Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

หาดูยาก พายุใหญ่ 3 ลูกโผล่พร้อมกัน

ArjanPong | 10-10-2556 | เปิดดู 2896 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 หาดูยาก พายุใหญ่ 3 ลูกโผล่พร้อมกัน

 

 

 

   

 

เกิดในมหาสมุทรอินเดีย (ลูกซ้ายสุด) .. ไซโคลนไพลิน (Phailin) กำลังแสดงอิทธิฤทธิ์ในทะเลเบงกอล ถัดมาทางทิศตะวันออกไต้ฝุ่นนาดี (Nari) กำลังมุ่งหน้าผ่านหมู่เกาะฟิลิปปินส์ทะลวงเข้าทะเลจีนใต้โดยมีปลายทางที่ชายแดนลาว-ไทย ไม่ไกลกัน "วิภา" พายุโซนร้อนชื่อไทย กำลังปั่นตัวเองเป็นไต้ฝุ่นระดับ 1 มุ่งหน้าถล่มจีน จะนานเท่าไรก็จำไม่ได้แล้วนับตั้งแต่เกิดพายุรุนแรงในเขตร้อนพร้อมกันถึง 3 ลูกครั้งก่อนหน้านี้ ตามรายงานของหน่วยงานวิจัยชั้นบรรยากาศมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ที่เห็นในภาพนี้เป็นปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยาก.

 

 

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- นักอุตุนิยมวิทยาในย่านนี้กำลังจับตาปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากเมื่อเกิดพายุเขตร้อนรุนแรงขึ้น 3 ลูกในเวลาไล่เลี่ยกันและหมุนในทิศทางเดียวกัน ทำให้เกิดพลังงานอันมหาศาล ทำให้ลมฟ้าอากาศในย่านนี้ปั่นป่วนอีกครั้งตั้งแต่ทะเลแปซิฟิกตะวันตก ทะเลจีนใต้ไปจนถึงอ่าวเบงกอล
       
       ขณะเดียวกันสำนักอุตุนิยมวิทยาแห่งต่างๆ ก็กำลังจับตาไต้ฝุ่นลูกใหม่ที่มุ่งหน้าเข้าสู่เกาะเหนือของฟิลิปปินส์ในวันศุกร์ 11 ต.ค.นี้ แผนภูมิพยากรณ์ของหลายสำนักชี้ว่าไต้ฝุ่นระดับ 3 มีปลายทางที่ชายแดนภาคกลางของลาวกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามนี้ต้นสัปดาห์หน้าภาคอีสานตอนกลางกับตอนล่างก็มีโอกาสชุ่มฉ่ำกับสายฝนอีกรอบ
       
       ไต้ฝุ่นลูกใหม่มีชื่อเขียนเป็น “Nari” ซึ่งควรจะเรียกเป็น "นา-ริ" แต่ในภาษาเกาหลีบ้านเกิดชื่อนี้ออกเสียงเป็น "นา-ดี" ทั้งนี้เป็นเสียงเรียกชื่อพายุที่บันทึกเอาไว้โดยหอสังเกตการณ์ฮ่องกง (Hong Kong Observatory) หรือองค์การอุตุนิยมวิทยาของเขตปกครองพิเศษ
       
       หอสังเกตการณ์ฯ แห่งนี้กล่าวว่า “นา-ดี” เป็นชื่อดอกไม้ทีมีกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง เติบโตจากหัวของมันแบบเดียวกับดอกลิลี่ มีทั้งสีขาวและเป็นสีสันต่างๆ เบ่งบานไปทั่วคาบสมุทรเกาหลีในหน้าร้อน
       
       แต่ไต้ฝุ่นนาดีในสัปดาห์นี้ไม่ได้อยู่เพียงลำพังในซีกโลกตะวันออก ภาพจำลองใช้ข้อมูลจากดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา MTSAT แสดงให้เห็นไซโคลนระดับ 4 ลูกใหญ่ที่มีขนาดราวครึ่งหนึ่งของชมพูทวีปกำลังหมุนคว้างโชว์นัยน์ตาอันดุร้ายอยู่ตอนบนของทะเลเบงกอลและรัฐบาลอินเดียสั่งอพยพคนนับแสนออกจากพื้นที่เสี่ยงในรัสโอดิสสาร์กับอันตราประเทศ
       
       ภาพ MODIS จากดาวเทียมขององค์การนาซ่าสหรัฐก็แสดงให้เห็นสิ่งเดียวกัน
       
       ไกลออกไปในแปซิฟิกตะวันออกพายุโซนร้อนวิภากำลังปั่นตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว พายุชื่อไทยลูกนี้พร้อมจะยกระดับเป็นไต้ฝุ่นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าและข่าวดีสำหรับเวียดนาม ลาว ไทยและชาวกัมพูชาที่กำลังจมน้ำอยู่ในสัปดาห์นี้ก็คือวิภากำลังพัดขึ้นเหนือสู่ทะเลแปซิฟิกทางตอนใต้เกาะญี่ปุ่น ไม่ตามหลังนาดีเข้าสู่อนุภูมิภาคนี้
       
       ตอนสายวันศุกร์ไต้ฝุ่นนาดีกำลังมุ่งหน้าเข้าเกาะลูซอน ไต้ฝุ่นทำให้นายจอห์น แครี่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐต้องเลื่อนการเยือนฟิลิปปินส์ ขณะที่ทางการประเทศนี้สั่งจังหวัดต่างๆ บนเกาะเหนือรับมืออย่างเต็มกำลัง
       
       ตามพยากรณ์ของสำนัก Tropical Storm Risk ในกรุงลอนดอน ในวันศุกร์นี้นาดีกำลังปั่นตัวเองขึ้นเป็นไต้ฝุ่นระดับ 2 และสามารถจะขึ้นเป็นระดับ 3 ได้ขณะมุ่งหน้าเข้าทะเลจีนใต้สุดสัปดาห์นี้ ซึ่งไต้ฝุ่นวิภาจะพัดเบี่ยงขึ้นทางทิศเหนือผ่านเกาะโอกินาวามุ่งสู่ทะเลแปซิฟิกทางตอนใต้ของญี่ปุ่นตามรอยไต้ฝุ่นปลาบึก (Pabuk) เดือนที่แล้ว
       
       สำหรับเวียดนาม นาดีกำลังจะเป็นพายุรุนแรงลูกที่ 12 ที่เกิดขึ้นหรือพัดเข้าสู่ "ทะเลตะวันออก" ในปีนี้ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาและอุทกศาสตร์กลางในกรุงฮานอยออกเตือนก่อนเที่ยงวันศุกร์ไต้ฝุ่นกำลังมุ่งหน้าเข้าฝั่งในเขตนครเหวกับจ.เถือะเทียนเหว (Thua Thien Hue) ในอีก 72 ชั่วโมงข้างหน้าหรือเพียงข้ามสัปดาห์หลังไต้ฝุ่นหวูติ๊บ (Wutip) จางหายไป
       
       แผนภูมิพยากรณ์ของศูนย์ร่วมเตือนภัยไต้ฝุ่นของกองทัพเรือสหรัฐหรือ JTWC (Joint Typhoon Warning Center) ที่ออกในวันศุกร์ชี้ปลายทางของไต้ฝุ่นลูกใหม่ที่ชายแดนแขวงจำปาสักของลาวกับ จ.อุบลราชธานีของไทยกับสะหวันนะเขต-มุกดาหารในวันอังคารที่ 15 ต.ค. ซึ่งเป็นข่าวร้ายในขณะที่ทางการลาวกำลังเร่งเยียวยาความเสียหายจากไต้ฝุ่นหวูติ๊บในแขวงทางตอนใต้สุดของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด มีชาวลาวนับแสนคนต้องการความช่วยเหลือ
       
