เเค้นเสน่หา
....บอกมาเลย นายหญิง อย่านิ่งเฉย
บ่าวไม่เคย ปล่อยลอยนวล ชวนหลบหนี
สิ่งที่มัน ทำให้ นายไม่ดี
จะขยี้ บีบคอซ้ำ ทำจนตาย
....ให้มันรู้ อิทธิฤทธิ คิดไม่ซื่อ
ดวงมันคือ ต้องคอขาด บาดเสียหาย
เหอะปล่อย"เฟือง" เข้าสิง อิงเเปลงกาย
บทสุดท้าย ชักกะเเด่ว เเก้วตาโปน......
***********************************
ขับรถให้ประหยัดน้ำมัน
ขับรถให้ประหยัดทั้งน้ำมัน และเงินในกระเป๋า
1. ควรวางแผนก่อนเดินทาง จะช่วยให้ระยะทางสั้นลง และเดินทางได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และยังประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกด้วย
2. ควรเติมน้ำมันเชื้อเพลิงก่อน 9 โมงเช้าเสมอ เพราะว่าอุณหภูมิเย็นน้ำมันเชื้อเพลิงจะหดตัวจึงได้ปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 2%
3. ควรเติมน้ำมัน แค่หัวจ่ายตัดก็พอแล้ว ถ้าเติมจนเต็มปรี่ พอร้อนๆน้ำมันเชื้อเพลิงจะขยายตัวแล้วระเหยทิ้งที่รูระบาย
4. ควรอุ่นเครื่องยนต์สัก 1 นาที ในหน้าร้อน และ 3 นาที ในหน้าหนาว ซึ่งเครื่องยนต์จะได้ไม่ใช้กำลังฉุดมากและการหล่อลื่นจะสมบูรณ์ขึ้น
5.ค่อยๆ ออกตัวเมื่อรถจอดนิ่ง ที่ 1,000-2,000 รอบ จะได้ความนิ่มนวล ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการสึกหรอของเครื่องยนต์
6.ควรใช้เกียร์สูงขึ้นเมื่อรถวิ่งได้ 2,500 รอบ ขึ้นไป เพราะการลากเกียร์จะทำให้ชุดเกียร์ทำงานหนักจนอายุการใช้งาน สั้นและทำให้สิ้น เปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
7.ความเร็วคงที่ของเครื่องยนต์ 2,000 cc. ขึ้นไป ความเร็วคงที่ๆประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงคือ 110 Km./h. ซึ่งการรักษาเสถียรภาพความเร็วทำให้รถยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
8. ความเร็วคงที่ของเครื่องยนต์ ต่ำกว่า 1,600 cc. ความเร็วคงที่ๆประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงคือ 90 Km./h. ซึ่งการรักษาเสถียรภาพความเร็ว ทำให้รถยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
9. ควรพักรถสัก 15 นาที เมื่อขับรถเกิน 4 ชั่วโมง เพื่อให้ความร้อนของเครื่องยนต์ลดลง ซึ่งจะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นในระบบคลายความร้อนลงและกลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง
10.เกียร์ถอยหลังจะกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากที่สุด ควรค่อยๆ ถอยหลังไม่ต้องเร่งเครื่องยนต์มากเกินไป โดยเกียร์ถอยหลังจะใช้อัตราทด และใช้แรงฉุดมากกว่าทุกเกียร์
11.ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้เหมาะสม และไม่ควรหยุดรถหรือเบรกรถโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและ ทำให้ไม่สิ้นเปลืองผ้าเบรกโดยไม่จำเป็น
12.ปิดแอร์ก่อนถึงปลายทางสัก 500 เมตร เพื่อลดภาระของเครื่องยนต์ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และพัดลมจะเป่าลมไล่ความชื้นในตู้แอร์ ไล่เชื้อราที่สะสมอยู่ในความชื้นด้วย
13.ตรวจสอบลมยางให้สม่ำเสมอ ทุกๆ 2 อาทิตย์ และหากลมยางอ่อนรถจะวิ่งได้ช้าลง ขอบยางจะสึกมากและยางจะหมดอายุก่อน กำหนด รวมทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย
14.ควรเก็บสัมภาระหรือของหนักๆที่ไม่จำเป็นออกจากรถเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งการเพิ่มน้ำหนักจะทำให้รถกินน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 20% ตามระยะทางที่วิ่ง
15.หมั่นปรับตั้งเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ จะทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีอยู่เสมอและลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
**********************************
บ้าน อัศเวเหม ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 8 สิงหาคม นางเอกสาวสุดฮอต "เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ" วัย 32 ปี พร้อมด้วย "เอ๋ -ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม" นักธุรกิจและนักการเมืองชื่อดังของจังหวัดสมุทรปราการ วัย 45 ปี ได้เปิดแถลงข่าว ถึงกรณีความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ที่กำลังเป็นประเด็นพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทยขณะนี้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนจะเปิดการแถลงข่าว นางเอกสาว ซึ่งอยู่ในชุด เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงสีดำ รวบผม แต่งหน้าอ่อนๆ ได้ยกมือไหว้ ขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่มาร่วมทำข่าวกันอย่างล้นหลาม ด้วยสีหน้า ยิ้มแจ่มใส และอยู่อาการสำรวม ก่อนจะส่งให้ ฝ่ายชาย เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ ซึ่งอยู่ในชุดสูทสากลสีดำ เป็นคนชี้แจงกรณีดังกล่าว ว่า เป็นการแถลงข่าวครั้งแรกและครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับครอบครัว หลังจากแถลงข่าวแต่งงานกับ อดีตภรรยา ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย นักร้องชื่อดัง เมื่อ10 กว่าปีก่อน จนมีพยานรักด้วยกันคือ น้องเพลง-ชนม์ทิดา อัศวเหม ซึ่งที่ผ่านมา ตนเองและ ตู่ นันดา ได้แยกกันอยู่มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว และไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน แต่ก็ทำหน้าที่ดูแลครอบครัว อย่างดี ในฐานะพ่อ
"สำหรับ น้องเพลงลูกสาว คือ ดวงใจของผม ผมรักน้องเพลงสุดหัวใจ"
ทั้งนี้ นักการเมืองดัง ยังพูดถึงกรณีรูปถ่าย ที่มีตนเอง เจนี่ รวมถึง นายวัฒนา อัศวเหม อดีตนักการเมืองชื่อดัง ซึ่งเป็นบิดา ถ่ายคู่กันที่มาเก๊า ว่า ตนเองรู้จักและพัฒนาความสัมพันธ์กับเจนี่มาเป็นลำดับ ซึ่งคบหากันจริงๆ มาเป็นระยะเวลา 5 เดือน ส่วนเรื่องเจอกันที่ไหน ขอให้เป็นเรื่องส่วนตัว เมื่อแน่ใจทุกอย่างแล้ว จึงได้พาเจนี่ไปพบกับคุณพ่อ ซึ่งเป็นคนที่เคารพรักมากที่สุด
