เมื่อ จันทร์, 01/07/2013 - 20:29
ดีใจสุดๆ เมื่อนายกตรึงราคาข้าว 15,000 บาท
ตะเกียบ
คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
อ่านประวัติ ศาสตร์ของตะเกียบ โดย อดุลย์ รัตนมั่นเกษม นักวิชาการจีนศึกษา เล่าว่า ในสมัยราชวงศ์ถัง นักการศึกษาชื่อ ขงอิ่งต๋า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตำราคัมภีร์ขงจื๊อ มีชีวิตอยู่เมื่อปี ค.ศ.574-648 สนองรับคำสั่งของพระเจ้าถังไท้จง เรียบเรียง "อู่จิงเจิ้งอี้" (Wujing Zhengyi- An Exact Implication of the Five Classics" สำหรับเป็นบรรทัดฐานในการสอบคัดเลือกคนเข้ารับราชการ
ขงอิ่งต๋าพูดถึงธรรมเนียมและมารยาทในการกินข้าวของคนจีนในสมัยนั้นว่า "มารยาทการกินข้าวของคนโบราณจะไม่ใช้ตะเกียบ แต่ใช้มือ เมื่อกินข้าวร่วมกับคนอื่นควรชำระมือให้สะอาดหมดจด อย่าให้ถึงเวลากินข้าวแล้วเอามือถูใบสน หยิบข้าวกิน เกรงจะเป็นที่ติฉินของคนอื่นว่าสกปรก"
คนโบราณที่ขงอิ่งต๋ากล่าวถึงคือคนในยุคขงจื๊อ จึงมีความเชื่อกันว่า คนจีนน่าจะรู้จักใช้ตะเกียบกันมาเป็นเวลานานมากกว่า 2,000 ปี ตะเกียบใช้สำหรับคีบผักต้มจากหม้อน้ำแกงมาไว้ในชามข้าว จากนั้นจึงเอามือหยิบข้าวกิน ถ้ามีใครใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากถือเป็นการเสียมารยาทมาก สิ่งใดที่บรรพบุรุษสร้างหรือกำหนดไว้จะไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน คนจีนจึงรักษาธรรมเนียมการกินด้วยมืออยู่เป็นเวลานานหลายร้อยปี
จีนเริ่มใช้ตะเกียบตั้งแต่เมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง แต่ยอมรับกันว่าคนจีนใช้ตะเกียบกินข้าวกันอย่างแพร่หลายหลัง ยุคราชวงศ์ฮั่น ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3
สมัยนั้นเรียกตะเกียบ ว่า "จู้" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "ไขว้จื่อ" เหตุเพราะชาวเรือถือคำว่า จู้ ที่ไปพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า หยุด ว่าไม่เป็นมงคลต่อการเดินเรือ
การที่คนจีนใช้ตะเกียบกินอาหารมาเป็นเวลานับพันปีจึงมีคำสอนไว้มากมาย กระทั่งกลายมาเป็นวัฒนธรรมตะเกียบ ซึ่งมีตั้งแต่การจับตะเกียบจนถึงข้อห้ามต่างๆ ดังนี้
ห้ามวางตะเกียบเปะปะ จะต้องวางให้เป็นระเบียบเสมอกัน ทั้งคู่ คนจีนถือคำว่า "ชางฉางเหลียงต่วน" ความหมายตามตัวอักษรหมายถึง สามยาวสองสั้น โดยนัยหมายถึงความตาย หรือความวิบัติฉิบหาย
ดังนั้น การวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้นๆ ยาวๆ จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด
ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น หรือถือไว้ในลักษณะที่ให้นิ้วชี้ชี้คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะ ห้ามอม ดูดหรือเลียตะเกียบ
ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม เพราะมีแต่ขอทานเท่านั้นที่จะเคาะถ้วยชาม ปากก็ร้องขอความเมตตาให้บริจาคทาน
ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะอาหาร ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ต้องการนั้นทันที
ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือนพวกโจรสลัดขุดสุสานเพื่อหาสมบัติ เป็นกิริยาที่น่ารังเกียจ
ห้ามคีบอาหารให้น้ำหยดใส่อาหารจานอื่น เมื่อคีบอาหารได้แล้วจะต้องให้สะเด็ดน้ำสักนิด เพื่อไม่ให้น้ำหยด และอย่าทำอาหารที่คีบอยู่หล่นใส่โต๊ะหรืออาหารจานอื่น