       ไกลออกไปในทะเลเบงกอล สำนักอุตุนิยมวิทยาแห่งต่างๆ คาดว่าไซโคลนไพลิน (Phailin) กำลังจะขึ้นฝั่งทะเลตะวันออกของอินเดียในอีก 24 ชั่งโมงข้างหน้าและกำลังจะเป็นพายุใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในย่านนี้ไปกว่า 10,000 คน
       
       แผนภูมิโดยมหาวิทยาลัยวิสคอนซินที่เมืองเมดิสันในวันศุกร์นี้ได้แสดงให้เห็นพายุลูกใหญ่ กำลังหมุนคว้างอยู่ตอนเหนือของทะเลเบงกอล อีกลูกหนึ่งกำลังปั่นไอน้ำคละคลุ้งขณะเคลื่อนเข้าประชิดหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และลูกที่สามกำลังปั่นตัวเองอย่างเร่งรีบอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออก
       
       หลายสำนักกล่าวว่าไพลินกำลังแผ่อานุภาพอย่างน่ากลัว อำนาจการทำลายล้างของไซโคลนลูกนี้อาจจะเท่าๆ กับเฮอริเคนคาทริน่า (Katrina) ที่พัดเข้าทำลายล้างแหลมฟลอริดาเสียหายราบคาบในเดือน ส.ค.2548
       
       หน่วยงานวิจัยชั้นบรรยากาศของมหาวิทยาลัยวิสคอนซินกล่าวว่านับเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากที่เกิดพายุหมุนขนาดใหญ่ 3 ลูกพร้อมๆ ในซีกโลกตะวันออก ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างในรอยต่อสองมหาสมุทร พายุยังหมุนทวนเข็มนาฬิกาแบบเดียวกันและค่อนข้างเป็นอิสระต่อกัน
       
       พายุใหญ่ทั้งสามลูกกำลังเปลี่ยนกระสวนความผันแปรทางภูมิอากาศในย่านนี้อย่างสำคัญ.

 

 

 

 

เมื่อพายุรุนแรง 3 ลูกเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน หมุนในทิศทางเดียวกันและต่างเป็นอิสระต่อกัน มันก็คือระเบิดปรมาณู 3 ลูกที่พลังงานมหาศาลพร้อมทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า. -- ภาพ: MODIS/NASA

 

 

 

 

 

ไพลิน (Phailin) ไซโคลนระดับ 4 โชว์นัยน์ตาอันดุร้ายในทะเลเบงกอลตอนสายวันศุกร์ 11 ต.ค.นี้ขณะมุ่งหน้าถล่ม 2 รัฐภาคตะวันออกของอินเดีย หลายสำนักกล่าวว่าอานุภาพของมันไพลินอาจเท่าๆ กับเฮอริเคนคาทรินา (Katrina) ที่พัดเข้าถล่มแหลมฟลอริดาของสหรัฐจนราบคาบในเดือน ส.ค. 2548.

 

 

 

 

 

แผนภูมิพยากรณ์ของหน่วยงานพยากรณ์อากาศในฟิลิปปินส์แสดงจุดนัดหมายต่างๆ ของไต้ฝุ่นนาดี (Nari) ตั้งแต่วันศุกร์นี้จนถึงต้นสัปดาห์หน้า สำนักอุตุนิยมวิทยาชั้นนำหลายแห่งกล่าวว่าไต้ฝุ่นลูกนี้กำลังจะเข้าซ้ำเติมสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ของลาวกับหลายจังหวัดของกัมพูชา.

 

 

 

 

 

 

ไต้ฝุ่นนาดี (Nari) หมุนคว้างอยู่ทางตะวันออกหมู่เกาะฟิลิปปินส์ตอนเช้าวันศุกร์นี้ หลายสำนักกล่าวว่านาดีสามารถปั่นความเร็วใกล้ศูนย์กลางขึ้นเป็นไต้ฝุ่นระดับ 3 ได้ขณะเคลื่อนเข้าทะเลจีนใต้สุดสัปดาห์นี้.

 

 

 

 

 

แผนภูมิพยากรณ์โดย JTWC ตอนเที่ยงวันศุกร์นี้ชี้ปลายทางของไต้ฝุ่นนาดี (Nari) ไปยังชายแดนลาว-ไทย หากเป็นไปตามนี้ภาคอีสานตอนกลางกับตอนล่างของไทยได้ชุมฉ่ำกันถ้วนหน้าอีกครั้งต้นสัปดาห์หน้า.

 

 

 

 

 ********************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*******************************************************

 

 

 

 

               “รู้ตัว” - คำสอนของพระธุดงค์เถื่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำ” ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าแห่งหนึ่ง ไม่มีใครทราบว่า 
ท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร พระภิกษุหนุ่มรูปนี้เป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก 
ห่มจีวรสีกลัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณฑบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด 
เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ” ท่านมีลักษณะพิเศษ 
อย่างหนึ่ง คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเคยได้ยินท่านพูดถึง 3 ประโยคในคราวเดียวกัน 
และทุกๆ ประโยคที่หลุดออกมา มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ 

วันหนึ่งมีชายคนหนึ่ง ชื่อ "เบี้ยว" ได้ไปกราบนมัสการและพบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำ 
หลังจากกราบท่านแล้วจึงเอ๋ยถามว่า “หลวงพ่อครับ … ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัย 
ลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางท่านสอนให้ 
ทำบุญทำทาน บางท่านสอนให้รักษาศีล บางท่านก็สอนให้เจริญภาวนา บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย 
บางท่านก็ชวนให้ออกบวช บางท่านก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! 
หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้” 

รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก เบี้ยวงงเหมือนไก่ตาแตก 
เพราะไม่เข้าใจความหมาย จึงถามต่อว่า “รู้ อะไรครับ?” 

รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่เบี้ยวจะได้ทันซักถามอะไรเพิ่มเติม 

หลายวันผ่านไป เมื่อไม่สามารถคิดปัญหาที่หลวงพ่อให้มาได้ เบี้ยวจึงคิดว่าบางทีหนังสืออาจจะช่วยได้บ้าง 
จึงไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับ “กลไกของร่างกายมนุษย์” มาอ่าน 

เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว จึงได้ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อ 
ฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร 

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบตลอดเวลา 
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง … สมมติสัจจะ” 

ก่อนที่จะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลุกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้เบี้ยวนั่งถอนใจผิดหวังอยู่คนเดียว 
ด้วยความไม่ย่อท้อ เบี้ยวเริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน 
จึงตัดสินใจเข้าไปพบและขอคำปรึกษาหารือจากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ของเค้า หลังจากได้ทราบถึง 
ที่มาที่ไปจากเบี้ยว อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า 
สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้อง 
ศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบาย ร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ฟัง 

เบี้ยวกลับไปพบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “รู้ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด 

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากสักครู่ใหญ่ผ่านไป 
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง … สภาวสัจจะ” 

