Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เด็กอนุบาลต่อยกันตาย

ArjanPong | 27-05-2556 | เปิดดู 2972 | ความคิดเห็น 0

 

 

     ตร.แจ้งข้อกล่าวหาเด็กคู่กรณีเด็กอนุบาลเพิ่มเติม

                                           วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2556 เวลา 17:28 น. (เดลินิวส์)
 
 
 
 


วันนี้ ( 29 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.พล.ต.ต.ชัชชรินทร์ สว่างวงศ์ ผบก.ภ.จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า ความคืบหน้าคดี ด.ช.นนท์ นักเรียนอนุบาลโรงเรียนวัดวังกุ่ม ต.โพธิ์พระยา อ.เมืองสุพรรณบุรี มีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุพรรณบุรี ได้แจ้งข้อกล่าวหาคู่กรณี ไปแล้ว 2 ราย ประกอบด้วย ด.ช.มอส อายุ 11 ปี และ ด.ช.บิว อายุ 7 ปี ในข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส” ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างรองผลพิมพ์มือและรอการแสดงผลของสถานพินิจ เพื่อเตรียมส่งให้อัยการฟ้อง


พล.ต.ต.ชัชชรินทร์ สว่างวงศ์ ผบก.ภ.จ.สุพรรณบุรี กล่าวอีกว่าล่าสุด ด.ช.นนท์ ได้เสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อคู่กรณีให้มารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ที่สำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี ในวันที่ 30 พ.ค.56 เวลา 14.00 น. ต่อหน้าสหวิชาชีพ ในข้อหา “มิได้เจตนาฆ่า แต่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บถึงแก่ความตาย” ส่วนบทลงโทษ สำหรับ ด.ช.บิว อายุต่ำกว่า 10 ปี กฎหมายยกเว้นไม่ต้องรับโทษ แต่ ด.ช.มอส อายุ เกิน 10 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี ทำความผิด แต่รับโทษแต่ขึ้นอยู่กับกระบวนการของศาลจะพิจารนาลงโทษ อย่างไรก็ตามต้องรวบรวบรวมพยานและหลักฐานมาประกอบกับผลชันสูตรของแพทย์ด้วย สำหรับบรรยากาศที่โรงเรียนวัดวังกุ่ม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เกิดเหตุ บรรยากาศภายในห้องเรียนของ ด.ช.นนท์ มีเพื่อน ๆ มาเรียนตามปกติ โดยมีครูประจำชั้น ดูแลอย่างใกล้ชิด

 

ส่วนบรรยากาศที่บ้านเลขที่ 48/6 หมู่ 4 ต.โพธิ์พระยา อ.เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนางเล็ก ย่า ของ ด.ช.นนท์ มีเพียงนางเล็ก และนางสุดารัตน์ สามทอง อายุ 36 ปีป้า ของ ด.ช.นนท์ ทั้งสองได้แต่นั่งดูภาพถ่ายของหลานชายด้วยน้ำตานองหน้า นางเล็ก ย่าของ ด.ช.นนท์ กล่าวว่า เมื่อวานยังไปเยี่ยมดูอาการของหลายชาย แต่พอกลับมาถึงบ้านเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้รับแจ้งว่า ด.ช.นนท์หลานชายเสียชีวิตแล้ว รู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคิดไม่ถึงว่า หลานชายจะจากไปเร็วแบบนี้

 

ขณะนี้คนในครอบครัวเสียใจมากยังทำใจไม่ได้ ตอนแรกได้รับแจ้งว่าจะนำศพหลานชายมาบำเพ็ญกุศลที่บ้าน จ.สุพรรณบุรี แต่มาทราบอีกทีว่าทางแม่และยาย ด.ช.นนท์ นำศพไปบำเพ็ญกุศลที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ กทม. ตนต้องไปร่วมงานศพหลานชายที่ กทม.

 

 

ปอ. มาตรา ๗๓*
เด็ก
อายุยังไม่เกิน สิบปี กระทำการ อันกฎหมาย บัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้น ไม่ต้องรับโทษ
ให้
พนักงานสอบสวน ส่งตัวเด็ก ตาม วรรคหนึ่ง ให้ พนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม กฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองเด็ก เพื่อ ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพ ตาม กฎหมายว่าด้วยการนั้น

 

*แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๕ แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๑

 

 ปอ. มาตรา ๗๔
*เด็ก อายุกว่า สิบปี แต่ยังไม่เกิน สิบห้าปี กระทำการ อันกฎหมาย บัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้น ไม่ต้องรับโทษ แต่ ให้ ศาล มีอำนาจที่จะดำเนินการ
ดังต่อไปนี้


(๑) ว่ากล่าวตักเตือน เด็กนั้น แล้วปล่อยตัวไป และถ้า ศาล เห็นสมควร จะเรียก บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือ บุคคล ที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ มาตักเตือนด้วย
ก็ได้


(๒) ถ้า ศาล เห็นว่า บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง สามารถดูแลเด็กนั้นได้ ศาล จะมีคำสั่ง ให้มอบตัวเด็กนั้นให้แก่ บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครองไป โดยวางข้อกำหนดให้ บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง ระวังเด็กนั้น ไม่ให้ก่อเหตุร้าย ตลอดเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่ง ต้องไม่เกิน สามปี และ กำหนดจำนวนเงิน ตามที่เห็นสมควร ซึ่ง บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครองจะต้องชำระ ต่อศาล ไม่เกินครั้งละ หนึ่งหมื่นบาท ในเมื่อ เด็กนั้น ก่อเหตุร้ายขึ้น ถ้า เด็กนั้น อาศัยอยู่กับ บุคคลอื่น นอกจาก บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง และ ศาล เห็นว่า ไม่สมควรจะเรียก บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง มาวางข้อกำหนด ดังกล่าวข้างต้น ศาล จะเรียกตัว บุคคล ที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ มาสอบถามว่า จะยอมรับ ข้อกำหนดทำนองที่บัญญัติไว้ สำหรับ บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง ดังกล่าวมาข้างต้น หรือไม่ ก็ได้ ถ้า บุคคล ที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ ยอมรับข้อกำหนด เช่นว่านั้น ก็ให้ ศาล มีคำสั่ง มอบตัว เด็กให้แก่ บุคคลนั้นไป โดยวางข้อกำหนด
ดังกล่าว


(๓) ในกรณีที่ ศาล มอบตัว เด็ก ให้แก่ บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือ บุคคล ที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ ตาม (๒) ศาล จะกำหนด เงื่อนไข เพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้น เช่นเดียวกับ ที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๕๖ ด้วยก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาล แต่งตั้ง พนักงานคุมประพฤติ หรือ พนักงานอื่นใด เพื่อคุมความประพฤติ เด็กนั้น


