ทองคำอันน่ากลัว
ยังมีนักพรตผู้หนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากป่า พอดีถูกคนสองคนซื่งเป็นสหายสนิทกันอย่างยิ่ง
พบเห็นเข้า คนทั้งสองจึงเอ่ยถามนักพรตรูปนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาหลบหนีสิ่งใดมา
นักพรตตอบว่า "ข้าพเจ้าบังเอิญขุดเจอทองคำฝังอยู่ที่โคนต้นไม้ในป่า เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!"
เมื่อคนทั้งสองได้ยินก็ตื่นเต้นสุดระงับ แอบกระซิบกระซาบต่อกันว่า
"คนผู้นี้ช่างโง่เขลาปัญญาอ่อนเสียจริง ขุดเจอทองนับเป็นโชคแท้ๆ แต่กลับกลัวจนตัวสั่น"
จากนั้นจึงตะล่อมถามนักพรตต่อไปว่า "ท่านขุดเจอทอง ณ ที่ใด สามารถบอกพวกเราได้หรือไม่?"
นักพรตจึงตอบว่า
"ของที่อันตรายเช่นนี้พวกท่านไม่กลัวหรืออย่างไร ไม่ทราบหรือว่าทองคำพวกนั้นมันสามารถกินคนได้!"
คนทั้งสองจึงรีบเอ่ยว่า "พวกเราไม่กลัวหรอก ท่านรีบบอกมาเถิดว่าทองคำอยู่ที่ใด?"
สุดท้ายนักพรตจึงบอกว่า "ทองคำอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นริมสุดทางทิศตะวันตกของป่า"
เมื่อได้ยินดังนั้นคนทั้งสองก็รีบผละจากนักพรตมุ่งหน้าไปยังจุดที่พบทองคำทันที ระหว่างนั้น
สหายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "นักพรตรูปนั้นทึ่มจริงๆ ทองคำที่ทุกผู้ทุกคนต่างเฝ้าใฝ่ฝันถึง
มากองอยู่ตรงหน้า กลับวิ่งหนีไปเสียได้" ซึ่งสหายอีกผู้หนึ่งก็พยักเพยิดเห็นด้วย
จากนั้นทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจะนำทองคำกลับไปได้อย่างไร สหายผู้หนึ่งจึงเสนอว่า "หากขนทองคำ
กลับไปในตอนฟ้าสว่างเห็นจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เราควรขนไปตอนฟ้ามืดจะดีกว่า
เดี๋ยวข้าจะเฝ้าทองคำอยู่ที่นี้ ส่วนท่านเดินทางเข้าเมืองไปเสาะหา
อาหารและน้ำดื่มมารับประทานร่วมกัน เมื่อรับประทานเรียบร้อยรอให้ค่ำมืด ค่อยลงมือขนทองคำ"
ดังนั้นสหายผู้หนึ่งจึงเดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปหาข้าวปลาอาหาร ส่วนสหายอีกผู้หนึ่ง
ที่อยู่เฝ้าทองคำก็ขบคิดวางแผนว่า "หากทองคำทั้งหมดตกเป็นของข้าเพียงผู้เดียว
ก็คงจะดีไม่น้อย เช่นนี้ดีกว่า หากเพื่อนของข้ากลับมาก็ใช้ท่อนไม้ทุบตีมันให้ตาย เท่านี้
ก็ไม่ต้องแบ่งส่วนแบ่งทองคำให้กับผู้ใด" ส่วนสหายที่เดินทางเข้าเมืองก็ครุ่นคิดว่า
"ข้าจะเข้าเมืองไปรับประทานอาหารให้อิ่มเสียก่อน จากนั้นนำยาพิษใส่ในอาหารกลับไป
ให้สหายข้า เท่านี้ทองคำก็จะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว"
ชายที่เดินทางเข้าเมืองดำเนินการตามแผนเรียบร้อย จากนั้นนำอาหารกลับมายังชายป่า
ที่ซ่อนทองคำ แต่ยังไม่ทันระวังตัว เขากลับถูกสหายรักใช้ท่อนไม้
ฟาดจากทางด้านหลัง จนเสียชีวิตทันที จากนั้นมือสังหารจึงแก้ห่อข้าวที่เพื่อนผู้ล่วงลับ
นำมาให้ รับประทานด้วยความหิวโหย แต่ไม่ทันไรก็ต้องล้มลงดิ้นทุรนทุราย
เนื่องเพราะได้รับพิษที่อยู่ในอาหาร ในชั่ววินาทีก่อนที่ชายผู้ถูกพิษจะสิ้นใจ
เขาพลันนึกถึงคำที่นักพรตได้เตือนเอาไว้ จึงได้แต่รำพึงว่า"จริงดั่งคำที่นักพรตว่าไว้
ทองคำนั้นน่ากลัวยิ่ง เพราะมันสามารถ
กลืนกินมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความโลภอย่างเรา" จากนั้นจึงลาโลกไปในลักษณะนั้น
**********************************
** ไขความลับ..การสร้างลูกอัจฉริยะ
ง่ายๆ...เพียงแต่คาดไม่ถึงเท่านั้นเอง **
1/10
ทำความเข้าใจกันเสียใหม่หากจะบอกว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพแตกต่างกันมาแต่กำเนิด เพราะแท้จริงแล้วเด็กทุกคนเริ่มต้นมาเท่าๆกัน เพียงแต่ผู้ปกครองต้องเลี้ยงดูเสริมสร้างศักยภาพอย่างถูกวิธี
