การเสด็จสวรรคตในรัชกาลที่4
การเสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ 4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระสุขภาพพลานามัยดียิ่งตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระอาการป่วยและเป็นผลให้เสด็จสวรรคตเกิดจากไข้ป่าที่ทรงไปติดเชื้อมา ในช่วงเดือนที่เสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ ได้ 5 วัน ทรงประชวรไข้จับ
เรื่องเกี่ยวกับการประชวรและสวรรคตของพระองค์ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) เขียนเล่าไว้ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเริ่มประชวรเป็นไข้ ทรงสะบัดร้อนสะบัดหนาว เป็นคราวๆ พระเสโท (เหงื่อ) ซึมซาบมากกว่าที่เคยทรงพระประชวรไข้ในครั้งก่อนๆ ได้เสวยพระโอสถเพื่อแก้พระอาการก็ไม่ดีขึ้น จับสั่นไปทั้งพระกายาในเวลากลางคืน ทรงกระหายน้ำและเสวยพระยาหารไม่ลง หลังจากนั้นพระอาการแปรไปทางอุจจาระธาตุ พระบังคนตกเป็นพระโลหิตลิ่ม เหลว ไปพระบังคนครั้งใดก็มีพระโลหิตเจืออยู่ทุกๆ ครั้ง (วิบูล วิจิตรวาทการ 2544 : 293)
จากบันทึกของหมอบลัดเล ที่ตีพิมพ์ในหนังสือ Siam Then (บทแปลภาษาไทยโดย มงคล เดชนครินทร์) บันทึกไว้ว่า “ในวันที่ 29 สิงหาคม 2411 ข้าพเจ้าได้รับหมายรับสั่งเรียกตัวให้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับ นายแพทย์วิลเลี่ยม แคมป์เบลล์ (Dr. William Campbell) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำสถานกงสุลอังกฤษ เมื่อเราทั้งสองเข้าเฝ้าก็ได้พบว่าพระองค์บรรทมอยู่และไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ ใดรบกวน เราถึงถอยออกมาและได้รับการขอร้องให้ถวายการรักษาพยาบาลแก่เจ้าฟ้า จุฬาลงกรณ์ ซึ่งประชวรด้วยพระอาการไข้มาหลายวันแล้ว ข้าพเจ้าและนายแพทย์แคมป์เบลล์ได้ตรวจดูพระอาการแล้วก็พบว่าทรงมีไข้อย่าง อ่อน และพระองค์เองก็ไม่ทรงรู้สึกว่าจำเป็นต้องรับการพยาบาลตามที่เราได้กราบทูล เสนอแนะ
อย่างไรก็ตาม พระอาการประชวรของพระเจ้าอยู่หัวดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าพระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายแพทย์แคมป์เบลล์และข้าพเจ้ากราบบังคมทูลถวายคำแนะนำ เพื่อรักษาพยาบาลก็ตาม ที่จริงแล้วพระองค์ทรงมั่นพระทัยในวิชาการของพระองค์เองมากกว่า ในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2411 ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาท่านสมุหกลาโหมเพื่อขออนุญาตเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้ให้คำตอบในเชิงปฏิเสธแก่ข้าพเจ้า แต่รับว่าจะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้ามาที่พระตำหนักและปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขอเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง ท่านสมุหกลาโหมได้นัดให้ข้าพเจ้าไปพบท่านที่ท้องพระโรง และบอกแก่ข้าพเจ้าว่าท่านได้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวถึงเรื่องที่ ข้าพเจ้าขอเข้าเฝ้าแล้ว ในระหว่างนั้นได้มีพนักงานมา กราบเรียนท่านสมุหกลาโหมว่า พระเจ้าอยู่หัวยังประชวรรุนแรงอยู่ และมีพระราชประสงค์ให้ข้าพเจ้ารออยู่ก่อน ข้าพเจ้าจึงได้รออยู่ และในระหว่างนั้นก็ได้สนทนาซักถามพระอาการโดยละเอียดจากหมอหลวงที่ได้เข้าไป ถวายการรักษาอย่างสม่ำเสมอ หมอหลวงบอกข้าพเจ้าว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงลุกขึ้นประทับนั่งไม่ได้ และพระอาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงมีพระสติสัมปชัญญะดีอยู่ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รออยู่นานกว่า 1 ชั่วโมง ท่านสมุหกลาโหมก็มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าไม่ได้เสียแล้ว ” (มงคล เดชนครินทร์ 2547 : 31)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า การประชวรครั้งนี้เห็นจะเป็นที่สุดของพระชนมายุสังขาร จึงทรงพยายามจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะสวรรคต พระมหากษัตริย์นั้นเวลาจะเสด็จสวรรคตทรงมีความห่วงใย อยู่ 2 ประการ
1. ความสงบปลอดภัยของบ้านเมือง เพราะพระเจ้าแผ่นดินเป็นมันสมองและหัวใจของประเทศชาติ เมื่อสิ้นพระมหากษัตริย์ ความโกลาหล แย่งชิงราชสมบัติในพระราชวงศ์หรือขุนนางที่มีอำนาจจะเกิดขึ้น
2. พระโอรสธิดาและพระราชวงศ์ทั้งหลาย เมื่อสิ้นบุญพระเจ้าแผ่นดิน (พระราชบิดา) อาจมีผู้อื่นมาแย่งชิงอำนาจ ฆ่าล้างลูกหลานหมดทั้งโคตร เพื่อจะได้ไม่เป็นอันตรายต่อกษัตริย์พระองค์ใหม่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเช่นกัน พระองค์ทรงทราบดีว่า ข้าราชการที่มีอำนาจมากที่สุดในขณะนั้นคือ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ พระองค์จึงส่งพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ ที่เฝ้าพยาบาลอยู่ไปบอกแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ความว่า
