ปธน. ‘ฮูโก้ ชาเวซ‘ แห่งเวเนซุเอลาถึงแก่อสัญกรรมลงแล้ว
ประธานาธิบดี ''ฮูโก ชาเวซ'' แห่งเวเนซุเอลา ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว หลังสู้กับโรคมะเร็งร้ายมาอย่างยาวนาน ประชาชนเศร้าโศกร่ำไห้ทั้งประเทศ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รองประธานาธิบดี นิโกลัส มาดูโร คนสนิทของ ประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา ออกมายืนยันว่า นายชาเวซ วัย 58 ปี ซึ่งต่อสู้กับโรคมะเร็ง มาเป็นเวลา 18 เดือน ได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เมื่อช่วงดึกของวันอังคารที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น
"ปีศาจพึ่งก้าวลงไปจากแท่นปราศรัยแห่งนี้ ข้าพเจ้ายังได้กลิ่นกำมถันอยู่จางๆ" ประธานาธิบดี ฮูโก ซาเวซ แห่งเวเนซุเอลาซึ่งขึ้นไปปราศรัยต่อจากประธานาธิบดี จอร์ช W บุช กล่าวขึ้นต้น ณ ที่ประชุม UN
แค่นี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่า ฮูโก ซาเวซ มีนิสัยอย่างไร และอเมริกาจะไม่พอใจเขาถึงขนาดไหน
ฮูโกชาเวสเกิดในครอบครัวยากจน พ่อแม่เป็นคู่โรงเรียนประถมที่ค่อนข้างยากจน จะว่าไปแล้วความยากจนเป็นเรื่องปรกติของเป็นเรื่องปรกติของเวเนซุเอลา
สภาพสังคมของเวเนซุเอลา ประกอบด้วยชาวผิวดำ กับลูกผสมระหว่างชนเผ่าท้องถิ่นกับชาวผิวขาว ซึ่งมีถานะยากจนราว 80% ในขณะที่ชาวผิวขาวที่เป็นคนรวยมีเพียง 20% สภาพชีวิตของคนทั้งสองชนชั้นแตกต่างกันอย่างมาก ในขณะที่จนอยู่ในบ้านที่สร้างจากสังกะสีและไม้ คนรวยกลับอยู่อย่างหรูหราจากการขายน้ำมัน
เมื่อชาเวสเข้าเรียนทหาร เขาและเพื่อนๆ นายทหารได้เห็นความแตกต่างนี้ด้วยตาของตนเอง
ครั้งหนึ่งเมื่อชาเวซถูกสั่งให้ไปกวาดล้างกองทัพจรยุทธฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ชาเวซเห็ยทหารของเขาทุบนักโทษด้วยไม้เบสบอลซึ่งพันด้วยผ้าขนหนู ชาเวสโกรธมาก และสั่งห้ามทำเช่นนี้อีก พออีกสองสามวันต่อมาเขากลับเป็นทหารฝ่ายเดียวกันถูกฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยิงตาย คืนนั้นเขานอนถามตัวเองว่า "ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี้ เพื่อมาเห็นชาวนาใส่ชุดหทาทรมาณชาวนาที่เป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาล? แล้วก็เห็นชาวนาฝ่ายต่อต้านรัฐบาลฆ่าชาวนาที่ใส่ชุดทหาร?"
วันรุ่งขึ้นซาเวสก็ตัดสินใจก่อตั้งขบวนการลับเพื่อต่อต้านรัฐบาล เขาเข้ารับตำแหน่งครู่ฝึกทหารรุ่นใหม่ และพยายามสร้างแนวร่วมที่นั้น
ในที่สุดจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้น ในปี 1989 เกิดเหตุการที่เรียกว่า เหตุการณ์คารากาโซขึ้น ในครั้งนั้น ประชาชนไม่พอใจที่อยู่ๆ ค่ารถเมล์ และเครื่องอุปโภคบริโภคก็แพงขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า จนเกิดเป็นจราจลขึ้น
ผู้ชุมนุมประท้วง ยึดซุปเปอร์มาเก็ต นำสินค้ามาแจกจ่ายกัน ชาเวสและเหล่าทหารคนอื่นๆ ถูกสั่งให้ไปปราบจราจล
แน่นอนว่าต้องนองเลือด ประชาชนตายไปประมาณ 3000 คน และบาดเจ็บอีกหลายพัน แต่ก็มีทหารบางนายเข้ารวมกับฝ่ายจราจล เมื่อถูกสั่งให้ไปปราบจราจลพันตรี ฟรานซิสโก คาร์เดนา ถามพลหทารใต้บังคับบัญชาว่า "ใครเป็นสมาชิกคันทรีคลับ (สโมสรของคนรวย) ยกมือขึ้น" แน่นอนว่าเงียบ "ประชาชนที่อยู่ที่นี้ก็เหมือนพวกเรา พวกเขาเป็นชาวบ้าน เป็นพี่น้องเรา ถ้าไม่มีคำสั่งห้ามยิงเด็ดขาด!"