(๔) ถ้า เด็กนั้น ไม่มี บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง หรือ มีแต่ ศาลเห็นว่า ไม่สามารถดูแลเด็กนั้นได้ หรือถ้า เด็ก อาศัยอยู่กับบุคคลอื่น นอกจาก บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง และ บุคคลนั้น ไม่ยอมรับ ข้อกำหนด ดังกล่าวใน (๒) ศาล จะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้น ให้อยู่กับ บุคคล หรือ องค์การ ที่ศาล เห็นสมควร เพื่อดูแลอบรม และ สั่งสอน ตามระยะเวลา ที่ศาลกำหนด ก็ได้ ในเมื่อ บุคคล หรือ องค์การนั้น ยินยอม ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ บุคคล หรือ องค์การนั้น มีอำนาจ เช่นผู้ปกครอง เฉพาะเพื่อดูแล อบรม และ สั่งสอน รวมตลอดถึง การกำหนด ที่อยู่และการจัดให้เด็ก มีงานทำ ตามสมควร หรือ ให้ดำเนินการ คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ก็ได้ หรือ


(๕) ส่งตัว เด็กนั้น ไปยัง โรงเรียน หรือ สถานฝึกและอบรม หรือ สถานที่ซึ่ง จัดตั้งขึ้น เพื่อฝึกและอบรมเด็ก ตลอดระยะเวลา ที่ศาลกำหนด แต่อย่าให้เกินกว่าที่เด็กนั้น จะมีอายุครบ
สิบแปดปี


คำสั่งของ ศาล ดังกล่าวไว้ใน (๒) (๓) (๔) และ (๕) นั้น ถ้า ในขณะใด ภายในระยะเวลา ที่ ศาลกำหนดไว้ ความปรากฏแก่ ศาล โดย ศาลรู้เอง หรือ ตามคำเสนอ ของ ผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานอัยการ หรือ บุคคล หรือ องค์การ ที่ศาล มอบตัวเด็ก เพื่อ ดูแลอบรมและสั่งสอน หรือ เจ้าพนักงาน ว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับ คำสั่งนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ให้ ศาล มีอำนาจ เปลี่ยนแปลงแก้ไข คำสั่งนั้น หรือ มีคำสั่งใหม่ ตามอำนาจใน มาตรานี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 งานวิจัยของอาจารย์ ดร.สมบัติ ตาปัญญา แห่งภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จ.เชียงใหม่ ที่ท่านเคยสำรวจเด็กไทยใน 8จังหวัด(ทั่วทุกภาค)จำนวน 3,047 คน ปรากฏว่า...

 

** เด็กนักเรียน 40% มีปัญหาโดนเพื่อนรังแก เดือนละ 2-3 ครั้ง

 

** เด็ก เกือบ 56% โดนเพื่อนรังแกเดือนละหลายครั้ง

 

** เด็กที่อยู่ในชั้นประถม 4 จะมีปัญหาโดนรังแกบ่อยมากที่สุด จากนั้นสถิติก็จะลดลงตามระดับชั้นที่สูงขึ้น

 

** เด็กที่ถูกรังแก 1 ใน 3 มีผลเสียต่อการเรียน...

 

** นักเรียน 41.2% ระบุว่า ครูหรือผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือน้อย หรือ แทบไม่ทำอะไรเพื่อช่วยเด็กเลย

 

** ครู 89% บอกว่าเคยเห็นเด็กโดนรังแกด้วยตาตัวเอง และ

 

** ครู 25 % บอกว่าเคยเห็นเด็กโดนรังแกด้วยตาตนเองมาแล้วต่ำกว่า 10 ครั้ง !

 

ข่าวเด็กม.ปลาย ม.ต้นตบตีกันในระยะหลัง อาจเป็นเพราะเป็นนักเรียนหญิง หนังสือพิมพ์-ทีวีก็มักเล่นเป็นข่าวเด็ด แต่จากการได้พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่าน ต่างก็บ่นให้ฟังว่า ไม่ใช่เฉพาะเด็กโตหรอกนะที่ตบตีกันในโรงเรียน เด็กวัยประถม หรือ

แม้แต่เจ้าหนูอนุบาลตัวจ้อยนี่แหละที่มีเรื่องตุ้บๆ ตั้บๆ ไม่เว้นแต่ละวัน

 

หนำซ้ำบางรายถึงกับใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น ปลายดินสอ,ไม้เสียบลูกชิ้น,ก้อนหิน ฯลฯ คิดแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ ถ้าทำได้ก็คงนั่งเฝ้าลูกตลอด 24 ชั่วโมง ทางออกของปัญหานี้ ดีที่สุดก็น่าจะ...ป้องกันไว้ก่อน

 

 

 

 

1... หากพวกเราลองย้อนอดีตสู่วัยเด็ก ก็จะจำได้ว่า เด็กๆแต่ละห้องในทุกชั้นปี มักจะมี หัวโจกประจำห้องเสมอ คุณ(โทษ)สมบัติของเขา ก็คือ ตัวโต ก้าวร้าว เกเร

ชอบรังแก (เช่น แย่งของเล่น,ทำลายข้าวของ,หรือทำร้ายร่างกาย)

 

ซึ่งหัวโจกที่ว่านี้โดยมากมักเป็นเด็กผู้ชาย ในขณะที่หัวโจกที่เป็นเด็กผู้หญิง ก็มักมีความเกเรไม่แพ้กัน ผิดแต่ว่ามักจะหนักไปในทางรังแกเพื่อนด้วยคำพูด เช่น เยาะเย้ย

ถากถาง ด่าว่าเจ็บๆแสบๆ แล้วบางครั้งก็ตามมาด้วยทำร้ายร่างกายกันดังที่เป็นข่าว

 

จริงๆแล้ว เด็กที่เราเห็นว่าก้าวร้าวเกเรนั้น ล้วนเป็นเด็กไร้เดียงสาน่าสงสาร

ที่ถูกหล่อหลอม จากการเลี้ยงดู จากสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือมีปัญหาทางด้านสุขภาพร่างกาย( เช่น เป็นสมาธิสั้น ,ปัญญาอ่อน) ซึ่งควรที่เราจะเอาใจใส่ด้วยความรักและเมตตา และควรสนับสนุนให้เด็กๆเหล่านี้ได้รับการแก้ไขและเยียวยา

 

ในบางประเทศเขาจะให้คุณครู ผู้ผ่านการอบรมด้านการบำบัดมาช่วยแก้ไขพฤติกรรมเกเรของพวกเขา เช่น ให้ได้แสดงละครโดยสวมบทบาทเป็นเด็กที่โดนเขารังแกเป็นประจำ ผลก็ คือช่วยทำให้เขาเข้าใจและเห็นใจเพื่อนๆมากขึ้น เขาจะหยุดรังแก คนอื่น ตัวเขาเองก็จะมีความสุขมากขึ้น ...