“ข้าให้เรียนคุณศรีสุริยวงศ์ ข้าเป็นคนลูกมากรากดก แล้วลูกก็ยังเล็กเด็กอยู่ ไหนๆ คุณศรีสุริยวงศ์ก็ได้อุปถัมภ์บำรุงข้ามา ถ้าข้าไม่มีตัวแล้ว ขอให้คุณศรีสุริยวงศ์อุปถัมภ์บำรุงลูกข้าเหมือนอย่างตัวข้า ขออย่าให้มีภัยอันตรายเป็นที่กีดขวางด้วยการแผ่นดิน ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ” (วิบูล วิจิตรวาทการ 2544 : 298-299)
เจ้าคุณศรีสุริยวงศ์จึงกราบทูลว่า ท่านได้สั่งให้ทหารล้อมวงตั้งกองรักษาพระบรมมหาราชวังและพระตำหนักสวนกุหลาบ (เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ประทับอยู่ที่พระตำหนักสวนกุหลาบ) เรียบร้อยแล้ว โดยมีพระยาฤทธิไกรและพนักงานกรมพระตำรวจนอกซ้ายขวา รวมทั้งทหารอย่างยุโรปประจำหน้าที่ทุกแห่งไป พระองค์จึงทรงดำรัสให้เจ้าหญิงโสมาวดี แจ้งแก่ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ว่า การจะเลือกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ขอให้เอาความมั่นคงของประเทศเป็นจุดสำคัญ พระองค์มิได้ตั้งพระทัยให้โอรสองค์ใหญ่มีสิทธิ์เป็นรัชทายาทแต่ผู้เดียว กษัตริย์ต่อไปจะเป็นพระน้องยาเธอหรือพระหลานเธอก็ได้ เพราะเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังทรงพระเยาว์นัก จะบังคับบัญชาราชการเมืองได้หรือ ขอให้คิดปรึกษาประชุมกันให้ดี พระองค์มีความปรารถนาเดียวคือ ต้องการให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขต่อไปเท่านั้น จากนั้นพระองค์ทรงให้พระศรีสุนทรโวหารเขียนกระแสรับสั่งของพระองค์เป็นลาย ลักษณ์อักษรว่า “ผู้ซึ่งจะครองราชสมบัติต่อไปนั้น ขอให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากัน แล้วแต่จะเห็นว่าเจ้านายพระองค์ใด จะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอก็ดี พระเจ้าลูกยาเธอก็ดี พระเจ้าหลานเธอก็ดี เมื่อเห็นพร้อมกันว่าองค์ใดจะปกครองแผ่นดินได้ ก็ให้ถวายราชสมบัติแก่พระองค์นั้น” ข้อความดังกล่าวนี้ รับสั่งให้อ่านต่อหน้าที่ประชุมเสนาบดี
หลังจากนั้นจึงพระราชทานสิ่งของสำคัญบางอย่าง ให้แก่พระราชวงศ์ที่ใกล้ชิด ทรงให้ตลับทองคำลงยาใส่ทองคำบางตะพานหนัก 5 ตำลึง สำหรับลงยันต์ด้วยพระดินสอเพชรกับนาฬิกาใหญ่มีเข็มดูวันเดือนปีทุ่มโมง พระปทุมทำด้วยศิลาแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามหามาลากรมขุนบำราช ปรปักษ์ และพระราชทานนาฬิกาใหญ่มีแก้วเลี่ยมครอบ มีเข็มดูวันเดือนปี มีปรอทดูร้อนดูหนาว ให้แก่กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ส่วนพระเจ้าลูกยาเธอที่ยังไม่มีวัง พระราชทานเงินองค์ละ 30 ชั่งทุกพระองค์จะได้สร้างวังได้ ทรงพระราชทานพระหีบทำด้วยงากรอบทองคำประดับเพชรทับทิมมรกต ราคา 200 ชั่งใส่เงินอีก 1000 ชั่งแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ในบันทึกของหมอบลัดเล กล่าวถึง การพระราชทานของที่ระลึกอันมีค่าแก่พระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่เช่นกัน
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เจ้าพนักงานนำพระธำมรงค์และพระประคำเครื่องไปมอบให้แก่เจ้าพระยาศรีสุริย วงศ์ พระประคำนี้เป็นสมบัติมาแต่สมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นของศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้ครองแผ่นดินเท่านั้นจะเก็บไว้ได้ การมอบพระประคำเครื่องให้แก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์นี้เป็นการให้เกียรติ และเชื่อพระทัยในความจงรักภักดี เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงนำพระธำมรงค์และพระประคำไปถวายแก่สมเด็จพระเจ้าลูก ยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
ในวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ เวลาบ่าย 3 โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้พระราชโกษา กรมพระภูษามาลาเข้าเฝ้า เพื่อสั่งเสียเรื่องการแต่งพระองค์และพิธีต่างๆ ทรงแสดงความประสงค์ให้เลือกเครื่องประดับที่เป็นของส่วนพระองค์ ให้แจกส่วนสำคัญของพระกายาต่อพระโอรสธิดา ทรงตรัสแก่พระราชโกษาความว่า
“... เมื่อข้าไม่มีตัวตนแล้ว เจ้าจะทำในสรีรร่างกายของข้า สิ่งใดไม่เป็นที่ชอบใจอยู่แต่ก่อน ขออย่าได้ทำ เป็นต้นว่า แหวนที่ใส่ปากผี เอาเชือกผูกแหวนแขวนห้อยไว้ที่ปาก กลัวผีจะกลืนแหวนเข้าไป อย่างนี้จงอย่าได้ทำแก่ข้าเลย แต่อย่าให้เสียธรรมเนียม แหวนที่จะใส่ปากนั้น ให้เอาเชือกผูกแหวนที่เข็มกลัดคอเสื้อ เพชรที่ข้าได้ว่าขอไว้นานแล้ว เมื่อจะตายจะเอากลัดไปด้วย ราคาก็ไม่มากนัก เพียง 50 ชั่งเศษ แล้วจะได้ทำพระฉลองพระองค์ด้วย เข็มขัดที่จะคาดนั้นอย่าให้เอาของแผ่นดิน ให้เอาของเดิมของข้า ที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ซื้อหลวงพิทักษ์มนตรีนั้น แหวนที่จะใส่นั้นได้จัดมอบไว้แล้ว ให้ไปถามพ่อกลางดูเถิด สังวาลเครื่องต้นเอาสายที่ข้าทำใหม่ อย่าให้เอาสายสำหรับแผ่นดิน ให้เอาของที่ข้าทำใหม่ การอื่นๆ นอกนั้นก็ให้ไปปรึกษาพ่อกลางดูเถิด แต่อย่าให้เกี่ยวข้องเป็นของแผ่นดิน ของแผ่นดินนั้นเจ้าแผ่นดินใหม่ท่านจะได้ใส่เลียบพระนคร เมื่อเอาโกศลงเปลื้องเครื่องให้ค้นดูในปาก ฟันมีก็ให้เอาไว้ให้หมด จะได้แจกลูกที่ยังไม่ได้ให้พอกัน ถ้าฟันไม่พอกัน ให้ถอดเอาเล็บมือ ถ้าเล็บมือไม่พอ ให้ถอดเอาเล็บตีน แบ่งปันกันไปกว่าจะพอ” (วิบูล วิจิตรวาทการ 2544 : 294)
