>
อีกด้านหนึ่งที่บริเวณสี่แยก อสมท สี่แยกขนาดใหญ่ที่มีชุมชนหลากหลายทั้งชุมชนร่มเกล้า-มีนบุรี ชุมชนน้องใหม่ คลองเตย ชุมชนพัฒนาใหม่ ชุมชนริมทางรถไฟอโศกฯ อยู่ในย่านนั้น และมักจะมีเด็กออกมาขายพวงมาลัยและเช็ดกระจกอยู่เสมอ
เป็นจุดหนึ่งที่ "ครูเซฟ" อรุณ ถนอมธรรม จากมูลนิธิการส่งเสริมพัฒนาบุคคล หรือ เมอร์ซี่ ผู้ที่ทำงานด้านเด็กเร่ร่อนมานานกว่า 10 ปี ผู้เกาะติดและทำงานกับเด็กเร่ร่อนในย่านนี้ จากการเห็นสภาพปัญหาและมีเพื่อนทำงานอยู่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็กอยู่ก่อนหน้านี้ จึงสนใจทำงานช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนและด้อยโอกาสอย่างเต็มตัว
ทุกวันจะเห็นครูเซฟพร้อมเป้คู่ใจที่บรรจุอุปกรณ์ต่างๆ ในการสอนทักษะให้กับเด็ก ขนมและของฝากต่างๆ เดินย่ำไปตามฟุตบาท เด็กจะออกมาในช่วงประมาณ 1 ทุ่มถึงเที่ยงคืน โดยเฉพาะช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เป็นเวลาที่จะเจอเด็กได้ง่าย
ครูเซฟได้บอกเล่าหลากหลายเรื่องราวในการช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน เช่น เรื่องของโดมิโนกันกับน้องสาวที่อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งหนึ่งแถวสี่แยก อสมท เขามีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เด็กสองคนนี้เป็นเด็กฝรั่งที่ออกมาเช็ดกระจกอยู่ตามสี่แยก มีรายได้ต่อคืนประมาณ 200-300 บาท โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปดูแม่และน้อง เพราะเห็นถึงความลำบากของเด็กในการดิ้นรนเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวของเด็ก จึงได้เข้าไปสอบถามว่าต้องการอะไร ขาดสิ่งใด และพยายามจัดหามาให้
หรือกรณีของน้องปุ้ย ครูเซฟบอกว่า เห็นตั้งแต่เป็นเด็กเร่ร่อนตอนอายุ 12 ปี ต่อมาน้องปุ้ยมีลูก 4 คน ครูเซฟช่วยเหลือโดยให้น้องปุ้ยพาลูกๆ 3 คนไปเรียนที่ศูนย์เด็กเล็กของมูลนิธิฯ ส่วนคนเล็กเขาเลี้ยงเอง พอช่วงกลางคืนปุ้ยเขาต้องออกไปทำงานเช็ดกระจก ก็จะฝากคนข้างห้องเลี้ยง ส่วนแม่กับน้องชายเขาติดคุก ครูเซฟก็พาน้องปุ้ยไปเยี่ยมแม่กับน้องชายบ้างบางครั้ง
การดูแลของครูเซฟ เป็นเหมือนเป็นการดูแลคนในครอบครัว ไม่มองข้ามรายละเอียดในชีวิต ไม่ปล่อยให้พวกเขาเผชิญชีวิตตามลำพัง เวลาที่ครูเซฟจะไปไหนมาไหน มักจะเป็นห่วงเด็กๆ เสมอ ทุกวันไม่ว่าจะค่ำมืดแค่ไหนก็จะต้องกลับมาลงพื้นที่เพื่อพบเด็กๆ เสมอ
การลงพื้นที่เป็นเรื่องที่ครูเซฟทำเป็นประจำ ครูเซฟบอกว่า เพราะไม่รู้ว่าเด็กจะต้องการให้ช่วยเหลือตอนไหน และในแต่ละวันเด็กต้องเผชิญกับเรื่องราวใดบ้าง การได้พูดคุย ได้เห็นหน้า รู้ว่าแต่ละวันพวกเขาเป็นอยู่อย่างไร จึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตครูเซฟ
เราต้องเดินเข้าไปหาเขา เข้าไปพูดคุยทำความรู้จักและสร้างความไว้วางใจ ให้เขารู้ว่าเราตั้งใจมาช่วยเขาจริงๆ เพราะส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กเร่ร่อนที่ถูกทำร้าย ทารุณ ถูกบังคับให้ทำงาน หรือไม่ได้รับการเอาใจใส่จากครอบครัว เพราะเด็กได้เรียนรู้ว่า สังคมนี้ไม่มีใครให้ความรัก ใส่ใจดูแลเขา แม้กระทั่งพ่อแม่คนที่ควรไว้ใจมากที่สุด ดังนั้นกว่าที่เด็กบางคนจะยอมคุยหรือเปิดใจเล่าเรื่องราวของตัวเองต้องใช้เวลานาน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายปีจึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ครูเซฟบอกว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์ปัญหาเด็กเร่ร่อนในปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก ตามความซับซ้อนของสังคมสมัยใหม่ ความเปลี่ยนแปลงของเด็กที่เข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ การบังคับให้เด็กเร่ขายของให้กับนักท่องเที่ยวและนักท่องราตรี บ้างถูกจับไปใช้แรงงานในโรงงาน การท่องเที่ยวของไทยที่เฟื่องฟูมาพร้อมกับธุรกิจการค้าบริการทางเพศทั้งเด็กชายและหญิงที่เพิ่มขึ้น
การแบกเป้ไปสอนหนังสือเด็กๆ ในพื้นที่เหมือนแต่ก่อนจึงไม่เพียงพอ การสอนต้องเพิ่มเรื่องการให้เด็กรู้จักเอาตัวรอด รู้เท่าทันเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ รวมถึงให้ความรู้เรื่องการป้องกัน การดูแลสุขภาพ
นอกจากนี้ยังได้ครูเซฟยังได้ประ สานเครือข่ายที่ทำงานด้านเด็ก เช่น องค์กรที่ทำงานด้านการค้ามนุษย์ การขายบริการทางเพศ องค์กรผู้หญิง องค์กรด้านโรคเอดส์ เข้าไปให้ความรู้ให้ความช่วยเหลือเด็กๆ เหล่านี้ ทำให้คนทำงานกับเด็กเร่ร่อนมีโอกาสแลกเปลี่ยน เรียนรู้กันมากขึ้น
ที่สำคัญคือการพยายามชักจูงเข้ามาอยู่ในบ้านพักทั้งบ้านเมอร์ซี่ บ้านสร้างสรรค์เด็ก ฯลฯ หรือแม้แต่บ้านของภาครัฐ เพื่อดึงให้เด็กห่างไกลจากวงจรปัญหาเหล่านี้ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ใหญ่ในรูปแบบต่างๆ ให้เด็กได้รับการคุ้มครอง ให้มีชีวิตอยู่รอดและสามารถพัฒนาตามวัยได้อย่างเต็มตามศักยภาพ
ครูเซฟบอกด้วยความภาคภูมิในว่า งานครูข้างถนน เป็นงานที่ต้องเสียสละ ทุ่มเท แต่ก็สนุก ให้ความสุขและคุณค่าทางจิตใจสูง เพราะการที่เราได้ช่วยเหลือเด็กได้คนหนึ่งให้รอดพ้นจากสิ่งไม่ดี เป็นความยิ่งใหญ่สูงสุดในชีวิต ได้ความอิ่มใจที่หาค่าตอบแทนไม่ได้
สิ่งที่ครูข้างถนนมอบให้แก่เด็ก มีตั้งแต่การสร้างความไว้วางใจ ให้คำปรึกษา สอนทักษะชีวิต ฝึกอาชีพเพื่อให้เด็กได้เลี้ยงตัวเองได้ รวมไปถึงคอยประสานงานให้เด็กกลับคืนสู่ครอบครัว โรงเรียน หรือบ้านแรกรับ บ้านพัฒนาเด็ก หรือสถานสงเคราะห์เพื่อให้เด็กสามารถมีที่พักพิงและมีที่อยู่อาศัยแน่นอน
"ครูข้างถนน" จึงสมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละ เพราะสิ่งที่ครูได้รับตอบแทนแทบจะไม่มีอะไรนอกไปจากความภาคภูมิใจ และความรักความไว้ใจ ที่เด็กเร่ร่อนได้มอบให้ครูข้างถนน
*** กลอนหวานผ่านใจ ***
ไม่มีทาง...
