Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เงินบาทเเข็งตัว ใครได้ใครเสีย

ArjanPong | 19-01-2556 | เปิดดู 3045 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

   เงินทุนไหลเข้ากดดันเงินบาทแข็งค่าที่สุด นับตั้งแต่ปี 2011

 

 

ประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจช่วงนี้ก็คือ ปัญหาเงินไหลเข้าและแนวโน้มค่าเงินบาท ซึ่งยิ่งเงินบาทเข้าใกล้แนว 30 บาทเท่าไร คนก็ยิ่งสนใจอยากรู้ว่า “แนวโน้มเงินบาทต่อไปจะเป็นอย่างไร” และ “เราจะปกป้องความเสี่ยงได้อย่างไร”

ในประเด็นนี้ ถ้าจะตอบสั้น ๆ ก็ต้องบอกว่า “เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะยาว” ระยะสั้นอาจผันผวนไปมา ซึ่งในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ความผันผวนระหว่างเงินสองสกุลหลักของโลก คือ เงินยูโร และเงินดอลลาร์ ที่ค่าเงินยูโรที่เด้งขึ้น แข็งค่าอย่างรวดเร็วจาก 1.30 ดอลลาร์ต่อยูโร ไปที่ 1.34 ดอลลาร์ต่อยูโร แล้วกระทบมาที่ค่าเงินดอลลาร์ และค่าเงินเอเชีย รวมถึงไทย เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินของเราปรับแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน จาก 30.40 ลงมาอยู่ที่ 30 บาท ในเวลาไม่กี่วัน

การแข็งค่าครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงช่วงสั้น ซึ่งค่าเงินที่แข็งขึ้นรอบนี้ อาจจะปรับเปลี่ยนไปมาได้ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นที่เราต้องเตรียมการรองรับไว้ให้ดีก็คือ แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะยาว ที่จะแข็งขึ้นจากระดับปัจจุบัน ไปอยู่ที่ต่ำกว่า 30 บาท และมีแนวโน้มแข็งต่อไปในช่วงข้างหน้า

ทำไมจึงมั่นใจเช่นนั้น

ที่มั่นใจเช่นนี้ก็เพราะปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน

ปัจจัยแรก – เศรษฐกิจของเอเชียและไทยกำลังขยายตัวดี กำลังมีการลงทุนรอบใหม่ ขณะที่โลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจหลัก ๆเช่น สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ยังมีปัญหาในการขยายตัว ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศที่ขยายตัวดี มีความต้องการที่จะสั่งซื้อสินค้าบริโภค และลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ก็มักจะพบว่าค่าเงินของตนจะแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ปัจจัยที่สอง – ขณะนี้โลกกำลังมีสภาพคล่องล้นเอ่อ กำลังหาที่ไปอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งผลตอบแทนที่สูง โอกาสที่ดีในการลงทุนภายในเอเชียและไทย จะเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ หลั่งไหลเข้ามาในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรง การลงทุนในพันธบัตร การลงทุนในหุ้น การลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆเป็นต้น ซึ่งช่วงที่เงินเหล่านี้ไหลเข้ามา ก็จะมีแรงกดดันต่อค่าเงินให้แข็งค่าขึ้นเพิ่มเติม และยิ่งสหรัฐออกมาประกาศพิมพ์เงินเพิ่มผ่าน QE3 และ QE4 ญี่ปุ่นอัดฉีดเพิ่มเติม อังกฤษ ยุโรปยังคงปล่อยสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ สภาพคล่องใหม่เหล่านี้ก็จะพากันไหลเข้ามาท่วมเอเชีย และทำให้ค่าเงินของเราแข็งขึ้นไปด้วย