ในเย็นวันนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้พระศรีสุนทรโวหาร (ฟัก) เข้าเฝ้า เพื่อจดพระราชนิพนธ์คำขอขมาและลาพระสงฆ์เป็นภาษาบาลีซึ่งมีการแปลไว้ (สุภาพรรณ ณ บางช้าง, “พระราชนิพนธ์ขอขมาลาพระสงฆ์ก่อนสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ 4”, ศิลปวัฒนธรรม, ปีที่ 7 ฉบับที่ 9, กรกฎาคม 2529) ในบันทึกของหมอบลัดเล กล่าวถึงว่าพระองค์ได้โปรดให้อาลักษณ์เขียนพระราชนิพนธ์ชิ้นสุดท้ายตามพระ ราชกระแสรับสั่ง พระราชนิพนธ์นี้ เป็นคำภาษาบาลีสำหรับขอขมาลาพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ใจความสำคัญมีอยู่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงแท้ พระองค์ทรงพร้อมที่จะรับความเป็นไปตามสัจธรรมนี้ไม่ช้า
“… อนึ่งบุรุษมายึดมั่นสิ่งไรไว้จะเป็นผู้หาโทษมิได้ สิ่งนั้นไม่มีเลยในโลก ดีฉันมาศึกษาการยึดมั่นอยู่ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงใช่ตัวตน ย่อมเป็นไปตามปัจจัย สิ่งนั้นใช่ของเรา ส่วนนั้นไม่เป็นของเรา ส่วนนั้นมิใช่ตัวตนของเรา ดังนี้ ความตายใดๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ความตายนั้นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะความตายนั้นเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้วเถิด ดีฉันขอลา ดีฉันไหว้ สิ่งใดดีฉันได้ผิดพลั้ง สงฆ์จงอดสิ่งทั้งปวงนั้นแก่ดีฉันเถิด
เมื่อกายของดีฉันแม้กระสับกระส่ายอยู่ จิตของดีฉันจะไม่กระสับกระส่าย ดีฉันมาทำความไปตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าศึกษาอยู่ด้วยประการดังนี้”
เมื่อทรงตระหนักว่าใกล้จะสิ้นพระชนม์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เจ้าพระยาภูทราภัยและพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เข้าเฝ้า เพื่อรับสั่งราชการเป็นครั้งสุดท้าย แล้วรับสั่งลา ว่า
“วันนี้พระจันทร์เต็มดวงเป็นวันเพ็ญ อายุของฉันจะดับในวันนี้แล้ว ท่านทั้งหลายกับฉันได้ช่วยทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้กาลมาถึงฉันแล้ว ฉันจะขอลาท่านทั้งหลาย ด้วยฉันออกอุทานวาจาไว้เมื่อบวชอยู่นั้นว่า วันใดเป็นวันเกิด อยากจะตายในวันนั้น วันฉันเกิดเป็นวันเพ็ญ เดือน 11 วันมหาปวารณา เมื่อป่วยไข้จะตายให้สิทธิ์ ณ วิทาริก อันเตวาสิกยกลงไป จะขอตายในท่ามกลางสงฆ์ เมื่อเวลาที่พระสงฆ์กระทำวินัยกรรมมหาปวารณา ก็บัดนี้เห็นจะไม่ได้พร้อมตามความที่ปรารถนาไว้ เพราะเป็นคฤหัสถ์เสียแล้ว ฉันจะขอลาท่านทั้งหลายไปจากภพนี้ในวันนี้แล้ว ฉันขอฝากลูกของฉันด้วย อย่าให้มีภัยอันตรายเป็นที่กีดขวางในการแผ่นดิน ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งแก่ลูกของฉันต่อไปด้วยเถิด”
“ฉันจะขอพูดด้วยการแผ่นดิน ยังหาได้สมาทานศีล 5 ประการไม่ ฉันเป็นคนป่วยไข้ จะขอสมาทานศีล 5 ประการเสียก่อน แล้วจึงจะพูดด้วยการแผ่นดิน” จึงทรงตั้งนโม 3 จบ ทรงสมาทานศีล 5 และตรัสภาษาอังกฤษ การตรัสภาษาอังกฤษเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระสติยังดีอยู่ไม่ฟั่นเฟือน
“ตัวท่านกับฉันได้ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินมา ได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมาจนสิ้นตัวฉัน ถ้าสิ้นตัวฉันแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงช่วยกันทำนุบำรุงการแผ่นดินต่อไปให้เรียบร้อย สมณพราหมณ์อาณาประชาราษฎรจะได้ที่พึ่งอยู่เย็นเป็นสุข แต่ต้องรับฎีการ้องทุกข์ของราษฎรให้เหมือนฉันที่เคยรับมาแต่ก่อน
อนึ่งผู้ที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไปภายหน้าให้พร้อมกันเลือกหาเอาเถิด จะเป็นพี่ก็ตาม จะเป็นน้องก็ตาม จะเป็นลูกก็ตาม จะเป็นหลานก็ตาม สุดแต่จะเห็นพร้อมกัน ท่านพระองค์ใดมีปรีชาญาณควรจะรักษาแผ่นดินได้ ก็ยกขึ้นเป็นเจ้า จะได้ทำนุบำรุงแผ่นดินและพระราชวงศานุวงศ์และราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป อย่าหันเหียนตามพระกระแสพระเจ้าแผ่นดินก่อนเลย เอาแต่ความดีความเจริญเป็นที่ตั้ง” (สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 2514 : 171-172)
หลังจากเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เจ้าพระยาภูทราภัย และพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว คณะผู้เข้าเฝ้าได้กลับออกมาพักอยู่ในท้องพระโรงเพื่อรอดูว่าพระอาการประชวร จะเป็นเช่นไรต่อไป ไม่มีท่านใดในคณะผู้เข้าเฝ้าคาดคิดเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวใกล้จะเสด็จ สวรรคตอยู่แล้ว เพราะขณะที่มีพระราชกระแสรับสั่งนั้นพระสุรเสียงยังชัดเจนแจ่มใส พระสติสัมปชัญญะก็สมบูรณ์ดี เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เองถึงกล้าลงเรือกลับไปพักผ่อนเพื่อบรรเทาความอ่อน เพลียที่บ้านท่าน ซึ่งอยู่ทางอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ แต่แล้วก่อนถึงเวลา 21 นาฬิกาเล็กน้อย ก็มีผู้ไปตามท่านที่บ้านพร้อมทั้งแจ้งข่าวว่า “พระเจ้าอยู่หัวกำลังจะสวรรคต” ถึงตอนนั้นเหตุการณ์ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะกว่าเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จะลงเรือกลับไปถึงพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตไปแล้วเมื่อหลายนาทีก่อนหน้า นั้น (มงคล เดชนครินทร์ 2547 : 32-33)
เหตุการณ์ขณะเสด็จสวรรคตนั้น เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงได้บันทึกไว้อย่างละเอียด มีใจความดังนี้
“ครั้นเวลา 2 ทุ่ม 6 บาท จึงรับสั่งเรียกพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภว่า พ่อเพ็งเอาโถมารองเบาให้พ่อที พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภจึงเข็ญเอาโถพระบังคนขึ้นไปบนพระแท่น ถวายลงพระบังคนแล้วก็พลิกพระองค์ไปข้างทิศตะวันออก รับสั่งบอกว่าจะตายเดี๋ยวนี้แล้ว แล้วพลิกพระองค์หันพระพักตร์สู่เบื้องตะวันตก ก็รับสั่งบอกอีกว่า จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว แล้วก็ทรงภาวนาว่า อรหังสัมมา สัมพุทโธ ทรงอัดนิ่งไปแล้วผ่อนอัสสาส ปัสสาส เป็นคราวๆ ยาวแล้วผ่อนสั้นเข้าทีละน้อยๆ ทรงพระสุรเสียงมีสำเนียงดัง โธ โธ ทุกครั้ง สั้นเข้า โธ ก็เบาลงทุกที ตลอดไปจนยามหนึ่งก็ดังครอกเบาๆ พอระฆังยามหอภูวดลทัศไนย์ย่ำก่างๆ นกตุ๊ดก็ร้องขึ้นตุ๊ดหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่สวรรคต”
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2394 ตรงกับเดือน 5 ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุน จุลศักราช 1213 พระชนมายุขณะเมื่อขึ้นครองราชย์ 47 พรรษา และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ตรงกับเดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง จุลศักราช 1230 ขณะพระชนมายุ 64 พรรษา สิริรวมเวลาเสวยราชย์ 17 ปี 5 เดือน 29 วัน
***************************************
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์พิเศษ "มติชน"
http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...catid=0100
"...คราวนั้นให้เกียรติ คราวนี้ไม่ให้เกียรติแล้ว..."
"...คุณใช้อำนาจอะไร ผมใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญสั่งผม
ทำไมผมต้องฟังคุณ..."
"...ถ้าศาลจะพิพากษาคดีเพื่อนผม
ผมก็เรียกประชุมรัฐสภาขอมติของรัฐสภา
ชะลอการพิพากษาของศาลไว้ก่อนได้ไหม..."
แล้วถ้าศาลบอกกูไม่สน กูจะพิพากษาเลย
แปลว่า ศาลประกาศท้าชนรัฐสภาหรือไง
เหมือนกัน ผมเดินหน้าหาว่ารัฐสภาประกาศท้าชนศาล
มันเป็นเรื่องของศาลมาแทรกแซงรัฐสภาโดยไม่มีอำนาจต่างหาก
คุณมาแทรกแซงฉันทำไม ผมไปประกาศตอนไหนท้าชนศาล
ในเมื่อไม่มีกฎหมายรองรับ
มันก็เหมือนไม่มีตัวตนเรามีรัฐธรรมนูญรองรับ
ก็เดินตามรัฐธรรมนูญอย่างเดียวอย่างอื่นไม่เกี่ยว
กติกามันชัด ของคุณกติกาอะไร แล้วทำไมฉันต้องไปเดินตามคุณ
"บ้านใครบ้านมัน แต่ละบ้านมีเขตแดนแบ่งแยกอยู่
ก็ยังเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกันได้
ล้ำเส้นอวดอ้างสิทธิ์ในเขตแดน เอาของเขาเป็นของตัว ก็ต้องรบกัน........."
************************************
ผู้ชายคนนี้ร้องไห้เพื่อฉัน
“ ถ้าไม่นับเด็กผู้ชาย วัยกระเตาะ .. คุณเคยเห็นผู้ชายร้องไห้สักกี่ครั้งในชีวิต..? “
คงเห็นกันได้ไม่บ่อยครั้งนัก…
สังคมเป็นตัวบ่งชี้ให้ผู้ชายถูกเลี้ยงดูให้โตมาพร้อมกับความเข้มแข็ง
ไม่ว่าจะมาจากภายในหรือแค่ภายนอกก็ตาม
“ ลูกผู้ชาย เค้าไม่ร้องไห้กัน “
เรามักจะได้ยินมันเสมอๆ ทั้งที่ผู้ชายเองก็รู้สึกได้เท่าๆ กับผู้หญิง ..
แต่เวลาผู้หญิงร้องไห้ กับ ผู้ชายร้องไห้ มันให้ความรู้สึกที่แย่ต่างกัน ...
แต่ถ้ามีคนถามว่า ผู้ชายที่ร้องไห้เนี่ยมันดูอ่อนแอ มากไหม….
คงตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า …
“ผู้ชายที่ร้องไห้ และ ยอมรับตัวเองว่าร้องไห้ เป็นผู้ชายที่น่านับถือที่สุด
เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้หลอกลวงความรู้สึกของตัวเอง …”
แล้วสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเนี่ย มันมีเหตุผลจากอะไรบ้าง ???????
