Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เเจ้งจับศาลรัฐธรรมนูญ

ArjanPong | 22-04-2556 | เปิดดู 3694 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

                

  

     

วรพล พรหมิกบุตร อาจารย์มธ. แจ้งจับศาลรัฐธรรมนูญ

วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 17:00 น. ข่าวสดออนไลน์

 

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 23 เม.ย. ที่กองปราบปราม รศ.วรพล พรหมิกบุตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าพบพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในความผิดฐานกระทำการ หรือละเว้นกระทำการอันถือว่าเป็นการละทิ้งงาน หรือกระทำการอย่างใดๆ เพื่อให้งานหยุดชะงัก หรือเสียหาย โดยร่วมกระทำการเช่นนั้นตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 166 กรณีที่มีผู้ร้องโดยใช้สิทธิตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ว่ารัฐสภา กำลังพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนุญ มาตรา 291 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ ก็วินิจฉัยว่าการกระทำของสมาชิกรัฐสภา เป็นการกระทำผิดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตามมาตรา 68 โดยที่ไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุด ทั้งที่ผู้ร้องก็ได้ยื่นร้องให้อัยการสูงสุดไว้ด้วย
 
รศ.วรพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน ยังเคยใช้อำนาจซึ่งมีประเด็นโต้แย้งว่าการกระทำหรือละเว้นการกระทำของศาลรัฐ ธรรมนูญ อาจเข้าข่ายถูกพิจารณาสอบสวนดำเนินคดี กรณีการวินิจฉัยคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ล่วงลับ ว่าเป็นลูกจ้างผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ โดยใช้นิยามศัพท์ตามพจนานุกรม ซึ่งไม่ใช่บทบัญญัติของกฎหมาย ทำให้นายสมัคร ขาดคุณสมบัติต้องพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจากการกระทำทั้งสองกรณี อาจเข้าข่ายทำให้งานของศาลรัฐธรรมนูญ เสียหาย ตนจึงเข้าแจ้งความดำเนินคดีครั้งนี้

 

ผู้สื่อข่าว รายงานด้วยว่า นอกจาก รศ.วรพล แล้ว ยังมีกลุ่มผู้ดำเนินรายการวิทยุ และภาคประชาชน นำโดย นายธนชัย สีหิน หรือ “ดีเจหนุ่มวีคลอง 11” วิทยุชุมชน คลื่นเอฟเอ็ม 107.4 เมกะเฮิร์ต น.ส.สมพร ไชยมาตย์ หรือ “ดีเจอ้อม สาวดอกหญ้า” นางผุสดี แย้มสกุลณา หรือ “อาจารย์เป้า” ได้เข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในประเด็นเดียวกับที่ รศ.วรพล แจ้งความไว้ด้วย ซึ่งทั้งหมดระบุว่าเป็นการดำเนินการในส่วนของภาคประชาชน ส่วน รศ.วรพล นั้นดำเนินการในฐานะนักวิชาการ

 

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ระบุว่า ได้รับเรื่องและสอบปากคำผู้ร้องไว้ในเบื้องต้น ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
.
 
 

 

 
 ************************************************************

 

 

           หัวใจสลาย...   

                     

 

            

 

 

 

 

....พอเหอะนะ ใจเอ๋ย เคยจำไหม?

 

สักเท่าไร? จึงจะสม ตรมผิดหวัง

 

เปิดโอกาส เขาเเก้ตัว กลัวรักพัง

 

ฉุดเหนี่ยวรั้ง ประคองอุ้ม ทุ่มทั้งตัว

 

 

 

....สิ่งที่ได้ ตอบกลับมา ชาไปหมด

 

คนใจคด ปล่อยทิ้งขว้าง พรางสลัว

 

บทเรียนช้ำ หนนี้ ที่ติดตัว

 

ระบมทั่ว ร้าวหมดเเล้ว เเก้วกลางใจ....

 

 

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       ย้อนประวัติเชเชน แค้นรัสเซียถึงอเมริกา ระเบิดบอสตัน

 

สกู๊ปพิเศษ(นสพ.ข่าวสด)





1.บุกร.ร.เบสลัน ปี2547

2.บุกโรงละครมอสโก ปี2545

3.วางระเบิดถล่มมอสโก ปี2542

4.ระเบิดรถไฟ ปี2553

สองพี่น้องตระกูลซานาเอฟ ตกเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน จากเด็กหนุ่มธรรมดาที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยวางระเบิดกลางการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซ็ตส์ สหรัฐ เมื่อวันที่ 15 เม.ย. จนมีผู้เสียชีวิต 3 รายและมีผู้บาดเจ็บกว่า 180 คน



