ยอมมามากเเล้ว!!
รอบนี้ สภาฯ ถึงแม้ ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งระงับอะไร เขาจะโหวต...........
หมายถึงแม้สิ่งที่ ปชป.ไปยื่น ศาลจะให้ชะลอ หรืออะไร เขาจะไม่ฟัง เพราะถือว่าไม่มีสิทธิ์
'นิคม' ยันลงมติร่างแก้ไขรธน. วาระ 3 วันที่ 27 ก.ย.นี้
นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภาในฐานะรองประธานรัฐสภา เปิดเผยว่า เมื่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นรายมาตรา ในวาระที่ 2 เสร็จแล้ว จะต้องเว้นไว้ 15 วัน เพื่อลงมติใน วาระที่ 3 ที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 ก.ย.
ส่วนกรณีที่วิปฝ่ายค้านระบุเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในสัปดาห์หน้า เพื่อขอให้วินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราที่ว่าด้วยที่มาของ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ และจะขอให้ศาลมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติร่างดังกล่าวในวาระที่ 3 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยนั้น นายนิคม กล่าวว่า เป็นสิทธิของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)และส.ว.ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยกรณีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่โดยส่วนตัว เห็นว่ากฎหมาย ไม่ได้เปิดช่องให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้ดุลยพินิจวินิจฉัย ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ไว้สำหรับการวินิจฉัยว่า มีบทบัญญัติใดของร่างพ.ร.บ. หรือ กฎหมายอื่นที่ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากในระหว่างนี้เกิดเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งออกมา ให้รัฐสภาต้องระงับการลงมติในวาระ 3 ออกไปก่อน ตนเองจะประสานงานกับนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้เปิดการประชุมรัฐสภา เพื่อยืนยันสิทธิ์ของรัฐสภาในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
กฎหมาย ไม่ได้เปิดช่องให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้ดุลยพินิจวินิจฉัย ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ไว้สำหรับการวินิจฉัยว่า มีบทบัญญัติใดของร่างพ.ร.บ. หรือ กฎหมายอื่นที่ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น
ใช้ มาตรา 157 ... เข้าแจ้งความจับ ตลก. ทั้งหมดได้ทันที ...
ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ... รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีอำนาจวินิจฉัย หรือยับยั้งร่างแก้ไข รธน.
แต่กระทำไปเพื่อทำให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสียหาย ..
..............................................
"น้องตั๊น" ลุยดึกประสาน จนท. ช่วยชาวดุสิตไฟดับ หลังต้นไม้โค่นทับเสาไฟล้ม 21 ต้น
..................................................
วิธีการลดแก๊สไม่แน่นท้อง
ปัญหาแก๊สในกระเพาะอาหารเป็นเรื่องน่ารำคาญทั้งกายและใจ ถ้าจะทานอาหารแล้วเกิดอาการแบบนี้ล่ะก็ เราควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดแ...ก๊สในกระเพาะอาหารกันดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแน่นท้อง อึดอัด ชวนให้อารมณ์เสียไปซะ เพียงทำตาม 10 วิธีการดังต่อไปนี้ คุณก็ไม่ต้องประสบปัญหาแก๊สเยอะอีกต่อไป
1. อย่าดื่มน้ำพร้อมรับประทานอาหาร
การดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ เพราะปกติแล้วเราจะกลืนอากาศเข้าไประหว่างดื่มน้ำและรับประทานอาหารอยู่แล้ว แต่หากยิ่งรับประทานอาหารและดื่มน้ำสลับกัน จะยิ่งทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะมากขึ้น ดังนั้นจึงควรเก็บน้ำไว้ดื่มสุดท้ายหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว
2. เคี้ยวอาหารให้ช้าๆ
การรับประทานที่เร็วเกินไปทำให้เรากลืนอากาศเข้าไปด้วย ฉะนั้นควรเคี้ยวให้ละเอียด แต่ละมื้อควรมีเวลารับประทานอย่างน้อย 20 นาที และควรเลี่ยงการรับประทานอาหารระหว่างยืน เดิน และดูโทรทัศน์
3. อย่าออกกำลังกายหนักเกินไป
มีผลศึกษาเปิดเผยว่า 71% ของนักวิ่งมีปัญหาเรื่องการย่อย แก๊สในกระเพาะ และท้องอืด เพราะระหว่างการออกกำลังกายเรามีแนวโน้มจะหายใจทางปาก ซึ่งทำให้ได้รับอากาศเข้าท้องมากเกินไป
4. รับประทานผักบางประเภท
หัวหอม ผักกาดขาว แอปเปิ้ล เห็ด และข้าวโพด เหล่านี้เป็นผักผลไม้ที่ก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้คือถั่วทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กขนาดใหญ่ หรือถั่วที่ขึ้นชื่อว่าดีต่อสุขภาพอย่างถั่วเหลือง ซึ่งลำไส้เล็กย่อยไม่หมดจึงเหลือไปถึงลำไส้ใหญ่ ทำให้แบคทีเรียสร้างแก๊สขึ้นได้
5. ความเครียดและความตื่นเต้น
นอกจากจะสร้างปัญหาสุขภาพหลายอย่างแล้ว ความเครียดและความตื่นเต้นยังทำให้เรากลืนอากาศเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
6. ชีส
ในอาหารจำพวกนม หรือชีส จะมีน้ำตาลแล็คโตส ซึ่งจะถูกย่อยโดยเอนไซม์ชื่อแลคเตส แต่หากกระบวนการย่อยทำงานไม่ดีก็จะเกิดแก๊สและอาการท้องอืดได้
7. อาหารอุ่นซ้ำ
อาหารจำพวกแป้งที่ย่อยยาก อย่างแป้งพาสต้า เมื่อเย็นลง แล้วอุ่นซ้ำจะย่อยยากขึ้น เมื่อย่อยไม่หมดและหลงเหลือไปถึงลำไส้เล็ก จะทำให้แบคทีเรียย่อยอาหาร และนำไปสู่อาการท้องอืดได้