เบี้ยวต้องผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เค้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไป 
ยังพยายามขบคิดความหมายของ “รู้ตัว” ต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้งใดๆ จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง เค้า 
ได้ยินวิทยุท้องถิ่นประกาศข่าวว่า จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางพระอภิธรรมคนหนึ่งมาแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 
ความลับของชีวิต” พอได้ยินประกาศนั้น เบี้ยวก็เกิดความหวังขึ้นมาทันทีว่า คราวนี้คง “รู้ตัว” แน่ๆ เพราะ 2 ครั้ง 
ที่แล้วมา ศึกษาแต่ในด้านวัตถุด้านเดียว จนลืมด้านจิตใจเสียสนิท 

ถึงวันนัดหมาย เบี้ยวได้เข้าไปฟัง เมื่อได้เวลา องค์ปาฐกก็ก้าวขึ้นสู่เวที ท่านกล่าวว่า คนสมัยนี้มีความรู้มาก 
ความรู้กว้างไกล ไกลจากตัวเองสู่โลก จากโลกสู่อวกาศ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ลืมตัวเองอย่างสนิท จึงมีความรู้ 
เกี่ยวกับตนเองน้อยมาก มนุษย์ไม่รู้ตนคืออะไร ประกอบด้วยอะไร เกิดมาได้อย่างไร ตายแล้วจะไปไหน 
ท่านได้อธิบายธรรมชาติของจิต ดวงต่างๆ การทำงานของจิต อารมณ์ของจิต เจตสิกธรรมต่างๆ ที่แทรกอยู่ในจิต 
เรื่องกรรม อำนาจของกรรม การเกิดใหม่ นอกจากนี้ยังได้อธิบายเรื่อง ผี เทวดา เปรต ตลอดจนถึงอำนาจลึกลับต่างๆ 
หลังได้ฟังจบ เบี้ยวเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าคราวใด ครั้งนี้ทำให้เค้า “รู้ตัว” ในด้านจิตใจอย่างละเอียด 
“หลวงพ่อจะต้องยอมจำนนในคราวนี้แน่” คราวนี้เป็นเรื่องของจิตใจอันลึกซึ้งในพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งพระพุทธเจ้า 
ทรงแสดงไว้เอง ถ้าหลวงพ่อปฏิเสธอีกก็ให้มันรู้ไป 

วันรุ่งขึ้นเค้าจึงรีบไปที่ถ้ำ และเริ่มสาธยาย เรื่อง จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรม ที่ได้ฟังมาจาก 
ในงานปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความลับของชีวิต” ให้กับหลวงพ่อฟัง ด้วยความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ 

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อพูดขึ้นหน้าตาเฉย 
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง ... ปรมัตถสัจจะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าถ้ำไป 

ความผิดหวังถึง 3 ครั้ง 3 คราวนี้ ทำให้เบี้ยวเกิดความท้อแท้ใจ เพราะเชื่อมั่นว่าตน “รู้ตัว” จนเจนจบแล้ว 
ทั้งในแง่วัตถุและจิตใจ ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ และแง่พุทธศาสนา นอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก 
และแล้วเบี้ยวก็เลิกล้มความคิดที่จะค้นหาความจริงต่อไป กลับไปดำเนินชีวิตฆราวาสอย่างปกติธรรมดา 
ทำบุญรักษาศีลตามเดิม ไม่ได้คิดหาความหมายของ “รู้ตัว” และไม่ได้ไปพบหลวงพ่ออีกเลย 


 

 

 

 

ประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้น เบี้ยวมีธุระจะต้องเดินทางไปต่างอำเภอ จึงไปขึ้นรถโดยสาร ในระหว่างทาง 
ได้เผลอหลับไป ครั้นพอตื่นขึ้นมา กลับพบว่าตัวเองได้นอนอยู่ในโรงพยาบาล มองดูรอบตัว มีแต่ผู้คน 
ที่ร้องเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด ต่อมาภายหลัง เมื่อนางพยาบาลนำยามาให้ จึงได้ทราบว่า รถที่ตน 
โดยสารมานั้น เกิดประสบอุบัติเหตุ เสียหลักพุ่งลงข้างถนนและพลิกคว่ำ ทำให้ผู้โดยสารตายทันที 7 ศพ 
นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส สำหรับเบี้ยว ขาขวาหัก ต้องเข้าเฝือก และต้องรักษาตัวอย่างน้อย 2 สัปดาห์ 

ที่โรงพยาบาลนี้เอง เบี้ยวได้รู้จักความจริงอีกด้านหนึ่งของชีวิต ความเจ็บปวดแสนสาหัสและความไม่สะดวกสบาย 
ต่างๆ อันเกิดจากความเจ็บปวด ภาพของเพื่อนมนุษย์ผู้ผอมโซ เพราะโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดที่เห็นตำตาทุกวัน 
ภาพคนเจ็บที่ตายลงต่อหน้าต่อตา และถูกนำใส่รถเข็นออกไป ท่ามกลางเสียงร้องไห้ครวญครางของคนรัก 
ภาพเหล่านี้ทำให้เบี้ยวมองชีวิตในแนวใหม่ เค้าเริ่มเห็นว่า ชีวิตคือความทุกข์ แต่ละคนคือก้อนแห่งความทุกข์ 
ทุกคนที่เกิดมาในโลกเป็นคนป่วย ป่วยด้วยโรคหิว โรคกระหาย โรคง่วง โรคเหนื่อย โรครัก โรคชัง 
โรคอยาก โรคกลัว โรคโง่ โรคเหงา โรคเศร้า โรคทุกข์ สารพัดโรค 

และเบี้ยวยังเห็นต่อไปอีกว่า โลกทั้งโลก คือโรงพยาบาลอันมหึมา สมบัติทุกชิ้นที่มนุษย์มีอยู่และแสวงหาอยู่คือ 
ยาแก้โรคต่างๆ อาหาร แก้โรคหิว, น้ำ แก้โรคกระหาย, ที่พักอาศัย แก้โรคหนาวร้อน, เสื้อผ้า แก้โรคหนาวเย็น 
และโรคอาย, เพื่อนฝูงลูกเมีย แก้โรคเหงา, นอน แก้โรคง่วง, เรียน แก้โรคโง่, แต่ถึงแม้จะมียามากมาย 
แค่ไหน ... ในที่สุด ก็ไม่พ้น โรคแก่ โรคเจ็บ และโรคตาย ซึ่งไม่มียาใดๆ รักษาได้ 

ความจริงของชีวิตที่เบี้ยวได้พบ ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างลึกซึ้ง และความสังเวชนี้ได้ขึ้นถึงขีดสุดใน 
เช้าวันหนึ่ง … เบี้ยวสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากข้างๆ เตียง ซึ่งเป็นเตียงของเพื่อนร่วมทุกข์ 
ชายหนุ่มวัย 28 ปี ที่นอนเจ็บอยู่ข้างๆกันมาเกือบอาทิตย์ ภรรยาของชายคนนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟาย และลูกน้อย 
วัย 3 ขวบที่กอดคอแม่ร้องไห้ ดูเป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก … เบี้ยวได้ถามว่า ร้องไห้เพราะเหตุใด? ภรรยาของเขาไม่ตอบ 
เพียงแต่ชี้ไปทางสามีซึ่งกำลังนอน แน่นิ่งอยู่บนเตียง เบี้ยวลุกลงจากเตียง เดินกระย่องกระแย่งไปจับดูเท้าของเขา 
เบี้ยวสะดุ้งและชักมือกลับด้วยความตกใจ เพราะปรากฏว่า เท้าของเขาเย็นเฉียบ เมื่อคลำดูชีพจรที่ข้อเท้า ก็พบว่าเขา 
สิ้นใจตายเสียแล้ว! “ไปที่ชอบๆ เถิดเพื่อนรัก” เบี้ยวพูดออกมาคล้ายคนละเมอ พลางยื่นมือไปปิดเปลือกตาของเขา 

ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็นำรถเข้ามาเทียบ ยกร่างอันไร้วิญญาณของเขาขึ้นสู่รถเข็น แล้วเข็นออกไป 
พร้อมด้วยภรรยาของเขา ซึ่งอุ้มลูกหอบผ้าร้องไห้เดินตามไปอย่างระทดระทวย คนป่วยอื่นๆต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆ 
เขาไปเสียแล้ว” คนป่วยชราบนเตียงข้างหน้าอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ในไม่ช้าเราทุกคนก็จะตามเขา 
ไป
” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากมองเพดาน ... เบี้ยวล้มตัวลงนอนบ้าง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที 
เพราะเกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในดวงจิตว่า “รู้ตัว” ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ เท่ากับ “รู้ตัว” 

รู้ตัว ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์เท่ากับ รู้ตัว” พร้อมๆ กับความคิดนี้ ทำให้เบี้ยวเกิดความเบื่อหน่ายแกมสังเวชสลด
ใจต่อการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาได้ตั้งปณิธานลงไปว่า ... ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าจะทำความดีใดๆ 
ก็จะไม่ทำเพื่อให้ตน ได้ไปเกิดในสวรรค์ อันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก 
แต่จะทำเพื่อขัดเกลาสันดานให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าจะเว้นการทำชั่ว 
ก็จะไม่เว้นเพราะกลัวตกนรก แต่เว้นเพราะกลัวการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ


ขณะที่กำลังนั่งคิดอยู่นั้นเอง จิตใจก็หวนนึกถึงหลวงพ่อที่ถ้ำขึ้นมา เบี้ยวเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่า บัดนี้ได้ 
รู้ตัว” แล้ว ความมั่นใจทำให้อยากหายเร็วๆ จะได้รีบกลับไปรายงานผลให้หลวงพ่อทราบ เบี้ยวล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจ 
อิ่มเอิบ และด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มผิดจากวันก่อนๆ ปิติอันเกิดจากความรู้ใหม่ ทำให้เบี้ยวลืมความเจ็บป่วยเกือบสิ้นเชิง 

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันก็ได้เกิดขึ้น!! หลวงพ่อที่เบี้ยวกำลังระลึกถึงอยู่นั้น 
ได้เดินผ่านทะลุประตูเข้ามาในห้องจริงๆ!! หลวงพ่อท่านมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของเบี้ยว แต่มิได้พูดอะไรออกมา ... 
เบี้ยวรีบลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน 
ครั้นได้สติกลับคืนมา ก็เตรียมจะเอ่ยปากรายงานผลการ “รู้ตัว” แก่ท่าน ... แต่ก่อนที่จะทันได้อ้าปากพูด 
หลวงพ่อท่านก็ยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงห้าม แล้วท่านก็พูดออกมาเองอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า 

เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ... ผู้ใดรู้จักทุกข์ ผู้นั้นรู้จักตัว ผู้ใดเห็นตัว ผู้นั้นเห็นทุกข์ ... 
ถ้าเจ้ารู้ สมมติสัจจะ เจ้าจะเพียงแต่ฉลาดในคดีโลก ... 
ถ้าเจ้ารู้สภาวะสัจจะ เจ้าจะเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ ... 
ถ้าเจ้ารู้ปรมัตถสัจจะ เจ้าก็จะเป็นได้ก็เพียงนักปรัชญา ... 
แต่ถ้าเจ้าเห็นทุกข์ เจ้าก็เห็นอริยสัจจะ และกำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นอริยบุคคล … 
เจ้าเริ่มก้าวขึ้นสู่ทางเดินอันถูกต้อง และจะไม่มีวันถอยหลังกลับ 

เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นทุกข์อันมาในรูป คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเบื่อหน่าย 
เสด็จออกบรรพชา แล้วพระองค์ก็ไม่กลับคืนมาสู่โลกอันเต็มไปด้วยทุกข์อีก 
ท่านยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก เห็นสภาพอันน่าสังเวชของหญิงบริวาร ที่กำลังหลับใหลอยู่ 
เป็นดุจซากศพในป่าช้าผีดิบ จึงเดินบ่นออกจากบ้านตนเอง ไปจนพบพระพุทธองค์ 
ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วท่านก็ไม่หวนกลับมาอีก พระสารีบุตร และพระมหาโมคัลลานะ 
เห็นทุกข์ขณะดูมหรสพบนยอดเขา เกิดความเบื่อหน่าย ออกบรรพชาแล้ว ท่านก็ไม่หวนกลับอีก 
ใครๆ ก็ตามถ้ายังไม่เห็นทุกข์ แม้ออกบรรพชา ก็ยังจะต้องหวนกลับคืน ... 

บัดนี้เจ้า 'รู้ตัว' แล้ว เป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ทั้ง กาย วาจา ใจ … 
จงก้าวเดินต่อไปตามทางแห่งอริยมรรค เพื่อดับสมุทัย และบรรลุถึงนิโรธในที่สุดเถิด” 

พูดจบ หลวงพ่อท่านก็หันกลับ เดินทะลุประตูออกไปทันที ก่อนที่เบี้ยวจะได้กล่าวตอบโต้ใดๆ 
เบี้ยวยกมือไหว้ตามหลังท่าน แล้วก็ก้มหน้าคิดทบทวนตามคำสอนของหลวงพ่อ เป็นครั้งแรก 
ที่ได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างยืดยาวเช่นนี้ เบี้ยวรู้สึกปลื้มปิติ อย่างบอกไม่ถูก ที่หลวงพ่ออุตส่าห์มาเยี่ยม 
และที่สำคัญที่สุด ก็มารับรองความเห็นของเขาว่า ถูกต้องแล้ว 

หลังจากได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เบี้ยวเดินทางกลับบ้านทันที โดยหวังว่าจะไปนมัสการ 
หลวงพ่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พอถึงบ้านอาบน้ำรับประทานอาหารอย่างรีบเร่ง แล้วก็ออกเดินทาง 
มุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เมื่อถึงปากถ้ำ เบี้ยวมิได้พบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำดังแต่ก่อน 
บรรยากาศทั่วไปก็ดูเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ เขารู้สึกประหลากใจอย่างมาก แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า 
หลวงพ่อคงจะพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ครั้นโผล่ศีรษะเข้าไปในถ้ำและส่งเสียงร้องเรียก “หลวงพ่อๆ” หลายครั้ง 
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงของเขาเองที่สะท้อนกลับมา เบี้ยวสำรวจภายในถ้ำจนทั่ว 
ก็ไม่พบร่องรอยของหลวงพ่อ จนในที่สุดระหว่างเดินทางกลับบ้าน ชายแก่คนหนึ่งซึ่งเดินสวนทางมา 
หลวงพ่อจากถ้ำไปเสียแล้ว" ชายแก่บอกกับเขา "ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปไหน มีคนเห็นท่านสะพายบาตร 
แบกกลดเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่เย็นวานนี้” ... แม้หลวงพ่อจะได้จาริกธุดงค์จากไปแล้ว 
แต่เบี้ยวรู้สึกคล้ายกับว่าหลวงพ่อท่านยังอยู่กับเขาตลอดเวลา…. 