ห้ามถือตะเกียบกลับข้าง คือถือปลายตะเกียบขึ้นใช้ช่วงบนคีบอาหาร กิริยานี้น่าดูแคลนที่สุด ถือว่าไม่ไว้หน้าตนเอง เหมือนหิวจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร เป็นการเหยียดหยามน้ำใจกัน ห้ามปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะดูเหมือนปักธูปในกระถางไหว้คนตาย โดยเฉพาะข้าวให้คนอื่นแล้วปักตะเกียบไว้ในชามข้าวส่งให้ ถือเป็นการสาปแช่ง
ห้ามวางตะเกียบไขว้กัน ถือว่าไม่ให้เกียรติทั้งตนเองและเพื่อนร่วมโต๊ะ
ห้ามทำตะเกียบตกพื้น จะทำให้วิญญาณที่หลับสงบอยู่ใต้พิภพตื่นตกใจ ถือว่าอกตัญญู ต้องรีบเก็บตะเกียบมาวาดเครื่องหมายกากบาทบนจุดที่ตกทันที พร้อมกล่าวคำขอโทษ
วิธีถือตะเกียบที่ถูกต้อง จะต้องถือตะเกียบไว้ตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ให้อีกสามนิ้วที่เหลือคอยประคองตัวตะเกียบไว้ และต้องถือให้เสมอกัน เมื่ออิ่มแล้วต้องวางตะเกียบขวางไว้กลางชามข้าวเสมอ
***************************************
วานก้า หรือชื่อจริงคุณยาย วานเกเลีย ปานเดว่า กุชเตโรว่า เป็นชาวบัลแกเรีย ซึ่งตายไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดเมื่อ 31 มกราคม 1911 ในครอบครัวชาวนายากจนที่หมู่บ้าน สตรูมิซ่า ที่ปัจจุบันอยู่ใน มาเซโดเนีย
คำทำนายครั้งแรกของคุณยาย มีขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี คือการบอกถึงสถานที่ที่แพะของพ่อที่ถูกลักไป ถูกนำไปซ่อน คุณยายบอกว่า ท่านเห็นสิ่งนี้ในฝัน
ตัวอย่าง การทำนายของคุณยายวานก้าที่ว่าแม่นๆนั้น ก็อย่างเช่นเรื่องเรือดำน้ำคูร์สค์ ของรัสเซียที่ระเบิดเมื่อหลายปีก่อน ที่คุณยายทำนายไว้ตั้งแต่ปี 1980 คุณยายทำนายเรื่องนี้ว่า ในปี 1999 หรือ 2000 คูร์สค์ จะจมอยู่ใต้น้ำ ผู้คนทั้งโลกจะเศร้าใจกับมัน แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะเมืองคูร์สค์ อยู่ไกลจากทะเล หรือแม่น้ำ และไม่มีใครฉุกคิดว่าคุณยายทำนายถึงเรื่องดำน้ำคูร์สค์
นอกจากนั้น คุณยายวานก้า ก็ยังทำนายตั้งแต่ปี 1979 ถึงการที่สหภาพโซเวียต จะกลับคืนมาเป็นรัสเซียเหมือนเดิม เรื่องที่สหรัฐถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี ในเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ตั้งแต่ปี 1989 เรื่องการลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกอร์บาชอฟกับเรแกน การเข้ามาอยู่ในกลุ่ม จี 8 ของรัสเซีย การกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งของรัสเซีย การขึ้นมายิ่งใหญ่ของคนชื่อ วลาดิมีร์ และเรื่องวันตายของคุณยายเอง
คุณยายตายเมื่อ 11 สิงหาคม 1996 เวลา 10:10 น. ตรงตามที่ทำนายเอาไว้ทั้งวันที่ และเวลา
คำทำนายถึงโลกในอนาคต
2008 – ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
2010 – เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 – ตุลาคม 2014 ) ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี
2016 – ยุโรปแทบจะร้างผู้คน
2018 – จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา กลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่ มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง
2023 – วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2028 – เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่า น่าจะเป็น เทอร์โมนิวเคลียร์ รีแอ็คชั่น ) โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้ มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์
2033 – น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