8. เบียร์และไวน์แดง
ไม่เพียงแต่จะมีแก๊สเท่านั้น เบียร์ยังหมักจากยีสต์ที่อาจทำให้สมดุลของแบคทีเรียในกระเพาะเสียไป และก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหารได้ ส่วนไวน์มีสารที่ทำให้ไวน์เป็นสีแดงที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อย
9. หมากฝรั่ง
การเคี้ยวหมากฝรั่งทำให้เรากลืนลมเข้าไปมากเกินไปได้ นอกจากนี้สารไซลิทอลในหมากฝรั่งหลายชนิดยังก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารด้วย
10. น้ำอัดลม
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดไว้ในน้ำอัดลมเพื่อให้มีความซ่านั้น ก่อให้เกิดแก๊สได้โดยตรง
เมื่อเพื่อนๆรู้ถึงวิธีการทั้ง 10 ข้อนี้แล้ว อย่าลืมใส่ใจดูแลอาหารที่จะรับประทานและดูแลสุขภาพร่างกายกันด้วย เพียงเท่านี้อาการอึดอัดเพราะแก๊สในกระเพาะอาหารก็จะหมดไป ทำให้รับประทานอาหารอย่างมีความสุขทุกมื้ออาหาร
ปัสสาวะบ่อย” สัญญาณโรคปัสสาวะไวเกิน
เกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง
คนไหนที่มีอาการปวดปัสสาวะบ่อยๆ ทุกชั่วโมง เวลาปวดจะรุนแรงมากจนต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที มักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเกินกว่า 1 ครั้งเพราะปวดปัสสาวะจนทนไม่ไหว เวลาทำงานต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อยมากจนรู้สึกรำคาญ เวลาเดินทางไปไหนไกลๆ หรือรถติดบนท้องถนนก็มักจะรู้สึกปวดปัสสาวะกลางทาง สร้างความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก
นพ.บุญเลิศ สุขวัฒนาสินิทธิ์ ศัลยแพทย์ ระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า อาการต่างๆ เหล่านี้เป็นอาการผิดปกติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ ซึ่งมักพบได้จากหลายสาเหตุ แต่โรคหนึ่งที่พบบ่อยแต่ประชาชนทั่วไปยังอาจรู้จักน้อย คือ โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน หรือ Over Active Bladder, OAB
โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน เป็นกลุ่มอาการของความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง เป็นภาวะที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินไป ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ บางคนเป็นมากต้องปัสสาวะ 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง ยิ่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ จะปัสสาวะบ่อยมากขึ้น และรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง เวลาปวดจะกลั้นไม่ค่อยได้ต้องรีบเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน รวมทั้งต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ จนรบกวนการนอนหลับ บางครั้งอาจมีปัสสาวะเล็ด หรืออาจมีอาการเจ็บท้องน้อยร่วมด้วย อาการจะคล้ายๆ กับเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบธรรมดา แต่จะเป็นค่อนข้างเรื้อรังเป็นเวลานาน
ก่อน หน้านี้เคยเข้าใจกันว่าภาวะปัสสาวะไวเกินมักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ปัจจุบันพบว่าในผู้ชายก็เป็นโรคนี้มากขึ้น โดยมักพบร่วมกับภาวะต่อมลูกหมากโต และพบได้ในคนทุกวัย แต่ไม่ค่อยพบโรคนี้ในเด็ก ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้ ผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดกับคุณภาพชีวิตโดยรวม เพราะอาการที่เป็นจะเป็นมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน มี ปัญหาเวลาที่ต้องอยู่ในรถที่ติดขัด ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ มีผลต่อความสะอาดของบริเวณช่องคลอด และขาหนีบ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่กล้าเข้าสังคม ผู้ป่วยจะไม่อยากไปไหน เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่จะไป
อะไรคือสาเหตุ
สาเหตุ ส่วนใหญ่ของอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกินยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากระบบประสาทที่บริเวณกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวบ่อยและไวกว่ากำหนด โดยที่ยังมีปริมาณปัสสาวะไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะ สาเหตุอีกส่วนหนึ่ง คือ พบร่วมกับภาวะการอักเสบ ติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะหมดประจำเดือนและโรคทางระบบประสาทบางชนิด
มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
การวินิจฉัย ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (Overactive Bladder, OAB) จำ เป็นต้องซักประวัติ และตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะระบบประสาท และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตัดโรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการและอาการแสดงคล้ายกันเสียก่อน ได้แก่
1.การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
2.เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน ที่กดดันกระเพาะปัสสาวะ จนทำให้ปัสสาวะบ่อย
3.การหย่อนยานของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
4.ภาวะการขาดฮอร์โมนเพศหญิง
5.โรคเบาหวาน โรคเบาจืด การได้รับยาที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
6.ความผิดปกติของระบบประสาท
