เสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2555 เที่ยวบินที่ TG 471 ของสายการบินไทย ก็ทะยานขึ้นจากสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 08.00 น.
มุ่งหน้าสู่สนามบินมหานครซิดนีย์ในประเทศออสเตรเลีย เสียงเเผดก้องของเครื่องบินลำใหญ่ที่ใช้ในการบินข้ามทวีปมันช่างบาดลึกเข้าไปในหัวใจของผมเเละก็คุณฉวีวรรณภรรยาคุ่ทุกข์คู่ยากที่ไปไหนไปกันเสียเหลือเกิน เพราะอีกเเปดชั่วโมงข้างหน้าเราสองคนจะต้องไปเจอกับอะไรบ้าง? สวรรค์เท่านั็นที่ท่านจะรู้....
ก็จะไม่ให้เราทั้งคู่วิตกกังวลได้อย่างไร ก่อนจะมาถามร้อยคนตอบร้อยคนเหมือนกันเดี้ยะเลยว่า"ระวังนะเธอ..มาม่า กุนเชียง หมูหยองเขาไม่ยอมให้เอาเข้าประเทศเขาหรอก เดี๋ยวเขาก็เขี่ยทิ้งทีด่านตรวจคนเข้าเมือง ขนไปทำบ้าอะไร?..." เพื่อนคุณฉวีวรรณจีบปากจีบคอฉอเลาะเป็นนกการเวกที่ว่างจัดได้ถือโอกาสมาปัจฉิมนิเทศเเละเเวะมาเยี่ยมเยียนที่บ้านก่อนจะบินเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในวันรุ่งขึ้น..สิ่งที่เพื่อนเขาเตือนห้ามมานั้นเราก็ขนมาหมดเลย เพราะลูกสาวเราที่อยู่ที่นั่นชอบกินเป็นที่สุด เอาน่ะ..อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิดวัดใจกันไป
ไอ้ประเด็นที่ของจะถูกทิ้งที่ด่านนั้นมันไม่น่ากังวลเท่าไรหรอก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเรื่องภาษา..กระดิกกันซะที่ไหนล่ะทั้งคู่น่ะ..นรกชัดๆ..ถ้าหากมันถามประโยคยาวๆเหมือนขบวนรถไฟมา..ก็คงจะเป็นลมเป็นเเล้งชักกระเเด่วๆตรงหน้า ตม.ของมันน่ะเเหล่ะ ก็ได้เเต่ภาวนาขอให้ตรงด่าน ตม.มีดิกชันเนอร์รี่ เเปลภาษาอังกฤษเป็นไทยวางขาด้วยเถิด
"What to drink Sir." หน้าหวานๆเสียงใสๆของเเอร์โฮสเตสการบินไทยเเอบมากระซิบที่ข้างๆหูด้วยสำเนียงที่สุภาพจนทำให้ลืมเเอร์โฮสเตสของสายการบินของอินเดียไปชั่วกัลปาวสาน
"มีน้ำมะตูมมั๊ย?.."
เราตอบกลับไปด้วยเสียงระบบเอฟเอ็มมัลติเพลกส์ผสานกับเเววตาที่ออดอ้อนอยากจะขอเบอร์โทรศัพท์ด้วยใจจะขาด
"อุ๋ย! คนไทยหรือค่ะนี่?..ตายล่ะขอโทษนะค๊ะ..."
"ไม่เป็นไรครับ เห็นหน้าตาของผมออกไปทางสเเกนดิเนเวียใช่มั๊ยล่ะ?..."
ได้ผลเเฮะ..หันขวับมาเลยงานนี้ เบาะติดกันทางซ้ายตาเขียวปั๊ดหายใจเเรงคิ้วขมวดตาจ้องเหม็งมาที่เรา ดั่งนางพญาลายพาดกลอนที่คอยตะปบเหยื่อผีเสื้อน้อยผู้ด้อยเดียงสาปานฉะนั้น ปากไวเท่าความคิด่
"กินน้ำอะไรหรือเปล่าเธอ?เดี๋ยวหยิบให้ เห็นหลับตาคิดว่านอน ท่าทางน้ำมะตูมเค้าคงไม่มีมั้งเดี๋ยวจะลองถามน้ำกระชายดูนะเผื่อเขาอาจจะมี.."
