ผักบุ้ง มีสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์สูง สารดังกล่าวได้แก่ เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทิน เบต้าแคโรทีน ซึ่งนี้พวกจะคุ้นๆกับโฆษนา พวกอาหารเสริม ในโทรทัศน์ ซึ่งหน้าที่ขอสาร เบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองเห็นในที่มืด และยังมีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซแดนต์ช่วยในการบำรุงรักษาดวงตา ทำให้ดวงตาชุ่มชื้น ไม่แห้ง และป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่นโรคต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน
ส่วนทูทีน และ ซีแซนทิน ช่วยปกป้องเซลล์จอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยให้ดวงตาเสื่อมช้าลง
ผักบุ้งช่วยบำรุงสายตา ไม่ทำให้ปวดตา สายตาสั้น แสบตา จากผักบุ้ง ก็ต้องกินผักบุ้งดิบ ทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย นอกจากวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด
เมนูผักบุ้ง
แกงส้ม เย็นตาโพ แกวเทโพ แกงคั่ว น้ำพริกปลาทูผีกบุ้งทอด ผัดบุ้งไฟแดง
สูตรการกินผักบุ้งแก้อาการมามัว ตาฟาง สำหรับคนที่ต้องทำงาน จองคอมเป็นเวลามากๆ การกินผักบุ้งก็เป็นวิธี 1 ในการช่วยแก้อาการ ตาฟางได้ หลักในการกินต้องกินทุกวันวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ ประมาณ 10 – 20 ยอดหากสังเกตว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ให้กินวันละ 1 ครั้ง เพื่อบำรุงและป้องกันอาการทางสายตาต่อไปและอย่างลืมทำควบคู่กับการออกกำลังกาย
แครอท มีสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุดในบรรดาผักสีส้ม นอกจากนี้มันก็ยังมีไวตามินและแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแครอทีนก็คือ ไวตามินเอ ซึ่งช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาเพราะมันมีผลต่อปฏิกริยาเคมีของดวงตาต่อแสง ไวตามินเอยังช่วยให้มีผิวที่ดีอีกด้วย และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆเช่นมะเร็งได้ดี
แครอท (Carrot) ช่วยบำรุงสายตา เพราะในแครอทมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการ อีกทั้งมีประโยชน์ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตาของเราด้วย โดยเฉพาะเนื้อเยื่อชั้นในของดวงตา หรือที่เรียกว่า เรติน่า ซึ่งการที่ได้รับประทานแครอทบ่อย ๆ ยังช่วยถนอมดวงตาให้สามารถมองเห็นอย่างปกติไปได้อีกนาน เพราะแครอท อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และยังมีสารสำคัญคือสาร “ฟอลคารินอล” ซึ่งช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง เป็นต้น
ประโยชน์ของแครอท เช่น ช่วยบำรุงและรักษาสายตา รักษาโรคตาฟาง และต้อกระจก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัย และการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง สรรพคุณ แครอทช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนของเลือด เป็นต้น
แครอทสามารถทำเป็นของว่างเพื่อสุขภาพได้ ปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าแครอทสามารถนำไปประกอบอาหารคาวได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วแครอทสามารถนำมาทำขนมได้เช่นกัน อาทิเช่น ขนมปังโฮลวีทแครอท ขนมเค็กแครอท หรือดื่มน้ำแครอทหวาน ๆ สักแก้วในระหว่างมื้อ สามารถช่วยดับหิวและดับกระหายได้ไม่ต่างจากขนมหวานและเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เลย
ตำลึง เป็นผักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มีหัวใต้ดิน มีคุณค่าทางอาหารสูง ตำลึงเป็นพืชที่มีบีตาแคโรทีนที่ดีที่สุด บีตาแคโรทีนเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตา ป้องกันไฟเบอร์ของเลนส์ตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกออกซิไดซ์ด้วยแสง ป้องกันการเกิดต้อ บีตาแคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ จัดเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด ดังนั้น ที่กล่าวกันว่า "ตำลึงบำรุงสายตา" ก็เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง บีตาแคโรทีนเป็นสารต้านออกซิเดชันลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ยับยั้งการทำลายของออกซิเจนเดี่ยวและอนุมูลเปอรอกซิลอิสระ นอกจากนั้นตำลึงยังสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้
ตำลึงประกอบไปด้วยโปรตีน วิตามินบี 1 วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส เส้นใยอาหารและเบตาแคโรทีน
แพทย์แผนไทยใช้ใบ เถา และราก มาใช้รักษาอาการคัน โรคตาช้ำ ตาแฉะ โดยนำใบและเถามาตำเล็กน้อยพอให้ช้ำและพอกบริเวณอาการคัน หรือประคบบริเวณดวงตา นอกจากนี้ยังเชื่อว่าสามารถรักษาโรคเบาหวานได้ โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้กล่าวว่า ยอดตำลึงสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานโดยให้นำใบตำลึงผสมคั้นกับน้ำสะอาดและนำมาวันละ 2 ครั้ง อีกทั้งยังช่วยรักษาแผลในช่องปาก ลิ้นเป็นแผล ดับพิษร้อน ลดไข้ หรือชงดื่มเพื่อแก้อาการวิงเวียนศีรษะได้
ทางด้านความสวยความงาม ตำลึงมีบทบาทในด้านนี้ไม่น้อย เนื่องจากสารในตำลึงอย่างธาตุเหล็กนั้นมีความจำเป็นต่อสุขภาพผู้หญิง ช่วยบำรุงเลือด แคลเซียมช่วยให้กระดูกแข็งแรง การรับประทานตำลึงจึงทำให้ตาสวย ผิวสวยและเพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกอีกด้วย ที่สำคัญวิตามินเอและสารเบตาแคโรทีนสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา
