาษาบาลีว่า "เทโวโรหณะ" ในครั้งนั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส เมื่อทราบข่าวต่างพร้อมใจกันไปรอตักบาตรเพื่อรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น จนถือเป็นประเพณีตักบาตรเทโวปฏิบัติสืบทอดกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้


          โดยพิธีตักบาตรเทโวโรหณะในปัจจุบันนั้นจะเริ่มตั้งแต่ตอนรุ่งอรุณ หลัง วันออกพรรษา พระภิกษุสามเณรลงทำวัตรในพระอุโบสถ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็สมมติว่า พระลงมาจากบันไดสวรรค์ บางที่ก็มีดนตรีบรรเลงเพลงไทยเดิม สมมุติว่าเป็นพวกเทวดาบรรเลง ขับกล่อมตามส่งพระพุทธเจ้า ยังมีพวกแฟนตาซีอีก แต่งเป็นพวกยักษ์ เทวดา พระอินทร์ พรหม นางเทพธิดา นำหน้าขบวนพระภิกษุสามเณร ชาวบ้านก็จะใส่บาตรด้วยอาหารหวาน อาหารคาว ข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มมัดจึงเป็นสัญลักษณ์ของพิธีนี้

 


2. ประเพณีเทศน์มหาชาติ หลัง วันออกพรรษา

 


          งานเทศน์มหาชาติ นิยมทำกันหลัง วันออกพรรษา พ้นหน้ากฐินไปแล้ว ซึ่งกฐินจะทำกัน 1 เดือนหลังออกพรรษา ที่จะร่วมกันทอดกฐินทั้ง จุลกฐิน และ มหากฐิน โดยประเพณีงานเทศน์มหาชาติอาจทำในวันขี้น 8 ค่ำกลางเดือน 12 หรือในวันแรม 8 ค่ำ ก็ได้ เพราะในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์ จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน 4 เรียกว่า "งานบุญพระเวส" ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง ในภาคกลาง บางท้องถิ่นทำกันในเดือน 5 ต่อเดือน 6 ก็มี


          งานเทศน์มหาชาตินั้นจะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล โดยมากเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัด บางแห่งนิยมทำในเดือน 10 โดยการเทศน์มหาชาตินั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 กัณฑ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรอันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 


ประเพณี วันออกพรรษา ในแต่ละภาค

 


นอกจากนี้ในแต่ละภาคก็จะมีประเพณีที่ต่างกันไป


วันออกพรรษา ภาคกลาง


          จังหวัดนครปฐม ที่พระปฐมเจดีย์ พระภิกษุสามเณรจะมารวมกันที่องค์พระปฐมเจดีย์ แล้วก็เดินลงมาจากบันไดนาคหน้าวิหารพระร่วง สมมติว่าพระเดินลงมาจากบันไดสวรรค์ชาวบ้านก็คอยใส่บาตร


          จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ณ วัดสะแกกรัง พระภิกษุก็จะเดินลงมาจากเขารับบิณฑบาตจากชาวบ้าน โดยขบวนพระภิกษุสงฆ์ที่ลงมาจากบันไดนั้นนิยมให้มีพระพุทธรูปนำหน้า ทำการสมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้า จะใช้พระปางอุ้มบาตร ห้ามมาร ห้ามสมุทร รำพึง ถวายเนตรหรือปางลีลา ตั้งไว้บนรถหรือตั้งบนคานหาม มีที่ตั้งบาตรสำหรับอาหารบิณฑบาต


          แต่สำหรับบางที่ไม่นิยมตักบาตรเทโว แต่นิยมตักบาตรตอนเช้าถวายอาหารพระภิกษุแล้วฟังเทศน์รักษาอุโบสถศีล ส่วนที่นิยมตักบาตรเทโว จะทำบุญเป็น 2 วัน คือวันออกพรรษากับวันเทโว ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ในวันออกพรรษานั้น หรือในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ก็มีการฟังเทศน์ตอนสาย ๆ และรักษาอุโบสถศีล


          ส่วนทางภาคใต้ก็จะมีประเพณีชักพระหรือลากพระ ซึ่งก็คือพระพุทธรูปนั่นเอง โดยมี 2 กรณี คือ ชักพระทางบก กับ ชักพระทางน้ำ  


พิธีชักพระทางบก          


          ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนวันชักพระ 2 วัน จะมีพิธีใส่บาตรหน้าล้อ นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ยังมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของงาน คือ "ปัด" หรือข้าวต้มผัดน้ำกะทิห่อด้วยใบมะพร้าว บางที่ห่อด้วยใบกะพ้อ (ปาล์มชนิดหนึ่ง) ในภาคกลางเขาเรียกว่า ข้าวต้มลูกโยน ก่อนจะถึงวันออกพรรษา 1 - 2 สัปดาห์ ทางวัดจะทำเรือบก คือ เอาท่อนไม้ขนาดใหญ่ 2 ท่อนมาทำเป็นพญานาค 2 ตัว เป็นแม่เรือที่ถูกยึดไว้อย่างแข็งแรง แล้วปูกระดาน วางบุษบก บนบุษบกจะนำพระพุทธรูปยืนรอบบุษบกก็วางเครื่องดนตรีไว้บรรเลง เวลาเคลื่อนพระไปสู่บริเวณงานพอเช้าวัน 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านจะช่วยกันชักพระ โดยถือเชือกขนาดใหญ่ 2 เส้นที่ผูกไว้กับพญานาคทั้ง 2 ตัว เมื่อถึงบริเวณงานจะมีการสมโภช และมีการเล่นกีฬาพื้นเมืองต่างๆ กลางคืนมีงานฉลองอย่างมโหฬาร อย่างการชักพระที่ปัตตานีก็จะมีชาวอิสลามร่วมด้วย

 


พิธีชักพระทางน้ำ

 


          ก่อนถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ทางวัดที่อยู่ริมน้ำ ก็จะเตรียมการต่างๆ โดยการนำเรือมา 2 - 3 ลำ มาปูด้วยไม้กระดานเพื่อตั้งบุษบก หรือพนมพระประดับประดาด้วยธงทิว ในบุษบกก็ตั้งพระพุทธรูป ในเรือบางที่ก็มีเครื่องดนตรีประโคมตลอดทางที่เรือเคลื่อนที่ไปสู่จุดกำหนด คือบริเวณงานท่าน้ำที่เป็นบริเวณงานก็จะมีเรือพระหลายๆ วัดมาร่วมงาน ปัจจุบันจะนิยมใช้เรือยนต์จูง แทนการพาย เมื่อชักพระถึงบริเวณงานทั้งหมด ทุกวัดที่มาร่วมจะมีการฉลองสมโภชพระ มีการละเล่นต่างๆ อย่างสนุกสนาน เช่น แข่งเรือปาโคลน ซัดข้าวต้ม เป็นต้น เมื่อฉลองเสร็จ ก็จะชักพระกลับวัด บางทีก็จะแย่งเรือกัน ฝ่ายใดชนะก็ยึดเรือ ฝ่ายใดแพ้ต้องเสียค่าไถ่ให้ฝ่ายชนะ จึงจะได้เรือคืน