ดราม่าของเหตุการณ์นี้เริ่มตั้งแต่ทั้งสองหนีการจับกุมของตำรวจ ปล้นรถ ดวลปืน และยิงตำรวจตาย จนกระทั่งถูกวิสามัญฆาตกรรม



นายทาเมอร์ลาน ซาร์นาเอฟ พี่ชาย อายุ 26 ปี เสียชีวิตไปก่อน ต่อมาอีก 1 วัน นายดโซคาร์ ซาร์นาเอฟ น้องชาย อายุ 19 ปี ซึ่งหลบหนีไปได้ในตอนแรก ถูกรวบตัวในสภาพบาดเจ็บหนัก ขณะแอบหลบอยู่ในเรือของชาวบ้าน



จากการสอบสวน ทั้งสองเป็นชาวเชเชนจากแคว้นเชชเนียของรัสเซีย ได้วีซ่าถาวรมาอาศัยและเรียนหนังสืออยู่ในสหรัฐร่วมสิบปี การก่อเหตุลอบวางระเบิดในดินแดนต่างบ้านต่างเมืองครั้งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยมากมายว่าอะไรคือแรงจูงใจของทั้งคู่ซึ่งเป็นคนหนุ่มมีอนาคตไกล



เมื่อข้อมูลส่วนนี้ปรากฏในตอนแรก สื่อมวลชนและนักวิเคราะห์พยายามหาเหตุผลเชื่อมโยงแรงจูงใจในการก่อเหตุทันที



คำถามคือ คนเชเชนที่เคยก่อเหตุก่อการร้ายในรัสเซีย ทำไมมาวางระเบิดในสหรัฐ



กลุ่มอิสลามสายเคร่งเชชเนียมีประวัติก่อความรุนแรงในลักษณะแบ่งแยกดินแดน โดยมีจุดเริ่มต้นบนพื้นที่นอร์เทิร์น คอเคซัส ทางตอนเหนือของแคว้นคอเคซัส ระหว่างทะเลดำ กับทะเลแคสเปียน อยู่ในแถบยูโรเปียนรัสเซีย



เป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่มีเบื้องหลังความขัดแย้งกับรัฐบาลรัสเซียมานานหลายศตวรรษ



เหตุการณ์นองเลือดที่สุดเกิดขึ้นในปี 2537 คร่าชีวิตชาวบ้าน และนักรบเชชเนียรวมหลายหมื่นราย ส่งผลให้คอเคซัสผันสภาพเป็นซากประวัติศาสตร์แห่งโศกนาฏกรรมที่ยากจะลืมเลือน ทั้งยังกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มมุสลิมก่อการร้ายต่างชาติที่เข้ามาตั้งรกรากขยายอิทธิพล และก่อการไม่สงบในรัสเซีย รวมถึงกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับอัล ไคด้าในปัจจุบัน



รัฐบาลรัสเซียถอนกำลังทหารออกจากเชชเนียในปี 2539 หลังสงครามเชเชน ครั้งที่ 1 ปิดฉากลง ทำให้แคว้นคอเคซัสเป็นพื้นที่ไร้กฎหมาย และไม่ขึ้นอยู่กับใคร โดย 3 ปีให้หลัง กลุ่มมุสลิมเชชเนียภายใต้การนำของ รามซาน คาดีโรฟ อดีตผู้ต่อต้านรัฐบาลรัสเซีย ถูกระบุเป็นผู้อยู่บื้องหลังเหตุระเบิด ทั้งในกรุงมอสโก และอีกหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศ



ก่อนจะขยายความรุนแรงไปยังจังหวัดดาเจสถาน ซึ่งกลายเป็นแหล่งปะทะรายวันระหว่างกลุ่มมุสลิมเชชเนีย กับตำรวจ และทางการท้องถิ่น



ในวันที่ 23 ต.ค. 2545 กลุ่มเชชเนียกว่า 40 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง กับฉายา "เดอะ แบล็ก วิโดวส์" หรือ "แม่ม่ายแมงมุมดำ" ตามชุดฮิญาบสีดำที่ปกคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ได้จับกุมชาวบ้านกว่า 700 คนเป็นตัวประกันที่โรงละครกรุง มอสโก พร้อมเรียกร้องให้รัสเซียออกจากพื้นที่ในปกครองของกลุ่ม มุสลิมเชชเนีย



แต่กองกำลังความมั่นคงรัสเซียได้บุก เข้าโรงละครเพื่อชิงตัวประกัน แต่กลุ่มมุสลิมเชชเนียตอกกลับด้วยการจุดชนวนวัตถุระเบิดที่มัดติดอยู่กับตัวประกัน ส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์ร่วม 100 รายต้องสังเวยชีวิต