 

 

 

 

 

2... จะสังเกตว่าเด็กที่ก้าวร้าวเกเรมักจะเป็นเด็กที่อารมณ์เครียดง่าย ในขณะเดียวกันก็ทำให้เด็กคนอื่นๆก็พลอยเครียดกันไปด้วย

 

ดังนั้น การให้เด็กๆออกกำลังกาย เล่นกีฬาซึ่งเป็นหนทางคลายความเครียด แถมนำความสดชื่นแข็งแรง และความรักสามัคคีให้แกหมู่คณะอีกด้วยครับ

 

3... เปิดใจเปิดโอกาสให้ลูกได้พูดได้คุยกับเราได้ทุกเรื่อง ซึ่งควรเริ่มมาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ตั้งแต่เริ่มหัดพูดเลยก็ยิ่งดี ข้อสำคัญคือให้ลุกได้พูดคุย ได้ออกความเห็น หรือกระทั่งได้ระบายความทุกข์ความกังวลได้อย่างอิสระ ได้อย่างสบายใจ...

 

โดยเราจะไม่รีบตัดบท...ไม่ขัดคอ ไม่ด่าว่า ตำหนิติเตียน เมื่อลูกบอกเล่าจนหมดสิ้น แล้ว หากเห็นว่าควรสั่งสอน ก็น่าจะเป็นไปในเชิงแนะนำ หรือตักเตือน เสนอวิธธีแก้ปัญหา ...แล้วก็อย่าลืมให้กำลังใจลูกด้วยนะครับ

 

สิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกๆไว้วางใจที่จะเล่าปัญหาต่างๆให้พ่อแม่ฟัง ซึ่งนั่นจึงรวมถึง เรื่องที่โดนเพื่อนรังแก ซึ่งผิดกับเด็กอีกหลายคน ที่ช่างเก็บกดจนหมักหมมปัญหาสารพัด

เพราะจากประสบการณ์ทำให้เขาไม่ไว้ใจผู้ใหญ่ และคาดไว้ก่อนว่า ...ขืนเล่าก็โดนด่า

หรือ เล่าไปก็แค่นั้น ไม่เห็นจะเอาใจใส่อะไรเรา...

 

 

 

 

 

 

4...แต่หากทั้งๆที่เราก็รู้ว่าลูกมีปัญหาโดนรังแก แต่เขาก็ยังไม่ยอมปริปากเล่าให้ฟัง ก็ขอให้คุณพ่อคุณแม่โปรดใจเย็นๆ อย่าน้อยอกน้อยใจ หรือโกรธที่ลูกเอาแต่นิ่ง

 

เราอาจต้องไปขอคำปรึกษาจากคุณครูประจำชั้นของลูก เพื่อขอความร่วมมือกับคุณครูช่วยกันแก้ปัญหาให้ลูก อย่าปล่อยให้ลูกต้องเก็บกดกับปัญหาต่างๆจนอาจกลายเป็นผู้ที่มีบุคลิกโดดเดี่ยวหรือซึมเศร้า

 

แล้วอย่าลืมโอบหลังโอบไหล่ ให้กำลังใจลูก ในขณะเดียวกันเราก็จะไม่เสริมส่งให้เขาเกลียดชังเด็กที่รังแกเขา คงไม่มีคำพูดใดที่คนเป็นลูก อยากจะฟังจากปากคุณพ่อคุณแม่เท่ากับประโยคที่ว่า เรามั่นใจว่าลูกจะทำได้ แล้วเรา(จะอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจลูกเสมอ...

 

 

 

 

 

5...สอนหรือแนะนำลูกว่า การตอบโต้เพื่อนที่เกเร ไม่ว่าจะด้วยวาจา หรือด้วยกำลัง นั่นย่อมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่การนิ่งเฉย เดินหลบ หลีกเลี่ยง ก็เป็นวิธีระวังไว้ก่อน

แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าเกเรยังตามมาราวี ก็ให้รีบไปรายงานพฤติกรรมแย่ๆของเขาให้คุณครู

ประจำชั้น หรือได้รับทราบและช่วยแก้ไข

 

6...การรู้จักผูกมิตรกับเพื่อนๆ นอกจากจะทำให้ชีวิตในโรงเรียนมีความสุขแล้ว เหล่าเพื่อนๆยังอาจช่วยเป็นกำแพงไม่ให้เจ้าหัวโจกฝ่าด่านมารังแกได้

 

7...หากยังจำได้ หรือเคยสังเกต จะพบว่า หัวโจกจอมเกเรมักจะเลือกรังแกเพื่อนทีดูบอบบาง อ่อนแอ หรือขี้กลัว ดังนั้นการพาลูกไปเข้าคอร์สฝึก ศิลปะป้องกันตัวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนับสนุน

 

เพราะนอกจากจะได้สุขภาพที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งแล้ว ยังเป็นหนทางป้องกันตัวที่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก บางท่านอาเห็นว่านี่เป็นวิชาที่รุนแรงลูกจะ เจ็บตัวและยิ่งจะกลายเป็นคนก้าวร้าว แต่หากได้ลองสัมผัสและศึกษาดูดีๆก็จะพบว่า...ศิลปะป้องกันตัวอันเป็นที่นิยม เช่น มวยไทย,เทควันโด,คาราเต้,ยูโด...ฯลฯ

โดยมากจะเป็นวิชาของพวกเราชาวตะวันออก ที่มีการฝึกฝนในเรื่องของสติ สมาธิ

ความสุภาพอ่อนโยน เคารพผู้อาวุโส ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยปรัชญาและคุณธรรม...

 

 

 

 

 

8…จริงๆแล้วไม่อยากจะเขียนข้อนี้ให้กระเทือนซางใครเลย เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ที่มีท่านนักวิชาการท่านหนึ่งเสนอในห้องประชุมใหญ่ว่า ควรมีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนได้แล้ว !... ฟังแล้วก็น่าหนักใจ และ น่าเศร้า น่าหนักใจตรงที่ภารกิจของนักจิตวิทยาไทยทุกวันนี้หนักหนาเหลือเกินเมื่อเทียบกับจำนวนบุคลากรทางด้านนี้

 

และที่น่าเศร้าก็คือ...ทุกโรงเรียนก็มี คุณครูแนะแนวมาเป็นเวลาช้านานแล้ว...แต่ไม่ทราบว่าแต่ละท่านได้ทำหน้าที่อย่างมีศักยภาพมากน้อยเพียงใด และนักเรียนแต่ละคนมีทัศนคติต่อท่านอย่างไร ...จึงไม่เคยเห็นความสำคัญ และมีไม่น้อยที่ ไม่กล้าที่จะเข้าไปปรึกษาท่าน....จริงมั้ยล่ะครับ...ท่านคุณครูแนะแนว...?????