          ในเขตที่มีบ้านเรือนอยู่ในเขตแม่น้ำลำคลองก็จะมีพิธีรับพระเช่นกัน อย่างที่อำเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ทางวัดจะอัญเชิญพระพุทธรูปยืนลงบุษบกในตัวเรือแล้วแห่ไปตามลำคลอง ชาวบ้านก็จะโยนดอกบัวจากฝั่งให้ตกในเรือหน้าพระพุทธรูป แล้วโยนข้าวต้ม และยังมีการแข่งขันเรือชิงรางวัลอีกด้วย หรือจะเป็นประเพณีตักบาตรพระร้อย ที่เป็นการใส่บาตรพระร้อยรูป ส่วนมากจะจัดพิธีขึ้นทางน้ำเนื่องจากแต่ก่อนบ้านเรือนจะอยู่ติดแม่น้ำลำคลอง การสัญจรไปไหนมาไหนก็จะใช้เรือ พระส่วนใหญ่จึงใช้เรือในการออกบิณฑบาต

 


กิจกรรมต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติใน วันออกพรรษา

 


           1. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ


           2. ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือจัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา


           3. ร่วมกุศลธรรม "ตักบาตรเทโว"


           4. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและ ประดับธงชาติและธงธรรมจักรตามวัด และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา


           5. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษาฯลฯ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป


           6. งดการเที่ยวเตร่ ละเว้นอบายมุข รวมทั้งละเว้นการฆ่าสัตว์และบริโภคเนื้อสัตว์

 


โดยประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำพิธี วันออกพรรษา จะมีดังต่อไปนี้

 


           เตือนสติว่าเวลาที่ผ่านพ้นไปอีกพรรษาหนึ่งแล้วได้คร่าชีวิตมนุษย์ ให้ผู้คนนั้นดำรงอยู่ในความไม่ประมาทและหันมาสร้างกุศล


           การทำบุญออกพรรษาจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นชำระความผิดของตนได้ คือหลักปวารณา ปกติคนเราคบกันนานๆ ก็จะเผย "สันดาน" ที่แท้ออกมา อาจจะไม่ดีนักแต่ตนเองไม่รู้ตัวแล้วมองไม่เห็น แต่ผู้อยู่ข้างๆ มองเห็นแต่ไม่กล้าเตือน ดังนั้นตนเองต้องปวารณาตัวให้ผู้อื่นชี้แนะได้ ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นและยั่งยืน


           ได้ข้อคิดที่ว่า คนเราส่วนใหญ่มักจะลำเอียงเข้าข้างตนเองเป็นฝ่ายถูก ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายส่วนตนเองนั้นความผิดนั้นเห็นยาก นี่แหละสัญชาตญาณของคนเรา


           เป็นการให้รู้ถึงการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการเปิดใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมลับลมคมในใดๆ ต่อในการคบหาหรืออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


          ดังนั้นใครที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง วันออกพรรษา จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการย้อนมองดูตัวเองว่าได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไว้บ้างหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ปรับปรุงและไม่ทำผิดซ้ำในเรื่องเดิมอีก

 

 

 

 

 

 

                


 

 

 

 

 

 

 

 

 

*****************************

 

 

 

 

"กสม."รุดเยี่ยมม็อบอุรุพงษ์ รับลูกสอบรัฐบาล บังคับใช้กฎหมายมิชอบ

กระทู้ข่าว


เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ต.ค. ที่บริเวณแยกอุรุพงษ์ ถนนพระราม 6 ฝั่งขาเข้า นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เดินทางตรวจเยี่ยม และรับฟังข้อคิดเห็นของกลุ่มผู้ชุมนุม เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. และประชาชนที่พักอาศัยอยู่บริเวณใกล้กับแยกอุรุพงษ์ โดยมีนายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงาน คปท.อำนวยความสะดวก และมอบหนังสือ ขอให้ตรวจสอบการละเมิด ของสิทธิการชุมนุมจากรัฐบาล นายอุทัย กล่าวว่า ตนในฐานะผู้ประสานงาน ขอให้กรรมการสิทธิ์ ดำเนินการตรวจสอบ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในการชุมนุมจากภาครัฐ เนื่องจาก เป็นการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ แต่ระหว่างการชุมนุม ภาครัฐได้สร้างอุปสรรคให้ประชาชน  โดยประกาศห้ามใช้เส้นทาง 14 สาย รอบทำเนียบรัฐบาล และใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร 

อีกทั้ง ส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจาให้ยุติการชุมนุมบ่อยครั้ง และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนโดยบิดเบือนความเป็นจริง รวมไปถึงนำ นักเรียน ม.6 จำนวน 5 คนที่เคยขึ้นเวทีปราศรัยไปสอบปากคำ รวมถึง สร้างความแตกแยกระหว่างผู้ชุมนุมกับประชาชนโดยรอบ ตลอดระยะเวลาการชุมนุมมีผู้ไม่หวังดีขว้างระเบิดเพลิง โปรยหมามุ่ย จุดประทัดยักษ์และยิงปืนระหว่างมีการปราศรัย  โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถดูแลความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมได้ รวมถึง มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและละเมิดสิทธิมนุษยชน ตนจึงขอให้กรรมการสิทธิ์ตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐและให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ชุมนุมด้วย

ด้าน นพ.นิรันดร์  กล่าวว่า ได้รับการประสานจากแกนนำ คปท. กรณีการถูกขัดขวางการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ จึงมารับฟังความคิดเห็นของผู้ชุมนุม และประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบ จากการรับฟังความเห็น มีประเด็นที่ต้องตรวจสอบ 3 เรื่อง คือ

1.การใช้อำนาจของรัฐบาลยึดหลักความเป็นธรรมต่อประชาชนหรือไม่ เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องมีความเป็นธรรม ไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ดังนั้น ตนจะเชิญตัวแทนเจ้าหน้าที่รัฐ ไปรับฟังการชี้แจงของคณะกรรมการสิทธิว่า ประชาชนสามารถชุมนุมได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ควรเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น แม้จะเป็นความคิดเห็นที่ตรงข้ามกับรัฐบาล ทั้งการสะท้อนปัญหาจากนโยบาย หากรัฐบาลไม่รับฟัง เท่ากับใช้อำนาจไม่ชอบธรรม

2.ต้องตรวจสอบว่าการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯนั้น สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือไม่ เพราะ ในมาตรา 15 ระบุว่า การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะต้องมีปรากฏการณ์ต่อเนื่อง   จึงต้องให้รัฐชี้แจงว่าที่ประกาศ เพราะการชุมนุมกระทบประเทศ หรือรัฐบาลกันแน่