"จากนั้นจนวันนี้ ผมมั่นใจมาก จึงได้ตัดสินใจจดทะเบียนกับเจนี่ เมื่อเวลา 09.09 น. เช้าวันนี้ ที่บ้านอัศวเหม"
"ผมเป็นคนขอร้อง เจนี่ว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะผมมีเรื่องที่ต้องเคลียร์หลายอย่าง ต้องคุยกับคุณตู่ น้องเพลง คุณแม่และคุณพ่อ จนทุกอย่างลงตัว จึงพาเจนี่ไปกราบพ่อ การจดทะเบียนครั้งนี้ เป็นพื้นฐานแสดงว่า รักเจนี่จริงๆ แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจดวันนี้ แต่เจนี่ทำงานในวงการบันเทิง มีสังคม มีหน้ามีหน้าตา ผมเป็นนักการเมือง ช่วง 3-4วันที่ผ่านมามีหลายอย่างเกิดขึ้น ทำให้เราทั้งคู่ไม่สบายใจ เลยตกลงจดทะเบียนดีกว่า"
นอกจากนี้ เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ ยังชี้แจงกรณีที่มีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า นางเอกสาว ตั้งครรภ์หรือเปล่า โดยการโชว์ใบผลตรวจร่างกายของเจนี่ ซึ่งระบุว่า ปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้ตั้งครรภ์ตามที่มีข่าวลือแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ก่อนหน้านี้เห็นว่า เจนี่ สนิทกับตู่ นันทิดา และน้องเพลง มาก พอเกิดเรื่องความสัมพันธ์เป็นยังไง เจนี่ ระบุ ได้คุยกับตู่ นันทิดาแล้ว แต่รายละเอียดขอให้เป็นเรื่องราวของครอบครัว เช่นเดียวกับที่ เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ ยืนยันว่า ขอให้เป็นเรื่องในครอบครัว ณ วันนี้ เจนี่ เป็นคนในครอบครัวแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะเสร็จสิ้นการแถลงข่าว มีคำถามจากนักข่าวว่า แล้วสินสอดทองหมั้้นเท่าไหร่ เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ ตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น ว่า "ทั้งชีวิตของผม" ก่อนจะโปรยยิ้มให้กับสื่อมวลชน ซึ่งคำตอบดังกล่าว ได้สร้างเสียงอื้ออึง จากสื่อมวลชนจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดงานมงคลสมรส และเลี้ยงฉลองนั้น ทั้งเจนี่และเอ๋ ชนม์สวัสดิ์จะขอปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวยังรายงานอีกว่า ตลอดการแถลงข่าว เจนี่ เอามือลูบหลังเอ๋ ตลอดเวลา โดยใช้เวลาทั้งหมดในการแถลงประมาณ 10 นาที ก่อนที่ทั้งคู่จะขึ้นรถออกไป
****************************************
มาร์ค งง ปูให้ไปคุยในสภา
แต่กลับไม่เข้าประชุม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ งง นายกรัฐมนตรี บอกมีปัญหาอะไรให้ไปคุยในสภา แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยเข้าประชุมเลย...
วัน ที่ 8 ส.ค.56 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง บลู สกาย แชลแนล ถึงการเดินจากแยกอุรุพงษ์ถึงสภาฯ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้รับกำลังใจจากพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ร่วมเดินไปด้วย โดยเฉพาะที่สมทบกัน 2 ข้างทาง ในระยะทาง 3 - 4 กิโลเมตรต้องขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ได้แสดงพลัง จากการนัดหมายเพียงสั้นๆ แสดงให้เห็นว่ามีความตื่นตัวกันมากขึ้นในเรื่องนี้
และเป็นแรงบันดาลใจให้ตนคิดว่าคนอีกจำนวนมากที่เมื่อการพิจารณากฎหมายในวาระ 1 - 2 - 3 เดินไปนี้ ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกฎหมายเหล่านี้มากขึ้น ก็จะได้มาร่วมแสดงพลังกัน เพื่อจะหยุดยั้งร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ และขอขอบคุณหลายฝ่ายที่วิเคราะห์ทั้งบวก ทั้งลบต่อกรณีนี้ ขอยืนยันว่าแนวทางที่พรรคกำหนดและกระทำ เรากำลังต่อต้านกฎหมายที่กำลังจะล้างความผิดให้กับคนที่ไม่เคารพกฎหมาย ฉะนั้นเราก็ต้องเป็นแบบอย่างในการเคารพกฎหมาย ต้องมีเหตุ มีผลในการตัดสินใจ ในการดำเนินการทุกเรื่องแนะให้จับตาจบลงที่ไหน ก่อนสื่อสารนัดประชาชนต้านต่อ
ส่วนจะเป็นแค่ยกแรกถือว่าจบหมดยก หรือยัง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มันก็พูดยาก มันไม่ใช่มาแบ่งกันเป็น ยกๆ เราก็ต้องมีการทำงานต่อเนื่องกันด้วย วันนี้ก็ต้องต่อ ในการประชุมสภา เพราะเพิ่งมีผู้อภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ไปได้เพียง 2 คน ก็คือนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ซึ่งพูดได้ค่อนข้างจะครอบคลุม แล้วก็นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ส่วนปัญหากรณีกระบวนการตรากฎหมายนี้ จะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการชี้ขาด
สิ่งที่ต้องจับตาคือ การประชุมสภาในวันนี้จะจบลงตรงไหนและในช่วงชั้นกรรมาธิการ จากนั้นเราจะสื่อสารกัน เพราะแปลกใจที่เห็นหัวข่าวว่า เพื่อไทย หรือใครคาดว่ากฎหมายนี้ จะบังคับใช้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า จึงยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมมันจะนานถึง 6 เดือน เมื่อถามว่า ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่ารัฐบาลนี้จะยังไม่ยุบสภาภายใน 6 เดือนนี้ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ถามย้อนกลับว่า คุณเชื่อเขาหรือ
ซัด "ยิ่งลักษณ์" ตั้งใจลอยตัวเหนือปัญหา
นาย อภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า แต่น่าผิดหวังที่สุดในการประชุมสภาเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา เพราะ นายกรัฐมนตรี ที่พยายามเรียกร้องว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาแต่นายกฯเอง กลับไม่เข้าไปร่วมประชุมสภา แค่ไปเซ็นชื่อก่อนการประชุม และออกไป ซึ่งตนก็งง เพราะว่าท่านประธานสภาฯนัดประชุมเวลา 13.00 น.