 

 

 

 

 

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

 

บทความโดย... ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ ฝ่ายสื่อสารสาธารณะศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 02 6449080-81 086-7002206

 

 ****************************************************

 

 

 

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายเอกพัฒก์ วิลามาศ อายุ 37 ปี คนขับรถเทรลเลอร์คันเกิดเหตุ บอกว่า ตนขับรถเทรลเลอร์มากับเด็กรถอีก 2 คน โดยบรรทุกรถยนต์หรูมาทั้งหมดจำนวน 6 คัน ประกอบด้วย รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ 1 คัน, รถเบนท์ลีย์ 2 คัน, รถลัมบอร์กินี 1 คัน, รถเฟอร์รารี่ 1 คัน และรถบีเอ็มดับเบิลยู 1 คัน เพื่อไปส่งลูกค้าที่ จ.ศรีสะเกษ โดยออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 03.00 น. เมื่อวิ่งมาถึงจุดเกิดเหตุช่วงทางขึ้นเขากลางดงได้รับแจ้งจากรถบรรทุกที่วิ่งแซงขึ้นมาตะโกนร้องบอกว่า ไฟไหม้รถที่บรรทุก ตนจึงรีบจอดรถชิดขอบทางด้านขวาพร้อมดึงเบรกมือไว้ก่อนวิ่งลงไปดู และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันไฟได้ลุกไหม้สายลมเบรก ทำให้เบรกคลายตัว รถจึงไหลลงจากเนินพลัดตกลงไปในร่องกลางถนนดังกล่าว

นายเอกพัฒก์กล่าวอีกว่า รถยนต์ทุกคันที่บรรทุกมาได้ล็อกประตูหมด และเก็บกุญแจไว้เอง ไม่ทราบว่าเกิดเพลิงลุกไหม้ได้อย่างไร โดยไฟได้ลุกไหม้จากรถบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งบรรทุกอยู่ชั้นบนคันท้ายสุดก่อน จากนั้นไฟได้ลามไปไหม้รถเก๋งเบนท์ลีย์ที่อยู่ด้านหน้า และลุกลามลงมายังชั้นล่างทำให้ไหม้รถเสียหายทั้งหมด 4 คัน ซึ่งยังโชคดีที่รถดับเพลิงมาช่วยดับไฟไว้ได้ทัน ทำให้รถเบนท์ลีย์ สีดำ ป้ายแดง ทะเบียน บ 8888 กทม. และรถเบนซ์ สีขาว ทะเบียนป้ายเดง อ 6969 กทม. ที่บรรทุกอยู่ด้านหน้าสุดไม่ได้รับความเสียหาย
 

ทั้งนี้ รถที่เสียหายทั้ง 4 คันเป็นรถยนต์หรูราคาแพง โดยรถลัมบอร์กินีมีราคาประมาณ 40 ล้านบาท, รถเฟอร์รารี่ราคาประมาณ 30 ล้านบาท, รถเบนท์ลีย์ ราคาประมาณ 20 ล้านบาท และบีเอ็มดับเบิลยูราคาประมาณ 10 ล้านบาท รวมกว่า 100 ล้านบาท

 

 

 

 

ไม่ได้ติดแก๊สหรอกครับ เฟอรารี่ กับ แลมโบ ไม่มีที่วาง

 

ขนาดยางอะหลั่ย ยังแทบไม่พอจะวางเลยครับ

 

( ยางอะหลั่ย จะเล็กๆ และ บางๆ )

 

แต่ผมสงสัย ในกรณีนี้มากๆ ว่ามันเกิดไหม้ขึ้นได้ไง

 

สังเกตว่า รถจะไหม้ จากห้องเครื่องยนตร์ ทั้งนั้นเลย

 

เช่น เฟอรารี่ และ แลมโบ เครื่องวางหลัง ก็ไหม้จากหลัง

 

ส่วน บีเอ็ม เอ็กซ์6 ก็ไหม้จากด้านหน้าห้องเครื่อง

 

ส่วนเบนลี่ย์ น่าจะโดนไฟลามจาก บีเอ็ม ไปหน่ะครับ

 

ปกติแล้ว รถประเภท นี้จะเกิดไฟไหม้ได้ ก็คือ ขับเร็วๆ นานๆ

 

เพราะสมรรถนะ เครื่องยนตร์ที่สูง และ อาจจะเกิดความร้อนสูงมาก

 

ทำให้ สายไฟ และ ท่อยางต่างๆ ในห้องเครื่อง เกิดลุกติดไฟได้

 

( ดังนั้น ในบ้านเราจึงนิยมเปลี่ยนท่อและสาย กันมาก ตามสภาพอากาศที่ร้อน )

 

เรื่องนี้ผมว่า...มันแปลกๆ เหมือนเผาเอาประกัน ยังไงไม่รู้

 

เพราะ ปกติ การส่ง รถหรูๆ แพงๆ แบบนี้ ไม่ส่งกันเป็น ล๊อต 5-6 คัน

 

จะใช้ รถสไลด์ 1 - 1 เพราะเป็นการเซฟ กับ ตัวรถด้วยนะครับ..

 

อ้อ...แล้วอีกอย่าง รถ ก็ไม่ใช่รุ่นใหม่ แต่ทำไม ราคาถึง ประเมิน ไปแพงจัง !!!

 

ให้นำเข้ามาแบบ ฟูลอ๊อฟชั่นเลย เสียภาษีครบ

 

bmw x6 ไม่น่าเกิน 9 ล้าน

 

fer F430 ไม่น่าเกิน 19 ล้าน

 

Lambor Murcialago lp 640 ไม่น่าเกิน 26 ล้าน

 

Bentley ไม่น่าเกิน 20 ล้าน

 

รวมประมาณ 74 ล้าน ครับ

"ไอ้บอย" ครับ ....เมื่อก่อนใช้ชื่อโชว์รูมว่า ยูนิ..จุด จุด จุด

 

อยู่ถนนรัชดา ใกล้ๆ โรงแรม อโยธยา ( ชื่อเดิม )

 

ลูกน้องมัน ที่เป็น เซลล์ ชื่อ "พี"

 

ส่วนแม่ของ "ไอ้บอย" ขับ เบนซ์ CLS สีขาว ทะเบียน โฟว์2 ครับ..!!!

 

ไอ้นี่ แบ๊ค มันดี ... ทำธุรกิจ แล้ว ไม่สามารถโอนได้ พวกก็เลยมาแจก

 

"ลูกตะกั่ว" เข้าให้ที่โชว์รูม ต้องปิดหนี ไปพักใหญ่ๆ ...แต่ตอนนี้มาใหม่แล้วครับ...