และ 3.ตรวจสอบว่า รัฐบาลใช้กฎหมายละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะนี้ การชุมนุมไม่ใช่เรื่องของการแบ่งสีแบ่งฝ่าย แต่เป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสิทธิ และไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบว่ารัฐบาลก้าวพ้นการแบ่งสี สู่การเมืองภาคประชาชน ซึ่งเดือดร้อนจากการเมืองและเศรษฐกิจ การที่รัฐบาลทำในสิ่งที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพการชุมนุม กรรมสิทธิฯ มีหน้าที่เปิดเผยความจริงต่อประชาชน โดยภายในสัปดาห์หน้ากรรมการสิทธิฯจะเชิญเจ้าหน้าที่รัฐและตัวแทนผู้ชุมนุม ตลอดจนประชาชนที่อาศัยและทำธุรกิจบริเวณแยกอุรุพงษ์ ไปชี้แจงที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวนหาข้อเท็จจริงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมโดยทั่วไปเป็นไปอย่างปกติ แต่มีผู้ชุมนุมบางตา ท่ามกลางอากาศที่ครึ้มฝน.

 

 

 กสม   ย่อมาจาก  กรูสนับสนุนม๊อบ


 

เร็วๆไวๆรับจำนวนจำกัด1ล้านคน ปลดหนี้ธ.และแจกหุ้นปตท.ให้ทุกคน..เงื่อนไขง่ายๆแค่ไปนอนดมขรี้ ดมเยี่ยว ที่อุรุพงษ์เท่านั้น

กระทู้สนทนา
ทนายนกเขา ที่กำลังขั้วดาราไร้สมอง...เขาประกาศผ่านสื่อ..ด่วนเลยนะครับ  รับจำนวนแค่1ล้านคนเท่านั้น..มาก่อน นอนดมขรี้/ดมเยี่ยวก่อน มีสิทธิ์ก่อนนะครับ..มาช้าเต้ม อดแล้วจะเสียใจ

1ล้านคนแรก เราจะ"ปลดหนี้" ทุกบาท ทุกสตางค์ ที่ท่านเป็นหนี้กับธ. และที่สำคัย หมดหนี้แล้วยังมีเงินติดตัวไว้ใช้ ทำทุน ..เราจะแจกหุ้นปตท.ให้ฟรีๆอีกด้วย

เอ้าสาวกแมงสาป/สลิ่ม/ อย่าช้าครับ..โปรโมชั่นนี้...จัดครั้งเดียว จำนวนจำกัดนะครับ  5555555555

นำมาให้สมาชิกห้องสินธรอ่านครับ ..

 

 

 

 

1 ล้านคน แจกหุ้น PTT คนละ 100 หุ้น ก็ต้องมีหุ้นมากกว่า 100 ล้านหุ้น
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PTT 10 อันดับแรก มีที่ถือเกิน 100 หุ้นอยู่แค่ 4 อันดับแรก
1. กระทรวงการคลังถือ พันสี่ร้อนล้านหุ้น /2-3 เป็นกองทุน ถือกองละ 200 ล้านหุ้น  อันดับ 4  บริษัทไทย NVDR 117  ล้านหุ้น
อันดับ 5-10 ถือไม่ถึงร้อยล้านหุ้น



//คุณทนายคนนี้แกถืออยู่กี่หุ้นกัน มีปัญญาแจกเหรอ เพียงขอแค่เรียกคนมาชุมนุมก็พูดชุ่ยๆแบบนี้ได้ แกนนำอะไร ความน่าเชื่อถือซักนิดก็ไม่มี จะปลดหนี้สินให้ เป็นเจ้าของธนาคารเหรอ ปัญญาอ่อน

 

-โจมตีคนอื่นเรื่องประชานิยม...แต่...ตัวเอง"ประชานิยมวิบัติ"มากกว่าอีก แหมมีออกกม.ล้างหนี้ และแจกหุ้นปตท.คนมาฟังม๊อบอีก

-กล่าวหาคนอื่นเป็นเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย....แต่...ตัวเองบอกจะขอออกกฏหมายเอง

คนพูดก็พูดเรื่อยเจื้อย คนฟังก็เฮกันสนุก.....................ขำกลิ้งจริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

*****************************************

 

 

 

 

                   พิษสงมวยไทย

 

 

 

 

 

 

 

 

เป็นที่สงสัยกันมานานในทุกวงการว่า.. ศิลปะป้องกันตัวของชนชาติใดเจ๋งที่สุด ชาวเน็ตเวียดนามได้ข้อสรุปที่แตกต่างคือ มวยไทยน่ากลัวที่สุด หาคู่เปรียบได้ยากที่สุดถ้าหากเป็นการต่อสู้แบบไม่จำกัดการใช้อาวุธ ลูกเช่นลูกเตะอาจจะไม่ต่างกันมาก แต่อาวุธสั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งศอกนั้นอันตรายที่สุด.

 

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามได้ให้ความสนใจในศิลปะป้องกันตัวของไทย และพยายามเปรียบเทียบกับของชนชาติอื่นในย่านนี้ ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า “มวยไทย” นั้นเป็นยุทธศิลป์ที่เลิศล้ำหาคู่เปรียบได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นเทควันโด หรือคาราเต้
       
       ประชาคมออนไลน์ในเวียดนามได้ชมคลิปเกี่ยวกับศิลปะมวยไทยหลายชิ้นทั้งที่เกี่ยวกับการต่อสู้จริงบนเวที และการฝึกฝนวิชาการต่อสู่อันเก่าแก่นี้ ขณะที่รายงานของเคเบิลทีวีช่อง History ที่เคยนำทีมเข้ามาถ่ายทำทุกแง่ทุกกมุมเกี่ยวกับศิลปะมวยไทยเมื่อหลายปีก่อน ก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง
       
       ตามรายงานสำนักข่าวเกี่ยวดึ๊กเหงียดนาม หรือ “ข่าวการศึกษาเวียดนาม” หากว่าด้วยการใช้อาวุธเตะเพียงอย่างเดียว เทควันโดกับมวยไทยมีไม้เตะที่ไม่ต่างกันมาก แต่จะไม่สามารถเอาชนะมวยไทยได้ในการแข่งขันแบบไม่จำกัดการใช้อาวุธ วิดีโอคลิปการแข่งขันชิ้นหนึ่งอาจจะช่วยยืนยันได้ ถึงแม้ว่านัดนี้กรรมการจะตัดสินให้ “แข้ง” ของเทควันโดเป็นฝ่ายชนะก็ตาม
       
       ประชาคมออนไลน์ชาวเวียดนามยังได้ข้อสรุปว่า ..คาราเต้ หรือคาราเต้โด ของชาวญี่ปุ่นไม่สามารถทำอะไรมวยไทยได้มากนัก ส่่วนมวยจีนเส้าหลิน ถึงแม้จะดูน่าเกรงขามในภาพยนตร์ และพอฟัดพอเหวี่ยงกับเทควันโดในเรื่องเตะ แต่ถ้าหากเป็นการต่อสู้แบบไม่จำกัดการใช้อาวุธ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนแต่ “ไม่ใช่คู่เปรียบ” ของศิลปะมวยไทย.