2/10
เรื่องจริงที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจยังไม่ทราบก็คือ เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับหนึ่งแสนล้านเซลล์สมอง (neuron) เท่าๆ กัน แต่เพราะการเลี้ยงดูและโภชนาการ จึงทำให้เด็กแต่ละคนเติบโตมามีศักยภาพที่แตกต่างกัน
โดยสมองประกอบด้วยเซลล์สมองที่มีใยประสาทประสานกันเป็นร่างแห เพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญานประสาทที่เดินทางรวดเร็วถึง 100 เมตรต่อวินาที หรือประมาณ 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ดังนั้นทุกครั้งที่เด็กได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ เซลล์สมองจะเชื่อมต่อสร้างเป็นเครือข่ายใยประสาท ทำให้เกิดการคิดรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญให้เด็กๆ พร้อมเรียนรู้เรื่องราวที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
3/10
จากการศึกษาพบว่าศักยภาพสมองของลูกน้อยอาจถูกใช้เพียงแค่ 1% เท่านั้น เนื่องจากการพัฒนาด้านการเรียนรู้ของเด็กไม่ได้ถูกกระตุ้นให้ใช้งานสมองทั้งสองซีกโดยปกติ สมองซีกซ้ายทำงานเกี่ยวกับตรรกะ ภาษา ความเป็นเหตุเป็นผล ตัวเลข การวิเคราะห์
ส่วนสมองซีกขวาทำงานเกี่ยวกับด้านศิลปะ ดนตรี จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ แต่หากเด็กไม่ได้ถูกกระตุ้นให้ฝึกใช้สมองทั้งสองซีกพร้อมๆ กัน จะทำให้การใช้งานเซลล์สมองไม่เต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพสมองของลูกน้อยให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการกระตุ้นการใช้สมองทั้งสองซีก เพื่อให้สมองซีกซ้ายและซีกขวาเกิดการเชื่อมโยงกันจนนำไปสู่การเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัด
4/10
นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชกรรม หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวว่า “เด็กเกิดมามีเซลล์สมองแสนล้านเซลล์เท่ากัน และในช่วง 3 ปี หรือประมาณ 1,365 วันแรก สมองของลูกน้อยจะเจริญเติบโตและเพิ่มน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็วถึงประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากเด็กๆ ไม่ได้รับการกระตุ้นทางสมอง ร่างกายก็จะค่อยๆ กำจัดเซลล์สมองที่ไม่ได้ใช้งานออกไป ทำให้เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่ต่างกัน
***********************************
ตำนานวังหน้า - กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
พญาเสือ
"อันกรุงรัตนอังวะครั้งนี้ฤา.............จักพ้นเนื้อมืออย่าสงสัย
พม่าจะมาเป็นข้าไท......................จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา
แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย..............จะเสี่ยงทายตามบุพเพวาสนา
จะได้ชูกู้ยกนัครา..........................สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน
ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด............จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์
อ้ายชาติพม่ามันอาธรรม์.................เที่ยวล้างขอบขัณฑ์ทุกพารา
แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข..................รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา
แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา..............ยับเยินเป็นป่าทุกตำบล...."