7.กระเพาะปัสสาวะยืดตัวผิดปกติ (Overflow Incontinence)
8.อาการที่เกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน
รักษาได้อย่างไร
เนื่อง จากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ดังนั้น การรักษาจึงใช้แนวทางรักษาหลายชนิดมาผสมผสานกัน กล่าวคือรักษาภาวะหรือโรคที่มีผลก่อให้เกิดปัญหากระเพาะปัสสาวะไวเกิน ดังกล่าวข้างต้น
1.การ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การงดดื่มน้ำก่อนนอน หลีกเลี่ยงยา หรืออาหารที่มีฤทธิ์กระตุนการขับปัสสาวะ เช่น ยาขับปัสสาวะ น้ำชา กาแฟ การจัดที่นอนใหม่ให้เข้าห้องน้ำได้สะดวกขึ้น
2.การใช้ยาที่มีฤทธิ์คลายการหดตัวของกระเพาะปัสสาวะ โดยหลักๆ จะใช้ยาในกลุ่ม Anticholinergic ซึ่ง จะออกฤทธิ์คลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ลดการบีบตัวที่ไวเกินปกติของกระเพาะปัสสาวะ การใช้ยาจะต้องมีการปรับขนาดยาให้เหมาะต่อผู้ป่วยแต่ละราย ยาในกลุ่มนี้มีหลายชนิด ต่างกันที่ราคา และผลข้างเคียงของยา
3.การ ฝึกกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในพฤติกรรมบำบัด เป็นการฝึกควบคุมระบบประสาท ที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้สมองส่วนกลางส่งสัญญาณมายับยั้งวงจรการปัสสาวะ โดยการฝึกปัสสาวะให้เป็นเวลา และเพิ่มช่วงเวลาการถ่ายปัสสาวะให้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น จากเดิมต้องเข้าทุกๆ 1 ชั่วโมงให้เพิ่มเป็น 1 ชั่วโมงครึ่งและ เพิ่มเป็น 2 ชั่วโมงตามลำดับ เป็นการฝึกให้กระเพาะปัสสาวะ เก็บปัสสาวะให้มากพอ โดยไม่มีอาการบีบตัวไวกว่าปกติ รวมทั้งหลักการเบี่ยงเบนความสนใจ และผู้ป่วยควรขมิบช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งจะลดอาการอยากถ่ายปัสสาวะลง
4.การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ (Sacral nerve stimulation) การ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้น ที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ จะช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ลงการรักษาโดยวิธีนี้ ต้องมีการผ่าตัดฝังตัว กระตุ้นสัญญาณไฟฟ้าที่หน้าท้อง และกระดูกก้นกบด้วย (Sacral bone) และต้องมีการทดสอบในช่วงแรกว่าได้ผล จึงผ่าตัดฝังเครื่องชนิดถาวร (อยู่ได้ 5 ปี) การรักษาวิธีนี้ มีราคาแพง และยังอยู่ในระหว่างการวิจัย
5.การฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อทำให้กล้ามเนื้อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อหูรูดส่วน นอกของท่อปัสสาวะหนาตัวและแข็งแรงขึ้น โดยปกติการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน จะใช้ในการรักษาภาวะไอ-จามจนปัสสาวะเล็ด แต่พบว่าสามารถนำมาใช้รักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินได้ด้วย
6.การ ผ่าตัด มีการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ บางส่วน หรืออาจนำลำไส้เล็กบางส่วน มาเย็บต่อกับกระเพาะปัสสาวะ เพื่อทำให้การบีบตัวไม่มีผลทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย การผ่าตัดมีผลแทรกซ้อนมาก และนิยมทำในรายที่รักษา โดยการใช้ยาแล้วไม่ได้ผลวิธีการอื่นๆ เช่น การใช้ยาหรือสารบางชนิด เช่น Capsaicin ใส่ไปในกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงการทำกายภาพบำบัด
การจะการรักษาด้วยวิธีใดนั้น แพทย์จะพิจารณาตามความจำเป็นในแต่ละราย ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไป
ภาวะ กระเพาะปัสสาวะไวเกิน ถึงแม้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้คุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในหลายๆ ด้าน จึงจำเป็นที่แพทย์ในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สูตินรีแพทย์ ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ อายุรแพทย์ และแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ให้ความสำคัญและให้การดูและรักษาอย่างจริงจัง เพื่อให้หายหรือบรรเทาจากภาวะดังกล่าวได้ และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานคืออะไร pelvic floor muscles
กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน คือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการกลั้นปัสสาวะ อุจาระ และกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการคลอดบุตร การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และน้ำหนักเกิน จะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง แต่โชคดีที่การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน สามารถทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำอย่างไร
ขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุดคือการค้นหากล้ามเนื้อกลุ่มดังกล่าว ซึ่งมีวิธีการดังนี้
- เมื่อท่านเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะและลองกลั้นปัสสาวะดู ถ้าท่านสามารถกลั้นได้แสดงว่าท่านได้ใช้กล้ามเนื้อดังกล่าว
- เมื่อท่านจะผายลมและท่านกลั้นผายลมได้แสดงว่าท่านได้ใช้กล้ามเนื้อดังกล่าว เมื่อใช้กล้ามเนื้อมัดนี้จะมีความรู้สึกว่าทวารหนักถูกดึงรั้งขึ้นไป
- นอนราบตั้งขาขึ้นเอานิ้วใส่เข้าในช่องคลอดแล้วกลั้นปัสสาวะหรือกลั้นอุจาระ ถ้าพบว่ามีแรงบีบที่นิ้วแสดงว่าได้ใช้กล้ามเนื้อถูกมัด
-