 

*******************************************************

 

 

 

ถ้ำอาถรรพ์ กลืนชีวิตคนหาเหล็กไหล 3 ศพ

 

                                     ถ้ำอาถรรพ์ กลืนชีวิตคนหาเหล็กไหล 3 ศพ

 

 

ชาวบ้านเข้าไปหาเหล็กไหลในถ้ำพุง จ.มุกดาหาร หายไปทั้งคืน จนเช้าญาตินิมนต์พระช่วยดำน้ำหา พบ 2 ศพ สูญหายอีก 1 ศพ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (27 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. สภ.เมืองมุกดาหาร รับแจ้งมีผู้จมน้ำเสียชีวิตภายในถ้ำพุง บริเวณหมู่ 12 บ้านนาโด่ ต.นาโสก อ.เมืองมุกดาหาร ที่เกิดเหตุหน้าปากถ้ำ พบศพนายเงิน ชาธิพา อายุ 59 ปี สภาพศพซีดเผือด ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย

 

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายเงินพร้อมเพื่อนอีก 2 ราย คือนายสงบ อันแสน อายุ 39 ปี นายธนโชติ ลินโต อายุ 48 ปี พร้อมญาติรวม 9 คน ได้เข้าไปหาสมุนไพรและพักค้างคืนที่ลานหินใกล้กับถ้ำพุง ซึ่งเชื่อว่ามีเหล็กไหล โดยในช่วงเที่ยงของวันที่ 26 พ.ค. นายเงิน นายสงบ และนายธนโชติ ได้ชักชวนกันดำน้ำเข้าไปในบริเวณถ้ำเพื่อหาเหล็กไหล จากนั้นก็หายไปทั้งคืน กระทั่งเช้า ญาติๆ เกรงว่าจะเกิดเหตุร้าย จึงไปตามคนในหมู่บ้านมาช่วย และพบพระชัยชนะ กิตติสาโร วัดภูสร้าง กำลังออกบิณฑบาตร จึงนิมนต์ให้มาช่วยเหลือ โดยพระชัยชนะ ต้องดำน้ำที่มีระดับความลึกประมาณ 2 เมตร ถึง 2 ครั้ง จึงนำร่างไร้วิญญาณของ นายเงิน และนายสงบ ซึ่งจมน้ำเสียชีวิตติดคาอยู่ในถ้ำออกมาสำเร็จ ส่วนนายธนโชติยังหาไม่พบ

 

ทั้งนี้ ถ้ำพุง เป็นถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ภายในถ้ำมีลานหินและโพลงขนาดใหญ่ จุคนได้ไม่ต่ำกว่า 50 คน เมื่อถึงฤดูแล้งชาวบ้านจะเข้าไปหากบหาเขียด และเมื่อถึงหน้าฝนมีน้ำท่วมขังชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปกลัวอันตราย โดยเชื่อว่าภายในถ้ำแห่งนี้มีเหล็กไหล เพราะเคยมีคนเห็น แต่ไม่มีใครกล้านำออกไปกลัวอาถรรพ์ และมีอันเป็นไปถึงแก่ชีวิต

 

 

เหล็กไหล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 

เหล็กไหล เป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนื่งในความเชื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ในมาเลเซียมีชื่อเรียกว่า บือซีรีเละ) มีมากมายหลายชนิดแต่ที่เชื่อกันแพร่หลายที่สุดนั้นจะฝังตัวอยู่ในถ้ำมีลักษณะสีดำคล้ายนิล ลนไฟให้ยืดได้ เชื่อกันว่าในการไปเอาเหล็กไหลนั้นจะต้องใช้น้ำผึ้งชโลมก้อนเหล็กไหลแล้วใช้ไฟลนเหล็กไหลถึงจะยืดออกมากินน้ำผึ้งไปพร้อมกับเล่นไฟด้วย แล้วก็ลนไฟไปกระทั่งทั้งเหล็กไหลยืดออกมาเรื่อยๆจนกระทั่งบางเท่าเส้นด้ายถึงจะตัดขาด (ทั้งนี้ในการไปตัดเหล็กไหลนั้นกล่าวกันว่าคนธรรมดานั้นไม่สามารถตัดเหล็กไหลเองได้เนื่องจากมีเทพเจ้า เจ้าป่า เจ้าเขา พญานาคหรือยักษ์รักษาอยู่และพร้อมจะเข้าทำร้ายผู้เข้าไปเอาได้ถ้าผู้นั้นไม่ใช่คนดีมีบุญหรือมีวิชาอาคมแกร่งกล้าพอ และตัวเหล็กไหลนั้นก็มีฤทธิ์ขัดขืนคนที่เข้าไปเอาได้ด้วยเช่นกล่าวว่าเคยมีคนเข้าไปตัดเหล็กไหลแล้วเอามือไปจับเหล็กไหลแล้วมีอาการคล้ายถูกฟ้าผ่าหรือถูกไฟฟ้าแรงสูงดูดเป็นต้น) เหล็กไหลที่ได้นี้กล่าวกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มากมักฝังไว้ตามตัวผู้ที่ครอบครองกล่าวกันว่าจะไม่มีอะไรที่ทำร้ายผู้ที่ครอบครองตัวเหล็กไหลได้ทั้งมีด ปืน หรือแม้กระทั่งระเบิด ดินปืนทุกชนิดไม่สามารถจุดติดได้ในอาณาเขตที่มีเหล็กไหลอยู่

ในความเชื่อนี้กล่าวอีกว่าเหล็กไหลยังแบ่งเป็นสามระดับหรือสามชนิด คือ

  • ระดับแรก ตัวเหล็กไหลเอง แวววาว เป็นส่วนที่ลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่มีอิทฤทธิ์มากที่สุด เช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับหรือเหล็กไหลโกฐปี เหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหลชีปะขาว เหล็กไหลเพชรดำ เหล็กไหลท้องปลาไหล
  • ระดับสอง รังเหล็กไหล มีลักษณะแวววาวรองจากตัวเหล็กไหล ไม่สามารถลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่ห่อหุ้มตัวเหล็กไหลไว้เป็นฐานรองเหล็กไหลแข็งแน่นติดกับผนังถ้ำ เช่น โคตรเหล็กไหล แร่เกาะล้าน แร่เม็ดมะขาม เหล็กไหลทรหด
  • ระดับสาม ขี้เหล็กไหล มีลักษณะคล้ายน้ำตาเทียน ดำด้าน แข็งแต่ทุบให้แตกได้ง่าย เกิดจากการที่เหล็กไหลเคลื่อนผ่านทางนั้นแล้วเกิดขี้เหล็กไหลขึ้นมากล่าวว่าแทบไม่มีฤทธิ์ใดๆ

 

**********************

 

 

 

เข้าใจชีวิต (บทความดีๆแนะนำให้อ่าน)

POSTED BY

 

  • 149
  • Sharebar

7 เรื่องต่อไปนี้ แม้คุณจะไม่ชอบ แต่ยังไงก็จะเกิดขึ้น บางเรื่องคุณอาจจะเจอแล้ว หรือไม่ก็ต้องเจอไม่วันใดก็วันหนึ่งนี่แหละ…จะดีกว่าไหม ถ้าคุณได้รู้และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเจอ แถมยังช่วยให้เข้าใจสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้ดียิ่งขึ้น…

 