สมเด็จพระบวรเจ้ามหาสุรสิงหนาทพระองค์ทรงปรารถนาพุทธภูมิตามที่กล่าวมาแล้วตลอดชีวิตของพระองค์ต้องออกรบตลอดทั้งหมด 24 ครั้ง ไม่มีคำว่าแพ้ พระองค์ทรงรบด้วยปัญญามิทรงใช้แต่กำลังอย่างเดียว อย่างศึกสงครามเก้าทัพ ทั้ง ๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่าแต่ด้วยปัญญาและความเด็ดขาดจึงทำให้พระองค์ชนะศึกมาได้ พระองค์ทรงเรียนอาคมและทรงชอบเคียวหว่านจนลิ้นดำ จนได้ชื่อว่า เจ้าฟ้าลิ้นกาฬ (ลิ้นดำ)
เวลาที่พระองค์ทรงเรียกทหารพระสุรเสียงดังกังวาลเหมือนดั่งเสียงของราชสีห์ จึงเป็นที่มาของชื่อพระองค์ คือมหาสุรสิงหนาท ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านนั้นพูดอย่างชาวบ้าน ว่า พระองค์ท่านเกิดมาเพื่อรบ หรือเกิดมาพร้อมกับดาบ แม่ทัพพม่าที่เป็นคู่รบให้สมัญญานามว่า“พระยาเสือ” ตรงกับพระนามที่ได้รับการอุปราชาภิเษก นับว่าท่านเป็นนักรบโดยแท้
ถึงแม้ตลอดชีวิตของพระองค์จะทำศึกมาตลอด แต่เรื่องพระพุทธศาสนาพระองค์ก็ไม่เคยทิ้ง ทรงสร้างและบูรณะวัดชนะสงคราม และทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ มาจากเชียงใหม่ลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ พระองค์ทรงปฏิบัติพระกรรมฐานมิได้ขาด ทรงเป็นลูกศิษย์พระครูโลกอุดร และทรงสร้างพระกรุวังหน้าพิมพ์รูปเหมือนพระครูโลกอุดรและพิมพ์ต่าง ๆ
มีคำกล่าวกันมาแต่ก่อนว่า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสร้างพระราชมณเฑียรและสถานที่ต่างๆในพระราชวังบวรฯ ทรงทำโดยปราณีตบรรจงทุกๆอย่าง ด้วยตั้งพระราชหฤทัยว่า เมื่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชสิ้นพระชนมายุขัยสวรรคต ถึงเวลาพระองค์ทรงครอบครองราชสมบัติ จะเสด็จประทับอยู่พระราชวังบวรฯตามแบบอย่างสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่เสด็จลงมาอยู่วังหลวง เป็นคำเล่ากันมาดังนี้ แต่พระราชประวัติมิได้เป็นไปตามธรรมดาอายุขัย กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จดำรงพระยศมาได้ ๒๑ พรรษา ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕ มีพระอาการประชวรเป็นนิ่วในเวลาเมื่อเสด็จเป็นจอมพลไปรบพม่าที่มาตีเมืองเชียงใหม่ เสด็จขึ้นไปถึงกลางทางประชวรลงในเดือน ๓ ต้องประทับอยู่ที่เมืองเถิน ให้กรมพระราชวังหลังเสด็จขึ้นไปบัญชาการรบแทนพระองค์
เมื่อมีชัยชนะข้าศึกสงครามเสด็จกลับลงมาถึงกรุงเทพฯ พระอาการค่อยทุเลาขึ้นคราวหนึ่ง ครั้นถึงเดือน ๘ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๔๖ พระโรคกลับกำเริบอีก คราวนี้พระอาการมีแต่ทรงอยู่กับทรุดลงโดยลำดับมา จนถึงเดือน ๑๒ ประชวรหนัก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปช่วยรักษาพยาบาล(๑) มาจนถึงวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ เพลาเที่ยงคืน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคตในพระที่นั่งบุรพาภิมุข คำนวนพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้นรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จไปพระราชทานน้ำสรงพระศพพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์ ทรงเครื่องพระศพตามพระเกียรติยศเสร็จแล้ว เชิญลงพระลองประกอบด้วยพระโกศไม้สิบสองหุ้มทองคำ(๒) ซึ่งโปรดฯให้สร้างขึ้นใหม่ แห่ไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พร้อมด้วยเครื่องประดับตามสมควรแก่พระเกียรติยศพระมหาอุปราช แล้วโปรดฯให้มีหมายประกาศให้คนโกนหัวไว้ทุกข์ทั่วพระราชอาณาจักร(๓)