(ถึงลูกจะงอแงไม่ยอมหลับ พ่อจะเคียงข้างอยู่ใกล้ๆ จนลูกนอน)
วันนี้ ฉันทำให้ผู้ชายคนนึงยืนร้องไห้ อยู่ตรงหน้า
ทั้งที่ชีวิตทั้งชิวิตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นน้ำตาจากผู้ชายคนนี้ ..
ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะสาหัสสากรรณ์ขนาดไหน
“ฮีโร่ในดวงใจ” ผู้ชายที่มีความอดทน และ เข้มแข็งที่สุด ในสายตาฉัน…
ผู้ชายที่สอนให้ฉันอดทน เข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้ก็อะไรง่ายๆ
สอนให้ฉันรู้จักดูแลตัวเอง และเอาชนะสายตาดูถูกของใครต่อใคร ….
ผู้ชายที่ไม่เคยมีแววตาอ่อนโยน หรือคำปลอบประโลมใดๆ ในยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากจะทำอะไร
แต่ผู้ชายคนนี้มักมีคำพูดที่ทำให้ฉันได้คิด และลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวของตัวเองเสมอ…
ผู้ชายกระด้างไร้หัวจิตหัวใจ ในสายตาฉันเมื่อวันก่อน…
วันนี้ฉันทำให้เค้ายืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อายใคร…
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงรู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็น..
แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ผู้ชายคนนี้ต้องร้องไห้…
ฉันร้องไห้ไปกับผู้ชายตรงหน้า..
ผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ฉันคิดเสมอว่า เค้าไม่เคยรัก ไม่เคยห่วงฉันสักนิด
แต่วันนี้เค้าร้องไห้ ร้องไห้เพื่อฉัน…
หลายต่อหลายครั้งที่ฉันร้องไห้เพียงลำพัง กับคำพูด กับการกระทำที่เค้าแสดงออกให้เห็น …
เค้าไม่เคยใส่ใจในความเป็นไป หรือความรู้สึกของฉันสักครั้ง
และด้วยเหตุผลนี้หละมั้งที่ทำให้ฉันเองรู้สึกห่างไกลจากเค้า
ทั้งที่เรายังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ..
เค้าทำงาน ฉันก็เรียน ..
และพยายามอย่างที่สุดที่จะทำงานไปด้วยเพื่อช่วยเหลือตัวเอง และจะได้รบกวนผู้ชายคนนี้ให้น้อยที่สุด ….
อีก 20 นาทีข้างหน้าฉันต้องเข้าห้องผ่าตัด เพื่อผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้แพทย์รับประกันไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ภายหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง ..
ฉันอาจจะหาย หรือฉันอาจจะพิการ เป็นอัมพฤก อัมพาต
ตาข้างซ้ายที่มองไม่เห็นเมื่อไม่กี่วันมานี้อาจจะปิดสนิทตลอดไป
หรือฉันอาจต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ถ้าการผ่าตัดครั้งนี้ล้มเหลว….
ผู้ชายคนเดิม ยืนอยู่ตรงหน้า ถามฉันทั้งน้ำตาว่า
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ”
(ชายจีนคนนี้กำลังกอพ่อของเขาที่เพลียจากการเดินทาง บนรถไฟ)
ถ้าเป็นเมื่อ 6 ปีก่อนฉันคงตอบด้วยความรู้สึกอยากจะเอาชนะว่า
“ไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไรกับใคร”
แต่วันนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันโตขึ้น ฉันได้คิด
ฉันได้พิจารณาถึงเหตุ และผลของการกระทำของผู้ชายคนนี้….
เมื่อ 6 ปีก่อน ฉันแอบเห็นพ่อคุยกับรูปภาพของแม่ในห้องพระ
ในคืนวันที่ฉันรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อบอกกับแม่ว่า …
“วันนี้เป็นวันที่พ่อเป็นสุขที่สุด ลูกเรามีงานดีๆ ทำ เรียนจบและรับปริญญาอย่างที่พ่อหวัง
พ่อหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับสิ่งที่ผ่านมา “
พ่อนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่จะสวดมนต์ไหว้พระอย่างเคย
ฉันแอบเห็นรอยยิ้มจางๆ ของพ่อในเช้าอีกวันที่ฉันเอาใบปริญญาบัตรที่พ่วงด้วยเกียรตินิยมของฉัน
ไปให้พ่อแทนของขวัญวันเกิดของพ่อ พ่อให้สร้อยและร๊อกเกตที่ทำจากทองคำขาวให้ฉันเส้นนึง ..
ข้างในเป็นรูปของพ่อกับแม่ ฉันไม่เคยถอดมันออกจากคอฉันเลยนับจากวันที่พ่อสวมมันให้กับมือของพ่อเอง …
วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้พูดคุยกับพ่อได้นานที่สุด พ่อให้ข้อคิดดีๆ มากมายกับฉัน
และที่สำคัญพ่อทำให้ฉันรู้สึกว่าพ่อเองก็รู้สึกว่าฉันเป็นลูกพ่อเหมือนกัน ….
หลังจากวันนั้นฉันพยายามที่จะเรียนรู้ผู้ชายคนนี้มากขึ้น พยายามเข้าใจการกระทำ
และเหตุผลถึงบางครั้งจะเป็นเหตุผลที่ฉันคิดขึ้นเพื่อปลอบใจตัวเอง ฉันพยายามอย่างที่สุดที่แบ่งเบาภาระที่ผู้ชายคนนี้แบกมาทั้งชีวิตให้มากที่ สุดเท่าที่ลูกอย่างฉันจะทำได้ ฉันยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมาฉันทำงานอย่างหนัก ฉันเหนื่อย เหนื่อยมาก
เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้นของคนในบ้าน …
แต่ฉันเองก็ภูมิใจเสมอกับสิ่งที่ตัวเองทำให้ผู้ชายคนนี้
ภาพของการต่อสู้ชีวิตของผู้ชายคนนี้มักจะทำให้ฉันมีกำลังใจเสมอๆ
เวลาที่ตัวเองกำลังจะล้ม หรือ กำลังร้องไห้ …..
(แอนดรู ฟรานซิส ใช้ทุกวินาทีกับลูกสาวมิเคล่า ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับและลุกลามที่ปอด เธอจากครอบครัวด้วยวัย 7 ขวบ คุณพ่อกล่าวถึงลูกสาวว่าเป็นเด็กเข้มแข็ง แม้ต้องทำคีโมหลายครั้ง ลูกต้องทนเจ็บปวด แต่ลูกก็อยากหายได้วิ่งเล่นอีกครั้ง)
แต่แล้ววันนึงฉันก็พบว่า ก้อนเนื้องอกในสมองของฉัน มันเริ่มทำให้ฉันดำเนินชีวิตแบบปกติไม่ได้เสียแล้ว..