สามปีหลังจากนั้น ชาเวสก่อรัฐประหารแต่ล้มเหลว ทว่ามันกลับทำให้ผู้คนนิยมในตัวเขามากขึ้น เมื่อรู้ว่าแพ้ ชาเวสประกาศยอมแพ้เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อทางโทรทัศน์ในทันที ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ของคนจนในเวเนซุเอลา
หลังจากนั้น 2 ปี ซาเวซได้รับอภัยโทษ เขาถูกปล่อยตัวและเริ่มตั้งพรรคการเมือง ก่อนจะได้รับเลือกเป้นประธานาธิบดีในปี 1998
หลังจากขึ้นเป็นประธานาธิบดี ชาเวสร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จัดตั้งชมรมโบลิวาร์ ซึ่งเป็นชมรมการเมืองในหมู่รากหญ้า ใช้ทหารสร้างบ้านให้คนจน ปฏิรูปที่ดิน ให้การศึกษา และพยามปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทน้ำมัน และเศรษฐกิจใหม่
การปฏิรูปนั้นก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนรวย เกิดการหยุดงานประท้วงของกลุ่มนายจ้าง ผู้บริหาร และนายทุน สื่อมวลชน พนักงานในบรรษัทน้ำมันที่นักการเมืองเก่าควบคุมอยู่! จนเกิดเป็นรัฐประหารขึ้นในวันที่ 11 เมษายน ปี 2002
วันรุ่งขึ้น ผู้สนับสนุนชาเวซร่วมล้านคน ออกมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้ชาเวซกลับมา วันต่อมาฝ่ายชาเวซรัฐประหารกลับได้เป็นผลสำเร็จ ชาเวซกลับสู่อำนาจอีกครั้ง
หลังจากการรัฐบประหารที่ล้มเหลวทำให้กลุ่มต่อต้านชาเวซเสื่อมอำนาจลง แต่ยังเหลือกลุ่มบรรสัทน้ำมันที่เป็นแหล่งเงินใหญ่ของเวเนซูเอลา เหล่าช่างเทคนิคพร้อมใจกันหยุดคอมที่ควบคุมการเจาะน้ำมัน ชาเวซต้องระดมช่างเทคนิคเก่า และช่างเทคนิคที่สนับสนุนเขามาแก้ไข และพบว่าระบบการควบคุมการเจาะน้ำมันถูกควบคุมโดยดาวเทียมของอเมริกา! ต้องใช้เวลาเป็นเดือนถึงจะกู้ระบบกลับมาได้
ทันทีที่กู้ระบบสำเร็จ ชาเวสอ่านรายชื่อเหล่าผู้มีอำนาจในบรรสัทน้ำมันออกอากาศทีละชื่อ ก่อนจะเป่าหนกหวีด และประกาศว่า "พวกคุณถูกไล่ออกแล้ว!" บ่อน้ำมันถูกควบคุมโดยชาเวสอย่างสมบูรณ์
ปัจจุบันความขัดแย้งของชาเวซกับอเมริกา และคนรวยกับคนจนในเวเนซุเอลายังไม่สงบลง โดยเฉพาะหลังจากที่ชาเวสประการยึดน้ำมันคืนเป็นสมบัติของชาติไม่ส่งขยให้อเมริกาอีกต่อไป
******************************************************************************
จัดเต็ม สภากทม.เตรียมบินดูงานยุโรป งบฯ 97 ล้านบาท
สภากทม.จัดหลักสูตรพัฒนาบุคลากรกว่า 600 ชีวิต บินไปศึกษางานที่ เช็ก-ตุรกี 7 วัน งบประมาณ 97 ล้านบาท
วันที่ 6 มี.ค. มีรายงานว่า สภากรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดโครงการอบรมผู้ช่วยสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.)
และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) โดยจัดเป็นหลักสูตรชื่อว่า “การพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน” มีสถาบันที่ปรึกษาเพื่อ
พัฒนาประสิทธิภาพในราชการ เป็นผู้จัดอบรม
โดยในหลักสูตรดังกล่าวจะมีการอบรมในประเทศ 4 วันและไปศึกษาดูงานต่างประเทศ 7 วัน ซึ่งในการอบรมได้กำหนด
ไปดูงานที่สาธารณรัฐเช็ก และประเทศตุรกี มีสมาชิกสภาเขต ปัจจุบันมี ทั้งหมด 361 คน และผู้ช่วย ส.ก.อีก 244 คน
มีกำหนดเดินทางไปศึกษาดูงาน ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.–พ.ค.นี้ใช้งบประมาณในการจัดการอบรมรวมการศึกษาดูงานรวม
ประมาณ 97 ล้านบาท
ทั้งนี้การไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศเป็นโครงการที่จัดทุกปีอยู่แล้วและครั้งนี้ทางผู้บริหารของสภา กทม.ได้จัดโปรแกรม
ให้เดินทางไปดูงานยุโรปเหมือนกันทั้ง 2 ส่วนคือคณะ ส.ก.และ ส.ข. กับ คณะผู้ช่วย ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าการไป
ศึกษาดูงานดังกล่าวเป็นการพักผ่อนหลังจากการทำงานเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่ผ่านมา
ไปดูทำไมเชคโกสโลวาเกีย กับ ตุรกี ผู้คนอพยพหนีประเทศตัวเองมากมาย
มาดูนี่เดนมาร์ค สวีเดน ประชากรอยู่ดีกินดีรัฐบาลช่วยเหลือเอาใจใส่อย่างไร
ลูกหลานเรียนกันอย่างไร
**************************
ชาล้นถ้วย
หลวงพ่อเเก่ๆวัดบ้านนอกรูปหนึ่ง ได้ต้อนรับศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ผู้ไปสอบถามเกี่ยวกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้า เพื่อจะได้ยึดถือเป็นเเนวทางปฎิบัติให้ถูกต้องต่อไป
หลวงพ่อเลี้ยงน้ำชาอาคันตุกะผู้นี้ด้วยตนเอง ท่านรินน้ำชาใส่ถ้วยจนล้นถ้วย แล้วยังรินต่ออยู่อย่างนั้นไม่หยุด ท่านศาสตราจารย์มองดูอดรนทนไม่ได้ จึงร้องขึ้นว่า
"มันล้น แล้วครับท่าน รินต่อไปอีกไม่ได้แล้ว"
หลวงพ่อตอบว่า
"เช่นเดียวกันแหละ เจริญพร ท่านเองก็เต็มไปด้วยทฤษฎีต่างๆ อาตมาจะสอนธรรมะให้ท่านได้อย่างไร ถ้าท่านไม่ทำให้ถ้วยของท่านว่างเปล่าเสียก่อน"
ท่านศาสตราจารย์ก็กล่าวถามต่อว่า หลวงพ่อขอรับ มีคนพูดกันว่า การบูชาใดๆต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในสากลโลก ก็ไม่เท่ากับการบูชาต่อผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งมรรคเพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเป็นอย่างไร ? คนเดินตามทางเดินแห่งมรรคมีบุญกุศลใด
หลวงพ่อกล่าวตอบเบา ว่า
เพียงแค่มีเมฆหมอกมาบดบัง นกก็ยังหลงทางบินกลับรัง "
" เป็นเพราะว่ามีเมฆหมอกมาปิดทางกลับรังของนก นกจึงหาทางกลับรังไม่ถูก ถ้าเรามัวแต่บูชาพระพุทธองค์ จิตย่อมจดจ่อและยึดติดอยู่กับองค์พระ ทำให้ตัวเองกลับเดินหลงทาง ผู้ที่เดินตามทางแห่งมรรคย่อมทำให้จิตตัวเอง สะอาด และสว่างกลับมารู้จักตัวเอง จิตจึงไม่หลงทาง
หลวงพ่อครับ เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านก็ได้ ทำไมถึงต้องออกบวชอีก
หลวงพ่อกล่าวตอบว่า
นกยูงแม้จะมีปีกที่สวยงาม แต่ก็บินได้ไม่สูงเฉกเช่นนกอื่น
" การปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อบวชแล้วย่อมจะตั้งมั่น และแน่วแน่กว่า ย่อมจะไปได้ไกลกว่า
เมื่อได้ฟังธรรมะที่จับจิตจับใจจากหลวงพ่อเเก่ๆรูปหนึ่งที่ไร้ซึ่งยศฐาบรรดาศักดิ เเต่มีความถึงพร้อมที่จะดำเนินตามรอยพระพุทธบาทของพระองค์อย่างไม่หลงทาง ท่านศาสตราจารย์จึงตัดสินใจปฎิบัติธรรมอยู่กับหลวงพ่อจนครบเจ็ดวัน
จนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนจะลากลับ ท่านศาสตราจารย์ได้กราบนมัสการหลวงพ่อ ช่วยเขียนคาถาอวยพรให้ครอบครัวของเขามีความเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยตลอดกาลนาน หลวงพ่อหากระดาษแผ่นใหญ่มาแผ่นหนึ่งแล้วเขียนลงไปว่า
"ขอให้พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย"
"ผมบอกให้ท่านเขียนคำอวยพรให้ครอบครัว ของผมมีความสุข ทำไมท่านจึงมาเขียนเรื่องอัปมงคลเช่นนี้"
หลวงพ่ออธิบายว่า
"ไม่ใช่เรื่องอัปมงคล ถ้าลูกโยมตายก่อนโยมโยมย่อมจะเศร้าโศกเสียใจมาก ถ้าหลานโยมตายก่อนโยมและลูก ทั้งโยมและลูกย่อมจะเศร้าโศกปิ่มว่าสายใจจะขาด ที่นี้ถ้าแต่ละคนตายไปตามลำดับ ดังที่อาตมาเขียนไว้นี้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรมดาของชีวิต สิ่งนี้แหละอาตมาว่าเป็นความเจริญที่แท้จริง"
วันที่: Fri Nov 15 18:27:31 ICT 2024
|
|
|