ตรงนี้จะต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกรมพระราชวังบวรฯทรงพระประชวรจะสวรรคต ด้วยเกี่ยวข้องเนื่องกับตำนานวังหน้าในชั้นหลังต่อมา เรื่องราวเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นมีปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดาร และพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับทั้งในเรื่องนิพพานวังหน้า พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรพระราชธิดากรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งนักองค์อีเป็นเจ้าจอมมารดาได้ทรงนิพนธ์ไว้ พิมพ์แล้วทั้ง ๓ เรื่อง พิเคราะห์เนื้อเรื่องที่ยุติต้องกัน ได้ความดังนี้
เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสังเกตเห็นอาการที่ทรงพระประชวร มีแต่ทรงอยูกับทรุดลงเป็นอันดับมา จนพระสิริรูปซูบผอมทุพพลภาพ ทรงรำคาญด้วยทุกขเวทนาที่มีในอาการพระโรค วันหนึ่งจึงทรงอธิษฐานเสี่ยงทายพระสุธารสว่า ถ้าหากพระโรคที่ประชวรจะหายไซร้ ขอให้เสวยพระสุธารสนั้นให้ได้โดยสะดวก พอเสวยพระสุธารสเข้าไปก็มีอาการทรงพระอาเจียน พระสุธารสไหลกลับออกมาหมด แต่นั้นกรมพระราชวังบวรฯก็ปลงพระราชหฤทัยว่าคงจะสวรรคต มิได้เอาพระทัยใส่ที่จะเสวยพระโอสถรักษาพระองค์ และทรงสั่งเสียพระราชโอรสธิดา ข้าราชการในวังหน้า ตามพระอัธยาศัยให้ทราบทั่วกันว่า พระองค์คงจะเสด็จสวรรคตในไม่ช้าแล้ว
อยู่มาในกาลวันหนึ่ง ทรงระลึกถึงวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งไฟไหม้เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๔๔ ทรงสถาปนาใหม่การยังค้างอยู่ จึงดำรัสสั่งให้เชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลื่ยง เสด็จออกมายังวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ว่าจะทรงนมัสการพระพุทธรูป ครั้นเสด็จถึงหน้าพระประธานในพระอุโบสถ ดำรัสเรียกพระแสง ว่าจะจบพระหัตถ์อุทิศถวายให้ทำเป็นราวเทียน ครั้นพนักงานถวายพระแสงเข้าไป ทรงเรียกเทียนมาจุดเรียบเรียงติดเข้าที่พระแสงทำเป็นพุทธบูชาครู่หนึ่ง ขณะนั้นพออาการพระโรคเกิดทุกขเวทนาเสียดแทงขึ้นเป็นสาหัส ก็ทรงปรารภจะเอาพระแสงแทงพระองค์ถวายเป็นพุทธบูชา พระองค์เจ้าลำดวนลูกเธอองค์ใหญ่ที่ตามเสด็จไปด้วยเข้าแย่งพระแสงเสียไปจากพระหัตถ์ กรมพระราชวังบวรฯทรงโทมนัสทอดพระองค์ลง ทรงกันแสงแช่งด่าพระองค์เจ้าลำดวนต่างๆ ในที่สุดเจ้านายและข้าราชการที่ไปตามเสด็จ ต้องช่วยกันปล้ำปลุกเชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลี่ยงกลับคืนเข้าพระราชวังบวรฯ
ต่อนั่นมาในไม่ช้าอีกวันหนึ่ง กรมพระราชวังบวรฯมีรับสั่งว่า พระราชมณเฑียรสถานได้ทรงสร้างไว้ใหญ่โตมากมายเป็นของปราณีตบรรจง ประชวรมาช้านานไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นให้รอบคอบ จะใคร่ทอดพระเนตรให้สบายพระราชหฤทัย จึงโปรดฯให้เชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลี่ยงบรรทมพิงพระเขนย เชิญเสด็จไปรอบพระราชมณเฑียร กระแสรับสั่งของกรมพระราชวังบวรฯเมื่อเสด็จประพาสพระราชมณเฑียรครั้งนี้เล่ากันมาเป็นหลายอย่าง บางคนเล่าว่ากรมพระราชวังบวรฯทรงบ่นว่า "ของนี้อุตส่าห์ทำขึ้นด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นนักหนา หวังว่าจะได้อยู่ชมให้สบายนานๆ ก็ครั้งนี้จะไม่ได้อยู่แล้ว