การประชุมสภาวานนี้ ถ้ามีการถ่ายทอด จะเป็นการฟ้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้เห็นว่า ตกลงแล้วคนที่สร้างเงื่อนไขของความขัดแย้งนั้นคือใคร แล้วก็ความจริงใจในการที่จะปรองดองนั้นใครมีบ้าง เพราะนายกฯเรียกร้องให้ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลพูดคุย ตนถึงขอให้พักการประชุม แล้วขอให้นายกฯกลับมาร่วมประชุม แต่ก็ไม่มา เพราะรู้ว่าจะคำถามไม่ได้
แม้สหประชาชาติ ก็ออกมาบอกให้เลื่อนกฎหมายนี้ไปก่อน นี่แสดงให้เห็นว่ามีความจงใจที่จะหลีกเลี่ยง หรือลอยตัวแล้วทำให้บ้านเมืองถลำลึกเข้าสู่วิกฤติเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมืองอย่างเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง อย่างเรื่องภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจอย่างเรื่องของแพง เรื่องนโยบายข้าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริต อย่างเช่นเรื่องน้ำ
ไทยรัฐออนไลน์
- โดย ทีมข่าวการเมือง
- 8 สิงหาคม 2556, 15:02 น.
ท่านนายกอยู่นี่ !!!!!! ที่ท่านไม่อยู่สภา เพราะต้องต้อนรับท่านทูตจีนที่มาขอเข้าพบ ในโอกาสหมดวาระการดำรงค์ตำแหน่ง ...
...... ท่านทูตจีนมาขอเข้าพบ นอกจากอำลาตำแหน่งแล้ว ถ้าให้เดา ก็คงจะมีเรื่องการที่ว่า นายก ฯ ยิ่งลักษณ์จะไปเยือนจีน ที่มณฑลกว่างสี เร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ก็มีข่าวว่า จีน จะยกเลิก การขอวีซ่าเข้าประเทศ ให้ไทย หมายความว่า ต่อไป คนไทยจะเข้าจีน ไม่ต้องขอวีซ่า เหมือนไปญี่ปุ่นแล้ว และเห็นว่าพรุ่งนี้ จะไปเพชรบุรีหรือประจวบ ฯ นี่แหละ เพื่อติดตามงานในโครงการพระราชดำริ
เครดิตคุณ ขนมต้ม
*********************************
ใบไม้เเห้ง
เเรม 15 ค่ำเดือน 8
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีฤๅษีตนหนึ่งนามว่า ฤๅษีอุอะ ได้สละทางโลกมานั่งบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าลึกเป็นเวลาหลายสิบปี โดยมีลิงน้อยแสนรู้ที่ฤๅษีเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเล็กเป็นผู้หาผลไม้ในป่ามาให้ท่านฤๅษีรับประทานเป็นอาหารทุกวัน
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ฤๅษีอุอะ กำลังนั่งเข้าฌานเหมือนดังเช่นทุกวัน จู่ๆ เจ้าลิงแสนรู้ก็กระโจนทะเล่อทะล่าเข้ามาในอาศรม พร้อมกับละล่ำละลักพูดกับฤๅษีซึ่งนั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่ว่า
“เจี๊ยกๆ ท่านฤๅษีผู้มีเมตตา ได้โปรดออกจากฌานมาช่วยแก้ปัญหาสำคัญในตอนนี้ก่อนเถิดเจ้าข้า เจี๊ยกๆ”
ฤๅษีอุอะ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเจ้าลิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“มีอะไรที่เจ้าต้องการบอกข้าหรือเจ้าลิง” ฤๅษีถามอย่างสงบ
“เจี๊ยกๆ คือว่า เมื่อสักครู่ ข้าได้ออกไปหาผลไม้ในบริเวณใกล้ๆ กับหน้าผาใหญ่ของชายป่าด้านโน้น เจี๊ยกๆ แล้วข้าก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ข้าพยายามส่งเสียงร้องห้ามปรามเขา แต่เขาก็ไม่เข้าใจเสียงร้องของข้า เพราะนอกจากท่านฤๅษีแล้ว มนุษย์ธรรมดาก็ไม่อาจฟังข้าเข้าใจได้ เจี๊ยก” เจ้าลิงกล่าวอย่างร้อนรน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย” ฤๅษีอุอะว่า แล้วท่องมนต์ที่ทำให้หายตัววับไปในทันที ส่วนเจ้าลิงแสนรู้ก็รีบห้อยโหนต้นไม้เพื่อกลับไปยังบริเวณหน้าผาแห่งนั้น
ที่หน้าผาใหญ่ตรงชายป่า ชายหนุ่มท่าทางพ่ายแพ้ในชะตาชีวิตกำลังจ้องมองลงไปยังก้นเหวเบื้องล่าง เขาค่อยๆ สืบเท้าของตนออกไปทีละนิดๆ จนยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบหน้าผา
เปรี้ยง!