 

 

มวยไทยกับคนไทย


....จากการจำแนกเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คนไทยมีเชื้อชาติอยู่ในกลุ่มมองโกเลีย ลักษณะร่างกายโดยทั่วไปตัวเล็กกว่าคนที่อาศัยอยู่ในเขตหนาว ความสูงโดยเฉลี่ย 5 ฟุต 3 นิ้ว ร่างกายล่ำสัน สมส่วน ทะมัดทะแมง น้ำหนักตัวน้อย มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูง มือมีเนื้อนุ่มนิ่ม ผิวสีน้าตาลอ่อน ผมดกดำ ขนตามตัวมีน้อย เคราไม่ดกหนา รูปศีรษะเป็นสัดส่วนดี ลูกตาสีดำตาขาวมีสีเหลืองเล็กน้อย กระพุ้งแก้มอวบอูม ใบหน้ากลม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นเมืองร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ใช้เรือเป็นพาหนะ จึงทำให้คนไทยสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น ไม่สวมหมวกและรองเท้า สามารถใช้อวัยวะหมัด เท้า เข่า ศอก ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จึงนำไปผสมผสานกับการใช้อาวุธมีด ดาบ หอก เพื่อป้องกันตนเองและป้องกันประเทศ

 

....มวยไทยนั้นมีมาพร้อมกับคนไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทยมาช้านาน ในสมัยโบราณประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ จึงมีการสู้รบกันอยู่เสมอๆ ดังนั้นชายไทยจึงนิยมฝึกมวยไทยควบคู่กับการฝึกอาวุธ ต่อมาได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น มีลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงามแฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งดุดัน สามารถฝึกเพื่อป้องกันตนเอง เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย และเพื่อเป็นอาชีพได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

 

2. มวยไทยในสมัยกรุงสุโขทัย


....สมัยกรุงสุโขทัยเริ่มประมาณ พ.ศ.1781 - 1951 รวมระยะเวลา 140 ปี หลักฐานจากศิลาจารึกกล่าวไว้ชัดเจนว่า กรุงสุโขทัยทำสงครามกับประเทศอื่นรอบด้าน จึงมีการฝึกทหารให้มีความรู้ความชำนาญในรบด้วยอาวุธ ดาบ หอก โล่ห์ รวมไปถึงการใช้อวัยวะของร่างกายเข้าช่วยในการรบระยะประชิดตัวด้วย เช่น ถีบ เตะ เข่า ศอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรบ

 

....หลังเสร็จสงครามแล้ว ชายหนุ่มในสมัยกรุงสุโขทัยมักจะฝึกมวยไทยกันทุกคนเพื่อเสริมลักษณะชายชาตรี เพื่อศิลปะป้องกันตัว เพื่อเตรียมเข้ารับราชการทหารและถือเป็นประเพณีอันดีงาม ในสมัยนั้นจะฝึกมวยไทยตามสำนักที่มีชื่อเสียง เช่น สำนักสมอคอน แขวงเมืองลพบุรี นอกจากนี้ยังมีการฝึกมวยไทยตามลานวัดโดยพระภิกษุอีกด้วย วิธีฝึกหัดมวยไทยในสมัยกรุงสุโขทัย ครูมวยจะใช้กลอุบายให้ศิษย์ ตักน้ำ ตำข้าว ผ่าฟืน ว่ายน้ำ ห้อยโหนเถาวัลย์ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและอดทนก่อนจึงเริ่มฝึกทักษะ โดยการผูกผ้าขาวม้าเป็นปมใหญ่ๆไว้กับกิ่งไม้ แล้วชกให้ถูกด้วยหมัด เท้า เข่า ศอก นอกจากนี้ยังมีการฝึกเตะกับต้นกล้วย ชกกับคู่ซ้อม ปล้ำกับคู่ซ้อม จบลงด้วยการว่ายน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกายและผ่อนคลายกล้ามเนื้อก่อนนอน ครูมวยจะอบรมศีลธรรมจรรยา ทบทวนทักษะมวยไทยท่าต่างๆ จากการฝึกในวันนั้นผนวกกับทักษะท่าต่างๆ ที่ฝึกก่อนหน้านี้แล้ว

 

....สมัยกรุงสุโขทัยมวยไทยถือว่าเป็นศาสตร์ชั้นสูงถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาของกษัตริย์ เพื่อฝึกให้เป็นนักรบที่มีความกล้าหาญ มีสมรรถภาพร่างกายดีเยี่ยม เป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถในการปกครองประเทศต่อไป ดังความปรากฏตามพงศาวดารว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์กษัตริย์กรุงสุโขทัยพระองค์แรกทรงเห็นการณ์ไกลส่งเจ้าชายร่วงองค์ที่ 2 อายุ 13 พรรษา ไปฝึกมวยไทยที่ สำนักสมอคอน แขวงเมืองลพบุรี เพื่อฝึกให้เป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าในอนาคต และในปี พ.ศ. 1818 - 1860 พ่อขุนรามคำแหงได้เขียนตำหรับพิชัยสงคราม ข้อความบางตอนกล่าวถึงมวยไทยด้วย นอกจากนี้พระเจ้าลิไท เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาจากสำนักราชบัณฑิตในพระราชวังมีความรู้แตกฉานจนได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ ซึ่งสำนักราชบัณฑิตมิได้สอนวิชาการเพียงอย่างเดียว พระองค์ต้องฝึกภาคปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่าแบบมวยไทย และการใช้อาวุธ คือ ดาบ หอก มีด โล่ห์ธนู เป็นต้น

 

 

 

มวยไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา


....สมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มประมาณ พ.ศ.1988 - 2310 ระยะเวลา 417 ปี บางสมัยก็มีศึกกับประเทศใกล้เคียง เช่น พม่า และเขมร ดังนั้นชายหนุ่มสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงต้องฝึกฝนความชำนาญในกานต่อสู้ด้วยอาวุธและศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่า โดยมีครูผู้เชี่ยวชาญทางการต่อสู้เป็นผู้สอน การฝึกเริ่มจากในวังไปสู่ประชาชน สำนักดาบพุทธไทสวรรค์เป็นสำนักดาบที่มีชื่อเสียงสมัยอยุธยา มีผู้นิยมไปเรียนมาก ซึ่งในการฝึกจะใช้อาวุธจำลอง คือดาบหวายเรียกว่า กระบี่กระบอง นอกจากนี้ยังต้องฝึกการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า เรียกว่า มวยไทย ควบคู่กันไปด้วย ในสมัยนี้วัดยังคงเป็นสถานที่ให้ความรู้ทั้งวิชาสามัญและวิชาปฏิบัติในเชิงอาวุธควบคู่กับมวยไทยอีกด้วย