จะได้เห็นวันนี้เป็นที่สุด ต่อนี้ไปก็จะเป็นของท่านผู้อื่น" เล่ากันแต่สังเขปเท่านี้ก็มี เล่ากันอีกอย่างหนึ่งยิ่งไปกว่านี้ว่า กรมพระราชวังบวรฯรับสั่งบ่นว่า "ของใหญ่ของโตดีดีของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุนให้แรง ก็สร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครมิใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอให้ผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข" ตามพระหฤทัยที่โทมนัส เล่ากันอย่างหลังนี้โดยมาก(๔)
ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า กรมพระราชวังบวรฯประชวรครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมพระประชวร เมื่อแรกเสด็จกลับลงมาจากเมืองเถินครั้ง ๑ ต่อมาเมื่อทรงทราบว่าพระอาการมาก จะเสด็จขึ้นไปรักษาพยาบาล ครั้งหลังนี้พวกข้าราชการวังหลวงจะขึ้นไปตั้งกองรักษาพระองค์ พวกวังหน้ามากีดกันห้ามปราม ไม่ยอมให้พวกวังหลวงเข้าไปตั้งกองล้อมวงลงได้ เจ้าพระยารัตนาพิพิธที่สมุหนายกต้องเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จขึ้นไปเป็นประธานจัดตั้งกองล้อมวง เจ้าพระยารัตนาพิพิธกับเจ้าพระยายมราช เดินตามเสด็จไปสองข้างพระเสลี่ยง พวกวังหน้ายำเกรงพระบารมีจึงยอมให้ตั้งกองล้อมวง
เรื่องตั้งกองล้อมวงที่ปรากฏตรงนี้ บางทีท่านผู้อ่านจะมีความสงสัยว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวรกรมพระราชวังบวรฯถึง ๒ ครั้ง ครั้งก่อนก็เป็นการเรียบร้อย เหตุใดจึงมาเกิดการเกี่ยงแย่งเรื่องล้อมวงขึ้นต่อครั้งหลัง ข้อนี้อธิบายว่าที่จริงการที่วังหลวงเสด็จขึ้นไปวังหน้านั้น โดยปกติย่อมมีเนืองๆ เหมือนดังเช่นเสด็จในงานพระราชพิธีโสกันต์ลูกเธอวังหน้าเป็นต้น แต่การเสด็จโดยปกติจัดเหมือนอย่างเสด็จวังเจ้านายต่างกรม ไม่มีจุกช่องล้อมวงเป็นการพิเศษอย่างใด แต่ครั้งหลังนั้น เพราะจะเสด็จขึ้นไปรักษาพยาบาลกรมพระราชวังบวรฯซึ่งประชวรหนักจวนสวรรคต จะประทับอยู่เร็วหรือช้าหรือจนถึงแรมค้างคืนวันก็เป็นได้ เป็นการผิดปกติ จึงต้องจัดการจุกช่องล้อมวงรักษาพระองค์ให้มั่นคงกวดขัน ฝ่ายข้างพวกวังหน้าถือว่าพวกวังหลวงเข้าไปทำละลาบละล้วงในรั้ววังลบหลู่เจ้านายของตน จึงพากันขัดแข็งเกะกะ เพราะพวกข้าราชการวังหลวงกับวังหน้ามีทิฐิถือเป็นต่างพวกต่างฝ่ายกันอยู่แล้ว
และในครั้งนั้นยังมีเหตุอื่นอีก ซึ่งทำให้พวกวังหน้ากระด้างกระเดื่อง เนื่องมาแต่ครั้งรบพม่าที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๔๐ คราวนั้นโปรดฯให้กรมพระราชวังบวรฯเสด็จเป็นจอมพล เจ้านายไปตามเสด็จมีกรมพระราชวังหลัง เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และกรมขุนสุนทรภูเบนทร์(๕) กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต ๒ พระองค์นี้เป็นลูกเธอชั้นผู้ใหญ่ของกรมพระราชวังบวรฯ พึ่งจะออกทำสงครามในครั้งนั้น กรมพระราชวังบวรฯเสด็จขึ้นไปถึงเมืองเถิน ทรงจัดกองทัพที่จะยกไปรบพม่าที่มาตั้งล้อมเมืองเชียงใหม่เป็น ๔ ทัพ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงหริรักษ์ กับพระยายมราชคุมกองทัพวังหลวงยกไปทัพ ๑ ให้กรมขุนสุนทรภูเบนทร์กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัตคุมกองทัพวังหน้ายกไปทัพ ๑ ให้เจ้าอนุอุปราชซึ่งยกกองทัพเมืองเวียงจันทน์มาช่วยยกไปทัพ ๑ แล้วให้กรมพระราชวังหลังยกไปเป็นทัพหนุนอีกทัพ ๑ การสงครามครั้งนั้นต่างทัพต่างทำการรบพุ่งประชันกัน มีชัยชนะตีกองทัพพม่ายับเยิน จนจับได้อุบากองนายทัพพม่าคน ๑