 

 

 

หลวงพ่อธรรมงาม-พระธุดงค์เถื่อนที่ควรบูชา ท่านอยู่ ณ ที่ใด?
------------------------------------------------------------------


เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย 
ชื่อ บัวเพชร ประกายสิทธิ์ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “เบี้ยว ชัยพร” ขณะกำลังขับรถออกตรวจเขตป่าอยู่ นั่งระลึกไปถึง 
พระธุดงค์รูปหนึ่ง “ผู้ที่ไม่หวนกลับ” ในฉายานาม “หลวงพ่อธรรมงาม” 

เรื่องราวนี้ ถูกเผยแพร่จากนิตยสารในเครือโลกทิพย์ ซึ่งได้นำเรื่องราวของ “หลวงพ่อธรรมงาม” 
(พระธุดงค์โสภณ ธัมมโสภโณ) แห่งกุฏิแพ-อาศรมพระธรรมงามริมฝั่งโขง มาตีพิมพ์ เพื่อสนองเจตนาของศรัทธา 
ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ที่เคารพนับถือในพระธุดงค์รูปนี้ 

ผมบังเอิญได้อ่านเจอบทความนี้ รู้สึกน่าสนใจ ให้แง่คิด เป็น ธรรมะสอนใจ น่าจะมีประโยชน์กับเหล่าฆราวาสธรรมท่านอื่นๆ จึงได้เรียบเรียงใหม่ โดยย่อให้ใจความกระชับขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน หากอยากอ่านฉบับเต็ม สามารถอ่านได้ที่ www.dhamma-ngam.com เป็นเว็ปไซด์ของหลวงพ่อโดยตรงซึ่งยังมีตำนานเรื่องเล่าขานน่าสนใจ อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับ “หลวงพ่อธรรมงาม” ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น พระอรหันต์สีวลีในยุค 200 ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
 

 

 

 

 

 

***********************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ***************************************

 

 

 

 

       ดื่มน้ำมากๆทำไมถึงตายได้

 

 

 

                                                

 

 

 

จากข่าววัยรุ่นที่ถูกบังคับให้กินน้ำจนกระทั่งเสียชีวิต แม้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ก็มีคน

 ไม่น้อยสงสัยว่าทำไมจึงเสียชีวิตได้ทั้งที่ดื่มน้ำธรรมดาสามัญ

 

ร่างกายของคนเราออกแบบมาให้เก็บสารที่สำคัญ น้ำคือสิ่งที่จำเป็นและจากวิวัฒนาการ

มาคนเราต้องการน้ำและมักอยู่ในภาวะขาดมากกว่า ร่างกายจึงปรับตัวให้ดูดซึมน้ำได้ดี

เมื่อดื่มน้ำเปล่าเข้าไป น้ำก็จะดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว 


ทีนี้เมื่อร่างกายได้น้ำพอ ก็จะใช้กลไกนึงไปสั่งการสมองว่าตอนนี้ไม่หิวน้ำแล้ว จงหยุดดื่ม

น้ำ ปัญหาคือ เมื่อไม่หยุดดื่ม ก็จะเกิดอันตรายได้

 

เพราะเมื่อน้ำเข้าไปในร่างกาย ก็จะทำให้เลือดเกิดการเจือจางซึ่งถ้าจางเกินไปก็อันตราย

ร่างกายก็จะปรับตัวโดยการดึงน้ำเข้าเซลล์และพื้นที่ต่างๆ 


เข้าปอด เกิดน้ำท่วมปอด หายใจไม่ได้ เหมือนตกในภาวะจมน้ำ 
เข้าสมอง เกิดอาการมึนงงวิงเวียน อาเจียน (เป็นกลไกป้องกันตัวแบบนึง เพราะพอ

อาเจียนก็กินน้ำเพิ่มไม่ได้)

 

ทีนี้ถ้ายังฝืนกินต่อหรือโดนจับกรอกกินต่อ สมองก็จะบวม ชัก เกร็ง และเสียชีวิต

ภาวะเหล่านี้ พบใน
1. คนที่โดนบังคับให้ดื่มน้ำ 
2. คนที่เล่นกีฬาเป็นเวลานาน และดื่มน้ำเปล่ามากเกินไป 
3. คนที่ใช้ยาเสพติดบางชนิด หรือใช้ยาทางจิตประสาท ที่ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ

ปล. สำหรับคนที่ถามว่าแล้วดื่มน้ำแค่ไหนดี คงตอบสั้นๆไม่ลงรายละเอียดมากนักว่าดื่มแค่

แก้กระหายหรือถ้าไม่กระหายเลยอาจจะดื่มราวๆ1.5-2.5ลิตรต่อวัน ถ้าอยู่ในที่อากาศร้อนมากๆ

ก็เพิ่มส่วนตามความกระหายไม่มีตายตัว เพราะไตในคนปกติก็สามารถจัดการกับน้ำที่มากหรือ

น้อยเกินไปได้บ้าง 


ปล. แต่ครั้งละ 5-6ลิตร ไม่ควรนะครับ

 

 

 

 

 

 ****************************************

 

 

 

 

                                                        โกงเบี้ยเลี้ยง

 

 

 

 

1395210_570870756311366_128436270_n.jpg

 

 

 

 

แชร์ว่อนเน็ต !! หลังมีคนปูดข่าวงบ 200 ล้านเบี้ย 800 บาท ต่อวัน สำหรับเลี้ยงตำรวจปราบม็อบกปท.   - แต่กินข้าวไข่ต้มทุกวัน ตำรวจชั้นผู้น้อยบ่นยับ แถมยังต้องยอมควักเงินไปหากินเอง ???

 

วันนี้ ( 11 ต.ค.)  รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วงเล็กที่มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีมติอนุมัติการประกาศใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในพื้นที่ 3 เขตของ กทม.เพื่อรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุมกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ หรือ กปท.ที่ปักหลักอยู่ข้างทำเนียบรัฐบาลนั้น

 

ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ความมั่นคง ได้เสนอของบประมาณในการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯครั้งนี้ เป็นจำนวนเงินถึง 200 ล้านบาทด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับตำรวจที่มาประจำการในอัตรา 800 บาทต่อหัวต่อวัน ค่าอาหาร 3 มื้อตลอดวันต่อนาย รวมไปถึงค่าพาหนะ และน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆด้วย

 

          ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามนายตำรวจที่เข้ามาประจำการในทำเนียบรัฐบาลถึงอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับในแต่ละวัน ส่วนใหญ่พยายามบ่ายเบี่ยงไม่บอกตัวเลขที่ชัดเจน โดยอ้างว่าไม่ทราบ ขณะที่บางส่วนยอมรับว่าได้รับอยู่ที่ 300-400 บาทต่อวันขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยว่าจะจัดสรรอย่างไร นอกจากนี้ยังมีนายตำรวจหลายนายตำหนิอาหารกล่องที่ทางต้นสังกัดจัดเตรียมไว้ให้ โดยระบุว่ามักจะเป็นข้าวผัดกระเพราและไข่ต้มซ้ำกันตลอดแทบทุกมื้อ ทำให้บางส่วนต้องยอมเสียเงินเพื่อซื้ออาหารในโรงอาหารภายในทำเนียบรัฐบาลเอง

 

          ล่าสุดในเพจ "คนใต้ ใจเต็ม FC"  ได้แชร์ภาพ ข้าวพร้อมไข่ต้มซึ่งเป็นอาหารสำหรับเจ้าที่ตำรวจ ที่เข้าควบคุมม็อบกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ...