เมื่อท่านสามารถบังคับกล้ามเนื้อได้ถูกมัดแล้วเรามาเริ่มบริหารกัน
- นอนหงายตั้งชันเข่า
- เกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน 5-10วินาที
- ผ่อนคลายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน 3 วินาที
- ทำวันละ 10-15 ครั้ง
- เมื่อทำได้คล่องท่านสามารถทำได้ทุกเวลาทุกสถานที่เช่น ขณะยืน ขณะนั่ง
- ข้อสำคัญขณะที่เกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานต้องไม่เกร็งกล้ามเนื้อกลุ่มอื่นเช่น กล้ามเนื้อขา หรือท้องเพราะจะเป็นการเพิ่มความดันต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
ประโยชน์ของการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานคือ
- ช่วยทำให้คลอดง่ายขึ้น
- ทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้นเหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการมีบุตรหลายคนหรือระหว่างการมีเพศสัมพันธ์และมีลมออก
- ผู้ที่มีปัสสาวะเล็ดเมื่อไอหรือจาม
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานสำหรับผู้ชาย
วิธีการทำก็เหมือนกับคุณผู้หญิงซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์มากมาย
- เพิ่มเลือดไปยังอวัยวะเพศดีขึ้น ทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้น
- ช่วยชะลอในการหลั่งใช้ในการรักษาโรคล่มปากอ่าว
- ช่วยทำให้การถึงจุดสุดยอดแรงขึ้น
- ทำให้มีน้ำเชื้อเพิ่มขึ้น
- ทำให้เชื้อพุ่งแรงขึ้น
แปะก้วย แก้ฉี่บ่อยเพราะมดลูกหย่อน
สตรีหลังคลอดลูกมักจะมีอาการปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมดลูกหย่อน เป็นแล้วบางครั้งไอหรือจามกลั้นไม่อยู่ปัสสาวะไหลหรือเล็ดทำให้รู้สึกรำคาญมาก ซึ่งเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ได้ คือ ให้เอาแปะก้วย 7 เม็ด หรือ 10 เม็ด เผื่อเสีย เอาทั้งเปลือก คั่วไฟให้เปลือกเกรียมดำนิด ๆ จากนั้นกะเทาะเปลือกออกเอาเนื้อในที่มีเยื่อหุ้มกินก่อนอาหารเช้าทุกวัน วันละครั้งตนครบ 10 วัน ให้ทำกินต่ออีก 1 ครั้ง โดยขั้นตอนในการทำเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ให้เอาเยื่อหุ้มเนื้อออกกินจนครบ 10 วัน เหมือนเดิม และที่สำคัญก่อนนอนต้องขมิบช่องคลอดช่วยด้วยวันละไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง อาการปัสสาวะบ่อยจะหายได้ ซึ่งเม็ดแปะก้วยแห้งมีขายที่ตลาด อ.ต.ก.
แปะก้วย หรือ GINKGO BILOBA เป็นไม้ยืนต้น สูง 16-20 เมตร ใบคล้ายใบขึ้นฉ่าย ดอกสีขาวนวล ผล รูปกลมรีคล้ายลูกรักบี้ เนื้อในผลเป็นสีเหลือง มีดอกและติดผลปีละ 2 หน มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี บริเวณโครงการ 21 แผงคุณพร้อมพันธุ์ฯ ราสอบถามกันเอง
ประโยชน์ ใบแปะก้วย ช่วยโลหิตหัวใจสมองหมุนเวียน บำรุงร่างกาย แก้อาการหูอื้อ ปวดศีรษะ นอนไม่สนิท ความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) ชะลอความแก่ เสริมภูมิต้านทานในร่างกาย โดยเอาใบแปะก้วยไปตากแห้งต้มครั้งละ 3-12 กรัม ถ้าเป็นแบบบรรจุห่อสำเร็จ 1 ซอง ด้มได้ 5 ครั้ง สัดส่วน 1 ครั้ง ต่อน้ำ 3 แก้ว รับประทานเป็นประจำจะดีมาก ผลทั้งเปลือก 10 ผล ต้มผสมน้ำตาลทรายแดงพอมีรสหวานเล็กน้อยดื่มแก้โรคฉี่บ่อย และอาการไตไม่ปกติได้
.................................................
หลับเถอะนะ
....หลับตาเถิด ปล่อยว่าง วางตรงนี้
จะไม่มี อันตราย กล้ำกลายเขา
ลูกเเละเมีย อยู่หลัง กำบังเงา
ที่เคยเฝ้า เกาะร่มไทร ได้ร่มเย็น
....ถึงวันนี้ ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง
ภัยจะล่วง ดั่งเปลวไฟ จะไม่เห็น
เเละผลงาน ที่สร้างไว้ จะได้เป็น
ตำนานเด่น ยอดขวัญใจ ไปตลอดกาล.......
************************************
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2556 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10
สดชื่นกับชีวิต ธรรมะสอนใจผู้ที่ท่้อเเท้
บรรยายโดยพระวัชระ จารุวัณโณ วัดป่าจิตราวัลย์ม.๗ ต.ตระแสง อ.เมือง จ.สุรินทร์
*****************************
คำต่อคำ “บรรหาร” เข้าพบ“สนธิ-จำลอง” หารือแนวทางปฏิรูปฯ ก่อนเจอสวน รัฐบาลเป็นตัวสร้างปัญหา พร้อมถามกลับ จะให้ นช.ทักษิณมาติดคุกหรือไม่ ทำไม ขรก.บินไปขอตำแหน่งจากนักโทษ การเมืองแบบนี้ยังเอาด้วยหรือไม่ ชี้ “ยิ่งลักษณ์” แค่หุ่นเชิดพี่ชาย ตั้งสภาปฏิรูปเป็นแค่เกม “เติ้ง” เป็นแค่เครื่องมือ เจ้าตัวอึกอัก หน้าม้านกลับ
เมื่อเวลาประมาณ 10.50 น. วันที่ 11 ก.ย. 56 นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้เป็นผู้ไปเชิญตัวแทนฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมเวทีปฏิรูปการเมืองตามแนวทางของรัฐบาล พร้อมด้วยนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง นักธุรกิจอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ อดีตกรรมการบริหารพรรคชาติไทย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายนิกร จำนง อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้เดินทางมาพบนายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บ้านพระอาทิตย์ เพื่อหารือถึงแนวทางการปฏิรูปการเมืองและเชิญเข้าร่วมเวทีของรัฐบาล โดยใช้เวลาในการพูดคุยประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ
**************************
แก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาไทย : เราจะเริ่มที่ไหนดี?