ต่อมาถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕ พม่ายกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่อีก จึงโปรดฯให้กรมพระราชวังบวรฯเสด็จเป็นจอมพล และจัดกองทัพให้เหมือนครั้งก่อน เว้นแต่กรมพระราชวังหลังไม่ได้เสด็จขึ้นไปในชั้นแรก กรมพระราชวังบวรฯเสด็จขึ้นไปถึงเมืองเถิน ไปประชวรในคราวที่จะสวรรคตนี้ กองทัพเจ้าอนุเวียงจันทน์ก็ยกมาไม่ทันกำหนด กรมพระราชวังบวรฯจึงทรงจัดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายมราชคุมกองทัพวังหลวงยกขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทางเมืองลี้ทัพ ๑ ให้กรมขุนสุนทรภูเบนทร์กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัตและพระเสน่หาภูธร ชื่อทองอิน ภายหลังได้เป็นพระยากลาโหมราชเสนา เป็นคนซึ่งกรมพระราชวังบวรฯทรงพระเมตตาเหมือนอย่างพระราชบุตรบุญธรรม คุมกองทัพวังหน้าขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทางเมืองนครลำปางอีกทัพ ๑
ข้างฝ่ายกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทราบข่าวกรมพระราชวังบวรฯประชวร โปรดฯให้กรมพระราชวังหลังเสด็จตามขึ้นไป กรมพระราชวังบวรฯจึงให้กรมพระราชวังหลังคุมกองทัพหนุนขึ้นไปอีกทัพหนึ่ง กองทัพที่ยกขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ครั้งนี้ ทัพหลวงที่ไปทางเมืองลี้ไปเข้าใจผิดถอยลงมาเสียคราวหนึ่ง จนทัพวังหน้าตีได้เมืองลำพูนจึงยกตามขึ้นไปตั้งประชิดค่ายพม่าที่ล้อมเมืองเชียงใหม่ ครั้นกรมพระราชวังหลังเสด็จขึ้นไปถึง มีรับสั่งให้กองทัพยกเข้าระดมตีค่ายพม่าพร้อมกัน กองทัพวังหน้าก็ตีได้ค่ายพม่าก่อน ต่อพวกวังหน้าชนะแล้วทัพวังหลวงจึงตีค่ายได้
กรมพระราชวังบวรฯทรงขัดเคืองกองทัพวังหลวง ดำรัสบริภาษติเตียนต่างๆแล้วปรับโทษให้ขึ้นไปตีเมืองเชียงแสนแก้ตัว ด้วยกันกับกองทัพเจ้าอนุเวียงจันทน์ซึ่งยกมาไม่ทันรบพม่าที่เมืองเชียงใหม่ การสงครามคราวนี้จึงเป็นเหตุให้พวกวังหน้าที่เป็นตัวสำคัญ คือพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต และพระยากลาโหมทองอิน ซึ่งเป็นพวกรุ่นหนุ่มไปมีชื่อเสียงมาในคราวนี้ เกิดดูหมิ่นพวกวังหลวงว่าในการรบพุ่งทำศึกสงครามสู้พวกวังหน้าไม่ได้ ข้างพวกวังหลวงเมื่อเห็นพวกวังหน้าดูหมิ่นก็ต้องขัดเคือง จึงเลยเป็นเหตุให้ไม่ปรองดองกันในเวลาเมื่อจะตั้งกองล้อมวงเตรียมรับเสด็จ
แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปถึงพระราชวังบวรฯ ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระอนุชาธิราชประชวรมาก ก็ทรงพระอาลัยและทรงพระกันแสงรำพรรณต่างๆ พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรเฝ้าอยู่ในที่นั้น ได้ทรงพรรณนาไว้ในกลอนเรื่องนิพพานวังหน้าเป็นน่าจับใจ จึงคัดมาลงไว้ต่อไปนี้
"พระปิตุลาปรีชาเฉลียวแหลม
ขยายแย้มสั่งให้ห้อยมณฑาหอม
พระโองการร่ำว่านิจาจอม
ถนอมขวัญตรัสโอ้พระอนุชา
ว่าพ่อผู้กู้ภพทั้งเมืองพึ่ง
จงข้ามถึงพ้นโอฆสงสาร์
ดำรงจิตคิดทางพระอนัตตา
อนาคตนำสัตว์เสวยรมย์
ครั้งทรงสดับโอวาทประสาทสอน
ค่อยเผยผ่อนเคลื่อนคล้อยอารมณ์สม
แต่หนักหน่วงห่วงหลังยังเกรงกรม
ประนมหัตถ์ร่ำว่าฝ่าละออง
บุญน้อยมิได้รองยุคลคืน
ยิ่งทรงสะอื้นโศกสั่งกันทั้งสอง
จึงทูลฝากพระนิเวศน์ที่เคยครอง
ประสิทธิ์ปองมอบไว้ใต้ธุลี
ฝากหน่อขัตติยานุชาด้วย