ปัจจัยที่สาม – ทิศทางที่ชัดเจนขึ้นของค่าเงิน จากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่ลดลง ถ้ายังจำกันได้ เมื่อปีที่แล้ว หลายคนยังกล้า ๆ กลัว ๆ เกี่ยวกับยุโรป กังวลว่าจะมีแบงก์ล้ม ประเทศล้ม มีคนออกจากยูโร และสหรัฐเอง หลายคนก็มีความไม่แน่ใจเรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม ว่า Fed จะทำเพิ่มหรือไม่ อีกมากน้อยเท่าไร ความไม่แน่นอนเหล่านี้ ทำให้ค่าเงินสกุลหลักของโลกเมื่อปี 55 ผันผวนไปมา ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ค่าเงินบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีทิศทางชัดเจนเช่นกัน ปรับตัวไปมาในช่วงไม่กว้างนัก 30.5-31.9 บาท

เวลาที่ค่าเงินมีทิศทางไม่ชัดเจนเช่นในปี 55 นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรของเรากว่า 8.5 แสนล้านบาท ก็มักจะลงทุนอย่างระวัง หลายคนก็เลือกที่จะปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน มุ่งหน้ากินกำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยเป็นสำคัญ

แต่ปีนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปพอสมควร ค่าเงินหลักของโลกที่ผันผวนน้อยลง จะทำให้ค่าเงินบาทมีทิศทางชัดเจนว่า “จะแข็งค่าขึ้น” ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ นักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในไทย ก็จะเปลี่ยนวิธีการลงทุน โดยรอบนี้หวังกินกำไรส่วนต่างดอกเบี้ย และขณะเดียวกันก็หวังเก็งกำไรค่าเงินไปพร้อมกัน กระทั่งเงินเก่า 8.5 แสนล้านบาทที่เข้ามาเมื่อปีที่แล้ว บางส่วนก็อาจจะลงทุนต่อ โดยไม่ปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงินอีกต่อไป

หากเป็นเช่นนี้ ค่าเงินบาทก็จะมีแรงกดดันให้แข็งค่าขึ้น และยิ่งค่าเงินในเอเชียอื่น ๆ กำลังแข็งค่าเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินวอนของเกาหลี เงินดอลลาร์สิงคโปร์ เงินดอลลาร์ไต้หวัน เงินริงกิตมาเลเซีย และเงินหยวนจีน เงินบาทก็คงยากที่จะต้านทานแรงกดดันไว้ได้ ก็จะต้องแข็งขึ้นในที่สุด

ก็ขอให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ตั้งราคาสินค้าล่วงหน้าโดยคิดเผื่อว่าถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้น เราจะยังมีกำไรอยู่ได้ และทำการปกป้องความเสี่ยงเรื่องค่าเงินตามความเหมาะสม ปีที่แล้ว ผมคิดว่าเราโชคดีเรื่องค่าเงิน ที่ไม่ได้เป็นประเด็นมากมาย แต่ปีนี้ค่าเงินบาทจะเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย ขอเอาใจช่วยทุกคนครับ

หมายเหตุ สนใจอ่านเพิ่มเติม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอแนะได้ที่ “Blog ดร.กอบ” ที่ www.kobsak.com ครับ.

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินประจำวันที่ 14-18 มกราคม 2556 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (14/1) ที่ 30.28/30 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวันศุกร์ (11/1) ที่ระดับ 30.26/27 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ตลอดสัปดาห์ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กล่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐ ยังคงไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และส่งสัญญาณว่าทางะนาคารกลางสหรัฐจะยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป รวมทั้งประธานธนาคารกลางสหรัฐยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการคลัง โดยเฉพาะการเพิ่มเพดานหนี้สาะารณะเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดลดงบประมาณอัตโนมัติ ซึ่งมีกำหนดในช่วงต้นเดือนมีนาคม

 