ต่อมาวันที่ 1 ก.ย. 2547 กลุ่มมุสลิมเชชเนียพร้อมอาวุธ บุกจับตัวประกันกว่า 1,000 คนที่โรงเรียนในเมืองเบสลัน แคว้นนอร์ธออสเซเตียของรัสเซีย และลงเอยด้วยชีวิตตัวประกัน 331 ราย หน่วยคอมมานโดของรัฐบาล 11 นาย และกลุ่มกบฏอีก 31 ราย



โดยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กลุ่มมุสลิมเชชเนียก่อเหตุระเบิดพลีชีพในระบบรถไฟใต้ดินกรุงมอสโก มีผู้เสียชีวิต 40 ราย และเมื่อเดือนม.ค. ปีก่อน สมาชิกเชชเนียเพิ่งพลีชีพฆ่า 36 ศพ ด้วยการระเบิดสนามบินโดโมเดโดโวในกรุงมอสโก



แต่ความเชื่อมโยงของสองผู้ต้องหาที่เป็นชาวเชเชน กับคดีระเบิดเส้นชัยในงานวิ่งมาราธอนนานาชาติเมืองบอสตัน เมื่อ 15 เม.ย. ถือเป็นเหตุความรุนแรงครั้งแรกของกลุ่มมุสลิมเชชเนียที่ก่อเหตุนอกรัสเซีย

 

 

 

สาธารณรัฐเชเชน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 
 
แผนที่เชชเนีย

เชชเนีย (อังกฤษ: Chechnya; รัสเซีย: Чечня́; เชเชน: Нохчийчоь) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐเชเชน (อังกฤษ: Chechen Republic; รัสเซีย: Чече́нская Респу́блика; เชเชน: Нохчийн Республика) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศรัสเซีย บริเวณเทือกเขาคอเคซัส ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ ปัญหาเชชเนียเริ่มขึ้นเมื่อประธานาธิบดีดูดาเยฟแห่งเชชเนีย ประกาศแยกตัวเป็นเอกราชจากรัสเซียเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2534 โดยที่รัฐบาลรัสเซียไม่ได้ให้การรับรองคำประกาศดังกล่าว และถือว่าเชชเนียยังเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

 

ปัญหาความขัดแย้งของเชชเนีย

Chechnya03.png

เชชเนียเป็นสาธารณรัฐของสหพันธรัฐรัสเซีย มีประชากรก่อนสงคราม 1.2 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ ตั้งอยู่ทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียบริเวณเทือกเขาคอเคซัส มีอาณาเขตติดต่อกับจอร์เจีย ในปี 2534 หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ขบวนการชาตินิยมกลุ่มมุสลิมหัวใหม่ในรัสเซียต้องการที่จะผนวกดินแดน 4 สาธารณรัฐคือ สาธารณรัฐอิงกูเชเตีย, คาร์บาดีโน-บัลคาเรีย, ดาเกสถาน และนอร์ทออสซีเชีย เข้าด้วยกันเรียกว่า "สหพันธรัฐอิสลามคาลีฟัด" ภายใต้การสนับสนุนจากประเทศในตะวันออกกลาง ปัญหาของเชชเนียเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2535 นายพลดูดาเยฟ ประธานาธิบดีเชชเนียประกาศให้สาธารณรัฐเป็นเอกราช แต่รัสเซียยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้ดินแดนในปกครองเป็นอิสระ นอกจากนี้กรุงกรอซนืยเมืองหลวงของเชชเนีย ยังเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของรัสเซียอีกด้วย

สมัยประธานาธิบดีเยลต์ซินของรัสเซีย

ได้มีการส่งทหารจำนวน 40,000 นาย เข้าไปยังเชชเนีย เพื่อปราบปรามการแบ่งแยกดินแดน ทำให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อเป็นเวลาเกือบ 2 ปี (พ.ศ. 2537–2539) แต่ได้สิ้นสุดลง เมื่อรัสเซียตกลงให้สิทธิปกครองตนเองชั่วคราวแก่กลุ่มกบฏและยอมถอนทหารออกจากเชชเนียทั้งหมด และสนับสนุนให้นายอัสลาน มาสคาดอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเชชเนียในเดือนกรกฎาคม 2540 สืบแทนประธานาธิบดีโซคคาร์ ดูคาเยฟที่เสียชีวิตไปในช่วงสงคราม ต่อมาอำนาจของประธานาธิบดีมาสคาดอฟได้ลดลงเป็นลำดับ เนื่องจากอดีตหัวหน้ากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ซึ่งกระจายอยู่ตามดินแดนส่วนต่าง ๆ ของเชชเนีย เริ่มตั้งตนขึ้นมามีอำนาจอย่างเป็นเอกเทศ และจากการที่ประธานาธิบดีมาสคาดอฟได้ดำเนินนโยบายแยกตัวเป็นเอกราชจากรัสเซียในภายหลัง ทำให้รัฐบาลรัสเซียต้องการจับกุมตัวประธานาธิบดีมาสคาดอฟ ในฐานะหัวหน้ากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนสงครามเชชเนียครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2542)

