อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยที่
เจ้าแก้วนวรัตน์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในพ
ครูบาศรีวิชัยท่ามกลางหมู่เ
วันเปิดถนนขึ้นดอยสุเทพ
*** ข่าวพลังภูผา..***
เอากันให้ตายไปข้าง!! ต้องจับสึก"ครูบาศรีวิชัย"
ข้อหาไม่ประดับธงทิวเเละประทีปโคมไฟ!!
www.arjanpong.com
#ครูบาศรีวิชัย #ดอยสุเทพ #เชียงใหม่ #ลำพูน
ถูกข้อหาดอยสุเทพอยู่ห่างตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๖ กม. สูงจากพื้นราบ ๗๔๖.๙๒ ม. และสูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๐๕๓ ม. แต่การขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนยอดดอยนับเป็นเรื่องยากลำบาก ต้องเลาะไปตามไหล่เขาที่เป็นทางทุรกันดาร บางแห่งก็ต้องโหนเถาวัลย์ขึ้นไป หลายคนจึงหมดสิทธิ์ที่จะขึ้นไปได้
ความคิดที่จะสร้างถนนขึ้นไปถึงยอดดอยสุเทพนี้มีมานานแล้ว นายพลโท พระองค์เจ้าบวรเดช กฤดากร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอุปราชเทศาภิบาล มณฑลพายัพ ระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๘-๒๔๖๔ ก็เคยมีความคิดนี้ แต่เมื่อให้ช่างมาสำรวจแล้ว จะต้องใช้เงินถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ในขณะนั้น จึงได้ระงับไป
ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๗๗ หลวงศรีประกาศ (ฉันท์ วิชยาภัย) คหบดีของเชียงใหม่ มีความคิดจะนำไฟฟ้าขึ้นไปติดที่ยอดพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อให้ผู้คนในเมืองยกมือไหว้พระธาตุได้ถูกทิศในเวลาค่ำคืน แต่เมื่อนำความคิดนี้ไปปรึกษาหารือกันแล้ว ก็มีผู้เสนอว่า งานนี้ถ้ามีครูบาศรีวิชัย ที่เคารพศรัทธาของชาวล้านนาเข้าร่วมด้วย ย่อมสำเร็จอย่างแน่นอน ครั้นเมื่อหลวงศรีประกาศนำความไปกราบครูบาฯ ท่านก็ว่าอย่าแค่ลากสายไฟขึ้นไปเลย ทำเป็นถนนให้รถยนต์วิ่งขึ้นไปได้ดีกว่า ทำหลวงศรีประกาศถึงกับอึ้ง จากงานลากสายไฟขยายเป็นถนน ใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า แต่เมื่อครูบาฯยืนยันความตั้งใจอย่างแข็งขัน หลวงศรีประกาศจึงลงมาขอความช่วยเหลือจาก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ คนสำคัญของคณะราษฎร และรับตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ขอให้ช่วยส่งช่างมาสำรวจแนวทางทำถนนให้ ซึ่งหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ให้ความร่วมมือด้วยดี
เมื่อได้แนวทางสร้างถนนขึ้นดอยมาแล้ว ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๗๗ เวลา ๑๐.๐๐ น. จึงได้ทำพิธีบุกเบิก โดยมี เจ้าแก้วนวรัตน์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้ลงจอบแรกเป็นปฐมฤกษ์ ครูบาศรีวิชัยได้นำภิกษุสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา ต่อหน้าหมู่เฮาและชาวเขาหลายเผ่า ที่มีศรัทธาต่อพระธาตุดอยสุเทพและครูบาศรีวิชัย