สายฟ้าไม่ปรากฏที่มา ฟาดเข้ากับหน้าอกของชายสิ้นคิดอย่างแรงจนเกิดเป็นแรงผลักมหาศาล ทำให้ตัวเขากระเด็นถอยหลังออกไปจากขอบหน้าผา และกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในบริเวณนั้นอย่างแรง
“โชคดีของเจ้าแล้ว ที่ข้ามาทันเวลาพอดี” ฤๅษีอุอะ กล่าวพลางเดินไปยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มพร้อมด้วยเจ้าลิงแสนรู้
“นี่เป็นอิทธิฤทธิ์ของท่านอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มโวยวายลั่นป่า เมื่อรู้ว่าใครทำร้ายเขา “ผู้ทรงศีลอย่างท่านทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน”
“ใครคือผู้บริสุทธิ์...เจ้านะหรือ” ฤๅษีอุอะหัวเราะอยู่ในลำคอ “ฆาตกรอย่างเจ้า เรียกตัวเองว่าผู้บริสุทธิ์อย่างเต็มปากเต็มคำได้อย่างนั้นหรือ”
“ท่านพูดเพ้อเจ้ออะไรของท่าน ข้าไม่เคยฆ่าใคร” ชายหนุ่มขึ้นเสียง
“เจ้ามีบิดามารดาหรือไม่” ท่านฤๅษีถามอย่างใจเย็น
“มีสิ ข้ามีทั้งมารดาและบิดา”
“ใครเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า รึตัวเจ้าถือกำเนิดขึ้นมาเอง” ฤๅษีอุอะ ถามต่อ
“เอ๊ะ! ถามอะไรประหลาดแบบนั้น ใครจะเกิดขึ้นมาได้ ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายก็ต้องมีมารดาเป็นผู้ให้กำเนิดทั้งนั้น แม้แต่เด็กกำพร้าก็เถอะ” ชายหนุ่มตอบอย่างหงุดหงิด
“ถ้าเจ้ามิได้ถือกำเนิดขึ้นมาเอง แต่มารดาของเจ้าคือผู้ให้กำเนิดเจ้า และนางต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพื่อยอมให้เจ้าเกิดมาพร้อมด้วยลมหายใจและร่างกายที่สมบูรณ์ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็มิใช่เจ้าของชีวิตของตนเองเลย และไม่มีสิทธิขาดในการมอบความตายให้กับชีวิตของเจ้า การที่เจ้าฆ่าตัวตาย ย่อมมีความผิดเช่นเดียวกับการฆ่าผู้อื่น และเวรกรรมของการประพฤติผิดนี้หนักหนาสาหัสต์นัก ต้องชดใช้ไปไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติจึงจะหมดสิ้น” ฤๅษีอุอะพูดเตือนสติ ชายหนุ่มจึงนิ่งเงียบไปเหมือนพยายามไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“แต่คนอย่างข้า...” ชายหนุ่มเอ่ย น้ำเสียงอ่อนลง แต่ยังแฝงไว้ซึ่งความสิ้นหวังอย่างรุนแรง “...คนอย่างข้าอยู่ไปก็ไร้ความหมาย ข้ามันเป็นคนขี้แพ้...รู้ไหมท่านฤๅษี ชีวิตของข้ามีแต่ความฉิบหายวายวอด ข้าสู้ทนทำงานหนักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเพื่อนำไปลงทุนค้าขายจนพอจะได้กำไรงามอยู่บ้าง จู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้โรงเก็บสินค้าวอดวายหมดสิ้น ถึงคราวหมดเนื้อหมดตัว คนรอบข้างก็มีแต่ถากถาง หาว่าข้าไม่เจียมตัวบ้างล่ะ คิดทำการใหญ่เกินตัวบ้างล่ะ มิตรสหายก็หายหน้าไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตูบ้านต้อนรับ ซ้ำร้ายเมียที่ข้าแสนรักและไว้ใจก็ทนลำบากไม่ไหวหนีตามชายชู้ไปอีก ทุกคนทอดทิ้งข้า แต่ก็สมควรแล้วเพราะข้ามันคนไร้ค่า ตายไปยังจะมีประโยชน์เสียกว่า” ชายหนุ่มคร่ำครวญถึงชีวิตอัปยศของตนเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขานั่งทอดอาลัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามฤๅษีอุอะ ว่า
“จริงสิท่าฤๅษี ท่านคือผู้ทรงศีลผู้รู้จักนรกและสวรรค์ ท่านพอจะช่วยข้าให้ตายโดยไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอันน่ากลัวนั้นได้หรือไม่”
ฤๅษีนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบชายหนุ่มว่า
“ข้าจะช่วยเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องทำตามข้อเสนอของจ้าให้ได้เสียก่อน...”
“บอกข้อเสนอของท่านมาได้เลย ข้ายินดีทำตามคำสั่งท่านทุกอย่าง ขอเพียงให้ข้าได้ตายอย่างเป็นสุขเท่านั้น” ชายหนุ่มรับข้อเสนอทันทีโดยไม่ต้องคิด
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว...ข้อเสนอของข้า ก็คือ ให้เจ้าเดินมุ่งไปยังหมู้บ้านที่อยู่ทางตะวันตกเป็นเส้นตรง ระหว่างทางที่เดินผ่าน ขอให้เจ้าเก็บใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเอากลับมาให้ข้าด้วย” ฤาษีอุอะบอกข้อเสนอของตนซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสนเท่ห์เป็นอย่างมาก
“ใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการ...แค่นั้นรึ...” เขาทวนคำอย่างลังเล
“ใช่ แค่นั้นเอง” ฤๅษีอุอะย้ำคำตอบ “ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะไม่ขัดขวางการจบชีวิตของเจ้า และจะยังช่วยให้เจ้าตายโดยไม่ต้องชดใช้เวรกรรมใดๆ อีกเลย”