 

สงครามเชชเนียครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2542)

เริ่มขึ้นเมื่อนายพลชามิล บาซาเยฟ หัวหน้ากลุ่มกบฏเชชเนียซึ่งมีอำนาจมากที่สุด นำกำลังเข้ายึดสาธารณรัฐดาเกสถาน ทางตะวันออกของเชชเนีย พร้อมประกาศจะปลดปล่อยดินแดนทางตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัสออกจากรัสเซีย และเปลี่ยนให้เป็นรัฐอิสลามทั้งหมด ทำให้รัสเซียต้องส่งทหารเข้าโจมตีที่ตั้งของนายพลบาซาเยฟในเชชเนียตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2542 โดยสามารถยึดพื้นที่ไว้ได้ทั้งหมด รวมทั้งกรุงกรอซนืยเมืองหลวงของเชชเนีย เหลือแต่เพียงบริเวณเทือกเขาตามแนวชายแดนเท่านั้น ที่มักเกิดการสู้รบกับกลุ่มกบฏในลักษณะการซุ่มโจมตี ในการนี้ รัสเซียได้แต่งตั้งนายอัคมัด คาดีรอฟ ขึ้นเป็นผู้นำเชชเนียคนใหม่

การเสียชีวิตของนายอัสลัน มาสคาดอฟ เมื่อ 8 มีนาคม 2548

ระหว่างการล้อมจับของกองกำลังรัสเซียในเมืองตอลสตอยยุร์ต (Tolstoi Yurt) ของเชชเนีย หลายฝ่ายมองว่า เป็นการสิ้นสุดกระบวนการเจรจาเพื่อสันติภาพระหว่างเชชเนียกับรัสเซีย เนื่องจากนายมาสคาดอฟ ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มกบฏเชชเนียสายกลาง กำลังต้องการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย โดยเป็นฝ่ายเสนอการหยุดยิงฝ่ายเดียวในเชชเนีย ขณะที่รัสเซียกลับมองว่า เป็นการสิ้นสุดผู้นำสูงสุดของกลุ่มกบฏเชชเนียสายกลาง ซึ่งจะทำให้ไม่มีตัวเชื่อมโยงทางการเมือง รวมถึงการขอรับการสนับสนุนด้านอาวุธและการเงินจากต่างประเทศ การสังหารนายชามิล บาซาเยฟ ผู้นำกลุ่มกบฏเชชเนียสายหัวรุนแรง เมื่อ 10 กรกฎาคม 2549 ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประธานาธิบดีปูตินที่ดำเนินนโยบายแข็งกร้าวในการแก้ไขปัญหาเชชเนียมาตลอด ซึ่งไม่เพียงส่งผลให้การแพร่กระแสเรียกร้องเอกราชไปยังดินแดนอื่น ๆ ของรัสเซียต้องหยุดชะงักลงบ้าง แม้จะไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการเรียกร้องเอกราชให้แก่เชชเนียได้ เพราะยังคงมีผู้นำกบฏคนใหม่ก้าวขึ้นมาแทนที่ แต่ยังจะช่วยให้การบริหารดินแดนเชชเนียโดยคณะบริหารที่รัฐบาลรัสเซียสนับสนุนอยู่เข้มแข็งขึ้น ปัจจุบันรัฐบาลรัสเซียได้ส่งกองกำลังและเจ้าหน้าที่เข้าไปประจำการอยู่ในเชชเนียประมาณ 40,000 นาย โดยไปจากกระทรวงกลาโหม หน่วยความมั่นคงกลาง (FSB) และกองกำลังของกระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก

 