1. เพื่อนจะเข้ามาและจากไปเสมอในชีวิตของคุณ…

สังเกตสิคนที่เคยคุย เคยเที่ยวเล่นกันในช่วงเวลาหนึ่ง พอย้ายที่เรียน

เปลี่ยนที่ทำงาน ต้องแยกกันไป ก็จะกลายเป็นเพื่อนเก่าที่ค่อยๆ ห่างไป ขณะเดียวกันเพื่อนใหม่ก็จะเข้ามาแทน มีน้อยที่จะยังติดต่อกันตลอด เช่นเดียวกับเพื่อนที่คุณสนิทในตอนนี้ ก็อาจจะหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจึงไม่ควรยึดติดกับใคร เพราะต่างก็ต้องมีทางเดินของตัวเอง คอยเปิดใจรับมิตรภาพใหม่ๆ ดีกว่า เพราะมีผู้คนที่น่าสนใจอีกมากให้คุณได้รู้จักในทุกๆ ที่

 

2. สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นอย่างที่คุณอยากให้เป็นเสมอ…

คุณมักไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ดันได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการใช่ไหม? ไม่มี

ประโยชน์เลยที่จะเครียดหรือทุกข์ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ แต่วิธีที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้นๆ คุณเปลี่ยนได้นะ

 

3. หลายคนรักคุณ แต่ส่วนมากจะไม่…

ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียง ชอบทำการกุศล หรือเป็นแค่คนธรรมดา ก็จะมีคนรัก

คุณแน่ๆ แต่ยังไงก็ต้องมีคนที่ไม่ชอบคุณด้วยเช่นกัน เหตุผลน่ะเยอะแยะ ไม่ว่าจะอิจฉา หรือเพียงเพราะคุณไม่เหมือนเขา ถ้าพวกเขาจะเอาแต่พูดเรื่องคุณ นั่นก็เป็นปัญหาของพวกเขานะ ไม่ต้องใส่ใจ จำไว้ว่าคุณดีในแบบของคุณและนับถือตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนชอบคุณ

 

4. ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้นอกจากตัวคุณเอง…

คนอื่นช่วยเหลือคุณก็ได้แค่ระดับหนึ่ง ชีวิตใครก็ต้องคนนั้นแหละที่ทำให้

เกิดการเปลี่ยนแปลง จงเรียนรู้ที่จะยืนด้วยสองเท้าของตัวเองโดยไม่ต้องใช้คนอื่นๆ เป็นไม้เท้าค้ำยันในชีวิต เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่กับคุณไปตลอด

5. ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้…

ไม่มีใครประสบความสำเร็จอย่างเดียวหรอก ยังไงก็ต้องล้มเหลวก่อน

นอกจากเรียนรู้จากบุคคลอื่นแล้ว ความล้มเหลวของคุณเองนี่แหละที่เป็นบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตที่จะสอนคุณใช้มันเป็นแรงผลักดันให้คุณประสบความสำเร็จ ดีกว่าจมปลักไม่ไปไหน

 

6. อาจไม่มีพรุ่งนี้…

เราไม่มีทางรู้ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น รถชน หัวใจวาย หรือแม้แต่โลกจะ

แตก มันเป็นไปได้หมด เผชิญหน้ากับมันซะ ยังไงวันหนึ่งก็ต้องเป็นวันสุดท้ายของเรา เพราะฉะนั้นในแต่ละวันทำให้ดีที่สุด ดูแลคนที่คุณแคร์ให้มาก ไม่ต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อย และใช้เวลาทำในสิ่งที่คุณชอบด้วย

 

7. ใครๆ ก็มีมากกว่าคุณ…

พอมองไปก็จะเห็นแต่คนที่มีอะไรมากกว่าตัวเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงิน

ตำแหน่ง หรือเพื่อน แต่รู้ไว้อย่างเพียงเพราะเขามี “มากกว่า” ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความสุขกว่านะ อ่านประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงดู พวกเขาน่ะสนุกกับกระบวนการในการได้เงินมากกว่าตัวเงินซะอีก จงโฟกัสไปในสิ่งที่คุณรักดีกว่า เพราะมันจะตามมาด้วยความสุขที่มากกว่า

 

ชีวิตก็อย่างนี้แหละ ถ้าเข้าใจและยอมรับมัน คุณก็จะสนุกกับการใช้ชีวิต…

 

 

 

 ************************

 

 

 

            สรรพคุณ / ประโยชน์ของผักคะน้า

 

                   

 

คะน้ามีวิตามินหลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน 186.92 ไมโครกรัม/100 กรัม [3] ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และยังมีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแคลเซี่ยมช่วยเสริมสร้างกระดูก

คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้า-แคโรทีน ซึ่งร่างการจะเปล่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อ คะน้าให้โฟเลตและธาตุเหล็กสูง ซึ่งสารทั้งงสองชนิดนี้จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง

- คุณค่าอาหาร

คะน้า 100กรัม ให้พลังงาน 31 กิโลเคลอรี ประกอบด้วยน้ำ 92.1 กรัม โปรตีน 2.7 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.8 กรัม เส้นใย 1.6 กรัม แคลเซียม 245 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 2,512 ไมโครกรัม วิตามินเอ 419 iu. วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.08 มิลลิกรัม ไนอะซิน 1.0 มิลลิกรัม วิตามินซี 147 มิลลิกรัม

- ข้อควรระวัง

ในผักคะนั้นในพบ สารกอยโตรเจน (goitrogen) ซึ่งบริโภคมาก ๆ จะทำให้ท้องอืดได้

 

การทานผัก ไม่ว่าจะเป็น ผักคะน้า หรือผักบุ้งก็ตาม

ถ้าทานสดๆ จะไม่ได้วิตามิน เอครับ

ท่านต้อง ผัดกับน้ำมันเท่านั้นครับ

เพราะวิตามิน เอ มันละลายเฉพาะในน้ำมันเท่านั้นไม่ละลายน้ำ

 

 

***************************

 

 

เฉลิม รู้ตัวแล้ว 3 พ่อค้าใหญ่ จ่ายเงินหนุนม็อบต่อต้านรัฐบาล

 

 

วันที่ 28 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ร่างพ.ร.บ.ปรองดองที่มีเสนอ และบรรจุเข้าที่ประชุมรัฐสภาว่า พ.ร.บ.ปรองดองที่เสนอยังไม่เป็นกฎหมาย ก็ยังมีคนออกมาระบุว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งจะตีความได้อย่างไร อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการเมืองวันนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกทั้ง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะสามารถผ่านสภาไปได้ แล้วนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้านได้แน่นอน

 

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ส่วนกลุ่มที่ต่อต้านนั้น หากนักธุรกิจ 3 คน ประกอบด้วย ธนาคาร พ่อค้าหมูเห็ดเป็ดไก่ และคนขายของมึนเมา ไม่ให้เงินสนับสนุนก็จะไม่มีผู้ชุมนุม ซึ่งที่ผ่านมา 3 กลุ่มนี้ออกมาสนับสนุนโดยเงินจำนวนมาก แล้วรัฐบาลจะอยู่ได้อย่างไร ทั้งนี้ฝากเตือนว่าขออย่ามายุ่งเลย เพราะตนไม่ยอม และจะประจาน

 

 