 

• สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133 - 2147)


....พระองค์ทรงเลือกคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์มาทรงฝึกหัดด้วยพระองค์เอง โดยฝึกให้มีความกล้าหาญ มีความเชื่อมั่นตนเอง ใช้อาวุธได้ทุกชนิดอย่างชำนาญ มีความสามารถในศิลปะการต่อสู้มวยไทยดีเยี่ยม และพระองค์ทรงตั้ง กองเสือป่าแมวมอง เป็นหน่วยรบแบบกองโจร ซึ่งทหารกองนี้เองมีบทบาทมากในการกอบกู้เอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2127

 

• สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2147 - 2233)


....สภาพบ้านเมืองสงบร่มเย็น มีความเจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์ทรงให้การส่งเสริมและสนับสนุนกีฬาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะมวยไทยนั้นนิยมกันมากจนกลายเป็นกีฬาอาชีพ มีค่ายมวยเกิดขึ้นมากมาย มวยไทยสมัยนี้ชกกันบนลานดิน โดยใช้เชือกเส้นเดียวกั้นบริเวณเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส นักมวยจะใช้ด้ายดิบชุบแป้งหรือน้ำมันดินจนแข็งพันมือ เรียกว่า คาดเชือก หรือ มวยคาดเชือก นิยมสวมมงคลไว้ที่ศีรษะ และผูกประเจียดไว้ที่ต้นแขนตลอดการแข่งขัน การเปรียบคู่ชกด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย ไม่คำนึงถึงขนาดร่างกายลาอายุ กติกาการชกง่ายๆ คือ ชกจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยอมแพ้ ในงานเทศกาลต่างๆ ต้องมีการจัดแข่งขันมวยไทยด้วยเสมอ มีการพนันกันระหว่างนักมวยที่เก่งจากหมู่บ้านหนึ่งกับนักมวยที่เก่งจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง

 

สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ (พ.ศ.2240 - 2252)


....สมัยพระเจ้าเสือ หรือขุนหลวงสุรศักดิ์ พระองค์ทรงโปรดการชกมวยไทยมาก ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสด็จไปที่ตำบลหาดกรวด พร้อมด้วยมหาดเล็กอีก 4 คน แต่งกายแบบชาวบ้านไปเที่ยวงานแล้วเข้าร่วมการเปรียบคู่ชก นายสนามรู้เพียงว่าพระองค์เป็นนักมวยจากเมืองกรุงจึงจัดให้ชกกับนักมวยฝีมือดีจากสำนักมวยเมืองวิเศษไชยชาญ ซึ่งได้แก่ นายกลาง หมัดตาย นายใหญ่ หมัดเล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก ซึ่งพระองค์ชกชนะทั้งสามคนรวด นกจากนี้พระองค์ทรงฝึกฝนให้เจ้าฟ้าเพชรและเจ้าฟ้าพร พระราชโอรสให้มีความสามารถในด้านมวยไทย กระบี่กระบองและมวยปล้ำอีกด้วย

 

 

 

สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

 

หลังจากพ่ายแพ้แก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ มีนักมวยมีชื่อเสียงสองคน ดังนี้

 

๑. นายขนมต้ม เป็นเชลยไทยที่ถูกกวาดต้อนไปครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๑๗ พระเจ้ากรุงอังวะ กษัตริย์พม่าโปรดให้จัดงานพิธีสมโภชมหาเจดีย์ใหญ่ ณ เมืองร่างกุ้ง ทรงตรัสให้หานักมวยไทยฝีมือดี มาเปรียบกับนักมวยพม่า แล้วให้ชกกันที่หน้าพระที่นั่ง ในวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๗ ซึ่งนายขนมต้มชกชนะนักมวยพม่าถึง ๑๐ คน โดยไม่มีการพักเลย การชกชนะครั้งนี้เป็นการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในต่างแดนเป็นครั้งแรก ดังนั้นนายขนมจึงเปรียบเสมือน "บิดามวยไทย" และวันที่ ๑๗ มีนาคม ถือว่า เป็นวันมวยไทย

 

๒.พระยาพิชัยดาบหัก (พ.ศ.๒๒๘๔ - ๒๓๒๕) เดิมชื่อจ้อย เป็นคนเมืองพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ มีความรู้ความสามารถเชิงกีฬามวยไทยมาก ได้ฝึกมวยไทยจากสำนักครูเที่ยงและใช้วิชาความรู้ชกมวยไทยหาเลี้ยงตัวเองมาจนอายุได้ ๑๖ ปี แล้วจึงฝึกดาบ กายกรรม และมวยจีนจากคนจีน ด้วยฝีมือเป็นเลิศในเชิงมวยไทยและดาบ เป็นที่ปรากฏแก่สายตาของพระยาตาก จึงนำเข้าไปรับราชการได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงพิชัยอาสา หลังจากพระเจ้าตากสิ้นได้กรุงธนบุรีเป็นราชธานี ก็ให้พระยาพิชัยไปครองเมืองพิชัยบ้านเมืองเดิมของตนเอง ในปี พ.ส.๒๓๑๔ พม่ายกทับมาตีเมืองเชียงใหม่แล้วเลยมาตีเมืองพิชัย พระยาพิชัยนำทหารออกสู้รบ การรบถึงขั้นตะลุมบอน จนดาบหักทั้งสองข้าง จึงได้นามว่า พระยาพิชัยดาบหัก

 

 

เเม่ไม้มวยไทย 

 

 

 

 

 

สลับฟันปลา

 

รับวงนอก

แม่ไม้นี้เป็นไม้หลักหรือไม้ครูเบื้องต้น ใช้รับและหลบหมัด ตรงของคู่ต่อสู้ที่ ชกนำ โดยหลบออกวงนอก นอกลำแขนของ คู่ต่อสู้ทำให้หมัดเลยหน้าไป


ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายตรง ที่หมายใบหน้าของฝ่ายรับ พร้อมกับก้าวเท้า ซ้ายสืบไปข้างหน้า


ฝ่ายรับ ก้าวเท้าขวาหลบไป ทางกึ่งขวา ๑ ก้าว พร้อมทั้งโน้มตัวเอนไป ทางขวาประมาณ ๖. องศา น้ำหนักตัวอยู่ บนเท้าขวา ขาขวางอเล็กน้อยศีรษะและตัว หลบออกวงนอกของหมัดฝ่ายรุก ใช้มือขวา จับคว่ำมือที่แขนท่อนบนของฝ่ายรุก มือซ้าย จับกำหงายที่ข้อมือของฝ่ายรุก (ท่าคล้ายจับ หักแขน)

 

 

 

 

 

หักงวงไอยรา 

 

 