ทั้งนี้ นายบาซาเยฟเป็นผู้นำกลุ่มกบฏเชชเนียที่ทางการรัสเซียต้องการตัวมากที่สุด และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการจับตัวประกันในโรงละครใจกลางกรุงมอสโก การก่อวินาศกรรมเครื่องบินโดยสารของรัสเซีย การลอบวางระเบิดสถานีรถไฟใต้ดินในกรุงมอสโก รวมถึงเหตุการณ์ครั้งรุนแรงที่สุด คือ การจับนักเรียนและครูเป็นตัวประกันที่โรงเรียนในเมืองเบสลันในปี พ.ศ. 2547 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 335 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็ก และก่อนที่นายบาซาเยฟจะถูกสังหารนั้น หน่วย FSB สืบทราบว่า นายบาซาเยฟมีแผนที่จะก่อการร้ายครั้งใหญ่ในช่วงที่รัสเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (G-8) ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในระหว่าง 15-17กรกฎาคม 2549 ด้วย

 

การแก้ไขปัญหาเชชเนียของรัสเซียถูกประณามจากชาติตะวันตกว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เนื่องจากใช้วิธีการกวาดล้างแบบราบคาบ ไม่เลือกเฉพาะพื้นที่ตั้งของฝ่ายกบฏ โดยเน้นการโจมตีทางอากาศเป็นหลัก แม้กระนั้น การก่อการร้ายในรัสเซียยังคงเกิดขึ้นและขยายตัวทั้งในแง่ของพื้นที่ปฏิบัติการและความรุนแรง ทำให้ประธานาธิบดีปูตินดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวมากขึ้น โดยประกาศจะใช้นโยบายชิงโจมตีก่อนต่อผู้ก่อการร้าย ด้านสภาดูมาได้เสนอร่างกฎหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าว โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้มาตรการฉุกเฉินในการสืบสวน แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่า กำลังจะมีการก่อการร้ายก็ตาม ซึ่งมาตรการดังกล่าวครอบคลุมการดักฟังโทรศัพท์ การตรวจสอบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์และเอกสาร การจำกัดการจราจรและการเดินทาง รวมถึงการจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนในการเสนอข่าวในพื้นที่ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย

 

 ปัญหาการก่อการร้ายในประเทศ

สร้างความชอบธรรมให้กับประธานาธิบดีปูตินในการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นการรวมศูนย์อำนาจ โดยเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากทั้งแบบแบ่งเขตและแบบสัดส่วน เป็นการเลือกตั้งแบบสัดส่วนทั้งหมด พร้อมกับเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้งผู้ปกครองสาธารณรัฐและเขตปกครองตนเองทั้ง 89 แห่ง เป็นการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดีและขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติท้องถิ่นแทน ซึ่งวิธีการดังกล่าวถูกชาติตะวันตกโจมตีอย่างหนักว่า จะทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยในรัสเซียไม่คืบหน้า

 

 

************************************************************

 

 

 

 

 

"เสื้อแดง" ชุมนุมไล่ตุลาการฯ หน้าศาล รธน.

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2556 เวลา 15:19 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 เม.ย.) ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงในนามกลุ่มผู้กล้าประชาธิปไตย ประมาณ 200 คน นำโดย นายพงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา หรือ เล็กบ้านดอน ผู้อำนวยสถานีวิทยุคนไทยหัวใจเดียวกัน มาชุมนุมที่บริเวณเกาะกลางถนนใต้สะพานข้ามแยก หน้าศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ หน้าอาคารศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ยุติการทำหน้าที่โดยเด็ดขาด เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ที่มาไม่ถูกต้องแต่กลับใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายบริหารและกระบวนการยุติธรรม ทำให้เกิดปัญหาในการบริหารประเทศ รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ สร้างความแตกแยกในสังคม โดยผู้ชุมนุมประกาศจะชุมนุมที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ อย่างน้อยเป็นเวลา 3 วัน
 

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ภายในศาลรัฐธรรมนูญได้มีการจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล ทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมทั้งกองร้อยปราบจลาจล จำนวน 1 กองร้อย เพื่อเฝ้าระวังและดูแลความปลอดภัย พร้อมกันนี้ได้นำแผงเหล็กไปกั้นบริเวณบันไดทางขึ้นด้านหน้า และเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในส่วนของเจ้าหน้าที่ศาล ยังคงทำงานตามปกติ โดยการชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีเหตุรุนแรงใด ๆ ซึ่งแกนนำได้ทยอยปราศัยหลังจากรถเวทีปราศรัยเคลื่อนที่เดินทางมาถึง.

http://www.dailynews.co.th/politics/199060

นี่ คือ สัญญาณ เอาจริงของภาคประชาชน....

หลังจากเอาแกนนำเข้าคุกหมาดๆ

 

 

 

 

 

อย่ารบเป็นอันขาด "อรชุน"...!!!???