2043 – เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป
2046 – มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด
2066 – สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศ ซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง
2076 – สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)
2084 – ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู
2088 – เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)
2097 – เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้
2100 – ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงส่างกับโลกส่วนที่มืด
2111 – มนุษย์ กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)
2125 – โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ
2130 – โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)
2164 – สัตว์ กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์
2167 – เกิดศาสนาใหม่
2183 – อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก
2187 – โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก
2195 – อาณานิคมใต้น้ำ เลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งอาหารและพลังงาน
2196 – ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์
2221 – ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
2256 – ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก
2262 – วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร
2273 – การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่
2279 – พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศ หรือไม่ก็หลุมดำ )
2288 – มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว
2291 – ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่
2296 – เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก
2299 – ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม
2302 – เปิดกฏใหม่เรื่องความลับของจักรวาล
2304 – พบความลับของดวงจันทร์
2354 – เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง
2371 – เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่
2480 – ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน
3005 – สงครามบนดาวอังคาร
3010 – ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจาย พากันโคจรรอบโลก
3797 – ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว
*************************************************
ดีใจสุดๆ เมื่อนายกตรึงราคาข้าว 15,000 บาท
;
การประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ที่ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธาน ได้มีมติให้คงราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 100% ความชื้น 15% ที่ 15,000 บาท/ตัน และข้าวชนิดอื่นๆ กลับมาที่ราคาเดิม โดยจะรับจำนำเฉพาะปริมาณที่ไม่เกินที่ได้ระบุไว้ในใบรับรองเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้น และในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อครัวเรือนตามมติ กขช. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556 สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/56 จะสิ้นสุดวันที่ 15 กันยายน 2556 และเฉพาะภาคใต้ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2556