ศอกโคนขา

แม่ไม้นี้ใช้แก้การเตะโดยตัด กำลังขา ด้วยการใช้ศอกกระทุ้งที่โคนขา


ฝ่ายรุก ยกเท้าขวาเตะกราดไปยังบริเวณชายโครงของฝ่ายรับ งอแขน ทั้งสองบังอยู่ ตรงหน้า


ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าขวาเข้าหา ฝ่ายรุกตรงหน้าเกือบประชิดตัวหันข้างตัวไป ทางซ้ายเข่าขวางอ เท้าซ้าย เหยียดตรง พร้อมกับใช้มือซ้ายจับเท้าขวา ของฝ่ายรุก ให้สูง ศอกขวากระแทกที่ โคนขาฝ่ายรุก ยกเท้าขวาฝ่ายรุกให้สูงขึ้น เพื่อให้เสียหลัก ยิงกันฝ่ายรุกใช้ศอกกระแทกศีรษะ

 

 

 

                             

 

 

 

 

 

 

************************************************

 

 


       

 

 

 

 

 

ATT00001.gif picture by nobutafon

ATT00002.gif picture by nobutafon

ATT00003.gif picture by nobutafon

 

ATT00004.gif picture by nobutafon

แค่มีเธอ
ปนัดดา เรืองวุฒิ

 

 

 

 

***********************************

 

 

 

 

 

 

         ทัพจีนบุกสำเพ็ง อวสานอาณาจักรผ้าของไทย

 

 

 

                                         ขายผ้าเมตร

 

 

 

สำเพ็งในวันนี้ไม่นึกว่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้ !

 

ถ้าคุณมีโอกาสได้เดินสำเพ็ง ตลาดค้าผ้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย เมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว และพอจะจดจำบรรยากาศเก่าๆ ได้บ้าง คุณจะนึกได้ถึงสภาพความจ้อกแจ้กจอแจของเสียงรถมอเตอร์ไซค์เวสป้าวิ่งส่งผ้าสวนกันไปมากลางซอยแคบๆ มีเสียงของพนักงานขายผ้าร้องเรียกให้ลูกค้าเข้าร้านดังแข่งกันดังเซ็งแซ่

 

แต่กลับมาอีกครั้งในวันนี้ สำเพ็งไม่เหมือนเดิมจริงๆ มันเงียบเหงา ซบเซา แบบไม่เหลือเค้าเดิม …

 

จากจำนวนร้านค้าที่เคยเปิดขายผ้าเรียงติดๆ กันชนิดที่ว่า ไม่รู้ว่าจะเข้าไปเลือกซื้อร้านไหนดีในสมัยก่อนนั้น บรรยากาศแบบนั้นไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว เดินไป 6-7 ร้าน ถึงจะเจอร้านผ้าสักร้านหนึ่ง ร้านผ้าที่ปิดไป สิ่งที่เปิดขึ้นมาแทน คือ ร้านขายสินค้ากิฟต์ช็อป ที่ปูดขึ้นมาราวดอกเห็ด และแพร่กระจายได้รวดเร็วมาก

 

ถนนวานิช ฝั่งคิคูยา เป็นตัวอย่างได้ดี เดิมเป็นตลาดผ้า ยึดพื้นที่ขายเกือบ 100% มานาน 50-60 ปี ตั้งแต่คนรุ่นปู่ มาสู่รุ่นพ่อ จะมีสินค้ากิฟต์ช็อปแซมบ้างก็น้อยนิด แต่มาถึงยุคนี้ตลาดผ้าเหลือไม่ถึง 10% อีก 90% กลับกลายเป็นร้านสินค้ากิฟต์ช็อป

 

และไม่ใช่สินค้ากิฟต์ช็อปที่ผลิตโดยคนไทย หากแต่เป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนเกือบ 100%

 

แหล่งข่าวผู้ประกอบการค้าผ้าย่านสำเพ็งให้ข้อมูลว่า จริงๆ สินค้ากิฟต์ช็อปในสำเพ็งมีมานานแล้ว แต่ไม่มากขนาดนี้ เมื่อก่อนเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และคนไทยก็ผลิตเองบ้าง แต่ปัจจุบันไม่ใช่ พอร้านค้าผ้าไปไม่รอด ต้องปิดตัวเอง ร้านขายกิฟต์ช็อปก็เข้ามาแทนที่ได้ทันที ยอมที่จะจ่ายค่าเช่าแพง หลักแสนบาท เพื่อจะขายสินค้ากิฟต์ช็อปที่นำเข้าจากประเทศจีนเกือบทั้งหมด

 

อาจจะเรียกได้ว่า เวลานี้สินค้าจีนยึดตลาด สำเพ็งไปเรียบร้อยแล้วก็คงไม่ผิดนัก

 

นโยบายรัฐ…อวสานสำเพ็ง

 

อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดผ้าสำเพ็งใกล้ถึงจุดอวสาน จนทำให้กิฟต์ช็อปขึ้นมาแทนที่ได้ !

 

นายถาวร ตันติศิริวิทย์ นายกสมาคมพ่อค้าผ้าไทย เล่าว่า ตลาดผ้าสำเพ็งมันเริ่มซบเซามาตั้งแต่ปี 2545 ช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายไม่ให้ชาวต่างชาติผิวดำแถบแอฟริกาใต้เข้าประเทศไทย เพราะต้องการปราบปรามยาเสพย์ติด แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ลูกค้าผิวดำแถบแอฟริกาเหล่านี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่มาซื้อเสื้อผ้าไปขายไปบริโภคในประเทศเขา การเข้ามาประเทศไทยในแต่ละครั้งจะหอบเงินดอลลาร์เข้ามาซื้อผ้าเงินสด ซื้อเสร็จก็หิ้วขึ้นเครื่องบินเองบ้าง ส่งลงเรือไปบ้าง

 

“นอกจากลูกค้าผิวดำ ก็มีลูกค้ากลุ่มตะวันออก กลาง พวกนี้รวย มาซื้อเสื้อผ้าราคาถูกๆ ซื้อไปใส่ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ต้องซักเพราะน้ำบ้านเขาแพง แต่เวลานี้หายไปหมด ลูกค้าต่างชาติกลุ่มนี้ก็มุ่งหน้าไปซื้อจีนแทน สินค้าจีนมีให้เลือกเยอะ ราคาถูก เข้าประเทศจีนได้ง่าย รัฐบาลจีนไม่เข้มงวด พอไปซื้อแล้วติดใจ ไม่กลับมาซื้อการ์เมนต์ไทยอีกแล้ว และไม่รู้ว่าถ้ารัฐบาลแก้กฎหมายแล้ว เขาจะกลับมาซื้ออีกหรือเปล่า” นายกสมาคมพ่อค้าผ้าไทยกล่าว

 