 

 

อย่ารบเป็นอันขาด "อรชุน"...!!!???

 

"อรชุนผู้กล้า"...อดกลั้นครั้งสุดท้าย...อย่าได้รบเป็นอันขาด!!!!???
 
 
 
หากท่านตายในสนามรบ นรกยังรอท่านอยู่ ยังเปิดประตูรอผู้ปราชัย
แม้นหากว่าท่านชนะ แน่นอนว่าความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ ทุกพงพื้นปฐพีรอให้ท่านเข้ามาครอบครอง
ท่านอย่าได้มันใจ หาก"เอกทัศน์"ก้าวนำหน้าเมื่อใด ท่านย่อมพ่ายย่อยยับ...!!!
 
อย่าหลงเสียงยุยง อย่าหลงคำปลุกปัน พวกอยู่หลังแป้น เขาไม่เสียสิ่งใด
เขายั่วยุเพื่อสะใจ แม้นท่านล่มสลาย ต่างแยกย้ายไม่รับผิด
จึงเตือนมาด้วยจริงใจ อดทนรอต่อไป อย่าใจง่ายฟังคนถ่อย(ฝั่งโน้น)ยุแยง...
 
ปล...
 
แต่ควรเตรียม"ข้าวสาร อาหารแห้ง"ไว้เมื่อคับขัน...!!!???

 

 

ต่าง ฝ่ายรออีกฝั่งตาย ดูมาดูไป ผู้สูงวัยคงตายก่อน...!!!
ล่อ"แม้ว"เข้ามา "แม้ว"ไม่เข้ามาเพราะรู้ว่า"มาแล้วตาย"!!!???
จึงใช้วิชาตัวเบา เหาะไป ก็ เหาะมา เล่นเอา"ป๋า"น้ำลายหก...
 
แผนออกกฏหมายปรองดอง และแผนแก้ รัฐธรรมนูญ...
ทั้ง สามสิ่ง"แม้ว"ไม่ต้องการแท้จริง เป็นเพียง"ปาหิ่ลวง"ป๋า"
แท้จริง"พ่อ แม้ว"ซื้อเวลา ลวง"ป๋า"ให้หลงกล...
 
ฆ่าคนบาปหนา ฆ่าเวลา ดีกว่าฆ่าคน....!!!???
 
นายกฯคนสวย สร้างผลงาน น้าเหลิมโยกย้ายข้าราชการ
ต้น สิงหา โยกขุนหาญ สนับสนุนรุ่น 14
สิ้นปียุบสภาฯประชาธิปัตย์ต่ำสิบ...
 
สิ้น เสียงนกแสก ก็รวบหัวรวบหาง
กินกลางตลอดตัว...
..."เอาพวกชั่วไปทำนา "...!!!

 

 

 

********************************************

 

 

 

               

 

ศาลออสซี่ถกใส่-ไม่ใส่วิก

เมื่อ 17 ก.ย. เอเอฟพีรายงานว่า ผู้พิพากษาและทนายความในออสเตรเลียประสบปัญหาว่า ควรจะสวมวิกผมเป็นลอนๆ ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติในการขึ้นว่าความในชั้นศาลที่ตกทอดมาจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษต่อไปหรือไม่ โดยในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ผู้พิพากษาและทนายความไม่จำเป็นต้องสวมวิก แต่ในรัฐวิกตอเรีย ผู้พิพากษาหลายคนขัดคำสั่งหัวหน้าผู้พิพากษาไมเคิล โรเซเนส โดยไม่ยอมสวมวิกขึ้นว่าความ เช่นเดียวกับทนายความ เนื่องจากเห็นว่าล้าสมัย แม้ว่าวิกจะเป็นสัญลักษณ์ของการให้ความเป็นธรรมหน้า 7ข้อมูลจาก ข่าวสด



เป็นประเพณีหรือความคร่ำครึ


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2535)



--------------------------------------------------------------------------------


ลองคิดดูสิถ้าคุณต้องทำงานที่ต้องใส่ชุดครุยยาวมีแถบผ้าผูกคอและผ้าคาดเอวแถมยังต้องสวม วิกที่ทำด้วยขนม้ายาวประบ่าคุณจะรู้สึกอย่างไร แต่นั่นเป็นชุดสำหรับผู้พิพากษาอังกฤษที่ใส่มา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ชุดดังกล่าวมีราคาถึง 7,000 ปอนด์ แต่ถ้าเป็นชุดสำหรับงานพิธีที่ใส่ในโอกาสพิเศษ จะ ต้องรวมกางเกงแบบขาสั้นเลยเข่า รองเท้าคาดทอง เสื้อคลุมที่แต่งริมด้วยขนเฟอร์ทำให้เกิดปัญหาถาม กันอย่างแพร่หลายว่า เครื่องแต่งกายดังกล่าวนั้นจำเป็นต่อการให้ความยุติธรรมหรือไม่