"นี่มันสายการบินระหว่างประเทศนะ ไม่ใช่รถรอบเมือง.." เสียงช้าๆเข้มๆลอยตามลมมาเหมือนกับไม่ต้องการคำตอบ พร้อมกับรอยยิ้มของเเม่สาวน้อยที่ถือถาดน้ำบริการเดินยิ้มน้อยๆถอยออกไป.....
20.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น เครื่องก็มาถึงนครซิดนีย์อย่างปลอดภัยเเละเเล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ด่านเเรกจะต้องตรวจพาสปอร์ตวีซ่าเสียก่อนตายเเน่งานนี้เป็นไงเป็นกัน เราถูกเรียกไปยังช่องที่สองเป็นฝรั่งตัวใหญ่คะเนอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบเเปดนั่งจ้องมาที่เราในขณะทีเราสวดคาถาพระพุทธเจ้าชนะมารของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เเล้วก็สืบเท้าก้าวเข้าไปหามัน
"สวัสดีค๊าบบบ.."
เฮ้ย!!หูฝาดไปหรือเปล่านี่ ไอ้ฝรั่งมันทักเราด้วยภาษาไทยเหรอวะ?.."
หลังจากเจ้าฝรั่งรับเอกสารของเราไปเเล้วมันไม่ได้ตรวจเลยสาบานได้ หยิบตราประทับขึ้นมา โป๊กๆๆสามครั้งเเล้วก็บอกว่าโอเค โอววว!! นี่มันไม่ถึงนาทีเลยนะเนี่ย?....
เราสองคนผ่านเข้าไปได้อย่างรวดเร็วจนกระทั่งรอกระเป๋าสัมภาระจนได้เป็นที่เรียบร้อย ก็มาถึงด่านที่สองซึ่งเป็นด่านสุดท้าย มาม่า กุนเชียงหมูหยอง จะกองอยู่ที่นี่หรือเปล่าเดี๋ยวก็รู้..ทางผ่านด่านนี้จะมีอยู่สองช่อง ช่องสีเขียวก็คือลากกระเป๋าผ่านไปได้เลยเเต่ถ้ามีสิ่งที่ต้องห้ามผ่านเข้ามาด้วยก็จะเจอโทษหนักมาก กับอีกช่องหนึ่งเป็นช่องสีเเดงช่องนี้ผู้โดยสารจะเเสดงความบริสุทธิใจให้เจ้าหน้าที่เขาตรวจเช็คดูก่อนถ้าทิ้งก็จะทิ้งกันตรงนี้เลย ซึ่งเราสองคนก็ตัดสินใจเข้ามาช่องสีเเดงนี่ล่ะ
"ปัญจะมาเร ชิโนนาโถ ปัตโตสัมโพธิมุตตะมัง...."
เสียงคาถาของพระอาจารย์มั่นดังกระหึ่มอยู่ในใจอีกครั้ง เบื้องหน้าเจ้าหน้าที่สาวชาวออสเตรเลียร่างยักษ์คะเนน้ำหนักด้วยการเอาเราสองคนมัดรวมกันเเล้วคูณด้วยสองก็จะออกมาเป็นค่าเฉลี่ยของน้ำหนักเธอ ยืนหันหน้าจ้องมาที่กระเป๋าเราโดยปราศจากรอยยิ้มอย่างน่าสยดสยอง เธอพูดอะไรยาวเฟื้อยเลยเธอคงเข้าใจว่าเรารู้เรื่องที่เธอพ่นออกมากระมัง?
"เยสๆๆๆๆ.."
เราตอบพร้อมรอยยิ้มที่คิดว่างามที่สุดในชีวิตพร้อมทั้งรีบวางกระเป๋าให้เธอตรวจค้นพร้อมรูดซิปกระเป๋าซะให้อย่างดี เธอหันหลังให้เราโดยตลอดเเล้วก็โล้งเล้งๆไปอีกทางหนึ่ง พอเธอหันกลับมาเท่านั้นทั้งๆที่ยังไม่ตรวจอะไรในกระเป๋าของเราสักชิ้นเลย คุณพระช่วย!!..
"โอเคๆ...โก...."
วาววววว!!! ฮัลโหลซิดนีย์!!!.........
วันที่: Fri Nov 15 14:56:23 ICT 2024
|
|
|