ฉันต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์….
ฉันตัดสินใจบอกพ่อในคืนวันก่อนผ่าตัดหลังจากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาเป็นปี
พ่อตามมาที่โรงพยาบาล แล้วเข้าไปคุยกับหมออยู่ประมาณ 15 นาทีแล้วกลับเข้าดูฉันในห้องพัก ..
พ่อเงียบ เงียบมาก เงียบเสียจนฉันเดาไม่ออกว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่
พ่อเอาแต่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ เตียงฉัน นั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า…
พ่อมองดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็ลุกมายืนข้างๆ เตียงฉัน มองหน้าฉัน
พูดพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ”
ฉันขอโทษผู้ชายตรงหน้าทั้งน้ำตา …
และอธิบายถึงสิ่งที่ฉันคิดให้เค้าฟัง …
ฉันคิดไปสารพัดตั้งแต่ วันแรกที่ฉันทราบจากหมอว่าฉันเป็นโรคนี้
ระหว่างการที่ฉันพูดกับการที่ฉันเงียบ อย่างไหนที่จะทำให้พ่อเจ็บปวดน้อยที่สุด
แล้วฉันก็เลือกที่จะเงียบ และเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียว
ฉันกลัวจะทำให้พ่อเป็นห่วง เป็นกังวล ไปกับเรื่องราวของตัวเอง
และไม่อยากให้พ่อมาเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ หรือลำบากเพื่อฉันอีกแล้ว
หลังจากที่รู้ฉันก็พยายามแล้วที่จะหาทางรักษามัน แต่พระเจ้าไม่เข้าข้างฉัน
ฉันจึงต้องทำให้พ่อเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ …
"ผมไม่เคยชนะการแข่งขัน ผมไม่เคยผิดหวัง ผมเลิกสูบบุหรี่ เลิกทำตัวอ่อนแอ
ผมขอให้ลูกหัวเราะและร่าเริง ผมทำสิ่งนี้เพื่อลูก" Rick van Beek
ฉันจำได้ในสิ่งที่พ่อบอกพ่อสอน พ่อสอนให้ฉันเข้มแข็ง สอนให้ฉันสู้ สอนให้ฉันไม่ยอมแพ้
และวันนี้ เวลานี้ฉันก็กำลังต่อสู้กับโรคบ้าๆ นี่ด้วยความหวังว่าฉันจะต้องหาย เพื่อกลับมาดูแลพ่อ
เพื่อให้พ่อได้อยู่อย่างสบายกว่าทุกวันนี้ พ่อเหนื่อยมาพอแล้ว เหนื่อยมาทั้งชีวิตก็ว่าได้
ฉันอยากเห็นพ่อเป็นสุข และสบายกว่านี้ ฉันจึงทำทุกอย่าง อดทน และเข้มแข็ง
และนี่ก็คงจะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่จะพิสูจน์ความตั้งใจจริงของฉัน…..
พ่อกอดฉัน พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า ..
” พ่อขอโทษ ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับรู้สึกหรือความเป็นไป ของลูกเลย
พ่อคิดเสมอว่าลูกเป็นคนเก่ง ลูกเข้มแข็ง และลูกก็เอาตัวรอดได้ในสังคมทุกวันนี้
ขณะที่น้องของลูกไม่เหมือนลูก น้องยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต พ่อถึงห่วงน้อง ดูแลน้อง
จนบางครั้งก็ดูเหมือนพ่อเป็นห่วงลูกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่พ่อก็รักลูกนะ
พ่อรู้ว่าลูกทำทุกอย่างเพื่อน้องเพื่อพ่อ หลายต่อหลายครั้งที่พ่อทำให้ลูกร้องไห้
แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าพ่อต้องการให้ลูกเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของน้องเพราะพ่อไม่รู้ว่า
พ่อเองจะอยู่กับลูกไปได้นานแค่ไหน แต่จำไว้นะลูก ว่า พ่อรักลูก ไม่ได้น้อยไปกว่าน้องเลย “
“ขอบคุณค่ะพ่อ หนูก็รักพ่อ รักที่สุด”
เรากอดกันทั้งน้ำตา ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างที่สุด
ฉันจำได้ว่าพ่อไม่เคยกอดฉันเลยนับจากวันที่แม่จากไปเมื่อ 18 ปีก่อน
ไม่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันรู้แต่ว่าวินาทีนี้ฉันต้องสู้ ต้องเข้มแข็ง ฉันจะเป็นอะไรไปไม่ได้
ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อผู้ชายที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า “ผู้ชายที่ฉันรักที่สุด”..................