เหตุเริ่มจากลอร์ด แม็คเคย์ และลอร์ดเทย์เลอร์ส่งเอกสารเชิงขอคำปรึกษาไปยังนักกฎหมาย รวมทั้งตำรวจให้แสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าว จริงอยู่ที่ผู้พิพากษาอังกฤษใส่เครื่องแต่งกายดังกล่าว มาเป็นเวลานาน แต่เนื่องจากความเคลือบแคลงในการให้ความยุติธรรมเมื่อไม่นานมานี้ทำให้สาธารณชนเริ่มสนใจในปัญหาดังกล่าว ชาวอังกฤษจำนวนมากยังคงเห็นว่าชุดดังกล่าวนั้นเพียงช่วยให้เห็นถึงความภูมิฐานสง่างามแต่ก็ขยายช่องว่างระหว่างประชาชนและข้าราชการให้กว้างมากขึ้นในเอกสารของลอร์ดเทย์เลอร์และลอร์ดแม็ค เคย์นั้นแสดงออกซึ่งความรู้สึกรำคาญว่า “ในกระบวนเครื่องแต่งกายทั้งหมดนั้นวิกมีคนพูดถึงบ่อยมากที่สุดเพราะทำให้รู้สึกแปลกแยกแตกต่างจากชีวิตประจำวันและคร่ำครึ”

แต่ก็มีผู้พิพากษาหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าว โดยชี้ว่าวิกที่ผู้พิพากษาใส่นั้นจะ ทำให้ผู้พิพากษาและนักกฎหมายดูแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ทำให้เกิดอำนาจและน่าเกรงขามในการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี แต่ก็มีบางรายที่กล่าวว่าเครื่องแต่งกายดังกล่าวนั้นทำให้ผู้พิพากษาดูเป็นเอกเทศไม่เข้าข้างฝ่ายใดอันจำเป็นต่อการให้ความยุติธรรม บางเหตุผลนั้นกล่าวอย่างติดตลกว่าสำหรับ ผู้พิพากษาที่มีอายุมากและมีหัวล้านวิกจะช่วยปิดบัง และทำให้ดูหนุ่มขึ้น

การโต้แย้งดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าลอร์ด เทย์เลอร์จะส่งความเห็นไปยังผู้มีอำนาจ ตัดสินใจอย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต้องได้รับพระบรมราชานุญาติ ความเคลื่อนไหวในเรื่อง ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 1846 โดยมีการยกเลิกการใส่วิก แต่ก็เพียงชั่วคราวเมื่ออากาศร้อน เท่านั้น










251 ... เรื่องไม่ธรรมดาของวิกผม


วิก (wig) มาจากคำว่า Periwig มีรากศัพท์จากภาษาละตินว่า Pilus = ผม
มนุษย์เริ่มใช้วิกผมมาตั้งแต่โบราณแล้ว
ในอียิปต์ชายหญิงจะสวมวิก ทำจากผมคนจริงๆ หรือโลหะมีค่า
เช่น เงิน ทอง ขนแกะ เส้นใยธรรมชาติต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะของคนนั้นด้วย
ชาวอียิปต์จะโกนผมกัน เนื่องจากอากาศร้อน
ทำให้การดูแลรักษาทำความสะอาดยากลำบากจึงโกนหัวใส่วิกแทน




~~ วิกผมสีเหลืองของชาวโรมัน ~~

แต่ก่อนจะนิยมวิกผมสีเหลืองกันในหมู่นางงามเมือง ตามมาด้วยหมู่ไฮโซ
ใครที่ไม่สวมวิกจะเชยมาก พ่อค้าจึงต้องจับทาสชาวเยอรมัน
มาตัดผมเพื่อทำวิกขาย

ในปีค.ศ. 313 การสวมวิกถูกศาสนจักรโจมตีอย่างหนัก
ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย ชาวโรมันจึงเลิกสวมวิกตั้งแต่นั้นมา




~~ วิกผมของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบทที่ 1 ~~

ในศตวรรษที่ 16 วิกผมได้กลับมาอีกครั้ง โดยนิยมกันมากในหมู่กษัตริย์
โดยเฉพาะสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบทที่ 1 ว่ากันว่าพระองค์มีวิกผมมากกว่า 80 อัน
ทั้งวิกสีแดงที่ตกแต่งด้วยอัญมณีงดงาม และวิกผมสีบรอนด์ที่พระนางสวมใส่
ในช่วงปลายรัชกาล