“ดีจริง! ถ้าอย่างนั้นข้าจะเดินเป็นเส้นตรงไปทางหมู่บ้านตะวันตก และนำใบไม้แห้งมาให้ท่านมากๆ เลย คอยดูสิ”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดฤๅษีอุอะจึงอยากได้ของประหลาดเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เขารีบเดินทางไปยังหมู่บ้านฝั่งตะวันตก โดยมีเจ้าลิงแสนรู้ปีนต้นไม้ตามไปสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเป็นเส้นตรงตามทีฤาษีอุอะต้องการและไม่ทันไร เขาก็พบใบไม้แห้งกองใหญ่กองหนึ่ง ชายหนุ่มจึงก้มลงเก็บใบไม้แห้งบางใบขึ้นมา
“แย่ละสิ เขาได้ใบไม้แห้งตามที่ท่านฤาษีต้องการมาแล้ว” เจ้าลิงแสนรู้คิดอย่างตระหนก แต่แล้วจู่ๆ ก็มีตาเฒ่าคนหนึ่งวิ่งกระย่องกระแย่งเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมกับพูดว่า
“พ่อหนุ่ม ช่วยเอาใบไม้แห้งใส่ไว้ในกองอย่างเดิมเถิด เพราะตาต้องใช้เวลานานมากทีเดียวกว่าจะกวาดใบไม้แห้งมากองรวมกันได้มากขนาดนี้”
“ตาจะเอาใบไม้แห้งนี่ไปทำอะไรหรือ เพราะข้ามองไม่เห็นประโยชน์ของมันเลยสักนิดเดียว” ชายหนุ่มถามอย่างฉงน
“ตาจะเอาไปใช้ในที่นาของตา ตาจะเอาใบไม้แห้งพวกนี้ไปเผาเพื่อใช้ทำปุ๋ย พ่อหนุ่มคงไม่เคยรู้ล่ะสิว่าปุ๋ยจากใบไม้แห้งเป็นปุ๋ยที่ดีมาก ทำให้ต้นข้าวในนาอุดมสมบูรณ์ และเก็บเกี่ยวได้เยอะ หากไม่มีใบไม้แห้งกองนี้ ตาคงไม่มีข้าวพอขายหรือแม้แต่จะนำมาหุงกินเองเป็นแน่” ตาเฒ่าอธิบาย
“ถ้าใบไม้แห้งพวกนี้มีประโยชน์กับตามากถึงขนาดนั้น ข้าก็เอามันไปไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มบอก และก่อนจะจากตาเฒ่าไปเขายังช่วยรวบรวมใบไม้แห้งในบริเวณนั้นมากองไว้ให้ตาเฒ่าอย่างมากมายอีกด้วย จากนั้นจึงกล่าวลาตาเฒ่าและออกเดินทางไปหาใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการต่อไป
“โอ้โชคดีที่ใบไม้แห้งกองนั้นเป็นที่ต้องการของชาวนาเขาจึงเอามันไปไม่ได้” เจ้าลิงแสนรู้คิดอย่างโล่งอก
แต่เจ้าลิงก็โล่งอกโล่งใจได้ไม่นาน เมื่อชายหนุ่มเดินไปใกล้เขตหมู่บ้านฝั่งตะวันตก และได้พบหญิงชาวบ้านสามคนที่กำลังขมีขมันเก็บใบไม้แห้งใส่ตะกร้าหวายของพวกนาง ชายหนุ่มจึงเดินไปถามหญิงชาวบ้านทั้งสามว่า
“ขอโทษที่มารบกวนนะพี่สาว พวกพี่สาวจะเอาใบไม้แห้งพวกนี้ไปทำอะไรหรือ”
“ใบไม้แห้งนี่นะหรือ” หญิงชาวบ้านคนแรกว่า “ข้าจะเอาไปจุดไฟหุงข้าวน่ะน้องชาย ใบไม้แห้งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี และข้าก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อฟืนอีกด้วย”
“ส่วนข้าเลือกหาใบไม้แห้งที่ใหญ่หน่อย เช่น ใบตอง เพื่อนำไปเย็บเป็นกระทงใส่อาหารแทนชามข้าว นอกจากนั้นข้ายังนำเศษใบไม้ที่เหลือไปห่อขนมขายเอาเงินมาเลี้ยงลูกๆ ของข้าอีกด้วย” หญิงชาวบ้านคนที่สองบอก
“แล้วพี่สาวหล่ะ พี่สาวต้องการใบไม้แห้งที่ดูไร้ค่าพวกนี้ไปทำไมหรือ”
ชายหนุ่มหันไปถามหญิงชาวบ้านคนที่สาม ซึ่งเธอหัวเราะร่วนก่อนจะตอบว่า
“เข้าใจผิดแล้วล่ะน้องชาย ใบไม้พวกนี้ไม่ได้ไร้ค่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังมีค่ามากกว่าทองคำเสียอีก”
“ดูเหมือนท่านจะพูดจาล้อเล่นเกินไปเสียแล้ว” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เชื่อ
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นอะไรเลยเจ้าหนุ่ม ข้าเลือกเก็บใบไม้แห้งที่เป็นตัวยาสมุนไพรเพื่อเอาไปให้สามีของข้าซึ่งเป็นหมอชาวบ้านนำไปใช้ปรุงเป็นตัวยารักษาคนเจ็บ การที่คนเรามีสุขภาพดี ห่างหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำหรอกหรือ”
ชายหนุ่มนิ่งคิดพิเคราะห์และเห็นจริงดังนั้นเขาจึงเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้าน
“ดีจริงที่ใบไม้นี้เป็นที่ต้องการของใครๆ ไม่อย่างนั้นอายุของผู้ชายคนนี้ก็ต้องสั้นลง หากเขาเจอใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเข้าจริงๆ” เจ้าลิงแสนรู้คิดแล้วออกห้อยโหนกิ่งไม้ใหญ่เพื่อเดินทางตามชายหนุ่มต่อไป
ตอนนี้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในเขตหมู่บ้านตะวันตกแล้ว ในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างจอแจหนาแน่นแต่ถนนหนทางกลับสะอาดเอี่ยม บ้านเรือนแต่ละหลังปลูกติดกันเป็นแนวยาว นานๆ ครั้งจึงจะปรากฏตรอกเล็กๆ ให้เห็นอยู่บ้าง ชายหนุ่มเดินหลบหลีกผู้คนพลางสายตาก็สอดส่ายหาใบไม้แห้งไปพลางแต่ก็ไม่ลืมที่จะเดินเป็นเส้นตรงตามคำสั่งของฤาษีอุอะ ทว่าในเขตชุมชนเมืองเช่นนี้ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะเจอใบไม้แห้งก็ลดน้อยลงไปด้วย
“ดูเหมือนว่า หมู่บ้านตะวันตกนี่จะหาใบไม้แห้งยากสักหน่อยนะ อย่างนี้ก็ดีแล้ว ผู้ชายคนนี้จะได้เลิกคิดที่จะตายเสียที” เจ้าลิงคิดอย่างโล่งใจ มันต้องใช้หลังคาบ้านของชาวบ้านเป็นทางสัญจรเพื่อหลีกหนีความจอแจวุ่นวายด้านล่าง