 

 

 

 

 

 

 

 ทหารชั้นผู้น้อยร้องเรียนเพื่อไทย..เบี้ยเลี้ยงภูเก็ตโดนอม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์

 

วันนี้ (21ก.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ท้าให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมที่จ.สุราษฎร์ธานี แข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ แทนพื้นที่ที่ว่างลง หลังจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯทำการลาออกจาก ส.ส. ว่า นายยงยุทธได้ปฏิเสธที่จะลงเลือกตั้งซ่อมแล้ว คนเป็นหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่งที่มี ส.ส. 188 เสียง ต้องลงสมัครแบบสัดส่วนถึงจะเหมาะสม   
 
ทั้งนี้ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมาเมื่อใด พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะมีความพร้อมเรื่องตัวผู้สมัครที่ดี เด่น ดัง แน่นอน เบื้องต้นขณะนี้มีรายชื่อทั้งหมด 4 คนด้วยกัน โดยจะพิจารณาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะฐานคะแนนในพื้นที่ อยากให้พรรคประชาธิปัตย์เคลียร์เรื่องภายในพรรคตัวเองให้ได้ก่อน มาท้าคนอื่น เพราะยังเห็นกัดกันอยู่ฝุ่นตลบระหว่างกลุ่มทศวรรษใหม่ กับกลุ่มผลัดใบ ว่าจะส่งใครลงระหว่างน้องชายนายสุเทพ หรือ บุตรชาย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน   
 
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องทหารชั้นผู้น้อยที่ไปปฏิบัติ หน้าที่ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่จ.ภูเก็ต เกี่ยวกับเงินค่าเบี้ยเลี้ยง ที่เซ็นรับเงินไป 1,000 บาท แต่กลับได้รับเงินเพียง 300 บาท ไม่รู้ว่าอีก 700 บาทหายไปไหน อยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ชี้แจงว่าเงินรั่วไหลไปไหน ขอให้สงสารทหารชั้นผู้น้อยด้วย เพราะค่าครองชีพที่จ.ภูเก็ตนั้นค่อนข้างสูง
 
ไทยรัฐออนไลน์
โดย ไทยรัฐออนไลน์
21 กรกฎาคม 2552, 14:55 น.
 

 

 

 

************************************

 

 

 

 

 

                            อเมริกาจะล่มสลายจริงหรือ?

 

 
 
 
 
            usa

 

 

 

 

 ในระยะหลัง ๆ โดยเฉพาะยุคหลังสงครามเย็นอันเป็นยุคที่มีประเทศเกิดใหม่มีบทบาทมากขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและอินเดีย จีนและอินเดียต่างก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงในระดับร้อยละ 8 — 10 ติดต่อกันหลายปีโดยเฉพาะจีนนั้นอัตราการเติบโตในระดับดังกล่าวสูงต่อเนื่องกว่าทศวรรษ ในปีที่ผ่านมาจีนก็แซงหน้าญี่ปุ่นในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจวัดด้วย GDP นำหน้าญี่ปุ่นและขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกตามหลังสหรัฐอเมริกานอกจากนั้น ยังมีนักวิเคราะห์บางคนถึงกับกล่าวว่าจีนจะนำหน้าสหรัฐอเมริกาในอนาคตในหลายต่อหลายเรื่อง

 

นอกจากจีนและอินเดียที่ผงาดขึ้นมาในเวทีโลกแล้วก็ยังมีประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบราซิล รัสเซีย เกาหลี อินโดนีเซียต่างก็มีบทบาทสำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและโลก มีการกล่าวในทำนองว่ายุคศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของเอเชียแปซิฟิก กล่าวอีกนัยหนึ่งยุคแห่งความรุ่งโรจของตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกากำลังถูกมองว่าจะจบลงและเป็นยุคใหม่ที่แกนแห่งอำนาจจะเคลื่อนย้ายจากแอตแลนติกมาสู่แปซิฟิก ระบบคิดดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่น่าจะมาวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบลึก ๆ ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศทางแห่งความยิ่งใหญ่ของตะวันตกในอดีตและวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ว่าเอเชียแปซิฟิกจะมีความสามารถขึ้นมาแทนที่สหรัฐอเมริกาและตะวันตกในศตวรรษนี้ได้หรือไม่

           ความยิ่งใหญ่ของโลกตะวันตกนั้นเริ่มขึ้นในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อยุโรปหลายประเทศรวมตัวเป็นรัฐชาติและสิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นเชื้อนำไปสู่การเป็นมหาอำนาจของตะวันตกอันประกอบไปด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอะมัน อิตาลีและอื่น ๆ ตลอดจนการขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกามีความผูกพันกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่ายุค “Renaissance” อันเป็นยุคที่ยุโรปตะวันตกต้องหันกลับไปเอาระบบคิดของกรีกมาใช้ สาระสำคัญในยุคนี้คือการนำเอาหลักการที่เรียกว่ามนุษยนิยม (Humanism) เน้นความสามารถของมนุษย์ เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอันเป็นแนวคิดที่ได้รับมาจากกรีกโบราณ แนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุโรปอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 เพราะทำให้เกิดระบบคิดเรื่องเสรีนิยม เสรีนิยมทางศาสนาทำให้เกิดการต่อต้าน  ศาสนจักรคาทอลิคนำไปสู่การกำเนิดความหลากหลายของศาสนาคริสต์ซึ่งมีหลายสายไม่ว่าจะเป็น โปแตสสแตนท์ นิกายคาลวิน (Calvinism) และอื่น ๆ ตลอดจนนิกายแองกลิแกน (Anglican) ของอังกฤษ ยุคนี้จึงเป็นยุคที่เรียกว่ามีการปฏิวัติของศาสนาคริสต์ครั้งใหญ่ (Reformation) ทำให้ศาสนจักรคาทอลิคต้องมีการปรับปรุง (Counter Reformation) เสรีนิยมทางเศรษฐกิจก็เป็นต้นกำเนิดของการเปิดเสรีและเขตการค้าเสรีในปัจจุบัน เสรีนิยมทางการเมืองนำไปสู่ระบบประชาธิปไตยเสรีนิยม

          แนวคิดที่ได้มาจากยุค Renaissance นี่เองนำไปสู่การขยายตัวของการเรียนรู้โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 18 ได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งการเรียนรู้ที่สำคัญ “Enlightenment” และในขณะเดียวกันทำให้เกิดการขยายตัวของวิทยาศาสตร์และนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในปีค.ศ. 1850 นำไปสู่การเป็นอภิมหาอำนาจของตะวันตกจากความได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยีและระบบการศึกษา

             ความยิ่งใหญ่ของโลกตะวันตกและต่อเนื่องมาสู่สหรัฐอเมริกาจึงมีจุดเริ่มต้นมาจากระบบคิดที่มีความได้เปรียบคนชาติอื่นและทำให้ตะวันตกมองความยิ่งใหญ่กว่า 500 ปีแผ่อาณานิคมไปทุกส่วนของโลกจนถึงทุกวันนี้