มติชน

ท่านก็ดีแต่ตีปลาหน้าไซนั่นหล่ะ บอกทราบนู่นทราบนี่ หน้าแหกตั้งแต่ นายพล นะคะมวยแล้ว

ตั้งแต่มีการปล้นบ้านปลัด ท่านเหลิมออกมาพูดๆๆจนเคลิบเคลิ้ม เป้นความหวังที่จะได้จับตัวคนร้ายแล้วทุกอย่างก็เลือนหายไป

 5555 ขำกลิ้ง มีปัญญาแค่ประจาน แต่ปัญญาที่จะหยุดยั้งไม่มี ช่างเก่งเนอะsmiley

 

//////////////

 

 

 

  ฉีกใบสั่งทิ้ง…ไม่มีความผิด

 

 

  




               นาย ก. ขับมินิคูเปอร์ ป้ายทะเบียน 8888 ไปจอดในที่ห้ามจอด ตำรวจจราจรมาพบ จึงเขียนใบสั่งติดไว้หน้ารถโดยเอาที่ปัดน้ำฝนทาบไว้  เป็นเวลาเดียวกับที่นาย ก. เดินกลับมาที่รถพอดี นาย ก.เห็นใบสั่งจึงหยิบมาดู จากนั้นก็ฉีกใบสั่งทิ้งต่อหน้าตำรวจจราจรคนนั้น นาย ก. จะมีความผิดใดหรือไม่ ?

 


               ตำรวจจราจรได้ฟ้องนาย ก. ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 369 ฐานทำให้เอกสารที่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ได้ปิดหรือแสดงไว้ หลุดฉีกหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ   

 


               ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ใบสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจจราจร เป็นเพียงหนังสือจากบุคคลหนึ่งถึงบุคคลหนึ่ง เพื่อสั่งให้บุคคลนั้นกระทำการคือ ให้ไปรายงานตัว เมื่อจำเลยได้รับใบสั่งนั้นแล้ว ก็ถือว่าหนังสือนั้นได้สมประโยชน์ตามนั้นแล้ว และคำว่าเอกสารใดที่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ปิดหรือแสดงไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 369 นั้น หมายถึง เอกสารที่ปิดหรือแสดงไว้ ในลักษณะทำนองประกาศหรือภาพโฆษณา หาได้หมายถึงคำสั่งหรือใบสั่งถึงบุคคลเฉพาะตัว เช่น ใบสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจจราจรที่ให้ไปรายงานตัวไม่ ฉะนั้น เมื่อนาย ก.ได้รับใบสั่งดังกล่าว แม้นาย ก.จะฉีกทำให้เสียหาย ก็หามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 369 ไม่ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1181/2506)


ปลายมีนา  บัววัฒน์ (ทนายความ)
www.fpmconsultant.com

 

 

 • รู้ไว้ใช่ว่า...อัตราค่าปรับตามกฎหมายจราจรทางบก


.....

 

 

*********************************

 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก trafficpolice.go.th , highwaypolice.org

ว่ากันด้วยเรื่องของกฎจราจร... ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถติดกว่าที่ควรจะเป็น โดยต้นเหตุหลัก ๆ อยู่ที่ผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามกฎ เรียกได้ว่าขับรถเอาแต่ใจ ชนิดจะปาดซ้าย แซงขวา ก็ทำกันตามใจชอบไม่แคร์สายตาคุณตำรวจจราจรเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าทาง บก.จร. จะออกกฎคุมเข้มแล้วก็ตาม

และเมื่อปัญหารถเยอะ บวกกับผู้ฝ่าฝืนกฎ ทำให้รถติดหนึบยิ่งเข้าไปใหญ่ ทาง บก.จร. ก็เลยขอกลับมาใช้การตั้งด่านในช่วงกลางวันอีกครั้ง หลังจากที่ประกาศยกเลิกใช้ไปเมื่อปลายปีก่อน งานนี้ผู้ขับขี่ที่ชอบลักไก่ คงร้อน ๆ หนาว ๆ กันน่าดู...

กระปุกคาร์ ขอนำข้อมูลเกี่ยวกับอัตราค่าปรับ ตาม พ.ร.บ. จราจร พ.ศ. 2552 มาให้คนใช้รถใช้ถนนได้ทราบกันว่า หากเราทำผิดกฎตามกฎหมายแล้วจะต้องเสียค่าปรับเท่าไร (เผื่อไปเจอคุณตำรวจลักไก่ จะได้ไม่ต้องควักเงินเกินค่าปรับยังไงล่ะ)

ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ. 2538) และการเปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิด นั้นให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ (กรมตำรวจ) ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 และเพิ่มเติมฉบับที่ 4 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2540 ตามลำดับ

1. นำรถที่ไม่มั่นคงแข็งแรงอาจเกิดอันตรายหรือทำให้เสื่อมเสีย สุขภาพอนามัย มาใช้ในทางเดินรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

2. นำรถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทางเดินรถ


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

3. นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่นควัน ละอองเคมี เกินเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดมาใช้ในทางเดินรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 500 บาท

4. นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดเสียงเกินเกณฑ์ที่กำหนดมาใช้ ในทางเดินรถ


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 500 บาท

5. ขับรถในทางไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างในเวลาที่มีแสง สว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นคน รถ หรือสิ่งกีดขวาง ในทางได้โดยชัดแจ้งภายในระยะ 150 เมตร

อัตราโทษ : 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

6. ใช้สัญญาณไฟวับวาบผิดเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

7. ขับรถบรรทุกของยื่นเกินความยาวของตัวรถในทางเดิน รถไม่ติดธงสีแดง ไว้ตอนปลายสุดให้มองเห็นได้ภายในระยะ 150 เมตร


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด :ปรับ 300 บาท

8. ขับรถบรรทุกวัตถุระเบิด หรือ วัตถุอันตรายไม่จัดให้มีป้ายแสดงถึงวัตถุ ที่บรรทุก


อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

9. ขับรถไม่จัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุก ตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจาก รถอันอาจก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ ทำให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพ อนามัยแก่ประชาชนหรือก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

10. ขับรถไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำให้ปรากฏ ในทาง หรือที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ทราบ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

11. ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

12. ไม่หยุดรถหลังเส้น ให้รถหยุดเมื่อมีสัญญาณไฟแดง

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

13. ขับรถไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ปรากฏด้วยมือ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

14. ไม่หยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด หรือหยุดรถห่างจากพนักงานเจ้าหน้าที่น้อยกว่าสามเมตร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

15. ทำให้ปรากฏซึ่งสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่กำหนดในทางเดินรถโดยไม่มีอำนาจ


อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

16. ไม่ขับรถที่มีความเร็วช้าให้ใกล้ขอบทางด้านซ้ายในทางเดินรถที่มีสวนกันได้

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200-500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

17. ไม่ขับรถบรรทุก รถบรรทุกคนโดยสารรถจักรยานยนต์ที่มีความเร็วช้าในช่องเดินรถซ้ายสุด ในทางเดินรถที่แบ่งช่องเดินรถไว้ตั้งแต่สองช่องขึ้นไป