ชายหนุ่มเดินเป็นเส้นตรงจนจวนจะถึงท้ายหมู่บ้านตะวันตกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบใบไม้แห้งเลยแม้แต่ใบเดียว จนกระทั่งมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จู่ๆ ก็มีลมวูบหนึ่งพัดผ่านมา และใบไม้แห้งใบหนึ่งก็ตกลงมาตรงหน้าของเขา
เจ้าลิงรู้สึกใจหาย และนึกตำหนิลมวูบนั้นอยู่ในใจ
ขณะที่ชายหนุ่มก้มตัวลงเพื่อจะเก็บใบไม้อยู่นั่นเอง นกใหญ่ตัวหนึ่งก็บินลงมาโฉบเอาใบไม้แห้งใบนั้นไปต่อหน้าต่อตาเขา
“โธ่เอ๊ย! เจ้านกบ้า นั่นมันใบไม้ของข้านะ ข้าเจอมันก่อน” ชายหนุ่มชะเง้อคอมองตามนกใหญ่และร้องโวยวายด้วยความไม่พอใจ เขาเก็บก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง หมายจะขว้างใส่นกขี้โขมยให้รู้สำนึก แต่แล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่านกใหญ่เอาใบไม้แห้งไปทำอะไร ดังนั้นชายหนุ่มจึงโยนก้อนหินทิ้งแล้วออกเดินต่อไป
เจ้าลิงซึ่งสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ นึกสงสัยว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงละทิ้งใบไม้ใบนั้นให้นกใหญ่ไปอย่างง่ายดาย มันจึงรีบปีนไปบนต้นไม้ใหญ่ตรงยอดไม้ที่นกตัวนั้นเกาะอยู่
สิ่งที่เจ้าลิงเห็นคือรังนกที่มีลูกนกตัวเล็กๆ สี่ตัวกำลังส่งเสียงร้องกระชั้นถี่ร้องหาอาหารจากแม่ของมัน แม่นกใหญ่มองลูกๆ ของนางอย่างสงสาร นางบอกแก่ลูกนกว่า
“รอสักประเดี๋ยวนะลูก แม่เพิ่งได้ใบไม้แห้งมาเมื่อครู่นี้เอง และแม่ต้องซ่อมแซมรังของเราให้แข็งแรงดีเสียก่อน จึงจะวางใจออกไปหาอาหารมาป้อนลูกได้ ไม่อย่างนั้นระหว่างที่แม่ไม่อยู่ ลูกๆ ของแม่อาจตกลงไปจากรังจนเป็นอัตรายได้”
เจ้าลิงฟังแม่นกใหญ่พูดแล้วรู้สึกประทับใจในน้ำใจของชายหนุ่ม มันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงละทิ้งใบไม้แห้งใบนั้นไปอย่างง่ายดาย แล้วมันก็รีบตามชายหนุ่มต่อไปทันที
ด้านชายหนุ่มได้เดินไปเป็นเส้นตรงจนถึงบ่อน้ำท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดสุดเขตของหมู่บ้านตะวันตกแล้ว แต่ก็ยังไม่พบใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการ เขาเอามือยันขอบบ่อน้ำไว้ แล้วมองลงไปในบ่อ
ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็พบใบไม้แห้งใบหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำในบ่อ
“ในที่สุดข้าก็พบใบไม้แห้งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อใครแล้ว” ชายหนุ่มร้องอุทานอย่างสมหวัง เขารีบหยิบถังตักน้ำที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นขึ้นมาแล้วค่อยๆ หย่อนเชือกลงไปตักใบไม้แห้งขึ้นมาจากในบ่อ
เจ้าลิงตามมาทันเห็นเหตุการณ์พอดี เมื่อมันเห็นว่าชายหนุ่มได้ใบไม้แห้งแล้ว มันก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มยืนพินิจพิเคราะห์ใบไม้แห้งใบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมันลงไปในบ่อน้ำอย่างเดิม แล้วหันหลังเดินกลับไปตามทางเก่า
เจ้าลิงรีบกระโจนไปที่ขอบบ่อ มันก้มลงมองใบไม้แห้งซึ่งบัดนี้ลอยเหนือผิวน้ำในบ่อด้วยความแปลกใจ
“เจี๊ยกๆ ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ได้เจอใบไม้แห้งซึ่งไม่มีประโยชน์กับใครๆ แล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขาไม่เอากลับไปให้ท่านฤๅษีอุอะกันเล่า เจี๊ยกๆ” เจ้าลิงพูดกับตัวเอง
“นั่นเพราะใบไม้แห้งใบนี้มิใช่ใบไม้แห้งที่ไร้ประโยชน์” มดตะนอยที่เดินอยู่บนขอบบ่อตัวหนึ่งพูดขึ้น “แต่มันเป็นใบไม้แห้งที่มีความสำคัญต่อชีวิตของพวกมดอย่างเรามาก”
เจ้าลิงก้มลงมองมดเจ้าของเสียง มันเห็นมดอีกหลายตัวเดินกันเป็นแถวเรียงหนึ่งอยู่บนขอบบ่อ
“เจี๊ยกๆ ว่าอย่างไรนะ ใบไม้แห้งนี่นะหรือ มีประโยชน์กับมดอย่างพวกเจ้า เจี๊ยกๆ ข้าไม่เข้าใจเลย ในเมื่อเจ้าก็ไม่ได้กินใบไม้แห้งเป็นอาหารเสียหน่อยนี่ เจี๊ยกๆ” เจ้าลิงถามอย่างสงสัย
“แน่นอน พวกเราไม่ได้กินใบไม้แห้งเป็นอาหารหรอก...แต่พวกเราทำรังอยู่ในพื้นดินใกล้กับบ่อน้ำแห่งนี้ และมีหลายครั้งทีเดียวที่พวกเราตัวใดตัวหนึ่งหรือบางครั้งอาจจะหลายตัวเลยทีเดียวพลาดตกลงไปในน้ำ ใบไม้แห้งใบนั้นเปรียบเสมือนเรือน้อยของเราชาวมดที่อาศัยอยู่ที่นี่ หากไม่มีมันพวกเราก็อาจจะจมน้ำตายอยู่ในบ่อ และข้าเชื่อว่า ผู้ชายคนเมื่อครู่นี้ก็คงจะเข้าใจและเห็นใจพวกเรา เพราะข้าก็คือมดตัวที่อยู่บนใบไม้แห้งซึ่งเขาได้ช่วยขึ้นมาเมื่อครู่นี้เอง”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เจ้าลิงแสนรู้ก็รู้สึกประทับใจในตัวชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น คนๆ นี้มิใช่คนไร้ค่า แต่เป็นคนที่ไม่รู้จักคุณค่าในตัวเอง จึงไม่ควรเลยที่เขาจะคิดฆ่าตัวตาย แล้วเจ้าลิงก็รีบหันหลังกลับวิ่งตามชายหนุ่มไปทันที