ท่ามกลางผู้คนที่แน่นขนัดในพิธีนั้น ครูบาฯได้เปล่งวาจาให้ได้ยินทั่วกันว่า“ก่อนชีวิตอาตมาจะมรณภาพ อาตมาใคร่จะได้เห็นถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ เพื่อหมู่เฮาทั้งหลายทั้งปวงจักได้ขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนยอดดอยได้สะดวก”
ด้วยประโยคเดียวของนักบุญแห่งล้านนานี้ ได้ปลุกให้หมู่เฮาในจังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งชาวเขาเผ่าต่างๆ มีกระเหรี่ยง แม้ว ยาง เย้า ต่างคว้าจอบเสียมมาช่วยกันถึงวันละ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ คน โดยจัดแบ่งพื้นที่ให้ทำเป็นหมู่ๆละ ๑๐ วา และยังมีผู้มาทีหลังขอแบ่งจากผู้ที่ได้ส่วนแบ่งไว้ เพื่อขอมีส่วนร่วมด้วย
ด้วยเหตุนี้ ถนนขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพที่ผ่านเส้นทางทุรกันดารยาวถึง ๑๑ กม. กับอีก ๕๐๐ ม. จึงสำเร็จได้ด้วยพลังศรัทธาในเวลา ๕ เดือนกับ ๒๒ วัน และทำพิธีเปิดในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๗๘
นอกจากการสร้างถนนขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพแล้ว ครูบาศรีวิชัยยังสร้างวัดหรือสำนักสงฆ์ตามเส้นทางไว้เป็นระยะ ซึ่งวัดเหล่านี้ทำให้ครูบาศรีวิชัยถูกกล่าวหาจากฝ่ายอิจฉาริษยาว่าสร้างวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งอุปสมบทให้พระที่เข้าประจำวัดเหล่านี้โดยไม่มีตราตั้งเป็นอุปัชฌาย์ ซ้ำยังแถมด้วยข้อหาร้ายแรงอีกว่า ยุยงให้พระภิกษุรวม ๖๒ วัดให้ลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ จนถูกจับส่งตัวมาชำระอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯอีกครั้ง
ทั้งนี้ก่อนที่จะสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยก็เคยต้องอธิกรณ์มาหลายครั้ง จากเจ้าคณะแขวงลี้ และนายอำเภอลี้ ซึ่งตั้งตัวเป็นอริกับครูบาศรีวิชัยอย่างเปิดเผย แต่ก็หน้าแตกกันไปทุกที
อย่างคดีแรกหาว่าท่านเป็นอุปัชฌาย์เถื่อน ส่งตำรวจไปจับท่านมาขังไว้ที่วัดเจ้าคณะแขวงลี้เป็นเวลา ๔ วัน ๔ คืน แล้วส่งตัวไปให้เจ้าคณะจังหวัดพิจารณาโทษ เรื่องก็กลายเป็นว่ามีกุลบุตรหลั่งไหลมาขอบวชที่วัดศรีดอนชัยกันมาก ครูบาฯได้ยื่นขออนุญาตเป็นอุปัชฌาย์ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบ พอใกล้เข้าพรรษาเกรงว่าจะเป็นการเสียโอกาสแก่กุลบุตรเหล่านั้น จึงตัดสินใจบวชให้ เจ้าคณะจังหวัดเห็นว่าครูบาศรีวิชัยทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ความผิดเป็นฝ่ายเจ้าคณะแขวงลี้ที่ดึงเรื่องที่ขออนุญาตไว้
คดีต่อมาเจ้าคณะแขวงลี้เจ้าเก่า ตั้งข้อหาว่าครูบาศรีวิชัยไม่ให้ความร่วมมือที่เจ้าคณะแขวงสั่งให้ทุกวัดจัดประดับธงทิวและประทีปโคมไฟ เฉลิมฉลองในวาระที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ และสั่งให้สำรวจจำนวนพระภิกษุและสามเณรในวัดส่งไปให้ทราบ เรื่องนี้ครูบาศรีวิชัยชี้แจงว่า การประดับธงทิวและจุดประทีปโคมไฟไม่ใช่กิจของสงฆ์ การปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นสิริมงคลแก่พระมหากษัตริย์นั้น จะต้องเป็นการชุมนุมสวดถวายพระพรชัย ซึ่งท่านก็ได้ทำไปแล้ว ส่วนการที่ว่าท่านขัดคำสั่งไม่สำรวจจำนวนพระเณรในวัดส่งไปให้นั้น ก็ปลดท่านออกจากเจ้าอาวาสและเจ้าคณะหมวดแล้ว ท่านจึงไม่มีอำนาจไปสำรวจอะไรทั้งสิ้น