ปัญหา คุณภาพการศึกษากลายเป็นโรคเรื้อรังของประเทศไทย ที่ถึงแม้จะมีความพยายามปฏิรูปมากว่า 10 ปี ตั้งแต่รอบแรกในปี พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบันรอบสองตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 แต่ก็ยังไม่สามารถรักษา หรือแม้แต่บรรเทาอาการป่วยได้
สาเหตุของปัญหาที่กล่าวถึงกันมีมากมายจนมองไม่เห็นหนทางว่าจะรักษากันอย่าง ไร และจะเริ่มกันที่จุดใด ซ้ำร้าย การแก้ไขปฏิรูปในบางด้านกลับยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลง เช่น ระบบประกันคุณภาพเพิ่มภาระงานเอกสารให้ครู ทำให้ครูมีเวลาในการเตรียมสอนน้อยลง โดยยังไม่สามารถทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้นอย่างจับต้องได้เลย
คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ความล้มเหลวในการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา มีสาเหตุจากความขาดแคลนทรัพยากร แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า จนปัจจุบันสัดส่วนงบประมาณการศึกษาต่อจีดีพี และต่องบประมาณรวมของไทย อยู่ที่ร้อยละ 4 และร้อยละ 20 ตามลำดับ ซึ่งไม่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันแล้ว
ขณะเดียวกันเงินเดือนเฉลี่ยของครูโรงเรียนรัฐบาล ก็เพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 1.5 หมื่นบาท ในปี 2544 เป็นประมาณ 2.4 หมื่นในปี 2553 (ข้อมูลจากการสำรวจภาวะแรงงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ) อีกทั้งนักเรียนไทยยังใช้เวลาเรียนในห้องเรียนมากกว่านักเรียนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งนี้ยังไม่ต้องกล่าวถึงเงินทองและเวลาของผู้ปกครองและนักเรียนอีกมากมาย ที่หมดไปกับการกวดวิชา
* งบประมาณการศึกษาไทยไม่ได้น้อยกว่าประเทศอื่น
ที่มา : ธนาคารโลก
---------------------
...แม้งบการศึกษาที่เพิ่มขึ้นอาจช่วยให้เด็กวัยเรียนจากครอบครัวยากจน เข้าถึงการศึกษามากขึ้นในเชิงปริมาณก็ตาม ผลการเรียนของนักเรียน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของคุณภาพการศึกษาโดยรวมกลับตกต่ำ
ดังจะเห็นได้จากผลคะแนนสอบนักเรียนไทยไม่ว่าจะวัดจากข้อสอบมาตรฐานในประเทศ อย่าง O-NET หรือระหว่างประเทศอย่าง PISA และ TIMSS มีแนวน้มลดลงและต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านยกเว้นอินโดนีเซีย ในขณะเดียวกัน ก็ปรากฏข่าวนักเรียนไทยจากโรงเรียนมีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ สามารถสอบแข่งขันได้เหรียญรางวัลระดับโลกต่างๆ อยู่ทุกปี
...ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนในพื้นที่ต่างๆ และชี้ว่าการพัฒนาคุณภาพของโรงเรียนไทยที่ผ่านมาเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง
* คะแนนเฉลี่ย PISA และ TIMSS ของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ที่มา : PISA และ TIMSS
--------------------------
การยกระดับคุณภาพการศึกษา มิใช่เรื่องสิ้นหวัง แต่เป็นสิ่งที่ทำได้จริงในเวลาไม่เกิน 1 ทศวรรษ
ดังตัวอย่างของประเทศต่างๆ เช่น ชิลี ลัตเวีย และประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเคยทำได้มาแล้ว หากแต่ข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษา ที่ผ่านมาในประเทศไทยยังคงกระจัดกระจายตามความเข้าใจต่อปัญหาที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่าควรจะเริ่มแก้ที่ปัญหาที่จุดใดก่อน
ในความเห็นของผู้เขียน การแก้ปัญหาให้สำเร็จจะต้องเริ่มจากวิชาการที่ถูกต้องก่อน การศึกษาที่ผ่านมามีข้อค้นพบต่างๆ ที่สำคัญหลายประการคือ
หนึ่ง ลำพังการเพิ่มทรัพยากรเช่นงบประมาณทางการศึกษา ไม่รับประกันความสำเร็จในการเพิ่มคุณภาพการศึกษา
สอง คุณภาพของครูช่วยให้นักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สาม ต้องมีกลไกในการสร้าง "ความรับผิดชอบ" (accountability) ในการจัดการศึกษาที่ชัดเจน
โดยเรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการปฏิรูประบบการศึกษา เพราะจะทำให้เรื่องอื่นๆ สำเร็จหรือล้มเหลวไปด้วย เช่น แม้เราสามารถลงทุนให้ครูมีคุณภาพเพิ่มขึ้น แต่หากระบบที่เป็นอยู่ทำให้ครูไม่สนใจนักเรียนอย่างเต็มที่ เพราะยุ่งกับการทำงานเอกสารหรือทำงานวิชาการเพื่อเลื่อนตำแหน่ง การเพิ่มคุณภาพครูก็จะส่งผลไปไม่ถึงนักเรียน
ใจกลางของปัญหาคุณภาพการศึกษาไทยจึงไม่ใช่การขาดทรัพยากร แต่เป็น "การขาดประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร" อัน เนื่องมาจาก "การขาดความรับผิดชอบ" ของระบบการศึกษาต่อนักเรียนและผู้ปกครองนั่นเอง การเริ่มการปฏิรูปคุณภาพการ ศึกษา จึงต้องมุ่งตรงไปที่การสร้างความรับผิดชอบของผู้จัดการศึกษาทั้งภาครัฐ โรงเรียนและครู
โดยหัวใจของ "ความรับผิดชอบ" ก็คือ ความสำเร็จของระบบการศึกษา โรงเรียนและครู จะต้องวัดจากสัมฤทธิผลทางการศึกษาของนักเรียนเป็นหลัก ไม่ใช่โรงเรียนเกือบทั้งหมดผ่านการประเมินคุณภาพโดย สมศ. และครูก็ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนและวิทยฐานะ ทั้งที่ผลการเรียนของนักเรียนแย่ลงจนถึงขั้น "อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้-คิดไม่เป็น" อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ความรับผิดชอบในการจัดการศึกษา คือ อะไร และจะสร้างขึ้นมาในประเทศไทยได้อย่างไร เป็นเรื่องสำคัญที่ขออธิบายขยายความในตอนต่อไป
* ดร.อัมมาร สยามวาลา
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
นายสนธิ ยังกล่าวถึงการศึกษาของไทยที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสุดท้ายของอาเซียน ว่า ที่คุณภาพการศึกษามันต่ำเพราะว่า
1.คุณภาพเด็กที่จบมัธยมมันต่ำอยู่แล้ว ก็เลยทำให้ปริญญาตรี - โทต่ำ และพอการศึกษาของไทยก้าวเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ประเภทจ่ายครบจบแน่ เลยทำให้ทุกอย่างต่ำลงไปหมดเลย เพราะมันเน้นที่ปริมาณ น่าสนใจอย่างหนึ่ง สมัยก่อนที่การศึกษายังไม่ออกนอกระบบ ทำไมการศึกษาคุณภาพสูง แต่พอออกนอกระบบแล้ว อ้างว่าทำให้ผู้บริหารสถาบันการศึกษา มีความคล่องตัวในการบริหาร แต่พอคล่องตัวแล้วคุณภาพกลับต่ำกว่าอยู่ในระบบ บางทีอาจจะต้องกลับไปอยู่ในระบบเหมือนเดิม
ข้อที่ 2.ค่านิยมของการศึกษา สมัยหนึ่งคนมองว่าเรียนจบแค่ ม.8 (ม.6) ก็พอ แต่พอสมัยนี้คนที่เรียนปริญญาตรีแทบจะร้อยละ 80-90 จะบอกว่าอยากต่อโท โดยที่ไม่รู้ว่าต่อเพื่ออะไร รู้แต่ว่าจำเป็น เพื่อให้ได้รู้ว่าจบปริญญาโทแล้ว ฉะนั้นแล้วคุณค่าของคำว่าปริญญาโทในเชิงของคุณภาพแทบจะไม่มีการพูดถึง แต่จะพูดถึงในเชิงภาพพจน์ ในเชิงของศักดิ์ศรีมากกว่า และเมื่อพิจารณาปริญญาโททั่วประเทศไม่เว้นจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ จะเห็นว่าปริมาณเด็กที่เรียนปริญญาโทเยอะมาก ซึ่งแปลกมาก ค่าเรียน 40,000-50,000 บาท ต่อเทอม แล้วชั้นหนึ่งต้องมีไม่ต่ำกว่า 40 หรือ 50 คน บางแห่งปริญญาเอกชั้นหนึ่งเรียนถึง 40 คน ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ชัดว่าเมื่อค่านิยมมันผิด คุณภาพการศึกษาเลยถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เอาค่านิยมมาตั้งไว้ข้างหน้าก่อน
จากนั้น นายสนธิ ได้อ่านจดหมายจากอดีตคุณครูท่านหนึ่งที่ส่งจดหมายมาบรรยายถึงสาเหตุความตกต่ำของการศึกษาไทย สรุปได้ว่า
"1. เด็กไทยมีวันหยุดเยอะมาก บวกกับการที่ครูต้องไปอบรม ดูงาน ลากิจ ลาป่วย ตกแล้วปีนึงเด็กไทยเหลือวันได้เรียนแค่ 145 วัน
2.ผู้ปกครองตามใจเด็ก ครูดุไม่ได้ ตีไม่ได้ ไม่ฝึกให้เด็กใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ แต่กลับให้เด็กเล่นเกม เพราะคิดว่าเล่นเกมอยู่ในบ้านดีกว่าออกไปนอกบ้าน
3. ตัวเด็กขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง ไม่อยากไปโรงเรียน ติดเพื่อน ตามแบบอย่างเพื่อน ไม่ตั้งใจเรียน ขาดความกระตือรือร้น