ฝ่ายชายหนุ่มนั้นไม่ได้มุ่งมั่นที่จะหาใบไม้แห้งต่อไปอีกแล้ว เขาเดินกลับมากหาฤๅษีอุอะยังหน้าผาใหญ่แห่งเดิม
“ได้ใบไม้แห้งมากี่ใบกันล่ะเจ้าหนุ่ม” ฤๅษีอุอะ ถามพร้อมกับส่งยิ้มให้เจ้าลิงที่วิ่งเร็วรี่ตามมาติดๆ
“ไม่ได้มาเลยสักใบครับท่านฤๅษี แต่ข้าก็ไม่ต้องการใบไม้แห้งนั่นอีกแล้ว” ชายหนุ่มตอบ
“ทำไมเล่า ใบไม้แห้งมีออกเกลื่อนกลาด เจ้าน่าจะหามันมาได้ไม่ยากมิใช่รึ”
“ใช่ครับท่านฤๅษี ใบไม้แห้งนั้นมีอยู่เกลื่อนกลาด แต่ข้าไม่พบใบไม้แห้งที่ไม่มีใครต้องการเลยสักใบเดียว ชาวบ้านของหมู่บ้านตะวันตกล้วนเห็นคุณค่าของมัน พวกเขาใช้ใบไม้แห้งเพื่อประโยชน์ในชีวิต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้แต่สัตว์เล็กใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาใบไม้แห้ง ข้าจึงไม่พบใบไม้แห้งที่ท่านต้องการ และข้าก็รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ข้าไม่อยากฆ่าตัวตายอีกต่อไปแล้ว”
ฤๅษีอุอะฟังคำตอบของชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“การที่เจ้าถูกมองว่าไร้คุณค่าจากคนกลุ่มหนึ่ง นั่นมิได้หมายความว่า ตัวเจ้าจะไร้คุณค่าจริงๆ ต่อคนทุกคน ดังเช่นเมื่อแรกที่เจ้าคิดว่าใบไม้แห้งล้วนไร้ประโยชน์และสามารถหามาให้ข้าได้ง่ายๆ แต่เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า แท้ที่จริงแล้ว ใบไม้แห้งก็มิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว แต่สำหรับบางคน มันกลับมีคุณค่าต่อชีวิตของพวกเขาอย่างมากมาย”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองคิดดูเอาเองเถิดเจ้าหนุ่ม ว่า แม้แต่ใบไม้แห้งที่ใครๆ ต่างเชื่อว่ามันไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว ก็ยังมีคุณค่าและเป็นที่ต้องการอย่างมากมายจากคน นกและแมลง แล้วร่างกายของคนเราจะมีประโยชน์สักเพียงใดกันเล่าหากรู้จักใช้ให้คุ้มค่า เพราะฉะนั้นตัวเจ้าเองจักต้องพึงรักษาร่างกายของเจ้าเอาไว้ให้ดีที่สุด เพื่อทำให้ชีวิตของตนเองมีความสุข และไม่พลาดโอกาสที่จะเผื่อแผ่ความช่วยเหลือไปสู่ผู้ยากไร้ คนป่วย คนชรา และทุกชีวิตที่ต้องการความช่วยเหลือ เมื่อใดที่ได้ช่วยผู้อื่นแล้ว เมื่อนั้นเจ้าจะตระหนักถึงคุณค่าของตนเองได้อย่างมากมายเหมือนกับที่เจ้าได้ช่วยแม่นกใหญ่ให้สร้างรังปกป้องลูกๆ ของมันได้สำเร็จ และไม่เบียดเบียนเอาเรือช่วยชีวิตลำน้อยของพวกมดมา สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือคุณค่าอันแท้จริงของตัวเจ้า และควรอย่างยิ่งที่เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ชายหนุ่มฟังคำฤๅษีอุอะแล้วรู้สึกตาสว่างขึ้นมาในทันที เขาให้คำมั่นกับท่านฤาษีว่าจะไม่คิดสั้นอีกต่อไป แต่จะต่อสู้เพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมให้จงได้ นอกจากนั้น เขาจะใช้ชีวิตตนเองในการช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะสามารถช่วยได้อีกด้วย
“ดีแล้วเจ้าหนุ่ม ขอให้เจ้าเรียนรู้คุณค่าของตัวเจ้าจากการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นเถิด แล้วข้าจะอวยพรให้เจ้าได้พบแต่ความสุขสงบตลอดไป” ฤๅษีอุอะให้พรแก่ชายหนุ่มด้วยความเมตตา พร้อมกับมอบเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ให้เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตของเขาต่อไป
เธอทั้งหลาย...
หากเมื่อไหร่ที่เธอคิดว่าตนเองไร้ประโยชน์ดังเช่นใบไม้แห้ง นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอเป็นคนไร้คุณค่าจริงๆ แต่เป็นเพราะเธอไม่เคยรู้จักคุณค่าของตนเองเลยต่างหาก อย่าทำร้ายตนเองเพียงเพราะต้องการประชดในความหลงผิดนั้น แต่จงรักษาตัวให้มีร่างกายที่แข็งแรงและมีจิตใจสดใสอยู่เสมอ อย่าลืมว่าแม้แต่ใบไม้แห้งก็ยังมอบประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้มากมายถึงเพียงนี้ แล้วคนที่มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเธอจะสร้างคุณประโยชน์ต่างๆ ให้บังเกิดขึ้นได้มากมายเพียงไหนกัน
แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็จงมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ โลกของเรายังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเธออีกมาก อย่างน้อย เธอก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของคนที่ไม่ยอมแพ้
*********************************
เสธ.อ้าย สอนน้อง..
....เชื่อพี่เหอะ น้องเอ๋ย เคยมาเเล้ว
ใจหายเเป้ว นัดไม่มา พากันหนี
จับมือมัด สัจจะมั่น กันอย่างดี
คนน้อยนี้ เเสนทุเรศ เปรตส่วนบุญ
....บอกจะมา ตามเวลา ที่กำหนด
เเม่งหัวหด ทัพหน้าหาย ท้ายไม่หนุน
จำจนตาย เห็นเราเป๋ เนรคุณ
หมดกระสุน "ม๊อบ"ก็เเตก เเหลกละลาย....