ฉะนั้นนับแต่ปี 2545 เรื่อยมา ตลาดการ์เมนต์ไทยซบเซาลงเป็นลำดับ และมาเจอดาบที่ 2 ดาบที่ 3 …ทั้งเรื่องการเปิดเสรีการค้าไทย-จีน เรื่องเช็คเด้ง เรื่องการรีดเก็บภาษีของกรมสรรพากร ที่เลือกปฏิบัติ ฯลฯ ส่งผลให้ตลาดผ้าในสำเพ็งหายไป 50-70% ส่วนผู้ประกอบการที่อยู่ ณ เวลา “อยู่เพราะต้องอยู่”

 

“ตอนนี้ผมใจแข็งนะ ไม่เอาสินค้าจีนมาขาย บางรายเขาอยู่ไม่ได้ก็ต้องปรับไปทำสินค้าจีน เพราะสินค้าเขาถูกจริงๆ ถูกแบบต้นทุน เขาถึงมาได้ และรัฐบาลจีนสนับสนุน แต่สำหรับผู้ประกอบการไทย รัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมแล้ว ยังทำร้ายเราด้วย” ผู้ประกอบการยี่ปั๊วรายหนึ่งกล่าว

 

ผู้ประกอบการรายนี้กล่าวอีกว่า อย่างที่บอกว่าลูกค้าตะวันออกกลางไม่มี ลูกค้ากลุ่มผิวดำไม่มีมาเดินให้เห็น หรือถ้ามีก็น้อยมาก ที่เหลืออยู่ก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย แต่ก็เริ่มน้อยลงทุกที อย่างลูกค้าภาคอีสาน แถบอุดรฯ หนองคาย จากที่เคยซื้อไทย เขาก็ข้ามไปซื้อเวียดนาม ทางเหนือก็ซื้อจีน ทางใต้ก็ซื้อมาเลเซีย อินโดนีเซีย ตลาดมันจึงแคบลงเรื่อยๆ

 

ส่วนตลาดไทยก็ลดลงอีกเช่นกัน ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ไปดูได้ที่ สน.สัมพันธวงศ์ ถามว่าคดีเช็คเด้ง โรงพักไหนเยอะที่สุด ที่เขตสำเพ็งนี่เลย มากที่สุด มีทุกวัน “มีจนทั้งเราก็เบื่อ ตำรวจก็เบื่อ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ขายผ้า 1 ล้านบาท กำไร 50,000 บาท ส่วนกำไรกรมสรรพากรก็จะมาเรียกเก็บ ขณะที่ 1 ล้านบาทที่ขายออกไปก็เรียกเก็บเงินไม่ได้ มีค่าแค่กระดาษ 1 แผ่น …ทุกวันนี้ สำเพ็งมันเป็นอย่างนี้จริงๆ”

 

ตลาดการ์เมนต์สูญหมื่นล้าน

 

มีการประเมินกันว่าตลาดผ้าไทยสูญไปนับหมื่นล้านบาท แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะร้านค้าผ้าในตลาด สำเพ็งเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่วงจรธุรกิจที่เชื่อมโยงกับตลาดผ้าแห่งนี้ล้วนได้รับผลกระทบต่อกันยาวเป็นลูกโซ่

 

“ในอดีตประมาณการกันว่า บริษัทค้าผ้าในย่านสำเพ็งน่าจะมีกว่า 1,000 ราย แต่เวลานี้น่าจะปิดไปกว่าครึ่ง ดูได้จากจำนวนห้องแถวในถนนซอย ต่างๆ ที่เวลานี้มีแต่ทยอยปิด เพราะมันไปไม่ไหวจริงๆ ส่วนที่เหลืออยู่เวลานี้ก็มีแต่แย่ลงเรื่อยๆ”

 

เถ้าแก่ร้านผ้าย่านสำเพ็งรายหนึ่งอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า เมื่อ 10 กว่าปีก่อน หากคุณมาเดินสำเพ็ง คุณไม่มีโอกาสมานั่งคุยกับผมแบบสบายๆ แบบนี้ คุณจะต้องตะโกนเสียงดังๆ ผมถึงจะได้ยิน เพราะเสียงมันจะดังมาก เพราะร้านค้าต่างก็เร่งรีบขายของ สั่งลูกน้องขนสินค้าเพื่อไปส่ง

 

รถเวสป้าคลาสสิกที่เรานิยมใช้ขนส่งผ้า ก็จะไม่มีหรอกที่จะมาจอดเรียงนิ่งสนิทอยู่ที่หน้าร้านแบบนี้ บรรดาลูกน้องก็จะไม่มีมานั่งหน้าร้านแบบนี้เช่นเดียวกัน ทุกอย่างจะคึกคัก วุ่นวาย แต่มันก็สนุก มันแสดงถึงการไปได้ดีของธุรกิจค้าผ้า และวงจรที่เกี่ยวข้อง …แต่เวลานี้ไม่ใช่

 

“คิดง่ายๆ ตลาดสำเพ็งเป็นแหล่งค้าผ้าคนกลาง บางรายก็มีครบวงจร บางรายเป็นยี่ปั๊ว รับผ้ามาจากโรงงานเพื่อส่งให้การ์เมนต์อีกต่อหนึ่ง ดังนั้นการทรุดลงของตลาดสำเพ็งจึงเปรียบเสมือนทุกวงจรที่เกี่ยวข้องทรุดกันไปตามๆ กัน”

 

วิชัย มหามงคล เจ้าของโรงงานทอผ้า มหามงคล (เฮียบเชียง) กล่าวว่า พอตลาดสำเพ็งทรุด ตลาดที่ทรุดกันไปตามๆ กันก็คือ ประตูน้ำ โบ๊เบ๊ เพราะมันหมายถึงบรรดาโรงงานการ์เมนต์ทั้งหลายที่ทำเสื้อส่งประตูน้ำ ส่งโบ๊เบ๊ ต่างก็ต้องปิดตัวเองไปด้วย เพราะสู้เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่นำเข้าจากจีน ฮ่องกง ไม่ได้

 

“เวลานี้ไปดูได้ ทั้งประตูน้ำ ใบหยก โบ๊เบ๊ เวลาถามผ้ามาจากที่ไหน พนักงานขายก็จะบอกว่า “งานนอก” งานนอกในความหมายก็คือ เสื้อผ้าสำเร็จรูปจากจีน บางคนบอกว่างานฮ่องกง ก็ตัดเย็บจากจีนแดงน่ะแหละ เข้ามาแบบสำเร็จรูป

 

ไม่ต้องไปสร้างมูลค่าเพิ่มที่ไหนอีก ซึ่งเวลานี้ครองตลาดไปกว่า 90% เหลือที่เป็นการ์เมนต์ไทย

 

จริงๆ ไม่รู้ถึง 10% หรือเปล่า แต่รัฐบาลปล่อยไม่ทำอะไร เหมือนกับที่สำเพ็งเวลานี้ที่มีแต่สินค้าจีนเต็มไปหมด”

 

ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้สินค้าจากประเทศจีนเข้ามามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร โดยไม่ทำอะไร !