4.ตัวครู ซึ่งอันนี้น่าสนใจมาก ครูต้องไปอบรม เด็กถูกละทิ้ง ครูให้เด็กเรียนกับครูตู้ ไม่กำกับดูแล ครูจะไปธุระส่วนตัวบ่อย ลากิจ ลาป่วย มีปัญหาหนี้สิน จึงไม่มีสมาธิที่จะเตรียมการสอนเพื่อเด็ก ครูตั้งหน้าตั้งตาทำแต่วิทยฐานะเพื่อเลื่อนตำแหน่ง เพื่อให้ได้เงินเดือนสูงๆ มีเงินประจำตำแหน่งคนละหลายๆ หมื่น
5. ครูไม่พอเพียง แล้วจะสอนให้เด็กพอเพียงได้อย่างไร ปัจจุบันเงินเดือนครูสูงมาก ครูที่อายุ 40 ปีขึ้นไป เงินเดือนจะสูง ครูส่วนมากร่ำรวย มีที่อยู่อาศัย 1 หลังไม่พอ ต้องมี 2 - 3 หลัง ตลอดอายุราชการผ่อนไม่รู้จักหมด ครูกู้เงินไปสร้างหลักทรัพย์ ซื้อที่ดินและรถหรูๆ เวลาไปประชุมใช้อวดกัน ส่วนครูบรรจุใหม่เงินเดือน 10,000-15,000 บาท จะถูกครูรุ่นพี่เอาเปรียบ ถ้ารักจะเรียนต่อต้องประหยัดอดมื้อกินมื้อ
6. งบประมาณ ผู้บริหารและครูจะรู้กัน โดยผู้บริหารต้องการเงินรายหัวเด็ก แต่เด็กได้ไม่ครบ โดยโยกย้ายซิกแซกไปให้ครูด้วย เช่น โรงเรียนมีนักเรียน 100 คน คนละ 1,500 บาท บางโรงเรียนบริหารแบบครูกินกับเด็ก เงิน 1,500 บาท เด็กได้กิน 1,000 บาท ครูได้กิน 500 บาทต่อวัน ครูกินอาหารกลางวันโดยใช้เงินของเด็ก หรือ 500 บาทนี้ไปจ้างแม่ครัวมาทำงานแทนครู บางโรงเรียนไปขอใบเสร็จมาจากร้าน ร้านขอร้อยละ 10-20 โรงเรียนก็ยอม โรงเรียนทำใบส่งขอใบเสร็จไปทำเรื่องมาเบิกเงินใช้ทั่วไป ถ้าใช้สอยในโรงเรียนถึงเด็กบ้างก็ยังดี แต่บางโรงเรียนผู้บริหารเอาเข้ากระเป๋าไปใช้อะไรไม่รู้ ที่ไหนก็มีทุจริต ครูไม่มีคุณธรรม แล้วจะสอนให้เด็กมีคุณธรรม ไม่รู้จักอายบ้างหรือ
7. ปัญหาจากเขตพื้นที่การศึกษา เศรษฐกิจ โครงการเพื่อขอจัดตั้งงบประมาณ นำเงินมาใช้ในการบริหารบุคลากรเป็นส่วนมาก และจะจัดอบรมบ่อยมากในวันธรรมดาเวลาราชการและเด็กจะได้ความรู้อะไรจากครู ครูจะเข้าอบรมเพื่อต้องให้เกียรติบัตร เป็นผลงานไว้เลื่อนวิทยฐานะ
8. ปัญหาจากผู้บริหารระดับสูงกว่าเขตที่กำหนดนโยบายให้โรงเรียนปฏิบัตินั้นเพ้อฝันมาก คาดหวังสูงจนเด็กไม่ได้อะไรจากครู ครูก็โทษเด็กว่าดื้อไม่ตั้งใจเรียน ครูและผู้บริหารก็โทษผู้ปกครอง สำนักงานเขตก็มองครูว่าสอนเด็กไม่ดี ต้องให้ครูไปอบรม ครูเขตก็มองผู้ออกข้อสอบไม่ดี เพราะเด็กแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน
ครูเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เยาวชนไทยเป็นคนที่ไม่ดี ไม่มีคุณธรรม ครูเป็นส่วนหนึ่งที่เหมือนโจรปล้นชาติ ปล้นเงินภาษี ยิ่งเทงบประมาณลงไปมากเท่าไหร่ ก็ทุจริตกันมากเท่านั้น"
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ปัญหาการศึกษาบ้านเราอยู่ที่กระทรวงศึกษาฯ ถึงบอกว่าถ้าเปลี่ยนประเทศ เราต้องทำกระทรวงศึกษาฯให้มันเล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ เพราะมันมีแต่ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ อยากได้อำนาจ วันนี้พิสูจน์ได้จากจดหมายฉบับนี้ ชัดเจนเลยว่าครูรวย ที่เป็นหนี้ที่แท้กู้ไปซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อที่ เพื่ออวดกัน มันถึงไม่น่าประหลาดใจที่คุณภาพการศึกษาไทยจะอยู่อันดับที่ 8
นายสนธิ ยังกล่าวว่า ช่วงหลังมหาวิทยาลัยเอกชนมันเกินไป โขก ขูดรีด เอาเปรียบ บนความไม่รู้ของพ่อแม่และเด็ก หลายต่อหลายวิชาไม่ควรจะเกิดมา อย่างเช่นภาควิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม ทุกคนหวังว่าจบแล้วจะต้องทำงานโรงแรม ได้แต่งตัวสวยๆ พูดภาษาอังกฤษ แต่จบไปทีไรไปเป็นคนเสิร์ฟในห้องอาหาร
หรือว่าภาควิชา Business English คือใช้ภาษาอังกฤษในวงการธุรกิจ หรืออีกนัยหนึ่งคือเลขาฯ ซึ่งมันแค่จบระดับ ปวส.ก็พอ Business Computers คือการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำธุรกิจ เป็นเลขาฯนั่นเอง ของพวกนี้ไม่ควรจะเป็นหลักสูตรปริญญาตรีเลยแม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวนี้มาถึงขนาดธุรกิจการบินแล้ว เหมือนกับว่าถ้าเรียนจบแล้วจะต้องเข้าสายการบินได้อย่างแน่นอน และปรากฏว่าพอเข้าไม่ได้แล้วไปทำอะไรเป็น เพราะเรียนธุรกิจการบินแล้วจะไปบินที่ไหน ที่สำคัญที่สุดมันลามไปจนถึงมหาวิทยาลัยรัฐแล้วด้วย