            นักประวัติศาสตร์คนสำคัญคือนายNiall Ferguson ได้เขียนหนังสือเรื่อง Civilization ในหนังสือดังกล่าวได้พูดถึงความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาสามารถครองความเป็นอภิมหาอำนาจได้เพราะเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของตะวันตก องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาสามารถรักษาความยิ่งใหญ่ในฐานะประเทศอภิมหาอำนาจถึงปัจจุบันซึ่งนาย Ferguson เรียกว่า “Killer Application” ซึ่งมีทั้งหมด 6 ประการคือ

  1. การแข่งขัน (Competition) สังคมสหรัฐอเมริกาเป็นสังคมที่เน้นการแข่งขันสูงซึ่งสร้างแรงกดดันที่จะให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เทคโนโลยีที่ดีที่สุดและเป็นผลทำให้คนได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุด
  2. วิทยาศาสตร์ (Science) สังคมตะวันตกเป็นสังคมยิ่งใหญ่เพราะมีระบบคิดเชิงสร้างสรรค์และพัฒนาวิทยาศาสตร์จนนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมและพัฒนาไอที ความยิ่งใหญ่ของตะวันตกจึงขึ้นอยู่กับพื้นฐานความคิดดังกล่าว
  3. การแพทย์ (Medicine) การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงกับความเจริญทางการแพทย์ทำให้เกิดความได้เปรียบเชิงการแข่งขันด้วยวิถีชีวิต
  4. ประชาธิปไตย (Democracy) ความได้เปรียบอีกประการคือระบบคิดที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นเชื้อสู่ความได้เปรียบดังเห็นได้ว่าหลายประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการยังล้มลุกคลุกคลานดังจะเห็นได้ในตะวันออกกลาง นอกจากประชาธิปไตยจะทำให้พัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์แล้วการพัฒนาระบบคิดเชิงนวัตกรรมก็เป็นผลจากการมีความคิดที่ไม่ได้ถูกปิดกั้นและกดดัน
  5. บริโภคนิยม (consumerism) วัฒนธรรมการบริโภคนำไปสู่การแข่งขันและเกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อเกิดการตอบสนองกับความต้องการที่มีอย่างหลากหลายส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างไร้ขอบเขต
  6. จริยธรรมในการทำงาน (Work Ethic) ตะวันตกเน้นถึงความเอาจริงเอาจังในการทำงานดังจะเห็นได้จากแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการมาจากตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาก็จะเป็นอีกส่วนที่จะสามารถอธิบายถึงความสามารถในการแข่งขัน

             Killer ทั้ง 6 ประการคือองค์ประกอบที่นำไปสู่ความความเป็นอภิมหาอำนาจของตะวันตกตลอดกว่า 5 ศตวรรษ คำถามคือประเทศเอเชียแปซิฟิกรวมทั้งจีนและอินเดียมีความสามารถและมีความได้เปรียบถ้าพิจารณาจากองค์ประกอบทั้ง 6 หรือไม่ กล่าวคือระบบคิดการศึกษา เทคโนโลยีของตะวันออกยังอยู่ห่างไกลจากสหรัฐอเมริกาและตะวันตก พัฒนาการของความยิ่งใหญ่ที่จะนำไปสู่การเป็นมหาอำนาจนั้นสิ่งสำคัญไม่ใช่ปริมาณ GDP หรือขนาดของบริษัท แต่จะต้องมาจากรากฐานของระบบคิดและพื้นฐานทางด้านการศึกษา ดังนั้นถ้าพิจารณาจากองค์ประกอบทั้ง 6 ประการก็เป็นที่กังขาว่าสหรัฐอเมริกากำลังจะเสื่อมคลายลงและเอเชียแปซิฟิกจะขึ้นมาแทนที่นั้นจริงหรือไม่ คำถามก็คือเอเชียแปซิฟิกอาจจะยิ่งใหญ่ได้จากจำนวนประชากร ขนาดเศรษฐกิจแต่จะยิ่งใหญ่ในเชิงมหาอำนาจที่สหรัฐอเมริกาและตะวันตกครอบครองตลอด 500 ปีคงจะเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก

            โดยสรุปแม้ประเทศเกิดใหม่จะมีบทบาทมากขึ้นก็ตามอำนาจของสหรัฐอเมริกาอาจจะถดถอยในเชิงสัมพัทธ์แต่การสรุปว่าเป็นยุคสิ้นสุดของแอตแลนติกและเป็นยุคพระอาทิตย์ขึ้นของฝั่งแปซิฟิกก็คงจะเป็นปุจฉาที่เต็มไปด้วยข้อกังขาอีกมากมาย.

 

 

***********************************

 

 

 

 

นายกฯ เตรียมไปประชุม APEC ที่บาหลี 6-8 ต.ค.นี้

 

 

นายกฯ เตรียมไปประชุม APEC ที่บาหลี 6-8 ต.ค.นี้

 

 

นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำ APEC ที่บาหลี อินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 6-8 ตุลาคม หลังจากนั้นจะไปประชุมสุดยอด ASEAN ที่ประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคมนี้ 

 

นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 21 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 23 ระหว่างวันที่ 6-8 ตุลาคม ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีจีน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย และนักธุรกิจที่ร่วมงาน จากนั้น วันที่ 9-10 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ที่กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม   

 

 

 
 
สัญลักษณ์เอเปค
ชาติสมาชิกเอเปก

 

 

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) เป็นกลุ่ม

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

 

เอเปคก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยมีจุดประสงค์ มุ่งเน้นความเจริญเติบโตและการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาค และผลักดัน

ให้การเจรจาการค้าหลายฝ่าย รอบอุรุกวัย ประสบผลสำเร็จ ขณะเดียวกัน เอเปคก็ต้องการถ่วงดุลอำนาจทางเศรษฐกิจของ

กลุ่มเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มสหภาพยุโรป อีกด้วย

 

สิทธิประโยชน์ที่สมาชิกเอเปคให้แก่กัน จะมีผลต่อผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกเอเปคด้วย

 

 

242012, 7 กันยายน-8 กันยายนธงของสหพันธรัฐรัสเซีย รัสเซียวลาดิวอสต๊อ

252013, 5 ตุลาคม-7 ตุลาคมธงของประเทศอินโดนีเซีย อินโดนีเซียบาหลี

262014, พฤศจิกายนธงของสาธารณรัฐประชาชนจีน จีน

272015, พฤศจิกายนธงของประเทศฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์มะนิลา

282016, พฤศจิกายนธงของประเทศเปรู เปรูลิมา

 
 
 
 
***********************************************
 
 
 
 
 