ทั้งนี้หากรัฐสภาสหรัฐไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะได้ การตัดลดงบประมาณอาจจะกดดันให้เศรษบกิจสหรัฐกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ทั้งนี้ตลอดสัปดาห์คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ ต่างออกมาพูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐว่า ยังคงเป็นไปอย่างล่าช้า ในขณะที่คาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 7.4% ปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักทั่วโลก ทั้งนี้ทำให้ค่าเงินสกุลเอเชียแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 16 เดือน นับตั้งแต่ปี 2011 จากกระแสเงินทุนไหลเข้าทั้งในตลาดตราสารทุนและตราสารหนี้ โดยในวันพฤหัสบดี (17/1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องออกมาแถลงว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะจำเป็น ทั้งนี้ตลอดทั้งสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 29.74-30.29 บาท/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดวันศุกร์ (18/1) ที่ระดับ 29.78/79 บาท/ดอลลาร์ โดยเป็นการแข็งค่าขึ้นกว่า 1.8% ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์

 

เงินบาทแข็งค่าขึ้น

ผู้นำเข้า -->

ผู้นำเข้าใช้เงินบาทจำนวนเท่าเดิม สามารถซื้อสินค้านำเข้าได้มากขึ้น

ผู้ส่งออก -->

ลูกค้ามองว่าสินค้าแพงขึ้น เพราะลูกค้าต้องใช้เงินมากขึ้น เพื่อซื้อสินค้าจำนวนเท่าเดิม

เงินบาทอ่อนค่าลง

ผู้นำเข้า -->

ผู้นำเข้าใช้เงินบาทจำนวนมากขึ้น ในการซื้อสินค้านำเข้าเท่าเดิม

ผู้ส่งออก -->

ลูกค้ามองว่าสินค้าถูกลง เพราะลูกค้าใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่ได้สินค้ามากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                  ของเขาดีจริงๆ...

 

 

 

ศัลยกรรมเกาหลี ของเขาดีจริง เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว ก่อน-หลัง ศัลยกรรม รู้กันดีอยู่แล้วว่า ศัลยกรรมเกาหลี ของเขาดีสุดๆไปเลย เพราะแต่ละคนที่ได้ ทำศัลยกรรม มาแล้วล้วนแต่มีหน้าตาที่เปลี่ยนไปคนละคน มองไม่ออกเลยว่าหน้าตาก่อนหน้านี้เป็นยังไง

 

 

 

 

 

 

เริ่มอภิปรายเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วง 0.22.13 ในคลิปครับ

 

  •  

    9440_323258447784527_1326606370_n.jpg

    pIToIq.png

     

 

สรุป รัฐชุดก่อน ตั้งโครงการใหญ่ เกินพันล้าน ต้องนายกฯเซ็นต์ เลยต้องจ้างรอบเดียว เลยได้เจ้าเดียวเจตนา ไม่ค่อยจะดี

 

รัฐชุดใหม่มา จะล่อรัฐชุดที่แล้ว สั่งหยุดจ่ายเงิน อ้างอาจมีการทุจริต ผู้รับเหมา ไม่มีตังค์ ต้องหยุด

 

เริ่มสอบมาตั้งแต่ต้นปี 55 ครบหนึ่งปี หาคนทุจริตยังไม่ได้ ..เพราะ พวกตัวก็โดนเยอะ ในกรมตำรวจ ....กลัวผู้รับเหมาฟ้อง.... ข่าวก็ดัง

 

เอาธาริต เข้ามา สอบใหม่...ลากให้ยาว ....เพื่อ ส่วนหนึ่งสำหรับ...ผู้ว่ากทมฯ

 

ปชป..ก็ไม่เล่น เพราะเล่นไป ก็ตัวมีตำหนิ

 

เพื่อไทย ก็เล่นแต่ข่าว จะเอาจริงก็ ..อย่างว่า ..555

 

 

ประเทศ...ไทย

 

 

 

" สำนักงานส่งกำลังบำรุง สตช เป็น หน่วยงานที่ทำสัญญาจ้าง "

 

อ่านแล้วพิจารณาเอาเอง

 

 

ว่า ควรจะถาม ปชป หรือ สตช

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 16:38:08 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>