พื้นฐานการศึกษาคน ปรัชญา สังคมศาสตร์ สำคัญมาก พอจบแล้วถ้าอยากจะไปเข้าสาขาวิชาชีพไหนควรจะมีสถาบันที่สอนแค่ปีเดียว เฉพาะวิชาชีพนั้น Foundation ต้องแข็ง ที่ทำให้นักเรียนเป็นมนุษย์ มีความคิดความอ่าน มีจริยธรรมศีลธรรม แต่ตอนนี้มันพังหมดแล้ว มันโดนทำลายหมดเลย
****************************************
คิดยังไงกับการที่กระทรวงการคลัง จะลดภาษีสินค้าแบรนด์เนมเหลือ 5 %
คลังเตรียมสรุปลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยจาก30% เหลือ 5%ภายใน1-2เดือนนี้ หวังดึงดูดคนให้ใช้จ่ายในประเทศ
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในช่วง 1-2 เดือนนี้ กระทรวงการคลังจะสรุปลดภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งน้ำหอม เครื่องสำอาง เสื้อผ้าแบรนด์เนม จากปัจจุบันจัดเก็บภาษีที่ 30% ให้เหลือประมาณ 5% โดยเชื่อว่าจะดึงดูดให้คนไทยที่ออกไปใช้จ่ายต่างประเทศกลับมาซื้อสินค้าภาย ในประเทศไทยมากขึ้น
"รัฐบาลมุ่งหวังที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งชอปปิ้งสำคัญในภูมิภาค ชูมาตรการชอปปิ้ง พาราไดส์ (Shopping Paradise) เพื่อแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง ซึ่งมีภาษีนำเข้า 0%"นายอารีพงศ์กล่าว
ไทยจะได้กลายเป็นสวรรค์ของนักช็อปปิ้ง แข่งกับสิงคโปร์ ฮ่องกง???
คนไทยที่ไปต่างประเทศจะได้สะดวกขึ้นในการซื้อสินค้าแบรนด์เนม???
นักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อ อย่างจีน จะได้มาเที่ยวเมื่องไทยเพิ่มขึ้น???
แทนที่จะกระตุ้นให้คนใช้จ่าย สินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อเงินตราจะไม่ไหลออก
ในขณะที่เศรษฐกิจในประเทศก็ย่ำแย่ตึงตัวเหลือเกินแล้ว ดันไปกระตุ้นให้คนจับจ่าย
สินค้าฟุ่มเฟือยที่ผลิตจากต่างประเทศ ไม่ทราบว่าคนคิดใช้อวัยวะส่วนไหนในการคิด
คนนำเข้าเป็นผู้จัดจำหน่ายรวยขึ้นครับ ซึ่งพวกนี้ก็มีอยู่ไม่กี่ตระกูล ที่เหลือผมไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย เพราะมันไม่ได้ทำให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาฝีมือในการออกแบบ หรือผลิตอะไรได้มากขึ้นเลย
เงินจะใช้ยังไม่ค่อยจะมี
ยังจะมาปากดีลดรายรับตัวเองอีก
เรื่องที่ว่า จะดึงดูด นักท่องเที่ยว จากต่างประเทศมานั้น
ผมว่า มันจะติดที่ ถ้านักท่องเที่ยว สมมุติ จากจีน
มาซื้อ ของแบรนด์เนม ในเมืองไทย
เขายังคง ต้องจ่าย ภาษีนำเข้า ตอนอยู่ที่ ตม.ของจีน หรือเปล่า
ถ้า ต้อง ก็ไม่ต่างอะไร กับที่ซื้อ อยู่ใน ประเทศ ของเขาเอง ล่ะครับ
คราวนี้ มาดู กันที่ อยากลด คนไปต่างประเทศ
ผมแค่ อยากถามว่า คนที่ไปเมืองนอก ได้นั้น
ต้องมีรายได้ เท่าไหร่ แน่นอน เดี๋ยวนี้ มีค่าใช้จ่าย
มากมาย ถ้าจะไป คงต้อง มีฐานะ พอประมาณ
คนพวกนี้ คงไม่ใช่ ไปแค่ shop ของแบรนด์เนม
แล้วกลับหรอก แต่ คงหาโอกาส ไปเที่ยวตามที่ ต่าง ๆ มากกว่า
ผิดกับ การที่ ให้เมืองไทย เป็นแหล่งของแบรนด์เนม
กลับทำให้ คนในประเทศ ที่ไม่มีปัญญา ไปเมืองนอก
แต่ อยากให้รางวัล ตัวเอง เป็นแบรนด์เนม ชิ้น เล็ก ๆ สักชิ้น
กลับ จะซื้อ ของพวกนี้ ได้มากขึ้น เป็นการส่งเสริม
ให้คน ใช้ของฟุ่มเฟือย เพิ่มขึ้นหรือเปล่า
ถ้าเป็นของที่ผลิต ในประเทศ ก็ย่อมไม่มีภาษีนำเข้า อยู่แล้ว
หากการลด ภาษีนำเข้า เกิดขึ้นจริง แบรนด์ ในประเทศ
คงอยู่ยากขึ้นไปอีก
ดังนั้น หากใครคิดว่า ยังมีประโยชน์ ในแง่อื่น ช่วยบอกผมด้วย
เพราะ ตอนนี้ ผมยังไม่เห็น แง่ ที่เป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวม
แต่ถ้าบอกว่า บริษัท ผู้นำเข้า ของพวกนี้ กำลังเดือดร้อน
เพราะ usd ที่แข็งขึ้น แล้ว มาขอให้ คนในรัฐบาลช่วย
อันนี้ อาจเป็น เหตุผล ของ การเกิดมาตรการ นี้ ซะมากกว่า
**************************************
*****************