    วิเคราะห์ความล้มเหลวของม็อบ

กระทู้สนทนา
ก็อยากวิเคราะห์เอาไว้เผื่อหัวหน้าเซลส์แมนเหล่านี้อ่านมาพบเจอจะได้เอาไปปรับปรุงเทคนิคการขายกันได้บ้าง
เห็นทู่ซี้ตื้อขายกันแบบเดิมๆแล้วลูกค้าอย่างผมรู้สึกรำคาญน่ะครับ
ความจริงงานระดับคิดล้มล้างรัฐบาลนี่งานใหญ่นะครับ เพราะมันหมายถึงยึดอำนาจการปกครองประเทศเลยทีเดียว
งานระดับนี้ในสมัยโบราณนี่ก็คือต้องทำสงครามฆ่าฟันกันจนถึงที่สุด บาดเจ็บล้มตายกันบางครั้งถึงกับสิ้นเผ่าพันธุ์กันเลยทีเดียว
ต้องมีการวางแผนตระเตรียมการกันเป็นปี ไม่ใช่คิดแบบเด็กช่างกล ที่นึกจะยกพวกไปตีใครก็เฮกันไป
แม่ทัพนายกองก็ต้องมีความสามารถจริงๆถึงจะมาท้ารบกันได้
แต่ผมไม่อยากจะเปรียบเทียบกับสงครามเพราะมันดูจะรุนแรงไป
ขอเปรียบกับการค้าขายดีกว่า
การแข่งขันทางการเมืองนั้นก็ไม่ต่างกับการขายของหรอกครับ มีแนวคิดของตัวเองเป็นสินค้า
ทำยังไงถึงจะขายได้มันก็ต้องมีการศึกษา และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสินค้าให้เป็นที่ต้องการของลูกค้า
ในฐานะลูกค้าผมก็อยากจะชี้ข้อบกพร่องในการขายสินค้าของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ผมเห็นนะ

ปัญหาแรกก็คือเซลส์ไม่มั่นใจกับคุณภาพสินค้าของตัวเอง 
เห็นได้จากมีแต่โฆษณาโจมตีสินค้าคู่แข่งแต่ไม่ค่อยเน้นให้ลูกค้าเห็นชัดเจนว่าสินค้าของตนดีกว่าอย่างไร 
ทั้งขู่แกมบังคับให้ลูกค้าโยนของเก่าทิ้งแต่ไม่ให้ลูกค้าเห็นกันชัดๆว่าโยนของเก่าทิ้งไปแล้วจะได้อะไรมาแทน?
จะขายของแล้วมาตะโกนด่าสินค้าคู่แข่งว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้กันอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ
จะให้เค้าเลิกใช้ยี่ห้อคู่แข่งก็ต้องตอบลูกค้าให้ได้ว่าสินค้าของตนดีกว่าอย่างไร 
จะให้เค้าโยนสินค้าคู่แข่งทิ้งแต่ไม่บอกว่าจะได้อะไรทดแทนคงมีใครหลงเชื่อหรอกครับ
บอกจะล้มล้างระบอบทักษิณว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้มาเป็นปี แต่ไม่ยอมตอบชัดๆว่าจะเอาอะไรมานำเสนอให้แทน
ล้มรัฐบาลไปแล้วจะให้ใครมาบริหารต่อก็ไม่บอกให้เต็มปากเต็มคำกัน
เหมือนกับว่าไม่มั่นใจกับสินค้าตัวเองงั้นแหละ
อย่างนี้ก็ขายไม่ออกสิครับ
นอกจากขายไม่ออกแล้วลูกค้ายังรำคาญซะอีกด้วย ว่าแม่มตื้อจังเลยไอ้พวกนี้

ปัญหาที่สอง.คือความน่าเชื่อถือของสินค้า 
จากที่ฝ่ายต่อต้านนี้ได้เคยมีโอกาสได้อำนาจไปแล้ว ก็ไม่ต่างกับที่ลูกค้าได้ลองใช้สินค้าของฝ่ายตนไปแล้วนั่นแหละ
แต่ผลที่ได้มันไม่ประทับใจลูกค้าเท่าที่ควร ได้ลองกันตั้งแต่สินค้าพรีเมี่ยมระดับองคมนตรีที่มีตราอย.รับประกัน
มายันสินค้านำเข้าจากประเทศอังกฤษ มันไม่ได้ทำให้ลูกค้าประทับใจสมกับคำโฆษณาเลย
ก็ย่อมมีผลต่อ"แบรนด์"ของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
ทีนี้ ไม่ว่าจะนำเสนออะไรใหม่มาความน่าเชื่อถือมันก็ไม่มี
ทำให้ยากแก่การขาย
คือจะแค่โฆษณาอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นก่อนด้วยว่าสินค้าที่มาเสนอขายใช้งานได้ประโยช์จริงๆ
ไม่ได้มีแต่ราคาคุยเหมือนสินค้าที่เคยขายให้ 
อย่างจะมาออกงานอีเว้นท์ใหญ่โตขนาดล้มล้างรัฐบาลนี่ก็เหมือนกัน
งานใหญ่โตขนาดนี้ แต่ดันมีพื้นฐาณแค่ความเชื่อจากหมอดู??
ไม่มีอะไรมาสนับสนุนให้น่าเชื่อถือเกี่ยวกับสินค้าก็หมดกันสิอย่างงี้

เพราะพฤติกรรมซ้ำๆซากๆไม่รู้จักปรับปรุงอย่างนี้แหละ มันก็ทำให้เห็นข้อเสียข้อที่สามของฝ่ายต่อต้านคือ

ดื้อด้านไม่รู้จักปรับปรุงสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาด
ทั้งๆที่มีเสียงเรียกร้องแนะนำจากลูกค้าว่าจะต้องปรับปรุงข้อบกพร่องของสินค้าตรงไหนบ้าง
แต่ก็ทำหูทวนลมจะยัดเยียดแต่ไอ้สินค้าตัวเดิมที่คนเค้าไม่เอาอยู่นั่นแหละ
มั่นใจกับตรามาตรฐาณอย.ที่ได้มากเกินไป ว่าสินค้าค้าของฉันมีมาตรฐาณดีเลิศกว่านะ
อย.ประทับตราให้แล้วก็ต้องดีแล้วไม่ต้องเปลี่ยน
ดื้อด้านอ้างอย.กันไปเรื่อยอย่างนี้ก็ยิ่งฉุดให้มาตรฐาณอย.เสียหายตามไปด้วย
ผู้หลักผู้ใหญ่ในอย.ออกตัวมาให้โหน อย.ก็พลอยด้อยมาตรฐาณเสียเครดิตตามๆกัน
ที่แปลกก็คือทำไมจะทำงานระดับนี้แล้ว ไม่มีการเรียนรู้ความผิดพลาดแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขกันบ้างรึไงนะ?
จะดื้อด้านกันไปถึงไหน?

ภาพลักษณ์ของสินค้าที่กระดำกระด่างมีรอยตำหนิ
บวกกับมีพนักงานขายที่ไม่เก่งนำเสนอไม่เป็น  
มันก็ทำให้ขายได้ยากอยู่แล้ว
ดันมีภาพลูกค้าที่ใช้สินค้านี้ แล้วกลายเป็นเหมือนคนติดยาบ้าๆบอๆ ตรรกะเลอะเลือนเพี้ยนๆ
บ้างก็ออกอาการก้าวร้าวรุนแรงหยาบคาย อย่างไม่น่าเชื่อ มาเป็นส่วนประกอบเข้าไปอีก
คงจะขายออกกันหรอกครับ

ผมล่ะกลัวใจว่าพอขายไม่ออกจริงๆจะพากันหน้ามืดปล้นลูกค้าเอาดื้อๆกันอีกรอบนึงซะจริงๆ
ครั้งนี้ไม่ให้ปล้นง่ายๆนะเอ้อบอกก่อน



 
 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 19:04:41 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>