ส่วนราคาจำนำที่ต่อรองของงวดต่อไป กำลังพิจารณาอยู่คงได้ 13,500 - 14,000บาทต่อตัน
ทำถูกต้องแล้ว...เพราะเป็นนโยบายที่ให้สัญญากับประชาคมไว้
มันจะขาดทุนมั่งก็อย่าวอรี่...
เอาเงินภาษี....ที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของชาวบ้าน
ไปทุ่มเททุ่มทิ้งเรื่องอื่นๆมากมายมหาศาล...ไม่มีอะไรงอกเงยกลับคืนสักบาท
ไม่เห็นมีแมวตัวไหน...ออกมาโวยวายเห่าหอน
พอรัฐบาลจะเอาเงิน...มาช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ที่ยกย่องสรรเสริญกันนักหนาว่า...เป็นกระดูกสันหลังของชาติ
กลับออกมาโวยวาย...กลัวบ้านเมืองจะล่มจม
ทีเอาเงินไปสร้างโรงพัก....มีแต่เสาโด่เด่
เอาไปซื้ออาวุธไว้ยิงชาวบ้าน...ปิดปากเงียบเชียว
*********************************************
กัดกันเข้าไป..
****************************
ขอแชร์เรื่องการชุมนุมหน้าเซ็นทรัลสักนิดครับ มีเรื่องที่ควรแก้ไข
ตอบ วันนี้, 01:01
POPULAR
คือว่าผมก็ไปถึงแต่บ่ายโมง ตอนนั้นก็ไม่มีไรครับ ปกติดี จะมีนิดๆหน่อยๆก็ตรงที่เวลาการเคลื่อนขบวนไม่ชัดเจน เปลี่ยนเวลาไปมาสองสามรอบ
ที่เห็น ก็จะมีพี่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ใส่หน้ากากตลอด พูดโทรโข่ง (จะมีคนตัวสูงๆคอยถือโทรโข่งให้)
พี่ผู้หญิงคนนี้ดีมาก คอยประสานงานเรื่องการจัดขบวน แต่ไม่ได้แสดงออกหรือมีท่าทีว่าตัวเป็นแกนนำไรเลย เค้าแค่พยามให้การชุมนุมเป็นระเบียบ มีกรอบชัดเจน และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ห้างและผู้ใช้ถนน
อย่างตอนที่สมาคมเชียร์ลีดเดอร์เค้าจำเป็นต้องใช้พื้นที่เพื่อทำการแสดง พี่คนนี้ก็เป็นคนเดินประกาศขอความร่วมมือจากผู้ชุมนุม เพื่อเปิดพื้นที่ให้น้องๆเค้ามาเต้นกัน
ผมเห็นพี่เค้าใช้ได้ เลยหาโอกาสเดินไปบอกพี่เค้าว่า พี่ครับวันนี้หน้าสตช.ควรพูดเรียกร้องความยุติธรรมและความปลอดภัยให้กับพี่น้องชาววีในต่างจังหวัดที่ถูกทำร้ายและขู่เข็ญ พี่เค้าบอกว่าโอเค
จากนั้นพอเริ่มเคลื่อนขบวนตอนบ่ายสองโมงครึ่ง ผมเดินมาถึงกลางสี่แยกราชประสงค์ ก็ได้เห็นรถขยายเสียงคันหนึ่ง และได้ยินเค้าพูด ใจก็นึกว่าดีแฮะ คนนี้พูดปลุกระดมได้ดี เพราะที่ผ่านมามันดูเงียบไปนิด
สัปดาห์ก่อนๆ พอเดินผ่านหน้าสตช.ก็ได้ยินแต่คำว่า ขี้ข้าทักษิณ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าต้องพูดเข้าประเด็นว่าทำไมถึงไปเรียกเขาอย่างนั้นด้วย
พอถึงหน้าสตช.พี่ผู้หญิงก็บอกให้พี่น้องหยุดหน้าสตช. ผมมีโทรโข่งก็เลยช่วยประกาศว่าเงียบก่อนครับ ให้ฟังข้อเรียกร้องของเราก่อน (เพราะไม่งั้นเดี๋ยวตำรวจฟังไม่รู้เรื่อง)
พี่เค้าก็เริ่มพูดข้อเรียกร้องดังกล่าว ไม่ทันไร มีเสียงจากรถขยายเสียงคันนี้พูดไล่หลังมาจากโรงพยาบาลตำรวจ ผลก็คือเสียงพี่ผู้หญิงถูกกลบ ฟังไม่รู้เรื่องสักนิดเดียว เพราะเค้าพูดผ่านโทรโข่งเล็กๆตัวเดียว
ผมก็เลยอาสาวิ่งไปบอกรถคันนั้นว่า ตัวแทนเค้ากำลังพูดข้อเรียกร้องต่อตำรวจอยู่ ยังไงก็ให้ช่วยด้วย
จากนั้นรถคันนั้นก็พูดต่อ สงสัยคงฟังไม่เข้าใจว่าผมบอกให้หยุดสักครู่ แต่รถคันนั้นก็ช่วยพูดในเรื่องที่ชาววีถูกทำร้าย ก็ถือว่าดีเพราะเครื่องเสียงดังชัดเจน
จากนั้นพี่ผู้หญิงก็นำมวลชนเคลื่อนขบวน จุดหมายที่เดิมคือหอศิลป์ รถขยายเสียงก็มาอยู่จุดแทนที่พี่ผู้หญิง และพูดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าสตช. เรียกร้องให้ส่งตัวแทนระดับผู้การออกมารับพวงหรีด