แต่พระนางไม่อยากให้ใครรู้ จึงรับสั่งให้ทำลายรูปภาพของพระนางที่มีผมสีบรอนด์
แต่ก็มีภาพวาดที่ไม่ถูกทำลายหลุดออกมาในปีค.ศ. 1592




~~ วิกผมเฉพาะกลุ่ม ~~

ทางฝั่งตะวันออกจะไม่นิยมใส่วิก จะมีบ้างก็แต่ในญี่ปุ่น เกาหลี
เฉพาะพวกที่เป็นนักแสดงละครโน คาบุกิ เกอิชา กีแซง เท่านั้น




~~ แก้ปัญหาหัวล้านก่อนวัย ~~

ผู้ชายเริ่มใส่วิกกันมากขึ้นในศตวรรษที่ 17 มีพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสเป็นผู้นำ
เนื่องจากมีปัญหาหัวล้านตั้งแต่อายุ 23 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระโอรส
ก็ได้รับพันธุกรรมนี้มาด้วย ซ้ำตัวเตี้ย พระองค์จึงแก้ปัญหาด้วยรองเท้าส้นสูง
และใส่วิกผมทรงสูงยาวถึงหลัง พระองค์โปรดวิกผมสีขาวมาก
ถึงกับใส่เป็นประจำจนพวกผู้ดีและขุนนางเห็นเป็นของโก้เก๋
จึงใส่เลียนแบบบ้าง และนิยมไปทั่วยุโรป




~~ ทรงผมสุดอลังการของผู้หญิง ~~

ผู้หญิงชาวฝรั่งเศสจะไม่นิยมวิก แต่จะใช้การต่อผมเป็นช่อแทน
เพื่อให้เข้ากับชุดสวยหรูหราที่ใส่อยู่ โดยจะใช้ขนม้าจากจีน ขนวัวจากทิเบต
ขนแพะจากตุรกี และผมจริงของหญิงสาวในยุโรป ซึ่งมีราคาแพงมาก
มาย้อมสีแล้วนำมาตกแต่งทรงผมตนเอง

ใครอยากเด่นก็ต้องทำผมให้สูงถึง 30 นิ้ว ประดับด้วยขนนก ดอกไม้ เพชร กรงนก
และวิกผมแบบนี้นี่เองที่เป็นเหตุให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นในปีค.ศ. 1789




~~ ช่างทำผมที่ใครก็ต้องการตัว ~~

ในสมัยก่อนไม่มีร้านทำผม ใครจะทำต้องไปตามช่างมาทำที่บ้าน
ช่างทำผมต้องทำได้ทุกอย่างทั้งม้วน ดัด ตัด ซอย คิดแบบทรงผมเป็น
แต่บางครั้งช่างทำผมกับลูกค้าก็สื่อสารกันไม่เข้าใจ ทรงผมที่ออกมาจึงไม่ถูกใจลูกค้า

เลอกรอส เดอ รูมีกนี ช่างทำผมประจำราชสำนักฝรั่งเศส จึงจ้างนักวาดรูป
มาร่างแบบทรงผมต่างๆ แล้วพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ Art de la coiffure des dames
พร้อมทั้งเปิดสถาบันสอนตกแต่งทรงผมอีกด้วย




~~ ถึงเวลาเลิกสวมวิก ~~

ปลายศตวรรษที่ 18 วิกเริ่มลดความนิยมลง จะมีก็แต่ขุนนางเก่าๆ และ
ผู้หญิงในราชสำนักเท่านั้นที่ยังใส่อยู่ เนื่องจากมีการเก็บภาษีวิกผมขึ้นในอังกฤษ
ส่วนในฝรั่งเศสภายหลังการปฏิวัติก็เริ่มทำผมแบบเรียบง่ายมากขึ้น

แต่วิกผมก็กลับมานิยมอีกในปีค.ศ. 1915 แต่เป็นวิกแบบธรรมดาไม่หรูหรานัก
โดยการีตา ซึ่งเป็นช่างทำผมได้ออกแบบมาเพื่อให้นางแบบใช้
ในงานแฟชั่นโชว์ของจีวองชี เหล่าดาราและคนดังต่างๆ จึงเริ่มใส่วิกอีกครั้ง

ส่วนวิกผมสีขาวปัจจุบันยังคงใส่กันอยู่ในหมู่ผู้พิพากษาและทนายความ
ในประเทศที่ใช้การว่าความแบบอังกฤษ


 

 

 

 

********************************************************

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 18:52:29 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>