 

 

กองทัพมดเกลื่อนสำเพ็ง

 

แหล่งข่าวร้านค้ายี่ปั๊วอีกรายกล่าวเสริมว่า จริงๆ การที่ตลาดผ้าสำเพ็งมันใกล้ถึงกาลอวสาน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับสินค้ากิฟต์ช็อปจากประเทศจีนโดยตรง แต่ที่อยากจะอธิบายให้เห็นก็คือ การเปรียบเทียบโครงสร้างภาษีนำเข้า ที่จะเป็นรายได้เข้าประเทศ ที่มันไม่ชอบมาพากล และไม่ใช่แค่สินค้านำเข้าที่เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปอย่างเดียว แต่หมายถึงสินค้าอื่นๆ อาทิ เครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น กิฟต์ช็อป ที่ปัจจุบันระบบการจัดเก็บภาษีแปลกๆ

 

โดยยกตัวอย่างคือ สินค้าผ้า เพราะวงจรในธุรกิจนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันประมาณ 10 ขั้นตอน ตั้งแต่เกษตรกรปลูกฝ้าย โรงงานปั่นด้าย โรงย้อม โรงทอ โรงพิมพ์ผ้า จนมาถึงที่สำเพ็ง ซึ่งเป็นร้านยี่ปั๊ว ก็มีโรงงานการ์เมนต์ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ มาซื้อผ้าเพื่อไปตัดเป็นแบบต่างๆ เพื่อขายในประเทศ หรือส่งออก …ทุกขั้นตอนมีเรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องหมด

 

“รัฐสามารถเก็บภาษีได้ ตรวจสอบภาษีได้ ได้เงินภาษีไปเข้าคลัง ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้านบาท แต่เวลานี้วงจรนี้ไม่สามารถทำเงินให้กับรัฐบาล เพราะขาดทุน โรงทอทยอยปิดไปนับ 100 โรง การ์เมนต์ปิดไปแล้วนับร้อยๆ โรงงานอีกเช่นกัน คนงานตกงานอีกไม่รู้เท่าไร อาชีพและอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เคยเป็นฐานให้กับระบบเศรษฐกิจไทยเวลานี้ มันพังไปหมด”

 

แต่สินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีน ผ่านการท่าเรือแห่งประเทศไทย รัฐบาลเก็บภาษีได้ขั้นตอนเดียว 7% จากนั้นสินค้าลอตนี้ไปกระจายอยู่ตามร้านแผงลอย ห้องแถว ฯลฯ ที่ไหนบ้างไม่รู้ แต่มีขายกันเกลื่อนเมือง โดยที่เก็บภาษีไม่ได้ แต่รัฐบาลก็ปล่อยไม่ทำอะไร

 

หรือแม้ที่สำเพ็งเองก็ตาม เวลานี้ขายกันอยู่ 3 รอบ เป็นสินค้ากิฟต์ช็อปจากจีนแดงเกือบ 100% รอบเช้า แปดโมงถึงหกโมงเย็น จากนั้น สองทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน รอบสุดท้ายตี 3 ไปจนถึงแปดโมงเช้า ขายอยู่เต็มถนนฝั่งคิคูยา พ่อค้าจากจีนแดงเข้ามาเองพูดไทยยังไม่ชัดก็มี หิ้วมา 4-5 กระเป๋า ขายหมดก็กลับบ้าน

 

หรือแม้กระทั่งเข้ามาเป็นตู้คอนเทนเนอร์ เสียภาษีอย่างถูกต้อง แต่ส่วนเดียว (นำเข้ามา 10 ตู้ แต่จ่ายภาษีแค่ 2 ตู้) ส่วนใบอนุญาตก็มีใบเดียว จากนั้นก็เวียนกันไป ฯลฯ โดยที่สินค้าที่เข้ามาก็เหมือนขยะ ใช้แป๊บเดียวก็พัง แต่รัฐบาลไทยไม่เคยตรวจสอบเรื่องคุณภาพมาตรฐาน

 

ยกตัวอย่าง ถ่านไฟฉาย 4 ก้อน 10 บาท ใช้แป๊บเดียวหมดแล้ว พวกนี้เป็นขยะมีพิษทั้งนั้น ไหนจะของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอีก สารพัด แต่กรมศุลกากรก็เหมือนกับหลับหูหลับตากับขบวนการที่ทำกันอย่างเปิดเผย โดยที่รัฐบาลได้ภาษีเข้ารัฐนิดเดียว แต่ที่เป็นภาษีใต้โต๊ะไม่รู้ไปตกหล่นอยู่ที่ใครบ้าง

 

“แค่นี้คือหลักคิดง่ายๆ กับเราที่เป็นโรงงาน รัฐตามล้างตามเช็ด บอกขาดทุนติดต่อกัน 2 ปีมาแล้ว ไม่เชื่อ จะเอาเงินเท่าเดิม แต่กรณีสินค้านำเข้าปล่อยให้เข้ามาทั้งที่เก็บภาษีไม่ได้ แถมยังทำลายอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการคนไทยอีก”

 

แหล่งข่าวกล่าวตอนท้ายว่า จริงๆ วิธีการแก้ปัญหาเรื่องสินค้านำเข้าจากจีนง่ายนิดเดียวและเห็นผลทันตาด้วย เพียงแค่ให้กรมศุลกากรเข้มงวด มีการตรวจสอบจัดเก็บภาษีอย่างตรงไปตรงมาทุกตู้เท่านั้น ซึ่งถ้าทำจริงๆ รัฐบาลนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์ ได้เงินเข้าคลังเป็นกอบเป็นกำ จากปัจจุบันที่ไม่รู้ว่าได้เงินเข้ารัฐถึง 20% หรือเปล่า เมื่อเทียบกับสินค้าหลากชนิดที่นำเข้ามาขายจนเกลื่อนประเทศในขณะนี้

 

เพราะมันมีบางส่วนที่เป็นส่วนใหญ่ที่ตกหล่นระหว่างแถวๆ การท่าเรือฯ ส่วนในย่านสำเพ็งก็แถวเขตสัมพันธวงศ์ เทศกิจนี่แหละ !!!

 

ถามว่าแล้วถ้ารัฐบาลช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ การ์เมนต์ไทยจะอยู่ได้หรือ !

 

คำตอบก็คือ เราคงกลับมายิ่งใหญ่ได้ไม่เท่าเดิม แต่ก็คงไม่เล็กแคระแกร็นอย่างที่เป็นอยู่ เพราะข้อเท็จจริงก็คือ ยังมีสินค้าอีกหลายส่วนที่คนไทยมีไอเดีย มีฝีมือ ที่สามารถแข่งขันกับจีนได้

 

ขอเพียงแต่รัฐบาลช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่อย่างเป็นระบบเท่านั้น !!!

 

ที่มา : http://www.halalthailand.com

 

 

 

 

 

***********************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*****************************************

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 19:11:58 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>