เรียกร้องอยู่นานมากก็ไม่มีตำรวจสักนายออกมารับ ผมก็ร้อนใจ เพราะขบวนหยุดตามรถคันนี้ ทำให้ขบวนขาดตอนไปเลย กลุ่มแรกไปถึงหอศิลป์แล้ว แต่ท้ายแถวยังอยู่หน้าหน้าเซ็นทรัล เพราะเดินมาไม่ได้เนื่องจากรถขยายเสียงไม่เคลื่อน
ผมเลยพยามบอกพี่น้องด้วยโทรโข่งว่า ให้เคลื่อนไปยังหอศิลป์เลยครับ ท้ายแถวยังมีพี่น้องอีกมากที่เดินมาไม่ได้ (ทำให้รถติดหนักมาก) แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะคนหยุดฟังรถขยายเสียง และรอดูว่าตำรวจจะมารับพวงหรีดมั้ย
จากนั้นรถคันนี้ก็ประกาศว่า จะพาพี่น้องเดินไปอนุเสาวรีย์ ผมก็ไปถามเค้าว่า พี่ครับ เค้านัดรวมกันหน้าหอศิลป์นะ เดี๋ยวกลุ่มมันแตก แกบอกว่าไม่เป็นไรหรอก
ผมไปบอกแกสองครั้งสามครั้ง ก็ยังประกาศเหมือนเดิม ผมก็เลยเดินล่วงหน้าไปหอศิลป์ก่อน
พอไปถึงก็พบพี่น้องกลุ่มแรกที่มาถึงก่อน จากนั้้นก็ทยอยตามกันมา จนครบขบวน รวมทั้งรถขยายเสียงด้วย และมีการ์ด(น่าจะเป็นการ์ดเพราะใส่ชุดเหมือนกันหลายคน) ไปคุยกับรถคันนั้้นว่า อย่าไปอนุเสารีย์ เพราะไม่ต้องการเดินขบวนผ่านเขตพระราชฐาน
การชุมนุมก็ดำเนินผ่านไป สักพักผมเห็นการ์ดชี้ๆ และพูดว่า เฮ้ยรถมันไปแล้ว (พาคนตามไปด้วยเป็นร้อย) ไปเอากลับมาเร็ว ..แล้วเค้าก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตาม แต่ผมก็ไม่รู้นะว่าตามกลับมาได้เปล่า เพราะเห็นเลยสะพานหัวช้างไปแล้ว
ระหว่างนััน ผู้กองปูเค็มก็สลับพูดกับอีกหลายๆท่าน ที่ลานหน้าหอศิลป์ ผมก็เลยไปขอถ่ายรูปกับพี่เค้ามาด้วย ^^
ที่เล่าให้ฟังนั้น ไม่ได้มีเจตนาจะว่าอะไรใครเลยจริงๆ เพราะเชื่อว่าทุกคนรักชาติ รักในหลวงเหมือนกัน
แต่ที่ผมเห็นคือ ความไม่มีเอกภาพ
จริงอยู่ชุมนุมวีไม่มีแกนนำ แต่ที่ปฏิบัติกันมาคือ เช่นเวลาพี่ผู้หญิงเค้าจะประกาศอะไร เค้าจะออกตัวก่อนเสมอว่า "กลุ่มได้คุยกันแล้ว..." หมายถึง หลายๆคนได้หารือกันและออกมาเป็นมติ ถึงจะกระทำหรือไม่กระทำการใดๆ
ดังนั้น กลุ่มก็ควรจะฟังมติดังกล่าว
แต่รถขยายเสียงคันนี้ ไม่ฟัง มติ ของกลุ่ม การที่ไม่ยอมเคลื่อนขบวนจากหน้าสตช.เหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา มันทำให้ รถติดเป็นชั่วโมงๆ คนด่ากันกี่หมื่นคนไม่รู้วันนี้
และที่ยังพาคนไปอนุเสาวรีย์อีกเป็นร้อย มันทำให้การชุมนมไม่เป็นเอกภาพ แล้วก็ไปผ่านเขตพระราชฐาน ซึ่งเค้าไม่ทำกัน
ผมว่า คราวหน้าวางแผนดีๆ รับฟังกันมากๆ การชุมนุมจะได้เรียบร้อย ได้ใจคน ไม่ใช่ให้คนเกลียด เคลื่อนขบวนใช้เวลาพอควร การจราจรจะได้ไม่ติดขัดมาก
เรื่องคำหยาบคายก็ไม่ควรนะครับ รถขยายเสียงใช้เยอะไปมาก อย่างนี้แล้วเราจะต่างอะไรกับเสื้อแดงล่ะครับ คนได้ยินเค้าก็ไม่ชอบหรอกครับ
ที่สำคัญที่สุด ควรคำนึงถึงกำลังของผู้ชุมนุมด้วย แดดร้อน ฝนตก ดูจังหวะเวลาให้ดี คนวัยกลางคนเยอะมาก เพราะถ้าโปรแกรมกำลังดี คนไม่เหนื่อยมาก เค้าจะกลับมาอีกครับ
ขออภัยถ้าพาดพิงเพื่อนร่วมอุดมการณ์ท่านใด/กลุ่มใดนะครับ ผมแค่อยากให้บรรลุเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้
ท่านใดที่อ่านกระทู้นี้ และสามารถสื่อสารไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ก็กรุณาด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลเพจV กลุ่มนำ การ์ด และรถขยายเสียง
ขอบคุณครับ
V for Thailand ไม่ต้องการแกนนำ
ทุกคนมาทำสิ่งที่ตนต้องการแสดงออกแล้วก็แยกย้ายกันไป จบแล้ว
จากการชุมนุมที่ผ่านมาทั้งหมด นักม้อบมืออาชีพเริ่มเห็นราคา
จึงพยายามมาอาศัยอิงแอบและควบคุมมวลชนว่าเป็นของตน
แนวคิดของ V for Thailand จึงเริ่มผิดเพี้ยนไป
หาสนามอื่นเพื่อแสดงออกดีกว่ามั้ง?