คะน้า มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้า-แคโรทีน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อคะน้าเป็นผักที่เรามีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หารับประทานง่าย แต่น้อยคนนักที่จะทราบคุณประโยชน์ของคะน้า คะน้าเป็นผักตระกูลเดียวกับกะหล่ำ เช่น ผักกวางตุ้ง บรอกโคลี กะหล่ำปลี ซึ่งผักตระกูลนี้อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงมีรายงานวิจัยหลายต่อหลายชิ้นที่กล่าวว่า คะน้ามีส่วนช่วยทำลายเซลล์มะเร็งและหยุดยั้งการก่อตัวของการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
สารอาหารสำคัญในคะน้า
คะน้ามีสารอาหารมากมายที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม วิตามินบี 3 โฟเลต เบตาแคโรทีน เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สารลูทีน และสารซัลโฟราเฟน ซึ่งสารอาหารที่สำคัญเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้หลายโรค เช่น วิตามินสูงที่พบมากในคะน้า ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ป้องกันโรคไข้หวัด บำรุงฟันและเหงือกให้แข็งแรง ช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยหมองคล้ำ จุดด่างดำ ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แคลเซียมเป็นแร่ธาตุอีกตัวที่พบมากบริเวณก้านและใบของคะน้า เป็นแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุนและมีหน้าที่ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ และสารซัลโฟราเฟน เป็นสารที่ช่วยป้องกันมะเร็ง ดร.จอห์น ฮอปกินส์ แห่งมหาวิทยาลัยบัลทิมอล รัฐแมรี่แลนด์กล่าวว่า จากการทดลองพบว่าสารซัลโฟราเฟน มีส่วนช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็งถึงร้อยละ 26 และกำลังทำการวิจัยอย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์ของคะน้าด้านสายตา
คะน้าถือว่าเป็นผักที่มีสารเบตาแคโรทีนและสารลูทีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและเป็นสารส่วนหนึ่ง วิตามินเอ ช่วยในเรื่องการบำรุงสายตา ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นและช่วยสายตากรองแสง เพื่อถนอมสายตาให้คงอยู่นาน นอกจากนี้เบตาแคโรทีนยังช่วยป้องกันการสันดาปของอนุมูลอิสระ อันทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับสายตา นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกได้ถึง 20%
ฟักทอง ฝักทอง มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ ระบบย่อยอาหาร บำรุงตับไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่าที่ตายไปแล้ว มีสารลูทีนป้องกันการเสื่อมของจุดหรือแสงสีของเรตินามีวิตามินเอ บำรุงสายตามีเบตาแคโรทีนซึ่งมีสาร Antioxidant สูงจึงช่วยต้านมะเร็งได้อีกด้วย
- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี
-เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
- ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
- เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ
- ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้
- เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้
ข้อควรระวังในการทาน “ฟักทอง”
เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน
มะม่วงสุก เนื่องจากมะม่วงอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร ช่วยบำรุงสายตา บำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างดี มะม่วงซึ่งอุดมได้วยวิตามิน ซี,อี,เบตา แคโรทีน อันเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระช่วยบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี ซึ่งจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พบว่ามะม่วงเป็นผลไม้วิเศษที่ช่วยถนอมรักษาสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสายตาของผู้สูงอายุซึ่งจะเสื่อมไปตามกาลเวลา
จักษุแพทย์ของศูนย์โรคตาในสหรัฐฯได้ระบุถึงสารอาหารที่มีอยู่ในมะม่วงว่าบำรุงสายตาได้ดีกว่าหัวผักกาดแดง เพราะมะม่วงมีวิตามินซี,อี,เบตา แคโรทีน อันเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระทั้งสิ้น ซึ่งสารทั้งสามอย่างนี้เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่เป็นเหตุให้สายตาเสื่อมเลวลง “เรารู้ข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่า พวกอนุมูลอิสระจะเป็นตัวที่ช่วยบ่อนทำลายสายตาที่เสื่อมลงเนื่องมาจากกล้ามเนื้อลูกตาอ่อนแรงให้หนักขึ้น”
มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานมะม่วง ก็อาจจะเลือกรับประทานกีวีก็ได้ เพราะกีวีมีโปแตสเซียมสูง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียสายตาของผู้สูงอายุที่มีอาการความดันโลหิตสูงอยู่ด้วยได้
หากรู้กันอย่างนี้แล้ว ก็เลือกที่จะรับประทานมะม่วงหรือกีวีเพื่อบำรุงสายตา แต่ไม่ว่าจะเป็นผลไม้อย่างอื่นก็ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น
มะละกอ อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ รับประทานบำรุงผิวพรรณดี ลดริ้วรอยก่อนวัย และบำรุงสายตา รับประทานเป็นผลไม้
มะละกอ ผลไม้ไทยๆ ที่ปกป้องและทำให้สายตาดีขึ้น นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟลอริดาอินเตอร์เนชั่นแนลพบว่า
สารลูทีนในมะละกอสามารถช่วยลดแนวโน้มของการประสบปัญหาโรคจอประสาทตาเสื่อมได้มากถึง 80%
วันที่: Fri Nov 22 14:18:06 ICT 2024
|
|
|