ไม่ว่าลูกของพ่อจะโตแค่ไหน บ่าของพ่อก็ว่างเสมอสำหรับลูก
ขอบคุณบทความจาก http://thaistory.exteen.com/
*********************************
เเก้กรรมสะเดาะห์เคราะห์
เเก้กรรมสะเดาะเคราะห์เป็นการทำพิธีตามความเชื่อโบราณว่าจะสามารถส่งเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น มักรวมไปถึงการต่ออายุ หรือแก้ไขสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดี การเริ่มทำบุญตั้งแต่ต้นปีก็จะเพิ่มดวง เสริมสง่าราศีให้ชีวิตมีความสุข และประสบความสำเร็จตลอดทั้งปีและตลอดไปอย่างแน่นอน
1. ถือศีล 5 การถือศีล 5 เป็นประจำจะช่วยเสริมดวงชะตาและจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม การทำดีและไม่เบียดเบียนใครถือเป็นการทำบุญกุศลที่ได้อานิสงส์ เป็นผลให้เกิดความโชคดี และแก้เคราะห์ลดกรรมได้
2. การถือศีล 8 จะช่วยเสริมดวงและแก้เคราะห์ได้เช่นเดียวกับการถือศีล 5 แต่การถือศีล 8 นั้นปฏิบัติได้ยากยิ่ง แต่เมื่อปฏิบัติได้สำเร็จจะได้กุศลแรงนักปฏิบัติแล้วยังช่วยเสริมดวงอำนาจบารมีได้
3. กินเจ ก็เพื่อลดละชีวิตสัตว์ ซึ่งได้อานิสงส์ผลบุญสูงและควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าอธิษฐานไว้ว่า 7 วัน ก็ทำให้ครบ 7 วัน อาจตั้งจิตว่าจะทำทุกวันพระและทุกเดือน หรือปฏิบัติทุกเดือน เดือนละ 3 วัน หรือ 7 วัน เป็นต้น
4. ไหว้พระและถวายดอกไม้ ธูปเทียน รวมทั้งการปิดทองคำเปลวและเครื่องหอม ผลบุญนี้จะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง มีความเจริญก้าวหน้า
5. ถวายน้ำมันตะเกียง เพื่อความรุ่งโรจน์โชติช่วงของชีวิต เช่นเดียวกับความสว่างของแสงตะเกียง ทำให้พ้นจากความมืดมิดทั้งการดำเนินชีวิต รวมทั้งปัญหาและความคิดที่สว่างไสวไม่อับจนหนทาง
6. ถวายสังฆทาน เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยถวายสิ่งของจำเป็นแด่พระสงฆ์ อานิสงส์ผลบุญจะส่งให้ชีวิตหมดเคราะห์หมดโศก จะทำสิ่งใดก็ราบรื่นไม่ติดขัด พบแต่ความสำเร็จสมปรารถนา รวมทั้งมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขัดสน
7. ไหว้พระ ไหว้บูชาเทพต่างๆ จะทำให้พบกับความสุข ความเจริญเกิดความสุขใจว่ามีที่พึ่งพิง ยึดเหนี่ยว นำมาซึ่งกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไปและรู้สึกเสมอว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
8. ทำบุญปล่อยสัตว์ เป็นการไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่ถือว่าได้บุญแรง จะต้องทำด้วยความตั้งใจจริง เช่น การไปซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าไปปล่อย ไถ่ชีวิตวัวควายถวายวัดเพื่อมอบให้ชาวนานำไปใช้ประโยชน์ ซื้อปลาในตลาดที่จะถูกฆ่าไปปล่อยน้ำ ผลบุญนี้ยังผลให้หมดทุกข์ หมดภัย และพบความสุขความเจริญในชีวิต
9. ทำบุญ ให้ทาน เป็นการรู้จักเสียสละตนเองและแบ่งปันให้ผู้อื่น ซึ่งผลบุญจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีจิตใจยินดีในการทำบุญให้ทานด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงพุทธศาสนา หรือการให้ทานเกื้อกูลคนยากไร้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุญส่งเสริมให้ชีวิตมีโชค มีทรัพย์ และมากด้วยบารมี
10. ทำทานแก่คนยากไร้ เป็นการทำบุญที่มาจากจิตใจอันไม่ยึดติดมีความไม่โลภ ผลบุญจึงหนุนนำให้มีแต่ความราบรื่น ยามมีเรื่องติดขัดก็จะมีผู้มาช่วยเหลือค้ำจุน ยามมีเคราะห์ภัยก็จะแคล้วคลาด เพราะแรงอนุโมทนาจิตจากผู้ยากไร้ที่ได้รับสิ่งของจากเรานั่นเอง
11. ทำบุญโลงศพ ซื้อโลงศพบริจาคศพอนาถาไร้ญาติ จะได้อานิสงส์แรงยิ่งนัก การทำบุญเช่นนี้จะช่วยเสริมดวงชะตาให้แข็งแกร่ง สามารถต้านเคราะห์ภัยหนักต่างๆ และผ่อนหนักเป็นเบาได้
12. พิมพ์หนังสือธรรมะแจก จัดพิมพ์เองหรือร่วมบริจาคสมทบทุนการพิมพ์กับผู้อื่นก็ได้ เป็นการเสริมดวงให้มีวาสนาบารมี เพื่อให้ปัญญาสว่าง หมดทุกข์ หมดโศก ไม่มีเคราะห์ร้ายมากล้ำกราย
13. บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ จะช่วยให้ชีวิตราบรื่น หมดทุกข์ หมดโศก ประสบแต่ความโชคดี
14. ซื้อข้าวสารถวายวัด เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าตามสถานสงเคราะห์เป็นการสั่งสมบุญกุศล เพื่อให้ชีวิตมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์และเพียบพร้อมด้วยบารมี
15. การตักบาตรร่วมขันกับผู้อื่นหรือทำบุญร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์หรือโดยทางอื่น จะส่งผลให้เนื้อคู่ดูดี ดวงชะตาแข็งแกร่ง เกื้อกูลซึ่งกันและกัน และจะได้แต่เพื่อนที่ดีในชาตินี้
แฉคนทรงเจ้า เสกหนังควายเข้าท้อง
สวัสดีครับ
ผมคิดว่าลูกเล่นของไข่ศักดิ์สิทธิ์ดูดสิ่งชั่วร้าย
เหล่านักมายากลคงไม่เอาขึ้นเวทีไปแสดงนะครับ
การแฉครั้งนี้คงไม่ได้ทำลายอาชีพสุจริตอย่างที่ผมกล่าวไว้ในตอนที่ 1 และตอนที่ 2
---------
เกี่ยวกับการเสกหนังควายเข้าท้อง
ถ้าคุณไม่รู้เคล็ดลับของเขามันจะเป็นเรื่องแปลกเหลือเชื่อมาก
แต่ถ้าคุณรู้เคล็ดลับแล้วล่ะก็ คุณจะพูดกับตัวเองว่า "อะโด่ ! ทำก็ไม่เหมือน ตูทำเองยังแนบเนียบกว่าอีก"
--------------
เจ้าตำหนักผู้ทรงพลังดุจเทพ
จะนำไข่มาดูดสิ่งเลวร้าย
ไม่ว่าจะเป็นตะปูจาก 7 ป่าช้า (วิ่งหาตะปูให้ครบ 7 ป่าช้า เปลืองค่าน้ำมันรถน่าดู)
หรือว่า จะเป็นเส้นผมผีตายโหง (แต่งเรื่องได้น่ากลัวดีจัง)
อาจจะเลยเถิดไปถึงหนังวัว-หนังควายอะไรนั่นไปเลย
- ไอ้คนเสกของก็โง่จริง ๆ
ถ้าคิดจะฆ่าเรา แค่เสกยาพิษเข้าท้องเราก็เรียบร้อยแล้ว
ประหยัดเวลากว่ากันเยอะ