เห็นมีการเต้นและการแสดงโชว์
ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ทำให้บรรยากาศการชุมนุมหมดความขลัง
กลายเป็นจำอวดหรืออะไรก็ไม่รู้
ช่วยบอกเขาให้เลิกเถิดครับ
ชุมนุมด้วยใจและสงบ อย่ามีบรรเทิงเข้ามาเกี่ยวข้อง
อีกอย่างการใช้รถและเครื่องขยายเสียง ไม่ควรมี
ทำให้ชาวบ้านหนวกหู
ใช้โทรโข่งอย่างเดียวก็พอ
เป็นข้อเสนอแนะนะครับ
การเต้นเป็นของสมาคมเชียร์ลีดเดอร์ครับ เค้ามีโปรแกรมจัดกิจกรรมกับทางเซ็นทรัลอยู่ก่อนแล้ว
เราไปชุมนุมบนที่ๆเค้าต้องแสดง เค้ามาขอพื้นที่ กลุ่มวีจึงเปิดให้ และยืนดูให้กำลังใจครับ
เรื่องนี้อยากให้ช่วยกันแก้ข่าว เห็นแดงเอามาตีกินในเฟสกันเยอะเลยครับ
ตอบ วันนี้, 10:59
ในความเห็นส่วนตัวนะผมว่ากลุ่มวีควรชุมนุมเป็นจุด ใช้เวลาไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง แค่นั้นพอ
การสื่อสารควรชัดเจนก่อนเริ่มกิจกรรม ส่วนเติมกิจกรรมอันอื่นควรให้คนที่เอาเข้ามาชี้แจงให้ชัดเจน
แค่นั้นพอ ในความเห็นผม พวกเราต้องการให้รัฐบาลเห็นความไม่พอใจต่อระบอบทักษิณแต่ไม่ต้องการความรุนแรง
****************************************************
เอาร่างกูไป เอาใจกูมา...
....เลือดทุกหยาด รินหยด รดท่วมร่าง
ไม่มีจาง เข้มข้นนัก รักเเหนหวง
เเผ่นดินนี้ จะขอสู้ กูขอทวง
รักเเสนห่วง ปฐพี ที่เป็นไทย
....เข้ามาเถิด มึงอย่าหวัง พังไปข้าง
ไม่มีทาง หากคิดชั่ว กลัวที่ไหน
ได้เพียงร่าง ที่เหลวเเหลก เเลกเอาไป
เเต่หัวใจ สถิตย์อยู่ คู่เเผ่นดิน....
*************************
ความหมายของคำว่า "บาง"
ความหมายของคำว่า "บาง" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
คือ ทางน้ำเล็กๆ ทางน้ำเล็กที่ไหลขึ้นลงตามระดับน้ำในแม่น้ำ ลำคลอง หรือทะเล
ตำบลบ้านที่อยู่ หรือเคยอยู่ริมบาง หรือในบริเวณที่เคยเป็นบางมาก่อน
แต่มีการสันนิษฐานว่า "บาง" อาจกลายเสียงมาจากคำว่า "บัง" ในภาษามอญ
หมายถึง เรือ แล้วนำมาใช้ในความหมายว่า ย่านหรือสถานที่จอดและขึ้นลงเรือ
รวมไปถึงชุมชนที่อยู่โดยรอบ เช่น บางโพ บางปลา บางกอก เป็นต้น
ดังนั้น "บาง" อาจหมายถึงสถานที่ หรือชุมชนใดชุมชนหนึ่งที่น่าจะมีลำคลอง
แม่น้ำ หรือทางน้ำพาดผ่าน หรือสิ้นสุดลง กลายเป็นย่านชุมชนที่มีผู้คนอยู่รวมกัน
มีการแลกเปลี่ยน ทำมาหากิน ค้าขาย และในย่านนั้น มักจะมีท่าเรือให้คนในและนอก
ใช้จอดเรือเพื่อร่วมสังสรรค์กันได้อย่างสะดวก
ในการใช้คำว่า "บาง" เป็นชื่อต้นของชุมชน
จึงมักหมายถึงแหล่งที่มีทางน้ำ หรือมีท่าเรือ
ซึ่งมีเรือจอดอยู่เสมอ ขณะเดียวกันหากพื้นที่นั้น
มีสิ่งใดที่โดดเด่นแล้ว ชาวบ้านมักนำชื่อของสิ่งนั้น
มาตั้งเป็นชุมชนต่อท้ายคำว่า บาง ของตนเอง
เช่น บางกะปิ บางขุนพรหม บางรัก
ที่มา: หนังสือ 100 ปี เขตบางกะปิ : ย้อนรอยตำนาน ร้อยอดีต 100 ปี เขตบางกะปิ, ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง บรรณาธิการ (หน้า 44)
ที่มาภาพ : http://www.flickr.com/photos/huaboraan/8461707136
*************************************************
วันที่: Fri Nov 15 16:15:12 ICT 2024
|
|
|