หน้าแตกกันไปหลายครั้งก็ยังไม่เข็ด ขบวนการริษยาปล่อยข่าวว่าครูบาศรีวิชัยเป็นผีบุญ มีดาบกายสิทธิ์ซึ่งเทพยดามอบให้ สามารถเดินในน้ำได้และเดินกลางฝนไม่เปียก แต่เมื่อจะตั้งข้อหาเป็นความผิด ก็ไม่สามารถหาหลักฐานว่าครูบาศรีวิชัยมีพฤติกรรมเช่นนั้น จึงให้นายอำเภอลี้ทำรายงานไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีหลักฐานจะดำเนินคดีได้ จึงหันไปหา เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน ให้มีหนังสือไปนิมนต์ครูบาศรีวิชัยไปพบเจ้าคณะจังหวัดลำพูน
การเดินทางไปของครูบาศรีวิชัยในครั้งนี้ ปรากฏว่ามีผู้เลื่อมใสศรัทธาและสานุศิษย์ติดตามไปด้วยถึง ๒,๐๐๐ คน แต่เมื่อไปถึงวัดหริภุญชัย ตำรวจได้กันประชาชนไม่ให้เข้าไปในวัด คงปล่อยให้ภิกษุสามเณรราว ๒๐๐ รูปเข้าไปเท่านั้น และยังห้ามประชาชนนำอาหารเข้าไปถวายพระภิกษุสามเณร จนเมื่อพระภิกษุสามเณรทั้ง ๒๐๐ รูปนั้นต้องหิวโหย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจึงทนไม่ได้ ฝ่าวงล้อมของตำรวจนำอาหารไปถวาย ทำให้ประชาชนทั้งหมดเฮโลนำอาหารเข้าไปถวายด้วย ความสำเร็จของพลังมวลชนในครั้งนี้ทำให้ทางการจังหวัดลำพูนเกรงจะมีปัญหา จึงแยกส่งตัวครูบาศรีวิชัยไปกักตัวไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่
ครูบาศรีวิชัยถูกกักตัวที่วัดศรีดอนชัย เชียงใหม่ เป็นเวลา ๓ เดือนเศษ มีประชาชนหลั่งไหลไปกราบไหว้และถวายอาหารกันไม่ขาดสาย พ่อค้าแม่ค้าก็ถือโอกาสนำสินค้าไปเปิดร้านขาย จนเหมือนมีงานเทศกาล จังหวัดเชียงใหม่เกรงว่าจะต้องเผชิญกับปัญหามวลชนเช่นเดียวกับลำพูน จึงจัดส่งครูบาศรีวิชัยไปให้คณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯพิจารณา
นั่นเป็นการถูกส่งตัวมาพิจารณาคดีที่กรุงเทพฯก่อนการสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ ครั้นสร้างถนนเสร็จแล้ว รางวัลที่ครูบาศรีวิชัยได้รับจากฝ่ายปกครองและคณะสงฆ์เชียงใหม่ คือข้อหาที่สร้างวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตขึ้นระหว่างทางขึ้นดอย และบวชให้ผู้ประสงฆ์จะแสวงบุญโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นอุปัชฌาย์เช่นเดิม ถูกส่งตัวมาพิจารณาที่กรุงเทพฯอีกครั้ง
ท่านได้กล่าวกับหลวงศรีประกาศที่มาเยี่ยมขณะถูกส่งตัวมาพิจารณาคดีที่วัดเบญจมบพิตรว่า จะไม่กลับไปเชียงใหม่อีกแล้ว เพราะเชียงใหม่ได้ส่งท่านมาพิจารณาคดีอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯถึง ๒ ครั้ง นอกจากน้ำในแม่ปิงไหลย้อนขึ้นเหนือ ท่านจึงจะเหยียบเชียงใหม่อีก
หลังจากพ้นมลทินในการถูกกล่าวหาครั้งที่ ๒ นี้แล้ว ท่านก็กลับอยู่เมืองลำพูน แม้ชาวเชียงใหม่จะแห่กันไปรบเร้าให้ท่านกลับไปเชียงใหม่ นักบุญแห่งล้านนาก็ย้อนถามไปว่า
“น้ำในแม่ปิงยังไม่ไหลย้อนขึ้นเหนือไม่ใช่หรือ”
Credit : https://mgronline.com/
: Rome Bunnak
วันที่: Fri Nov 15 16:04:43 ICT 2024
|
|
|