....มีอีกมั๊ย? บททดสอบ จากสวรรค์
ที่ลงทัณฑ์ กระหน่ำซัด พัดจนเป๋
พายุใหญ่ โหมกระหน่ำ ทำซะเซ
กะเท่เร่ เอียงจนทรุด หยุดหายใจ
....มรสุม รุมครอบครัว จนหัวปั่น
ก็ไม่หวั่น คิดหลบลี้ หนีไปไหน
ยืนหยัดอยู่ ทั่วหล้ารู้ สู้ต่อไป
ถึงสิ้นไร้ จะไม่ขอ ง้อฟ้าดิน......
"ที่ไหนที่พี่น้องประชาชนมีความทุกข์ ที่นั้นคือที่ทำงานของผม
เวลาใดก็ตามที่พี่น้องประชาชนประสบปัญหา ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการกำลังใจ
เวลานั้นคือเวลาทำงานของผม..........."
กกต.พร้อมสอบพงศพัศเคยโดนคดีขโมยวิทยุ-เปลี่ยนชื่อขอพระราชทานยศ ขณะปชป.ขยับบอกประเด็นน่าสนใจ
(15 ม.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทีนิวส์ กรณีข้อพิพาทของ พลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่กำลังจะลงสมัครชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคเพื่อไทย แต่เคยมีประวัติติดคุกคดีอาญาโทษฐานขโมยวิทยุ ที่สหรัฐอเมริกา สมัยได้ทุนศึกษาวิชาอาชญวิทยา
โดยไทยได้ดำเนินการทางการทูต จนถูกปล่อยตัวกลับมาแบบมีมลทิน และถูกคัดค้าน จากสำนักพระราชวัง ครั้งเสนอชื่อขอพระราชทานยศ พลตำรวจตรี แต่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น พงศพัศ และสอดไส้โผแต่งตั้ง ทำเอกสารเท็จทูลเกล้าฯ จนได้รับเลื่อนเป็น พลตำรวจตรี ซึ่งกรณีนี้จัดว่า เป็นความผิดฐานกราบบังคมทูล ข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งนี้ นางสดศรี ระบุว่าในกรณีดังกล่าวต้องมีผู้ร้องและยื่นหลักฐานกับกกต.ก่อนจึงจะทำการตรวจสอบได้
และเห็นว่า ในตำแหน่งผู้นำท้องถิ่น อย่างผู้ว่าฯกทม.แล้วจะต้องไม่มีประวัติเสื่อมเสีย ในขณะที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับสำนักข่าวทีนิวส์ว่า ทางพรรครู้สึกสนใจในประเด็นดังกล่าว และทราบมาก่อนว่า พล.ต.อ.พงศพัศ เคยต้องคดีและเปลี่ยชื่อ ก่อนได้รับยศ พลตำรวจตรี ซึ่งพรรคต้องตรวจสอบหาหลักฐานข้อเท็จจริงก่อน หากจะมีการยื่นเรื่องร้องเรียนกับ กกต.ต่อไป
เรื่องนี้มีมูลแน่ เพราะผู้สื่อข่าวก็ถามเรื่องนี้กับ พงศพัศ โดยได้คำตอบว่า ไม่กังวลใจ
วันที่: Fri Nov 15 16:48:06 ICT 2024
|
|
|