จงเชิญช่วยโอบอ้อมถนอมศรี
แต่พื้นพงษ์จะพึ่งพระบารมี
จงปรานีนัดดาอย่าราคิน
เหมือนเห็นแก่นุชหมายถวายมอบ
จะนึกตอบแต่บุญการุญถวิล
ก็จะงามฝ่ายุคลไม่มลทิน
ก็เชิญผินนึกน้องเมื่อยามยัง
อนึ่งหน่อวรนาถผู้สืบสนอง
โปรดให้ครองพระนิเวศน์เหมือนปางหลัง
อย่าบำราศให้นิราแรมวัง
ก็รับสั่งอวยเออพระโองการ
จึงตรัสปลอบพระบัณฑูรอาดูรด้วย
ว่าจะช่วยเอาธุระแสนสงสาร
เป็นห่วงไปไยพ่อให้ทรมาน
จะอุ้มหลานจูงลูกไม่ลืมคำ
อันเยาวยอดสืบสายโลหิตพ่อ
พี่ตั้งต่อสุจริตอุปถัมภ์
ครั้นทรงสดับแน่นึกสำเนาคำ
ก็คลายร่ำทุกข์ถ้อยบรรเทาทน"
เนื้อความตามที่ปรากฏในกลอนของพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ก็ตรงกับคำที่เล่ากันมา ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวร กรมพระราชวังบวรฯกราบทูลฝากพระโอรสธิดา แล้วกราบทูลขอให้ได้อยู่อาศัยในวังหน้าต่อไป บางทีความข้อหลังนี้เองจะเป็นเหตุให้พระองค์เจ้าลำดวน และพระองค์เจ้าอินทปัตเข้าพระทัยไปว่า พระราชบิดาได้ทูลขอให้ลูกเธอได้ครองวังหน้า อย่างรับมรดกกันในสกุลคนสามัญ ไม่รู้สึกว่าเป็นพระราชวังสำหรับพระมหาอุปราช ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรฯเสด็จสวรรคตแล้ว ไม่ได้เข้าไปครองวังหน้าดังปรารถนา จึงโกรธแค้นคบคิดกันช่องสุมหากำลังจะก่อการกำเริบ
ในชั้นแรกมีความปรากฏทราบถึงพระกรรณแต่ว่า พระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต เกลี้ยกล่อมหาคนดีมีวิชาอยู่คง ไปลองวิชากันที่ในวังในเวลากลางคืนเนืองๆ บางทีลองวิชาพลาดพลั้งถึงผู้คนล้มตายก็เอาศพซ่อนฝังไว้ในวังนั้น เพื่อจะปิดความมิให้ผู้อื่นได้รู้
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยังทรงแคลงพระทัยอยู่ ให้แต่งข้าหลวงปลอมไปเข้าเป็นสมัครพรรคพวกของพระองค์เจ้าทั้งสองนั้น ก้ได้ความสมจริงดังำที่กล่าว จึงโปรดฯให้จับมาชำระ ได้ความว่าคบคิดกับพระยากลาโหมทองอินด้วย ครั้นจับพระยากลาโหมกับพรรคพวกที่เข้ากันมาชำระ จึงให้การรับเป็นสัตย์ว่าคบคิดกันจะทำร้ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อวันเสด็จพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯ
และทำนองถ้อยคำซึ่งกรมพระราชวังบวรฯได้ตรัสว่าประการใดเมื่อเวลาทรงพระประชวร ก็เห็นจะปรากฏขึ้นในเวลาชำระกันนี้ จึงเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงน้อยพระทัยในสมเด็จพระอนุชาธิราช ว่าเพราะผู้ใหญ่พูดจาให้ท้ายเช่นนั้นเด็กจึงกำเริบ แต่แรกดำรัสว่าจะไม่ทำพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯ
แต่ครั้นคลายพระพิโรธลงก็โปรดฯให้ทำพระเมรุใหญ่ตามเยี่ยงอย่างพระเมรุพระมหาอุปราชครั้งกรุงเก่า แต่ดำรัสให้เชิญพระบรมสารีริกธาตุออกสมโภชที่พระเมรุเป็นพุทธบูชาเสียก่อน ไม่ให้เสียพระวาจาที่ว่าจะไม่ทำพระเมรุกรมพระราชวังบวรฯ ครั้นพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯแล้ว จึงโปรดฯให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งวายุสถานอมเรศ อันเป็นพระวิมานกลางในหมู่มหามณเฑียรในพระราชวังบวรฯ จึงเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิแต่นั้นมา ส่วนการพระเมรุแต่นั้นก็เลยเป็นประเพณี เวลามีงานพระเมรุท้องสนามหลวงจึงเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกสมโภชก่อนงานพระศพ สืบมาจนรัชกาลหลังๆ
*************************************
5/10