*****************************
น้ำเเข็ง
จาก นสพ.ข่าวสด
อยากทราบว่าน้ำแข็งที่มีขายทั่วไปต้อง ขออนุญาตจาก อย.หรือเปล่า และผู้ดื่มมีอะไรสังเกตว่าปลอดภัยไหม
monthira.23
ตอบ monthira
คำตอบมาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ว่า การผลิตน้ำแข็งเพื่อจำหน่ายที่มีวัตถุประสงค์ให้ใช้รับประทานนั้น จะต้องใช้น้ำสะอาดและได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 78 (พ.ศ.2527) และฉบับที่ 137 (พ.ศ.2534) เรื่อง น้ำแข็ง ดังต่อไปนี้ 1.คุณสมบัติทางฟิสิกส์ น้ำที่นำมาผลิตน้ำแข็งจะต้องไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แต่จะไม่รวมถึงกลิ่นคลอรีน ความขุ่นจะต้องไม่เกิน 5.0 ซิลิกาสเกล และค่าความเป็นกรด-ด่างต้องอยู่ระหว่าง 6.5 ถึง 8.5
2.คุณสมบัติทางเคมี น้ำที่นำมาผลิตน้ำแข็งจะต้องมีคุณสมบัติทางเคมี เช่น ปริมาณสารทั้งหมดไม่เกิน 500.0 มิลลิกรัมต่อ น้ำสะอาด 1 ลิตร ความกระด้างทั้งหมด โดยคำนวณเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตไม่เกิน 100.0 มิลลิกรัมต่อน้ำสะอาด 1 ลิตร แคดเมียมไม่เกิน 0.005 มิลลิกรัมต่อน้ำสะอาด 1 ลิตร และเหล็กไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อน้ำสะอาด 1 ลิตร เป็นต้น และ 3.คุณสมบัติเกี่ยวกับจุลินทรีย์ น้ำที่นำมาผลิตน้ำแข็งจะต้องไม่มีบักเตรีชนิด อี.โคไล ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และตรวจพบบักเตรีชนิดโคลิฟอร์มน้อยกว่า 2.2 ต่อน้ำสะอาด 100 มิลลิลิตร โดยวิธีเอ็มพีเอ็น (Most Probable Number)
ส่วนการเก็บรักษาและภาชนะบรรจุที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยในการบริโภคน้ำแข็งมีรายละเอียดดังนี้ 1.ในการเก็บรักษาน้ำแข็ง ห้ามมิให้ใช้แกลบ ขี้เลื่อย กระสอบ กาบมะพร้าว เสื่อ หรือวัสดุอย่างอื่นในทำนองเดียวกันปกคลุมหรือห่อหุ้มน้ำแข็ง 2.สถานที่เก็บรักษาน้ำแข็งเพื่อจำหน่ายหรือที่จำหน่ายน้ำแข็งที่มีวัตถุประสงค์ใช้รับประทานจะต้องมีคุณสมบัติ สะอาดและมีระดับสูงกว่าทางเดินภายในบริเวณสถานที่เก็บรักษาน้ำแข็ง ทำด้วยวัสดุที่ไม่เป็นพิษและเป็นวัสดุพื้นผิวเรียบ รักษาความสะอาดได้ง่าย และต้องง่ายต่อการทำความสะอาด มีลักษณะปกปิดที่ป้องกันมิให้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากภายนอกปนเปื้อนน้ำแข็งได้
3.ภาชนะบรรจุที่ใช้บรรจุน้ำแข็งเพื่อจำหน่าย หรือที่จำหน่ายน้ำแข็งที่มีวัตถุประสงค์ใช้รับประทานต้องมีคุณสมบัติ ภาชนะต้องสะอาด ไม่มีโลหะหนักหรือสารอื่นออกมาปนเปื้อนกับ น้ำแข็งในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต้องไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และไม่มีสีออกมาปนเปื้อนกับอาหาร ต้องไม่เคยใช้บรรจุหรือหุ้มห่อปุ๋ย วัตถุมีพิษ หรือวัตถุที่อาจเป็นอันตราย ต่อสุขภาพ ต้องทำด้วยวัสดุที่ไม่เป็นพิษและเป็นวัสดุพื้นผิวเรียบ รักษาความสะอาดได้ง่าย ต้องง่ายต่อ การทำความสะอาด และมีลักษณะปกปิดป้องกันมิให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากภายนอกมาปนเปื้อนน้ำแข็งได้ ต้องไม่เคยบรรจุผลิตภัณฑ์อื่นนอกจากน้ำแข็ง และไม่มีรูปรอยประดิษฐ์หรือข้อความใดที่แสดงว่าเป็นภาชนะบรรจุที่ใช้บรรจุสิ่งของอื่น และภาชนะบรรจุพลาสติกที่เป็นแผ่นหรือถุงจะต้องไม่มีสี หรือไม่ทำขึ้นจากพลาสติกที่ใช้แล้ว ยกเว้นชั้นที่ไม่สัมผัสโดยตรงกับอาหาร
สำหรับผู้บริโภค น้ำแข็งหลอดที่บรรจุถุงให้สังเกตรายละเอียดบนฉลากซึ่งต้องมีข้อความภาษาไทย (มีภาษาต่างประเทศด้วยก็ได้) และจะต้องมีข้อความแสดงชื่ออาหาร (ถ้ามี) เลขสารบบอาหารในเครื่องหมาย อย. เช่น ข้อความว่า "น้ำแข็งใช้รับประทานได้" ด้วยตัวอักษรสีน้ำเงิน ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต และน้ำหนักสุทธิเป็นระบบเมตริกซ์ ส่วนน้ำแข็งหลอดที่ตักแบ่งจำหน่ายตามร้านค้าหรือร้านอาหาร เป็นน้ำแข็งที่จำหน่ายโดยไม่ต้องมีฉลาก เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคควรสังเกตน้ำแข็ง สถานที่เก็บ ภาชนะที่บรรจุต้องสะอาดไม่มีการปนเปื้อน หากเป็นน้ำแข็งซองควรซื้อมาทั้งก้อน นำมาล้างน้ำให้สะอาดก่อนทุบหรือบดแล้ว ใส่ไว้ในภาชนะบรรจุที่สะอาดด้วย
****************************************