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท

18. เลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องเดินรถโดยไม่ให้สัญญาณ

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

19. ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น

อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท

20. ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร

อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000 –10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

21. ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร


อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400 – 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

22. ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร (เว้นแต่รถเข็นสำหรับทารก คนป่วย หรือคนพิการ)

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

23. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นทางด้านซ้ายมือโดยไม่มีเหตุอันสมควร

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

24. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นขณะขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง ซึ่งไม่มีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้


อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

25. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะ 30 เมตร ก่อนถึงทางแยก

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

26. ขับรถออกจากที่จอดเมื่อมีรถจอดหรือสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้าโดยไม่ให้สัญญาณมือหรือแขน หรือสัญญาณไฟ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

27. กลับรถในทางเดินรถกีดขวางการจราจร

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200-500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

28. กลับรถในระยะ 100 เมตร จากเชิงสะพาน


อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

29. กลับรถที่ทางร่วมทางแยก (เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้กลับรถได้)


อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

30. หยุดรถหรือจอดรถในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรที่อธิบดีกำหนดในทางเดินรถโดยไม่มีอำนาจ


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

31. ไม่จอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

32. จอดรถไม่ขนานชิดกับขอบทางหรือไหล่ทางในระยะห่างเกินกว่า 25 เซนติเมตร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

33. หยุดรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุผลสมควร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

34. หยุดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคาร หรือทางเดินรถ โดยไม่มีเหตุผลสมควร


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

35. จอดรถบนทางเท้า

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

36. จอดรถบนสะพานหรือในอุโมงค์

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท

37.จอดรถในทางร่วมทางแยก หรือภายในระยะ 10 เมตร จากทางร่วมทางแยก

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

38. จอดรถในเขตที่มีเครื่องหมายห้ามจอด

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

39. จอดรถภายในระยะ 15 เมตร ก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทางและเลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

40. จอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

42.ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเครื่องมือบังคับ รถ มิให้เคลื่อนย้าย


อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือ ปรับไม่เกิน 5,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

43. จอดรถในทางเดินรถหรือไหล่ทางโดยไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างเพียงพอ ที่จะเห็นรถที่จอดนั้นได้ชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200 - 500บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

44.ขับรถเร็วเกินอัตรากำหนด

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200 - 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

45. ไม่ยอมให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน เมื่อขับรถถึงทางร่วมทาง แยกทีหลัง

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

46.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่น แล้วไม่หยุดช่วยเหลือแสดงตัว และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที


อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000 –10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

47. ขับรถแท็กซี่ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร (เว้นแต่ กรณีจะเกิดอันตรายแก่ตนหรือแก่คนโดยสาร)

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

48.ไม่เดินบนทางเท้าหรือไหล่ทางเมื่อทางนั้น มีทางเท้าหรือไหล่ทางอยู่ข้างทางเดินรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 200 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 100 บาท

49.เดินข้ามทางนอกทางข้าม เมื่อมีทางข้ามอยู่ภายในระยะ100 เมตร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 200 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 100 บาท

50.ขี่ จูง ไล่ ต้อน หรือปล่อยสัตว์ไปบนทาง ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร และไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

51.วาง ตั้ง ยื่น หรือ แขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร โดยไม่ได้รับอนุญาต


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

52. ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย (มิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช ผู้นับถือลัทธิศาสนาที่ใช้ผ้าโพกศรีษะตามประเพณีนิยม


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

53.โดยสารรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย (มิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช ผู้นับถือลัทธิศาสนาที่ใช้ผ้าโพกศรีษะตามประเพณีนิยม


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

54. ยินยอมให้ผู้อื่นนั่งตอนหน้าแถวเดียวกับคนขับเกิน 2 คน


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

55. เป็นผู้ขับรถโดยสารประจำทาง รถบรรทุกคนโดยสารรถโรงเรียน รถแท็กซี่ ยินยอมให้ผู้โดยสารขึ้นหรือลง รถยนต์ในขณะที่รถหยุดเพื่อรอสัญญาณไฟ หรือหยุดเพราะติดการจราจร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

56. ขับรถตามหลังรถฉุกเฉินซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ในระยะไม่ถึง 50 เมตร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

57. กระทำด้วยประการใด ๆ บนทางอันเป็นการกีดขวางของการจราจร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

58. ฝ่าฝืนคำสั่งข้อบังคับหรือระเบียบของเจ้าพนักงานจราจรซึ่งสั่งหรือประกาศ ห้าม หยุดหรือ จอด

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท


 


ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ.2537)


1. ใช้รถไม่จดทะเบียน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

2. ใช้รถไม่เสียภาษีประจำปีภายในเขตกำหนด

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

3. ใช้รถไม่แสดงเครื่องหมายเสียภาษี

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

4. ใช้รถไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

5. ใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน

อัตราโทษ :ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

6. เปลี่ยนแปลงสีของรถผิดจากที่จดทะเบียนไว้

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

7. เปลี่ยนแปลงตัวรถหรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดจากไปที่ จดทะเบียน


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

8. ขับรถยนตร์ที่มีไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อม (รถป้ายแดง) ระหว่างพระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น เวลากลางคืน) โดยไม่มีความจำเป็นและได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

9. ขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาตขับรถ

อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

10. ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถที่จะแสดงได้ทันที (เว้นแต่ผู้ฝึกหัดขับรถตาม)

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

11. ขับรถไม่มีสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถที่จะแสดงได้ทันที


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

12. ยินยอมให้ผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับรถ เข้าขับรถของตน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

13. รับจ้างรถบรรทุกคนโดยสาร โดยใช้รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร ไม่เกิน 7 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

14. ขับรถระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

15. ใช้เครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้สำหรับรถคันหนึ่งกับรถ อีกคันหนึ่ง

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

 

 

************************

 

 

 

 

 

 

 

 อ้าว.... พธม.ร้อง ตลก.รธน.อีกแล้วหรือครับ
จะร้องอะไรก็ร้องไปเถิด ไม่น่าแปลกอะไรอยู๋แล้ว
แต่ถ้าถึงขั้นยุบพรรคการเมืองเขาไปทั้ง 4 พรรค ตัดสิทธิอีก 5 ปี
แล้วประเทศนี้จะเป็นอย่างไร?


พวกท่านล้วนเป็นผู้ผ่านประสบการณ์มามากมาย
รองใช้วิจารณญาณดูเถิดครับ
แต่ถ้าคิดว่าประเทศนี้เป็นของท่านแล้ว จะทำอะไรก็ได้ ก็เชิญตามสบายเถิดครับ

 

 

*******************************

 

 

                                       มอเตอร์ไซค์อาฟริกา

 

 

[IMG]

[IMG]

[IMG]

[IMG]

[IMG]
 

 

 

 

[IMG]

 

             

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:39:23 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>