------------------------
มาดูกันว่าเขาเล่นกลนี้กันอย่างไร
- เริ่มจากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของท่าน ด้วยการให้ท่านเตรียมไข่มาเอง
- นำไข่ของท่านมาทำพิธี
- สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายเข้าไปอยู่ในไข่เรียบร้อย
- พอต่อยไข่ออกมา คุณจะตกใจ (ไข่ก็ของเราเตรียมมานี่หว่า เจอเจ้าทรงตัวจริงแล้ว "ใครมันคิดร้ายกับตูฟะ เสกของไว้เต็มเลย"
- บางท่านอาจจะคิดในใจว่า "ตูทำเองยังแนบเนียนกว่า"
- จ่ายเงิน ( ถึงไม่มีศรัทธาก็ต้องจ่าย (เพราะลูกศิษย์ยืนคุมเชิงอยู่ )
---------------------------
เขาทำได้อย่างไร (ดูจากภาพประกอบ)
- เจาะรูที่ไข่
- ใส่ของที่ต้องการ (แน่จริงยัดพวกกุญแจโดราเอม่อนลงไปด้วยสิ)
- ปิดรูด้วยน้ำตาเทียน
- เขียนลวดลาย เพื่อปกปิดร่องรอย
* สำหรับวิธีทำไข่อีสเตอร์เขมรนี้
บางสำนัก อาจจะแตกต่างออกไปบ้าง
แต่วิธีทำคงไม่ต่างไปจากนี้มากมายนัก
------
นี่เป็นอีกวิธีหนึ่ง ข้อมูลจาก คุณหัตต์เทวะ
" ความคิดเห็นที่ 31
เรื่องไข่ไก่หรือไข่เป็ดที่มีเลือด ตะปู หรือ เศษผมอยู่ข้างในนี่
ผมเคยดูรายการเรื่องจริงผ่านจอ มันมีวิธีที่จะทำได้โดยไม่ต้องเจาะไข่ครับ
โดยนำด้านที่หนาของไข่หรือที่เรียกว่าด้านป้าน(มั้ง) ไปแช่ในน้ำส้มสายชูสักครู่
ซึ่งน้ำส้มสายชูจะทำให้เปลือกไข่มันนุ่มอะครับ
ที่นี้เราจะดันตะปูใส่ไปในไข่ หรือเอาเข็มฉีดยาที่บรรจุเลือด หรือเศษผมฉีดเข้าไปก็ได้ครับ ไข่จะไม่แตก
ซึ่งทางรายการก็ทดลองให้เห็นด้วยนะครับว่าทำได้จริง ๆ
จากคุณ : หัตต์เทวะ - [ 8 พ.ค. 50 14:10:36 ]"
---------------------------------------------
สงสัยใช่ไหมครับว่า ไข่ไก่คุณก็เตรียมไปเอง
แล้ววิธีการมากมายขนาดนี้ ทำไมทำเสร็จเร็วจัง
- เหตุผลง่าย ๆ ครับ เขาไม่ได้ใช้ของคุณน่ะสิ ไข่จะถูกสับเปลี่ยนในช่วงที่คุณเผลอ
---------------------------
* วิธีทำลายการแสดงนี้
- เลือกไข่ที่มีรอยเลอะบนเปลือกเป็นลวดลายที่แปลกตา คุณจะได้จำได้ว่าใบที่มาแสดงมันมีรอยเลอะแบบเดียวกันหรือเปล่า
- ถ้าไข่มีการลงยันต์ ก็ให้รับรู้ไว้เลยครับว่าเป็นการปกปิดรอยอุดรูที่เจาะไว้ สังเกตว่ามันเรียบไหม หรือมีรอยน้ำตาเทียนปูดขึ้นมา
~~~~~~
ในหนังสือฮาสุดขีดฉบับพระพยอมกล่าวไว้ว่า
"หนังควายตูไม่อนุญาตให้เข้าท้องโว้ย ให้ผ่านเฉพาะลูกชิ้นเนื้อเท่านั้น"
ปล. ผมกำลังหัดทำเว็บ เพื่อเตรียมทำเป็นคลังเก็บกระทู้ครับ
ใจเย็น ๆ เสร็จทันสิ้นปีนี้แน่นอนครับ
จากคุณ เฮียเลือด www.pantip.com
********************************************************
ดิ้นเฮือกสุดท้าย ทำทุกวิถีทาง!
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นเรื่องให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและนายกฯ กรณีที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154(1) ว่า ช่วงปี 2554 ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลและมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ฐานะส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 154 (1) ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยครั้งนั้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยกคำร้องเนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 154(1) ใช้ได้เฉพาะกฎหมายทั่วไปเท่านั้น โดยไม่มีผลครอบคลุมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่าแสดงว่าจะนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคราวดังกล่าวมาเป็นบรรทัดฐานว่าจะไม่นำความเห็นส่งใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ แน่นอน เพราะศาลเคยมีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว อย่างไรก็ตามหากมีผู้ยื่นเรื่องมายังตนจริง ตามหน้าที่ก็จะรับไว้ ส่วนจะนำส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หรือแจ้งไปยังนายกฯ ให้รับทราบหรือไม่นั้นต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่ส่วนตัวมองว่าก่อนหน้านั้นศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่เป็นบรรทัดฐานไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งนี้ตนมองว่าการใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 154(1) ไม่ครอบคลุมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามต่อว่าการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรให้ศาลได้พิจารณา ดีกว่าที่ประธานรัฐสภาจะใช้ดุลพินิจหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยใช้ดุลพินิจไปแล้ว ดังนั้นจะใช้ดุลยพินิจที่ขัดหลักกับคำวินิจฉัยเดิมคงไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากที่มีการลงมติวาระสามของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะดำเนินการอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องส่งให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม ภายใน 20 วันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ส่วนที่ขณะนี้มีผู้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วิจิฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มมมาตราที่มาสว.ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ นั้น เป็นคนละส่วนกัน ทั้งนี้เป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ต้องเดินไปตามข้อบังคับ จะทำการเป็นอื่นไม่ได้
***************************************************