ดังนั้น ในช่วง 3 ปีแรก จึงถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดที่ คุณพ่อคุณแม่จะต้องพยายามสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับลูกให้มากที่สุด เพื่อการพัฒนาสมองของลูกให้เต็มศักยภาพและต่อเนื่อง โดยจำเป็นต้องส่งเสริมการกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกใช้งานสมองทั้งสองซีก ด้วยการส่งเสริมให้ลูกเล่นหรือทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อคงสมองส่วนที่ทำงานเอาไว้ อาทิ การต่อบล็อกไม้ การต่อภาพจิ๊กซอว์ เพื่อฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ ในขณะที่การวาดภาพระบายสี การปั้นดินน้ำมัน หรือการร้องเพลงจะช่วยส่งเสริมด้านจินตนาการ เป็นต้น
6/10
ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมที่เรียกว่า ‘Mind Maps’ หรือ ‘แผนผังความคิด’ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสมองทั้งสองซีกอย่างสมดุล ที่สำคัญเทคนิค Mind Maps นี้ ยังมีส่วนช่วยให้แสนล้านเซลล์สมองของเด็กสามารถพัฒนาได้ก้าวหน้าเร็วขึ้น”
7/10
Mind Maps หรือแผนผังความคิด คือ เทคนิคที่ช่วยจัดระบบความคิด โดยเชื่อมต่อทั้งส่วนตรรกะและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมทั่วโลก หากคุณพ่อคุณแม่เลือกใช้เทคนิค Mind Maps มาเป็นเครื่องมือในการสอนลูกน้อย จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกใช้งานสมองทั้งสองซีก ส่งเสริมการเรียนรู้ จดจำ และวิเคราะห์ สามารถต่อยอดสู่การเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด
นอกจากนี้ การจดโน้ต และการใช้แผนผังความคิดแนวเดียวกับ Mind Maps ถูกพบในชิ้นงาน และบันทึกของอัจฉริยะบุคคลระดับโลก ได้แก่ ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และวินสตัน เชอร์ชิล เป็นต้น
วันที่: Fri Nov 15 17:33:44 ICT 2024
|
|
|
8/10
“นอกจากนี้ โภชนาการก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสมอง การที่ลูกได้รับโภชนาการที่ดีและเหมาะสมกับวัยจะส่งผลต่อระบบการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นการกระตุ้นให้เซลล์สมองเกิดการเชื่อมต่อ สร้างเครือข่ายใยประสาทให้มากขึ้น โดยสารอาหารสำคัญซึ่งช่วยในการพัฒนาสมอง ได้แก่ DHA (ดีเอชเอ) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง พบได้ในน้ำนมแม่ ซึ่ง DHA ในน้ำนมแม่มาจากสารอาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไป คุณแม่ที่ให้นมบุตรจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มี DHA สูง อย่างเช่น ปลาทะเลน้ำลึก และควรเน้นให้ลูกได้รับนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน หลังจากนั้นอาจต้องเสริมเพิ่มเรื่องของอาหารเสริมเข้ามา” นพ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม
9/10
ดังนั้น สมองของลูกน้อยจะเจริญเติบโต พัฒนา และเชื่อมต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น
จะต้องได้รับการส่งเสริมที่เหมาะสม ทั้งด้านโภชนาการและการเลี้ยงดู รวมถึงการฝึกคิดอย่าง
เป็นระบบหรือจัดสรรกระบวนการคิดที่กระตุ้นให้ได้ใช้สมองทั้งสองซีกอยู่เป็นประจำ เพื่อนำไป
สู่การสร้างอัจฉริยภาพของลูกน้อย
10/10
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก
http://www.babiesgenius.com/contents/aboutus.html
************************************************